ระเบง็
ระเบ็งเป็นการละเล่นในชุดพระราชพิธีท่ีแปลกกว่าอย่างอ่ืน คือ แสดงเป็นเร่ือง มาจากเทพนยิ าย เน้อื ร้องกลา่ วถงึ เทวดามาบอกให้บรรดากษัตริย์ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนครไป เขาไกรลาส ระหว่างเดินทางก็เดินชมนกชมไม้ไป จนพบพระกาลมาขวางทางไว้ กษัตริย์เหล่าน้ันไม่รู้จักก็ไล่ให้หลีกทางไป เง้ือธนูจะยิง พระกาลกริ้วมาก จึงสาปให้สลบ แล้วพระกาลเกิดสงสารจึงถอนคาสาปใหV้ฟ้ืนดังเดิม แล้วขอร้องให้กลับเมืองดังเดิม กษตั รยิ ์ก็เชอื่ ฟังกลบั เมอื ง ระเบงหรือระเบง็ สันนิษฐานว่าเปน็ การแสดงทไี่ ทยเรารบั อิทธพิ ลความเชือ่ ในเร่อื ง ของเทพเจ้ามาจากอินเดีย ต่อมาไทยเราได้พัฒนาปรับปรุงให้เป็นการละเล่นของไทยเอง บางครั้งเรียกการแสดงนี้ว่า “โอละพ่อ” ซ่ึงเป็นการเรียกตามบทร้องที่เกิดขึ้นต้น แตล่ ะวรรค ระเบงหรือระเบ็ง จะจัดแสดงในงานสมโภชพระราชพิธีโสกันต์ เพราะมีการสร้าง เขาพระสุเมรุหรือเขาไกรลาสจาลองด้วย โดยพระมหากษัตริย์ทรงแต่งพระองค์ อย่างเทวดาสมมุติเป็นองค์พระอิศวร ทรงจูงพระกรพระราชโอรสหรือพระราชธิดาเสด็จ ข้ึนไกรลาส การเล่นระเบงหรือระเบ็งนี้ กรมศิลปากรเคยจัดแสดงที่โรงละคร เมื่อวันท่ี ๒๕ มีนาคม ถึง ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยจดั ระเบยี บเสยี ใหม่ เปน็ ๕ ตอน โดยเชอื่ ว่า เทวดาที่มาพบนั้น เป็นพระขันธกุมารมากกว่าจะเป็นพระกาล ท่ีจัดไว้ ๕ ตอน และปรับปรุงเน้ือร้องของเดิมท่ีพระยาเทวาธิราชถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา นุวัตติวงศไ์ ว้
ลักษณะการแสดงคล้ายกับการแสดงละครคือ มีการดาเนิน เรอื่ งราวโดยตวั ละครสองฝา่ ยได้แก่ ฝ่ายกษัตริยร์ ้อยเอด็ เจด็ พระนคร ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยผูแ้ สดง 8-10 คน และฝา่ ยพระขนั ธกุมารหรอื พระกาล มีผ้แู สดง 1 คน เปน็ เรือ่ งราวเกีย่ วกับการเดินทางไปรว่ มงานโสกันต์ทเ่ี ขา ไกรลาสของบรรดากษัตรยิ ร์ ้อยเอด็ เจด็ พระนครด้วย และไดพ้ บพระขันธกมุ ารหรอื พระกาลระหว่างการเดินทาง ซ่ึงระหว่างการเดินทางเกิดการปะทะกัน ฝ่ายกษัตริย์ ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนครจึงแผลงศรฆ่าพระขันธกุมารหรือพระกาลเสีย แต่ถูกสาปให้สลบ เสียกอ่ น ภายหลังพระขนั ธกมุ ารหรือพระกาลเกิดความสงสารจึงชบุ ชีวติ ใหฟ้ น้ื แล้วปล่อย ให้กบั บ้านเมืองของตนไป ตวั อยา่ งวดิ โี อลกั ษณะการแสดง
สาหรับการแต่งกายของผู้แสดงระเบ็งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ชาววังฝ่ายใน ซึ่งเป็นสตรีเล่นระเบ็งเลียนแบบผู้ชาย โดยนุ่งผ้าลายทับสนับเพลา สวมเส้ือผ้ามัสหรู่แขนยาว มีผ้าเข้มขาบไหมคาดเอว ศีรษะสวมเทริดลงรักปิดทอง มือขวาถือลูกศร มือซ้ายถือคันธนู มีการตีฆ้องสามใบเถา ซ่ึงเรยี กว่า ฆอ้ งระเบ็ง เปน็ จังหวะสาหรับการร้องและการรับพร้อมกับยกขาเต้นก้าวเดินตาม ไปดว้ ย มอื ก็ตีลกู ศรกับคันธนู รVิ ย์ สรุปง่ายก็คื อ ผู้เล่น เ ป็ น ก ษั ต น้ อ ย ใ ห ญ่ แ ต่ งก ายเหมือน กั นทุ ก ค น น่งุ สนับเพลา นุง่ ผา้ เกยี้ ว สวมเสอื้ คอต้งั แขนยาว ปล่อยชายไว้นอกผ้านุ่ง มีผ้าคาดพุง ศีรษะ สวมเทริด มอื ถือธนู ผู้เล่นเป็นพระกาลแต่งกายได้ ๒ แบบ คือ เครื่องแต่งตัวเหมือนผู้เล่นเป็นกษัตริย์ น้อยใหญ่ สวมเสื้อครุยทับ ศีรษะสวมลอมพอก (ชฎาเทวดาตลก สีขาว ยอดแหลมสูง) หรือแต่งตัวยืนเครอ่ื ง ทรงเคร่ืองเหมือนกษตั รยิ ์ในละครรา แตไ่ มส่ วมเสือ้ -อาวธุ ทใี่ ชใ้ นการแสดง- คนั ศร ลูกศร
ท่าราในการแสดงมีอยู่ 2 ท่าราได้แก่ ท่าตีลูกศรบนคันศร และท่าถือลูกศรแขน ถึงระดบั เอวของกษัตรยิ ์รอ้ ยเอด็ เจ็ดพระนครที่ระหว่างเดินทางไปเขาไกรลาส ลักษณะท่ารา ของพระขันธกุมารหรือพระกาลเป็นท่าทางท่ีมุ่งเน้นความตลกขบขัน ลักษณะท่าราสาคัญ ใขนอตงกัวาลระแคสรตดัวงรพะรเะบข็งอคงืลอะคการรไยทกยเทแ้าตห่ในนีบขณน่อะVทงซ่ีย่ึงกผนู้แั้นสจดะปงจฏะิบยัตกิกเรทิย้าาขท้ึนี่เดร้าียนกขว้า่างกแารบหบนยีบกนเท่อ้งา คอื การยกขาท่อนล่างขน้ึ ให้หนีบติดกบั ขาท่อนบนแต่ไมใ่ ห้หนา้ ขานน้ั ยกสงู จนเกินไป ท่าตลี กู ศรบนคนั ศร ทา่ ทา่ ถอื ลกู ศรแขนถงึ ระดบั เอว
การละเล่นในสมัยก่อนใช้ฆ้องสามใบเถาเรียกว่า “ฆ้องระเบ็ง” ตีรับ ท้ายคาร้องทุกๆวรรคโดยตีลูกเสียงสูงมาหาต่าจากต่ามาหาสูงปรากฏ ในพระราชนิพนธ์โคลงดั้นเร่ือง “โสกันต์” ต่อมาใช้ปี่พาทย์บรรเลง เร่ิมต้น จะบรรเลงเพลง “แทงวิสัย” ซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะกับการเต้นของผู้เล่น เป็นกษัตริย์น้อยใหญ่ ซ่ึงจะมีจานวนเท่าไรก็ได้ให้พอกับเวทีหรือสนามที่เล่น เมื่อเต้นปลายสุดเวที ผู้เล่นท่ีอยู่ หัวแถวจะร้องต้นบทว่า “โอละพ่อถวาย บงั คม”ผูเ้ ล่นทั้งหมดจะร้องรับพร้อมๆกันว่า “โอละพ่อถวายบังคม” ผู้เล่นทาท่า ถวายบงั คมไปด้วยเป็นการราถวายบงั คมพระเจ้าแผน่ ดิน ต่อจากราถวายบังคม แล้วผู้เล่นจะแปรแถวอย่างเป็นระเบียบแล้วผู้เล่นก็ร้องบทต่อไปลุกข้ึนเต้น ปากก็ร้องบทไปเรื่อยๆ เมื่อยกขาขวาจะทาท่าเอาลูกธนูตีลงไปบนคันธนูวางขา ขวายกขาซ้าย เหยียดมือขวาออกไปข้างตัวจVนสุดแขนเป็นท่าง้างธนูจนกระทั่ง มาพบพระกาล ฆ้องระเบง็ กลองทดั ป่ี ระนาด ฆ้องวง ฉิ่ง ตะโพน วงศป์ พ่ี าทยเ์ ครอื่ งหา้
โอละพอ่ ขอถวายบังคม โอละพอ่ เทวนั มาบอก โอละพ่อพรอ้ มกันทง้ั ปวง โอละพอ่ ประนมกรท้งั ปวง โดละพ่อกลบั ซ้ายไปขวา โอละพ่อกลบั ขวามาซ้าย โอละพ่อบวั ตมู ทั้งปวง โอละพอ่ บัวบานทงั้ ปวง โอละพ่อกลบั หนา้ เปนหลัง โอละพ่อกลับหลงั เปนหนา้ โอละพอ่ จะไปไกรลาศ โอละพอ่ ขวางหนา้ อย่ใู ย (มซี า้ ) โอละพ่อยกออกจากเมือง รักแก้วข้าเอยจะไปไกรลาศ รกั พ่ขี ้าเอยจะไปไกรลาศ รักน้องขา้ เอยจะไปไกรลาศ V รักพี่ขา้ เอยจะไปชมนก รกั นอ้ งขา้ เอยจะไปชมนก รกั แกว้ ข้าเอยจะไปชมนก รักนอ้ งขา้ เอยจะไปชมไม้ รกั พข่ี ้าเอยจะไปชมไม้ รกั แก้วขา้ เอยจะไปชมไม้ โอละพ่อขวางหน้าอยใู่ ย โอละพอ่ หลกี ไปให้พ้น โอละพ่อตง้ั ตะบะทง้ั ปวง โอละพอ่ โก่งศรท้งั ปวง โอละพอ่ แผลงศรทั้งปวง
1.นายธีระวิทย์ สิทธิวงศ์ เลขท1่ี 2.น.ส.กมลชนก ด่างเกษี เลขท2่ี 3.น.ส.กัญญารตั น์ พรมเสน เลขที่3 4.น.ส.จุฑารตั น์ อินทรแ์ ก้ววงศ์ เลขท4่ี 5.น.ส.อรณชิ า สขุ ป้อม เลขท5่ี 6.นายธนะพฒั น์ จนั ทราช เลขที่7 7.นายณฐั ภูมิ ปVระจนั ศรี เลขท2ี่ 0 8.นายธิตสิ รณ์ จันทรข์ าว เลขท2่ี 1 9.นายภรู ิภทั ร์ โท่นออ๊ ด เลขท2ี่ 2 10.น.ส.กรัณฑรัตน์ ปิงธิ เลขที่27 11.นายสุพิวัฒน์ อตุ ระ เลขที่30
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: