LOGO หลกั ธรรมของผสู้ ่งั สอนหรอื ใหก้ ารศกึ ษา เกษม แสงนนท์ 0
ชื่อหนงั สือ.......................... ผู้เขยี น........................ ปีทีพิมพ์ จำนวน..................หนา้ โรงพมิ พ.์ ............................................... 1
คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ 2
สารบัญ บทที่............................... บทที.่ ............................... บทท.่ี ............................... 3
บทท่ี ๑ หลักธรรมของผ้สู งั่ สอนหรอื ให้การศกึ ษา (ครู อาจารย์ หรอื ผแู้ สดงธรรม) ผู้ทำหน้าท่ีส่งั สอน ให้การศึกษาแกผ่ ้อู ืน่ โดยเฉพาะครู อาจารย์ พึง ประกอบด้วยคุณสมบตั ิ และประพฤติตามหลักปฏิบตั ิ ดงั นี้ ก. เป็นกลั ยาณมิตร ข. ต้งั ใจประสทิ ธิค์ วามรู้ ค. มลี ีลาครูครบทัง้ สี่ ง. มหี ลักตรวจสอบสาม จ. ทำหน้าที่ครตู อ่ ศิษย์ ก. เปน็ กัลยาณมิตร คอื ประกอบด้วยองค์คุณของกัลยาณมติ ร หรอื กลั ยาณมิตรธรรม ๗ ประการ ดงั นี้ ๑. ปิโย นา่ รกั คือ มีเมตตากรณุ า ใส่ใจคนและประโยชน์สุขของเขา เข้าถึงจิตใจ สร้างความรู้สึกสนทิ สนมเป็นกนั เอง ชวนใจผูเ้ รียนใหอ้ ยากเขา้ ไปปรึกษาไตถ่ าม ๒. ครุ นา่ เคารพ คือ เป็นผู้หนักแนน่ ถอื หลกั การเปน็ สำคญั และมี ความประพฤตสิ มควรแกฐ่ านะ ทำให้เกิดความรูส้ ึกอบอุ่นใจ เป็นท่พี ่ึงได้ และปลอดภยั ๓. ภาวนโี ย นา่ เจริญใจ คอื มคี วามรูจ้ ริง ทรงภมู ปิ ัญญาแทจ้ รงิ และเปน็ ผู้ฝึกฝนปรบั ปรงุ ตนอยู่เสมอ เป็นทีน่ ่ายกยอ่ งควรเอาอย่าง ทำให้ ศษิ ยเ์ อ่ยอ้างและรำลกึ ถึงดว้ ยความซาบซึ้ง มั่นใจ และภาคภูมิใจ ๔. วตตฺ า ร้จู กั พูดใหไ้ ด้ผล คอื รู้จักชแ้ี จงใหเ้ ขา้ ใจ รวู้ ่าเมื่อไรควร พดู อะไร อยา่ งไร คอยให้คำแนะนำว่ากล่าวตกั เตอื น เป็นท่ปี รึกษาทด่ี ี 1
๕. วจนกขฺ โม อดทนตอ่ ถอ้ ยคำ คอื พรอ้ มท่ีจะรับฟงั คำปรกึ ษา ซกั ถามแมจ้ ุกจกิ ตลอดจนคำลว่ งเกนิ และคำตักเตือนวิพากษ์วิจารณต์ ่างๆ อดทน ฟงั ได้ ไมเ่ บื่อหนา่ ย ไมเ่ สียอารมณ์* ๖.คมฺภรี ญจฺ กถํ กตฺตา แถลงเรื่องล้ำลึกได้ คอื กล่าวชีแ้ จงเรือ่ ง ตา่ งๆ ท่ยี ่งุ ยากลกึ ซ้งึ ใหเ้ ขา้ ใจได้ และสอนศิษย์ให้ได้เรยี นร้เู ร่ืองราวท่ลี ึกซ้งึ ยงิ่ ข้นึ ๗. โน จฏฐฺ าเน นิโยชเย ไม่ชกั นำในอฐาน คือ ไมช่ กั จูงไปในทางที่ เส่ือมเสยี หรอื เรื่องเหลวไหลไมส่ มควร (องฺ.สตฺตก. ๒๓/๓๔/๓๓) ข. ตั้งใจประสิทธคิ์ วามรู้ โดยตั้งตนอยู่ในธรรมของผู้แสดงธรรม ที่เรียกว่า ธรรมเทศกธรรม ๕ ประการ คือ ๑. อนุบุพพิกถา สอนใหม้ ขี นั้ ตอนถกู ลำดบั คอื แสดงหลักธรรม หรอื เนื้อหาตามลำดับความง่ายยากลมุ่ ลึก มีเหตผุ ลสมั พนั ธ์ตอ่ เน่ืองกันไป โดยลำดับ ๒. ปริยายทสั สาวี จบั จุดสำคัญมาขยายให้เขา้ ใจเหตผุ ล คือ ชี้แจง ยกเหตผุ ลมาแสดง ให้เข้าใจชัดเจนในแตล่ ะแงแ่ ตล่ ะประเด็น อธบิ าย ยกั เยอ้ื งไปตา่ งๆ ใหม้ องเหน็ กระจา่ งตามแนวเหตผุ ล ๓. อนุทยตา ต้งั จิตเมตตาสอนดว้ ยความปรารถนาดี คือ สอนเขา ด้วยจิตเมตตา ม่งุ จะใหเ้ ป็นประโยชน์แกผ้ ู้รบั คำสอน ๔. อนามสิ ันดร ไม่มีจติ เพง่ เล็งเห็นแก่อามสิ คือ สอนเขามิใชม่ ิใช่ มงุ่ ท่ตี นจะไดล้ าภ สินจ้าง หรอื ผลประโยชนต์ อบแทน ๕. อนุปหจั จ*์ วางจติ ตรงไม่กระทบตนและผูอ้ ่ืน คือ สอนตาม หลกั ตามเน้ือหา ม่งุ แสดงอรรถ แสดงธรรม ไม่ยกตน ไม่เสยี ดสขี ม่ ขี่ผอู้ ่ืน (องฺ.ปญจฺ ก. ๒๒/๑๕๙/๒๐๕) 2
ค. มีลลี าครูครบทงั้ สี่ ครทู ีส่ ามารถมลี ลี าของนกั สอน ดงั นี้ ๑. สนั ทัสสนา ชใี้ ห้ชัด จะสอนอะไร กช็ ้แี จงแสดงเหตุผล แยกแยะ อธิบายใหผ้ ู้ฟงั เข้าใจแจม่ แจง้ ดังจูงมือไปดูเห็นกับตา ๒. สมาทปนา ชวนใหป้ ฏบิ ตั ิ คอื ส่ิงใดควรทำ ก็บรรยายให้ มองเหน็ ความสำคญั และซาบซ้ึงในคณุ คา่ เหน็ สมจริง จนผู้ฟงั ยอมรับ อยากลงมือทำ หรือนำไปปฏบิ ัติ ๓. สมตุ เตชนา เร้าให้กลา้ คือ ปลกุ ใจใหค้ กึ คกั เกดิ ความ กระตอื รือร้น มีกำลังใจแข็งขนั มัน่ ใจจะทำให้สำเรจ็ ไม่กลวั เหน็ดเหน่อื ย หรือยากลำบาก ๔. สมั ปหังสนา ปลุกให้ร่าเรงิ คอื ทำบรรยากาศให้สนุกสดชนื่ แจ่มใส เบิกบานใจ ใหผ้ ู้ฟังแชม่ ช่นื มีความหวัง มองเหน็ ผลดีและทางสำเร็จ จำงา่ ยๆ ว่า สอนให้ แจม่ แจ้ง จงู ใจ แกล้วกลา้ รา่ เริง (เช่น ท.ี สี. ๙/๑๙๘/๑๖๑) ง. มีหลักตรวจสอบสาม เมอ่ื พูดอย่างรวบรดั ท่สี ดุ ครูอาจตรวจสอบตนเอง ดว้ ยลักษณะการสอนของพระบรมครู ๓ ประการ คอื ๑. สอนดว้ ยความรจู้ ริง รู้จรงิ ทำไดจ้ ริง จงึ สอนเขา ๒. สอนอยา่ งมเี หตุผล ให้เขาพจิ ารณาเขา้ ใจแจง้ ดว้ ยปัญญาของ เขาเอง ๓. สอนให้ได้ผลจรงิ สำเรจ็ ความมุ่งหมายของเรือ่ งท่ีสอนนัน้ ๆ เชน่ ใหเ้ ขา้ ใจไดจ้ ริง เห็นความจรงิ ทำได้จรงิ นำไปปฏิบตั ไิ ด้ผลจรงิ เป็นตน้ (องฺ.ติก. ๒๐/๕๖๕/๓๕๖) จ. ทำหนา้ ท่ีครตู ่อศษิ ย์ คอื ปฏิบัตติ ่อศษิ ย์ โดยอนุเคราะห์ตามหลกั ธรรม เสมือนเปน็ ทิศเบ้ืองขวา* ดงั นี้ ๑. แนะนำฝกึ อบรมใหเ้ ปน็ คนดี 3
๒. สอนใหเ้ ขา้ ใจแจ่มแจง้ ๓. สอนศิลปวทิ ยาใหส้ ิ้นเชิง ๔. สง่ เสริมยกย่องความดงี ามความสามารถให้ปรากฏ ๕. สร้างเครือ่ งคมุ้ ภยั ในสารทิศ คือ สอนฝกึ ศษิ ยใ์ ห้ใช้วิชาเลย้ี งชพี ไดจ้ รงิ และรจู้ ักดำรงตนดว้ ยดี ทีจ่ ะเป็นประกนั ใหด้ ำเนนิ ชีวติ ดีงามโดยสวสั ดี มีความสุขความเจรญิ ** (ที.ปา. ๑๑/๒๐๐/๒๐๓) 4
บทที่ ๒ หลักธรรมของผู้เล่าเรียนศกึ ษา (นักเรยี น นกั ศึกษา นกั คน้ คว้า) คนท่ีเล่าเรยี นศกึ ษา จะเป็นนกั เรียน นกั ศกึ ษา หรอื นักคน้ ควา้ ก็ ตาม นอกจากจะพงึ ปฏบิ ัติตามหลกั ธรรมสำหรับคนท่จี ะประสบ ความสำเรจ็ คอื จักร ๔* และอทิ ธบิ าท ๔* แลว้ ยงั มหี ลักการท่คี วรรู้ และ หลกั ปฏิบัตทิ ีค่ วรประพฤตอิ ีก ดังตอ่ ไปนี้ ก. ร้หู ลักบพุ ภาคของการศกึ ษา ข. มหี ลกั ประกันของชีวิตทพี่ ฒั นา ค. ทำตามหลกั เสริมสรา้ งปญั ญา ง. ศึกษาใหเ้ ปน็ พหสู ูต จ. เคารพผูจ้ ุดประทปี ปัญญา ก. ร้หู ลกั บุพภาคของการศึกษา คือ รูจ้ กั องคป์ ระกอบทีเ่ ป็น ปัจจัยแหง่ สมั มาทิฏฐิ ๒ ประการ ดงั น้ี ๑. องคป์ ระกอบภายนอกทด่ี ี ไดแ้ ก่ มกี ัลยาณมติ ร หมายถงึ รจู้ ัก หาผู้แนะนำสั่งสอน ทป่ี รกึ ษา เพอื่ น หนังสือ ตลอดจนสงิ่ แวดล้อมทาง สังคมโดยทว่ั ไปที่ดี ที่เกอื้ กูล ซ่ึงจะชักจงู หรือกระตนุ้ ให้เกิดปัญญาไดด้ ว้ ย การฟงั การสนทนา ปรกึ ษา ซกั ถาม การอ่าน การคน้ คว้า ตลอดจนการ ร้จู กั เลือกใชส้ ่ือมวลชนใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ๒. องคป์ ระกอยภายในทด่ี ี ได้แก่ โยนโิ สมนสกิ าร หมายถึง การใช้ ความคิดถกู วิธี รู้จักคดิ หรือคดิ เป็น คือ มองสิ่งทัง้ หลายดว้ ยความคดิ พจิ ารณา สืบสาวหาเหตผุ ล แยกแยะส่งิ นนั้ ๆ หรือปญั หานน้ั ๆ ออกใหเ้ หน็ 5
ตามสภาวะและตามความสมั พนั ธ์แหง่ เหตปุ ัจจัย จนเข้าถึงความจริง และ แก้ปญั หาหรือทำประโยชนใ์ หเ้ กิดข้นึ ได้ กล่าวโดยยอ่ วา่ ข้อหนึง่ รูจ้ กั พ่งึ พาใหไ้ ด้ประโยชนจ์ ากคนและสิง่ ท่ีแวดล้อม ขอ้ สอง ร้จู กั พงึ่ ตนเอง และทำตัวใหเ้ ป็นที่พงึ่ ของผ้อู นื่ (ม.มู. ๑๒/๔๙๗/๕๓๙) ข. มหี ลักประกันของชีวิตทพี่ ัฒนา เมอื่ รหู้ ลกั บุพภาคของการศึกษา ๒ อย่างแลว้ พงึ นำมาปฏิบตั ิใน ชวี ติ จริง พร้อมกับสร้างคณุ สมบัตอิ น่ื อกี ๕ ประการใหม้ ีในตน รวมเปน็ องค์ ๗ ที่เรียกวา่ แสงเงินแสงทองของชวี ิตท่ดี งี าม หรือ รุ่งอรณุ ของการศึกษา ท่ี พระพุทธเจา้ ทรงเปรยี บว่าเหมอื นแสงอรุณทเ่ี ป็นบพุ นมิ ิตแหง่ อาทิตย์อุทัย เพราะเป็นคุณสมบัตติ ้นทนุ ทเ่ี ป็นหลกั ประกนั ว่า จะทำใหก้ า้ วหน้าไปใน การศึกษา และชวี ิตจะพัฒนาส่คู วามดีงามและความสำเรจ็ ที่สงู ประเสริฐ อย่างแน่นอน ดังต่อไปน้ี ๑. แสวงแหล่งปัญญาและแบบอย่างทีด่ ี ๒. มวี ินยั เป็นฐานของการพัฒนาชวี ติ ๓. มีจิตใจใฝร่ ใู้ ฝ่สรา้ งสรรค์ ๔. มุ่งมั่นฝึกตนจนเตม็ สุดภาวะทคี่ วามเปน็ คนจะใหถ้ งึ ได้ ๕. ยดึ ถือหลกั เหตปุ ัจจยั มองอะไรๆ ตามเหตุและผล ๖. ตงั้ ตนอยใู่ นความไมป่ ระมาท ๗. ฉลาดคิดแยบคายให้ไดป้ ระโยชนแ์ ละความจรงิ 6
ค. ทำตามหลกั เสริมสรา้ งปญั ญา ในทางปฏบิ ตั ิ อาจสร้างปัจจยั แหง่ สมั มาทฏิ ฐิ ๒ อย่างขา้ งตน้ น้นั ได้ ดว้ ยการปฏบิ ตั ิตามหลกั วุฒธิ รรม* (หลกั การสร้างความเจริญงอกงามแหง่ ปัญญา) ๔ ประการ ๑. สัปปรุ ิสสังเสวะ เสวนาผรู้ ู้ คือ รจู้ กั เลือกหาแหล่งวิชา คบหา ทา่ นผ้รู ู้ ผู้ทรงคุณความดี มีภมู ิธรรมภมู ิปัญญานา่ นับถือ ๒. สทั ธมั มสั สวนะ ฟงั ดคู ำสอน คอื เอาใจใส่สดบั ตรับฟังคำ บรรยาย คำแนะนำส่งั สอน แสวงหาความรู้ ท้ังจากตวั บคุ คลโดยตรง และ จากหนังสอื หรอื สือ่ มวลชน ตั้งใจเลา่ เรยี น คน้ คว้า หม่ันปรกึ ษาสอบถาม ให้ เขา้ ถึงความรทู้ จ่ี รงิ แท้ ๓. โยนโิ สมนสกิ าร คิดให้แยบคาย คือ รู้ เหน็ ได้อ่าน ได้ฟังสง่ิ ใด กร็ จู้ กั คดิ พจิ ารณาดว้ ยตนเอง โดยแยกแยะให้เห็นสภาวะและสืบสาวให้เหน็ เหตผุ ลว่านัน่ คอื อะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจงึ เปน็ อย่างนนั้ จะเกดิ ผล อะไรตอ่ ไป มีข้อดี ข้อเสยี คุณโทษอย่างไร เปน็ ต้น ๔. ธรรมานธุ รรมปฏบิ ตั ิ ปฏบิ ัติใหถ้ กู หลกั นำส่ิงทไี่ ด้เล่าเรยี นรับ ฟังและตรติ รองเห็นชัดแลว้ ไปใช้หรือปฏิบัตหิ รอื ลงมือทำ ให้ถกู ตอ้ งตาม หลักตามความมงุ่ หมาย ใหห้ ลักยอ่ ยสอดคลอ้ งกับหลักใหญ่ ขอ้ ปฏบิ ัติย่อย สอดคล้องกับจดุ หมายใหญ่ ปฏิบัติธรรมอย่างร้เู ป้าหมาย เชน่ สันโดษเพ่ือ เก้อื หนนุ การงาน ไม่ใชส่ ันโดษกลายเปน็ เกยี จครา้ น เปน็ ต้น (อง.ฺ จตกุ ฺก. ๒๑/๒๔๘/๓๓๒) ง. ศกึ ษาให้เปน็ พหูสูต คอื จะศกึ ษาเลา่ เรยี นอะไร กท็ ำตนให้เปน็ พหูสตู ในดา้ นน้ัน ดว้ ย การสร้างความรู้ความเข้าใจใหแ้ จม่ แจง้ ชัดเจนถึงข้นั ครบ องค์คุณของ พหูสตู (ผ้ไู ด้เรยี นมาก หรือผคู้ งแก่เรยี น) ๕ ประการ คือ 7
๑. พหสุ ฺสุตา ฟงั มาก คอื เล่าเรยี น สดบั ฟงั รเู้ หน็ อา่ น สั่งสม ความรู้ในด้านนนั้ ไวใ้ ห้มากมายกวา้ งขวาง ๒. ธตา จำได้ คอื จับหลักหรอื สาระได้ ทรงจำเรือ่ งราวหรอื เน้ือหา สาระไว้ไดแ้ มน่ ยำ ๓. วจสา ปริจติ า คลอ่ งปาก คือ ท่องบ่น หรือใช้พดู อยู่เสมอ จน แคลว่ คล่องจดั เจน ใครสอบถามก็พดู ชี้แจงแถลงได้ ๔. มนสานเุ ปกขฺ ิตา เจนใจ คอื ใสใ่ จนกึ คิดจนเจนใจ นกึ ถึงครง้ั ใด ก็ปรากฏเนือ้ ความสว่างชัดเจน มองเหน็ โล่งตลอดไปทง้ั เร่อื ง ๕. ทิฏฺฐยิ า สุปฏวิ ทิ ธฺ า ขบได้ด้วยทฤษฎี คือ เข้าใจความหมายและ เหตุผลแจม่ แจง้ ลกึ ซ้ึง รทู้ ี่ไปทม่ี า เหตุผล และความสมั พนั ธข์ องเนือ้ ความ และรายละเอยี ดต่างๆ ทงั้ ภายในเรอ่ื งน้ันเอง และท่เี กีย่ วโยงกับเร่อื งอน่ื ๆ ในสายวชิ าหรือทฤษฎนี ้นั ปรโุ ปร่งตลอดสาย (องฺ.ปญจฺ ก. ๒๒/๘๗/๑๒๙) จ. เคารพผูจ้ ุดประทปี ปญั ญา ในด้านความสมั พนั ธก์ บั ครอู าจารย์ พงึ แสดงคารวะนบั ถือ ตาม หลกั ปฏบิ ตั ใิ นเรือ่ งทศิ ๖ ข้อวา่ ดว้ ย ทิศเบื้องขวา* ดังนี้ ๑. ลุกตอ้ นรบั แสดงความเคารพ ๒. เข้าไปหา เพอื่ บำรงุ รับใช้ ปรกึ ษา ซักถาม รบั คำแนะนำ เป็น ตน้ ๓. ฟังดว้ ยดี ฟังเป็น รู้จักฟังให้เกดิ ปญั ญา ๔. ปรนนิบัติ ช่วยบริการ ๕. เรยี นศลิ ปวทิ ยาโดยเคารพ เอาจรงิ เอาจัง ถอื เปน็ กิจสำคัญ (ท.ี ปา. ๑๑/๒๐๐/๒๐๓) 8
บรรณานุกรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต). ธรรมนูญชวี ติ . มหาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลยั , กรุงเทพฯ : ๒๕๔๐. 9
ภาคผนวก ......................................................................... ..................................................................... 10
แนะนำผเู้ ขียน ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………. 11
12
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: