Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 1 แนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล

บทที่ 1 แนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล

Published by chananan52, 2016-07-05 05:08:19

Description: บทที่ 1 แนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล

Keywords: MT2016.com

Search

Read the Text Version

วิชา แนวคิดพืน้ ฐาน ทฤษฎีและกระบวนการพยาบาล สาหรับนักศึกษาชน้ั ปี 1 บทที่ 1 แนวคิดสาคญั ที่เกีย่ วข้องกบั การพยาบาลสำระกำรเรียน 1.1 ภำวะสุขภำพกับกำรเจบ็ ป่วย (Health and Illness) 1.1.1 ภำวะสขุ ภำพ 1.1.2 กำรเจบ็ ป่วยและปฏิกิริยำตอบสนองเมือ่ เจบ็ ป่วย 1.1.3 ควำมตอ่ เนือ่ งของสุขภำพและควำมเจ็บป่วย 1.2 ควำมหมำยของกำรพยำบำล จริยธรรม และจรรยำบรรณวิชำชีพกำรพยำบำล 1.3 กำรดูแลแบบองค์รวม (Holistic Care)บทนำ กำรมีสุขภำพอนำมัยดี เปน็ ควำมจำเป็นของชีวิตมนษุ ย์ บุคคลพึงได้รบั สิทธิข้นั พื้นฐำนจำกบริกำรที่ดีเพอื่ สขุ ภำพอนำมัยในสงั คม บุคคลทีม่ ีสขุ ภำพอนำมยั ดี เป็นผ้ทู ี่มีควำมสุขในชีวติ และสำมำรถทำประโยชน์ให้แก่สังคมเนื่องจำกกำรมีภำวะสขุ ภำพอนำมยั ดีนี้ชี้บง่ ถึงควำมสำมำรถของบุคคลในกำรผสมผสำนกำรทำงำนภำยในของร่ำงกำย จิตใจ และสังคมทุกสว่ นเข้ำด้วยกัน เปน็ ของทงั้ บุคคล และตอบสนองต่อสิง่ แวดล้อมโดยรกั ษำภำวะสมดุลไว้ได้ กำรมีสุขภำพอนำมัยดีทำให้บุคคลดำเนนิ ชีวิตอย่อู ย่ำงมีคณุ ภำพ ซึง่เปน็ กำรใช้พลงั ควำมสำมำรถภำยในของบคุ คลโดยเตม็ ที่ในกำรกระทำกิจกรรมต่ำง ๆ ในชีวิตให้สำเร็จลชุ ่วงไปได้ด้วยดี เมือ่ บคุ คลประสบควำมสำเร็จในกำรดำเนนิ ชวี ิต ย่อมส่งผลให้มีควำมสขุ มีควำมสมปรำรถนำในชีวิตทั้งในหน้ำที่ กำรงำน กำรเล่น กำรพกั ผ่อนหย่อนใจ กำรศึกษำ ตลอดจนมีฐำนะทำงเศรษฐกิจดีและชีวิตครอบครวั ทีส่ มหวัง นอกจำกจะได้ประโยชน์ในด้ำนสว่ นบคุ คล ครอบครัวแล้ว สงั คมและประเทศชำติยังได้รบัประโยชน์ในทำงดีเช่นกนั กล่ำวคือบคุ คลที่มีสขุ ภำพอนำมยั ดี สำมำรถอย่รู ่วมกับผ้อู ื่นได้อย่ำงมีควำมสุข มีศกั ยภำพในกำรทำงำนและกำรเรียนร้ไู ด้สูง ปฏิบตั ิงำนในหน้ำทีใ่ ห้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้มำก ดังน้นั ภำวะสุขภำพอนำมยั ของประชำชนทีด่ ี ย่อมส่งผลให้ประชำชนมีกำรศึกษำดีและเศรษฐกิจของประเทศชำติดีเชน่ กนั 1.1 ภาวะสขุ ภาพกับการเจ็บป่วย( Health and Illness ) ภำวะสขุ ภำพและควำมเจบ็ ป่วยมีผใู้ ห้คำจำกัดควำมไวต้ ่ำงๆกัน ซึ่งในอดีตมมุ มองของสงั คมตะวันตกอธบิ ำยว่ำ สุขภำวะหรือภำวะสขุ ภำพคือกำรปรำศจำกโรค ไม่มีควำมเจบ็ ป่วย แต่ปัจจุบนั ในยคุ ปฏิรูประบบสุขภำพ กำรดแู ลสขุ ภำพและกำรส่งเสริมสุขภำพเปน็ สงิ่ ที่ดีที่สดุ แนวคิดในกำรให้ควำมหมำยของภำวะสขุ ภำพจึงเปลีย่ นแปลงกว้ำงขวำงมำกขึน้ โดยแท้ที่จริงแล้ว สขุ ภำพของคนนนั้ ประกอบด้วย 2 ภำวะ คือ ภำวะสขุ ภำพดี (Wellness) และกำรเจ็บป่วย (Illness) ในทีน่ ี้กำรกล่ำวถึงสุขภำพจะครอบคลุมท้ังภำวะสุขภำพดีและเจบ็ ป่วย 1.1.1 ความหมายของภาวะสขุ ภาพ คำว่ำ “สุขภำพ” หรือ “Health” มีรำกศัพท์มำจำกภำษำเยอรมันว่ำ “Hoelth” มีควำมหมำยเกี่ยวข้องกับ ควำมปลอดภัย (Safe) ไม่มีโรค (Sound) และท้ังหมด (Whole)ซึง่ ควำมหมำยรวม 3 ประกำรน้ี คือแนวคิดสำคัญทเี่ กี่ยวขอ้ งกับกำรพยำบำล โดย มนทรำ ตั้งจิรวฒั นำ

2ควำมปลอดภัย ควำมไม่มีโรค หรือทั้งควำมปลอดภัยและควำมไม่มีโรค กำรพิจำรณำสุขภำพจึงต้องมองในหลำยมิติ อย่ำงเชื่อมโยงกับเรื่องต่ำงๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม ครอบครัว ชุมชน วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมกำรเมือง กำรศึกษำ ฯลฯ เพื่อนำไปสู่ควำมสมดุล ทำให้เกิดสุขภำวะที่สมบูรณ์อย่ำงไรก็ตำมนักวิชำกำรหลำยท่ำนรวมท้ังองค์กำรอนำมัยโลก (WHO) ได้ให้ควำมหมำยของภำวะสุขภำพแตกต่ำงกัน ซึ่งควำมหมำยของภำวะสุขภำพที่แตกต่ำงกันน้ีจะนำไปสู่เป้ำหมำยและวิธีกำรกระทำเพื่อสุขภำพที่แตกต่ำงกันทั้งน้ีขึ้นอยู่กับประสบกำรณ์ และกำรรบั รู้ของแต่ละบุคคล ดังต่อไปนี้ คือ องค์กำรอนำมัยโลก (1986) ภำวะสุขภำพหมำยถึง “Health is a state of complete physical,mental, social and spiritual well – being and not merely the absence of disease or infirmly”ซึ่ง ศ.น.พ. ประเวศ วะสี กล่ำวว่ำ คำนิยำมน้ีมีควำมครอบคลุมและลึกซึ้ง เป็นอุดมคติหรืออุดมกำรณ์ของมนษุ ยชำติ จดู ิธ สมธิ (Smit, 1981) ได้รวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับภำวะสุขภำพไว้ 4 รูปแบบ คือ 1) แบบจำลองทำงคลินิก (Clinical Model) เป็นแบบจำลองทำงกำรแพทย์ โดยมีควำมเชื่อว่ำเมื่อใดก็ตำมที่บุคคลได้รับกำรแก้ไขควำมเจ็บปวด อำกำรของโรคหรือไม่ปรำกฏอำกำรทั้งทำงร่ำงกำยและจิตใจอีกต่อไป นั่นคือบุคคลน้ันได้รบั กำรรกั ษำหรือคงไว้ซึ่งภำวะสขุ ภำพ 2) แบบจำลองกำรทำหน้ำที่ตำมบทบำท (Role – Performance Model) กล่ำวว่ำ ภำวะสุขภำพคือควำมสำมำรถในกำรทำหน้ำที่ตำมบทบำทได้ตำมปกติ หรือแม้ว่ำบุคคลที่มีควำมเจ็บป่วยแต่สำมำรถทำหน้ำที่ได้ตำมปกติกน็ ับได้ว่ำบุคคลน้นั มีภำวะสุขภำพทีด่ ีเช่นกนั 3) แบบจำลองกำรปรับตัว (Adaptive Model) กล่ำวว่ำ ภำวะสุขภำพคือ กำรที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทุกๆ ด้ำนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ อย่ำงไรก็ตำมแม้ว่ำบุคคลจะมีควำมเจ็บป่วยเกิดขึ้น แต่สำมำรถปรบั ตวั ให้ชีวิตดำเนินอย่ใู นสิง่ แวดล้อมได้อย่ำงมีประสิทธิภำพก็นบั ได้ว่ำบุคคลน้นั เป็นบุคคลทีม่ ีสุขภำพดี 4) แบบจำลองสขุ สมบรู ณ์ คือ กำรมีควำมผำสุกในชีวติ (Well – being) และกำรตระหนกั รู้เกยี่ วกบัตนเอง (Self –realization) เปน็ แบบจำลองที่มีควำมสอดคล้องกบั ทฤษฎีควำมต้องกำรพ้ืนฐำนของมำลโลว์ ศ.น.พ.ประเวศ วะสี ได้อธิบำยถึงควำมหมำยของคำนิยำมของภำวะสขุ ภำพไว้ ดังน้ี “สขุ ภำพ หมำยถึง สขุ ภำวะทีส่ มบูรณ์ของทำงกำย ทำงจิต ทำงสงั คม และทำงจิตวิญญำณ” - สุขภำวะที่สมบูรณ์ทำงกำย หมำยถึง ร่ำงกำยที่สมบูรณ์ แข็งแรง คล่องแคล่ว มีกำลัง ไม่เป็นโรค ไม่พิกำร มีเศรษฐกิจหรือปัจจัยที่จำเป็นพอเพียง ไม่มีอันตรำย มีสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภำพ คำว่ำกำยในที่น้ีหมำยถึงทำงกำยภำพด้วย - สุขภำวะที่สมบูรณ์ทำงจิต หมำยถึง จิตใจที่มีควำมสุข รื่นเริง คล่องแคล่ว ไม่ติดขัด มีควำมเมตตำสัมผัสกับควำมงำมของสรรพสิ่ง มีสติ มีสมำธิ มีปัญญำ รวมถึงกำรลดควำมเห็นแก่ตัวลงไปด้วย เพรำะตรำบใดที่มีควำมเห็นแก่ตวั ก็จะมีภำวะสมบรู ณ์ทำงจิตไม่ได้ - สุขภำวะทำงจิตสังคม หมำยถึง มีกำรอยู่ร่วมกันด้วยดี มีครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมมีควำมยุติธรรม มีควำมเสมอภำค มีภรำดรภำพ มีสันติภำพ มีควำมเป็นประชำสังคม มีระบบบริกำรที่ดี และระบบบริกำรที่เป็นกิจกำรทำงสงั คม - สุขภำวะที่สมบูรณ์ทำงจิตวิญญำณ หมำยถึง สุขภำวะที่เกิดขึ้นเมือ่ ทำควำมดี หรือจิตสมั ผัสกับสิ่งที่มีค่ำอันสูงส่งหรือสิ่งสูงสุด เช่น กำรเสียสละ กำรมีควำมเมตตำกรุณำ กำรเข้ำถึงพระรัตนตรัย หรือกำรเข้ำถึง

3พระผู้เปน็ เจ้ำ เป็นต้น ควำมสขุ ทำงจิตวิญญำณเป็นควำมสขุ ที่ไม่อยู่บนควำมเห็นแก่ตัว แต่เป็นสุขภำวะที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์หลุดพ้นจำกควำมมีตัวตน จึงมีอิสรภำพ มีควำมผ่อนคลำยอย่ำงยิ่ง สบำยอย่ำงยิ่ง สุขภำพดีอย่ำงยิ่งมีผลดีต่อสขุ ภำพทำงกำย ทำงจิต และทำงสงั คม นอกจำกนี้ยงั มีผ้ทู ีใ่ ห้ควำมหมำยนิยำมของสขุ ภำพไว้อีก เช่น สุขภำพ เป็นควำมสำมำรถของบุคคลที่จะทำหน้ำที่ต่ำง ๆ ได้อย่ำงเต็มควำมสำมำรถปลอดภัยจำกควำมเจ็บป่วยและกำรเกิดโรค สำมำรถรักษำสมดุลระหว่ำงควำมต้องกำรของตนกับควำมต้องกำรของสงั คมได้ มีควำมสุข สบำยและพึงพอใจ (Blum,1981) สุขภำพ เป็นภำวะที่เกิดขึ้นในบุคคลอย่ำงต่อเนื่อง มีกำรเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ซึ่งสำมำรถเกิดกำรเปลี่ยนแปลงไปได้ ต้ังแต่กำรมีภำวะสขุ ภำพดีสูงสดุ ของบุคคลไปจนถึงมีภำวะทีม่ ีกำรเจ็บป่วยรุนแรงและถึงเสียชีวิตได้ (Joos, 1985) สุขภำพ เป็นภำวะที่มีควำมสมบูรณ์ท้ังทำงโครงสร้ำงและกำรทำหน้ำที่ของทั้งร่ำงกำยและจิตใจของบคุ คล (Orem, 1985) สุขภำพ หมำยถึงควำมสำมำรถของบุคคลในกำรที่จะปรับตัวต่อกำรเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตและเป็นควำมรับผิดชอบของบุคคลทีจ่ ะทำนุรำบุงรกั ษำสุขภำพของตนให้มีสขุ ภำพดี (Barne, 1987) กล่ำวได้ว่ำ วิวัฒนำกำรกำรให้ควำมหมำยของคำว่ำ ภำวะสขุ ภำพ มีกำรเปลีย่ นแปลงไปตำมยุคสมัยเนื่องจำกองค์ประกอบที่มีผลกระทบต่อสุขภำพมีหลำยอย่ำงและมีกำรเปลี่ยนแปลง ประกอบกับสุขภำพเป็นภำวะที่มีควำมต่อเนื่อง และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลำ เพื่อให้เกิดภำวะที่มีควำมสมดุลของร่ำงกำย จิตใจอำรมณ์ สังคม และจิตวิญญำณ ตลอดจนมีวุฒิภำวะที่เหมำะสม สำมำรถปรับตัวเข้ำกับสิ่งแวดล้อม และสำมำรถดำรงชีวิตอย่ใู นสังคมได้อย่ำงมีควำมสขุ อย่ำงไรก็ตำมในระยะหลงั กำรให้ควำมหมำยของภำวะสุขภำพมีองค์ประกอบที่ถูกอ้ำงอิง หรือกล่ำวถึงมำกที่สุดเกี่ยวข้องกับสุขภำวะ 3 ด้ำน ได้แก่ ด้ำนร่ำงกำย จิตใจและสังคม ต่อมำศำสตรำจำรย์นำยแพทย์ประเวศ วะสี ได้พิจำรณำบริบทในสังคมไทย จึงได้เพิ่มสุขภำวะทำงจิตวิญญำณเข้ำไปแนวคิดในกำรดแู ลสขุ ภำพตนเอง เกีย่ วกบั แนวคิดในขอบเขตกำรดูแลสุขภำพตนเองมี 2ลักษณะดงั น้ี 1. การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ กำรดแู ลตนเองเพือ่ สขุ ภำพอนำมัยทีด่ ีให้มีสุขภำพทแี่ ขง็ แรงอย่เู สมอเปน็ พฤติกรรมที่ทำขณะที่มีสขุ ภำพแข็งแรงโดยมี 2 ลกั ษณะคือ 1.1 กำรดูแลสร้ำงเสริมสขุ ภำพ (Health Maintenance) คือพฤตกิ รรมทีจ่ ะรักษำสขุ ภำพให้แขง็ แรงปรำศจำกกำรเจบ็ ป่วยสำมำรถดำเนินชีวติ อย่ำงปกติสุขและพยำยำมหลีกเลีย่ งจำกอนั ตรำยต่ำงๆทีจ่ ะส่งผลต่อสขุ ภำพเช่นกำรออกกำลงั กำยกำรมีสขุ วิทยำส่วนบคุ คลทดี่ ีกำรควบคมุ อำหำรกำรไม่ดืม่ สรุ ำไม่สูบบุหรี่อันเป็นพฤติกรรมของประชำชนที่กระทำอย่ำงสม่ำเสมอในขณะที่มีสขุ ภำพแข็งแรง 1.2 กำรป้องกนั โรค (Disease Prevention) เป็นพฤติกรรมที่กระทำโดยมุ่งที่จะป้องกนั ไม่ให้เกิดควำมเจ็บป่วยหรือโรคต่ำงๆ เช่น กำรไปรบั ภมู ิคุ้มกันโรค ฯลฯ โดยแบ่งระดบั ของกำรป้องกนั โรคไว้ 3 ระดับคือ 1.2.1 กำรป้องกันโรคเบ้อื งต้น (Primary Prevention) เช่น กำรได้รบั ภูมิคุ้มกัน 1.2.2 กำรป้องกนั ควำมรนุ แรงของโรค (Secondary Prevention) เป็นระดบั ของกำรป้องกันทมี่ ุ่งขจดั โรคให้หมดไปก่อนทีอ่ ำกำรของโรคจะรนุ แรงขึ้น

4 1.2.3 กำรป้องกันกำรระบำดของโรค (Tertiary Prevention) เป็นระดบั ของกำรป้องกนั ทมี่ ีเปำ้ หมำยต้องกำรยับย้งั กำรแพร่กระจำยของโรคจำกผ้ปู ่วยไปส่คู นอื่นๆ 2. การดแู ลตนเองเมือ่ เจบ็ ป่วย กำรดแู ลสุขภำพตนเองของแต่ละบุคคลเมื่อเจบ็ ป่วยหมำยถึงพฤตกิ รรมของบุคคลที่เกิดขึ้นต้งั แตบ่ ุคคลตระหนักและประเมินเกี่ยวกบั อำกำรผิดปกตติ ลอดจนตัดสินใจที่จะกระทำใดๆลงไปเพื่อตอบสนองอำกำรผิดปกติส่วนกำรกระทำน้นั มีต้งั แต่กำรรกั ษำอำกำรผิดปกติด้วยตนเองหรือแสวงหำคำแนะนำหรือกำรรกั ษำจำกผ้อู ื่นและครอบครวั เครือข่ำยสังคมตลอดจนบคุ ลำกรสำธำรณสุขดงั นน้ั เมือ่ บุคคลตระหนักและรบั ร้คู วำมรนุ แรงของกำรเจ็บป่วยบคุ คลจะมีพฤตกิ รรมกำรดูแลกำรเจ็บป่วยอยู่ 4 แบบคือ 1. กำรตดั สินใจไมท่ ำอะไรเลยเกีย่ วกบั อำกำรผิดปกติ 2. กำรใช้ยำรกั ษำตนเองซึง่ อำจเปน็ กำรซ้อื ยำกินเองกำรใช้ยำกลำงบ้ำน 3. กำรรักษำตนเองโดยวิธีต่ำงๆทีไ่ ม่ใช่กำรใช้ยำเชน่ กำรนอนพักและดืม่ น้ำอ่นุ เมอื่เริม่ ร้สู ึกตัวเปน็ หวัดกำรลดกำรสูบบุหรีเ่ มือ่ รู้สึกเจ็บหน้ำอก 4. กำรตัดสินใจไปหำบคุ ลำกรสำธำรณสขุ ในกระบวนกำรของกำรตดั สินใจทีจ่ ะเขำ้ รับกำรรกั ษำแม้ว่ำผ้ปู ่วยจะให้กำรยอมรับในบทบำทผ้ปู ่วยโดยให้แพทย์เปน็ ผู้วินิจฉยั และทำกำรรักษำตลอดจนแนะนำวิธีกำรปฏบิ ตั ิตัวต่ำงๆแต่บุคคลเป็นผ้ตู ดั สินใจที่จะเลือกทำตำมคำแนะนำของแพทยห์ รือเปลี่ยนแปลงกำรดูแลรักษำได้นอกจำกนนั้ ผปู้ ่วยยงั เปน็ ผปู้ ระเมินกำรรักษำของแพทย์ว่ำทำให้ตนหำยป่วยแล้วหรือไม่และควรหยุดกำรรกั ษำเมื่อใดลกั ษณะของบุคคลทีม่ ีสขุ ภำพดี 1. สขุ ภำพทำงกำย (Physical Health) ที่ดีสำมำรถพิจำรณำได้จำกรำ่ งกำยมีควำมสมบรู ณ์และแขง็ แรงระบบต่ำงๆและอวยั วะทุกส่วนทำงำนเปน็ ปกติและมีประสิทธภิ ำพสำมำรถพกั ผ่อนและนอนหลบั ได้ตำมปกติ 2. สุขภำพทำงจิต (Mental Health) ที่ดีสำมำรถพจิ ำรณำได้จำกมีอำรมณ์ม่นั คงและควบคมุ อำรมณ์ได้ดีมีอำรมณ์ขันไม่เครง่ เครียดจนเกินไปมองโลกในแง่ดีมีควำมเชือ่ ม่ันในตนเอง เปน็ ตน้ 3. กำรสุขภำพทำงสังคม (Social well – being) ทีด่ ีสำมำรถพิจำรณำได้จำก กำรที่บุคคลสำมำรถปรบั ตวั เข้ำกบั สิง่ แวดล้อมและดำรงชีวิตอย่ใู นสังคมได้อย่ำงมีควำมสขุปัจจัยทมี่ ีอิทธพิ ลต่อสขุ ภำพ (Factors affecting Health) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขภำพของบุคคลมีหลำยประกำร อำจแบ่งเป็นปัจจัยด้ำนร่ำงกำย ด้ำนอำรมณ์และด้ำนสังคม หรือแบ่งเป็นปัจจยั ภำยใน และปัจจัยภำยนอก พยำบำลจะต้องทำควำมเข้ำใจว่ำมีปัจจยั ใดบ้ำงที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสุขภำพอนำมัย เพื่อให้กำรพยำบำลได้ตรงกับปัญหำและควำมต้องกำรของผ้ปู ่วยมำกทีส่ ดุ 1. ปัจจัยทำงด้ำนร่ำงกำย (Physical Factor)ที่มีอิทธิพล เช่น ยีนส์ที่ได้รับจำกกำรถ่ำยทอด อำยุพัฒนำกำร เชื้อชำติ และเพศที่แตกต่ำงกัน รวมทั้งพฤติกรรมกำรดแู ลสขุ ภำพ และกำรปรับตัวต่อภำวะคุกคำมภำยนอก เช่น วัยทำรกร่ำงกำยยังไม่สำมำรถปรับตัวต่อสิ่งที่มำคุกคำมได้ทัน เกิดกำรเจ็บป่วยได้ง่ำย หรือผ้สู ูงอำยุ มีกำรทำงำนของอวยั วะต่ำงๆเสื่อมลง ควำมต้ำนทำนลดลง จึงเสี่ยงต่อกำรเจ็บป่วยได้ง่ำย

5 2. ปัจจัยทำงด้ำนอำรมณ์ (Emotion Factor) มนุษย์เป็นหน่วยเดียวหรือเป็นองค์รวมที่เรียกว่ำ Holisticหรือ Unified whole ไม่อำจแยกร่ำงกำยและจิตใจได้ เช่น ก่อนจะเข้ำห้องสอบจะมีควำมเครียด บำงคนอำจมีอำกำรท้องเสีย เป็นต้น 3. ปัจจัยทำงด้ำนสังคม (Social Factor) ครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม ภูมิอำกำศ วัฒนธรรม ประเพณีค่ำนิยม เศรษฐกิจ รวมถึงบุคคลที่อยู่รอบข้ำงเมื่อสังคมมีกำรเปลี่ยนแปลงแล้วบุคคลไม่สำมำรถปรับตัวได้ จะส่งผลให้บุคคลน้ันเกิดควำมเครียด ก่อให้เกิดปัญหำทำง ด้ำนจิตใจและเกิดกำรเจ็บป่วยทำงด้ำนร่ำงกำยตำมมำหรือบุคคลที่อยู่ในสังคมจะที่มีแบบแผนกำรดำรงชีวิตที่แตกต่ำงกัน มีภำวะสุขภำพและกำรเจ็บป่วยที่แตกต่ำงกัน เช่น คนที่เติบโตในชุมชนเมืองชีวิตต้องมีกำรแข่งขันสูง มีผลต่อแบบแผนกำรรับประทำนอำหำร อำจต้องทำนอำหำรเร่งด่วนเป็นอำหำรม้ือเช้ำ ซึ่งพบว่ำคนกลุ่มน้ีมีโอกำสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองได้มำกกว่ำบคุ คลทีอ่ ำศัยอย่ใู นชนบท เป็นต้น หรืออำจแบ่งเปน็ ปจั จัยภำยในและปจั จัยภำยนอก 1. ปจั จยั ภำยใน หมำยถงึ ปัจจยั ภำยในบุคคลน้นั ๆ แบ่งออกเปน็ 1.1 ปจั จัยทำงกำย คือ พนั ธกุ รรม เชื้อชำติ อำยุ และลำดบั พัฒนำกำร 1.2 ปัจจัยทำงจิตใจ ประกอบด้วย อัตมโนทัศน์ คือกำรรับรู้เกี่ยวกับตนเอง กำรยอมรับนับถือตนเอง (Self-esteem) กำรรับรู้ (Perception) ควำมเชื่อไม่ว่ำจะเป็นควำมเชื่อด้ำนสุขภำพ หรือด้ำนกำรดำเนินชีวิตอื่นๆ เจตคติ ค่ำนิยม และควำมเครียด ซึ่งจะมีผลต่อสภำพจิตใจ และเกี่ยวโยงไปถึงควำมเจ็บป่วยทำงด้ำนร่ำงกำย 1.3 ปัจจัยทำงพฤติกรรม หรือแบบแผนกำรดำเนินชีวิต ได้แก่ พฤติกรรมอนำมัยส่วนบุคคลพฤติกรรมทำงเพศ และพฤติกรรมอืน่ ๆ 2. ปัจจัยภำยนอก เป็นปัจจัยที่อยู่นอกตัวบุคคล ได้แก่ องค์ประกอบทำงสังคม เศรษฐกิจ ระบบครอบครัว กำรศึกษำ กำรเมือง กำรปกครอง ควำมเชื่อ กำรศึกษำ นอกจำกน้ียังหมำยรวมไปถึงสภำพทำงกำยภำพ ทำงภูมิศำสตร์ ที่อยู่อำศัย และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ปัจจัยเหล่ำน้ีเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อภำวะสุขภำพของบุคคลด้วยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างบุคคลทีม่ ีภาวะสุขภาพสมบูรณก์ บั การเจบ็ ป่วย ภาวะสุขภาพ ( Health ) การเจ็บปว่ ย ( Illness )1. โครงสร้ำงอวยั วะในร่ำงกำยทำงำนเต็มควำมสำมำรถ ทำหน้ำที่ 1. โครงสร้ำงอวัยวะต่ำงๆ ของรำ่ งกำยทำงำนได้ไม่เต็มที่ หรือมี ได้อย่ำงสมบรู ณ์ มกี ำรสะสมอำหำรและพลงั งำนอย่ำงเพียงพอ ควำมบกพร่องในกำรสะสมอำหำร และพลังงำนของรำ่ งกำย2. สำมำรถปรับตวั เปลีย่ นแปลง โตต้ อบควำมไม่สมดลุ ของ 2. ปรับตวั ได้ในวงจำกัด หรือไมส่ ำมำรถปรับตัว ตอบโต้ตอ่ สิง่ แวดล้อมท้ังภำยในและภำยนอกรำ่ งกำยได้ สิง่ แวดล้อมทีเ่ ปลยี่ นแปลงได้3. สำมำรถตอบโต้สิง่ คกุ คำมต่อกำรมชี ีวติ หรือสิง่ ที่มำรบกวน 3. ไม่สำมำรถตอบโต้ต่อสิง่ ทีม่ ำคกุ คำมได้หรือไม่เตม็ ที่ หรือปรบั ตัว สำมำรถป้องกันอันตรำยไมใ่ หเ้ กิดขน้ึ ได้เหมำะสม ก่อใหเ้ กิดอนั ตรำยต่อรำ่ งกำยและจิตใจได้4. ผลของกำรปรับตวั อยใู่ นภำวะสมดุล สิง่ แวดล้อมภำยในอยู่ใน 4. กำรปรับตวั หรือกำรรักษำควำมสมดุลอยู่ในขอบเขตจำกัด และ ลักษณะคงที่ ไม่เปลีย่ นแปลง และอยใู่ นขอบเขตทีเ่ ป็นมำตรฐำน เกิดควำมล้มเหลว5. กำรปรับตวั ประสบควำมสำเรจ็ ในด้ำนกำรป้องกนั กำรเกิดโรค 5. เมือ่ เกิดภำวะไมส่ มดุล ณ จดุ ใดจดุ หนึง่ ในรำ่ งกำย อำจทำให้กำร หรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำงำนของส่วนอืน่ ได้รับผลกระทบใหเ้ กิดควำมผิดปกตไิ ปด้วย6. สำมำรถดำรงชวี ิต เจริญงอกงำม สืบพันธ์ุ เกิดเปน็ ชนรุ่นใหม่ 6. กำรปรบั ตัวไม่ประสบผลสำเร็จ ไมว่ ่ำในระดบั ใดก็ตำม ทำให้เกดิ ต่อไป ปัญหำในกำรดำรงชวี ิต รวมถงึ อำจไม่สำมำรถดำรงชีวติ อยู่ได้ ต่อไป

6 จำกกำรเปรียบเทียบให้เห็นถึงควำมแตกต่ำงระหว่ำงผู้ที่มีสุขภำพแข็งแรง กับผู้ที่มีโรคหรือควำมเจ็บป่วยเกิดขึ้นน้ัน พบว่ำ กำรที่บุคคลจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่ำงปกติสุขและมีคุณค่ำต่อสังคม จะต้องมีสุขภำพด้ำนร่ำงกำยและจิตใจอยู่ในระดับที่สมบูรณ์ เมื่อใดก็ตำมที่ร่ำงกำยเกิดโรค โครงสร้ำงต่ำงๆ ของอวัยวะจะเปลี่ยนแปลงไปตำมระดับควำมรุนแรงของโรคนั้นๆ สภำพร่ำงกำยอ่อนแอลง ผลที่เกิดจำกกำรเจ็บป่วยจะกระทบต่อตัวผ้ปู ่วยเอง ครอบครัว กำรดำเนินชีวิต เศรษฐกิจ และสงั คมเป็นอย่ำงมำก1.1.2 การเจบ็ ปว่ ยและปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อเจบ็ ป่วย การเจ็บป่วย หมำยถึง ภำวะที่มีกำรขำดสมดุลทำงร่ำงกำย จิตใจ หรืออำรมณ์ไม่ว่ำจะเกิดจำกสำเหตุใดก็ตำม เช่น จำกกำรได้รบั เช้ือ อุบัติเหตุ จำกควำมกระทบกระเทือนทำงจิตใจ ซึ่งกำรเจ็บป่วยน้ีบุคคลสำมำรถรับรู้ได้เมื่อมีกำรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหรือหมำยถึงภำวะที่เบี่ยงเบนไปจำกภำวะสุขภำพเป็นกำรรับรู้และกำรตอบสนองต่อควำมไม่สุขสบำย กำรทำหน้ำที่ของร่ำงกำยผิดปกติ ซึ่งบุคคลแต่ละคนมีควำมเป็นปัจเจกบุคคลที่แตกต่ำงกัน จึงมีกำรตอบสนองต่อกำรเจ็บป่วยที่แตกต่ำงกันด้วยกำรเจ็บป่วยนั้นจะมีคำที่ใช้อยู่ 2 คำ คือ กำรเกิดโรค (Disease) และกำรเจ็บป่วย (Illness) กำรเกิดโรค (Disease) เป็นสำเหตุที่ส่งผลให้เกิดควำมเจ็บป่วย กำรเกิดโรคมีควำมหมำยว่ำ เป็นภำวะที่มีพยำธิสภำพเกิดขึ้น ทำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงด้ำนโครงสร้ำง หรือหน้ำที่ต่ำงๆของร่ำงกำย จิตใจ กระบวนกำรควบคุมระบบชีวิตล้มเหลว สภำวะดังกล่ำวทำให้เกิดอำกำรและอำกำรแสดงที่บอกถึงภำวะที่ไม่สมดุลเกิดขึ้นเช่น โรคธำลัสซีเมีย มีผลต่อร่ำงกำย คือ ซีด เหนื่อยง่ำย ร่ำงกำยอ่อนเพลียและทำงำนที่ใช้กำลังได้น้อยกว่ำบุคคลท่วั ไป ถ้ำตรวจเลือดจะมีลกั ษณะทีผ่ ิดปกติชดั เจน กำรเจบ็ ป่วย (Illness) หมำยถึง ภำวะทีร่ ่ำงกำยขำดสมดลุ ไม่ว่ำจะเกิดจำกสำเหตใุ ดกต็ ำม เช่น จำกกำรได้รับอุบัติเหตุ สำรพิษ กำรได้รับเชื้อ ได้รับควำมกระทบกระเทือนทำงจิตใจ ซึ่งทำให้โครงสร้ำงหน้ำที่ของร่ำงกำย สภำพจิใจเปลี่ยนไปจำกปกติ และเมื่อเกิดควำมไม่สมดุล หรือควำมเจ็บป่วยขึ้นในองค์ประกอบใดก็ตำม ก็จะส่งผลกระทบต่อคนท้ังคนกำรจำแนกกำรเจบ็ ป่วย 1. ชนิดเฉียบพลัน (Acute) เป็นกำรเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นอย่ำงรวดเร็วในระยะเวลำส้ัน ถ้ำได้รับกำรรักษำอย่ำงทันท่วงทีมักจะไม่มีภำวะแทรกซ้อนและสำมำรถหำยกลับสู่สภำพปกติภำยหลังได้รับกำรรักษำ แต่ในบำงกรณีอำจเสียชีวิตอย่ำงรวดเร็วหรือกลำยเปน็ ควำมเจบ็ ป่วยเรื้อรงั 2. ชนิดเร้ือรัง (Chronic) เป็นกำรเจ็บป่วยที่มีอำกำรเป็นระยะเวลำยำวนำน อย่ำงน้อย 3 เดือนขึ้นไปผ้ปู ่วยมกั จะไม่หำยขำดเป็นปกติเหมือนก่อนเป็นภำวะทีม่ ีลักษณะดงั ต่อไปน้ีอย่ำงน้อย 1 ประกำร 1) เป็นอย่ำงถำวร 2) มีควำมพิกำรเหลืออยู่ 3) พยำธิภำพทเี่ กิดขึ้นไม่สำมำรถรักษำใหห้ ำยขำดได้ 4) ต้องกำรกำรฝึกฝนเพือ่ ฟนื้ ฟสู มรรถภำพ 5) ต้องกำรกำรช่วยเหลือและสังเกตอำกำรเป็นระยะเวลำยำวนำน นอกจำกนี้กำรเจบ็ ป่วยยงั จำแนกได้เป็นหลำยระดับ ได้แก่ 1. กำรเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น อำกำรปวดศีรษะ ปวดเมื่อย แน่นท้อง ที่ทำให้เกิดควำมรู้สึกไม่สบำย(Discomfort) และเริ่มมีผลกระทบต่อกำรปฏิบัติหน้ำที่ของตนชว่ั ขณะ

7 2. กำรเจ็บป่วยปำนกลำง ซึ่งกำรเจบ็ ป่วยน้ี มีควำมผิดปกติของโครงสร้ำงและหน้ำที่ที่ทำให้เกิดควำมไม่สมดุลของทำงกำย จิต สังคม ที่ชัดเจน เช่น กำรติดเชื้อในระบบทำงเดินอำหำร ทำให้เกิดกำรสูญเสียน้ำและเกลือแร่ที่ต้องทดแทนทำงหลอดเลือดดำ ควำมผิดปกติระดับน้ีมีผลต่อกำรปฏิบัติหน้ำที่ของบุคคล ทำให้ด้อยสมรรถภำพ แต่กส็ ำมำรถปฏิบัติหน้ำที่ได้บำงส่วน 3. เจบ็ ป่วยวิกฤต เปน็ ภำวะทีเ่ กิดควำมไม่สมดุลอย่ำงรุนแรงกบั บคุ คล หน้ำทีท่ ้ังทำงด้ำนกำย จิต สังคมได้รับผลกระทบอย่ำงรุนแรง จนอำจสูญเสียหน้ำที่ท้ังหมดและสูญเสียชีวิต เช่น บุคคลในภำวะช็อก ระบบไหลเวียนของเลือดล้มเหลว เปน็ ต้น คำว่ำ กำรเจ็บป่วย (Illness) มีควำมหมำยกว้ำงกว่ำกำรเกิดโรค (Disease) กำรดูแลผู้ที่มีภำวะ Illnessเน้นกำรดูแลโดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลำงไม่ใช่ดูแลโรคเป็นหลักเท่ำนั้น หำกผู้ป่วยมีอำกำรของโรคที่ไม่สำมำรถรักษำให้หำยได้ พยำบำลต้องเป็นผู้ช่วยให้ผู้ป่วยสำมำรถปรับตัวกับอำกำรเลวลงที่จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงในระยะสุดท้ำยของชีวิตระยะของความเจบ็ ป่วย เมือ่ บุคคลเกิดควำมเจ็บป่วย จะมีระยะต่ำงๆ ของพฤติกรรมตอบสนองต่อควำมเจ็บป่วย (Stagesof illness) อำจแบ่งได้เปน็ 5 ระยะดังน้ี 1. ระยะเริ่มต้นประสบกับอาการ (Symptom experience stage) เป็นระยะเริ่มต้นที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลเริ่มรับรู้ว่ำมีกำรเปลี่ยนแปลงและมีอำกำรผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ เบื่ออำหำร อ่อนเพลียบุคคลอำจรับรู้ด้วยตนเองหรือจำกกำรบอกเล่ำของบุคคลอืน่ เช่น จำกญำติพี่น้อง เพือ่ นหรือคนใกล้ชิด กำรเจบ็ ป่วยอำจจะยังไม่เด่นชัดยงั ไม่รนุ แรง บุคคลอำจจะรู้สึกว่ำยงั สุขสบำย ปกติดี ยังคงทำหน้ำที่ตำมปกติ คิดว่ำกำรเจ็บป่วยเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่ำนั้นไม่สำคัญและไม่ตระหนักถึงควำมเจ็บป่วยที่เกิดข้ึน จึงอำจปฏิเสธไม่ยอมรับกำรเจ็บป่วย (Denial) ซึ่งสิ่งเหล่ำน้ีทำให้บุคคลไปรับกำรรักษำช้ำ (Delay treatment) บุคคลอำจจะมีกำรตอบสนองทำงอำรมณ์ เช่น มีควำมกลวั วิตกกงั วล ในระยะน้บี ุคคลยงั ไม่สำมำรถตดั สินใจว่ำจะกระทำสิ่งใด จนเมื่อเขำเริ่มตระหนักในสิ่งที่ผิดปกติที่เกิดขึ้น อำจไปปรึกษำขอคำแนะนำจำกบุคคลใกล้ชิดเกี่ยวกับควำมเจบ็ ป่วยของตน บำงคนอำจบรรเทำกำรเจบ็ ป่วยด้วยกำรรักษำตนเอง เช่น ซื้อยำรับประทำนเอง รักษำด้วยวิธีพื้นฐำน ฯลฯ ซึ่งบำงครั้งอำกำรป่วยอำจจะหำยไป หรืออำจยังคงมีอำกำรต่อไปและอำจรนุ แรงมำกขึ้นก็ได้ 2. ระยะของการยอมรับบทบาทผู้ป่วย (Assumption of the sick role) เมื่อยงั คงมีอำกำรหรืออำกำรเจ็บป่วยรุนแรงมำกขึ้น บุคคลจะตระหนักในควำมเจ็บป่วย และยอมรับว่ำตนป่วยและเข้ำสู่กำรยอมรับในบทบำทผู้เจ็บป่วย (Sick role) บุคคลจะแสวงหำกำรรับรองและกำรยอมรับในควำมเจ็บป่วยจำกครอบครัว เพื่อน บุคคลใกล้ชิด เพื่อต้องกำรที่จะได้รับกำรยกเว้นจำกภำระหน้ำที่ปกติ บุคคลต้องกำรกำรเหน็ อกเห็นใจจำกกำรให้กำลังใจจำกเพื่อน ญำติและคนใกล้ชิด ในระยะน้ีบุคคลจะรู้สึกและวิตกกงั วลในควำมเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น บำงคนอำจรีบไปรับกำรรักษำ บำงคนอำจยังคงรักษำตนเองหรือปฏิบัติตำมคำแนะนำของครอบครวั และเพือ่ นในช่วงท้ำยของระยะนี้บคุ คลอำจรู้สึกว่ำอำกำรของเขำดีขึ้น แต่ยังคงต้องกำรกำรยอมรบั ในภำวะเจ็บป่วยของตนอยู่ ถ้ำครอบครัวสนับสนุนและยอมรับว่ำบุคคลน้ันยังคงป่วยอยู่ อำจจะยังคงให้ละเว้นจำกภำระหน้ำที่ปกติ แต่ถ้ำเห็นว่ำบุคคลหำยป่วยแล้วก็ต้องออกจำกบทบำทผู้เจ็บป่วย กลับไปทำงำนตำมปกติ แต่ถ้ำอำกำรเจ็บป่วยยังไม่ดีขึ้น บุคคลจะยังคงแสวงหำกำรรักษำต่อไปและตัดสินใจรับกำรรักษำ

8อย่ำงจริงจัง กำรที่บุคคลจะตัดสินใจเลือกกำรรักษำอย่ำงไรน้ันขึ้นอยู่กับควำมรู้และประสบกำรณ์กำรรักษำที่เขำเคยได้รับว่ำมีประสิทธิภำพมำกน้อยเพียงใด 3. ระยะยอมรับการรักษา (Medical care contact stage)ในระยะนี้เมื่อบคุ คลตดั สินใจทีจ่ ะยอมรับกำรรักษำอย่ำงจริงจัง เขำจะแสวงหำกำรรักษำที่มีประสิทธิภำพและคำแนะนำจำกผู้ให้กำรรักษำหรือจำกเพื่อน บุคคลใกล้ชิดเพื่อยืนยันในควำมเจ็บป่วยของเขำ ในระยะน้ีบุคคลจะต้องกำรข้อมูลเกี่ยวกับโรคหรือควำมเจ็บป่วยของตนเอง ต้องกำรคำอธิบำยเกี่ยวกับอำกำรเจ็บป่วยของเขำว่ำ ป่วยเป็นโรคอะไร เกิดจำกสำเหตุใด ผลของกำรรักษำจะเป็นอย่ำงไร คำดว่ำจะหำยเมื่อใด เขำจะปฏิบัติตนอย่ำงไร ถ้ำหำกผู้ให้กำรรักษำยงั ไม่สำมำรถยืนยันแน่นอน หรือยังบอกไม่ได้ว่ำเขำเป็นโรคอะไรแน่ ถ้ำอำกำรป่วยไม่รุนแรงบุคคลอำจมีพฤติกรรมแสวงหำทำงเลือกใน 2 ทำงได้แก่ อำจกลับไปทำงำนหรือปฏิบัติภำระหน้ำที่ตำมปกติและหำทำงช่วยตนเองต่อไป หรือบุคคลอำจจะไปหำผ้ทู ำกำรรกั ษำคนอื่น ถ้ำอำกำรแสดงหำยไป บคุ คลมกั จะรับร้วู ่ำโดยแท้จริงน้ันตนไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไร แต่ถ้ำอำกำรยังคงมีปรำกฏอยู่ บุคคลที่คิดว่ำตนเองป่วยอำจเลือกทำงรักษำโดยหำวิธีกำรรักษำอื่นๆ โดยอำจกลับไปหำผู้ทำกำรรักษำคนเดิมหรืออำจไปหำผู้ทำกำรรักษำคนอื่นต่อไป จนกว่ำจะพบว่ำผู้ให้กำรรักษำตนใดที่จะสำมำรถรักษำโรคของเขำให้หำยได้ ตำมที่บุคคลคำดหวังและเปน็ ทีพ่ อใจ 4. ระยะที่ยอมรับว่าต้องพึ่งพาผู้อื่น (Dependent patient role stage)เมื่อผู้ให้กำรรักษำรับรองยืนยันว่ำบุคคลน้ันป่วย บุคคลจะกลำยเป็นผู้ป่วย (Patient) ซึ่งต้องกำรควำมช่วยเหลือและพึ่งพำผู้ให้กำรรักษำหรือพึ่งพำบุคคลอื่น บุคคลอำจมีพฤติกรรมถดถอยกลับเป็นเด็ก เรียกร้องควำมสนใจ บุคคลอำจจะต้องกำรทรำบข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับโรคที่เป็น กำรรักษำ ค่ำใช้จ่ำยในกำรรักษำพยำบำล เขำอำจสงั เกตกำรตัดสินใจทีจ่ ะยอมรับกำรรกั ษำ อำจจะยังไม่ปฏิบัติตำมคำแนะนำ เพรำะไม่แน่ใจว่ำจะปฏิบัติตำมได้หรือไม่ จนกว่ำจะทรำบข้อมูลโดยละเอียดชัดเจน เมื่อทรำบและเข้ำใจข้อมูลชัดเจนจึงจะตัดสินใจและยอมรับกำรรกั ษำ แต่บำงคนอำจจะตดั สินใจยอมรบั กำรรักษำโดยไม่ต้องกำรทรำบข้อมลู รำยละเอียดเพิม่ เติม ในระยะน้ีพยำบำลสำมำรถให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วย ให้โอกำสเขำได้ซักถำมและเป็นผู้ให้คำอธิบำยเหตุผลที่เขำต้องปฏิบัติจนเข้ำใจ เพื่อลดควำมกลัว ควำมวิตกกังวล และช่วยให้กำลังใจ ดังน้ันพยำบำลจำเป็นต้องประเมินควำมต้องกำรกำรพึ่งพำของผู้ป่วยและพิจำรณำว่ำเหมำะสมกับสภำพควำมเจ็บป่วยที่เปน็ อย่หู รือไม่ เพือ่ จะได้ให้ควำมช่วยเหลือแก้ไขปัญหำให้เหมำะสมต่อไป 5. ระยะที่หายจากการเจ็บป่วยและฟื้นฟูสภาพ (Recovery or rehabilitation Stage) ในระยะสุดท้ำยของกำรเจ็บป่วยน้ี บุคคลจะออกจำกบทบำทผู้เจ็บป่วย ไม่ได้รับกำรยกเว้นจำกภำระหน้ำที่ตำมปกติ บุคคลจะต้องกลับไปสู่กำรที่ต้องไปปฏิบัติภำระหน้ำที่ปกติ บุคคลจะรู้สึกพอใจที่ได้กลับไปสู่สภำพปกติไม่ต้องพึ่งพำผู้อื่น ซึ่งกำรหำยจำกกำรเจ็บป่วยอำจจะเป็นไปอย่ำงช้ำๆ ค่อยเป็นค่อยไป หรืออำจหำยป่วยอย่ำงรวดเร็วก็ได้ ถ้ำบุคคลเจ็บป่วยแบบเฉียบพลันอำจกลบั คืนส่สู ภำพเดิมได้เร็วในเวลำส้นั ๆ แต่ถ้ำบคุ คลเจ็บป่วยเป็นเวลำนำน และไม่สำมำรถออกจำกบทบำทกำรเจ็บป่วยได้ จะกลำยเป็นผู้ป่วยเร้ือรังหรือบุคคลอำจมีควำมพิกำรที่ต้องกำรฟื้นฟูสภำพทั้งทำงร่ำงกำย จิตใจและสังคมอำจต้องใช้เวลำนำนในกำรที่จะฟืน้ ฟูให้กลับคืนสู่สภำพเดิมได้ เช่น บำงคนที่ป่วยเป็นอัมพำตอำจต้องใช้เวลำนำนในกำรที่จะต้องฝึกกำรเดิน ฝึกกำรพูด ฝึกกำรรับประทำนอำหำรและกำรทำกิจวัตรประจำวันให้สู่สภำพเดิม หรือบำงรำยที่เจ็บป่วยรุนแรงมีอำกำรของโรคทีไ่ ม่สำมำรถรักษำให้หำยได้ อำจจะสิ้นสดุ ชีวิตในระยะน้ีกไ็ ด้

9 ในระยะน้ีพยำบำลสำมำรถช่วยบุคคลในกำรปฏิบัติภำระหน้ำที่ในกำรดำรงชีวิตประจำวันหรือกำรปฏิบัติกิจกรรมที่จำเป็นต้องกระทำ ช่วยเหลือให้เขำพัฒนำและช่วยตนเองให้มำก ให้เขำมีควำมรู้สึกต้องกำรพึ่งตนเอง ให้กำลงั ใจให้เขำมีควำมหวังในกำรทีป่ ฏิบัติกิจกรรมได้สำเร็จ อย่ำงไรก็ตำมแนวคิดเกี่ยวกับระยะต่ำงๆ ของกำรเจ็บป่วยได้ในทุกกรณี เนื่องจำกบุคคลที่เจ็บป่วยทุกคนอำจจะไม่มีระยะหรือข้ันตอนของกำรเจ็บป่วยครบท้ัง 5 ระยะของกำรเจ็บป่วย บุคคลบำงคนอำจเริ่มต้นด้วยระยะที่ 1 (ระยะเร้ิมต้นประสบกับอำกำร) อำจจะข้ำมข้ันตอนไปเป็นระยะที่ 4 (ระยะที่ยอมรับว่ำต้องพึ่งพำผู้อื่น) เลยก็ได้ โดยไม่ต้องผ่ำนระยะที่ 2 (ระยะของกำรยอมรับบทบำทผู้เจ็บป่วย) และระยะที่3 (ระยะยอมรับกำรรกั ษำ) หรือบำงรำยอำจมีเพียงระยะที่ 1 และระยะที่ 2 เท่ำน้ัน ท้งั นี้เนือ่ งจำกในกำรเข้ำสู่ระยะต่ำงๆ ของกำรเจ็บป่วยน้ันขึ้นอยู่กับว่ำ กำรที่บุคคลจะตัดสินใจว่ำเขำป่วยหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับควำมรุนแรงของอำกำรผิดปกติที่ปรำกฏของบุคคลนั้น แต่ขึ้นอยู่กับกำรที่บุคคลนั้นรับรู้ว่ำตนเองเจ็บป่วยและรับรู้ว่ำรุนแรงมำกน้อยเพียงใด นอกจำกน้ียังขึ้นอยู่กับกำรตัดสินใจของบุคคลและญำติหรือคนใกล้ชิด รวมทั้งปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ด้วย นอกจำกน้ีช่วงระยะเวลำที่อยู่ในแต่ระยะของกำรเจ็บป่วยในแต่ละบุคคลก็ไม่เท่ำกันจำกปัจจัยต่ำงๆ ดังกล่ำวจึงทำให้ระยะต่ำงๆ ของกำรเจ็บป่วยของบุคคลอำจไม่เป็นไปตำมข้ันตอนดังที่กล่ำวมำแล้ว กำรที่พยำบำลได้ทรำบและเข้ำใจเกี่ยวกับระยะต่ำงๆ องควำมเจ็บป่วยจะช่วยทำให้พยำบำลสำมำรถเข้ำใจในพฤติกรรมของผู้รับบริกำรได้ครอบคลุมมำกยิ่งขึ้น และสำมำรถกำหนดแนวทำงให้กำรพยำบำลและให้กำรช่วยเหลือได้อย่ำงเหมำะสมรูปแบบของพฤติกรรมการปฏิบัติตนเมือ่ เกิดความเจบ็ ป่วย เมื่อบุคคลเกิดควำมเจ็บป่วย จะพยำยำมมองหำทำงแก้ไขที่เหมำะสมต่อปัญหำควำมเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น บุคคลอำจมีพฤติกรรมกำรปฏิบัติตนเมื่อเจ็บป่วยในลักษณะหรือรูปแบบของพฤติกรรมที่แตกต่ำงกันซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้ันตอนหรือระยะเวลำของกำรเจ็บป่วย บุคคลอำจมีพฤติกรรมกำรปฏิบัติตนในลักษณะใดลักษณะหนึง่ หรือหลำยๆ ลักษณะได้ดงั ต่อไปน้ี - กำรกระทำหรือปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพือ่ บรรเทำอำกำรเจ็บป่วย(Taking action) - กำรไม่กระทำหรือไม่ปฏิบตั ิสิง่ หนึ่งสิง่ ใดเลย (Taking no action) - กำรอยู่ในสภำวะลังเลใจที่จะตัดสินใจปฏิบัติหรือไม่ปฏิบตั ิ (Remaining in a State of flux) - กำรกระทำหรือปฏิบัติในสิ่งทีต่ รงกันข้ำม (Taking counteraction) 1. การกระทาหรือปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย (Taking action) บุคคลอำจจะพยำยำมแสวงหำควำมช่วยเหลือจำกบุคคลที่สำมำรถช่วยได้ เช่น อำจรักษำตนเองญำติพี่น้องช่วยกันดูแลและรักษำกันเองก่อนไปรับกำรรักษำกับแพทย์แผนปัจจุบัน หรืออำจไปรับกำรรักษำกับหมอแผนโบรำณหมอพื้นฐำน หรือหมอเถื่อนกไ็ ด้ ในบำงกรณีอำจพบว่ำบุคคลที่มีควำมกลัวมำก จะเสำะแสวงหำกำรวินิจฉัยโรคและกำรรักษำโรคอย่ำงรวดเร็ว เมือ่ เขำเกิดควำมกลวั และตระหนักถึงอนั ตรำยของโรค เช่น กลวั โรคมะเร็งเขำก็จะรีบไปพบแพทย์เพื่อขอรบั กำรตรวจและรักษำ

10 ในบำงกรณีพบว่ำบุคคลอำจไปรับกำรรักษำกับหมอเถื่อน ลักษณะของกลุ่มบุคคลที่มักจะไปรักษำกับหมอเถื่อน ซึ่งสรุปจำกกำรศึกษำลักษณะของบุคคลที่ไปรักษำกับหมอเถื่อน สรุปได้เป็น 4 ประเภทดงั น้ี ประเภทที่ 1 เป็นกลุ่มที่ไม่ทรำบควำมแตกต่ำงระหว่ำงหมอเถื่อนกับแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งกล่มุ นี้ไปใช้บริกำรจำกหมอเถือ่ นมำกทีส่ ุด ประเภทที่ 2 เป็นกลุ่มที่ชอบมองหำสิ่งแลกประหลำด มหัศจรรย์ (Miracle – seekers) คนกลุ่มน้ีมักจะเสำะแสวงหำกำรรักษำที่เขำรับรู้ว่ำเป็นวิธีกำรแปลกใหม่น่ำพิศวง และเป็นสิ่งมหัศจรรย์เป็นคร้ังครำว จึงชอบทดลองไปรักษำกบั หมอเถือ่ น ประเภทที่ 3 เป็นกลุ่มที่ไม่มีควำมอดทนกับกำรรักษำที่กำลังรักษำอยู่ จะมีควำมวิตกกังวลกระวนกระวำยใจ (Restless) ทีจ่ ะต้องเสียเวลำรอคอยดูผลของกำรรักษำที่ได้รบั อยู่ ประเภทที่ 4 เป็นกลุ่มที่รู้สึกสิ้นหวัง (Straw – graspers) เขำคิดว่ำไม่มีกำรรักษำใดๆ ที่จะช่วยเขำได้ รู้สึกหมดหวงั และคิดว่ำหมอเถือ่ นน่ำจะเปน็ หนทำงสุดท้ำยที่จะช่วยรักษำกำรเจ็บป่วยของเขำได้ 2. การไม่กระทาหรือไม่ปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย (Taking no action) กลุ่มบุคคลที่ไม่ปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยเมือ่ เกิดควำมเจ็บป่วยน้ัน มักเป็นกำรตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐำนของกำรประเมินอำกำรเจ็บป่วยด้วยตนเอง หรือประเมินโดยสำมัญชนที่ไม่ใช่บุคลำกรทำงสุขภำพ นอกจำกน้ียังอำจจะเนื่องมำจำกกำรที่บุคคลที่เจ็บป่วยเหล่ำน้ีมีลักษณะเป็นประเภทที่เชื่อว่ำ รอคอยดูอาการไปก่อน (Wait and see) เขำมักจะมองว่ำอำกำรเจบ็ ป่วยที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเลก็ น้อยไม่ร้ำยแรง จึงประวิงเวลำและไม่กระทำสิง่ ใดเลย ในบำงกรณีอำจจะเป็นประเภทที่ไม่ทรำบว่ำจะไปขอควำมช่วยเหลือจำกใคร ยิ่งในระบบกำรแพทย์แผนปจั จุบันที่ให้ควำมสำคัญกบั กำรรักษำโรคเฉพำะทำงมำก ยิ่งอำจจะทำให้บุคคลประวิงเวลำที่จะแสวงหำผู้เชี่ยวชำญเฉพำะทำง เพรำะเขำคิดว่ำอำจต้องเสียค่ำใช้จ่ำยค่ำบริกำรที่แพงอำจทำให้เขำต้องรอจนกว่ำจะแน่ใจว่ำเป็นบคุ คลทีส่ ำมำรถให้กำรรักษำโรคของเขำได้ถกู ต้อง ในบำงกรณีบุคคลจะประวิงเวลำไม่ปฏิบัติสิ่งใด เนื่องจำกกลัวว่ำกำรเจ็บป่วยของเขำไม่ได้รับกำรยอมรับจำกผู้ให้กำรรักษำ เช่น เมื่อเขำรู้สึกว่ำมีอำกำรเจ็บป่วย ไปขอรับกำรรักษำ แพทย์หรือผู้ให้กำรรกั ษำมักจะบอกว่ำ “คุณไม่มีอะไรผิดปกติ” บ่อยครั้งจนบุคคลไม่กล้ำทีจ่ ะไปแสวงหำกำรรกั ษำ โดยเฉพำะในกลุ่มที่มีอำกำรเจ็บป่วยทำงจิตใจซึ่งส่งผลต่อกำรเจ็บป่วยทำงร่ำงกำย (Psychosomatic illness) อำจจะมีกำรประวิงเวลำ ไม่ปฏิบัติสิ่งใดเพรำะกลัวถูกกล่ำวหำว่ำเป็นพวกที่แกล้งทำเป็นเจ็บป่วย มีบำงกรณีที่ประวิงเวลำและใช้เวลำนำนกว่ำที่เขำจะยอมรับว่ำเจ็บป่วย พบได้ในกลุ่มบุคคลที่เป็นห่วงกับภำระหน้ำที่กำรงำน อำจพบว่ำในระยะแรกจะไม่ปฏิบัติสิ่งใดเลย อำจรอดูอำกำรไปก่อน แต่อย่ำงไรก็ตำมกลุ่มบุคคลที่เลือกไม่กระทำหรือไม่ปฏิบัติสิง่ ใดเลยในระยะหนึง่ เท่ำน้ัน แต่ในที่สดุ ก็จะมีกำรปฏิบัติสิง่ ใดสิ่งหนึ่งเพื่อบรรเทำอำกำรเจ็บป่วย 3. การอยู่ในสภาวะลังเลใจที่จะตัดสินใจปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ (Remaining in a state offlux)สภำวกำรณ์ลงั เลใจอำจเกิดขึ้นเป็นช่วงระยะเวลำส้ัน ๆ บุคคลจะรู้สึกสับสนว่ำเขำจะเลือกปฏิบัติอย่ำงไรดี ซึ่งสภำวกำรณ์เช่นนี้อำจทำให้บุคคลเกิดภำวะควำมคิดขัดแย้งได้เช่น ถึงแม้บคุ คลจะตระหนกั ในกำรเจบ็ ป่วยต้องกำรได้รับกำรรักษำเพื่อให้กลับไปสู่กำรมีภำวะสุขภำพดี แต่ในขณะเดียวกันบุคคลอำจมีควำมคิดอีกด้ำนหนึ่งว่ำ กำรไปตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคและรักษำโรคอำจทำให้เขำเจ็บปวด เขำต้องเสียเวลำ เสียค่ำใช้จ่ำย ต้องพึ่งพำบุคคลอื่น ลักษณะสถำนกำรณ์เหล่ำน้ีบุคคลจะเกิดควำมคิดขัดแย้งลังเลใจ ถ้ำหำกควำมคิดในด้ำนที่

11ตระหนักถึงควำมเจ็บป่วยต้องกำรรับกำรรักษำมีมำกกว่ำกำรที่คิดว่ำไปตรวจและรักษำแล้วทำให้เสียประโยชน์บุคคลก็เลือกที่จะปฏิบัติโดยกำรไปขอรับกำรรักษำ ซึ่งจะแก้ปัญหำควำมคิดขัดแย้งได้ แต่ปัญหำภำวะควำมคิดขัดแย้งน้ี อำจเกิดข้ึนซ้ำได้อีก ตลอดช่วงระยะที่เจ็บป่วยอยู่ และอำจเป็นต้นเหตุที่ทำให้บุคคลละเลยกำรรักษำหรือไม่ไปรับกำรรักษำได้ 4. การกระทาหรือปฏิบตั ิในสิง่ ทีต่ รงกนั ข้าม (Taking counteraction) บุคคลทีเ่ ลือกปฏิบัติในสิ่งที่ตรงกันข้ำมกับควำมเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น มักไม่ยอมรับ จะปฏิเสธกำรเจ็บป่วย โดยพยำยำมหำทำงพิสูจน์ว่ำ“เขำไม่ได้ป่วยอย่ำงที่เป็นอยู่” (It is not so) บุคคลจะไม่สนใจหรือไม่เอำใจใส่ต่อกำรเจ็บป่วย โดยอำจทำงำนให้หนักเพิ่มมำกขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่ำเขำไม่ได้เป็นอะไร หรือเพื่อพิสูจน์ว่ำ กำรเจ็บป่วยคร้ังน้ีไม่ได้เป็นจริงเปน็ เพียงควำมรู้สึกนึกคิดไปเองของบุคคลเท่ำน้ัน พฤติกรรมและความต้องการของบุคคลขณะเจบ็ ป่วยทีไ่ ม่สามารถปรบั ตวั ได้ บุคคลเมื่อมีควำมเจ็บป่วยทำงกำยเกิดขึ้น มักกระทบต่อภำวะด้ำนจิตใจ ซึ่งจะมำกหรือน้อยขึ้นกำรมองเห็นควำมรุนแรงของกำรเจ็บป่วย ผลจำกควำมกังวลใจมักทำให้แต่ละคนมักจะมีพฤติกรรมและควำมต้องกำรทีเ่ ปลีย่ นไปจำกภำวะปกติ แต่ละคนอำจแสดงออกในลกั ษณะทีต่ ่ำงกนั ดังน้ี 1. กลัว ผู้ป่วยมักกลัวกำรลดบทบำททำงสังคม โดยเฉพำะถ้ำผลของกำรเจ็บป่วยทำให้ไม่สำมำรถปฏิบัติหน้ำที่ได้ดังเดิม เช่น เป็นอัมพำต กลัวสัมพันธภำพในครอบครัวและสังคมเปลี่ยนแปลงไป กลัวตำย มักแสดงออกในรูปของควำมไม่ม่ันใจในตนเอง อำทิ โกรธง่ำย อำรมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ขี้น้อยใจ ร้องไห้ง่ำยขำดเหตุผล 2. มีพฤติกรรมถดถอย (regression) เนื่องจำกมีควำมวิตกกังวล อำจมีพฤติกรรมกลับเป็นเด็กเพื่อเรียกร้องควำมสนใจจำกผู้อื่นมำกขึ้น เช่น เด็ก 8 ขวบถ่ำยปัสสำวะรดที่นอนอีก ผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่มักคิดแต่เรื่องของตนเอง สนใจเฉพำะเรื่องกำรเจ็บป่วยของตนเอง ไม่ยอมรับฟังเหตุผลอื่น หงุดหงิด เจ้ำอำรมณ์ มองโลกในแง่ร้ำย ต้องกำรให้คนอื่นมำเอำใจมำกๆ ต้องกำรควำมรักควำมสนใจจำกผู้อื่น แต่ผู้ป่วยบำงรำยก็ไม่แสดงออก ดงั น้นั พยำบำลต้องตระหนกั เสมอว่ำ ผู้ป่วยประเภทน้กี ม็ ีควำมต้องกำรสิ่งเหล่ำนี้เช่นเดียวกัน 3. จุกจิกจู้จี้มำกเกินไป ซึ่งในภำวะปกติจะไม่สนใจสิ่งเหล่ำน้ี เช่น ทนคอยคนอื่นไม่ได้ ใครทำอะไรให้มักไม่ถูกใจ ทั้งน้ีเนื่องจำกขณะที่เจ็บป่วย ผู้ป่วยไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น มักคิดถึงแต่ควำมเจ็บป่วยของตนเอง มีเวลำทีจ่ ะพิจำรณำดสู ิง่ แวดล้อมรอบตวั มำกข้นึ พิจำรณำคนอื่นตลอดเวลำ 4. คิดเกี่ยวกับควำมเจ็บปวด กำรทนทุกข์ทรมำนจำกโรคของตนเองตลอดเวลำ มักพบในคนที่ต้องมำพักรักษำตัวในโรงพยำบำล ผู้ป่วยมีเวลำว่ำงมำกไม่ต้องปฏิบัติภำรกิจต่ำงๆ นอกจำกน้ีทุกคนที่มำเยี่ยม ซึ่งรวมถึงแพทย์ พยำบำล เจ้ำหน้ำที่อื่นๆ ญำติก็มักพูดถึงควำมเจ็บป่วยของเขำ จึงมักคิดถึงแต่เรื่องของตนเองสนใจว่ำจะมีกำรเปลี่ยนแปลงกำรวิเครำะห์โรคหรือกำรรักษำใหม่หรือไม่ ต้องกำรให้คนพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับตนเองเท่ำนั้น ไม่ต้องกำรฟังเรื่องกำรเจ็บป่วยของคนอื่น ยิ่งไปกว่ำน้ันผู้ป่วยมักสนใจแต่เรื่องเกี่ยวกับหน้ำที่ของร่ำงกำยตนเอง คิดว่ำควรรบั ประทำนชนิดใด ถ่ำยอจุ จำระปกติไหม นอนพอหรือไม่ เป็นต้น 5. มีควำมสนใจต่อสิ่งแวดล้อมแคบแต่เพิ่มควำมสนใจในตนเองมำกขึ้น มักเกิดขึ้นกับคนที่เจ็บป่วยเป็นเวลำนำนๆ เนื่องจำกผู้ป่วยมีควำมเครียด วิตกกังวลเกี่ยวกับกำรเจ็บป่วยจึงคิดถึงแต่เรื่องควำมเจ็บป่วยของตนเองเท่ำน้ัน สนใจถึงแต่สิ่งที่จะเกิดข้นึ กบั เขำเท่ำน้ัน นอกจำกน้ีเนื่องจำกบุคคลขณะเจ็บป่วยไม่ต้องรับผิดชอบ

12ในภำรกิจปกติ จึงอำจไม่สนใจสิ่งทีเ่ คยสนใจ อำจเปลี่ยนควำมสนใจมำส่สู ิ่งทีต่ นเองไม่เคยสนใจมำก่อนก็ได้ เช่นอ่ำนหนงั สือ ท้ังที่ปกติไม่เคยอ่ำนเลย เนื่องจำกผ้ปู ่วยมีเวลำหรือเพื่อเบีย่ งเบนควำมสนใจจำกโรคทีต่ นเป็นอยู่ 6. เจตคติเปลี่ยนแปลงไป ผู้ป่วยอำจคิดว่ำแพทย์ พยำบำลเป็นผู้ที่มีอำนำจมำกสำหรับเขำ โดยเฉพำะหำกต้องมำพักรับกำรรกั ษำในโรงพยำบำล ผ้ปู ่วยมกั เชื่อฟงั และปฏิบตั ิตำมคำแนะนำ อำจคิดว่ำพยำบำลเปน็ ผู้ที่ให้ควำมสุขสบำย ให้กำลังใจแก่เขำ มักต้องกำรให้พยำบำลให้ควำมสนใจและดูแลเขำตลอดเวลำ ถ้ำเปลี่ยนพยำบำลดูแลคนใหม่ อำจคิดว่ำคนก่อนไม่ชอบตน1.1.3 ความตอ่ เนื่องของสุขภาพและการเจ็บป่วย ( Health – Illness Continuum) กำรให้ควำมหมำยเพื่อบอกระดับกำรมีสุขภำพปกติ ไม่ปกติ หรือดีไม่ดีน้ันเป็นกำรให้ควำมหมำยที่ค่อนข้ำงยำก ขึ้นอย่กู บั ตวั บคุ คลทีจ่ ะให้ควำมสำคญั และยอมรบั ระดบั สขุ ภำพของตนเองในขณะน้นัว่ำมีสภำวะสุขภำพเป็นอย่ำงไร บำงคนจะนำประสบกำรณ์ที่ผ่ำนมำของตนเองเป็นเกณฑ์ที่จะใช้ในกำรเปรียบเทียบ เช่น ในอดีตไม่เคยเจ็บป่วย ไม่มีอำกำรเป็นลมหน้ำมืด หรือเหนื่อยง่ำย แต่ปัจจุบันเป็นลมหน้ำมืดบ่อย เดินทำงไกลๆแล้วมีอำกำรเหนื่อยง่ำยกว่ำเดิม จึงสรุปว่ำขณะน้ีสุขภำพไม่ดี ไม่แข็งแรง หรือไม่สมบูรณ์เป็นต้น ส่วนบำงรำย ถึงแม้จะมีโรคประจำตัวอยู่ เช่น เบำหวำน ต้องรับประทำนยำและควบคุมอำหำรอยู่ตลอดเวลำ แต่ยังสำมำรถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันและดำเนินชีวิตได้ตำมปกติเหมือนบุคคลอื่น ก็ต้องยอมรับว่ำเป็นบคุ คลที่มีสุขภำพดี สขุ ภำพแข็งแรงได้เช่นเดียวกนั แนวทำงในกำรพิจำรณำและประเมินค่ำของกำรมีสุขภำพอนำมัยแข็งแรงสมบูรณ์มำกน้อยเพียงใดน้ันส่วนมำกจะใช้แผนภูมิในกำรแสดงควำมต่อเนื่องของสุขภำพกับควำมเจ็บป่วยเป็นแนวทำงในกำรอธิบำย ทั้งน้ีเพรำะสุขภำพของคนนั้นมีระดับกำรเปลี่ยนแปลงได้ท้ังด้ำนปกติ ดี จนถึงดีเลิศ ซึ่งเป็นสุขภำพด้ำนบวก และในทำงตรงกันข้ำม เมื่อร่ำงกำยของมนุษย์มีกำรปรับตัวได้ในวงจำกัดจนถึงระดับล้มเหลวไม่สำมำรถปรับตัวเข้ำกับสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งที่คุกคำมภำยในหรือภำยนอกร่ำงกำยได้ จึงเกิดกำรเจ็บป่วยขึ้นต้ังแต่กำรเจ็บป่วยเล็กน้อย ปำนกลำง เจ็บหนัก และตำย ซึ่งนับว่ำเป็นสุขภำพด้ำนลบ ดังจะเห็นได้ว่ำสุขภำพของคนเรำน้ันต่อเนื่องกันเป็นระดับ (scale) ที่ต่อเนือ่ งกัน กำรดูแลสขุ ภำพของตนเองให้อย่ใู นด้ำนบวกเสมอนบั ว่ำเป็นสิง่ ที่ควรปฏิบตั ิเป็นอย่ำงยิง่สขุ ภำพ สขุ ภำพดี ปกติ เจ็บป่วย เจ็บป่วย เจ็บป่วย ตำยสมบูรณ์แข็งแรง เลก็ น้อย วิกฤต ภาพที่ แสดงควำมต่อเนือ่ งของภำวะสุขภำพและควำมเจ็บป่วย ท่มี ำ (Delaune& Ladner, 1998.)ภำวะสุขภำพนั้น จะต้องมีควำมสมดุลของชีวิต จิต สังคม และได้ทรำบถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภำวะสขุ ภำพของมนุษย์ไม่ว่ำจะเป็นพันธุกรรมที่มนุษย์ไม่สำมำรถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรำ ยิ่งโลกเจริญไปมำกเท่ำไรสิง่ แวดล้อมก็ยิ่งเป็นพิษมำกขึ้นก่อให้พฤติกรรมอนำมัยเปลี่ยนแปลงไปด้วย ปจั จยั เหล่ำน้ีจึงมีผลกระทบต่อคุณภำพและกำรบริกำรทำงสขุ ภำพ ซึ่งพยำบำลเป็นผู้หนึ่งในทีมสุขภำพที่จะมีบทบำทในกำรช่วยแก้ปญั หำทรพั ยำกรมนษุ ย์ต่อไป

13 ภำวะสขุ ภำพของบคุ คลน้นั ประกอบด้วย ภำวะทีม่ ีสุขภำพดีและภำวะเจบ็ ป่วยสลบั กนั หรือต่อเนือ่ งกันไปและเป็นประสบกำรณ์ตลอดชีวิตมนุษย์ทุกคนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กำรรับรู้ของบุคคลต่อภำวะสุขภำพน้ัน จะต้องดำเนินไปตำมแกนควำมต่อเนือ่ งของภำวะสุขภำพดีและภำวะเจบ็ ป่วยหนกั สขุ ภำพของบุคคลจึงเป็นภำวะพลวัตเป็นภำวะที่มีกำรเปลี่ยนแปลง โดยมีปลำยสุดของแกนสุขภำพข้ำงหนึ่งเป็นศักยภำพสูงสุด (Highest healthpotential) และปลำยอีกข้ำงเป็นควำมตำย ในระหว่ำงปลำยทำงแต่ละข้ำงประกอบด้วยสุขภำพดี สุขภำพปกติป่วยเล็กน้อย สุขภำพไม่ดี และป่วยหนัก 1.2 การพยาบาล จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพการพยาบาล กำรพยำบำลในอดีตเรมิ่ จำกต้งั แต่สญั ชำตญำณในยุคก่อนประวัตศิ ำสตร์ จนกระท่งั ถึงยุคของกำรเริ่มมีศำสนำ ศำสนำส่วนใหญ่สอนใหม้ ีควำมเมตตำ ไม่เหน็ แก่ตัว รกั ต่อเพือ่ มนุษย์ พฤติกรรมพยำบำลเป็นสิง่ ทีส่ ืบทอดจำกกำรฝึกหัด กำรเลียนแบบจนกระทงั่ ในสมยั ของ Miss FlorenceNightingale (ค.ศ.1820-1910) เกิดนิยำมของคำว่ำ “กำรพยำบำล” เป็นคร้ังแรก หลังสงครำมโลกคร้ังที่ 2 มกี ำรปฏริ ูปอีกคร้งั ทำให้เกิดมีมโนทศั น์ของกำรพยำบำลท้ังบุคคล ทีเ่ รยี กว่ำTotal Patient Care อ่ำนชวี ประวตั ิของ Miss Florence Nightingale และชีวประวตั ิของสมเดจ็ พระศรพี ชั รินทรำบรมรำชชนนี ใน http://th.wikipedia.org/ความหมายของการพยาบาล พยำบำล หรือ Nurse มำจำกคำว่ำ Nutrix หรือ Nutrire ในภำษำละติน แปลว่ำ แม่ผู้ให้กำรพยำบำล(Nursing mother) หรือผู้ที่ให้กำรดูแล ให้อำหำร และให้กำรเลี้ยงดูเพื่อปกป้องผู้ที่เจ็บป่วย เด็ก และผู้สูงอำยุ พยำบำล หมำยถึง นักปฏิบัติทำงวิชำชีพ เป็นผู้รับผิดชอบให้กำรพยำบำล กำรส่งเสริมสุขภำพ กำรป้องกนั โรค กำรรกั ษำพยำบำล และกำรฟื้นฟสู ุขภำพของบุคคล ครอบครัวและชุมชน กำรพยำบำล หมำยถึง กำรกระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกบั ดแู ล กำรช่วยเหลือเมือ่ เจ็บป่วย รวมท้งั กำรฟนื้ ฟูสุขภำพ กำรป้องกนั โรค กำรส่งเสริมสุขภำพ และกำรช่วยเหลือแพทย์กระทำกำรรกั ษำอำศยั หลักวิทยำศำสตร์และศิลปะกำรพยำบำล (พระรำชบัญญตั ิวิชำชีพกำรพยำบำลและผดุงครรภ์: มำตรำ 4) กำรพยำบำล หมำยถงึ กำรช่วยเหลือ ครอบครวั และชมุ ชนในกำรประเมนิ และพฒั นำท้งั สุขภำพกำยและสุขภำพจิตให้ดีทีส่ ุดภำยใต้สภำวะแวดล้อม ที่อย่อู ำศยั และทที่ ำงำนของผ้ใู ช้บริกำรซึ่งพยำบำลต้องพฒั นำควำมสำมำรถในกำรส่งเสริมสุขภำพ กำรป้องกนั โรค กำรรกั ษำ และ กำรฟนื้ ฟูสุขภำพร่ำงกำย จิตใจ อำรมณ์และสังคม (ประคอง อินทรสมบตั ,ิ 2543) กำรกระทำต่อมนุษย์เกยี่ วกบั กำรดแู ล (CARE) และกำรช่วยเหลือ (HELP) เมือ่ เจบ็ ป่วย กำรฟนื้ ฟูสภำพ(REHABILITATION) กำรป้องกันโรค (PREVENTION) และกำรส่งเสริมสุขภำพ (PROMOTION) รวมท้งั กำรช่วยเหลือแพทย์กระทำกำรรกั ษำโรค ท้ังน้โี ดยอำศยั หลกั วิทยำศำสตร์และศิลปะกำรพยำบำล กำรพยำบำลเปน็ กำรปฏิบัตกิ ำรต่อผ้รู บั บริกำรซึง่ ครอบคลมุ ถงึ บุคคล ครอบครวั และชมุ ชน มีวตั ถุประสงค์เพือ่ ผดุงหรือส่งเสรมิ ควำมมสี ขุ ภำพดีของผ้รู ับบรกิ ำร สนองตอบต่อควำมต้องกำรพ้นื ฐำนในภำวะปกติ ภำวะเจบ็ ป่วย หรือแม้กระทง่ั วำระสดุ ท้ำยของชีวิต โดยพยาบาลผู้ปฏิบัติการจะมีบทบาททีเ่ กีย่ วข้องกบั การสังเกต สนับสนนุ ประคับประคอง สื่อสาร จดั การ สอนและดแู ล ซึ่งจะกระทาอยา่ งมีระเบียบ ภายใต้ขัน้ ตอนต่าง ๆ ของกระบวนการพยาบาล

14 มิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Nightingale ,1895) กำรพยำบำล หมำยถึงกิจกรรมกำรช่วยเหลือผ้ปู ่วยเพื่อให้อย่ใู นสภำวะทีจ่ ะต่อส้กู ำรรกุ รำนของโรคได้อย่ำงดีที่สดุ เท่ำทีจ่ ะเปน็ ไปได้ท้งั ร่ำงกำยและจิตใจ Peplau (1952) กำรพยำบำลเป็นกระบวนกำรระหว่ำงบุคคลเพื่อกำรบำบัดรักษำ โดยกำรมีปฏิสัมพันธ์กนั ระหว่ำงพยำบำลกบั ผ้ปู ่วย Roger (1972) กำรพยำบำล คือ กำรปฏิบัติเกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคน ทั้งคนดี คนเจ็บป่วย ทุกฐำนะและทุกช่วงวัย เวอร์จิเนียเฮน เดอร์สัน (Henderson, 1966) กำรพยำบำลคือกำรช่วยเหลือบุคคล (ท้ังยำมปกติและยำมป่วยไข้) ในกิจกรรมตำ่ ง ๆทีเ่ กี่ยวกบั กำรส่งเสรมิ สุขภำพหรือส่งเสรมิ กำรหำยจำกโรค (หรือแม้กระทงั่ กำรช่วยให้บุคคลได้ไปสู่ควำมตำยอย่ำงสงบ)ซึ่งบุคคลอำจจะปฏิบัติได้เองในสภำวะที่มีกำลังกำย กำลังใจและควำมรู้เพียงพอและเป็นกำรกระทำที่จะช่วยให้บุคคลกลับเข้ำสู่สภำวะที่ช่วยตนเองได้โดยไม่ต้องรับกำรช่วยเหลือนั้นโดยเร็วที่สุด ดังนั้นกำรพยำบำลจึงเป็นมโนมติหลักของวิชำชีพพยำบำล ซึ่งควำมเชื่อที่เกี่ยวข้องกับกำรพยำบำลมีดังต่อไปนี้ 1. กำรพยำบำลเป็นกิจกรรมที่พยำบำลปฏิบัติในขอบเขตหน้ำที่ของตนเองในกำรช่วยเหลือบุคคลทั้งทำงด้ำนร่ำงกำย จิตใจและสังคม ให้เปลี่ยนแปลงไปในทำงที่ดีขึ้นให้แก่บุคคลทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้สูงอำยุ ในทุกภำวะสุขภำพ ต้ังแต่สุขภำพดีไปจนถึงป่วยหนัก หรือภำวะวิกฤติ เพื่อให้บุคคลสำมำรถดำรงสุขภำพดีไว้ หรือช่วยให้บุคคลกลับสู่ภำวะสุขภำพที่ดีขึ้นเมื่อเจ็บป่วย กำรช่วยเหลือของพยำบำลมีได้ทั้งกำรช่วยเหลือในระดบั บคุ คล ครอบครวั หรือชมุ ชน 2. พยำบำลปฏิบัติกำรพยำบำลโดยอยู่บนฐำนขององค์ควำมรู้ที่เกิดขึ้นจำกพื้นฐำนของศำสตร์และศิลปะ ควำมรู้ทำงกำรพยำบำลส่วนใหญ่เป็นควำมรู้ที่ได้มำจำกกำรสังเกตและจำกประสบกำรณ์ เป็นควำมรู้ที่สำมำรถทดลองและพิสูจน์ได้ เป็นควำมรู้ในเชิงวิทยำศำสตร์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของวิชำชีพพยำบำล ส่วนกำรพยำบำลทีเ่ ปน็ ศิลปะ คือ กำรปฏิบตั ิของพยำบำลทีก่ ่อให้เกิดผลดี เกิดควำมพึงพอใจกบั ผ้ปู ่วย 3. กำรพยำบำลมีกรอบแนวคิดทำงกำรพยำบำล (Nursing Conceptual Framework) หรือทฤษฎีทำงกำรพยำบำล (Nursing Theory) ซึ่งถือเป็นองค์ควำมรู้พื้นฐำนหรือศำสตร์ทำงกำรพยำบำล ที่เน้นกำรศึกษำเกี่ยวกับมนุษย์ หลักและเกณฑ์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ ควำมผำสุก และกำรทำหน้ำที่สูงสุดในยำมปกติและในยำมเจ็บป่วย แบบแผนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งในภำวะปกติและภำวะวิกฤติของชีวิต นอกจำกน้ียังรวมไปถึงกำรนำควำมรู้ทำงกำรพยำบำลไปใช้ในกำรปฏิบัติ เพื่อปรับปรุงภำวะสุขภำพและคุณภำพชีวิตของประชำชน ซึ่งกำรปฏิบตั ินั้นจะต้องกระทำด้วยควำมเอำใจใส่และเอื้ออำทร 4. กำรพยำบำลที่จะช่วยให้บุคคลมีสุขภำพดี หรือกลับสู่ภำวะสุขภำพดีเมื่อเจ็บป่วย ประกอบด้วยกำรช่วยเหลือในรูปแบบต่ำงๆ ดงั ต่อไปนี้ 4.1 กำรส่งเสริมสุขภำพ หมำยถึง กำรช่วยเหลือให้บุคคลมีสุขภำพดีกว่ำที่เป็นอยู่ เช่น กำรให้คำแนะนำบุคคลเกี่ยวกับกำรับประทำนอำหำรที่เหมำะสมกับตนเอง กำรแนะนำเรื่องกำรออกกำลังกำยเป็นประจำ ซึ่งกำรช่วยเหลือในรปู แบบนี้ส่วนใหญ่เป็นกำรช่วยเหลือในกำรสร้ำงพฤติกรรมสขุ ภำพทีเ่ หมำะสม 4.2 กำรป้องกันโรค หมำยถึง กำรช่วยให้บคุ คลไม่เจบ็ ป่วยด้วยโรค หรือควำมเจบ็ ป่วยทีป่ ้องกันได้ เช่น กำรฉีดวัคซีนป้องกนั โรคในเด็ก กำรแนะนำเรือ่ งกำรป้องกนั โรคไข้เลือดออก โรคเอดส์ ซึ่งกำรช่วยเหลือ

15ในรูปแบบน้ีเป็นกำรช่วยเหลือ เพื่อให้บุคคลสำมำรถดำรงกำรมีสุขภำพดีไว้ได้ และมีกำรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทำงที่เหมำะสม 4.3 กำรดูแลรักษำ หมำยถึง กำรช่วยเหลือบุคคลที่เจ็บป่วยและบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ได้รับควำมสุขสบำยและปลอดภัยมำกที่สุด จำกองค์ควำมรู้ที่ว่ำกำรเจ็บป่วยก่อให้เกิดผลกระทบกับบุคคลท้ังทำงด้ำนร่ำงกำย จิตใจและสังคม พยำบำลจึงต้องใช้ควำมช่วยเหลือและแก้ไขปัญหำที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งกำรช่วยเหลือในรูปแบบน้ี ได้แก่ กำรช่วยเหลือให้ได้รับยำตำมแผนกำรรักษำของแพทย์ กำรให้คำปรึกษำเพื่อลดควำมเครียด 4.4 กำรฟืน้ ฟูสภำพ หมำยถึง กำรช่วยให้บุคคลที่เจ็บป่วย ได้มีโอกำสกลับคืนสู่สภำพเดิม หรือใกล้เคียงกบั สภำพเดิมมำกที่สุด ได้ใช้ควำมสำมำรถ ให้อวยั วะที่ยงั เหลืออย่ใู ห้เป็นประโยชน์ เช่น ผ้ปู ่วยถูกตดั ขำข้ำงหนึง่ พยำบำลต้องให้กำลังใจและสอนให้ผ้ปู ่วยสำมำรถใช้แขนข้ำงที่เหลือย่ใู ห้เกิดประโยชน์มำกที่สดุ 5. กำรพยำบำลใช้กระบวนกำรพยำบำลในกำรช่วยเหลือบุคคลทุกคนท้ังที่เจ็บป่วยและมีสุขภำพดี ซึ่งกระบวนกำรพยำบำลประกอบด้วยข้นั ตอนต่ำงๆ ดงั ต่อไปนี้ 5.1 กำรประเมินภำวะสุขภำพ (Assessment) และกำรกำหนดข้อวินิจฉัยกำรพยำบำล เป็นข้ันตอนของกำรค้นหำว่ำ บุคคล ครอบครัวหรือชุมชน มีควำมต้องกำรหรือมีปัญหำสุขภำพอย่ำงไรบ้ำง ได้รับผลกระทบจำกกำรเจ็บป่วยมำกน้อยเพียงใด มีเหตุหรือปัจจัยใดบ้ำงที่ทำให้เกิดควำมต้องกำรหรือมีปัญหำเกิดขึ้น กำรประเมินปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้บุคคลแต่ละคน ครอบครัว หรือชุมชนเกิดกำรเจ็บป่วย รวมทั้งกำรกำหนดข้อวินิจฉยั กำรพยำบำล โดยใช้ผลกำรวิเครำะห์ข้อมลู เป็นองค์ประกอบในกำรตดั สินใจระบภุ ำวะสขุ ภำพ 5.2 กำรวำงแผนกำรพยำบำล (Nursing Care Plan) เป็นกำรกำหนดเป้ำหมำย วัตถุประสงค์และกิจกรรมทีต่ อ้ งปฏิบตั ิเพื่อให้บรรลเุ ป้ำหมำย หรือวตั ถุประสงค์ทีก่ ำหนดไว้ และตอบสนองควำมต้องกำรของบุคคล ครอบครัว หรือชุมชน โดยในบุคคลที่มีสุขภำพดี กำรวำงแผนกำรพยำบำลเกิดขึ้นเพื่อให้บุคคลน้ันมีสุขภำพดีต่อไป โดยใช้กำรส่งเสริมสุขภำพและกำรป้องกันโรค ส่วนกำรช่วยเหลือบุคคลที่เจ็บป่วย พยำบำลจะวำงแผนกำรพยำบำลเพื่อให้บุคคลได้รับผลกระทบจำกกำรเจ็บป่วยน้อยที่สุด และหำยเจ็บป่วยโดยเร็ว โดยใช้กำรรกั ษำและฟื้นฟสู ภำพ 5.3 กำรปฏิบัติกำรพยำบำล (Nursing Intervention) เป็นกำรดำเนินกำรช่วยเหลือบุคคลครอบครัว หรือชุมชน ตำมที่ได้วำงแผนไว้ ในกำรปฏิบัติกำรพยำบำลน้ัน พยำบำลจะต้องปฏิบัติโดยใช้ควำมรู้ มีทกั ษะ และปฏิบัติกำรพยำบำลอย่บู นพื้นฐำนของจรรยำบรรณวิชำชีพ จึงจะสำมำรถช่วยเหลือบุคคล ครอบครัวหรือชมุ ชนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพกำรปฏิบตั ิกำรพยำบำล มี 2 ลกั ษณะ คือ 1. กำรปฏบิ ตั ิกำรพยำบำลที่ไม่อิสระ (Dependent nursing function) คือ กำรปฏบิ ัติที่ต้องดำเนนิ กำรตำมคำสั่งแพทย์ เชน่ กำรให้ยำกบั ผ้ปู ่วยตำมคำสัง่ แพทย์ โดยต้องมคี วำมเข้ำใจถึงสำเหตแุ ละผลลัพธ์ที่จะตำมมำด้วย 2. กำรปฏิบัติงำนอย่ำงอิสระ (Independent nursing functions) คือ กำรปฏิบัติกำรพยำบำลในขอบเขตของวิชำชีพ สำมำรถพิจำรณำตัดสินใจปฏิบัติงำน โดยอำศัยควำมรู้ หลักกำร ทักษะ และประสบกำรณ์ เช่นกำรให้กำลงั ใจ อย่เู ป็นเพื่อนกบั ผู้ป่วยและญำติในระยะสดุ ท้ำยของชีวิต กำรลงบันทึกและรำยงำนเกี่ยวกบั ผ้ปู ่วยอย่ำงเที่ยงตรง เป็นต้น

16 5.4 กำรประเมินผลกำรพยำบำล (Evaluation) เป็นข้ันตอนที่พยำบำลตรวจสอบผลกำรช่วยเหลือที่ให้แก่บุคคล ครอบครัวหรือชุมชน กระบวนกำรพยำบำลจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อควำมต้องกำรของผ้ใู ช้บริกำรได้รบั กำรตอบสนองหรือปัญหำได้รับกำรแก้ไข หรือปัจจัยเสี่ยงได้รับกำรกำจดั ให้หมดไป 6. กำรพยำบำลเป็นบริกำรที่จำเป็นต่อสังคม ซึ่งเกิดจำกสำนึกในควำมรับผิดชอบต่อสุขภำพของมนุษย์จึงทำให้พยำบำลต้องหำแนวทำงปฏิบัติในกำรส่งเสริมสุขภำพ ดังที่ได้กล่ำวมำแล้วบทบำทของพยำบำลวิชำชีพ กำรปฏิบตั กิ ำรพยำบำล ท้งั ในโรงพยำบำลและในชมุ ชน มีหลำยบทบำท ดงั ต่อไปนี้ 1. กำรเป็นผู้ดูแลเอำใจใส่ (Care provider) หมำยถึง กำรดูแลเอำใจใส่และให้ควำมสุขสบำย รวมไปถึงกิจกรรมกำรพยำบำลที่รักษำไว้ซึ่งเกียรติยศ และศักดิ์ศรีของผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริกำร ซึ่งควำมเอื้ออำทรหรือกำรดแู ลเอำใจใส่เปน็ หวั ใจสำคญั ของกำรพยำบำลทีม่ ีประสิทธิภำพ (Benner and Wrubel,1989) 2. กำรเป็นผู้ติดต่อสื่อสำรและเป็นผู้ช่วยเหลือ (Communicator/Helper) กำรติดต่อสื่อสำรระหว่ำงพยำบำลกับผู้ป่วย พยำบำลกับครอบครัว หรือพยำบำลกับเจ้ำหน้ำที่สุขภำพอื่นๆ เพื่อช่วยสร้ำงควำมไว้วำงใจรักษำไว้ซึง่ สัมพันธภำพและควำมร่วมมือในกำรรักษำพยำบำล 3. กำรเป็นผู้สอน (Teacher) เนื่องจำกสำเหตขุ องควำมเจบ็ ป่วยเกิดจำกวิถีชีวิต และพฤติกรรมเสีย่ งเพิม่มำกขึ้น กำรดูแลตนเอง กำรพึ่งพำตนเองมีมำกขึ้น ต้องประหยัดค่ำใช้จ่ำยในกำรรักษำพยำบำล และกำรมีจำนวนเตียงในโรงพยำบำลทีจ่ ำกัด ร่วมกับกำรเจบ็ ป่วยเร้อื รัง จึงทำให้ผ้ปู ่วยต้องกำรควำมรู้ หรือข้อมลู ข่ำวสำรเกี่ยวกับสุขภำพและกำรดูแลตนเองจำกแหล่งต่ำงๆ มำกขึ้น โดยเฉพำะพยำบำลซึ่งเป็นวิชำชีพที่มีควำมใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือผ้รู ับบริกำรมำกทีส่ ุด 4. กำรเป็นที่ปรึกษำ (Counselor) เป็นกระบวนกำรช่วยเหลือผู้ป่วยให้ตระหนักถึงปัญหำ กระตุ้นให้มองหำทำงเลือก รู้จักเลือกพฤติกรรมที่มีผลดีต่อสุขภำพ เพื่อพัฒนำควำมสำมำรถในกำรควบคุมและดูแลตนเองนอกจำกน้ีกำรเป็นที่ปรึกษำพยำบำลยังต้องมีทักษะในกำรติดต่อสื่อสำรทำงบวก กำรวิเครำะห์สถำนกำรณ์กำรเป็นแบบอย่ำงในพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดสุขภำพดี มีควำมจริงใจ มีควำมเอื้ออำทร ยืดหยุ่น มีอำรมณ์ขนั และมีควำมเข้ำใจตนเอง 5. กำรเป็นผู้พิทักษ์สิทธิของผู้ใช้บริกำร (Advocator) เป็นกำรส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับกำรบริกำรที่มีคุณภำพและตอบสนองควำมต้องกำรของผู้ป่วย นอกจำกน้ันพยำบำลยังช่วยให้ผู้ป่วยรู้จักติดต่อและเจรจำต่อรองกบั เจ้ำหน้ำที่สขุ ภำพอื่นๆ อีกด้วย 6. กำรเป็นผู้นำกำรเปลี่ยนแปลง (Change agent) เป็นกำรช่วยเหลือให้ผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยกำรวำงเป้ำหมำยในกำรดำเนินกำรและก่อให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทั้งควำมรู้ ทักษะ ควำมรู้สึก และเจตคติ ในกำรส่งเสริมและปกป้องสุขภำพ ตลอดจนดูแลและฟืน้ ฟสู ภำพตนเองเมือ่ เจบ็ ป่วย 7. กำรเปน็ ผ้นู ำ (leader) ภำวะผ้นู ำทำงกำรพยำบำล หมำยถึง กระบวนกำรสัมพันธภำพระหว่ำงบุคคลโดยพยำบำลช่วยเหลือผู้รับบริกำรในกำรตัดสินใจกำหนดเป้ำหมำย และหำแนวทำงบรรลุเป้ำหมำย เพื่อปรบั ปรงุ สุขภำพ ภำวะผ้นู ำเป็นตวั กำหนดกำรปฏิบัตเิ ชิงวิชำชีพ เปน็ กระบวนกำรแลกเปลีย่ นข้อมลู ควำมคิดเหน็และกำรชกั จงู ผู้อื่น

17 8. กำรเป็นผู้จัดกำร (Manager) หมำยถึง พยำบำลเป็นผู้จัดกำรดูแลบุคคล ครอบครัวและชุมชนมอบหมำยกิจกรรมกำรปฏิบัติให้กับบุคลำกรด้ำนอืน่ ๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกบั บุคคลเหล่ำนี้ 9. บทบำทด้ำนกำรวิจัย (Researcher) พยำบำลทีป่ ฏิบตั ิงำนในคลินิกจะถูกคำดหวงั ให้ปฏิบัตกิ ำรพยำบำลในฐำนะผ้มู ีควำมรู้ ควำมชำนำญ สำมำรถวิจยั และนำผลกำรวิจยั ไปใชใ้ นกำรปรับปรุงกำรปฏิบตั กิ ำรพยำบำล หรอื มำประกอบกำรตดั สินใจกำรปฏิบตั ิงำน ส่งผลต่อสขุ ภำพรวมท้งั คุณภำพชีวิตของประชำชนได้อย่ำงแท้จริงจริยธรรมทางการพยาบาล “จริยธรรม” มีสองควำมหมำย (อบุ ลรตั น์ โพธิ์พฒั นชัย, 2545 : 4) คือ ควำมหมำยทีใ่ ช้ทวั่ ไปในสังคม และควำมหมำยทใี่ ช้เฉพำะในวงกำรวิชำชีพสุขภำพ จรยิ ธรรมตำมควำมหมำยที่ใช้กนั ท่วั ไปในสงั คมหมำยถงึ หลักควำมประพฤติทีด่ ีงำม เพื่อก่อให้เกิดควำมสงบสขุ แก่ท้งั ตนเองและแก่ผู้อื่น (พจนำนุกรมรำชบณั ฑิตยสถำน, 2525 : 216) จริยธรรมตำมควำมหมำยน้ีจะสอดคล้องกบั หลกั ศีลธรรมในศำสนำขนบธรรมเนียม ประเพณี วฒั นธรรม หลกั กฎหมำย ลักษณะสำคญั ของจริยธรรม คือ กำรร้จู กั ไตร่ตรองพิจำรณำว่ำสิง่ ใดควรทำ สิง่ ใดไม่ควรทำ เมือ่ เผชิญกบั สถำนกำรณ์ที่ต้องตัดสินใจเลือก (dilemmas) (สิวลี ศิริไล,2544 : 21) จริยธรรมในควำมหมำยทีใ่ ช้ในวงกำรวิชำชีพสุขภำพ หมำยถงึ หลกั ควำมประพฤติของวิชำชีพสุขภำพแต่ละสำขำที่พึงยึดถือปฏบิ ตั ิจริยธรรมทางการพยาบาล แบง่ เป็นรายด้านได้ดงั นี้จริยธรรมด้านความรับผิดชอบ 1. บริกำรด้วยควำมรู้ให้แก่ผ้ทู ีท่ ุกข์ร้อน ให้บริกำรควำมรู้ คำแนะนำทำงสุขภำพที่เป็นประโยชน์แก่สงั คมปฏิบัติหน้ำทีอ่ ย่ำงเตม็ ควำมรู้ ควำมสำมำรถด้วยสติปัญญำ และทกั ษะ ควำมชำนำญ อย่ำงแท้จริง 2. รักษำควำมลับของผู้มำรับบริกำร โดยไม่เผยแพร่ข้อมูลควำมเจ็บป่วยของผู้ป่วย ปฏิบัติตน เป็นผู้ไว้วำงใจได้ในเรือ่ งส่วนตวั และควำมลับของครอบครัว ของผ้ทู ี่อย่ใู นควำมอำรกั ขำของพยำบำล 3. ใฝ่ศึกษำ พัฒนำควำมรู้ เชิดชูวิชำชีพรับผิดชอบสนใจศึกษำหำควำมรู้ทำงวิชำกำร กำรวิจัย กำรพยำบำลที่ทันสมัยเพิ่มเติมอย่เู สมอ เพื่อเชิดชูวิทยฐำนะของวิชำชีพให้เด่นขึ้น 4. ใช้ควำมรู้ในทำงที่ถูก ร่วมช่วยปลูกสำนึกที่ดีรับผิดชอบที่จะใช้ควำมรู้ ควำมสำมำรถไปประกอบอำชีพ แต่ในทำงทีเ่ ป็นคณุ เพือ่ ประโยชน์สขุ แก่มนุษย์ทั้งปวง และร่วมแรงร่วมใจกัน สร้ำงคณุ ควำมดี โดยกำรให้กำรพยำบำลด้วยใจที่เปน็ ธรรมแก่ผ้ปู ่วย 5. พยำบำลรับผิดชอบต่อประชำชน ผู้ต้องกำรกำรพยำบำลและบริกำรสุขภำพ ท้ังต่อปัจเจก บุคคลครอบครัว ชุมชน และระดับประเทศ ในกำรสร้ำงเสริมสุขภำพกำรป้องกันควำมเจ็บป่วย กำรฟื้นฟูสุขภำพและกำรบรรเทำควำมทุกข์ 6. พยำบำลประกอบวิชำชีพโดยมุ่งควำมเป็นเลิศ พยำบำลประกอบวิชำชีพโดยมุ่งควำมเป็นเลิศปฏิบัติกำรพยำบำล โดยมีควำมรู้ในกำรกระทำ และสำมำรถอธิบำยเหตุผลได้ในทุกกรณี พัฒนำควำมรู้ และประสบกำรณ์อย่ำงต่อเนือ่ ง รกั ษำสมรรถภำพในกำรทำงำน ประเมินผลงำน และประกอบวิชำชีพทกุ ด้ำนด้วยมำตรฐำนสูงสดุ เท่ำที่จะเป็นไปได้

18 7. พยำบำลพึงป้องกนั อันตรำยต่อสุขภำพและชีวิตของผ้ใู ช้บริกำร โดยกำรร่วมมือประสำนงำนอย่ำงต่อเนื่องกับผู้ร่วมงำน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ำย ทุกระดับ เพื่อปฏิบัติให้เกิดผลตำมนโย บำยและแผนพัฒนำสขุ ภำพ และคุณภำพชีวิตของประชำชน พึงปฏิบัติหน้ำที่รับมอบหมำยงำนและมอบหมำยงำนอย่ำงรอบคอบ และกระทำกำรอันควร เพื่อป้องกันอันตรำย ซึ่งเห็นว่ำจะเกิดกับผู้ใช้บริกำรแต่ละบุคคลครอบครัว กุล่มหรือชุมชน โดยกำรกระทำของผู้ร่วมงำน หรือสภำพแวดล้อมของกำรทำงำน หรือในกำรใช้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีช้นั สูงจริยธรรมด้านความเสียสละ 1. อุทิศกำย อทุ ิศตน ม่งุ หวงั ผลผ้ปู ่วยสบำย โดยกำรอุทิศแรงกำย คือ กำรช่วยเหลือผู้อื่นทำกำรงำนทีไ่ ม่เกิดผลเสียต่อบุคคลหรือส่วนรวม ไม่นิ่งดูดำย ช่วยเหลืองำนสำธำรณประโยชน์ 2. ช่วยเหลือด้วยน้ำใจ ผู้ป่วยไข้ได้คลำยทุกข์ โดยกำรแสดงควำมมีน้ำใจ คือ สนใจควำมทุกข์สุขของผู้ป่วย ยินดีช่วยเขำเมื่อเขำมีทุกข์ ชื่นชมเมือ่ เขำมีควำมสุข และช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้รับบริกำรโดยที่ไม่ต้องรอให้ผ้ปู ่วยหรือผ้รู ับบริกำรร้องขอจริยธรรมดา้ นความมีเมตตา กรณุ า 1. ให้ควำมรัก ควำมเมตตำ กรุณำแก่ปวงชน ต่อบุคคลทุกระดับ พร้อมที่จะให้กำรช่วยเหลือ โดยไม่หวังผลตอบแทนควำมสขุ เมือ่ ได้ช่วยเหลือผ้ปู ่วยที่มีปัญหำทำงสุขภำพกำยสขุ ภำพจิตให้พ้นทกุ ข์ 2. ดูแลเป็นอย่ำงดี เอื้ออำรีด้วยอำทร (Caring) Rouch,1987 ได้ให้ควำมหมำยของคำว่ำ Caring ว่ำ“พฤติกรรมกำรดูแลเป็นควำมสำมำรถของมนุษย์ทุกคนในกำรแสดงออก หรือกระทำในกำรดูแลมนุษย์บนพื้นฐำนควำมรัก ควำมเห็นอกเห็นใจ ควำมมีเมตตำ ควำมห่วงใยเอำใจใส่ เพื่อมุ่งควำมเป็นอยู่ดีของบุคคลในกำรพัฒนำกำรช่วยเหลือต่อกัน”ประกอบด้วย 2.1 ควำมเห็นอกเห็นใจ เป็นกำรปฏิบัติที่คำนึงถึงสัมพันธภำพระหว่ำงกัน ขณะให้ควำมช่วยเหลือ ให้กำรตอบสนองอย่ำงสร้ำงสรรค์ โดยคำนึงถึงควำมมีส่วนร่วมในประสบกำรณ์ของผ้อู ืน่ 2.2 ด้ำนควำมสำมำรถในกำรดูแล (Competence) พยำบำลต้องมีควำมรู้และทักษะที่จำเป็น มีกำรตดั สินใจ มีควำมต้งั ใจ ที่จะใช้ประสบกำรณ์และเกิดแรงจงู ใจ มุ่งหวงั ตอบสนองควำมต้องกำรของบคุ คล 2.3 ด้ำนควำมเชื่อมั่นไว้วำงใจ (Confidence) เป็นกำรแสดงควำมเชื่อมั่น ไว้วำงใจกำรพึ่งพำระหว่ำงกัน กำรแสดงควำมเคำรพในควำมเป็นบคุ คล เกิดกำรติดต่อสื่อสำรที่จริงใจต่อกนั 2.4 ด้ำนจิตสำนึกควำมถูกต้องทำงศีลธรรม จริยธรรม (Conscience) เป็นกำรปฏิบัติที่แสดงพฤติกรรมที่เข้ำใจ จริงใจ ด้วยกำรสำนึกในบทบำทหน้ำที่ ในฐำนะผู้ให้กำรดูแลอย่ำงมีเหตุผล คำนึงถึงสิทธิมนษุ ยชนศกั ดิ์ศรีเห็นคณุ ค่ำในสิทธิผ้อู ื่น 2.5 ด้ำนพันธะผูกพันในกำรดูแล (Commitment) เป็นกำรแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับควำมมีเมตตำ มุ่งม่ันที่จะให้กำรดูแลโดยไม่คิดคำนึงถึงค่ำตอบแทน ยึดม่ันควำมผูกพันที่มีต่อตนเองและผู้อื่นเตม็ ใจปฏิบตั ิด้วยกำรเห็นคณุ ค่ำ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จจริยธรรมด้านความซื่อสตั ย์ของพยาบาล จะเปน็ ทำงนำไปส่กู ำรสร้ำงมิตรภำพ และควำมไว้วำงใจของผ้ปู ่วย หรือญำติ เพรำะกำรทีผ่ ้ปู ่วยได้มอบชีวิตของตน หรือกำรที่ญำติได้มอบชีวิตของผู้ที่รักให้ใครซักคนดูแล ซึ่งคนที่ดูแล คือ พยำบำล นั้นหมำยควำมว่ำ เขำจะต้องเชื่อใจ ม่นั ใจแล้วว่ำ พยำบำลผ้นู ้นั จะต้องดูแลตวั เขำ หรือคนทีเ่ ขำรักได้เป็นอย่ำงดี และที่สำคัญ

19พยำบำลจะต้องเก็บรักษำควำมลับส่วนตัวของผู้ป่วย โดยไม่เปิดเผยควำมลับถ้ำผู้ป่วยหรือญำติไม่ยินยอมเพรำะอำจมีผลกระทบต่อควำมสมั พนั ธ์ของครอบครวั กำรงำนและต่อสังคมของผ้ปู ่วยได้ 1. ซื่อตรงต่อหน้ำที่ ทำควำมดีเพื่อส่วนรวมโดยยึดมั่นในภำระหน้ำที่ที่ตนเองรับผิดชอบอย่ำงเคร่งครัดท้ังต่อหน้ำและลบั หลัง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม และไม่ประพฤติปฏิบัติผิดระเบียบหรือข้อบังคบั ของสังคม 2. ซือ่ ตรงตอ่ บคุ คล ฝกึ เปน็ คนรบั ควำมจริงไม่อวดอ้ำงควำมสำมำรถของตนเกินควำมจริง ไม่รับควำมดีควำมชอบ โดยที่ตนเองไม่ได้เปน็ ผู้กระทำ ยอมรับควำมจริง เมื่อผิดพลำดหรือกระทำควำมผิด 3. จงรกั และภักดี ต่อผู้มีคุณแก่ตนให้ควำมเคำรพ มีควำมกตัญญู ระลึกถึงบญุ คุณแก่ผู้มีคุณ เป็นผู้มีควำมสัมมำคำรำวะ รู้อะไรควร ไม่ควร 4. ยึดม่ันคำสัญญำ ท้ังวำจำและกำรกระทำควรคิด พินิจพิจำรณำให้รอบคอบก่อนให้คำสัญญำกับผ้ปู ่วยและควรทำให้ได้ตำมทีส่ ญั ญำไว้ และต้องไม่เกิดผลเสียต่อผ้ปู ่วย 5. ยึดมั่นควำมสุจริต ไม่ปกปิดเพื่อพวกพ้องรักษำควำมจริง ควำมถูกต้อง ไม่คล้อยตำมในทำงที่เสื่อมเสียทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและวิชำชีพบริกำรประชำชน ไม่ทำตนเป็นนำยเขำต่อผู้ป่วย/ผู้รับบริกำรไม่ใช้อำนำจหน้ำที่เพือ่ แสวงหำประโยชน์ส่วนตนจริยธรรมด้านความยุติธรรม 1. รักษำควำมเป็นธรรม มีพฤติกรรมที่เหมำะสม โดยไม่เพิกเฉยหรือกระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมำะสมต่อตนเอง หรือต่อผู้อื่น ปฏิบัติตนเป็นตัวอย่ำงแก่บุคคล ยึดม่ันในควำมถูกต้องและรักษำควำมยุติธรรมอย่ำงเคร่งครดั 2. เคำรพสิทธิพื้นฐำน บริกำรด้วยควำมเป็นธรรมโดยให้ควำมเคำรพ สิทธิผ้รู ับบริกำรให้บริกำรที่เปน็ธรรม ไม่เอำเปรียบ ไม่เบียดเบียนผ้อู ืน่ 3. เคำรพในควำมจริง รกั ษำยิ่งควำมยตุ ิธรรมโดยยึดม่ันในกำรรักษำควำมยุติธรรม เปน็ ผู้มีเหตผุ ลยึดหลักควำมเปน็ จริง พิจำรณำควำมถกู ต้องเปน็ ธรรม ไม่ลำเอียง เพรำะรัก เพรำะหลง เพรำะชงั หรือเพรำะกลวัภัย 4. บริกำรแบบโปร่งใส พ้นสมัยเปน็ ควำมลับโดยกำรเปิดโอกำสให้ผู้รบั บริกำรมีสิทธิทีจ่ ะตรวจสอบหรือถำมข้อสงสัย ทีเ่ กีย่ วข้องกับสขุ ภำพของตนและกำรบริกำรทำงสขุ ภำพของหน่วยงำน ด้วยควำมเตม็ ใจจริยธรรมด้านวินัยกำรพยำบำลที่มีคณุ ภำพ โดยยึดหลักทศพิธรำชธรรม ดงั น้ี 1. ทำน หรือกำรให้ คือ บำเพ็ญตนเปน็ ผ้ใู ห้ทำงำนเพื่อให้เขำได้ มิใช่เอำจำกเขำ เอำใจใส่ อำนวยควำมสะดวก ควำมปลอดภยั ให้ประชำชนได้รับประโยชน์สขุ ช่วยเหลือผ้เู ดือดร้อน ประสบทกุ ข์ 2. ศีล หรือควำมประพฤติดี คือ ประพฤติดีงำม สำรวมกำย วำจำ รักษำเกียรติ ประพฤติตนเป็นตวั อย่ำง และเป็นทีเ่ คำรพของประชำชนกำรพยำบำลที่มีคณุ ภำพ โดยยึดหลักทศพิธรำชธรรม ดงั น้ี 3. บริจำค หรือกำรเสียสละ คือ เสียสละควำมสขุ เพื่อประโยชน์สุขของประชำชน และควำมเรียบร้อยของบ้ำนเมือง 4. อำชวะ หรือควำมเป็นผู้ซื่อตรง คือ ปฏิบัติงำนโดยสุจริต และจริงใจ ไม่ทรยศ ต่อประชำชน และประเทศชำติ

20 5. มัททวะ หรือควำมสุภำพอ่อนโยน คือ มีอัธยำศัยเป็นมิตร มีกิริยำสุภำพนิม่ นวล เข้ำกบั คนได้ง่ำยกำรพยำบำลที่มีคุณภำพ โดยยึดหลกั ทศพิธรำชธรรม ดังน้ี 6. ตปะ หรือ ควำมเพียร คือ ไม่หลงใหลหมกมุ่น ในควำมสุข หลีกพ้นจำกกิเลส ระงับยับย้ังข่มใจได้บำเพ็ญทำกิจในหน้ำทีใ่ ห้สมบูรณ์ 7. อักโกธะ หรือควำมถือเหตุผล คือ ควำมไม่โกรธ ไม่แสดงอำรมณ์เกร้ียวกรำด กระทำกำรด้วยอำนำจโทสะ มีเมตตำ ประจำใจ พิจำรณำกำรกระทำด้วยจิตอนั สขุ ม เปน็ ธรรมกำรพยำบำลทีม่ ีคุณภำพ โดยยึดหลักทศพิธรำชธรรม ดังนี้ 8. อวิหิงสำ หรือ ควำมไม่เบียดเบียน คือ ควำมไม่หลงอำนำจ ไม่มีบังคับ ไม่ทำให้ผ้อู ื่นเดือดร้อน 9. ขันติ หรือ ควำมอดทน คือ มีควำมอดทนต่อกำรงำน แม้เหน็ดเหนื่อย ก็ไม่ท้อถอย หรือถูกต่อว่ำด้วยถ้อยคำทีเ่ สียดสี กไ็ ม่หมดกำลงั ใจ 10. อวิโรธนะ หรือ ประพฤติไม่ให้ผิดธรรม คือ มีควำมม่ันคงในกำรทำดี ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่ำงที่ดีงำม จริยธรรมวิชำชีพพยำบำลต่อกำรพิทักษ์สิทธิของผู้ป่วยสิทธิผู้ป่วย หมำยถึง ผู้เจ็บป่วยทั้งทำงด้ำนร่ำงกำยและจิตใจ รวมไปถึงผู้รับบริกำรทำงกำรแพทย์และกำรสำธำรณสุขและผู้บริโภคทำงกำรแพทย์ (วิฑูรย์ อึ้งประพนั ธ์, 2537)จรรยาบรรณวิชาชีพพยาบาล จรรยำบรรณของวิชำชีพ (Code of ethics) พจนำนกุ รมฉบับรำชบณั ฑิตยสถำน พ.ศ. 2525 ให้คำอธิบำยว่ำ ประมวลควำมประพฤติทผี่ ้ปู ระกอบอำชีพกำรงำนแต่ละอย่ำงกำหนดขึ้น เพือ่ รกั ษำและส่งเสรมิเกียรติและฐำนะ อำจเปน็ ลำยลักษณ์อักษรหรือไม่กไ็ ด้ หรือ หลกั ควำมประพฤติของบุคคลในแต่ละกล่มุ อำชีพเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้มีคณุ ธรรมและจริยธรรม จรรยำบรรณวิชำชีพกำรพยำบำล (Code of ethics) เป็นบรรทดั ฐำนของวิชำชีพกำรพยำบำล(Professional norm) ที่บคุ ลำกรทำงกำรพยำบำลยึดถอื เป็นแนวทำงในกำรปฏบิ ตั ิงำนกำรพยำบำล ใช้เป็นมำตรฐำนในกำรประเมนิ กำรกระทำว่ำสิง่ ใดถูกสิง่ ใดผิด และใช้เปน็ หลกั ในกำรตดั สินใจใหบ้ ริกำรแก่ผรู้ ับบริกำรจรรยาบรรณวิชาชีพการพยาบาลฉบับปี พ.ศ. 2546 จรรยำบรรณพยำบำลฉบบั ปัจจุบนั เป็นฉบับที่ 2 ปรับปรงุ แก้ไขจำกจรรยำบรรณวิชำชีพกำรพยำบำลที่ได้ประกำศใช้เมื่อวันที่ 26 ตุลำคม 2528 ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถำนกำรณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงทำงด้ำนกำรศึกษำ เทคโนโลยี และปัญหำสุขภำพที่มีควำมซับซ้อนมำกขึ้น รวมทั้งกำรตื่นตัวในสิทธิมนุษยชน และควำมต้องกำรมำตรฐำนชีวิตที่สูงขึ้น ซึ่งได้รับกำรส่งเสริมและคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยฉบับ พ.ศ.2540 ในหมวดว่ำด้วยสิทธิและเสรีภำพของชนชำวไทย และหมวดว่ำด้วยแนวนโยบำยพื้นฐำนของรัฐเกี่ยวกับกำรคุ้มครองสิทธิและเสรีภำพของบุคคล กำรจัดและส่งเสริมกำรสำธำรณสุขให้ประชำชนได้รับบริกำรที่ได้มำตรฐำนและมีประสิทธิภำพอย่ำงทั่วถึง สำระในจรรยำบรรณวิชำชีพกำรพยำบำล มีดงั นี้ 1. พยำบำลรบั ผิดชอบต่อประชำชนผ้ตู ้องกำรกำรพยำบำลและบรกิ ำรสขุ ภำพ พยำบำลรบั ผิดชอบต่อประชำชนผู้ต้องกำรกำรพยำบำล และบรกิ ำรสุขภำพทั้งต่อปัจเจกบคุ คลครอบครวั ชมุ ชน และระดบั ประเทศในกำรสร้ำงเสรมิ สขุ ภำพ กำรป้องกนั ควำมเจบ็ ป่วย กำรฟนื้ ฟูสุขภำพและกำรบรรเทำควำมทกุ ข์ทรมำน

21 2. พยำบำลประกอบวิชำชีพด้วยควำมเมตตำ กรณุ ำ เคำรพในคณุ ค่ำของชีวิต ควำมมีสขุ ภำพดีและควำมผำสุกของเพือ่ นมนษุ ย์ พยำบำลประกอบวิชำชีพด้วยควำมเมตตำ กรณุ ำ เคำรพในคณุ ค่ำของชีวิต ควำมมีสขุ ภำพดีและควำมผำสุกของเพื่อนมนุษย์ ช่วยให้ประชำชนดำรงสขุ ภำพไว้ในระดบั ดีที่สดุ ตลอดวงจรของชีวิตนับแต่ปฏิสนธิท้ังในภำวะสขุ ภำพปกติ ภำวะเจบ็ ป่วย ชรำภำพจนถึงระยะสุดท้ำยของชีวิต 3. พยำบำลมีปฏิสัมพนั ธ์ทำงวิชำชีพกับผ้ใู ช้บริกำร ผ้รู ่วมงำน และประชำชนด้วย ควำมเคำรพในศักดิศ์ รี และสิทธิมนุษยชนของบุคคล พยำบำลมีปฏิสมั พนั ธ์ทำงวิชำชีพกบั ผ้ใู ช้บรกิ ำร ผ้รู ่วมงำน และประชำชนด้วย ควำมเคำรพในศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษยชนของบุคคลทั้งในควำมเป็นมนุษย์ สิทธใิ นชีวติ และสิทธใิ นเสรีภำพเกี่ยวกบั กำรเคลื่อนไหว กำรพดู กำรแสดงควำมคิดเห็น กำรมีควำมรู้ กำรตดั สินใจ ค่ำนิยม ควำมแตกต่ำงทำงวฒั นธรรมและควำมเชือ่ ทำงศำสนำ ตลอดจนสิทธใิ นควำมเปน็ เจำ้ ของ และ ควำมเป็นส่วนตัวของบุคคล 4. พยำบำลยึดหลกั ควำมยตุ ิธรรม และควำมเสมอภำคในสังคมมนุษย์ พยำบำลยึดหลักควำมยตุ ิธรรมและควำมเสมอภำคในสังคมมนษุ ย์ ร่วมดำเนินกำรเพือ่ ช่วยให้ประชำชนที่ต้องกำรบรกิ ำรสุขภำพได้รบั ควำมช่วยเหลือดูแลอย่ำงทวั่ ถึง และดูแลให้ผู้ใช้บรกิ ำรได้รบั กำรช่วยเหลือที่เหมำะสมกบั ควำมต้องกำรอย่ำงดีทีส่ ดุ เท่ำที่จะเปน็ ไปได้ ด้วยควำมเคำรพในคณุ ค่ำของชีวิต ศกั ดิ์ศรีและสิทธใิ นกำรมีควำมสุขของบุคคลอย่ำงเท่ำเทียมกนั โดยไม่จำกัดด้วยชั้นวรรณะ เชื้อชำติ ศำสนำ เพศ วัยเศรษฐำนะ กิตตศิ พั ท์ชือ่ เสียง สถำนภำพในสงั คม และโรคที่เปน็ 5. พยำบำลประกอบวิชำชีพโดยม่งุ ควำมเป็นเลิศ พยำบำลประกอบวิชำชีพโดยม่งุ ควำมเปน็ เลิศ ปฏิบัติกำรพยำบำลโดยมีควำมรู้ในกำรกระทำและสำมำรถอธิบำยเหตผุ ลได้ในทุกกรณี พัฒนำควำมรู้ และประสบกำรณ์อย่ำงต่อเนื่อง รักษำสมรรถภำพในกำรทำงำน ประเมินผลงำน และประกอบวิชำชีพทกุ ด้ำนด้วยมำตรฐำนสงู สดุ เทำ่ ที่จะเป็นไปได้ 6. พยำบำลพึงป้องกันอนั ตรำยต่อสุขภำพและชีวิตของผ้ใู ช้บริกำร พยำบำลพึงป้องกันอันตรำยต่อสขุ ภำพ และชีวิตของผ้ใู ช้บริกำร โดยกำรร่วมมอื ประสำนงำนอย่ำงต่อเนื่องกับผรู้ ่วมงำน และผ้เู กี่ยวข้องกับทุกฝ่ำยทกุ ระดบั เพือ่ ปฏบิ ัติให้เกิดผลตำมนโยบำยและแผนพฒั นำสขุ ภำพและคุณภำพชีวิตต่อประชำชน พึงปฏบิ ตั ิหน้ำทีร่ บั มอบหมำยงำนและมอบหมำยงำนอย่ำงรอบคอบ และกระทำกำรอนั ควรเพือ่ ป้องกันอนั ตรำยซึง่ เหน็ ว่ำจะเกิดกบั ผ้ใู ช้บรกิ ำรแต่ละบคุ คล ครอบครวั กล่มุ หรือชุมชนโดยกำรกระทำของผ้รู ่วมงำน หรือสภำพแวดล้อมของกำรทำงำนหรือในกำรใช้วิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยีข้นั สงู 7. พยำบำลรบั ผิดชอบในกำรปฏิบตั ิให้สังคมเกิดควำมเชื่อถือ ไวว้ ำงใจต่อพยำบำลและต่อวิชำชีพกำรพยำบำล พยำบำลรบั ผิดชอบในกำรปฏิบัตใิ ห้สังคมเกิดควำมเชื่อถือ ไว้วำงใจต่อพยำบำลและต่อวิชำชีพกำรพยำบำล มีคณุ ธรรมจรยิ ธรรมในกำรดำรงชีวิต ประกอบวิชำชีพด้วยควำมม่ันคงในจรรยำบรรณและเคำรพต่อกฎหมำย ให้บริกำรทีม่ ีคุณภำพเปน็ วิสยั เป็นที่ประจกั ษแ์ กป่ ระชำชน ร่วมมือพัฒนำวิชำชีพให้เจริญก้ำวหนำ้ ในสังคมอย่ำงเปน็ เอกภำพ ตลอดจนมมี นษุ ยสัมพนั ธ์อนั ดี และรว่ มมือกบั ผ้อู ื่นในกิจกรรมทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อสงั คม ทั้งในและนอกวงกำรสุขภำพ ในระดบั ท้องถนิ่ ระดับประเทศ และระหว่ำงประเทศ

22 8. พยำบำลพึงร่วมในกำรทำควำมเจรญิ ก้ำวหน้ำใหแ้ ก่วิชำชีพกำรพยำบำล พยำบำลพึงร่วมในกำรทำควำมเจริญก้ำวหน้ำให้แก่วิชำชีพกำรพยำบำลร่วมกับผนู้ ำทำงกำรปฏบิ ตั ิกำรพยำบำลหรือทำงกำรศึกษำ ทำงกำรวิจยั หรือทำงกำรบริหำรโดยรว่ มในกำรนำทศิ ทำง นโยบำยและแผนเพือ่ พฒั นำวิชำชีพ พฒั นำควำมรู้ ท้ังในข้นั เทคนิคกำรพยำบำล ทฤษฎขี ้นั พื้นฐำน และศำสตรท์ ำงกำรพยำบำลข้นั ลึกซึ้งเฉพำะด้ำน ตลอดจนกำรรวบรวมและเผยแพร่ควำมรู้ข่ำวสำรของวิชำชีพ ทง้ั น้ีพยำบำลพึงมีบทบำทท้งั ในระดบั รำยบุคคล และร่วมมือในระดับสถำบัน องค์กรวิชำชีพ ระดับประเทศและระหว่ำงประเทศ 9. พยำบำลพึงรับผิดชอบต่อตนเองเช่นเดียวกับรบั ผิดชอบต่อผ้อู ื่น พยำบำลพึงรบั ผิดชอบต่อตนเองเช่นเดียวกบั รบั ผิดชอบต่อผ้อู ื่น เคำรพตนเอง รักษำควำมสมดุลมัน่ คงของบุคลิกภำพ เคำรพในคุณค่ำของงำน และทำงำนด้วยมำตรฐำนสูง ทั้งในกำรดำรงชีวิตส่วนตัว และในกำรประกอบวิชำชีพ ในสถำนกำรณ์ทีจ่ ำเปน็ ต้องเสียสละ หรือประนปี ระนอม พยำบำลพึงยอมรบั ในระดบัที่สำมำรถรักษำไว้ซึ่งควำมเคำรพตนเอง ควำมสมดลุ ในบุคลิกภำพ และควำมมน่ั คงปลอดภัยในชีวิตของตนเช่นเดียวกับของผ้รู ่วมงำน ผ้ใู ช้บริกำร และสังคม1.3 การดแู ลแบบองค์รวม (Holistic Health)ความหมาย ค่ำว่ำ “องค์รวม”เป็นคำทีแ่ ปลมำจำกคำในภำษำอังกฤษคือ holism หรือholistic ซึ่งคำว่ำ Holistic มำจำกรำกศพั ทใ์ นภำษำกรีกวำ่ “Holos” ซึ่งหมำยถงึ “ควำมเป็นจริงหรือควำมสมบรู ณ์ท้ังหมดของสรรพสิง่ มีเอกลกั ษณ์และเอกภำพทมี่ อิ ำจแบ่งแยกเป็นส่วนย่อยได้” คำว่ำ”องค์รวม” น้ยี ังคงเปน็ เรื่องแปลกใหม่และเข้ำใจยำกและถูกใช้อย่ำงแพร่หลำยมำกขึ้นในสถำนกำรณต์ ำ่ งๆ ท้งั ในแวดวงนกั วิชำกำรกำรเมืองและศำสตร์สำขำต่ำงๆแต่อย่ำงไรก็ตำม “องค์รวม” มักจะถูกนำไปใช้โดยมุ่งหวังให้เกิดกำรมองเป้ำหมำยทีก่ ว้ำงขวำงรอบด้ำนและมีควำมสมั พนั ธ์เชือ่ มโยงกบั คำว่ำ “บูรณาการ” “เติมเต็ม” และ“ยงั่ ยนื ” แนวคิดองค์รวมนีไ้ ด้ถูกนำมำใช้ในกำรแก้ไขปัญหำและพฒั นำสังคมไทยและถือได้ว่ำเปน็ คำสำคัญคำหนึง่ ในแผนพฒั นำฯแห่งชำติ จึงอำจกล่ำวได้ว่ำแนวคิดน้ีมีนัยสำคัญต่ออนำคตของประชำชนไทยอย่ำงแท้จรงิ กำรดูแลสุขภำพแบบองค์รวม หมำยถึง กำรดูแลสุขภำพบุคคลให้มีควำมสมดุลทั้งทำงด้ำนร่ำงกำยจิตใจ อำรมณ์ สังคมและจิตวิญญำณ กำรดูแลสุขภำพแบบองค์รวม พยำบำลต้องสนใจกำรดูแลจัดกำรสิง่ แวดล้อมที่เหมำะสมแก่ผู้ป่วย ดูแลให้ได้รับอำหำรและน้ำอย่ำงเพียงพอ มีอำกำศบริสุทธิ์ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อกำรพักผ่อน กำรออกกำลังกำยและกำรขับถ่ำยที่เหมำะสม เพรำะสิ่งเหล่ำน้ีจะสำมำรถเยียวยำให้ผู้ป่วยหำยเองได้โดยธรรมชำติแนวคิดหลักของการดแู ลสขุ ภาพแบบองค์รวม 1. เป็นกำรพยำบำลที่มองคนทั้งคน และถือว่ำบุคคลเป็นหน่วยเดียวที่มีกำรผสมผสำนระหว่ำงกำย จิตสังคม จิตวิญญำณ ที่ไม่สำมำรถแยกออกจำกกัน 2.เจตคติ ค่ำนิยม กำรรับรู้และควำมเชื่อ จะมีผลกระทบต่อภำวะสุขภำพและเป็นปัจจัยชักนำที่ทำให้มีกำรเปลีย่ นแปลงของภำวะสุขภำพได้ 3. กำรมีสุขภำพดีและมีควำมผำสุก ต้องใช้แหล่งประโยชน์ท้งั ภำยในและภำยนอกของบุคคล 4. กำรพยำบำลมุ่งช่วยบุคคลท้งั คนที่ประกอบด้วย กำย จิต สงั คม จิตวิญญำณ

23 จะเห็นได้ว่ำกระบวนทัศน์ต่อกำรมองชีวิตและสุขภำพในแนวสุขภำพแบบองค์รวมเป็นกำรมองสุขภำพเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้งชีวิตมำกกว่ำกำรเน้นแค่ควำมเจ็บป่วย หรือ กำรจัดกำรส่วนใดส่วนหนึ่งของร่ำงกำยโดยจะพิจำรณำที่ \"ตัวคนทั้งคน\" ควำมเกี่ยวเนื่องของร่ำงกำย จิตใจ อำรมณ์ สังคมและจิตวิญญำณ รวมถึงปัจจัยทำงสังคมสิ่งแวดล้อมต่ำงๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนคนนั้น รวมท้ังกำรมองด้ำนควำมสมดุลของทั้งทำงร่ำงกำย จิตใจ สังคมและจิตวิญญำณ ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เจบ็ ป่วยหรือไม่มีโรคหำกยงั ครอบคลมุ ถึงกำรดำเนินชีวิตทีย่ ืนยำวและมีควำมสุขของทกุ คนด้วย คณุ ลักษณะทีส่ ำคัญของสุขภำพแบบองค์รวม 1. สขุ ภำพแบบองค์รวมเน้นกำรแสวงหำควำมเป็นอยู่อย่ำงปกติสขุ โดยตระหนักถึงทุกแง่มุมของบุคคลที่มีปฏิสมั พันธ์กับสิ่งแวดล้อม เน้นทีด่ ุลยภำพหรือควำมสอดคล้องกับตนเองกบั ธรรมชำติและกับโลก 2. สุขภำพแบบองค์รวมจะเน้นที่ตัวบุคคลไม่ใช่โรค คือเจ้ำหน้ำที่สุขภำพต้องทรำบคุณลักษณะของบุคคลไม่ใช่โรค ทีเ่ กิดกับบคุ คลอย่ำงเดียว 3. สุขภำพแบบองค์รวมเน้นกำรส่งเสริมและกำรรักษำสุขภำพเท่ำ ๆกับกระบวนกำรหำย ดังน้ันบุคคลควรจะรบั ผิดชอบสขุ ภำพของตนเอง 4. ทัศนะแบบองค์รวมมองกำรเจ็บป่วยเป็นโอกำสที่จะช่วยให้คนมีพัฒนำกำรเจริญงอกงำม โดยใช้ควำมเจ็บป่วยเป็นตัวประเมินเป้ำหมำย กำรดำเนินชีวิต กำรให้คุณค่ำในสิ่งต่ำง ๆ ในชีวิตที่ผ่ำนมำ ออกมำใช้ประโยชน์ให้มำกที่สดุ กำรดูแลสุขภำพแบบองค์รวม พยำบำลต้องคำนึงถึงควำมสำคัญในสิทธิส่วนบุคคล โดยให้บุคคลมีส่วนร่วมในกำรแก้ปัญหำ มุ่งให้ช่วยตนเองมำกกว่ำพยำบำลทำให้ พยำบำลต้องใช้หลักกำรพยำบำลพื้นฐำนร่วมกับพยำบำลสำธำรณสุข เพื่อให้ผู้รับบริกำรได้รับควำมรู้ คำแนะนำ กำรสอนในกำรดูแลสุขภำพของตนเองในระดับหนึ่งระดับสขุ ภาพองคร์ วม (Holistic health level ) ในทนี่ ้ีขอแยกระดบั สุขภำพองค์รวมอออกเปน็ 3 ระดับดงั น้ี 1. องค์รวมระดับบคุ คล คือ กำรทำให้เกดิ ควำมสมดุลภำยในตวั เรำแต่ละคน ทงั้ ในด้ำนร่ำงกำยและจิตใจ เกดิ เปน็ เอกภำพที่กลมกลืนระหว่ำง ร่ำงกำย จติ ใจและวิญญำณโดยที่หนทำงไปสู่ควำมเปน็ เอกภำพดังกล่ำวคือกำรดำเนนิ ชีวิตให้เหมำะสม ไม่ว่ำจะเปน็ กำรบริโภคอำหำรที่เหมำะสม มีพฤติกรรมที่โน้มนำไปสู่คณุ ภำพทีด่ ี และทำจิตใจใหผ้ ่อนคลำย 2. องค์รวมระดบั ครอบครวั และชมุ ชน คนจะมีสุขภำพกำยใจดีหรือไม่ ครอบครัวมีควำมสำคญัมำก ครอบครวั ที่อบอ่นุ สมำชิกในครอบครัวมีควำมรักให้กนั และกัน ช่วยกนั ดูแลให้ทกุ คนมสี ุขภำพทีด่ ีท้งั กำยและใจ ทกุ คนมีหน้ำทรี่ บั ผิดชอบและบทบำทแตกต่ำงกนั ไป เมือ่ มำประกอบกนั เข้ำกท็ ำให้เกิดควำมเปน็ เอกภำพองค์รวมชุมชน ชมุ ชนที่มีควำมเก้ือกลู เออื้ อำทรซึง่ กนั และกัน สุขภำพและชีวิตของคนในชมุ ชนกย็ ่อมดีไปด้วยชมุ ชนชนบทไทยในอดีตน่ำจะเป็นแบบอย่ำงของควำมเป็นองค์รวมในระดบั ครอบครวั และชมุ ชนได้ดี 3. องค์รวมระดับสังคมสังคม ในที่นีร้ วมถึงสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชำติด้วยแบ่งเปน็ 2 ด้ำน 3.1 ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงคนต่อคน หมำยถึง คนในสงั คมมีควำมเปน็ เอกภำพกนัถึงแม้ว่ำคนในสังคมน้นั ๆ จะมีควำมแตกต่ำงและหลำกหลำย (ชนช้นั ,อำชีพ,ควำมคิดฯลฯ ) แต่คนจำนวนมำกมีเจตจำนงอย่ำงเดียวกันทจี่ ะสร้ำงสังคมทดี่ ีงำม

24 3.2 ควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงคนกับธรรมชำติ ไม่ว่ำจะเปน็ สตั ว์ ต้นไม้ ป่ำไม้ ภูเขำ แม่น้ำลำธำร อำกำศ ถ้ำเรำทุกคนตระหนกั ว่ำมนุษยน์ ้ันเปน็ ส่วนหนึ่งของธรรมชำติ ละเรียนรทู้ ี่จะอยรู่ ่วมกับสรรพชีวิตอืน่ ๆ เคำรพในแมน่ ้ำลำธำร ต้นไม้ ป่ำไม้ สตั ว์นำนำพนั ธ์ุ ตระหนกั และจริงจังทีจ่ ะใช้ทรัพยำกรธรรมชำติอย่ำงยัง่ ยืน ก็จกั เกดิ ควำมสัมพันธ์ที่กลมกลนื ระหว่ำงคนกับธรรมชำติ และสิ่งแวดล้อม การดแู ลสขุ ภาพแบบองคร์ วม (Holistic Health Care) เป็นกำรดูแลสุขภำพที่มีกำรบูรณำกำรควำมรู้ด้ังเดิมเข้ำกับกำรบำบัดเสริมเพื่อส่งเสริมให้เกิดสขุ ภำวะที่ดี และป้องกนั รักษำโรค ในปัจจุบนั มีกำรนำกำรดูแลสุขภำพแบบองค์รวมไปใช้ในกำรบำบัดรักษำ โดยครอบคลุมมิติทำงด้ำนร่ำงกำย จิตใจ อำรมณ์ สังคมและจิตวิญญำณ หรืออำจกล่ำวได้ว่ำเป็นกำรดูแลท้ังด้ำนBody-Mind Healing เปน็ กำรส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดกำรบูรณำกำรภำวะกำยจิตและจิตวิญญำณ โดยพยำบำลวิเครำะห์แบบแผนชีวิตตำมธรรมชำติของผู้ป่วยเพื่อดำรงและส่งเสริมกำรเยียวยำ (healing) และ SpiritualHealing จิตวิญญำณเป็นหน่วยรวมพลังของบุคคลที่มีควำมสำคัญต่อกำรปรับแปลงควำมคิด และกำรให้ควำมหมำยต่อตนเองของบุคคล เป็นพลังควำมเข้มแข็งที่อยู่ภำยในแต่ละบุคคลมีประสบกำรณ์ และกำรแสดงออกทำงด้ำนจิตวิญญำณ ในควำมสมั พันธ์เกีย่ วข้องกับผู้อื่นโดยผ่ำนทำงควำมรกั กำรดูแลอย่ำงเอื้ออำทรกำรยอมรับ กำรสนบั สนนุ ให้กำลังใจและกำรมีไมตรีจิต ซึ่งแนวปฏิบตั ิในกำรพยำบำลแบบองค์รวม มีดังน้ี 1. พยำบำลต้องตระหนักถึงคนในลักษณะองค์รวม ที่ไม่สำมำรถแยก กำย จิต สังคม และวิญญำณออกจำกกันได้ 2. พยำบำลต้องสร้ำงสภำพแวดล้อมที่ส่งเสริมกำรมีปฏิสมั พนั ธ์ระหว่ำงพยำบำลกับผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำร 3. พยำบำลต้องเปิดโอกำสให้ผู้ป่วย/ผ้ใู ช้บริกำร เข้ำมำมีส่วนร่วมในกำรดแู ลสุขภำพของตนเอง 3.1 พยำบำลประเมินผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำรอย่ำงสมบูรณ์และต้องให้ควำมสนใจถึงผลกระทบจำกปญั หำสุขภำพต่อผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำรและครอบครวั ทุกด้ำน 3.2 พยำบำลร่วมกับผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำรในกำรแยกแยะปญั หำ/ควำมต้องกำร กำรวำงเป้ำหมำยในกำรพยำบำล 3.3 พยำบำลปรึกษำหำรือกับผู้ป่วย/ผ้ใู ช้บริกำร ถึงแผนกำรพยำบำลทีช่ ่วยให้บรรลุเป้ำหมำยกำรพยำบำลที่วำงไว้ 3.4 พยำบำลปฏิบัติตำมแผนที่วำงไว้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่ำง ๆท้งั บคุ คลทรัพยำกร เทคโนโลยีอย่ำงเหมำะสม 3.5 พยำบำลร่วมกับผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำร ประเมินผลกำรปฏิบัติกำรพยำบำลว่ำบรรลุเป้ำหมำยที่วำงไว้หรือไม่ 3.6 ถ้ำกำรปฏิบตั ิกำรพยำบำลไม่บรรลเุ ป้ำหมำยที่วำงไว้ พยำบำลร่วมกบั ผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำรปรบั เปลีย่ นเพื่อให้ได้ผลลพั ธ์ทีด่ ีที่สดุ 4. พยำบำลจะต้องมีทักษะในกำรติดต่อสื่อสำรและสร้ำงสัมพันธภำพเชิงบำบัดกับผู้ป่วย/ผู้ใช้บริกำรสมั พันธภำพทีด่ ีจะมีส่วนช่วยให้กระบวนกำรฟื้นหำยจำกกำรเจบ็ ป่วย 5. พยำบำลต้องสำมำรถให้ข้อมลู และควำมรู้ต่ำง ๆกับผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำร และประชำชนได้ 6. พยำบำลสำมำรถเสริมสร้ำงพลงั อำนำจให้กับผู้ป่วย/ผ้ใู ช้บริกำร ในกำรดแู ลสุขภำพของตนเอง

25 7. พยำบำลต้องสนบั สนนุ กระบวนกำรฟืน้ หำยและกำรเจริญพัฒนำของผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำร โดยกำรดแู ลเอำใจใส่อย่ำงเอ้อื อำทร 8. พยำบำลส่งเสริมและสนับสนุนกำรใช้วิธีพื้นบ้ำน หรือวิธีอื่น ๆที่เป็นประโยชน์ในกำรส่งเสริมสุขภำพกำรป้องกนั โรค อย่ำงเหมำะสม 1.3.2 แนวคิดเกีย่ วกบั ผใู้ ชบ้ ริการความเปน็ ปจั เจกบุคคล ความเชือ่ ทศั นคติและหลักสิทธิมนุษยชน ความเป็นปัจเจกบุคคล (individualism) พฤติกรรมของบุคคลที่มีควำมเป็นตัวของตัวเองไม่คำนึงถึงควำมรู้สึกของผ้อู ื่นมักจะทำตำมทีต่ นต้องกำรกระทำ ความเชื่อ (beliefs) มีลักษณะที่แตกต่ำงจำกทัศนคติตรงที่ส่วนประกอบทำงด้ำนควำมรู้มีพื้นฐำนมำจำกควำมศรัทธำ ยอมรับจำกควำมรู้สึกมำกว่ำเหตุผลข้อเท็จจริง ในบำงครั้งหมำยควำมว่ำควำมเชื่อมีลักษณะเป็นควำมมั่นใจ กำรยอมรับแนวควำมคิดด้ำนใดด้ำนหนึ่งของแต่ละบุคคล ที่บำงครั้งไม่อำจอธิบำยได้ด้วยข้อเท็จจริงเสมอไป เช่น กำรที่บำงคนเชื่อมั่นว่ำ คนเรำถ้ำถึงครำวที่จะต้องตำยก็ต้องตำย ถ้ำยังไม่ถึงที่จะต้องตำยก็ไม่ตำย หรือควำมเชื่อที่ว่ำ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หรือจะหำยหรือไม่หำยก็แล้วแต่บุญแต่กรรม ชำวไทยบำงส่วนมีควำมเชื่อเรื่องโชคลำง เชื่อในอำนำจเหนือธรรมชำติบำงอย่ำงว่ำสำมำรถบันดำลสิ่งต่ำงๆ ให้ตนได้หรือช่วยรกั ษำโรคภยั ไข้เจ็บให้ตนได้ แม้ว่ำควำมเชือ่ บำงอย่ำงจะอธิบำยด้วยเหตผุ ลจำกข้อเท็จจริงทีป่ ระจกั ษ์ชัดไม่ได้ แต่ควำมเชือ่ มีผลต่อทศั นคติของบคุ คล ทัศนคติ (attitudes) หมำยถึง ควำมรู้สึกท่ำทีของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทัศนคติเกิดขึ้นจำกส่วนประกอบด้ำนควำมรู้ ควำมพึงพอใจและองค์ประกอบทำงพฤติกรรม (cognitive, affective, and behavioralcomponents) ควำมเชือ่ ก็เป็นส่วนประกอบอีกประกำรหนึ่งของทศั นคติ และที่สำคญั จะแยกออกจำกกันเสียมิได้กระบวนกำรของกำรประเมินคุณค่ำ ทัศนคติจึงออกมำในลักษณะคติที่ดีและทัศนคติที่ไม่ดี หรืออำจกล่ำวอีกอย่ำงหนึง่ ว่ำทัศนคติในทำงบวกหรือในทำงลบ หลกั สิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชน คือ สิทธิทั้งหลำยทีย่ อมรับกันในประเทศที่มีอำรยธรรมว่ำ เป็นสิทธิพื้นฐำนที่จำเปน็ ในกำรดำรงชีวิตอย่ำงมีศักดิ์ศรีของมนษุ ย์ และจำเป็นในกำรพัฒนำบคุ ลิกภำพของมนษุ ย์เป็นสิทธิทีม่ ีกำรค้มุ ครองป้องกันในทำงกฎหมำยเป็นพิเศษผู้ใดจะล่วงละเมิดซึ่งกันและกันไม่ได้ มนุษย์เรำแต่ละคนไม่ว่ำจะเกิดมำในเผ่ำพันธุ์ใดฐำนะอย่ำงไร ย่อมมีสิทธิส่วนตัวในเรื่องที่เกี่ยวกับร่ำงกำย ควำมคิด ควำมเชื่อ กำรเลือกแนวทำงดำรงชีวิต ควำมสัมพันธ์ในครอบครัว และทรัพย์สมบัติส่วนตัวของตน ซึ่งผู้อื่นจะมำละเมิดมิได้ และขณะเดียวกันกำรดำรงและใช้สิทธิส่วนตัวของแต่ละบุคคลย่อมไม่ส่งผลกระทบหรือก่อควำมเดือดร้อนแก่ผู้อื่นซึ่งหมำยถึงกำรต้องเคำรพในสิทธิส่วนตัวของกันและกันในกระบวนของกำรพยำบำลจะต้องคำนึงถึงควำมแตกต่ำงเฉพำะตัวของบุคคล เสรีภำพในกำรที่จะแสดงควำมรู้สึก ควำมคิด กำรเลือกวิถีชีวิตของตนและควำมชอบธรรมทีผ่ ู้ป่วยจะตัดสินใจเกี่ยวกับตนเอง ขณะเดียวกันตัวของพยำบำลเองก็มีสิทธิที่จะดำรงรกั ษำไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชนในฐำนะที่เป็นบุคคลเช่นเดียวกันกับผู้อื่นเช่นกัน เป็นต้นว่ำ พยำบำลผู้มีควำมเชื่อ ควำมศรัทธำในศำสนำอย่ำงเคร่งครัด ย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธกำรร่วมดำเนินกำรบำงอย่ำงที่ขัดต่อควำมรู้สึกทำงศีลธรรมของตนได้ เช่นเดียวกับผ้ปู ่วยมีสิทธิที่จะปฏิเสธวิธีกำรที่ขดั ต่อควำมเชื่อของตน สิ่งสำคัญทีต่ ้องคำนึงถึง

26ประกำรหนึ่งก็คือ สิทธิของพยำบำลในฐำนะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นเดียวกับผู้อื่น และสิทธิในฐำนะบทบำทของพยำบำลมีควำมสัมพันธ์กันอย่ำงไร และถ้ำสองประกำรน้ีขัดแย้งกันควรตดั สินใจอย่ำงไร สิทธิมนุษยชน “ควำมชอบธรรมในกำรเป็น กำรอยู่ และกำรมี ของมนุษย์ รวมท้งั กำรที่จะมีและจะอย่ตู ่อไปในโลกในมำตรฐำนของมนษุ ย์” เปน็ สิทธิสำคญั ข้นั พื้นฐำนแห่งชีวิตของแต่ละคนจะโอนให้ผู้อื่นไม่ได้และเป็นที่ยอมรบั กันในประเทศที่มีอำรยธรรมว่ำเปน็ สิทธพิ ื้นฐำนทีจ่ ำเปน็ ในกำรดำรงชีวิตอย่ำงมีศักดิ์ศรีของมนุษย์และจำเปน็ ในกำรพัฒนำบคุ ลิกภำพของมนษุ ย์ เปน็ สิทธทิ ี่มีกำรค้มุ ครองป้องกันในทำงกฎหมำยเปน็ พิเศษ ผ้ใู ดจะล่วงละเมิดซึ่งกนั และกันไม่ได้ ได้แก่ 1. สิทธิในกำรมีชีวติ (Right to life) มนุษย์ทุกคนเกิดมำด้วยกฎธรรมชำติอนั เดยี วกัน เพื่อทีจ่ ะมีชีวิตเจริญเติบโตตอ่ ไป และเปน็ กฎธรรมชำตทิ ีท่ ุกคนต้องพยำยำมทจี่ ะรกั ษำภำวะสมดุลของชีวิตไว้ ท้ังกำยและจิตใจ บคุ คลจะมีควำมเจบ็ ปวด หวำดกลวั และทกุ ข์ทรมำน เมื่อถกู รบกวนด้วยโรคภยั อันตรำยนำนำประกำรและจะดิ้นรนต่อส้เู พือ่ รักษำชีวิตไว้ 2. สิทธิในเสรีภำพ (Right to Liberty) หรือ อิสระภำพ แบ่งออกเปน็ 2 หมวด คือ อิสระภำพในกำรเคลื่อนทีห่ รือเคลื่อนไหวตำมธรรมชำติของชีวิต อิสระภำพในกำรพูด ซึง่ หมำยถึง อิสระภำพในควำมคิดและกำรเจริญทำงสติปญั ญำอีกต่อหนงึ่ 3. สิทธใิ นควำมเปน็ เจ้ำของ (Right to Property) เป็นเจ้ำของโดยชอบธรรม เริม่ ต้นด้วยควำมจำเป็นทำงอำหำร ที่อย่อู ำศยั และอุปกรณ์อืน่ ๆ ที่เปน็ ปัจจยั สำคัญสำหรบั ชีวิต รวมท้งั สิทธิในควำมเปน็ เจ้ำของทรพั ย์สินของแต่ละบุคคลนน้ั สรปุ ได้ว่ำ “มนษุ ย์ทกุ คนมีเกียรติศักดิแ์ ละสิทธิ (Dignity and Rights)” ถือว่ำบุคคลมีสิทธิในมำตรฐำนกำรครองชีพทีเ่ พียงพอสำหรับกำรรกั ษำพยำบำล WHO “ผ้ปู ่วยควรมีสิทธทิ ีจ่ ะได้รบั บริกำรเพื่อสุขภำพ (the right to health care) เปน็ สิทธิข้นั พนื้ ฐำน” - ควรจะมีสิทธิที่จะได้รบั ร้ขู ้อมลู ข่ำวสำรจำกแพทย์ผู้รักษำ (the right to information) - สิทธทิ ี่จะปฏิเสธกำรรักษำ (the patient’s right to refuse treatment) - มีสิทธิส่วนบุคคล (Privacy right) ในอันทีจ่ ะไม่ถูกเปิดเผยในข้อมูลอนั เกี่ยวกับ ควำมเจบ็ ป่วยของเขำด้วยคาประกาศสิทธิของผปู้ ่วย ณ วันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2541 1. ผ้ปู ่วยทกุ คนมีสิทธิพื้นฐำนทีจ่ ะได้รับกำรบริกำรด้ำนสุขภำพ ตำมทีบ่ ญั ญัติไว้ในรัฐธรรมนญู 2. ผ้ปู ่วยมีสิทธิทีจ่ ะได้รบั บริกำรจำกผ้ปู ระกอบวิชำชีพด้ำนสุขภำพ โดยไม่มีกำรเลือกปฏิบัติ เนื่องจำกควำมแตกต่ำงด้ำนฐำนะ เชื้อชำติ สญั ชำติ ศำสนำ สงั คม สิทธิกำรเมือง เพศ อำยุ และลักษณะควำมเจ็บป่วย 3. ผู้ป่วยที่ขอรับบริกำรด้ำนสุขภำพมีสิทธิที่จะได้รับทรำบข้อมลู อย่ำงเพียงพอ และเข้ำใจชัดเจนจำกผู้ประกอบวิชำชีพด้ำนสุขภำพ เพื่อให้ผู้ป่วยเลือกตัดสินในกำรยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ ผู้ประกอบวิชำชีพด้ำนสขุ ภำพปฏิบตั ิต่อตน เว้นแต่เปน็ กำรช่วยเหลือรีบด่วนหรือจำเป็น 4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภำวะเสี่ยงอันตรำยถึงชีวิต มีสิทธิที่จะได้รับกำรช่วยเหลือรีบด่วนจำกผู้ประกอบวิชำชีพด้ำนสขุ ภำพ โดยทนั ทีตำมควำมจำเปน็ แก่กรณี โดยไม่คำนึงว่ำผ้ปู ่วยจะร้องขอควำมช่วยเหลือหรือไม่ 5. ผู้ป่วยมีสิทธิจะได้รับทรำบชื่อ สกุล และประเภทของ ผู้ประกอบวิชำชีพด้ำนสุขภำพ ที่เป็นผู้ให้บริกำรแก่ตน

27 6. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอควำมเห็นจำกผู้ประกอบวิชำชีพด้ำนสุขภำพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริกำรแก่ตนและมีสิทธิในกำรขอเปลี่ยนผู้ให้บริกำรและสถำนบริกำรได้ 7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับกำรปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จำกผู้ประกอบวิชำชีพด้ำนสุขภำพโดยเคร่งครดั เว้นแต่ได้รบั ควำมยินยอมหรือกำรปฏิบตั ิหน้ำทีต่ ำมกฎหมำย 8. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทรำบข้อมูลอย่ำงครบถ้วนในกำรตัดสินใจเข้ำร่วมหรือถอนตัวจำกกำรเป็นผู้ถกู ทดลองในกำรทำวิจยั ของผ้ปู ระกอบวิชำชีพด้ำนสุขภำพ 9. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทรำบข้อมูลเกีย่ วกับกำรรักษำพยำบำลเฉพำะตนที่ปรำกฏในเวชระเบียน เมื่อร้องขอ ท้ังนี้ข้อมูลดังกล่ำวต้องไม่เป็นกำรละเมิดสิทธิส่วนตวั ของบคุ คลอื่น 10. บิดำ มำรดำ หรือผู้แทนโดยชอบธรรม อำจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยเด็กทีม่ ีอำยุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ผ้บู กพร่องทำงกำยหรือจิต ซึ่งไม่สำมำรถใช้สิทธิด้วยตนเองได้บทบาทพยาบาลในการพทิ ักษส์ ิทธิผู้ปว่ ยข้อ 1 ผูป้ ่วยทกุ คนมีสิทธพิ ื้นฐานที่จะไดร้ บั บริการด้านสุขภาพ ตามบัญญตั ิไวใ้ นรัฐธรรมนญู 1. ให้กำรพยำบำลอย่ำงครอบคลมุ ท้งั ร่ำงกำย จิตสังคม 2. ให้กำรพยำบำลตำมมำตรฐำนกำรพยำบำล 3. ให้กำรต้อนรบั ผ้ปู ่วยทุกรำยด้วยอัธยำศยั อนั ดี ให้คำแนะนำเรื่องสถำนที่ กำหนดกำรและกำรปฏิบตั ิตวั ในหอผ้ปู ่วยด้ำนกำรมอบหมำยผ้รู บั ผิดชอบในแต่ละเวร ทำหน้ำที่ปฐมนิเทศผ้ปู ่วยและญำตเิ มื่อแรกรบั 4. ตรวจเยี่ยมทีเ่ ตยี งผ้ปู ่วยจำกทีมสุขภำพอย่ำงสมำ่ เสมอให้กดกริ่งเรียกเมื่อผ้ปู ่วยมีควำมไม่สขุ สบำยทั้งร่ำงกำยและจิตใจ 5. สอนและให้คำแนะนำกำรปฏิบัติตนแก่ผู้ป่วยทุกรำยอย่ำงต่อเนื่องตั้งแต่แรกรับจนกระท่งั กลับบ้ำน 6. ป้องกนั ผู้ป่วยไมใ่ ห้เกิดกำรติดเชื้อและให้กำรฟื้นฟรู ่ำงกำยผ้ปู ่วยเพือ่ ไม่ให้เกิดภำวะแทรกซ้อน 7. จดั ทำค่มู ือปฏบิ ตั ิงำนเพื่อเปน็ แนวทำงปฏิบตั ิสำหรับบุคลำกรพยำบำลในแต่ละหอผ้ปู ่วย 8. ประสำนงำนช่วยเหลือในกรณีผู้ป่วยไมม่ ีเงนิ ชำระค่ำรักษำพยำบำลข้อ 2 ผปู้ ว่ ยมีสิทธิทีจ่ ะรบั บริการจากผปู้ ระกอบวิชาชีพด้านสขุ ภาพ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนือ่ งจากความแตกตา่ งดา้ นฐานะ เชือ้ ชาติ สญั ชาติ ศาสนา สังคม ลิทธิการเมือง เพศ อายุ และลกั ษณะของความเจ็บปว่ ย 1. ปฏบิ ัติกำรพยำบำลตำมมำตรฐำนกำรพยำบำล โดยไม่เลือกปฏิบตั วิ ่ำจะเปน็ ผู้ป่วยพิเศษหรือสำมญั 2. ไม่เลือกปฏิบตั ิต่อผ้ปู ่วยตำมลักษณะของควำมเจบ็ ป่วยทีข่ ดั ต่อควำมเชือ่ เจตคติ/ทัศนคติของพยำบำลผ้ดู ูแล เช่น ผปู้ ่วยทีท่ ำแท้งโดยเจตนำ ป่วยกนิ ยำฆ่ำตวั ตำย เป็นต้น บุคลำกรทมี สุขภำพทกุ คนต้องปฏบิ ัติต่อผ้ปู ่วยด้วยควำมสุภำพ ปรำศจำกอคติ และเปน็ ไปตำมมำตรฐำนกำรพยำบำลเช่นเดียวกันกบั กำรปฏบิ ตั ิต่อผ้ปู ่วยที่มำด้วยสำเหตกุ ำรเจ็บป่วยอื่นๆขอ้ 3 ผปู้ ่วยทีข่ อรบั บริการด้านสขุ ภาพมีสิทธิที่จะได้รบั ทราบขอ้ มลู อยา่ งเพียงพอและเข้าใจชัดเจน จากผปู้ ระกอบวิชาชีพด้านสขุ ภาพ เพื่อใหผ้ ูป้ ่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสขุ ภาพปฏิบัติตอ่ ตน เวน้ แตเ่ ป็นการชว่ ยเหลือรีบดว่ นหรือจาเปน็ 1. ให้ข้อมูลด้ำนกำรรกั ษำแก่ผู้ป่วยและญำติในขอบเขตวิชำชีพอย่ำงชัดเจน 2. เปิดโอกำสให้ซักถำมก่อนให้ผ้ปู ่วยเซ็นยินยอมรับกำรรกั ษำ

28 3. ติดต่อประสำนงำนในกรณีที่ผ้ปู ่วยต้องกำรพบแพทย์ผู้รบั ผิดชอบ 4. ใหโ้ อกำสผ้ปู ่วยแสดงควำมเห็นและเข้ำร่วมปรกึ ษำกับทมี สุขภำพก่อนทีจ่ ะตดั สินใจเลือกวิธีกำรรกั ษำ 5. ให้โอกำสผ้ปู ่วยเลือกรปู แบบหรือวิธีกำรพยำบำลทผี่ ้ปู ่วยจะได้รบั 6. อธิบำยใหผ้ ้ปู ่วยทรำบทกุ ครั้งก่อนให้กำรรกั ษำพยำบำล 7. บอกวิธีกำรสังเกตอำกำรทีอ่ ำจจะเกิดอันเปน็ ผลจำกกำรใหก้ ำรรกั ษำพยำบำล 8. ตรวจสอบข้อมลู กำรรบั ร้ขู องผ้ปู ่วยว่ำเข้ำใจถกู ต้องด้วยภำษำที่เข้ำใจง่ำย 9. รบั ฟงั ปญั หำ ควำมคิดเห็นควำมต้องกำรและตอบข้อซกั ถำมของผ้ปู ่วยด้วยใจทีป่ รำศจำกอคติโดยไม่ แสดงสีหน้ำหรือท่ำทำงรำคำญ ข้อ 4 ผ้ปู ่วยที่อยใู่ นภาวะเสีย่ งอนั ตรายถึงชีวิต มีสิทธิทีจ่ ะไดร้ บั การชว่ ยเหลือรีบดว่ นจากผู้ประกอบ วิชาชีพด้านสขุ ภาพโดยทันทีตามความจาเปน็ แกก่ รณี โดยไม่คานึงว่าผู้ป่วยจะรอ้ งขอความช่วยเหลือ หรือไม่ 1. เมื่อพบผ้ปู ่วยอย่ใู นภำวะเสี่ยงต่ออันตรำยต้องให้ควำมช่วยเหลือโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ท้งั ส้ิน อย่ำงไรก็ตำม กำรช่วยเหลือรีบด่วนจะต้องคำนึงถึงควำมจำเปน็ แกก่ รณีด้วย มิใช่แฝงไว้ด้วยประโยชน์ทำงด้ำนกำรเงิน 2. หน่วยงำนต้องมกี ำรเตรียมควำมพร้อมของอุปกรณ์กำรช่วยเหลือชีวิตให้พร้อมปฏิบัตกิ ำรเสมอ 3. จดั ใหม้ ีกำรทบทวนปรบั ปรุงข้นั ตอนวธิ ีกำรช่วยชีวิตอย่ำงสม่ำเสมอเพื่อสำมำรถช่วยเหลือผ้ปู ่วยได้ ทนั เวลำ 4. จัดให้มีผ้รู บั ผิดชอบกำรช่วยเหลือผ้ปู ่วยทีอ่ ย่ใู นภำวะฉกุ เฉินในหน่วยงำนอย่ำงต่อเนื่องตลอดเวลำ ข้อ 5 ผู้ปว่ ยมีสิทธิที่จะไดร้ บั ทราบชอื่ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพดา้ นสขุ ภาพทีเ่ ปน็ ผู้ ให้บริการแก่ตน 1. ทำควำมเข้ำใจร่วมกันระหว่ำงบุคลำกรในทีมสุขภำพถึงบทบำทและหน้ำทรี่ บั ผิดชอบ 2. แนะนำตัวและบคุ ลำกรทีมสขุ ภำพทเี่ กี่ยวข้องแก่ผ้ปู ่วยและญำตกิ ่อนให้บริกำรตำมควำมเหมำะสม 3. สร้ำงวฒั นธรรมในกำรแนะนำตนเองทกุ ครั้งก่อนให้กำรพยำบำล 4. ปักหรือติดบตั ร ชือ่ – นำมสกุล ตำแหน่งที่ถกู ต้องของบุคลำกรทกุ ประเภทให้มองเหน็ ได้ชัดเจนและ อ่ำนง่ำย 5. ในหอผ้ปู ่วยนอก/ผ้ปู ่วยใน/ผ้ปู ่วยฉุกเฉนิ มีแผนภูมิแสดงสำยงำนบังคับบญั ชำพร้อมติดรูป ชื่อ – สกุล และตำแหน่งไว้หน้ำหน่วยงำน 6. ในหอผ้ปู ่วยนอก/ผ้ปู ่วยใน/ผ้ปู ่วยฉกุ เฉนิ เขียนชื่อ – สกลุ ของแพทย์ บุคลำกรพยำบำลและประเภท ของผ้ปู ระกอบวิชำชีพอื่นทีร่ ับผิดชอบในแต่ละเวรไว้ในสถำนทีท่ ี่มองเห็นเด่นชัด 7. ในหอผ้ปู ่วยในใหต้ ิดป้ำยชื่อแพทย์เจำ้ ของไข้ไว้ทกุ เตียงและหน้ำห้องผ้ปู ่วยทุกห้อง 8. หอผ้ปู ่วยนอกติดป้ำยชื่อแพทย์เวรทีอ่ อกตรวจทหี่ นำ้ ห้องตรวจโรค/โต๊ะตรวจโรคให้ผู้ป่วยมองเหน็ เด่นชดั ขอ้ 6 ผูป้ ว่ ยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผ้ปู ระกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอืน่ ที่มิไดเ้ ปน็ ผใู้ ห้บริการ แก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ใหบ้ ริการและสถานบริการได้ 1. เป็นตัวแทนผ้ปู ่วยและญำติในกำรเรียกร้องสิทธิ หำกผ้ปู ่วยไดร้ ับบริกำรทไี่ ม่มีคุณภำพ 2. ให้กำรพยำบำลผ้ปู ่วยอย่ำงดีแม้ผ้ปู ่วยจะปฏิเสธรบั กำรรกั ษำจำกหน่วยงำนของท่ำน

29 3. ให้ควำมช่วยเหลือประสำนงำนเมื่อผ้ปู ่วยแจ้งควำมจำนงขอเปลีย่ นผ้ใู ห้บริกำรหรือสถำนบริกำร 4. ให้ข้อมลู ผ้ปู ่วยในกำรเลือกผ้ใู ห้บรกิ ำรหรือสถำนบริกำรที่ผ้ปู ่วยประสงค์จะถกู ส่งไปรกั ษำต่อโดยใจที่ปรำศจำกอคติและคำนึงถึงประโยชน์ของผ้ปู ่วยเปน็ สำคัญ 5. แจ้งให้ผ้ปู ่วยหรือญำติทรำบว่ำผ้ปู ่วยสำมำรถจะกลับมำรับบริกำรจำกหน่วยงำนของท่ำนได้ตลอดเวลำโดยจะไม่เกิดผลกระทบใดๆ ในกำรรกั ษำพยำบำล 6. ให้ผ้ปู ่วยหรือญำติที่มีสิทธใิ นกำรดูแลผ้ปู ่วยลงนำมในเอกสำรว่ำไม่สมคั รอย่หู ลังจำกได้รบั คำบอกกล่ำวของแพทย์และพยำบำลและเข้ำใจถึงอันตรำยที่อำจเกิดขึ้นอย่ำงละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกำรฟ้องร้องว่ำละเลยท้ังทอี่ ย่ใู นภำวะอนั ตรำยขอ้ 7 ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะไดร้ บั การปกปิดขอ้ มูลเกี่ยวกบั ตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ โดยเครง่ ครัด เวน้ แตจ่ ะได้รบั ความยินยอมจากผูป้ ่วยหรือการปฏิบตั ิหนา้ ที่ตามกฎหมาย 1. ผ้ปู ่วยทกุ รำยได้รบั กำรรักษำควำมลบั เกี่ยวกับข้อมลู กำรเจบ็ ป่วยของตน เว้นแต่จะได้รบั ควำมยินยอมจำกผ้ปู ่วยหรือเมื่อเจ้ำพนักงำนต้องปฏิบตั ิตำมหน้ำที่ 2. อภิปรำยข้อมูลผ้ปู ่วยเฉพำะผ้รู ่วมทีมสขุ ภำพและเฉพำะส่วนทเี่ กี่ยวข้องกบั กำรรกั ษำพยำบำลเท่ำนั้น 3. ไม่นำเรื่องผ้ปู ่วยมำถกเถียงหรือวิจำรณ์ให้ผ้อู ื่นได้ยนิ โดยเฉพำะในที่สำธำรณะ 4. จัดสถำนที่ทีเ่ หมำะสมในกำรให้คำปรึกษำหรือคำแนะนำแก่ผู้ป่วย 5. ไม่วำงแฟ้มประวัติหรือเขียนชื่อโรคไว้ทีป่ ลำยเตียง/หน้ำห้องผ้ปู ่วยเพรำะข้อมลู ควำมเจ็บป่วยอำจมีผลเสียหำยต่อผ้ปู ่วยหรือครอบครวั 6. ไม่ตอบข้อมูลด้ำนกำรรกั ษำพยำบำลของผ้ปู ่วยทำงโทรศัพท์หรอื พิจำรณำตรวจสอบใหแ้ นใ่ จก่อนให้ข้อมูล 7. จัดเก็บรำยงำนผู้ป่วยไว้เปน็ สัดส่วนและทบทวนระเบียบกำรหยิบยืมแฟม้ ประวตั ิ/เวชระเบียนผ้ปู ่วยเมื่อมีกำรส่งไปให้คำปรึกษำ/กำรส่งต่อหรือกำรนำไปเพือ่ ใช้ในกำรศึกษำ 8. จดั ทำระเบียบกำรขอสำเนำเวชระเบียนของผ้ปู ่วยหรือกำรแจ้งข้อมูลของผ้ปู ่วยต่อบคุ คลที่สำมเพือ่เปน็ แนวทำงปฏิบตั ิแกบ่ ุคลำกรในหน่วยงำนและป้องกันกำรนำควำมลบั ของผ้ปู ่วยไปใช้ในทำงเสื่อมเสียแก่ผ้ปู ่วยหรือครอบครวัข้อ 8 ผู้ปว่ ยมีสิทธิทีจ่ ะไดร้ ับทราบขอ้ มลู อย่างครบถ้วนในการตัดสินใจเขา้ รว่ ม หรือถอนตัวจากการเปน็ผู้ถกู ทดลองในการทาวิจัยของผูป้ ระกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ 1. จัดต้ังคณะกรรมกำรหรือหน่วยงำนในโรงพยำบำลทำหน้ำทรี่ ับผิดชอบกำรวิจยั /กำรทดลองที่มีกำรเก็บรวบรวมข้อมลู โดยใช้ข้อมูลทีเ่ ปน็ ของผ้ปู ่วยเพือ่ ไม่ให้ผู้ป่วยได้รบั อันตรำยหรือถูกละเมิดสิทธิส่วนบคุ คล 2. ให้ข้อมลู รำยละเอียดทีช่ ่วยให้ผปู้ ่วยตดั สินใจเข้ำร่วมกำรวิจัย/ทดลองและเคำรพกำรตดั สินใจของผ้ปู ่วย 3. ชี้แจงให้ผปู้ ่วยทรำบว่ำผ้ปู ่วยมีสิทธทิ จี่ ะตอบรับหรือปฏิเสธกำรเข้ำร่วมกำรวิจัย/ทดลองโดยยืนยนั ว่ำจะไม่มีผลใดๆ ต่อคณุ ภำพกำรรักษำพยำบำลและกำรดแู ลที่จะได้รบั 4. บอกให้ผปู้ ว่ ยทรำบถงึ วตั ถปุ ระสงค์ วิธีกำร ระยะเวลำ ขอบเขตกำรวิจัย/กำรทดลองอย่ำงชดั เจน 5. อธิบำย ตอบข้อข้องใจ ให้ข้อมูลภำวะแทรกซ้อนหรืออนั ตรำยทอี่ ำจเกิดขึ้นตลอดจนวิธีกำรปฏิบตั ิตนระหว่ำงหรือหลงั ทำกำรวิจัย/ทดลอง

30 6. ไม่เปิดเผยชือ่ ทีอ่ ยู่ ข้อมลู ของผ้ปู ่วยทเี่ ข้ำร่วมกำรวิจยั /ทดลองขอ้ 9 ผู้ป่วยมีสิทธิทีจ่ ะได้รับทราบขอ้ มลู เกีย่ วกับการรกั ษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฏในเวชระเบียนเมื่อรอ้ งขอ ท้งั นี้ข้อมลู ดังกลา่ วตอ้ งไมเ่ ปน็ การละเมิดสิทธิส่วนตวั ของบคุ คลอืน่ 1. หน่วยงำนจดั ประชมุ และหำข้อตกลงรว่ มกันถึงแนวทำงปฏิบตั ใิ นกำรให้ข้อมูลเกี่ยวกับกำรรกั ษำพยำบำลว่ำข้อมลู ใดเปิดเผยได้ ข้อมลู ใดเปิดเผยไม่ได้และใครเปน็ ผ้รู บั ผิดชอบในกำรให้ข้อมูลแก่ผ้ปู ่วยและญำติ 2. ผ้ปู ่วยมีสิทธิจะทรำบและขอดผู ลกำรวินิจฉยั โรค ผลกำรตรวจร่ำงกำยและผลกำรตรวจทำงห้องทดลองของตนได้ 3. กรณีแพทย์วินิจฉยั ว่ำผ้ปู ่วยป่วยเปน็ โรคร้ำยแรงหรือต้องใหก้ ำรรกั ษำพยำบำลด้วยวิธีพิเศษทีอ่ ำจเสีย่ งต่อภำวะสขุ ภำพ ด้ำนร่ำงกำยหรือจติ ใจ พยำบำลควรประเมนิ ควำมพร้อมของผ้ปู ่วยก่อนแจ้งข้อมูล 4. อธิบำยให้ผ้ปู ่วยทรำบข้อมลู เกี่ยวกับกำรรกั ษำพยำบำลด้วยภำษำที่เข้ำใจง่ำย 5. ผ้ปู ่วยสำมำรถเปน็ ผู้ขอข้อมูลเองหรือมอบหมำยให้ผ้อู ื่นกระทำแทนตำมวธิ ีทำงกฎหมำยได้ 6. ตรวจสอบกำรยนิ ยอมให้เปิดเผยข้อมูลของผ้ปู ่วยต่อบุคคลทีส่ ำม เช่น กำรสมคั รงำน กำรประกนัชีวิตหรือกำรประกนั สุขภำม 7. ไม่นำเรื่องรำวของผ้ปู ่วยไปเปิดเผยต่อสื่อมวลชน ถ้ำจำเปน็ ต้องไม่เปิดเผยชือ่ ผ้ปู ่วยหรือปิดส่วนของใบหน้ำทจี่ ะทำให้ผู้อืน่ จำได้ โดยต้องได้รบั ควำมยินยอมจำกผ้ปู ่วยก่อนเช่นกนัข้อ 10 บิดา มารดาหรือผแู้ ทนโดยชอบธรรมอาจใชส้ ิทธิแทนผปู้ ่วยที่เป็นเด็กอายยุ งั ไมเ่ กิน 18 ปีบริบรู ณ์ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึง่ ไมส่ ามารถใช้สิทธิดว้ ยตนเองได้ 1. ให้ข้อมลู รำยละเอียดที่เกยี่ วข้องกับกำรรกั ษำพยำบำลของผ้ปู ่วยที่ยงั อำยไุ ม่เกิน 18 ปีบริบรู ณ์/ผู้บกพร่องทำงกำยหรือจิต และเปิดโอกำสบิดำ มำรดำหรือผ้แู ทนโดยชอบธรรมตัดสินใจเกี่ยวกับกำรรักษำพยำบำลและเคำรพกำรตดั สินใจของผ้ตู ัดสินใจ1.3.3 การเสริมสร้างทัศนคติของพยาบาลในการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Health Care) เป็นกำรดูแลสุขภำพที่มีกำรบูรณำกำรควำมรู้ด้ังเดิมเข้ำกับกำรบำบัดเสริมเพื่อส่งเสริมให้เกิดสขุ ภำวะที่ดีและป้องกันรักษำโรคในปัจจุบันมีกำรนำกำรดูแลสุขภำพแบบองค์รวมไปใช้ในกำรบำบัดรักษำ โดยครอบคลุมมิติทำงด้ำนร่ำงกำยจิตใจอำรมณ์ สังคมและจิตวิญญำณหรืออำจกล่ำวได้ว่ำเป็นกำรดูแลท้ังด้ำนBody-Mind Healing เป็นกำรส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดกำรบูรณำกำรภำวะกำยจิตและจิตวิญญำณโดยพยำบำลวิเครำะห์แบบแผนชีวิตตำมธรรมชำติของผู้ป่วยเพื่อดำรงและส่งเสริมกำรเยียวยำ (healing) และ SpiritualHealing จิตวิญญำณเป็นหน่วยรวมพลังของบุคคลที่มีควำมสำคัญต่อกำรปรับแปลงควำมคิดและกำรให้ควำมหมำยต่อตนเองของบุคคลเป็นพลังควำมเข้มแข็งที่อยู่ภำยในแต่ละบุคคลมีประสบกำรณ์ และกำรแสดงออกทำงด้ำนจิตวิญญำณในควำมสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้อื่นโดยผ่ำนทำงควำมรักกำรดูแลอย่ำงเอื้ออำทรกำรยอมรับกำรสนับสนุนให้กำลังใจและกำรมีไมตรีจิต ซึ่งทัศนคติและแนวปฏิบัติในกำรพยำบำลแบบองค์รวมมีดงั นี้ 1. พยำบำลต้องตระหนักถึงคนในลักษณะองค์รวม ที่ไม่สำมำรถแยก กำย จิต สังคม และวิญญำณออกจำกกนั ได้ 2. พยำบำลต้องสร้ำงสภำพแวดล้อมทีส่ ่งเสริมกำรมีปฏิสมั พันธ์ระหว่ำงพยำบำลกับผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำร 3. พยำบำลต้องเปิดโอกำสให้ผู้ป่วย/ผ้ใู ช้บริกำร เข้ำมำมีส่วนร่วมในกำรดูแลสุขภำพของตนเอง

31 3.1 พยำบำลประเมินผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำรอย่ำงสมบูรณ์และต้องให้ควำมสนใจถึงผลกระทบจำกปัญหำสขุ ภำพต่อผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำรและครอบครัวทุกด้ำน 3.2 พยำบำลร่วมกบั ผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำรในกำรแยกแยะปญั หำ/ควำมต้องกำร กำรวำงเป้ำหมำยในกำรพยำบำล 3.3 พยำบำลปรึกษำหำรือกับผู้ป่วย/ผ้ใู ช้บริกำร ถึงแผนกำรพยำบำลที่ช่วยให้บรรลุเป้ำหมำยกำรพยำบำลที่วำงไว้ 3.4 พยำบำลปฏิบัติตำมแผนที่วำงไว้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่ำงๆ ท้ังบุคคลทรพั ยำกร เทคโนโลยีอย่ำงเหมำะสม 3.5 พยำบำลร่วมกับผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำร ประเมินผลกำรปฏิบัติกำรพยำบำลว่ำบรรลุเป้ำหมำยที่วำงไว้หรือไม่ 3.6 ถ้ำกำรปฏิบตั ิกำรพยำบำลไม่บรรลเุ ป้ำหมำยที่วำงไว้ พยำบำลร่วมกบั ผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำรปรบั เปลีย่ นเพือ่ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สดุ 4. พยำบำลจะต้องมีทักษะในกำรติดต่อสื่อสำรและสร้ำงสัมพันธภำพเชิงบำบัดกับผู้ป่วย/ผู้ใช้บริกำรสมั พันธภำพทีด่ ีจะมีส่วนช่วยให้กระบวนกำรฟืน้ หำยจำกกำรเจบ็ ป่วย 5. พยำบำลต้องสำมำรถให้ข้อมลู และควำมร้ตู ่ำง ๆกบั ผู้ป่วย/ผ้ใู ช้บริกำร และประชำชนได้ 6. พยำบำลสำมำรถเสริมสร้ำงพลังอำนำจให้กับผู้ป่วย/ผ้ใู ช้บริกำร ในกำรดแู ลสุขภำพของตนเอง 7. พยำบำลต้องสนับสนนุ กระบวนกำรฟื้นหำยและกำรเจริญพัฒนำของผ้ปู ่วย/ผ้ใู ช้บริกำร โดยกำรดแู ลเอำใจใส่อย่ำงเอ้อื อำทร 8. พยำบำลส่งเสริมและสนับสนุนกำรใช้วิธีพื้นบ้ำน หรือวิธีอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ในกำรส่งเสริมสขุ ภำพกำรป้องกนั โรค อย่ำงเหมำะสม จะเห็นว่ำสุขภำพของคนไม่ได้เป็นเรื่องโดดๆ แยกจำกสิ่งแวดล้อม ถ้ำสิ่งแวดล้อมมีมลภำวะท้ังกลิ่นเสียง ควันพิษ เป็นต้น จะมีผลต่อสุขภำพของคนเช่นกัน หรือคนที่อยู่ในครอบครัวซึ่งขำดควำมรัก ขำดกำรดแู ลเอำใจใส่ต่อกัน ทะเลำะเบำะแว้งกัน ย่อมมีผลต่อสุขภำพจิตของบุคคลที่อยู่รอบข้ำงเป็นอย่ำงมำก พยำบำลจึงต้องเข้ำใจควำมสัมพันธ์ของคน สิ่งแวดล้อม และสุขภำพ เนื่องจำกพยำบำลมีหน้ำที่ให้บริกำรกับคนในเรื่องสุขภำพ ดังน้ัน กำรมองคนและสุขภำพในลักษณะองค์รวม จึงเป็นข้อบ่งชี้ของกำรพยำบำลแบบองค์รวม และกำรพยำบำลแบบองค์รวมเปน็ หัวใจสำคญั ของศำสตร์ทำงกำรพยำบำลมำช้ำนำน --------------------------------

32 หนงั สืออา่ นประกอบจันทร์เพ็ญ สันตวำจำ. (2552). แนวคิดพื้นฐาน ทฤษฎีและกระบวนการพยาบาล. พิมพ์คร้งั ที่ 5. นนทบรุ ี : โครงกำรสวัสดิกำรวิชำกำร สถำบันพระบรมรำชชนก.เรณู สอนเครือ. (2552). แนวคิดพื้นฐานและหลกั การพยาบาล เลม่ 1. พิมพ์คร้งั ที่ 9. นนทบรุ ี : โครงกำรสวัสดิกำรวิชำกำร สถำบนั พระบรมรำชชนก.สปุ ำณี เสนำดิสัย และวรรณภำ ประไพพำนิช. (2554). การพยาบาลพื้นฐาน แนวคิดและการปฏิบัติ. พิมพ์คร้ังที่ 13. กรงุ เทพฯ : โรงเรียนพยำบำลรำมำธิบดี.Christensen, B. L. &Kockrow, E. O. (2011). Foundations of Nursing. 6thed. St. Louis : Mosby Elsevier.Craven, R. F. &Hirnle, C. J. (2009). Fundamental of Nursing : Human Health and Function. 6thed. New York : Lippincott Williams & Wilkins.Daniels, R., Grendell, R. N., & Wilkins, F. R. (2010). Nursing Fundamentals : Caring & Clinical Decision Making. 2nded. London : Delmar Cengage Learning.Dewit, S. C. (2009). Fundamental Concepts and Skills for Nursing. 3rded. St. Louis : Saunders.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook