Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore งานนำเสนอ1

งานนำเสนอ1

Published by somkhana2548, 2020-06-19 01:22:16

Description: งานนำเสนอ1

Search

Read the Text Version

พฒั นาการดา้ นการเมืองการปกครอง โดยทวั& ไปกลา่ วได้วา่ ในอดีตดินแดนสว่ นใหญ่ของทวีปยโุ รปมี กษัตริย์เป็นประมขุ สงู สดุ แม้แต่ในสมยั กรีกเรืองอํานาจเม&ือ กว่า ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ระบอบการปกครองแบบ กษัตริย์ก็เป็นที&รู้จกั กนั แพร่หลายแล้ว ในสมยั จกั รวรรดิโรมนั (๒๗ ปี ก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ.๔๗๖) พระประมุขสูงสุด เรียกว่า ซีซาร์หรือจักรพรรดิซ&ึงทรงปกครองอาณาบริเวณ กว้างขวางครอบคลุมพืนZ ที&ในยุโรปและบางส่วนของเอเชียและ แอฟริกา

เม$ือจกั รวรรดิโรมนั ลม่ สลายลงใน ค.ศ. ๔๗๖ ยโุ รปได้เข้าสสู่ มยั กลาง ท$ี ระยะแรกๆบ้านเมืองแตกแยกจากการเข้ารุกรานของพวกอนารยชนเผ่า กอทหรือชนเผ่าเยอรมันท$ีอพยพลงมาจากตอนเหนือ ระบอบการ ปกครองแบบรวมศูนย์อํานาจของโรมสลายตัว บ้านเมืองไร้ ขื$อแป ประมวลกฎหมายโรมันท$ีใช้บังคับทั$วทังQ จักรวรรดิถูกละทิงQ เกิดเป็น ระบอบการปกครองแบบฟิ วดลั หรือการปกครองแบบกระจายอํานาจ การปกครองตกอย่ใู นมือของขนุ นางเจ้าของที$ดิน และมีการใช้กฎหมาย จารีตประเพณีของพวกอนารยชนแทนประมวลกฎหมายโรมนั อย่างไรก็ ดี กษัตริย์ก็ยงั คงได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าของแผ่นดินและได้รับการ ยกย่องว่าเป็นพระประมุข (แต่ไม่มีอํานาจ) แต่ในปลายสมัยกลาง กษัตริย์ต่างสามารถสถาปนาอํานาจปกครองแบบรวมศนู ย์อํานาจและ สร้ างรัฐชาติ ท$ีรวมดินแดนต่างๆ เข้าเป็นชาติเดียวกันได้ ซ$ึงพระราช อํานาจในการปกครองของกษัตริย์ในดินแดนต่างๆ มีพัฒนาการท$ี แตกตา่ งกนั ดงั นี Q

ระบอบกษตั ริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในองั กฤษ พระเจ้าจอห์น (ค.ศ.๑๑๙๙-๑๒๑๖) ทรงยอมรับแมก นาคาร์ตา (Magna Carta ค.ศ.๑๒๑๕) หรือมหากฎบตั ร (Great Charter) ทBี ขนุ นาง พระ พอ่ คา้ และประชาชนรวมตวั กนั บีบบงั คบั ใหพ้ ระองคย์ อมรับ ขอ้ ตกลงทBีเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรในการจาํ กดั พระราชอาํ นาจไม่ให้ใชพ้ ระ ราชอาํ นาจเกินขอบเขตในการเก็บภาษีอากร การลงโทษและอBืนๆ ต่อมา ไดเ้ กิดรัฐสภา (parliament) ทีBประกอบดว้ ย สภาขนุ นาง (House of Lords) และ สภาสามญั (House of Commons) ทBีมีส่วนสาํ คญั ในการลดอาํ นาจ สิทธWิของกษตั ริย์ ต่อมาเมBือกษตั ริยพ์ ยายามจะละเลยอาํ นาจของรัฐสภา สภาและประชาชน ไดร้ ่วมกนั ก่อการปฏิวตั ิอนั รุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ขZึนใน ค.ศ. ๑๖๘๘ ขบั กษตั ริยอ์ อกจากบลั ลงั โดยไม่มีการนองเลือดและให้กษตั ริย์ พระองค์ใหม่ยอมรับในอาํ นาจของรัฐสภา นับเป็ นการสิZนสุดของการ พยายามใชอ้ าํ นาจปกครองอย่างเด็ดขาดของกษตั ริย์ และเป็ นจุดเรBิมตน้ ของการปกครองแบบกษตั ริยภ์ ายใตร้ ัฐธรรมนูญอย่างแทจ้ ริง ทZงั ยงั ยุติ ปัญหาความแตกแยกทางศาสนาภายในประเทศโดยกาํ หนดใหก้ ษตั ริยต์ อ้ ง ทรงนบั ถือและเป็ นองคศ์ าสนูปถมั ภกของนิกายแองกลิคนั (Anglicanism) หรือนิกายองั กฤษ (Church of England)

ระบอบกษตั ริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่วนฝรัBงเศสและประเทศมหาอาํ นาจในอดีตอืBนๆ ได้แก่ ปรัสเซีย (รัฐหนBึงในดินแดนเยอรมนั ต่อมามีบทบาทเป็ น ผูน้ าํ ในการรวมชาติเยอรมนีใน ค.ศ.๑๘๗๑) ออสเตรีย และ รัฐเซียนZัน กลับมีพัฒนาการระบอบการปกครองแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย(์ Absolutism) ฝรัBงเศสใน ค.ศ. ๑๖๑๔ หลังเกิดเหตุความวุ่นวายและ สงครามกบั สเปน สภาฐานนั ดร (Estates General) ซBึงเป็น ตัวแทนของชนชZันต่างๆ ได้ประกาศยุบตัว และประกาศ ให้ “อาํ นาจอธิปไตรสูงสุดเป็ นของกษตั ริยเ์ พราะทรงเป็ นผู้ ไดร้ ับมงกุฎจากพระเป็ นเจา้ ” จึงทาํ ให้ไม่มีการเรียกประชุม สภาฐานนั ดรอีกเลยเป็ นเวลา ๑๗๕ ปี จนก่อนเกิดการปฏิวตั ิ ฝรBังเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ (French Revolution of 1789) ทาํ ให้ กษตั ริยฝ์ รBังเศสไม่มีสภาทBีจะควบคุมการใชพ้ ระราชอาํ นาจ พระราชอาํ นาจของกษตั ริยจ์ ึงไดเ้ พิBมพนู ขZึนอีก

หลงั จากสงครามสามสิบปี (Thirty Years’ War ค.ศ. ๑๖๑๘-๑๖๔๘) ซBึงเกิด จากความขดั แยง้ ระหวา่ งนิกายโรมนั คาทอลิกกบั นิการโปรเตสแตนตส์ ิZนสุด ลง มหาอาํ นาจต่างๆ ดังกล่าวขัดแยง้ (ยกเวน้ รัฐเซียทBีไม่ได้เข้าร่วมใน สงครามด้วย) ก็จัดการปกครองแบบรวมศูนยอ์ าํ นาจให้อยู่ในเมืองของ กษตั ริยเ์ พืBอใชเ้ ป็ นเครBืองมือทีBมีประสิทธิภาพในการสร้างและขยายอาํ นาจ ของรัฐ โดยฝรBังเศสภายใตก้ ารปกครองของพระเจ้าหลุยส์ทีB ๑๔ (Louis XIV, ค.ศ. ๑๖๔๓-๑๗๑๕) ผงาดขZึนเป็นมหาอาํ นาจประเทศแรก มีกองทพั ขนาดใหญ่ทBีมีประสิทธิภาพและดาํ เนินนโยบายขยายอาํ นาจพรมแดนพวก ขนุ นางต่างสูญเสียอาํ นาจทางการเมืองและเปลีBยนสถานภาพเป็นขา้ ราชการ ลักษณะของระบอบการปกครองทีBมีกษัตริย์เป็ นศูนย์กลางแห่งอาํ นาจ ดงั กล่าวนZีก็ไดร้ ับการพฒั นาขZึนในปรัสเซีย และประสบความสาํ เร็จในสมยั ของพระเจา้ เฟรเดริกมหาราช (Frederick the Great, ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๘๖) อ อ ส เ ต รี ย ใ น ส มั ย ข อ ง จั ก ร พ ร ร ดิ นี ม า เ รี ย เ ท เ ร ซ า ( Maria Theresa ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๘๐) ส่วนรัฐเซียในสมยั ของซาร์ปี เตอร์มหาราช (Peterthe Great, ค.ศ. ๑๖๘๒-๑๗๒๕) และซารีนาแคเทอรีนมหาราช (Catherine the Great, ๑๗๖๒-๑๗๙๖) ซBึงไดม้ ีการเรียกช่วงระยะเวลา ดงั กล่าวนZีวา่ ยคุ แห่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Age of Absolutism)

ในการปฏิวตั ิฝรัBงเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ ไดม้ ีความพยายามทBีจะลดอาํ นาจ ของกษัตริ ย์และนําไปสู่การสถาปนาระบอบการปกครองแบบ สาธารณรัฐขZึนใน ค.ศ. ๑๗๙๒ แต่ไม่ประสบความสาํ เร็จ ฝรBังเศสหนั กลบั ไปปกครองในระบอบกษตั ริยอ์ ีกครZังในสมยั จกั พรรดินโปเลียนทBี ๑ (Napoleon I, ค.ศ.๑๘๐๔-๑๘๑๕) ความพยายามจะขยายอาํ นาจของ ฝรBังเศสไปทวัB ยุโรปก่อให้เกิดการรวมตวั ของมหาอาํ นาจอืBนๆ เพBือ หยดุ ยZงั จกั รพรรดินโปเลียนทีB ๑ และสามารถรบชนะกองทพั ฝรBังเศส ไดใ้ น ค.ศ. ๑๘๑๕ หลงั จากนZันมีการฟZื นฟูราชวงศ์ต่างๆ ทBีสูญเสีย อาํ นาจไประหวา่ งสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars, ค.ศ. ๑๘๐๔- ๑๘๑๕) รวมทZงั ราชวงศบ์ ูร์บง (Bourbon) ของฝรBังเศสดว้ ย อยา่ งไรก็ดี ในคริสตศ์ ตวรรษทBี ๑๙ อาํ นาจของกษตั ริยเ์ รBิมถูกต่อตา้ น มีการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ จากการแพร่ขยายของลทั ธิเสรีนิยมและ ชาตินิยม ทาํ ใหร้ ูปแบบการปกครองประเทศต่างๆ มีการเปลBียนแปลง เกิดการปฏิวตั ิในดินแดนต่างๆ ทวัB ยุโรปเป็ นละลอกๆ รัฐสภาจึงมี บทบาทสาํ คญั ขZนั และกษตั ริยต์ อ้ งตกอยภู่ ายใตอ้ าํ นาจการควบคุมของ รัฐสภาในระดบั หนBึง ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๗๑-๑๙๑๔ ชาวยุโรปจาํ นวน หนBึงจึงเห็นวา่ เป็น ระยะเวลาอนั งดงาม (The Beautiful Times) ทีB ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพ

ทZงั ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ก็นาํ มาซBึงความสะดวกสบายแก่ชีวิต ดว้ ย ขณะเดียวกนั หลกั การของรัฐบาลทBีเป็นตวั แทนของประชาชนก็ เป็นทBียอมรับกนั โดยทวัB ไป พลเมืองเพศชายในประเทศต่างๆ ไดร้ ับ สิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตZงั อยา่ งไรก็ดี ในทางตรงกนั ขา้ ม ลทั ธิมากซ์ทBีเกิดขZึนกม็ องเห็นการเอารัดเอาเปรียบของนายทุนต่อชน ชZันแรงงานและต้องการเลีBยนแปลงระบบการเมืองการปกครอง เพืBอใหส้ ังคมปราศจากชนชZนั และมีความเสมอภาคกนั โดยทBีชนชZนั แรงงานมีบทบาทเป็นผนู้ าํ ในการปกครอง เมBือสงครามโลกครZังทBี ๑ (ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘) สิZนสุดลง ระบอบ การปกครองแบบกษตั ริยใ์ นรัสเซีย เยอรมนี และออสเตรียก็สิZนสุด ลงพร้อมกบั เกิดระบอบการปกครองแบบสังคมนิยมขZึนในรัสเซีย ฝรัBงเศสไดเ้ ปลีBยนระบอบการปกครองเป็ นสาธารณรัฐตZงั แต่ ค.ศ. ๑๘๗๑ ส่วนเยอรมนีและออสเตรียก็มีการสถาปนาระบอบการ ปกครองแบบสาธารณรัฐ ระหว่าง ทศวรรษ ๑๙๒๐-กลางทศวรรษ ๑๙๓๐ อิตาลีซBึงมีเบนีโต มุสโสลีนี (Benito Mussolini) และเยอรมนี มีอดอลฟ์ ฮิตเลอร์

เป็ นผูน้ าํ ไดป้ ระกาศปกครองประเทศดว้ ย ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ (Fascism) หรือระบอบเผดจ็ การทหาร ทBีผนู้ าํ มีอาํ นาจควบคุมกาํ ลงั ทหาร ตาํ รวจ และเป็ นพรรคการเมืองเดียว โดยประชาชนตอ้ งจงรักภกั ดี มี ความศรัทธาและความเชืBอมัBนในผูน้ ํา ลทั ธิฟาสซิสต์จึงมีส่วนทาํ ให้ เยอรมนีเหิมเกริมและก่อสงครามโลกครZังทีB ๒ (ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕) ระบอบการปกครองในทวปี ยุโรปสมยั ปัจจุบัน หลงั สงครามโลกครZังทBี ๒ ระบอบการปกครองของยโุ รปแยกออกเป็ น ๒ ระบอบอยา่ งเด่นชดั ดงั นZี ๑) ระบอบประชาธิปไตย เป็ นระบอบทีBเน้นความเป็ นปัจเจกบุคคลนิยม (individualism) เหตุผลนิยม (rationalism) และเสรีภาพ (freedom) หลกั การสําคญั ของแนวความคิดประชาธิปไตย คือ สิทธิ เสรีภาพของ ประชาชน ประชาชนเป็ นทBีมาของอาํ นาจอธิปไตย ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคภายใตก้ ฎหมาย การปกครองระบอบประชาธิปไตยมี ตน้ กาํ เนิดมาตZงั แต่สมยั กรีกโบราณ เมBือกวา่ ๕๐๐ ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช โดย นครรัฐเอเธนส์เป็นดินแดนแห่งแรกทBีใหส้ ิทธิแก่พลเมืองเพศชายทBีเป็นเสรี ชนทุกคนมีสิทธิในการเลือกตZงั และเขา้ นBังในสภา ทZงั ยงั ดาํ รงตาํ แหน่ง ผูป้ กครองได้ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็ นระบอบการ ปกครองทีBประชาชนมีอาํ นาจสูงสุด โดยมีรัฐสภาทาํ หนา้ ทีBเป็นตวั แทนของ ประชาชน

๒) ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ เป็ นระบอบการปกครองทBีอ้าง อุดมการณ์ของลทั ธิมากซ์ในการสร้างสังคมทีBปราศจากชนชZนั และมี ความเสมอภาคกนั ในดา้ นต่างๆ โดยชนชZนั แรงงานเป็ นผูป้ กครอง ประเทศระอบเผด็จการคอมมิวนิสตม์ ีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ผูน้ าํ พรรคคอมมิวนิสต์และผูน้ าํ รัฐเป็ นคนเดียวกนั สหภาพโซเวียต เป็ นประเทศแรกทีBมีการปกครองในระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ ภายหลังการปฏิวัติรัสเซียในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ หลัง สงครามโลกครZังทีB ๒ ก็มีประเทศอืBนปกครองในระบอบเผด็จการ คอมมิวนิสต์อีก ๑๖ ประเทศ แต่เมืBอสหภาพโซเวียตล่มสลายลงใน ค.ศ. ๑๙๙๑ กเ็ หลือเพียงไม่กBีประเทศ เช่น จีน คิวบา เกาหลีเหนือ เป็น ต้น ส่วนบรรดาประเทศบริวารของสหภาพโซเวียตเดิม (รวมทZัง รัสเซีย) ก็ตอ้ งปฏิรูปการปกครองตนเองในแนวทางของระบอบการ ปกครองแบบประชาธิปไตยดว้ ย

พฒั นาการดา้ นการเมืองการปกครอง ระหวา่ ง ค.ศ. ๔๗๖-๑๐๕๐ หรือสมยั กลางตอนตน้ ชาวไร่ชาวนา ส่วนใหญ่ต่างสูญเสียอิสรภาพและกลายเป็ นทาสติดทีBดิน (serf) ตอ้ งอยู่ในสังกดั ของขุนนางเจา้ ของทBีดินและดาํ รงชีวิตอยู่ใน เขตแมเนอร์ (manor) ซBึงเป็นเขตทBีดินในปกครองของขนุ นาง และเป็ นทBีเพาะปลูกและอยู่อาศยั โดยมีเขตทBีเป็ นทีBตZงั ปราสาท ของขุนนางเจา้ ของทีBดิน และเขตหมู่บา้ นซBึงเป็ นเขตทีBอยู่อาศยั ของพวกทาสติดทีBดินและชาวไร่ชาวนาบางคนทBีเป็ นเสรีชน เศรษฐกิจในเขตแมเนอร์เป็ นเศรษฐกิจพอเลZียงตนเอง (self- sufficient economy) ทีBชาวไร่ชาวนาต่างประกอบอาชีพพอกิน พอใชแ้ ละผลิตสินคา้ เพBือใชเ้ องหรือแลกเปลBียนกนั การคา้ ทีBเคย รุ่งเรืองในสมยั จกั รวรรดิโรมนั ตอ้ งหยดุ ชะงกั เป็นเวลากวา่ ๕๐๐ ปี ก่อนทีBยโุ รปจะฟZื นตวั จนสามารถสร้างความเป็ นปึ กแผน่ และ ปลอดภยั จากการรุกรานของพวกอนารยชน จาํ นวนประชากร ได้เพBิมมากขZึนและสามารถผลิตสิ นค้าเพืBอการค้าขายทZัง ภายในประเทศและส่งออกได้

การฟZื นตวั ของเศรษฐกิจและสังคมของยุโรป ส่วนหนBึงเป็ นผลจาก สงครามครูเสด (Crusades, ค.ศ. ๑๐๙๖-๑๒๙๑) ทBีชาวคริสตร์ บกบั ชาว มุสลิมในดินแดนตะวนั ออกกลาง และมีโอกาสนาํ เอาความรู้ ความ เจริญ และศิลปะวิทยาการของโลกตะวนั ออกกลบั มาเผยแพร่ให้แก่ โลกตะวนั ตกหลังจากทBีความรู้ต่างๆ เหล่านZีหายไปในสมัยกลาง ตอนตน้ ส่วนสินคา้ ทีBโลกตะวนั ตกตอ้ งการ ไดแ้ ก่ เครืBองเทศ นZาํ ตาล ขา้ ว ส้ม มะนาว พริกไทย ผา้ ไหม และพรม โดยมีพ่อคา้ อิตาลีเป็ นคน กลางและให้อิตาลีเป็ นดินแดนทBีมงBั คงัB ทBีสุดในทวีปยุโรป พ่อคา้ อิตาลี ซBึงเป็นทีBรู้จกั กนั ดีไดแ้ ก่ มาร์โก โปโล (Marco Polo) ชาวเวนิส ได้ เดินทางไปค้าขายจนถึงเมืองจีน และกลับมาเล่าเรืB องราวความ เจริญรุ่งเรืองและวฒั นธรรมของโลกตะวนั ออกจนเป็นทีBรู้จกั แพร่หลาย ในช่วงระยะเวลาดงั กล่าว เมือง (town, city) กลายเป็นทBีตZงั ของ ศูนยก์ ลางการคา้ และเศรษฐกิจ องคก์ รการคา้ และองคก์ รช่างฝีมือแต่ละ ประเภท ซBึงเรียกวา่ กิลด์ (guild) กลายเป็นทีBฝึกงานเพBือพฒั นาฝีมือ เกิด ระบบทุนนิยม (capitalism) ต่อมาทาํ ใหพ้ อ่ คา้ ทีรBํารวยซBึงเป็นผมู้ ี อิทธิพลทZงั ในดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และการปกครอง เศรษฐกิจการคา้ ของชาติตะวนั ตกมีการขยายตวั มากยิBงขZึนเมืBอเกิดการคา้ ขายในระดบั โลก

ในปลายสมัยกลาง ชาวยุโรปได้สร้างนวตั กรรมการคิดค้น สBิงประดิษฐแ์ ละเทคโนโลยที ีBสาํ คญั คือ การประดิษฐป์ ื นใหญ่ทBี เปลBียนแปลงวิธีการรบ และเครBืองพิมพท์ Bีผลิตหนังสือไดม้ าก และมีราคาถูก ซBึงสามารถกระจายความรู้ไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง ทาํ ให้ชาวยุโรปหันมาสนใจในเรืB องต่างๆ รวมทZังความรู้ทาง วทิ ยาศาสตร์ ก่อใหเ้ กิดสมยั แห่งการคน้ พบและการสาํ รวจโดยค ริสโตเฟอร์ โคลมั บสั (Christopher Columbus) คน้ พบทวี อเมริกาใน ค.ศ. ๑๔๙๒ และ วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) แล่นเรือออ้ มแหลมก๊ดู โฮป (Good Hope) ในทวปี แอฟริกาสู่ อินเดียใน ค.ศ. ๑๔๙๘ ซBึงนับว่ายุโรปไดเ้ ขา้ สู่ประวตั ิศาสตร์ สมัยใหม่ ทZังเป็ นก้าวสําคัญทีBทําให้วัฒนธรรมตะวันตก แพร่กระจาย มีการเผยแพร่คริสตศ์ าสนาทZงั นิกายโรมนั คาทอลิก และนิกายโปรเตสแตนตอ์ ย่างกวา้ งขวาง เมBือนานาประเทศใน ยโุ รปสามารถควบคุมและยดึ คลองตลาดการคา้ ในดินแดนโพน้ ทะเลใต้ ทําให้เกิ ดการปฏิ วัติ ทางการค้า (Commercial Revolution) ทBีพอ่ คา้ เร่งผลิตสินคา้ จาํ นวนมาก ก่อใหเ้ กิดการ พฒั นาในดา้ นเศรษฐกิจทBีมีรูปแบบต่างๆ มาจนถึงปัจจุบนั ดงั นZี

เศรษฐกจิ แบบพาณชิ ยนิยม เศรษฐกิจแบบพาณิชยนิยม (mercantilism) เป็นระบบเศรษฐกิจทีBเกิดขZึน และพฒั นาพร้อมๆ กบั การก่อตวั ของรัฐชาติ เป็ นรูปแบบของเศรษฐกิจ คริสต์ศตวรรษทBี ๑๖-๑๘ โดยรัฐเข้าควบคุมอุตสาหกรรมและการค้า ภายในประเทศ ส่งเสริมการดาํ เนินธุรกิจของพ่อคา้ การส่งสินคา้ ออก และ กีดกนั การนาํ เขา้ สินคา้ จากต่างประเทศลทั ธิพาณิชยนิยมเป็ นผลจากความ เชBือว่าการควบคุมและการดาํ เนินธุรกิจต่างๆ จะทาํ ให้รัฐมนัB คง เขม้ แข็ง ดังนZัน จึงถือเป็ นหน้าทีBและความจาํ เป็ นของรัฐทีBจะต้องดาํ เนินการทุก วิถีทางเพBือเป็ นเจา้ ของทรัพยากรและโภคทรัพยต์ ่างๆ และเขา้ ครอบครอง ดินแดนต่างๆ แลว้ จดั ตZงั เป็ นอาณานิคม เผยแผศ่ าสนา ทา้ ยทีBสุดก็ก่อใหเ้ กิด ความขดั แยง้ กนั เองและเขา้ สู่สงคราม กลายเป็นสงครามทBีลุกลามในภูมิภาค อืBนๆ ของโลก เช่น สงครามเจด็ ปี (Seven Year’ War, ค.ศ. ๑๗๕๖- ๑๗๖๓) ระหว่างฝรBังเศสและออสเตรีย กบั องั กฤษและปรัสเซีย ก่อให้เกิด การรบกนั ทZงั ในทวปี ยโุ รป อเมริกา และเอเชีย

เศรษฐกจิ แบบทุนนิยม ปลายคริสต์ศตวรรษทีB ๑๘ ไดเ้ กิดแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และการเมืองทBี สาํ คญั คือ แนวคิด ไลส์เซ-แฟร์ (laissez-faireเป็นคาํ ฝรัBงเศส หมายถึง ปล่อยให้ เป็นเอง) และแนวคิดการคา้ เสรี (free trade) ของแอดมั สมิท (Adam Smith) ชาวสกอต เจา้ ของผลงานเรืBอง The Wealth of Nations (ค.ศ. ๑๗๗๖) ทีB กาํ หนดใหอ้ ุปสงค์ (demand) และอุปทาน (supply) เป็นตวั กาํ หนดกลไกของ ตลาด ดา้ นเศรษฐกิจนZนั ไลส์เซ-แฟร์ หมายถึง การดาํ เนินนโยบายภายในทีBรัฐบาลไม่ ควรเขา้ ไปกา้ วก่ายกบั การคา้ เป็นธุรกิจของภาคเอกชนทZงั ในดา้ นอุตสาหกรรม และการเงิน ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมส่งเสริมให้นายทุนแข่งขนั กนั อย่าง เสรี ผบู้ ริโภคจะทาํ ใหก้ ลไกของตลาดเคลืBอนไหวและนาํ ความมงBั คงัB มาสู่รัฐได้ อยา่ งไรกด็ ี ทZงั แนวคิดไลส์เซ –แฟร์ และการคา้ เสรีดงั กล่าวไดร้ ับการสนบั สนุน จากชนชZนั นายทุนอีกทZงั สอดคลอ้ งกบั ลทั ธิเสรีนิยม จึงทาํ ใหเ้ กิดการสะสมทุน การลงทุน และขยายทุนอยา่ งกวา้ งขวาง เกิดระบบตลาดการคา้ เสรีแบบทุนนิยม (free market capitalism) ไปทวัB โลก โดยรัฐใหก้ ารสนบั สนุนและออกกฎหมาย ต่างๆ เพืBอคุม้ ครองสิทธิเสรีภาพในการทาํ ธุรกิจและการคา้ การครอบครอง ทรัพยส์ ิน และการทาํ สญั ญาต่างๆ

ในโลกปัจจุบนั ระบบทุนนิยมและแนวคิดไลส์เซ แฟร์ และการคา้ เสรีก็ ยงั คงเป็นนโยบายเศรษฐกิจทBีสาํ คญั ของประเทศประชาธิปไตย โดยรัฐเขา้ มามีบทบาทในดา้ นการวางนโยบาย การควบคุมคุณภาพและวิธีการผลิต ตลอดจนการดูแลในเรืBองสวสั ดิการของผใู้ ชแ้ รงงานดว้ ย เศรษฐกจิ แบบสังคมนิยม เศรษฐกิจแบบสงั คมนิยม (socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจทีBพฒั นามาจาก แนวความคิดทางการเมืองของคาร์ล มากซ์ (Karl Marx) นกั สงั คมนิยมทBีมี ชืBอเสียงของยุโรป เกิดขZึนกลางคริสต์ศตวรรษทBี ๑๙ เพBือตอบโต้การ ขยายตวั ของลทั ธิทุนนิยมและการเอารัดเอาเปรียบชนชZันแรงงาน เขา ต้องการสร้างระบบเศรษฐกิจทีBเสมอภาค คือ การยกเลิกกรรมสิทธWิ ทรัพยส์ ินส่วนบุคคล และใหม้ ีการจดั การทางการผลิตโดยชนชZนั แรงงาน ซBึงชนชZันแรงงานจะใช้อาํ นาจเผด็จการในการปกครองเพืBอผลักดัน นโยบายสงั คมนิยมใหบ้ รรลุผลสาํ เร็จ

พฒั นาการดา้ นการเมืองการปกครอง กาํ เนิดของชนชLันกลาง ในสมยั กลางตอนตน้ สังคมของตะวนั ตกประกอบดว้ ย ชนชZนั ๓ ฐานนั ดร ไดแ้ ก่ กษตั ริย-์ ขุนนาง นกั บวช และชาวไร่-ชาวนา (ทาส ติดทBีดิน) แต่เมBือมีการฟZื นตัวของเศรษฐกิจและเมืองขZึนใน คริสต์ศตวรรษทBี ๑๑ สังคมยุโรปก็เกิดชนชZนั ใหม่ คือ ชนชZนั กลาง หรือชนชZนั กระฎุมพี ทีBประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ช่างฝี มือ ลูกจา้ ง พ่อคา้ อาจารย์ นกั ศึกษา โดยอาศยั อยใู่ นเขตเมือง ถือว่าเป็ น ชนชัLน ใหม่ ของสังคมตะวนั ตก ชนชZนั กลางเหล่านZีไดร้ ่วมกนั วางรากฐาน ความเจริ ญให้แก่ สังคมยุโรปและปลูกฝั งอุดมการณ์ และวิธี การ ปฏิบัติในการอยู่ร่วมกัน เช่น สิทธิและหน้าทีBของชาวเมือง การ จดั เก็บภาษีและค่าปรับ เป็ นตน้ เพืBอนาํ รายไดม้ าบริหาร การทาํ นุ บาํ รุงแลการป้องกันเมือง ส่งเสริมและขยายการศึกษาการจัดตZงั มหาวิทยาลยั และเกิดการฟZื นฟูศิลปวิทยาการและความเจริญอืBนๆ ตลอดจนส่งเสริมคุณธรรมและใหค้ วามสาํ คญั แก่สิทธิ เสรีภาพ และ ความเสมอภาคปัจเจกบุคคล ซBึงเป็ นพZืนฐานสําคญั ทีBทาํ ให้สังคม ยโุ รปสามารถพฒั นาระบอบการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย

การขยายตวั ของเมืองในยุคปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรม การขยายตัวของเมืองในยุคปฏิวตั ิอุตสาหกรรมเด่นชัดขZึนในกลาง คริสตศ์ ตวรรษทีB ๑๙ กล่าวคือใน ค.ศ. ๑๘๕๑ การสํารวจสาํ มะโนครัว ในองั กฤษบ่งชZีให้เห็นเป็ นครZังแรกว่ามีประชากรอาศยั อยู่ในเขตเมือง มากกว่าอยู่ในเขตชนบท ขณะทีBประเทศอืBนๆ ก็มีแนวโน้มของสังคม เมืองในลกั ษณะเดียวกนั นZีดว้ ย การสร้างสรรค์ทางศิลปวฒั นธรรม แม้ว่าศิลปวฒั นธรรมของกรีก-โรมัน คือ รากเหง้าของอารยธรรม ตะวนั ตก แต่คริสต์ศาสนาซBึงเป็ นทBียอมรับในจกั รวรรดิมนั ตZงั แต่ตน้ คริสต์ศตวรรษทีB ๔ และมีอิทธิพลอย่างมากในโลกตะวนั ตกจนสมยั กลางไดช้ ืBอวา่ ยคุ แห่งศรัทธา (Age of Faith) กค็ ือ พลงั ทีBแต่งเติมให้ ศิลปวฒั นธรรมของยุโรปบรรลุความงามและความสมบูรณ์แบบ ทZงั มี การสร้างมหาวหิ าร (cathedral) ดว้ ยศิลปะแบบกอทิกไปทวัB ยโุ รปใน ระหว่าง ค.ศ. ๑๑๐๐-๑๓๐๐ มีจาํ นวนมากกว่า ๕๐๐ แห่ง ต่อมาในยุค ฟZื นฟูศิลปะวทิ ยาการ (Renaissance)

ทีBเรBิมตน้ ในอิตาลีในกลางคริสต์ศตวรรษทBี ๑๔ ยุโรปสามารถฟZื นฟู การศึกษาและผลงานสร้างสรรค์ทางดา้ นวิจิตรศิลป์ ของกรีก-โรมนั ขZึนมาใหม่ ศิลปิ นต่างหวนกลบั ไปสู่โลกของธรรมชาติ จนเกิดเป็ น รูปแบบของศิลปะซBึงเป็ นความงามของธรรมชาติและการวิภาคของ มนุษย์ทBีจัดว่าเป็ นผลงานอันยBิงใหญ่ของพระเป็ นเจ้ามาซักซีโอ (Masaccio, ค.ศ. ๑๔๐๑-๑๔๒๘) เป็นจิตรกรอิตาลีคนแรกทีBนาํ เทคนิค การวาดภาพ ๓ มิติมาใช้ จนเกิดเป็นแนวคิดใหม่ทBีวา่ ลกั ษณะทBี สมจริง (realism) นZนั เป็นอยา่ งไร

ในช่วงระยะเวลานZี งานจิตรกรรมและงานประติมากรรมก็เริBมมีความ โดดเด่น มีการสร้างงานประติมากรรมเป็ นรูปนักบุญประดบั ประดา ตามจตั ุรัสต่างๆ รวมทZงั ภาพจิตรกรรมฝาผนงั ปูนเปี ยก (fresco) ตาม ผนังของโบสถ์วิหารและบา้ นเรือนต่างๆ ศิลปิ นชาวเฟลมิชหรือดตั ช์ เป็ นพวกแรกทBีพฒั นาเทคนิคการวาดภาพสีนZาํ มนั ทBีผสมไข่ขาวและนZาํ แทนสีฝ่ นุ ซBึงสามารถสร้างสีอ่อนแก่ ดูโปร่งแสง มีรายละเอียดเหมือน ภาพถ่ายในปัจจุบัน ในเวลาต่อมาศิลปิ นอิตาลีก็นําไปพัฒนาเป็ น ภาพเขียนใส่กรอบประดับฝาภายในอาคารทBีพกั อาศยั โดนาเตลโล (Donatello, ค.ศ. ๑๓๖๘-๑๔๖๖) เป็นประติมากรคนแรกทBีสร้าง ผลงาน เดวิด (David) เด็กหนุ่มในคมั ภีร์ไบเบิล เป็นรูปชายหนุ่มเปลือย ในท่ายนื โดดเด่นอยา่ งอิสระจากขอ้ บงั คบั ทีBเคร่งครัดของสมยั กลาง แต่ กส็ ะทอ้ นความเป็นธรรมชาติของมนุษย์

ในคริสต์ศตวรรษทBี ๑๕-๑๖ ศิลปกรรมของอิตาลีได้พฒั นาถึงขีด สูงสุดและเป็ นแม่แบบให้แก่ศิลปิ นชาติอืBนๆ ในยุโรป ศิลปิ นทีBมี ชBือเสียงทBีสุดของยุคฟZื นฟูศิลปะวิทยาการ คือ เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonado da Vinci, ค.ศ. ๑๔๕๒-๑๕๑๙ ) ซBึงถือเป็น มหาศิลปิ นแห่ง ศิลปิ นทLังปวง ต่อมาในคริสตศ์ ตวรรษทBี ๑๗ รูปแบบของศิลปกรรม ในยคุ ฟZื นฟูศิลปวิทยาการก็มีการพฒั นาจนมีรูปแบบอลงั การ หรูหรา ฟุ้งเฟ้อ และแวววบั ดว้ ยสีทอง เกิดเป็ น ศิลปะบาโรก (Baroque) ใน อิตาลี ศิลปะบาโรกถูกนาํ มาใชเ้ พBือความยิBงใหญ่ของคริสตศ์ าสนานิ การโรมนั คาทอลิก ส่วนในฝรัBงเศส ศิลปะบาโรกก็ถูกนาํ ไปใช้เพBือ สร้างความสุ ขและความหรู หราแก่ชนชZันสู ง เช่น การสร้าง พระราชวงั แวร์ซายของพระเจา้ หลุยส์ทBี ๑๔ ต่อมาศิลปะบาโรกจาก ราชสํานักก็ขยายเข้าสู่คฤหาสน์ของชนชZันขุนนาง และในต้น คริสตศ์ ตวรรษทีB ๑๘ เมืองหลวงของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะเยอรมนี ก็เกิดการพฒั นารูปแบบงานศิลปะทBีให้อิสระแก่จินตนาการและการ ใช้แสง โดยเน้นความสว่างมากขZึนจึงมีผู้เรี ยกศิลปะบาโรกใน ระยะเวลาต่อมาวา่ ศิลปะโลโกโก (Rococo)

ใน ค.ศ. ๑๘๓๙ ไดม้ ีการประดิษฐ์กลอ้ งถ่ายรูปขZึน ทาํ ให้การ วาดภาพเหมือนคน (portrait) เสBือมลงจิตรกรหนั ไปสนใจวาด ภาพจากสภาพความเป็นจริงตามธรรมชาติและสงั คมมากขZึน ซBึง ส่งผลให้ ศิลปะเรี ยลลิสต์หรื อสัจนิยม (Realism) มีบทบาท สําคญั ในช่วงกลางคริสต์วรรษทBี ๑๙ ภาพวาดแนวสัจนิยมมกั ถ่ายทอดความเป็ นจริงของชีวิตในสังคมอุตสาหกรรม ทZงั ความ มงัB คงัB ของนายทุนและชีวติ ของคนยากจนในเมืองใหญ่ ตลอดจน การใชช้ ีวิตในชนบท ขณะเดียวกนั ศิลปิ นก็นาํ หลกั วิทยาศาสตร์ มาประยุกต์กบั แนวทางศิลปะ ทาํ ให้ภาพวาดมีลกั ษณะใหม่ทBี สว่างและสดใสมากขZึน จึงได้ชBื อว่า อิ มเพรสชั นนิ สต์ (Impressionism)จิตรกรทีBโดดเด่น เช่น โกลด โมเน (Claude Monet) ปี แยร์ โอกสู ต์ เรอนวั ร์ (Pierre Auguste Renoir) เป็น ตน้

ในช่วงหลงั สงครามโลกครZังทBี ๑ และสงครามโลกครZังทBี ๒ รูปแบบ งานศิลปะพฒั นากา้ วหนา้ มากขZึนในดา้ นเทคนิคและการแสดงออก โดยศิลปิ นไดพ้ ยายามประยุกต์ใชเ้ ทคนิคใหม่ๆ สร้างงานศิลปะทBี สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของสังคมและยุคสมยั มีการถ่ายทอด อารมณ์และความคิดทBีอิสระในรูปแบบต่างๆ ศิลปะแนวใหม่ เช่น ลทั ธิสาํ แดงพลงั อารมณ์แนวนามธรรม (Abstract Expressionism) ศิลปะประชานิคม (Pop Art) จลนศิลป์ (Kinetic Art) เป็นตน้ ทาํ ให้ การสร้างสรรคง์ านศิลปะกา้ วหนา้ มากขZึน

ด.ช.เขมทตั สมคะเน ม.3/2 เลขท0ี 4


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook