๔๗ การสังเกต (Observation) การสังเกต (Observation) หมายถึง การรวบรวมขอ้ มลู ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังน้ี (1) การสังเกตแบบเป็นทางการ กล่าวคือ โดยใช้แบบสังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ นักเรียนก่อนเริ่มการเรียนการสอน ระหว่างเรียน เม่ือสิ้นสุดการเรียนที่มีการกาหนดประเด็นในการสังเกต คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ของนักเรียนไวล้ ว่ งหนา้ ก่อนการสงั เกต (2) การสังเกตแบบไม่เป็นทางการ กล่าวคือ การสังเกตด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของนกั เรียนในห้องเรียนท่เี นน้ การบรรยายเหตุการณแ์ ละบรบิ ทที่เกิดข้นึ ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน การสังเกตเป็นเทคนิคที่สาคัญในการรวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้ครูตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียน การสอน และความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ครูสามารถติดตามผู้เรียนได้ทุกช่วงเวลาใน กิจกรรมการเรียนการสอน เชน่ จะสังเกตพบใบหน้าของผู้เรียนที่ยุ่งเหยิงในขณะทากิจกรรม ทาใหค้ รูทราบว่า งานท่ีทาเป็นส่ิงท่ียากกับผู้เรียน การสังเกตที่ไม่เป็นทางการเป็นเทคนิคท่ีนามาใช้บ่อย เช่น ครูพบว่าผู้เรียนยก มือตอบคาถามในวิชาหน่ึงบ่อย ในขณะท่ีไม่ค่อยยกมือตอบคาถามในอีกวิชาหนึ่ง แสดงว่าวิชาที่ผู้เรียนยกมือ บอ่ ยเป็นวิชาทผ่ี ู้เรยี นเรียนแลว้ เข้าใจ สามารถตอบคาถามไดแ้ ละสนุกที่จะตอบคาถาม อย่างไรก็ตามการสังเกต อาจต้องวางแผนและมีลักษณะเป็นทางการ เช่น ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนถามคาถาม หรือวางแผนการทางาน ครูสามารถกาหนดรายละเอียดหรือประเด็นเฉพาะท่ีจะฟัง และเฝ้าดูกระบวนการแก้ปัญหาของเขา เช่น การอ่านเสียงดัง การกาหนดปัญหาในการทางาน การเอาใจใส่ในการทางาน เป็นต้น การสังเกตอันมีลักษณะ เป็นอัตนัยได้ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้สังเกต เช่น ครูสังเกตพฤติกรรมบางอย่างของผู้เรียนแล้วตีความตาม ทีเ่ หน็ กรณีทีพ่ บผู้เรียนใส่หูฟงั วิทยุขณะที่เรียนในชั้นเรียน ครูนามาตคี วามว่าผู้เรียนไม่มีระเบียบ ไม่ต้ังใจเรียน แต่หลังจากเรียกผู้เรียนมาคุยซักถามอาจพบว่า ผู้เรียนอาจจะต้องการใช้ดนตรีเพ่ือช่วยให้กระตุ้นให้ทางาน เน่ืองจากรู้สึกอ่อนเพลียเพราะนอนดึกต้องอ่านหนังสือจนดึก ดังน้ันการสังเกตจึงต้องการเทคนิคอื่นมาช่วย เพื่อใหข้ ้อมลู จากการสงั เกตชัดเจนข้นึ ประเภทของการสงั เกตพฤติกรรมของมนุษย์แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดังน้ี 1. การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participant observation) หมายถึง การสังเกตท่ีผู้สังเกตเข้าไป รว่ มในการกระทากิจกรรมหรอื แสดงตนเป็นสมาชิก ของกลุ่มที่เข้าไปศึกษา เพ่อื ให้มีโอกาสสังเกตอย่าง ใกล้ชิด สมาชกิ ของกล่มุ จะไม่รูต้ วั วา่ ถูกสังเกต 2. การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (nonparticipant observation) หมายถึง การสังเกตที่ ผู้สังเกตไม่ได้ ร่วมกระทากิจกรรมหรือแสดงตนเป็น สมาชิกของกลุ่มที่เข้าไปศึกษา ผู้สังเกตจะอยู่ห่างๆ ไม่ ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว แสดงออกต่าง ๆ และทาการบันทึกส่ิงที่พบเห็นตาม จุดประสงค์ที่ได้กาหนดไว้ อาจใช้วิธีการและเครื่องมือ เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นกั ศึกษาครปู ฏิบตั เิ ทคนคิ ประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู
๔๘ *เทคนิคประเมินเพอ่ื การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๓ Assessment for Learning Strategies พิเศษอ่ืน ๆ เช่น แผนภูมิ หรือแบบตรวจสอบรายการ ท่ีเตรียมไว้ทาการบันทึกพฤติกรรมรวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น กล้องถา่ ยรปู อตั โนมตั ิ เคร่อื งบันทึกเสยี งประกอบ เปน็ ต้น การสงั เกตมีลาดับขั้นดังนี้ 1. กาหนดวัตถุประสงค์ เป็นการกาหนดให้ แน่ชัดว่าจะสังเกตเรื่องอะไร อย่างไรจึงจะตรงกับเป้า หมายท่ีต้องการสังเกต 2. การเตรยี มการสังเกต เป็นการวางแผน ปฏบิ ัตกิ ารในการสังเกต มีขั้นตอนย่อย ๆ ดงั น้ี 2.1 การกาหนดกลุ่มเป้าหมาย 2.2 การกาหนดขอบเขตของการสังเกต 2.3 การกาหนดสถานท่ีและเวลาในการสังเกต 2.4 การเตรียมผสู้ งั เกต 2.5 การเตรียมแบบบันทึกการสงั เกต 3. การปฏิบัติการสงั เกต เป็นขั้นท่ีผูส้ งั เกต ปฏิบัตกิ ารตามแผนทว่ี างไว้ ตลอดจนการใช้อุปกรณ์ ต่าง ๆ ประกอบการสังเกตให้มีประสิทธิภาพ และมีการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ และมีการ บันทึกข้อมูลต่าง ๆ การปฏิบัติการสังเกตนี้ อาจมีการบันทึกข้อปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนจากการสังเกตไว้ด้วยเพื่อช่วยใน การปรับปรุงการสงั เกตคร้ังต่อไป 4. การตรวจสอบข้อมูล เป็นการนาข้อมูลที่ ได้จากการบันทึกมาตรวจสอบความถูกต้องและความ สมบรู ณ์ของขอ้ มูล หากพบว่าขอ้ มลู ไม่ครบถ้วนใน การสังเกต ผู้สงั เกตต้องสงั เกตเพิ่มเติม 5.การวิเคราะห์ การแปลความหมาย และ สรุป เป็นการนาข้อมูลที่ได้ตรวจสอบแล้วมาวิเคราะห์และแปล ความหมายเพื่อสรปุ ตวั อยา่ งแบบบันทึกการสงั เกต รปู แบบการบันทึกการสังเกต บนั ทึกการสังเกตครั้งที่……….. วันท.่ี ............เดอื น......................................พ.ศ........................... เวลาเริ่มสงั เกต....................................ถงึ เวลา................................... ขอ้ มูลเบอ้ื งต้นผ้ถู กู สังเกต ชื่อ.........................................................นามสกลุ .............................................อาย.ุ ............ปี..................เดอื น โรงเรยี น..................................................................................ระดบั ชน้ั ..................หอ้ ง.................... ตาบล..................................... อาเภอ ............................... จงั หวดั ........................... รหัสไปรษณีย์................. สถานท่สี ังเกต……………………………………………………………………………………………………………………………. กิจกรรมที่สังเกต ………………………………………………………………………………………………………………………….
๔๙ บริบทและสภาพแวดล้อม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… วัตถปุ ระสงคก์ ารสังเกต ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… พฤตกิ รรมแสดงออก (ทสี่ ังเกต) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… การตคี วามพฤติกรรม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขอ้ เสนอแนะแนวทางชว่ ยเหลือ (ถ้ามี) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สรุปผลการสงั เกต (ตามจดุ ประสงค์) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………….…………………………………. (ผ้สู ังเกต) (………………………..……………………....................) (ตาแหน่ง ครู, ครผู ชู้ ่วยผู้ดูแลเด็ก) เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นกั ศึกษาครปู ฏบิ ตั เิ ทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชพี ครู
๕๐ *เทคนิคประเมนิ เพือ่ การเรยี นร:ู้ บทที่ ๓ Assessment for Learning Strategies การบันทกึ การเรียนรู้ (Learning Journal) การบันทึกการเรียนรู้ (Learning Journal) หมายถึง การเขียนแสดงความรู้ท่ีได้จากการเรียนรู้ว่า เรียนรู้อะไร เรียนรู้อย่างไร และเรียนรู้ที่จะนาไปใช้อย่างไร ซึ่งทาให้นักเรียนสามารถติดตามพัฒนาการของ ตนเองนักเรียนมคี วามรู้ชัดเจนมากขนึ้ และสามารถเชื่อมโยงความรเู้ ดิมกบั ความรู้ใหม่ในระหว่างการประเมินครู จะเป็นผใู้ หข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั (Feedback) กบั นกั เรียนเพอื่ ให้นกั เรียนมีความรู้ชัดเจนมากขนึ้ ผูส้ อนจะรับรู้การเรียนรู้ของผู้เรียนได้จากการให้ผู้เรียนเขียนบันทึกสิง่ ที่ตนเองรสู้ ึกและอยากให้ผู้สอน รับรู้ความเข้าใจในบทเรียนของผู้เรียนท่ีเกิดจากการเขียนบันทึก โดยรูปแบบของการเขียนบันทึกมีหลาย ประเภทแบ่งโดยลักษณะการเขียน เช่น ประเภทส่วนบคุ คล (personal journals) ประเภทการเขียน (writing journals) ประเภทสนทนา (dialogue journals) และประเภทบันทึกการเรียนรู้ (learning logs) ในบรรดา การเขียนบันทึกแบบต่าง ๆ นั้น การบันทึกท่ีมักนิยมให้ผู้เรียนเขียนคือ บันทึกเชิงสะท้อนคิด (reflective journal) เนื่องจากการเขียนบันทึกเชิงสะท้อนคิดจะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ทาให้ ผู้สอนรู้จักผู้เรียนมากกว่าการรู้จักกันในชั้นเรียน หากผู้สอนอ่านบันทึกและมีข้อเสนอแนะผ่านการบันทึก เชิงสะท้อนคิด จะทาให้นักเรียนปรับปรุงและพัฒนาการเรียน นอกจากน้ีจะเป็นสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ผ้สู อนกบั ผเู้ รียนในการเปิดใจการรบั รู้กนั มากข้นึ บันทึกเชิงสะท้อนคิดเป็นการเขียนถ่ายทอดเร่ืองราวเหตุการณ์ ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนกับ ตนเอง สารวจสิ่งที่ได้กระทาทีท่ าให้เกิดเหตุและผล การเรียบเรียงความคิดเช่อื มโยงส่ิงที่เกิดขึ้น โดยเนน้ ถงึ การ แสดงความรู้สึกนกึ คดิ และอารมณ์ของตนเองเป็นการเขยี นเพื่อแสดงความคดิ เห็นแสดง ความรู้สึกของตนเองที่ สะท้อนออกมาในรูปแบบของการเขียนบันทกึ ข้อมูลสถานการณ์ ขอ้ มลู การสนทนาและ ความรูส้ ึก ขอ้ มลู เหล่าน้ี สามารถนามาวิเคราะห์และตีความของบุคคลในสถานการณ์ท่ีได้บันทึก การบันทึกเชิงสะท้อนคิดสามารถใช้เป็น เครื่องมือในการประเมนิ ตนเอง (self-assessment) ผ่าน กระบวนการเขียนทบทวนปญั หาหรือส่ิงทเี่ กดิ ข้ึน ทาให้ ผู้บันทึกพิจารณาตนเองและเกิดความเข้าใจในตนเอง ทาให้รู้จุดเด่น จุดด้อยและความสามารถของตนเอง (self-awareness) การรับรู้ตนเองทาให้เกิดการวางแผนการดาเนินการส่ิงที่เก่ียวข้องหรือเกิดกระบวนการ แกป้ ญั หากบั สิง่ ทเ่ี กิดขนึ้ ได้
๕๑ ตวั อย่างการบันทกึ การเรยี นรู้ (Learning Journal) เม่ือผู้เรียนเรียนการสร้างทางเรขาคณิต แล้วสามารถสรปุ ความรคู้ วามเข้าใจ เปน็ ลาดบั ข้ันตอนปฏบิ ัตทิ ่ชี ดั เจน เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้แล้วสามารถเขียนสรุปบันทึก ทาความเข้าใจไว้ทบทวนอีกครั้งเม่ือเวลาผ่านไป ทาให้ครูผสู้ อนตรวจสอบความถูกตอ้ งได้ด้วย คาถามตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจ 1. การบันทึกการเรยี นรู้ (Learning Journal) สาคัญอย่างไร 2. การบันทึกการเรียนรู้ (Learning Journal) สามารถส่ือให้เห็นถึงอะไรบ้างในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน และกระบวนการจัดการเรยี นรู้ 3. เมอื่ ผู้เรยี นมกี ารจัดการบนั ทึกการเรียนรู้ (Learning Journal) ผู้เรยี นและผู้สอนจะได้รบั ประโยชน์อย่างไร 4. การบันทึกการเรียนรู้ (Learning Journal) ที่ดีมีคุณภาพเย่ียมควรมลี ักษณะอย่างไร เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นกั ศึกษาครปู ฏบิ ตั เิ ทคนิคประเมินเพ่ือการเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู
๕๒ *เทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรยี นร:ู้ บทท่ี ๓ Assessment for Learning Strategies การประเมนิ ตนเองและการประเมินโดยเพ่ือน ( Self and Peer Assessment ) การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student Self-assessment) การประเมินตนเองนับเป็นทั้ง เคร่ืองมือประเมินและเคร่ืองมือพัฒนาการเรียนรู้ เพราะทาให้ผู้เรียนได้คิดใคร่ครวญว่าได้เรียนรู้อะไรเรียนรู้ อย่างไร และผลงานท่ีทานั้นดีแล้วหรือยัง การประเมินตนเองจึงเป็นวิธีหนึ่งท่ีจะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ที่ สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง การใช้การประเมินตนเองของผู้เรียนให้ประสบความสาเร็จได้ดีจะต้องมีเป้าหมาย การเรียนร้ทู ช่ี ัดเจน มีเกณฑ์ท่บี ง่ บอกความสาเร็จของชิ้นงาน/ภาระงาน และมาตรการการปรบั ปรุงแก้ไขตนเอง เป้าหมายการเรียนรู้ท่ีกาหนดชัดเจนและผู้เรียนได้รับทราบหรือร่วมกาหนดด้วยจะทาให้ผู้เรี ยนทราบว่าตนถูก คาดหวังให้รู้อะไร ทาอะไร มีหลักฐานใดที่แสดงการเรียนรู้ตามความคาดหวังนั้น หลักฐานที่มีคุณภาพควรมี เกณฑ์เช่นไร เพ่ือเป็นแนวทางให้ผู้เรียนพิจารณาประเมินซึ่งหากเกณฑ์เกิดจากการทางานร่วมกันระหว่าง ผู้เรียนกับผู้สอนด้วยจะเป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้เพิ่มมากข้ึน การท่ีผู้เรียนได้ใช้การประเมินตนเอง บ่อย ๆ โดยมีกรอบแนวทางการประเมินทช่ี ดั เจนนี้ จะชว่ ยสง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รียนประเมนิ ได้ค่อนขา้ งจรงิ และซอ่ื สัตย์ คาวิจารณ์ คาแนะนาของผู้เรียนมักจะจริงจังมากกว่าของครู การประเมินตนเองจะเกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น หากผู้เรียนทราบสิ่งที่ต้องปรับปรุง แก้ไข และต้ังเป้าหมายการปรับปรุง แก้ไขของตน แล้วฝึกฝน พัฒนาโดย การดูแลสนับสนุนจากผสู้ อนและความร่วมมอื ของครอบครัวเครื่องมือทใ่ี ช้ในการประเมนิ ตนเองมหี ลายรูปแบบ เช่น การอภิปราย การเขียนสะท้อนผลงาน การใช้แบบสารวจ การพูดคุยกบั ผู้สอน เปน็ ต้น การประเมนิ โดยเพื่อน (Peer Assessment) เป็นเทคนคิ การประเมินอกี รปู แบบหน่งึ ทนี่ ่าจะนามาใช้ เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้เข้าถึงคุณลักษณะของงานที่มีคุณภาพ เพราะการที่ผู้เรียนจะบอกได้ว่าช้ินงานน้ันเป็นเช่น ไร ผู้เรียนต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนว่าเขากาลังตรวจสอบอะไรในงานของเพ่ือนฉะนั้นผู้สอนต้อง อธิบายผลท่ีคาดหวังให้ผู้เรียนทราบก่อนที่จะลงมือประเมินการท่ีจะสร้างความมั่นใจว่าผู้เรียนเข้าใจการ ประเมินรูปแบบน้ี ควรมีการฝึกผู้เรียน โดยผู้สอนอาจหาตัวอย่าง เช่น งานเขียน ให้นักเรียนเป็นกลุ่มตัดสินใจ ว่าควรประเมินอะไร และควรให้คาอธิบายเกณฑ์ท่ีบ่งบอกความสาเร็จของภาระงานนั้นจากนั้นให้ผู้เรียน ประเมินภาระงานเขียนที่เป็นตัวอย่างนั้นโดยใช้เกณฑ์ท่ชี ่วยกันสร้างข้ึน หลังจากน้ันครูตรวจสอบการประเมิน ของผูเ้ รียนและให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั แก่ผู้เรยี นทป่ี ระเมนิ เกินจริง การใช้การประเมนิ โดยเพ่อื นอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ จาเป็นต้องสร้างส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ท่ีสนับสนุนให้เกิดการประเมินรูปแบบนี้กล่าวคือ ผู้เรียนต้องรู้สึกผ่อนคลาย เช่ือใจกัน และไม่อคติ เพื่อการให้ข้อมูลย้อนกลับจะได้ซ่ือตรงเป็นเชิงบวกที่ให้ประโยชน์ ผู้สอนที่ให้ผู้เรียนทางาน กลุ่มตลอดภาคเรียนแล้วใช้เทคนิคเพื่อนประเมินเพ่ือนเป็นประจา จะสามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความเข้าใจซ่ึงกัน และกัน อนั จะนาไปสู่การให้ข้อมลู ย้อนกลับท่ีเก่งขึ้นได้
๕๓ ตวั อยา่ งแบบประเมนิ เพือ่ นร่วมงานในกลุ่ม แบบประเมินเพอื่ นรว่ มงานในกลุ่ม ชื่อผปู้ ระเมนิ ................................................................รหัส.......................กลุ่มท.่ี ................................... ชอ่ื ผ้ปู ระเมนิ ................................................................รหัส.......................กลุ่มท.่ี ................................... ชื่อผูป้ ระเมิน................................................................รหสั .......................กลุม่ ท.่ี ................................... วันทปี่ ระเมนิ ..................................................................ประเดน็ การทางานกลุ่ม.................................... การแสดงพฤตกิ รรม ช่อื เพ่อื นรว่ มงานในกลมุ่ 1. ความมีน้าใจชว่ ยเหลือกัน 2. ทางานค/ู่ กลุ่มไดด้ ผี ลงานออกมาดีในความตั้งใจ 3. มีความรับผิดชอบงานในส่วนทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย 4. รบั ฟงั และยอมรบั ความคดิ เหน็ ของเพอ่ื นร่วมกลมุ่ 5. ความมีมารยาท (ไมแ่ สดงพฤตกิ รรมทร่ี บกวนผูอ้ ืน่ ) รวมคะแนน แนวทางการประเมิน นักเรียนประเมินพฤติกรรมและความร่วมมือของเพ่ือนทุกคนในกลุ่มของตน โดยมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนดงั น้ี 0 = ไม่พบเลย , 1 = บางคร้งั , 2 = สว่ นใหญ่ , 3 = ตลอดเวลา คาถามตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจ 1. การประเมินตนเอง (Self-Assessment) มลี กั ษณะสาคัญอยา่ งไรบา้ ง 2. การประเมินโดยเพื่อน (Peer- Assessment) มคี วามสาคัญและวธิ กี ารอยา่ งไร 3. การใช้การประเมินตนเองและการประเมินโดยเพ่ือนสง่ ผลใหน้ ักเรยี นได้รับประโยชนอ์ ย่างไรบ้าง 4. ข้อควรระวังในการใชก้ ารประเมินตนเองและการประเมินโดยเพ่อื น เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นกั ศึกษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมินเพื่อการเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู
๕๔ *เทคนคิ ประเมินเพ่อื การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๓ Assessment for Learning Strategies การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน (Feedback) การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน (Feedback) หมายถึง เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญในการส่งเสริมการ เรียนร้แู ละการประเมนิ เพื่อการเรียนรู้ (Assessment for learning) ซง่ึ การจัดการเรียนรใู้ นยุคปจั จุบนั ตอ้ งการ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ แนวคิดนี้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเรียนระหว่างผู้เรียนและครู พัฒนาความรู้ความสามารถของผู้เรียนโดยมีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนในระยะยาวมากกว่าข้อมูล ย้อนกลบั ทไี่ ด้รบั จากครู รวมถงึ การสร้างบรรยากาศในการเรยี นร้แู บบมิตร การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนใน 3 ลักษณะ ได้แก่ การให้ข้อมูลกระตุ้นการเรียนรู้ (Feed up) การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) และการให้ข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ต่อยอด (Feed forward) เพื่อพัฒนาการ เรียนรู้ ผู้เรียนตระหนักในการเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองสอดคล้องกับการประเมินผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ให้ความสาคญั กบั การประเมินเพื่อปรับปรุงการเรยี นรู้ของผู้เรยี น (Improve Student Learning) การประเมิน เพ่ือการเรียนรู้ (Assessment for Learning) และใช้การประเมินเป็นเคร่ืองมือการเรียนรู้ (Assessment as Learning) จดุ มุ่งหมายการประเมินระหว่างเรียน เพ่ือพัฒนาการเรยี นรูข้ องนักเรียนอยา่ งตอ่ เน่ือง การให้ข้อมูล ย้อนกลับนักเรียนเป็นองค์ประกอบสาคัญของการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มีประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ซึ่งไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่ข้ึนอยู่กับบริบทของการจัดการเรียนรู้ การให้ข้อมูลแก่นักเรียนท่ีมีประสิทธิภาพ จะต้องตรงประเด็น อธิบายผลท่ีเกิดตามจริงและทันเวลาเพื่อนักเรียนจะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีจะไม่ตัดสินว่า ถูก – ผิด แต่จะบอกให้นักเรียนเห็นประเด็นตามเกณฑ์แล้วสรุปการปฏิบัติของตนเองว่าเป็นอย่างไร ห่างจาก เป้าหมายอย่างไร และต้องทาอะไรต่อไปเพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย การให้ข้อมูลแก่นักเรียนท่ีมีประสิทธิภาพ สง่ เสริมใหน้ ักเรียนสามารถเรียนรูไ้ ดด้ ว้ ยตนเองเพราะนกั เรียนไดฝ้ ึกฝนการประเมินตนเอง
๕๕ Nancy Frey and Douglas Fisher (2011) ปรับปรงุ จาก Hattie and Timperley ไดเ้ สนอรูปแบบ การประเมนิ ระหวา่ งเรยี นทีม่ ปี ระสิทธิภาพวา่ การใหข้ ้อมูลแก่นกั เรยี น มีองค์ประกอบ 4 ขั้นตอน ดงั น้ี ข้ันที่ 1 การกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจในการเรียน (Feed up) โดยแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ และ การประเมินท่ีชัดเจนเพ่ือให้นักเรียนเห็นคุณค่าในการเรียนรู้และการประเมิน ทาให้ครูม่ันใจได้ว่านักเรียนมี ความเขา้ ใจจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ความคิดรวบยอด ภาระงาน และการประเมนิ ผล ข้ันที่ 2 การตรวจสอบความเข้าใจเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (Checking for understanding) โดยการพูด ตอบคาถาม การนาเสนอ การเขยี น ฯลฯ ข้ันท่ี 3 การให้ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับความสาเร็จและส่ิงที่จาเป็นต้องได้รับการพัฒนาหรือ ปรับปรงุ แก้ไขแกน่ กั เรยี น (Feedback) ข้ันที่ 4 การให้คาแนะนา ช้ีแนะแนวทางบนพื้นฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน เกิดพัฒนาการเรียนร้ทู ี่สูงขึ้น (Feed forward) รปู แบบการใหข้ ้อมูลย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพ การประเมินผู้เรียนแล้วให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เป็นหนึ่งในกลวิธีการการประเมินความก้าวหน้า การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นแนวท่ีครูน้ันใช้การประเมินเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน การตรวจงานของครูควร ให้ข้อเสนอแนะ แทนการให้เป็นคะแนนหรือเกรด เพ่ือให้นักเรียนและครูสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าได้ ข้อเสนอแนะเหล่านั้นควรมีการจดบันทึกไว้สม่าเสมอ อาจทาในรูปแบบบันทึกการเรียนรู้ การให้ผลสะท้อนกลับ เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศกึ ษาครปู ฏบิ ตั เิ ทคนิคประเมินเพือ่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู
๕๖ *เทคนิคประเมินเพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๓ Assessment for Learning Strategies ของครูควรมีลักษณะเชิงบวก ควรมีการชมเชย และระบุจุดเด่นของงาน ในขณะเดียวกันก็ควรให้การแนะ แนวทางเพ่ือการปรับปรุง ให้นักเรียนรู้ว่าจะพัฒนางานได้อย่างไรครูอาจจะเป็นแม่แบบในการให้ผลสะท้อนกลับ เพ่ือให้นักเรียนนาไปใช้ในการประเมินเพ่ืองานของเพ่ือนได้ด้วย ครูอาจนางานหรือการบ้านท่ีนักเรียนทาผิดมา เป็นประเด็นในการอภิปราย เพ่ือชว่ ยแกไ้ ขความเข้าใจทีค่ ลาดเคล่ือน อยา่ งไรก็ตามครูไม่ควรสร้างบรรยากาศเชิงลบ หรือท้าให้นักเรียนรู้สึกว่าถูกซ้าเติม นอกจากการให้ผลสะท้อนกลับแล้วครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนแก้ไข ผลงาน ของนักเรียนเอง ซึ่งครูควรจัดเวลาเผ่ือไว้หลังจากการตรวจงานนักเรียน นอกจากน้ันครูควรมีการติดตามให้ นกั เรียนได้แกไ้ ขงานตามผลสะท้อนกลับที่ไดร้ ับ การให้ข้อมูลย้อนกลับของครูสามารถดาเนนิ การได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ (1) การให้ผลสะท้อนกลับเกี่ยวกับผลงาน (task) ว่าผลงานที่ปฏิบัติดีหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ เช่น การแก้ โจทย์ปัญหาขอ้ น้ีถูกต้อง หรือการแก้โจทยป์ ัญหาข้อน้ผี ดิ (2) การให้ข้อมูลย้อนกลับเก่ียวกับกระบวนการ (process) ว่ากระบวนการที่ใช้ในการปฏิบัติงาน มีข้อบกพร่องอย่างไร จะแก้ข้อบกพร่องของกระบวนการอย่างไร มีทางเลือกในการปฏิบตั ิงานด้วยวธิ ีอื่นหรือไม่ เช่น นักเรียนลองตรวจสอบดูใหม่ซิ ว่าการแก้โจทย์ปัญหาข้อนี้ยังมีข้อบกพร่องตรงไหน หรือการแก้โจทย์ปัญหาข้อนี้ ถกู ต้องแลว้ แต่มีวิธีการแกโ้ จทยป์ ัญหาวธิ ีการอ่ืนหรอื ไม่ หรือขณะท่ีแกโ้ จทย์ปญั หานกั เรียนคุยกับเพ่อื นอยู่ นกั เรียน ลองน่งั ทาคนเดียวไมค่ ุยกับเพ่ือนดซู วิ า่ คาตอบจะเหมือนเดิมหรือไม่ (3) การให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการกากับติดตามตนเอง (self-regulation) ว่านักเรียนต้องตรวจสอบ ผลงานได้อย่างไร เช่นนักเรียนทาแบบฝึกหัดไม่ทันเวลา คราวหน้านักเรียนจะทาอย่างไรให้ทันเวลา หรือ คราวนี้ นักเรยี นลืมนางานมาส่งครู จะทาอยา่ งไรไม่ใหน้ ักเรยี นลมื อีก (4) การให้ข้อมูลย้อนกลับเก่ียวกับการประเมินตนเอง (self-personal evaluation) ว่าผลงานของตนเอง เป็นอย่างไร เม่ือเทียบกับเกณฑ์มีคุณภาพระดับใด เช่น นักเรียนพอใจในผลงานของตนเองหรือยัง หรือ ผลงานของ นักเรียนมีคุณภาพระดับใด หรือ ถ้าครูให้โอกาสปรับปรุงผลงานอีกคร้ัง นักเรียนจะปรับปรุงหรือไม่ ถ้าปรับปรุงจะ ปรบั ปรงุ อย่างไร การให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สามารถทาได้ด้วยวิธีการพูดในลักษณะของ การตอบคาถาม เมอ่ื ผู้เรียนตอบถูกควรพิจารณาการเสริมแรงผู้เรียนเพอ่ื กระตุ้นการเรียนรู้ผู้เรียนต่อไปด้วยคา ชมเชย เมื่อผู้เรียนตอบผิดหรือไม่ตอบ ควรโน้มน้าวกระตุ้นการเรียนรู้นาทางคาตอบ เพิ่มกระบวนการ ช่วยเหลือกันระหว่างผู้เรียนแสวงหาคาตอบท่ีถูกต้อง การให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยการเขียน เช่น การตรวจ ผลงานนักเรียนครูควรเขียนติชม หรือ กระตุ้นผู้เรียนโดยครูผู้สอนซ่ึงนอกจากจะตรวจงานด้วยการทา เคร่ืองหมายถูกหรือผิดแล้ว ครูผู้สอนต้องช้ีให้เห็นข้อที่ผิดและสาเหตุที่ผิด พร้อมทั้งอธิบายถึงวิธีแก้ไข ข้อบกพร่องซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากขึ้น แล้วคืนงานให้กับผู้เรียนทันทีหากมีเวลาครูควรทบทวน
๕๗ คาตอบอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะคาถามที่ผู้เรียนส่วนใหญ่ตอบไม่ถูกต้อง ทั้งน้ีในการให้ข้อมูล ย้อนกลับ ของครผู ู้สอนในแต่ละคร้ังควรมกี ารบันทึกลงในผลงานของผเู้ รียน เพราะจะทาให้ผู้เรยี นระลึกถึงความจาท่เี ป็น จุดเด่นหรือจุดบกพร่องเพ่ือเป็นข้อพึงระวังในการทางานครั้งต่อไป อย่างไรก็ตามการให้ข้อมูล ย้อนกลับด้วย การเขียนในครูผู้ควรพึงระวังเสมอว่าจะไม่สามารถเห็นพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เรียนขณะได้ผลทัน ที่จึงต้องระวังเร่ืองการ บ่ันทอนกาลังเป็นสาคัญ น่ันแสดงว่าครูผู้สอนควรสังเกตพฤติกรรมผู้อย่างต่อเน่ืองผล จากการให้ข้อมูลย้อยกลบั ปรับเปลี่ยนผู้เรยี นในลักษณะอย่างไร ซงึ่ ครผู ูส้ อนจะไดใ้ ช้เปน็ สารสนเทศในการให้ผล การประเมินเพือ่ การพัฒนาผ้เู รียนเตม็ ตามศักยภาพครั้งตอ่ ไป การใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั เปา้ หมายการ ลดชอ่ งว่างระหวา่ งเป้าหมายทค่ี าดหวัง พฒั นานกั เรียน กับความเขา้ ใจ ทกั ษะของนกั เรยี น ผลลพั ธท์ จ่ี ะเกิด วิธีการ/แนวทาง ในการลดช่องวา่ ง ครู นักเรียน กาหนดเปา้ หมายเฉพาะทท่ี า้ ทายและเหมาะสมกับนกั เรียน ใช้ความพยายามทจี่ ะทากิจกรรมท่ีมีประสทิ ธิภาพหรือละทิ้ง หรอื ใชร้ ะบบการการประเมินเพื่อพัฒนานักเรยี น เปา้ หมายเดมิ ตง้ั เปา้ หมายให้สงู ข้นึ เทคนคิ การให้ข้อมูลเพ่ือการพัฒนา นกั เรยี น กระตนุ้ และสร้าง การตรวจสอบความเขา้ ใจ ใหน้ กั เรียนมีขอ้ มูลทีม่ ี ให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับ แรงจูงใจในการเรียนรู้ เพอ่ื พฒั นาการเรยี นรู้ คณุ ค่าและสร้างสรรค์ เพอ่ื กระต้นความกา้ วหนา้ (Checking for เกย่ี วกบั ความสาเร็จและ (Feed up) understanding) ความต้องการ ( Feedback) ในการเรยี น (Feed forward) ท่มี า: Visible learning: A synthesis of over 800 meta-analyses relating to achievement (p.176), by J. Hattie, 2009, New York: Routledge. Copyright 2009 by Routledge .Adapted with permission. เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นกั ศกึ ษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมินเพอื่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู
๕๘ *เทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๓ Assessment for Learning Strategies การลดช่องว่างนักเรียนใช้ความพยายามท่ีจะทากิจกรรมท่ีมีประสิทธิภาพ หรือละทิ้งเป้าหมายเดิม ต้ังเป้าหมายให้สูงขึ้น เทคนิคการให้ข้อมูลเพ่ือพัฒนานักเรียน กระตุ้นและการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ (Feed up)เป้าหมายท่ีจะพัฒนานักเรียนผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับนักเรียนวิเคราะห์จากมาตรฐาน/ตัวช้ีวัดลด ช่องว่างระหว่างเป้าหมายท่ีคาดหวังกับความเข้าใจ ทักษะของนักเรียน ครูกาหนดเป้าหมายเฉพาะที่ท้าทาย และเหมาะสมกับนักเรียน หรือใช้ระบบการประเมินเพ่ือพัฒนานักเรียนให้นักเรียนมีข้อมูลที่มีคุณค่าและ สร้างสรรค์ เกี่ยวกับความสาเร็จ และความต้องการให้ข้อมูลย้อนกลับ(Feedback) เพื่อกระตุ้นความก้าวหน้า ในการเรียน (Feed forward) เทคนิคการตรวจสอบ ความเข้าใจเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้(Checking for understanding) เพื่อนได้ด้วย ครูอาจนางานหรอื การบา้ นทีน่ กั เรียนทาผดิ มาเป็นประเด็นในการอภิปราย เพื่อ ช่วยแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคล่ือน อย่างไรก็ตามครูไม่ควรสร้างบรรยากาศเชิงลบ หรือท้าให้นักเรียนรู้สึกว่า ถูกซ้าเติม นอกจากการใหผ้ ลสะท้อนกลับแล้วครคู วรเปิดโอกาสให้นักเรยี นแกไ้ ข ผลงานของนักเรยี นเอง ซึ่งครู ควรจัดเวลาเผ่ือไว้หลังจากการตรวจงานนักเรียน นอกจากน้ันครูควรมีการติดตามให้นักเรียนได้แก้ไขงานตาม ผลสะท้อนกลับที่ได้รับ การให้ข้อมูลย้อนกลับ ครูจาเปน็ ต้องเลือกให้คาหรือวลีท่มี ีความเหมาะสม เพราะ ส่ิงเหลา่ น้ีจะสร้าง คุณค่าให้แก่นักเรียน รวมไปถึงการสนับสนุนและส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้หากจะเขียนลงในงานของ นักเรียนควรอ้างอิงเกณฑ์(Rubrics) วิธีการเขียนการให้ข้อมูลย้อนกลับท่ีดี (1) หลีกเล่ียงการใช้ปากกา หมึกสีแดงเพราะทาให้นักเรียนรู้สึกว่างานของตนมีข้อผิดพลาด (2) เขียนการให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยลายมือ ท่ีอ่านง่าย(3) เขียนการให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยข้อความที่เข้าใจง่าย มีนัยทางบวก (4) เขียนการให้ข้อมูล ย้อนกลับโดยใช้เทคนิค Sandwich 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนแรกการเขียนข้อความชมเชย โดยนาข้อดีของ นักเรียนกล่าวขึ้นต้น จากนั้นให้เขียนขอ้ ความท่ีตอ้ งการให้ปรับปรงุ แก้ไข และข้นั ตอนสุดท้ายใหเ้ ขยี นข้อความ ทเ่ี ป็นเชิงบวกโดยกล่าวถงึ ส่งิ ทจ่ี ะเป็นผลจากการปรับปรุงผลงานนั้น ๆ บทสรปุ การจัดการศึกษาในปัจจุบันนอกจากให้ท่ัวถึงแล้วยังมุ่งเน้นคุณภาพด้วย ผู้ปกครอง สังคม และรัฐ ตอ้ งการเห็นหลักฐานอนั เปน็ ผลมาจากการจดั การศกึ ษา น่ันคือ คณุ ภาพของผ้เู รยี นท่เี ป็นไปตามมาตรฐานของ หลักสูตร หน่วยงานที่รับผิดชอบนับต้ังแต่สถานศึกษา ต้นสังกัด หน่วยงานระดับชาติที่ได้รับมอบหมาย จึงมี บทบาทหนา้ ทใี่ นการตรวจสอบคุณภาพผูเ้ รยี นตามความคาดหวังของหลกั สูตร ครูผู้สอนต้องใช้วิธีการและเคร่ืองมือการประเมินท่ีหลากหลาย เช่น การสังเกต การซักถามการระดม ความคิดเห็นเพ่ือให้ไดม้ ติข้อสรุปของประเด็นที่กาหนด การใช้แฟ้มสะสมงาน การใช้ภาระงานท่ีเนน้ การปฏบิ ัติ การประเมินความรู้เดิม การให้ผู้เรียนประเมินตนเอง การให้เพ่ือนประเมินเพื่อน และการใช้เกณฑ์การให้ คะแนน (Rubrics) ส่ิงสาคัญท่ีสุดในการประเมินเพื่อพัฒนา คือ การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนในลักษณะ คาแนะนาที่เช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทาให้การเรียนรู้พอกพูน แก้ไขความคิด ความเข้าใจเดิมท่ีไม่ ถูกต้อง ตลอดจนการให้ผเู้ รียนสามารถตัง้ เป้าหมายและพฒั นาตนได้
๕๙ กิจกรรม 3: ตรวจสอบความรูค้ วามเข้าใจ คาชแี้ จง: จงทาเคร่ืองหมาย หนา้ ขอ้ ทเ่ี ห็นดว้ ยว่าข้อความนนั้ ถกู ต้อง และทาเคร่อื งหมาย หนา้ ข้อที่ไมเ่ ห็นด้วยว่าขอ้ ความน้ันถูกต้อง 1. ครูผ้สู อนต้องการประเมนิ การใช้เวลาวา่ งในการทางาน อ่านหนงั สอื ควรวัดผลด้วยวิธีการใด _______ก. การสังเกตผู้เรียน _______ข. การสัมภาษณผ์ ้เู รยี น _______ค. การตรวจสอบงาน _______ง. การทบสอบด้วยแบบทดสอบ 2. การสรา้ งข้อตกลงระหวา่ งผ้เู รยี นและผู้สอน (Learning Contract) มคี วามเก่ยี วขอ้ งกับข้อใด _______ก. กาหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้ร่วมกนั ระหว่างครูผู้สอนกบั ผู้เรียน _______ข. การมอบหมายงานทา้ ยชวั่ โมงซึง่ หมายถึงการบา้ น _______ค. การกาหนดเกณฑก์ ารประเมินช้ินงาน เอกสาร ตาราเรียนประกอบการเรยี นรู้ _______ง. ผูเ้ รียนทราบเป้าหมายของการเรียนร้ทู ช่ี ัดเจน วางแผนการเรียนรไู้ ด้ 3. เทคนคิ ประเมนิ เพอ่ื การเรียนรมู้ ปี ระโยชน์ต่อผเู้ รียนผูส้ อนตรงตามข้อใดบา้ ง _______ก. ผเู้ รยี นรถู้ งึ ความสามารถความเขา้ ใจในแตล่ ะสาระการเรียนรู้ _______ข. ผเู้ รียนรู้มาตรฐานการประเมนิ ของสถานศึกษาเพือ่ จัดการเรียนรู้ _______ค. ผเู้ รียนสามารถปรับปรงุ แก้ไขพฒั นาตนเองได้อยา่ งทนั เวลาในการเรียนรู้ _______ง. ครผู สู้ อนได้ขอ้ มลู ของผ้เู รียนเพ่ือการวางแผนการจัดการเรยี นรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ _______จ. การบันทึกการเรียนรูม้ ีสว่ นสาคญั ชว่ ยให้ผู้เรียนตรวจสอบตนเอง 4. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ด้วยการสงั เกตควรดาเนินการอย่างไร _______ก. ศกึ ษาจุดประสงคก์ ารเรียนรแู้ ล้วกาหนดพฤตกิ รรม _______ข. ครผู สู้ อนแจง้ ผ้เู รยี นทราบส่ิงทจ่ี ะประเมนิ การเรียนรู้ เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นกั ศึกษาครปู ฏิบตั เิ ทคนิคประเมนิ เพอื่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณว์ ชิ าชพี ครู
๖๐ *เทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๓ Assessment for Learning Strategies เอกสารอา้ งองิ กิตติชัย สุธาสิโนบล. (2541). ผลการใช้เทคนิคการต้ังคาถามของครูท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และพฤติกรรมกลมุ่ ของนกั เรียน ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5. ปรญิ ญา นิพนธ์ กศ.ม. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. จตภุ ูม เขตจตั รุ สั . (2560).วธิ ีการและเครอื่ งมอื ประเมินการเรียนรูข้ องผเู้ รียนการประเมนิ โดยเพ่ือน. สาขาวิชาการวดั การประเมนิ ผลการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. โชติมา หนพู รกิ . (2558). เทคนิคการประเมนิ เพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู:้ การต้ังคาถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพอื่ สง่ เสรมิ การเรียนร้.ู กลมุ่ พฒั นาและส่งเสริมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สานักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา. (Online). www.curriculumandlearning.com. 27 ก.ย. 58. พรทิพย์ ไชยโสและคณะ. (2558). การพฒั นานวตั กรรมการส่งเสริมสมรรถนะครูในการจดั การเรียนรู้. ภาควิชา การศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. พติ ร ทองช้ัน. (2524). หลักการวัดผล. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์ สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ (สคช.). (2559). แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคม แหง่ ชาติฉบับท่ี 12 ราชกิจจานุเบกษา. (Online). www.ratchakitcha.soc.go.th/DAT/PDF/A/115/1.PDF. 20 มีนาคม 2560 สานักทดสอบทางการศึกษา. (2557). หลักสูตรฝึกอบรมเทคนิคการวัดและประเมินผลระดับช้ันเรียน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพช์ ุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน.ชุดฝึกอบรมการวัดและ ประเมินผลการเรียนรหู้ ลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศึกราช ๒๕๕๑.กรงุ เทพฯ : สพฐ. Berry, R. 2008. Assessment for learning. Hong Kong: Hong Kong University Press. Chappuis, S. and R. Stiggins. 2002. “Classroom Assessment for Learning.” Educational Leadership 60(1): 40-43. *********************************************************************
บทท่ี ๔ การปฏิบตั เิ ทคนิคประเมินเพอ่ื การเรยี นรู้ (Practice Assessment for Learning Strategies) สาระการเรียนรู้ 1. ความสาคัญของปฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรียนรใู้ นการจัดการเรียนรู้ 2. การนาเทคนคิ ประเมินเพ่อื การเรยี นรู้มาปฏบิ ัติในการจดั การเรียนรู้ 3. การจดั การเรยี นรกู้ บั เทคนิคประเมนิ เพือ่ การเรยี นรู้ 4. ตวั อยา่ งแบบบนั ทกึ ขอ้ มลู พน้ื ฐานผเู้ รียนเพือ่ การจดั การเรียนรูก้ บั เทคนคิ ประเมนิ เพื่อการเรียนรู้ 5. ตัวอย่างแผนแผนการจัดการเรยี นรกู้ ับเทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรยี นรู้ แนวคดิ รวบยอด การประเมินและพฒั นาการเรยี นรนู้ กั เรยี นท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ ผสู้ อนต้องตอบคาถาม เพอ่ื ให้การวางแผน และการออกแบบการประเมินบรรลุวตั ถุประสงค์ โดยตอบคาถามในแตล่ ะข้อให้ชัดเจน ทาไม เม่ือไร อะไร ใคร และอยา่ งไร วัตถุประสงค์ของการประเมินคือประเมนิ เพ่ือการเรยี นรู้ การประเมินขณะเรียนรู้/ประเมินผลการ เรียนรู้ ต้องการให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการสอน มีการเสริมแรง มีการทบทวน มีการปรับปรุงการประเมิน ทาอย่างต่อเนอ่ื งก่อนการเรียนรู้ (วินจิ ฉยั ผ้เู รียน)ระหว่างการเรียนรู้ หลงั การเรียนรู้ระหว่างวัน/สปั ดาห์/เทอม/ ระหว่างในช้ันเรียน/ท่ีบ้าน ผู้ประเมินเป็นนักเรียน เพ่ือน ครู หน่วยงานภายนอก ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็น นักเรียน ครู พอ่ แม่ ชุมชน ทัง้ น้คี รูผู้สอนมสี ่วนสาคัญในการทาการประเมนิ ผู้เรียนเพื่อใช้ผลการประเมนิ ในการ วางแผนการจัดการเรียนรู้ อีกท้ังต้องวางแผนการใช้คาถามเพ่ือประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนในขณะเรียนรู้ การสงั เกตพฤติกรรมการเรียนของผ้เู รยี นจะช่วยใหค้ รูสามารถปรบั ปรงุ เปล่ียนแปลงผเู้ รียนไดท้ ันทีทนั ใด อีกทั้ง ครูผู้สอนต้องใหก้ ารประเมินผูเ้ รียนเป็นระยะต่อเน่ืองตลอดการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงข้อเรียนรู้ของ ตนเพื่อพัฒนาและให้เพื่อนร่วมช้ันตรวจสอบ เพื่อประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ครูผู้สอนต้องวางแผนการ จัดการเรยี นรู้สอดแทรกเทคนิคประเมินเพื่อการเรยี นรเู้ พ่ิมประสิทธภิ าพการพัฒนาผเู้ รียนยง่ิ ข้นึ ไป ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวัง เมื่อศึกษาเน้ือหาบทน้ีเสร็จแล้วสามารถแสดงพฤติกรรมต่อไปนี้ได้ 1. อธบิ ายความสัมพันธข์ ัน้ ของการจดั การเรยี นร้แู ลว้ วางแผนการใช้เทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรยี นรู้ได้ 2. สามารถเขยี นแสดงการวางแผนการจัดการเรียนรู้ที่นาเทคนิคประเมนิ เพ่ือการเรียนรมู้ าใช้รว่ มได้ 3. สามารถเปรยี บเทียบผลการจดั การเรยี นรูท้ ่ีใชเ้ ทคนิคประเมินเพื่อการเรยี นรูแ้ ละไมใ่ ชไ้ ด้ 4. สามารถจดั การเรียนร้จู ากแผนการเรยี นร้ทู ีอ่ อกแบบได้ เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นกั ศึกษาครูปฏบิ ตั เิ ทคนคิ ประเมนิ เพอื่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณ์วิชาชพี ครู
๖๒ *เทคนคิ ประเมนิ เพื่อการเรยี นร:ู้ บทท่ี ๔ การปฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรียนรู้ เทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning Strategies) หมายถึง การที่ดาเนินการ อย่างต่อเนื่องตลอดการเรียนการสอน โดยมิใช่ใช้แต่การทดสอบระหว่างเรียนเป็นระยะ ๆ อย่างเดียวแต่เป็น การเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างไม่เป็นทางการด้วย ขณะที่ให้ผู้เรียนทาภาระงานตามที่กาหนด ครสู ังเกต ซักถาม จดบันทึก แล้ววิเคราะห์ข้อมูลวา่ ผู้เรียนเกิดการเรียนรหู้ รือไม่ จะต้องให้ผ้เู รียนปรบั ปรุงอะไร หรือผู้สอนปรับปรุงอะไร เพ่ือให้เกิดความก้าวหน้าในการเรียนรู้ตามมาตรฐาน/ตัวชี้วัด การประเมินระหว่าง เรียนดาเนินการได้หลายรูปแบบ เช่น การใหข้ ้อแนะนา ขอ้ สังเกต การพูดคุยระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเป็นกลุ่ม หรือรายบุคคล การสัมภาษณ์ การเขียนสะท้อนการเรียนรู้ (Journals) เป็นรูปแบบการบันทึกการเขียน อีกรูปแบบหนึ่งท่ีให้ผู้เรียนเขียนตอบกระทู้ หรือคาถามของครูซ่ึงจะต้องสอดคล้องกับความรู้ ทักษะท่ีกาหนด ในตัวช้ีวัด การเขียนสะท้อนการเรียนรู้น้ี นอกจากทาให้ผู้สอนทราบความก้าวหน้าในผลการเรียนรู้แล้ว ยังใช้ เป็นเครื่องมือประเมนิ พัฒนาการด้านทักษะการเขียนได้อีกด้วย การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student Self- assessment) การประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) ตลอดจนการวเิ คราะห์ผลการสอบ เทคนิคประเมินเพ่ือการเรียนรู้ในชั้นเรียน ควรนามาใช้เพ่ือพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดการเรียนรู้ อันจะสา มารถพัฒ นาการเ รียนรู้ของผู้เรียน เป็นสาคัญนั้นคือ การสร้าง ข้อตกลง ระหว่าง ผู้สอนแล ะผู้เรีย น (Learning Contract) ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายเป็นข้อตกลงร่วมด้วย อย่างมีความเหมาะสม ในช่วงเวลาของการต้ังคาถาม (Questioning) เพ่ือกระตุ้นการเรียนรู้ แล้วปรับเปลี่ยน การเรียนรู้ทันกับการสังเกต (Observation) สามารถบันทึกการเรียนรู้ (Learning Journal) แสดงให้เห็นถึง ความสามารถที่มีอยู่และต้องพัฒนาต่อไปทั้งน้ีผู้เรียนควรมีการประเมินตนเองและการประเมินโดยเพ่ือน (Self and Peer Assessment) และให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั (Feedback)
๖๓ ความสาคัญของปฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมนิ เพื่อการเรียนรูใ้ นการจัดการเรียนรู้ เทคนิคประเมินเพื่อการเรียนร้ใู นชั้นเรียนน้ันเพ่ือให้ได้ข้อมูลสารสนเทศทมี่ ีคุณค่าเพ่ือการพัฒนาตอ่ ไป 3 ลักษณะสาคัญคือ (1) การให้ข้อมูลกระตุ้นการเรียนรู้(feed-up) ของผู้เรียนช่วยให้สามารถหาข้อเรียนรู้ เพิ่มเติมเป็นการเสริมสร้างศักยภาพการเรียนรู้ที่ดียิ่งๆ ขึ้นของผู้เรียน (2) การให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) สาหรับผู้เรียนนั้นเป็นการตรวจสอบการเรียนรู้ความชัดเจนความถูกต้องและข้อความในการฝึกปฏิบัติเพ่ือการ พัฒนาย่ิงขึ้น และ (3) การให้ข้อมูลเพ่ือการเรียนรู้ต่อยอด(feed-forward) ของผู้เรียนสาคัญว่าการเรียนรู้ ไม่มีท่ีส้ินสุดผู้เรียนควรได้รับการเสริมสร้างให้มีแนวความคิดในการนาความรู้ไปใช้แสวงหาข้อเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาตนตอ่ ไป การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ในชั้นเรียนเกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างครูผู้สอนและ ผ้เู รียนแต่ละคน หรือระหวา่ งผู้เรยี นดว้ ยกันซึง่ ไดร้ ว่ มแบง่ ปันมมุ มองของการเรียนรู้ เพอ่ื การรวบรวมสารสนเทศ จากผู้เรียนอย่างสมบูรณ์เพียงพอท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้งด้านความรู้ทักษะความสามารถ ของผู้เรียน รวมทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในการเรียนรู้อีกทั้งมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนรู้ สร้างเจตคติต่อการ เรียนรู่ที่ดี ทั้งนี้การปฏิบัติการประเมินเพ่ือการเรียนรู้ของผู้เรียนจะต้องเข้าไปเป็นส่วนหน่ึงท่ีกลมกลืนและ ธรรมชาติของกระบวนการจัดการเรียนรู้และกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นเหตุให้ไม่สามารถแยก การจัดการเรียนรู้ออกจากการประเมินได้จาเป็นต้องเรียนรู้เทคนิควิธีการต่างๆของการประเมินเพื่อการเรียน แล้วดาเนินการอย่างกลมกลืนกับการจัดการเรียนรู้ในความเป็นธรรมชาติจะทาให้การรวบรวมสารสนเทศ เพ่ือการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนมีความถูกต้องชัดเจนรวดเร็วทันต่อการพัฒนาผู้เรยี นอยา่ งต่อเน่ืองและย่ังยืน “การดาเนนิ การตามกิจกรรมอย่างมีระบบแบบแผน ผสมผสานควบคู่กับกระบวนการจัดการเรียนการสอน โดยครูผู้สอนและนักเรียนนั้นสามารถรวบรวมสารสนเทศ ในการเรียนรู้ต่างๆ ของผู้เรียนในระหว่างเรียนระหว่างสอน แล้วนามาทาการวิเคราะห์แล้วตีความหมายหาสารสนเทศ ท่ีพึงได้รับ เพ่ือให้ได้ข้อสรุปถึงการเรียนรู้ของผู้เรียน ว่ามีความสามารถยิ่งอย่างไร มีจุดท่ีควรพัฒนาอย่างไร และทาการตัดสินใจสาหรับการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้หรือสอนเสริมเพื่อการเรียนรู้ ในขณะที่ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ว่าจะปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเองอย่างไร ผู้ปกครองหรือผู้ท่ีเกี่ยวข้องก็สามารถให้สารสนเทศน้ีในการให้ การช่วยเหลือท้ังครูผู้สอนและพัฒนาผู้เรียน” เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นกั ศึกษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณ์วิชาชพี ครู
๖๔ *เทคนิคประเมนิ เพอ่ื การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๔ การปฏบิ ตั เิ ทคนคิ ประเมินเพอื่ การเรยี นรู้ เป้าหมายสาคัญของการประเมินการเรยี นรู้ คอื การพัฒนาผเู้ รียนใหม้ ีการเปลี่ยนแปลงคณุ สมบตั ิต่างๆ ไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษา ขณะเดียวกันน้ันต้องช่วยให้ผู้สอนเกิดแนวทางในการปรับปรุง การจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เกิดแนวทางในการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อความเหมาะสมย่ิงขึ้น เพ่ือการได้มาซึ่งสารสนเทศของการประเมินการเรียนรู้ท่ีชัดเจนตรงตามสภาพความจริงส่วนของเทคนิค ประเมินจึงมีความเกี่ยวพันกับกระบวนการอื่นๆ ของการจัดการศึกษาทั้งการวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อกาหนด วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนการสอน การศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และ การจดั ทาแผนการประเมินการเรยี นรู้ การดาเนินการกระบวนการต่างๆ ในการจดั การศึกษานม้ี ีความเก่ียวขอ้ ง และสัมพนั ธก์ นั ดงั น้ี การวัดและการประเมิน การวเิ คราะห์หลักสตู ร การเรยี นรู้ การกาหนด วตั ถุประสงค์การจัดการเรยี นรู้ การจดั การศึกษา การจัดประสบการณ์ วางแผนโครงการสอน การเรยี นรู้ ระยะยาว การวิเคราะห์ความสามารถ พ้นื ฐานและคุณลักษณะ ของผู้เรียน จากแผนภาพ: การจัดการศึกษาครูผู้สอนต้องดาเนินการวิเคราะห์หลักสูตรเพ่ือให้สามารถกาหนดได้ว่า อะไรคือวัตถุประสงค์ของจัดการเรียนการสอนในรายวิชาที่สอน เพ่ือการวางแผนโครงการสอนระยะยาวอันจะ เกิดขึ้นในหน่ึงปีการศึกษา ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐานของผู้เรียนท้ังในเรื่องความสามารถพื้นฐานและคุณลักษณะ ของผู้เรียนเพ่ือการออกแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมกับผู้เรียนและดาเนินการให้เป็นไป
๖๕ ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร และการท่ีผู้สอนจะทราบว่าผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร แล้วหรือไม่นั้นสาคัญด้วยการวัดและการประเมินการเรียนรู้จะเป็นกระบวนการสาคัญที่ทาให้ผู้สอนได้รับข้อมูล ดังกล่าวซ่ึงเพื่อการพัฒนาผู้เรียนจึงจะต้องดาเนินการไปพร้อมกับกระบวนการจัดการเรียนการสอนหรือการจัด ประสบการณ์ ผลการประเมินจะทาให้ได้ข้อมูลย้อนกลับผู้สอน เพ่ือการปรับปรุงการจัดประสบการณ์จัดการเรียนรู้ การปรับปรุงและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน และการปรับปรุงหลักสูตร และการกาหนดวัตถุประสงค์ของ การจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมขน้ึ การนาเทคนคิ ประเมินเพ่อื การเรยี นรมู้ าปฏบิ ัตใิ นการจัดการเรยี นรู้ กระบวนนาเทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้มาใช้สามารถเกิดข้ึนตลอดช่วงของกิจกรรมการเรียนการ สอนท้ังก่อนสอน ระหว่างสอน และหลังสอน ทั้งน้ีก่อนการสอนเพื่อท่ีจะบรรยายถึงสมรรถนะพื้นฐานของ ผู้เรียนก่อนเรียน พ้ืนฐานความเข้าใจ เป้าหมายและแรงจูงใจในการเรียนรู้ เพื่อครูจะได้ทราบข้อมูลพื้นฐาน ท่ีจะนาไปสู่การจัดตาแหน่งผู้เรียน (placement) และจัดการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับผู้เรียน ระหว่าง สอนเพ่ือท่ีตรวจสอบและวนิ ิจฉัย (diagnosis) การเรยี นรขู้ องผู้เรียนว่าสามารถติดตามบทเรียนได้อย่างไร ส่ิงใด ที่เรียนรู้หรือยังไม่เรียนรู้ มีความคลาดเคลื่อนอย่างไร มีความยากท่ีจะเรียนรู้อย่างไร เพื่อที่จะช่วยซ่อมเสริม หรือแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียนให้สามารถที่จะเรียนรู้ได้ต่อไป สาหรับหลังเรยี นมจี ุดม่งุ หมายเพื่อท่ีจะสรปุ ผล การเรียนของผู้เรียน (grading) และรายงานผลการเรียน (reporting) ตลอดจนสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ตามวัตถุประสงค์สาคัญของหลักสตู รรายวิชาว่าผู้เรียนได้เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมการเรียนรไู้ ปตามวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายที่กาหนดไว้มากน้อยเพียงใด การนาเทคนิคประเมินเพ่ือการเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการท่ีเกิดข้ึน ในขณะเดียวกับการจัดการเรียนรู้ และให้ข้อมูลท่ีจะนาไปสู่การจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป้าหมายของการนาเทคนิคประเมินเพ่ือการเรียนรู้มาใช้จึงเป็นไปท้ังเพ่ือการปรับปรุงการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพมากข้ึน มีประสิทธิผลสาคัญต่อการพัฒนาผู้เรียน ทั้งนี้เป้าหมายการประเมินเพื่อการเรียนรู้ เกิดขึ้นระหว่างการจัดการเรียนรู้ (assessment for learning and assessment as learning) และเพ่ือการ ตดั สินผลการเรียนรขู้ องผเู้ รียน (assessment of learning) แนวคิดสาคญั ในการออกแบบการนาเทคนิคประเมนิ การเรียนรู้มาใช้ในประเมินเพือ่ การเรียนรู้ การประเมินการเรียนรู้ของผูเ้ รียนมีจุดเน้นท่ีผู้สอนต้องให้ความสาคัญเพ่ือการออกแบบการนาเทคนิค ประเมนิ การเรียนรูม้ าใช้ 3 ประการ คอื 1) การดาเนินการเกี่ยวกบั เทคนิคประเมินเพ่ือการเรยี นร้เู กดิ ขน้ึ พร้อมกับการจัดการเรยี นรู้ 2) การดาเนนิ การเกดิ ข้ึนเน้นสภาพจริง (Authentic assessment) 3) การดาเนินการเกิดขึ้นเนน้ การปฏบิ ตั ิ (Performance assessment) 4) ความหลากหลายของเทคนิคการประเมินเพื่อการเรยี นรู้ เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นักศึกษาครปู ฏิบัตเิ ทคนิคประเมนิ เพ่อื การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชพี ครู
๖๖ *เทคนิคประเมินเพอื่ การเรยี นร:ู้ บทที่ ๔ การปฏบิ ตั ิเทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรียนรู้ 1) การดาเนนิ การเกย่ี วกับเทคนิคประเมินเพอื่ การเรยี นร้เู กิดขึ้นพรอ้ มกบั การจัดการเรยี นรู้ กระบวนการจัดประสบการเรียนรู้ในชั้นเรียนนับได้ว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด เพื่อการเรียนรู้ค้นหา ความสนใจความต้องการของตนเอง สืบค้นขอมูลเพื่อตอบคาถามท่ีสงสัย กระบวนการประเมินเพ่ือการเรียนรู้ หาเพ่ือเป็นไปเพอ่ื การพัฒนาแล้วจึงจาเป็นต้องเกิดขึ้นในระหว่างท่ีมีการเรียนการสอนมิใช่ดาเนินการสอบหลัง กิจกรรมการเรียนการสอนเสร็จส้ินลงไปแล้ว ทักษะการคิดข้ันสูง เช่น การถามคาถาม การลงข้อสรุปจะได้รับ การประเมินเหมือนกับคุณลักษณะของผู้เรียน เช่น ซ่ือสัตย์สุจริต มีวินัยใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการทางาน และ มีจิตสาธารณะ เป็นต้น ผู้เรียนเป็นผู้มีความสาคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมินผลการเรียนของตนเอง เช่นเดียวกับผู้สอนเพอื่ ท่ีผูเ้ รียนจะได้รับทราบถึงความคาดหวังท่ีผู้สอนมแี ละเกณฑ์ที่เป็นสิ่งที่แสดงความสาเร็จ ในการเรียน การท่ีผู้เรียนทราบข้อมูลหรือข้อบกพร่องหรือจุดเด่นในการเรียนของตนเองและเกณฑ์ท่ีเป็นส่ิง แสดงความสาเร็จในการเรียนการที่ผู้เรียนทราบข้อมูลหรือข้อบกพร่องหรือจุดเด่นในการเรียนจะทาให้ผู้เรียน เห็นแนวทางท่ีจะพัฒนาตนเองให้ดีข้ึน ดังนั้นกระบวนการวัดและการประเมินการเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการ ต่อเน่อื ง เปน็ กระบวนการเดยี วกับการเรยี นการสอนและดาเนนิ การไปพร้อมกับการจัดการเรียนการสอน ครูผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนตามหาคาตอบ จากคาถามท่ีเกิดขึ้นในชั้นเรียน สร้างความกล้าในการ สะท้อนการเรียนรู้ของตนเองทันต่อการพัฒนาและการ เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นสร้างประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เป็น สาคัญ ความชัดเจนในข้อเรียนรู้และความสามารถของ ผเู้ รยี นถกู พฒั นาตามข้ันตอนของการจัดการเรยี นรทู้ ันที 2) การดาเนินการเกิดขึน้ เน้นสภาพจริง (Authentic assessment) กระบวนการจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติในงาน มีคุณค่าหรือมีความสาคัญ และมีความหมายเก่ียวข้องเหมือนกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แสดงความรู้ความสามารถ ทักษะกระบวนการต่างๆ การประเมินผลจึงมิใช่เพยี งการวัดด้วยกระดาษดินสอ เป็นการประเมินที่ครอบคลุม คุณลักษณะสาคัญของผู้เรียนตามความคาดหวังของรายวิชา เป็นการประเมินความสามารถ ทักษะและ คุณลักษณะผู้เรียน ท่ีเก่ียวพันกับส่ิงท่ีจะนาไปใช้ในชีวิตจริง และเน้นความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน โดยการตรวจสอบถึงทักษะการคิดข้ันสูงและการนาไปใช้ เปน็ การประเมินท่ีสามารถสอ่ื สารให้นกั เรียนไดเ้ ข้าใจ ในงานท่ีเขาปฏิบัติได้อย่างดีวา่ เป็นไปตามมาตรฐาน หรือเกณฑ์ท่กี าหนดไว้อย่างไร การประเมินตามสภาพจริง เกี่ยวข้องกบั กิจกรรมในการรวบรวมข้อมลู ด้วยการให้งานเพ่ือให้นักเรียนปฏิบัตแิ ละตรวจสอบด้วยการสังเกต การสัมภาษณ์ การบันทึก จากการให้ทางานกลมุ่ เพ่อื ทจี่ ะแก้ไขปัญหาที่สงสยั การทาแฟ้มงาน เปน็ ต้น
๖๗ 3) การดาเนนิ การเกิดข้ึนเน้นการปฏบิ ัติ (Performance assessment) การประเมินการเรียนรู้จากการปฏิบัติเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถและทักษะ ตลอดจนลักษณะนิสัยในการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ในการทางานของตนและกลุ่มผู้เรียน เพื่อนา ขอ้ มูลท่ีรวบรวมมาใช้ในการตรวจสอบวา่ ผ้เู รียนสามารถเรียนรู้ตามเป้าหมายของการเรียนการสอนที่กาหนดไว้ หรือไม่ ทั้งน้ียังมีความสามารถทักษะและคุณลักษณะใดของผู้เรียนท่ีต้องการได้รับการปรับปรุงหรือสนับสนุน ให้มีการพัฒนาศักยภาพข้อเรียนรู้ของผู้เรียนยิ่งขึ้นอีก การประเมินการเรียนรู้จากการปฏิบัติแตกต่างจากการ ประเมินด้วยแบบสอบแบบกระดาษดินสอทผี่ ู้ได้รับการประเมินจะเขียนลงในกระดาษคาตอบ หากแต่ต้องการ ให้ผู้ได้รับการประเมินแสดงออกด้วยการพูด ท่าทาง สาธิต ทดลอง แสดงบทบาทสมมติ และอื่นๆ ซ่ึงทาให้ ครูผู้สอนประเมินความสามารถโดยใช้การสังเกตเพ่ือตรวจสอบสิ่งท่ีผู้เรียนแสดงออกมาว่ามีความสามารถ ทักษะและคณุ ลกั ษณะตามท่กี าหนดไว้ในเป้าหมายของการเรยี นการสอนหรือไม่อยา่ งไร การแสดงออกของผู้เรียนในการปฏิบัติงานตาม มอบหมาย ครูผู้สอนสามารถสังเกตแล้วให้ข้อเสนอแนะ แนวทางที่ถูกต้องเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนได้ ยิ่งข้ึน หรือสามารถเปลี่ยนแปลงการแสดงออกให้ความมี ความถูกต้องทันทีทันใด ซ่ึงผู้เรียนสามารถพฒั นาและได้รับ ข้อเรียนรู้ในการพัฒนางานให้ดีขึ้น เช่น การแก้ปัญหาใดๆ ต า ม ส ถ า น ก า ร ณ์ ท่ี ก า ห น ด นั ก เ รี ย น น า เ ส น อ แ น ว ท า ง การแก้ปัญหา ผู้เรียนคนอื่นเสนอแนวคิดร่วมกันได้ แล้ว ลองลงมือดาเนินการตามแนวทางท่ีวางแผน ครูผู้สอน สังเกตประเมินเพ่ือการพัฒนาผู้เรียนในขณะดาเนินการได้ อย่างต่อเน่ือง เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นักศึกษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมินเพอ่ื การเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู
๖๘ *เทคนิคประเมนิ เพอ่ื การเรยี นร:ู้ บทที่ ๔ การปฏิบัติเทคนคิ ประเมนิ เพื่อการเรยี นรู้ 4) ความหลากหลายของเทคนิคประเมินเพ่ือการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยแบบสอบด้วยกระดาษดินสอเพื่อให้ผู้เรียนเลือกตอบ หรือเขียนคาตอบตามข้อคาถามของการประเมินผลนั้นไม่ใช่เครื่องสาคัญในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ท่ีสอดคล้องกับแนวคิดวิธีการจัดการเรียนรู้ในยุคแห่งทศวรรษที่ 21 ตามสภาพจริงหากแต่ต้องการตรวจสอบ ความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนด้วยข้อสอบของข้อคาถามที่ต้องการให้ผู้เรียนสร้างคาตอบเอง (constructed response) นอกจากนี้ยังต้องการเคร่ืองมืออื่นๆ ด้วย เช่น การสังเกต การอภิปราย การบันทึกเหตุการณ์ (anecdotal record) แบบตรวจสอบรายการ (checklist) การสัมภาษณ์(interview) การเขียนอนุทิน (journal) การประเมินด้วยแผนผังมโนทัศน์(assessment- based on concept map) การประเมิน จากการปฏิบัติ ประกอบด้วยการทาโครงงาน (Project) ท้ังงานกลุ่ม และงานเด่ียว การรายงานหน้าช้ัน (Interview/Oral Presentation) การใช้คาถามที่ให้ผู้ตอบสร้างคาตอบด้วยตนเอง ( Constructed Response Question ) การเขียนความเรียง (Essay) การทดลอง(Experiments) การสาธิต (Demonstrations) และ การใช้แฟ้มสะสมงาน (Portfolios) เป็นต้น ความหลากหลายของเคร่ืองมือจาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ เทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้เป็นสาคัญ ซึ่งเทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้ระหว่างเรียนที่ครูผู้สอนสามารถ นามาใช้มีหลายเทคนิควิธี เช่น การสังเกต การอภิปลาย การสัมภาษณ์ การบันทึกเหตุการณ์ การใช้แบบ ตรวจสอบรายการ ซึ่งเทคนิควิธีการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ครูผู้สอนสามารถพัฒนาข้ึนได้ด้วยตนเอง โดยใช้หลักท่ีว่า เทคนิควิธีการใดท่ีจะช่วยทาให้ครูผู้สอนนั้นได้มีความเข้าใจถึงกระบวนการการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ชัดเจน ก็เป็นเทคนิควิธีการท่ีผู้สอนควรเลือกเอาใช้เพื่อเกิดการเรียนรู้ที่จะพัฒนาผู้เรียนได้ตามวัตถุประสงค์หรือ มาตรฐานผลการเรียนรู้ทก่ี าหนดไว้ เทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้ท่ีครูผู้สอนนามาใชใ้ ห้ผู้เรียนประเมินตนเอง ประกอบด้วย การเขียนอนทุ นิ การทาสรุปแผนผังความคิดให้ผเู้ รียนเห็นเป็นตัวอย่าง การใช้คาถามกระตุ้นการ เรียนรู้ ช่วยช้ีแนะให้ผู้เรียนแสดงออกถึงพัฒนาการการเรียนรู้ของตนเอง เทคนิคการตั้งคาถามเพื่อเสริมสร้าง การเรียนรูข้ องผเู้ รียนจงึ เปน็ สิ่งสาคญั ย่งิ ที่ครูผู้สอนควรเรียนรู้และนาไปใชอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ไม่ทราบวา่ นกั เรียนคนใดจะชว่ ยสรปุ 1.ต้องการทบทวนความรเู้ ดิม หรอื ข้ันตอนการแก้ปญั หาจากสถานการณ์ ทบทวนความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน ท่ีครูกาหนดไดบ้ ้างคะ การนาเทคนิคการตัง้ คาถาม 2.ตอ้ งการสรา้ งความมนั่ ใจ (Questioning)มาใช้ในการถาม-ตอบ ให้ผเู้ รียน ในห้องเรียน 3.ต้องการขยายคาตอบ สรา้ งการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ ระหว่างผเู้ รียน
๖๙ การให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) ให้กับผู้เรียนทั้งเพ่ือช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ (feed up) การให้ข้อมูล เพ่ือให้เกิดแนวทางในการปรับปรุงการเรียนรู้ (feedback) และการให้ขอ้ มูลเพื่อให้เกิดการพัฒนาการเรยี นรใู้ นระยะ ต่อไป (feed forward) เป็นเทคนคิ สาคัญของการประเมินระหว่างเรียน การให้ขอ้ มลู ย้อนกลับ Feedback 1.การให้ขอ้ มลู ย้อนกลับเกย่ี วกับผลงาน(task)วา่ ผลงานน้ันดหี รือไม่อย่างไร ควรใหเ้ พอ่ื เป็นการพัฒนา มีความ เหมาะสมกับระดับช้ันเรียนเป็นสาคัญ เช่น ระดับประถมศึกษารูปสัญลักษณ์ ครูผู้สอนควรผลคุณภาพของ งานด้วยภาพและเปิดโอกาสให้แก้ไขเพื่อเพิ่มจานวนภาพได้ ระดับมัธยมคะแนนสร้างความเข้าใจชัดเจนซึ่งหาก ผู้เรียนได้ผลคะแนนน้อยควรเปิดโอกาสให้ปรับปรุงเช่นกันหากการแก้ไขงานนั้นครูเปิดโอกาสให้นักเรียนคน หาข้อผิดพลาดของตนเองเป็นข้ันต้น หรืออาจเสนอแนะแนวทางเป็นลาดับขั้นช่วยเหลือผู้เรียนเพื่อลดระยะเวลา ในการค้นหาข้อผิดพลาดก็สามารถทาได้ไม่ควรมากเกินไปอันจะมีผลต่อกระบวนการคิดของผู้เรียนซึ่งนักเรียน สามารถนาผลการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั ของตนปรกึ ษาเรียนร้กู บั เพ่ือนๆ ได้ สง่ เสรมิ การเรยี นร้แู บบร่วมมือ 2.การให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการกากับติดตามตนเอง ((self-regulation) และ การประเมินตนเอง (self- personal evaluation) ผู้เรียนควรติดตามตรวจสอบผลการส่งงานของตนว่าการทาแบบฝึกหัด หรืองาน ท่มี อบหมายส่งทนั กาหนดเวลาหรือไมอ่ ย่างไร มีการแก้ไขอย่างไรหาผู้เรยี นไมส่ ามารถส่งงานได้ทนั กาหนดเวลา อีกท้ังเมื่อครูผู้สอนให้โอกาสผู้เรียนปรับปรุงผลงานใดๆ ก็ตามผู้เรียนให้ความสาคัญในการปรับปรุงหรือ ไม่อย่างไรผู้เรยี นมเี หตุผลอย่างไรในการปรับปรุงหรอื ไม่ปรับปรุงผลงานน้นั ๆ เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศึกษาครูปฏบิ ตั เิ ทคนิคประเมนิ เพอื่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู
๗๐ *เทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๔ การปฏบิ ัติเทคนคิ ประเมินเพ่อื การเรยี นรู้ หลักการจัดการเรียนรกู้ ับเทคนคิ การประเมินเพือ่ การเรียนรู้ แนวคดิ แนวทางปฏิบตั ิ ควรเป็นส่วนหน่ึงของแผนการจัด แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู ควรใหโ้ อกาสทั้งผู้เรียนและ กิจกรรมการเรียนรู้ ครูได้รับและใช้ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับความก้าวหน้าท่ีไปถึง เป้าหมายการเรียนรู้ การวางแผนควรประกอบด้วยกลวิธีที่เช่ือม่ัน ได้ว่า ผู้เรียนเข้าใจเป้าหมายที่ผู้เรียนกาลังทาให้สาเร็จลุล่วงและ เข้าใจในเกณฑ์ ท่ีจะถูกนามาใช้ประเมินการทางานของผู้เรียน วธิ ีการท่ีพวกเขาจะได้รบั ข้อมลู ยอ้ นกลับ หรือวธิ ีการท่ีผเู้ รยี นจะได้ เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินการเรียนรู้ของพวกเขาเองครูผู้สอน จึงควรวางแผนวิธีการช่วยเหลือให้ผู้เรียนเกิดความก้าวหน้า ในผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ ควรเน้นไปท่ีวิธีการให้ผู้เรียน กระบวนการเรียนรู้ต้องอยู่ภายในจิตใจ ทั้งของผู้เรียนและครูใน เกิดการเรียนรู้ ขณะท่ีมีการวางแผนการประเมิน รวมทั้งในขณะที่มีการชี้แจง อธิบายเก่ียวกับหลักฐานการเรียนรู้ ผู้เรียนควรจะตระหนักรู้ เกยี่ วกับวธิ กี ารเรียนรขู้ องตนเองเท่า ๆ กบั สงิ่ ท่ีเขาไดเ้ รียนรู้ ควรแสดงให้เห็นว่าเสมือนเป็นสิ่ง มีกิจกรรมการวัดและประเมินผล (Assessment) มากมาย ท่ีครู สาคัญในชั้นเรียน และผู้เรยี นทาในชั้นเรยี น ดังเชน่ ชน้ิ งาน และการทผี่ ู้เรียนซักถาม แสดงให้เห็นถึงองค์ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะของพวกเขา เป็นทักษะสาคัญท่ีแสดง สิ่งท่ีผู้เรียนพูดหรือทาจะถูกสังเกต ตีความหมาย และตัดสินส่ิง ความเป็นครูมืออาชีพ ดังกล่าวเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีการเรียนรู้ท่ีปรากฏ ขึ้นในตัวผู้เรียน กระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของการ ดาเนินกิจวัตรประจาวันในชั้นเรียนที่จาเป็นย่ิง อีกท้ังผู้เรียนและ ครคู วรร่วมกันสะทอ้ น พูดคุย และรว่ มกันตดั สนิ ได้ ครูมืออาชีพกาหนดให้มีองค์ความรู้และทักษะในเรอ่ื งการวางแผน การประเมิน การสังเกตการเรียนรู้ การตีความหลักฐานแห่งการ เรียนรู้(Evidence of Learning) ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียนและสนับสนุนผู้เรียนในการประเมินตนเอง (Self- Assessment)ครูจึงควรได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาทักษะ เหลา่ น้ีอยา่ งต่อเน่อื งส่กู ารพัฒนาความเป็นครูมอื อาชีพ
๗๑ แนวคดิ แนวทางปฏิบตั ิ ควรตอบสนองได้ง่ายและ ครูควรตระหนักถึงผลกระทบ (ความคิดเห็น คะแนน ระดับผล พัฒนาข้ึนในทางสร้างสรรค์ การเรียน) มีผลต่อความม่ันใจและความกระตือรือร้นของผู้เรียน เนื่องจากไม่ว่าการประเมินผลใด ๆ และผู้สอนควรให้ข้อมูลย้อนกลับในทางสร้างสรรค์เท่าท่ีจะเป็นได้ ย่อมเกิดผลกระทบต่อความรู้สึก ข้อคิดเห็นท่ีเน้นไปท่ีการทางานของผู้เรียนมากกว่าตัวผู้เรียนช่วย ให้การเรียนรแู้ ละแรงจูงใจพัฒนาขนึ้ ควรคานึงถึงความสาคัญ การประเมินที่สนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจ ด้วยการให้ กับแรงจูงใจของผู้เรียน ความสาคัญกับความก้าวหน้าและผลสาเร็จมากกว่าความล้มเหลว การเปรียบเทียบกับผู้เรียนคนอื่นที่เก่งกว่า ไม่น่าจะทาให้ผู้เรียน เกิดแรงจูงใจข้ึนได้ แต่กลับทาให้ผู้เรียนรู้สึกไม่ดี และคิดล้มเลิก ที่จะพัฒนาความก้าวหน้า วิธีประเมินผลสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิด แรงจูงใจ ด้วยการรักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้จากการให้ ทางเลือกข้อมูลย้อนกลับท่ีเป็นไปในทางสร้างสรรค์และสร้าง โอกาสใหก้ าหนดทิศทางดว้ ยตัวเอง ควรส่งเสริมให้เกิดความรับผิดชอบ สาหรับการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพท่ีจะเกิดขึ้น ผู้เรียนจาเป็น ท่ีจะเรียนรู้ตามเป้าหมายและแบ่งปัน ท่ีจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้เรียนกาลังพยายามทาให้สิ่งน้ันประสบ ความสาเร็จหรือต้องการให้มันสาเร็จ ความเข้าใจเกิดขึ้นได้ ความเข้าใจในเกณฑ์ที่ผู้เรียน เม่ือผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเป้าหมาย และมีส่วนร่วม จะถูกประเมิน ในการระบุเกณฑ์สาหรับประเมินความก้าวหน้า การส่ือสารเกณฑ์ การประเมินจะเกิดขึ้นเมื่อครูและนักเรียนได้ร่วมกันอภิปราย เกณฑ์การประเมิน รวมถึงคาศัพท์ที่ใช้ เพ่ือผู้เรียนจะสามารถ เข้าใจได้จัดหาตัวอย่างที่บรรลุตามเกณฑ์การประเมิน และ ใหผ้ ้เู รยี นมีส่วนในการประเมินตนเองและเพ่อื นประเมนิ เพ่ือน ควรได้รับการแนะนา ผ้เู รียนต้องการขอ้ มลู สารสนเทศและการแนะนา เพ่อื ท่ีจะวางแผน เชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับ ข้ันตอนในการเรียนรู้ของพวกเขาต่อไป ดังน้ัน ครูควรท่ีจะหา วิธีที่จะปรับปรุงการเรียนรู้ จุดเด่นของผู้เรียน และให้คาปรึกษาถึงวิธีที่จะพัฒนาผู้เรียน ซ่ึงต้องชัดเจนและเป็นไปอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับจุดท่ีควรพัฒนา ให้โอกาสผเู้ รียนปรบั ปรงุ การทางานของผู้เรยี น เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นกั ศกึ ษาครปู ฏบิ ตั เิ ทคนิคประเมินเพอื่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู
๗๒ *เทคนคิ ประเมนิ เพ่อื การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๔ การปฏิบตั เิ ทคนคิ ประเมินเพือ่ การเรยี นรู้ แนวคดิ แนวทางปฏบิ ตั ิ ควรพัฒนาความสามารถ ผู้เรียนท่ีเป็นอิสระจะมีความสามารถในการค้นหาและเพิ่มทักษะ ของผู้เรียนในการประเมนิ ตนเอง องค์ความรู้ และความเข้าใจใหม่ ๆ ผู้เรียนเหล่าน้ันจะกังวลอยู่กับ เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นไดส้ ะท้อนและบรหิ าร การสะท้อนความคิดด้วยตนเอง ครูควรจัดให้ผู้เรียนตามความ ต้องการและความสามารถ ด้วยการแนะนาการเรียนรู้ของผู้เรียน จดั การตนเองได้ ด้วยการพฒั นาทักษะในการประเมินตนเอง ควรคานึงถึงขอบเขตความสาเรจ็ การประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ควรถูกใช้เพ่ือเพ่ิมโอกาสในการ ของผูเ้ รยี นทุกคน เรียนรู้ของผู้เรียนทุกคน ในเน้ือหาท้ังหมดของกิจกรรมทาง การศึกษา และเพ่ิมศักยภาพให้กับผู้เรียนทุกคนประสบความสาเร็จ ท่ดี ที ี่สุดของผู้เรียนแตล่ ะคน ทมี่ า: สานักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2560. การจัดการเรียนรู้กับเทคนิคประเมินเพอ่ื การเรยี นรู้ การจัดการเรียนรู้น้ันครูผูส้ อนใช้แผนจัดการเรียนรู้อันเป็นเคร่ืองมอื สาคัญเปรียบเสมือนแผนที่นาทาง ซ่ึงช่วยให้ครูผู้สอนสามารถช่วยเหลือพัฒนาผู้เรียนอย่างเหมาะสมตรงตามเป้าหมายของหลักสูตรและ มปี ระสิทธิภาพ การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้นั้นเมื่อครูผู้สอนทาการวิเคราะห์สาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชีวัด ให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่กาหนดให้ชัดเจน จัดทาคาอธิบายรายวิชาวิชา โครงสร้างรายวิชา โครงการสอน ระยะยาว วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง สาระการเรียนรู้ กระบวนการเรียน การวัดและการประเมินผล การเรียนรู้ แล้วครูผูส้ อนดาเนินการอกแบบแผนการจดั การเรียนรู้ให้มคี วามเหมาะสมกับบรบิ ทของสถานศกึ ษา ความถนัด ความแตกต่างของผู้เรียน จึงเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามขั้นที่ระบุไว้ ซึ่งโดยท่ัวไปแผนการ จัดการเรียนรูจ้ ะประกอบด้วยส่วนตา่ งๆ ดงั น้ี 1. หัวเรอ่ื ง คอื ส่วนทก่ี าหนด ช่ือหนว่ ยการเรียนรู้ ชน้ั ทสี่ อน วัน เวลาท่สี อน เรอ่ื งท่สี อน เปน็ สาคญั 2. สาระสาคัญของเร่ืองท่ีสอนในคร้ังนั้น เป็นส่วนของมโนทัศน์หลัก หรือความคิดรวบยอดของการ จัดการเรยี นรู้ซึง่ กาหนดไว้ชดั เจนเชอ่ื มโยงสงิ่ ทจี่ ะดาเนินการสอน
๗๓ 3. มาตรฐานและตัวช้ีวัด คือ คุณลักษณะสาคัญของผู้เรียนที่กาหนดไว้ในหลักสูตร โดยในแต่ละ แผนการจัดการเรียนรู้ จะหยิบยกมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและคาดว่าจะเกิดกับผู้เรียน ซึ่งการท่ี ลักษณะของผู้เรียนเป็นไปตามมาตรฐานและตัวชี้วัดนี้ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะ ท่ีพงึ ประสงค์ ตามทีก่ าหนดไวใ้ นหลักสูตรแกนกลางและส่วนทเ่ี พ่ิมเติมใหห้ ลกั สตู รสถานศึกษา 4. ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง คือ เป้าหมายที่ต้องการให้เกิดกับตัวผู้เรียนหลังจากท่ีเราได้ดาเนินการ จดั การเรียนรู้ตามแผนทไี่ ด้วางไว้แล้ว โดยในการกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้น้ันจะต้องเกดิ จากการวเิ คราะห์ มาตรฐานและตัวช้วี ัดตามตารางวเิ คราะห์หลักสูตร 5. สาระการเรียนรู้ คือเน้ือเร่ือง หรือองค์ความรู้ ทักษะ กระบวนการของผู้เรียนที่จะต้องเรียนรู้ ในรายวิชานน้ั ๆ 6. การบวนการการเรียนรู้ คือ การระบุกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดขึ้น เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยแบง่ เป็น ขน้ั นาเขา้ ส่บู ทเรยี น ขั้นสอน และขน้ั สรุป 7. ส่ือ/อุปกรณ์/แหล่งการเรียนรู้ คือ เคร่ืองมือในการส่งเสริมการเรียนรู้ท่ีใช้ตามท่ีกาหนด ในกจิ กรรมการเรียนรู้ 8. การวัดและประเมินผล คือ การประเมินผลผู้เรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซ่ึงควรระบุ เครอื่ งมอื วดั และเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ซึง่ สามารถศึกษาได้จากคูม่ อื หลักสูตร 9. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ คือการบันทึกของครูผู้สอนจากสิ่งที่พบในการนาแผนจัดการ เรยี นรู้มาใช้ โดยแบ่งเป็น ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ปัญหาและอุปสรรค์ และ ข้อเสนอแนะ องค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมาน้ี ถ้าครูผู้สอนสามารถทา ความเข้าใจความเก่ียวพันของแต่ละองค์ประกอบต้ังแต่เร่ิมต้นจน จบกระบวนการ จะช่วยให้ครูผสู้ อนสามารถออกแบบแผนการสอน ท่ี เ ป็ น แ บ บ ฉ บั บ ข อ ง ตั ว เ อ ง ไ ด้ อ ย่ า ง เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ ถู ก ต้ อ ง ต า ม หลักสูตรแกนกลาง หากแต่ความร่วมมือกันเพื่อตรวจสอบความ สมบูรณ์ ความถูกต้องตามลาดับขนั้ ของการจัดกิจกรรมสามารถใช้ ประสบการณ์ของการสอนเพื่อนร่วมงานมาช่วยให้แผนการจัดการ เรียนรปู้ ระสบความสาเรจ็ ได้ยงิ่ ข้นึ เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นกั ศึกษาครปู ฏิบตั เิ ทคนคิ ประเมินเพอ่ื การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณ์วิชาชพี ครู
๗๔ *เทคนคิ ประเมนิ เพื่อการเรยี นร:ู้ บทที่ ๔ การปฏิบัติเทคนคิ ประเมนิ เพอื่ การเรยี นรู้ การเขยี นแผนการสอนท่ดี นี ้ัน ควรมีดงั น้ี 1. มีความละเอียด ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของการออกแบบแผนการสอน โดยสามารถตอบคาถามไดว้ า่ สอนอะไร มีจุดประสงค์อยา่ งไร โดยวิธไี หน และวัดผลเช่นไร 2. แผนการสอนควรเกิดจากการสร้างสรรค์และคิดค้นขึ้นมา โดยตัวครูผู้สอนเอง และคานึงความ ต้องการของผู้เรียนเป็นสาคัญควบคู่กับส่ิงท่ีผู้เรียนต้องเรียนตามหลักสูตร และที่สาคัญท่ีสุด คือแผนการสอน นน้ั จะตอ้ งสามารถนาไปปฏบิ ัติได้จรงิ 3. ส่วนประกอบต่าง ๆ ของแผนการจัดการเรียนรู้ต้องมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องสัมพันธ์กัน ซ่ึงในการจัดทาแผนการสอน จาเป็นต้องมีการจัดทาตารางวิเคราะห์หลักสูตรก่อน เพื่อกาหนดมาตรฐานและ ตัวชี้วัดท่ีเราต้องการวัดในหน่วยการเรียนรู้นั้นๆ จากน้ันก็นามาตรฐานและตัวช้ีวัดท่ีได้ไปกาหนดเป็น จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ รวมถงึ นาจดุ ประสงค์การเรียนรรู้ ะบใุ นการประเมนิ ผล 4. มีการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย เหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียน โดยมีการบูรณาการ ความคิด ทักษะกระบวนการ และการปฏิบัติเพ่ือมุ่งให้ผู้เรียนมีองค์ความรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งในการเขียนแบบการสอนน้ันต้องแยกเป็นขั้นนา ขั้นสอน และข้ันสรุป เพ่ือให้เห็นกระบวนการที่ชัดเจน และควรจะต้องออกแบบให้ผู้อื่นสามารถใชแ้ ทนตัวเราได้ 5. มีการเลือกใช้ส่ือ นวัตกรรม รวมถึงแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลาย ตามรูปแบบกิจกรรมการ เรียนรทู้ ่ไี ดว้ างไว้ 6. มีการวัดผลและประเมินผลท่ีชัดเจน สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ซ่ึงควรมีการจัดทา เคร่อื งมือในการวดั และระบเุ กณฑ์ท่ีเหมาะสมกบั สภาพผ้เู รียนตามหลักสูตร 7. มีการบันทึกหลังการสอน โดยระบุผลของการจัดการเรียนรู้ ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ ซึง่ จะเปน็ ขอ้ มลู ท่ีดีในการออกแบบแผนการสอนในคร้งั ต่อไป 8. มีองค์ประกอบสาคัญครบถ้วน เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ สอดคล้องกับความต้องการของท้องถ่ิน ทผ่ี ู้เรียนอาศยั 9. มีความสมบูรณถ์ ูกต้อง มีความคิดรเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ และเป็นประโยชนต์ ่อผเู้ รียน
๗๕ แผนการจัดการเรียนรกู้ บั เทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้ Feed up ข้นั เตรียมการ อะไรคือสิ่งท่ีกาลังจะพัฒนาให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียน อะไรคือความต้องการของผู้เรียน ในเรื่องท่ีจะเรียนนี้ ผู้เรียนท่ีเข้าเรียนได้ผ่านการเรียนในสาระการเรียนรู้ใดมาก่อน Feedback ขน้ั นา มพี ื้นฐานทางการเรียนในสิ่งที่ต่อเน่ืองกับที่จะเรียนต่อไปอย่างไร แล้วจะเร่มิ ตน้ ในการสอน เข้าส่บู ทเรยี น อย่างไร เทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้ที่สาคัญควรดาเนินการคือ การบันทึกการเรียนรู้ Feedback (Learning Journal) ก่อนการจัดการเรียนรู้ครูผู้สอนควรบันทึกผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ข้นั สอน ในช่วงที่ผ่านมา ระดับผลการเรียนเดิม ความรู้ความเข้าใจโดยภาพรวมที่ต้องเป็นพื้นฐาน (จดั การเรยี นร)ู้ ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนอีกท้ังสาคัญทัศนคติต่อวิชาช่วยสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ สาหรบั ผเู้ รียน ขัน้ สรปุ การเรียนรู้ ส่ิงที่ต้องตัดสินใจเบ้ืองต้น คือการสอนควรดาเนินต่อไปอย่างไร เม่ือใดที่ผู้เรียนในห้อง พร้อมท่ีจะเร่ิมบทเรียนต่อไป สร้างทางเลือกต่างๆในการเรียนการสอนที่จะเป็นไปได้ (Feed forward) กาหนดระดับเกณฑ์ของวัตถุประสงค์หน่วยหรือประเด็นท่ีผู้เรียนจะต้องปฏิบัติเพ่ือแสดง ความรอบรู้และเสนอต่อผู้เรียน เทคนิคประเมินเพื่อการเรียนรู้สาคัญคือการใช้ข้อตกลง ระหว่างผู้สอนและผูเ้ รียน (Learning Contract) ทั้งน้ผี ู้เรียนทราบเป้าเริ่มเรยี นรูส้ ู้จุดหมาย การต้ังคาถาม (Questioning) เพ่ีอกระตุ้นให้เกิดความยากรู้อยากเรียนท้ังน้ีอาจมีทั้ง คาถามขั้นต้นเพื่อประเมินความรู้พื้นฐานเดิมของผู้เรียนและคาถามที่ต้องตามหาคาตอบ กันต่อไปในการเรียนรู้ การสังเกต (Observation) เป็นเทคนิคประเมินเพ่ือการเรียนรู้ ที่ครูผู้สอนต้องดาเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้การช่วยเหลือส่งเสริมผู้เรียนในกรณี ทผ่ี ้เู รียนบางคนอาจยงั ไม่พร้อมในการเรียนรู้ การดาเนินการตามรูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอนอะไรท่ีมีประสิทธิภาพท่ีสุด ในห้องเรียนนี้หรือสาหรับผู้เรียนกลุ่มใดในห้อง ผู้เรียนรอบรู้หรือเรียนรู้ในสิ่งท่ีคาดหวังไว้ ในวัตถุประสงค์ ตามความคาดหวังท่ีกาหนดร่วมกันไว้หรือไม่อย่างไร ทั้งน้ีผู้สอนสามารถ ใช้เทคนิคประเมินเพ่ือการเรียนรู้ในส่วนของการต้ังคาถาม (Questioning) เพ่ือประเมิน ความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนหากการตอบคาถามด้วยการเลือกผู้ตอบหรือเสนอตนเอง ตอบไม่เพียงพอต่อการประเมินความเข้าใจของผู้เรียนเมื่อครูใช้การสังเกต (Observation) ผู้เรียนแล้วครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนมี การบันทึกการเรียนรู้ (Learning Journal) เพื่อเป็นการประเมินตนเอง(Self-Assessment) และการประเมินโดยเพื่อน (Peer Assessment) ซ่ึงผูเ้ รียนจะมีโอกาสเรยี นรู้เพ่ิมจากเพอื่ นได้เช่นกัน ผ้เู รยี นรอบรใู้ นจุดประสงค์สาคัญของการจัดการเรียนการสอนนแี้ ลว้ หรอื ไม่อยา่ งไร ผู้เรียน แสดงความรู้ความเขา้ ใจในส่ิงท่เี รยี นรไู้ ดม้ ากนอ้ ยเพียงใด เทคนิคประเมินเพอ่ื การเรียนรนู้ ั้น ผู้เรียนคือการสังเกต (Observation)พฤตกิ รรมการปฏิบัติของผู้เรียนไม่ว่าจะมีส่วนร่วมใน การตอบคาถาม การบนั ทกึ การเรียนรู้ (Learning Journal) แสดงผลการประเมินตนเอง และ ผลประเมินโดยเพื่อน อกี ทัง้ ครูยงั ต้องตรวจสอบความถกู ตอ้ งเพ่ือสะท้อนถงึ ผเู้ รยี นอกี ครง้ั เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นักศกึ ษาครูปฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมินเพอื่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครู
๗๖ *เทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรยี นร:ู้ บทที่ ๔ การปฏบิ ตั เิ ทคนคิ ประเมินเพือ่ การเรยี นรู้ ตวั อย่างแบบบนั ทกึ ข้อมลู พ้ืนฐานผ้เู รยี นเพ่ือการจดั การเรยี นรู้กับเทคนคิ ประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรู้ การให้เกบ็ ขอ้ มูลจากผู้เรียนนน้ั ครูผู้สอนควรให้ผู้เรยี นดาเนินการตามลาพังไมเ่ ปิดเผยขอ้ มลู ผเู้ รียนทงั้ น้ี เพื่อความสบายใจในการให้ข้อมูล ท้ังน้ีครูผู้สอนควรเปิดโอกาสให้นักเรียนสร้างเง่ือนไขห้องเรียนคุณภาพที่จะ ทาให้นักเรียนประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ ซึ่งจะพบข้อมูลคุณครูท่ีหนูต้องการ บรรยากาศห้อง เพ่ือนร่วม หอ้ งเปน็ ประโยชน์อยา่ งยิง่ ในการจดั การเรียนรู้เพอ่ื พัฒนาผู้เรยี น
๗๗ ตวั อยา่ งแผนแผนการจัดการเรียนร้กู ับเทคนิคประเมินเพ่อื การเรยี นรู้ ตัวอยา่ ง แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ า: คณิตศาสตร์ รหสั วิชา ค 21101 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2561 หน่วยการเรียนรู้: เลขยกกาลัง ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 เรอ่ื ง: ความหมายของเลขยกกาลัง เวลา 2 ชวั่ โมง ระดบั ชั้น ม.1/......วันท่.ี ...............เดอื น.........................พ.ศ...................... ระดบั ช้นั ม.1/......วันท่ี................เดอื น.........................พ.ศ...................... ระดบั ชั้น ม.1/......วันท.่ี ...............เดือน.........................พ.ศ...................... ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระ จานวนและพชี คณิต มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจานวน ระบบจานวน การดาเนินการของ จานวน ผลที่เกิดข้ึนจากการดาเนนิ การ สมบัตขิ องการดาเนินการ และนาไปใช้ ตวั ชวี้ ัด เขา้ ใจและใช้สมบัติของเลขยกกาลงั ท่ีมเี ลขชก้ี าลงั เป็นจานวนเตม็ บวกในการแก้ปญั หา คณติ ศาสตร์และปัญหาในชีวติ จริง ความเข้าใจทีค่ ลาดเคล่ือน 1. นกั เรยี นอาจเขา้ ใจคลาดเคลอื่ นโดยระบุฐานของเลขยกกาลังไม่ถูกต้อง เช่น เข้าใจคลาดเคลื่อนว่า ฐานของ -52 คอื -5 ซง่ึ ฐานทถี่ ูกต้องคือ 5 เข้าใจคลาดเคลื่อนว่า ฐานของ 43 คือ 4 ซึ่งฐานทีถ่ ูกตอ้ งคอื 4 5 5 2. นักเรียนมีความเขา้ ใจคลาดเคลอื่ นชองสมบัติเลขยกกาลัง (a + b)n คือ an + bn เชน่ (3 + 7)2 = 32 + 72 ซง่ึ ไมถ่ กู ต้อง เน่ืองจาก (3 + 7)2 = 102 = 100 แต่ (3 + 7)2 = 32 + 72 = 9 + 49 = 58 จงึ ทาให้ (3 + 7)2 32 + 72 จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ ความรพู้ ื้นฐานเดิมของนกั เรียน ครทู บทวนความรู้พน้ื ฐานที่นักเรยี นต้องมกี ่อนเรยี น ดงั นี้ 1. ตวั ประกอบของจานวนนับ 2. ตวั ประกอบเฉพาะ 3. การแยกตัวประกอบ เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นักศกึ ษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนิคประเมินเพือ่ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณว์ ชิ าชพี ครู
๗๘ *เทคนคิ ประเมินเพือ่ การเรยี นร:ู้ บทท่ี ๔ การปฏิบัติเทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรียนรู้ สาระความรู้ เมอื่ เรากาหนดให้ a และ n เป็นจานวนเต็มใด ๆ โดยท่ี a ≠ 0 จะได้ an = a × a × a × ... × a n ตวั เรียก an ว่า เลขยกกาลงั ท่ีมี a เป็นฐาน และ n เปน็ เลขช้กี าลัง เราสามารถเขียนเลขยกกาลงั ทีม่ เี ลขชกี้ าลงั เปน็ จานวนเต็มแทนจานวนใดจานวนหนง่ึ ได้ ในทานอง เดยี วกนั ก็สามารถเขยี นจานวนให้อยู่ในรูปเลขยกกาลังไดเ้ ช่นกนั เลขยกกาลังเป็นสัญลักษณใ์ ช้แสดงจานวนที่เกิดจากการคูณตัวเองซา้ กันหลายๆ ตัว สว่ นสัญกรณ์ วทิ ยาศาสตร์เปน็ การเขียนจานวนในรปู การคูณของจานวนท่มี ากกวา่ 1 แตน่ ้อยกวา่ 10 กับเลขยกกาลงั ที่มีฐาน เป็นสิบและเลขชกี้ าลงั เปน็ จานวนเตม็ ซ่งึ นยิ มใชก้ บั จานวนทมี่ ีค่ามากๆ หรือจานวนที่มคี ่าน้อยๆ นักเรียนสามารถ 1. บอกความหมายของเลขยกกาลงั 2. เขยี นจานวนทีก่ าหนดให้อยใู่ นรปู เลขยกกาลงั ทม่ี เี ลขช้กี าลงั เปน็ จานวนเต็มบวก 3. หาคา่ ของเลขยกกาลงั ที่มเี ลขช้ีกาลงั เป็นจานวนเต็มบวกทีก่ าหนดให้ ดา้ นทักษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ การสื่อสารและการสอ่ื ความหมายทางคณติ ศาสตร์ การส่ือสาร เป็นวิธีการแลกเปล่ียนความคิดและสร้างความเข้าใจระหว่างบุคคล ผ่านช่องทางการ สื่อสารต่าง ๆ ได้แก่ การฟัง การพูด การอา่ นการเขยี น การสงั เกต และการแสดงท่าทาง การส่ือความหมายทางคณิตศาสตร์ เป็นลักษณะพิเศษโดยมกี ารใช้สัญลักษณ์ มาช่วยในการสื่อความหมาย ด้วยการส่ือสารและการส่ือความหมายทางคณิตศาสตร์ เป็นทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จะช่วยให้ ผู้เรียนสามารถถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ แนวคิดทางคณิตศาสตร์ หรือกระบวนการคิดของตนให้ผู้อื่นรับรู้ได้ อย่างถูกต้องชัดเจนและมีประสิทธิภาพ การที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการอภิปรายหรือการเขียนเพือ่ แลกเปลี่ยนความรู้ และความคิดเห็นถ่ายทอดประสบการณ์ซ่ึงกันและกัน ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ คณิตศาสตร์ได้อย่างมีความหมาย เขา้ ใจได้อย่างกวา้ งขวางลึกซ้ึงและจดจาได้นานมากขึ้น ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 1. ทาความเข้าใจหรอื สรา้ งกรณีทั่วไปโดยใชค้ วามรู้ท่ีได้จากการศึกษากรณตี ัวอยา่ งหลายๆ กรณี 2. มีความมุมานะในการทาความเข้าใจปัญหาและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 3. สรา้ งเหตุผลเพ่ือสนบั สนุนแนวคดิ ของตนเองหรอื โต้แยง้ แนวคดิ ของผูอ้ ืน่ อยา่ งสมเหตุสมผล
๗๙ ขั้นที่ 1 การเตรียมความพรอ้ ม การดาเนนิ การ เทคนคิ 1. ครูแจ้งจดุ ประสงค์การเรยี นรวู้ ่างแผนการเรียนรู้รวมกนั กบั นกั เรียน กระต้นุ สรา้ งแรงจูงใจ ดว้ ยข้อตกลงระหวา่ งผู้สอน เป้าหมายการเรยี นรู้ และผู้เรยี น 2. ครูทบทวนการแยกตัวประกอบของจานวนเต็มบวก โดยครกู าหนด คาถามกระตนุ้ การคดิ จานวนนบั มาให้นกั เรยี นแต่ละคนเขยี นให้จานวนนบั ทก่ี าหนดอยู่ใน 1. นักเรยี นทราบไหมว่าจานวนนบั ใดบา้ ง รูปการแยกตวั ประกอบของจานวนนบั เช่น ท่มี ีตัวประกอบเพียง 2 ตัว 8 =2×2×2 (จานวนทีเ่ ปน็ จานวนเฉพาะ เชน่ 2 , 3 , 5..) 16 = 2 × 2 × 2 × 2 2. นกั เรยี นมีวิธกี ารพิจารณาตัวประกอบของ 75 = 3 × 5 × 5 จานวนนบั อยา่ งไร ครูให้นกั เรยี นในหอ้ งกาหนดจานวนนับเองแลว้ ชว่ ยกนั (พจิ ารณาดว้ ยการหาร ถา้ หารลงตัวจะเปน็ ตวั แยกตวั ประกอบของจานวนนบั ที่กาหนด ประกอบของจานวนนบั นนั้ ) 3. ครูให้นกั เรยี นชว่ ยกนั หาผลบวกของจานวนนบั ที่ครกู าหนดให้ 3. นักเรียนมีแนวคิดวิธีการอย่างไรในการหา ตอ่ ไปนี้ ผลลัพธ์ของการบวกจานวนซา้ ๆ กันให้เรว็ ยง่ิ ข้นึ จานวนนบั บวกกนั ซา้ ๆ เชน่ 2 + 2 + 2 + 2 + 2 + 2 + 2 + 2 + 2 + 2 + 2 4. ครใู หน้ ักเรียนช่วยหาผลคณู ของจานวนนบั ท่คี รกู าหนดให้ตอ่ ไปนี้ 4. นักเรียนพิจารณา การคูณของจานวนนับซ้าๆ 2×2×2×2×2×2×2×2×2×2×2 จานวนตวั เลข จานวนครงั้ สัมพันธก์ ันอยา่ งไร ครูผู้สอนสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน การบันทกึ การเรยี นรูร้ ายบคุ คล ข้ันท่ี 2 การกระตุ้นการเรียนรู้หรือแสดงเพอ่ื ให้เกดิ การเรียนรู้ การดาเนนิ การ เทคนคิ 1. ครูเขียนเลขยกกาลงั บนกระดาน จากนัน้ ครอู ธิบายในประเดน็ ต่อไปน้ี คาถามกระตุ้นการคดิ -วธิ อี ่านเลขยกกาลงั นกั เรียนมแี นวคดิ การหาคา่ ของเลขยกกาลงั อยา่ งไร -ความหมายของเลขยกกาลงั ตัวเลขใดเป็นฐาน ตวั เลขใด เชน่ 35 = 3×3×3×3×3 เปน็ เลขชี้กาลัง = 9×3×3×3 -วิธหี าวา่ เลขยกกาลงั ดงั กลา่ วแทนจานวนใด = 27×3×3 2. ครูให้นักเรียนพิจารณาว่า (-3)2 กับ -32 มคี ่าเท่ากันหรือไม่ เพราะ หรอื แสดงอยา่ งไร เหตุใด จากน้ันให้นักเรียนเสนอแนวคิด ครูตรวจสอบความถูกต้อง และอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ในส่วนท่บี กพรอ่ ง เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นักศึกษาครูปฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมนิ เพ่อื การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณว์ ชิ าชพี ครู
๘๐ *เทคนิคประเมินเพอ่ื การเรยี นร:ู้ บทที่ ๔ การปฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมนิ เพ่อื การเรียนรู้ การดาเนินการ เทคนิค 3. ครูยกตัวอย่างการหาเลขยกกาลังว่ามีค่าแทนจานวนใด โดยครูใช้ วิธกี ารใหน้ กั เรยี นหาผลลพั ธ์ 10-15 ข้อจนนกั เรยี นเกิดความเข้าใจ มีโอกาสหรือไมท่ ีค่ า่ ของเลขยกกาลังจะเปน็ จานวน เลขยกกาลงั 2 22 23 24 25 เต็มบวก เพราะเหตใุ ด ความหมาย ค่าของเลขยกกาลัง เมอ่ื ใดทคี่ า่ ของเลขยกกาลังจะเป็นจานวนเต็มบวก และเม่ือใดเปน็ จานวนเตม็ ลง เพราะเหตใุ ด เลขยกกาลัง -2 -22 -23 -24 -25 ความหมาย การประเมินตนเองและการประเมนิ โดยเพื่อน ค่าของเลขยกกาลงั ครูผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนตรวจสอบความถกู ต้องในการ เติมคาตอบในตารางจากนั้นแลกเปลย่ี นกบั เพ่ือน เลขยกกาลงั (-2) (-2)2 (-2)3 (-2)4 (-2)5 ข้างๆ เพือ่ ตรวจสอบอีกครั้ง หากพบขอ้ ผดิ พลาด ความหมาย ผูเ้ รียนดาเนนิ การแกไ้ ข คา่ ของเลขยกกาลัง ครูเขียนจานวนในรูปเลขยกกาลงั ที่มฐี านเปน็ เศษสว่ นเปน็ ตัวอยา่ งให้ นกั เรียนดู พรอ้ มทั้งอธบิ ายประกอบทีละขั้นตอน 2-3 ตัวอย่าง ข้นั ที่ 3 การเปรยี บเทียบและรวบรวมความร้คู วามเข้าใจ การดาเนนิ การ เทคนิค ครูให้นักเรียนช่วยกันตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนเองโดย คาถามกระตุ้นการคิด การทาแบบฝกึ หัดตามหนังสอื เรยี น สสวท 1. นกั เรียนสรปุ ความเขาใจการเขียนจานวนเตม็ ได้ รปู เลขยกกาลังไดอ้ ย่างไร แบบฝึกหัด 3.1 ก และ 3.1 ข ท้ังน้ีนักเรียนแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน พรอ้ มครูใหน้ กั เรียนแสดงการเรียนร้ดู ้วยกนั แสดงแนวคดิ หนา้ ช้นั เรียน 2. นักเรียนสรุปความรู้ความเข้าใจการเขียน เศษสว่ น ทศนิยม ในรูปเลขยกกาลังไดอ้ ยา่ งไร การใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั ผู้เรียนทาแบบฝึกหัดหากพบข้อสงสัยปรึกษา เรียนรู้กับเพ่ือนหรือครูผู้สอน และหากพบผู้เรียน ส่วนใหญไ่ มเ่ ข้าในครผู ู้สอนควรซ่อมเสริมด้วยการส จัดการเรียนรู้เพิ่ม ผู้เรียนทาแบบฝึกหัดด้วยความ ตั้งใจรับผดิ ชอบในการเรยี นรู้
๘๑ ขัน้ ที่ 4 สรปุ การเรยี นรู้ ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรุปเกี่ยวกับการเขียนเลขยกกาลงั ท่ีมีเลขช้กี าลงั เปน็ จานวนเต็ม จนได้วา่ - ถา้ a แทนจานวนใดๆ และ n แทนจานวนเต็มบวก “a ยกกาลัง n” หรือ “a กาลัง n” เขยี น แทนดว้ ย an มีความหมายวา่ an = a a a … a n ตวั ขนั้ ที่ 5 การนาความรู้ไปใช้ นักเรียนทุกคนทาแบบฝึกหัด เรื่อง เลขยกกาลังตามกาหนดตามมอบหมาย เม่ือนักเรียน เสร็จแล้วนาเสนอผลงานให้เพื่อนตรวจสอบความถูกต้องก่อนนาส่งครูผู้สอนตรวจสอบความรู้ความ เขา้ ใจของผู้เรยี น ใบกจิ กรรมตรวจสอบการเรียนรู้ คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี นทากจิ กรรมตามที่กาหนดต่อไปนี้ 1. หาค่าของฐานและเลขช้ีกาลงั ของเลขยกกาลงั ทีก่ าหนดให้ ขอ้ เลขยกกาลงั ฐาน เลขชก้ี าลัง อ่านวา่ 1) an an เอยกกำลงั เอน็ 2) 23 23 สองยกกำลังสำม 3) (-6)2 -6 2 ลบหกทัง้ หมดยกกำลงั สอง 4) 25 2 5 เศษสองส่วนสำมทั้งหมดยกกำลังหำ้ 3 3 5) (1.32)4 1.32 4 หนง่ึ จดุ สำมสองท้ังหมดยกกำลังสี่ 6) (x + y)7 x + y 7 เอ็กซบ์ วกวำยท้งั หมดยกกำลงั เจด็ 7) (a3)5 a3 5 เอยกกำลังสำมทัง้ หมด ยกกำลงั หำ้ 8) (a+b+c)13 13 เอบวกบีบวกซีทัง้ หมดยกกำลังสบิ สำม a+ b+ c สรุปขอ้ เรยี นรู้:……………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นักศึกษาครปู ฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมินเพือ่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครู
๘๒ *เทคนคิ ประเมนิ เพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๔ การปฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมินเพ่อื การเรยี นรู้ 2. เขียนจานวนต่อไปนี้ในรปู เลขยกกาลงั 1) 2 2 2 2 2 = …………25……………………………….…………. 2) (-7) (-7) (-7) (-7) = …………(-…7)…4 ………………………….…………. 3) (xy) (xy) (xy) = …………(…x…y)…3 ……………………….…………. = …………25……6 ………………… 4) 2 2 2 2 2 2 5 5 5 5 5 5 5) 0.2 x 0.2 x 0.2 x 0.2 x 0.2 = …………(0….2…)5………………………….…………. 3.หาค่าของเลขยกกาลังต่อไปน้ี 1) 05 = ……0…………………………..…………. 2) 1159 = ……1…………………………..…………. 3) 83 = ………51…2……………………..…………. 4) 106 = ……1…,0…0…0…,0…0…0…………..…………. 5) (1.2)3 = ……1….7…2…8…………………..…………. 4.เขียนจานวนตอ่ ไปนี้ในรปู เลขยกกาลงั ที่มีฐานเป็นจานวนเฉพาะ 1) 45 81 = …(…5……9…)……(…9……9…)………………..….………………………. = …(…5……3……3…)……(…3……3………3……3.).........…...…..…...…...…..…...…. ……. = …5………36…………………………………..….………………………. 2) 23 32 = …(…2 ……2……2…)……(…8……4…)…………..….………………………. = …(…2……2………2)………(2……2………2…..…2 .……2)……………………. = …2…8………………………………………..….………………………. 3) 34 82 = …(…3……3……3………3)………(8………8)……..….………………………. = …(…3……3………3 ……3…) ……(2………2……2…..…2.……2……2…)………. = …3…4……2…6…………………………………..….……………………. 4) 125 52 = ……(2…5……5…)……(…5……5…)………………..….……………………. = …(…5……5……5…)………(5……5…)……………..…….…………………. = ……55…………………………………………..….…………………….
๘๓ 6. หลกั ฐานหรือร่องรอยของการเรียนร/ู้ การวดั และประเมินผล การวัดและประเมินผลระหว่างเรียน รายการประเมนิ วธิ ีการประเมนิ เครื่องมือวดั ผล เกณฑก์ ารประเมนิ ดา้ นความร/ู้ ดา้ นทักษะและ ด้านความรู้/ด้านทกั ษะและ 1.สงั เกตการตอบคาถาม แบบฝึกหดั สสวท กระบวนการทางคณติ ศาสตร์ 1. นักเรียนทาแบบฝกึ หัดได้ กระบวนการทางคณติ ศาสตร์ 2. ตรวจใหค้ ะแนนใน 3.1 ก และ 3.1 ข ถูกตอ้ งไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 60 2. นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 1. บอกความหมายของเลขยกกาลัง แบบฝกึ หดั 3.1 ก และ 70 สามารถแสดงความหมาย และค่าของเลขยกกาลังตาม 2. เขียนจานวนที่กาหนดให้อยู่ในรูป 3.1 ข สถานการณ์ ที่กาหนดให้ เลขยกกาลังท่ีมีเลขชี้กาลังเป็นจานวน 3. ซอ่ื สัตย์ สุจริต มวี ินยั เตม็ บวก รับผิดชอบ ใฝ่เรยี นรู้ มุ่งมนั่ ใน การทางาน มจี ติ สาธารณะ 3. หาค่าของเลขยกกาลังที่มีเลขชี้กาลัง เป็นจานวนเตม็ บวกทีก่ าหนดให้ 4. สื่อสาร ส่ือความหมายและนาเสนอ เก่ยี วกบั ความหมายของเลขยกกาลัง ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ทาความเข้าใจหรือสร้างกรณีท่ัวไป สงั เกตพฤตกิ รรมจากการ แบบบนั ทกึ โดยใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษากรณี ทางานเปน็ รายบคุ คล พฤติกรรม ตวั อยา่ งหลายๆ กรณี 2. มีความมุมานะในการทาความเข้าใจ ปัญหาและแก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ 3. สร้างเหตุผลเพ่ือสนับสนุนแนวคิด ของตนเองหรือโต้แย้งแนวคิดของผู้อื่น อย่างสมเหตุสมผล 7. สอ่ื การเรยี นรู้/แหล่งการเรียนรู้ สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.(2561). หนังสือเรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน คณติ ศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 เล่ม 1. สานักพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. กรุงเทพฯ. บนั ทึกหลงั การสอน ผลการสอน ............................................................................................................................. ......................................... ...................................................................................................................................................................... ปญั หาในการสอน ............................................................................................................................. ......................................... ...................................................................................................................................................................... เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นักศึกษาครูปฏบิ ตั เิ ทคนคิ ประเมินเพอ่ื การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู
๘๔ *เทคนคิ ประเมนิ เพ่ือการเรยี นร:ู้ บทที่ ๔ การปฏิบตั เิ ทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรยี นรู้ แนวทางแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... ขอ้ เสนอแนะ ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ลงชื่อ.......................................................ผู้สอน (.......................................................) วนั ท.่ี ........../............/.......... ความคดิ เหน็ ชองผูบ้ ังคบั บัญชา/ผ้นู เิ ทศการสอน 1. แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ (....) ดีมาก (....) ดี (....) พอใช้ (....) ปรับปรุง (....) ปรบั ปรงุ 2. นักเรยี นมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมการเรยี นการสอน (....) ปรับปรงุ (....) ดมี าก (....) ดี (....) พอใช้ 3. นกั เรยี นมสี ่วนร่วมในการวดั ผลและประเมนิ ผล (....) ดีมาก (....) ดี (....) พอใช้ ข้อเสนอแนะของผบู้ งั คบั บัญชา/ผู้นเิ ทศการสอน ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ลงชื่อ....................................................ผู้นิเทศก์ (....................................................) วันท.ี่ ........../............/.......... บทสรปุ ครูผู้สอนควรปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ คือ การให้ผู้เรียนได้รับทราบจุดมุ่งหมายในการจัดการเรียนรู้ทั้ง ภาพรวมและรายคาบเรียนอีกทั้งการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะได้รับเพ่ือสร้างเป้าหมาย ซ่ึงครูผู้สอนสามารถ ดาเนินการในลักษณะแสดงหรือชี้แจ้งให้ผู้เรียนทราบร่วมกันถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ในบทเรียนต่างๆ แล้ว ว่างแผนกระตุ้นให้ผู้เรียนสะท้อนความคิดต่อส่ิงท่ีต้องเรียนรู้และส่ิงที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม สร้างให้ผู้เรียนฝึกฝน ประเมินตนเอง ประเมินเพ่ือนเพื่อหาข้อเรียนรู้เพิ่มเติม ส่งเสริมบรรยากาศการเรียนในห้องเรียนท่ีผู้เรียนพร้อม ปรับปรุงแก้ไข บันทึกข้อเรียนรู้และข้อเรียนรู้เพิ่มเติมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงขั้นตอนต่อไปและรับรู้ เกยี่ วกับความคาดหวังหรือเกณฑท์ ่เี กยี่ วข้องกับมาตรฐานผลการเรียนรู้ที่เปน็ เป้าหมายหลักของการสอน
๘๕ ครูผู้สอนให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) ท้ังที่เป็นข้อมูลในการสนับสนุน จูงใจ และกระตุ้น (feed up) และข้อมูลท่ีให้ผู้เรียนได้ปรับปรุงการเรียนรู้ให้มีการพัฒนาท่ีดีขึ้น (feedback) และข้อมูลที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ พัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง (feed forward) ซ่ึงเป็นการดาเนินการท้ังในขณะจัดการเรียนรู้ในแต่ละวันแต่ละ สัปดาห์ และระหว่างภาคเรียนที่ต้องการความร่วมมือในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งรายบุคคลและกลุ่มโดย ผู้สอนควรอธิบายและชแ้ี จงตลอดจนแสดงให้ผ้เู รยี นได้เหน็ ประโยชน์ของข้อมูลที่ไดร้ ับจากการประเมนิ ระหวา่ งเรียน ผูส้ อนต้องทาการปรบั เปล่ียนสร้างแรงกระต้นุ และที่สาคัญคอื การตดิ ตามผู้เรียนให้ความต่อเน่ืองในการพัฒนาอย่าง เต็มตามศักยภาพของผู้เรียน เอกสารอา้ งอิง พรทพิ ย์ ไชยโส.(2545). หลักกำรวดั และกำรประเมนิ ผลกำรศกึ ษำขัน้ สูง. เอกสารคาสอนวชิ า 153521. ภาควชิ าการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์ __________. (2553). กำรพฒั นำกำรเรียนรูต้ ำมแนวจติ ปัญญำศกึ ษำเพื่อส่งเสรมิ นสิ ติ ในกำรพัฒนำตนเอง ในกำรเรียน.บทความวจิ ยั นาเสนอในการสัมมนาเชงิ ปฏิบัตกิ ารและนาเสนอผลการวจิ ยั ระดบั ชาติ เรอ่ื งการจดั การเรียนการสอนเพือ่ พัฒนา กระบวนการคิด วันที่ 19-20 สิงหาคม 2553 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.หน้า 140-148. พรทิพย์ ไชยโส และ คณะ.(2558). รำยงำนกำรวิจัยกำรพัฒนำนวัตกรรมกำรจัดกำรเรียนกำรสอนเพ่ือส่งเสริม สมรรถนะด้ำนกำรประเมินกำรเรยี นรู้ของนสิ ิตคร.ู ทนุ อดุ หนุนการวจิ ัยจากสานักงานคณะกรรมการวจิ ัย แห่งชาติ.ภาควิชาการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์. โชติมา หนพู ริก. (2559).กำรประเมนิ เพอื่ กำรเรียนร:ู้ กำรต้งั คำถำมและกำรให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เพื่อส่งเสริมกำรเรยี นรู้. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.ปที ่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤศจกิ ายน 2558-มีนาคม 2559).18-30 นรรชั ต์ ฝันเชียร.(2561). แผนกำรสอนทีด่ ีควรมีลักษณะอย่ำงไร. สบื ค้นเม่อื วนั ที่ 20 มิถุนายน 2562. https://www.trueplookpanya.com/blog/content/68995/-teamet- สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). กำรประเมินเพ่ือกำรเรียนรู้: กำรตั้งคำถำมและกำรให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือส่งเสริมกำรเรียนรู้. พิมพ์คร้ังที่ 1 โรงพิมพช์ ุมนมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. กรุงเทพฯ. ********************************************************************* เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นกั ศึกษาครูปฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู
ภาคผนวก แบบประเมนิ การปฏิบตั ิการประเมินเพือ่ การเรียนรู้ * แบบตรวจสอบรายการในการปฏิบัติการประเมินเพอื่ การเรยี นรู้ แบบประเมินตนเองเก่ียวกับความสามารถในด้านการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ของนิสติ /นักศกึ ษาครู ระหว่างฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู คาชี้แจง: แบบสอบถามฉบบั นี้มีทั้งหมด 3 ตอน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นิสิต/นักศึกษาครูระหว่างฝึกประสบการณ์ วิชาชีพครูได้สารวจแล้วประเมินตนเองถึงความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการปฏิบัติ เจตคติต่อการวัดและ การประเมินผลการเรียนรู้โดยข้อมูลท่ีได้จะนาไปใช้เพื่อสรุปผลการวิจัยเสนอต่อสถาบันอุดมศึกษาท่ีทาหน้าท่ี ผลิตครูเป็นประโยชน์ยิ่งต่อแนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ จึงขอความ กรุณาจากนสิ ติ /นักศึกษาครโู ปรดใหค้ าตอบทุกข้อตามจรงิ และขอขอบคณุ มา ณ โอกาสนี้ ตอนที่ 1: ขอ้ มลู เบื้องตน้ ของนสิ ิต/นกั ศึกษาครู คาชี้แจง: โปรดทาเครื่องหมาย ลงในช่อง หน้าข้อมูลท่ตี รงกับความเปน็ จรงิ 1. เพศ ชาย หญงิ 2. ระดับผลการเรยี นเฉลยี่ ตา่ กวา่ 2.50 2.51 – 3.00 3.01 – 3.50 มากกว่า 3.50 มัธยมปลาย 3. ระดบั ชน้ั ที่ฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครู ประถมต้น ประถมปลาย มธั ยมต้น ตอนที่ 2: ความรู้ความเข้าใจ ทกั ษะกระบวนการปฏิบตั ขิ องนสิ ิต/นักศกึ ษาครเู กยี่ วกบั ความสามารถตน ดา้ นการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ คาชี้แจง: โปรดพิจารณาข้อความแล้วทาเคร่ืองหมาย ลงในช่องตามระดับความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการปฏิบัติเก่ียวกับความสามารถด้านการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ของนิสิต/นักศึกษา ครูตามสภาพจรงิ ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนนดังน้ี เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นกั ศึกษาครปู ฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมนิ เพ่ือการเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครู
๘๗ ดา้ นความรู้ เกณฑค์ ่าระดับคะแนนในชอ่ ง “ความเข้าใจเกย่ี วกบั ความสามารถ ด้านการวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงของตน” ระดับ 5 หมายถึง มีความเขา้ ใจในประเดน็ นน้ั ๆ ระหว่างฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครูระดับมากทส่ี ุด ระดับ 4 หมายถงึ มีความเข้าใจในประเด็นนั้นๆ ระหว่างฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครรู ะดับมาก ระดบั 3 หมายถงึ มีความเข้าใจในประเดน็ นน้ั ๆ ระหวา่ งฝึกประสบการณ์วิชาชีพครรู ะดบั ปานกลาง ระดบั 2 หมายถึง มีความเขา้ ใจในประเด็นน้นั ๆ ระหว่างฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูระดับน้อย ระดบั 1 หมายถงึ มีความเข้าใจในประเด็นนั้นๆ ระหว่างฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครรู ะดบั น้อยทสี่ ดุ ดา้ นทกั ษะกระบวนการปฏิบัติ เกณฑค์ ่าระดบั คะแนนในชอ่ ง “ทกั ษะกระบวนการปฏบิ ตั ิเกย่ี วกบั ความสามารถ ด้านการวัดและการประเมินผลการเรยี นรูต้ ามสภาพจริงของตน” ระดับ 5 หมายถงึ มที กั ษะกระบวนการปฏบิ ัติในประเด็นนน้ั ๆ ระหว่างฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครูระดับมากท่ีสดุ ระดับ 4 หมายถงึ มีทกั ษะกระบวนการปฏิบัตใิ นประเด็นนัน้ ๆ ระหว่างฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครูระดบั มาก ระดบั 3 หมายถงึ มที กั ษะกระบวนการปฏิบตั ิในประเด็นนนั้ ๆ ระหวา่ งฝึกประสบการณ์วชิ าชพี ครูระดับปานกลาง ระดบั 2 หมายถงึ มีทกั ษะกระบวนการปฏิบัติในประเดน็ นั้นๆ ระหว่างฝกึ ประสบการณว์ ิชาชีพครูระดับนอ้ ย ระดบั 1 หมายถึง มที ักษะกระบวนการปฏิบตั ิในประเด็นนน้ั ๆ ระหว่างฝกึ ประสบการณ์วชิ าชพี ครรู ะดับนอ้ ยทสี่ ดุ ขอ้ ประเดน็ คาถาม ความเข้าใจตามสภาพจรงิ ของตน ทักษะกระบวนการปฏบิ ตั ิ ตามสภาพจรงิ ของตน 5432154321 1. การศึกษาคุณภาพผูเ้ รยี นด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ อนั พงึ ประสงค์เพ่ือวางแผนพฒั นาผู้เรียน การวเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนร้สู ผู่ ลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั และ 2. สาระการเรียนรูร้ ายปี ระบุกิจกรรมสาคญั สาหรบั ออกแบบ การจดั การเรียนรู้ 3. การวิเคราะห์คาอธิบายรายวิชา กาหนดหน่วยการเรียนรู้ ตามสาระ การเรียนรยู้ อ่ ย ๆ เพอ่ื นาไปสูก่ ารจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ 4. การวิเคราะห์ผู้เรียนด้วยการศึกษาข้อมูลจากผู้สอนในภาคเรียน/ ปีการศึกษาท่ีผา่ นมา 5. การวเิ คราะหผ์ เู้ รียนด้วยการศกึ ษาข้อมลู ผลการเรียนรู้จากเอกสาร ในภาคเรยี น/ปกี ารศึกษาที่ผ่านมา 6. การวิเคราะห์ผเู้ รยี นด้วยการศึกษาข้อมูลจากการสอบถามผูเ้ ก่ียวข้อง กับผเู้ รียน เช่น พ่อแมผ่ ู้ปกครอง เพอ่ื นนกั เรียน 7. การวิเคราะห์ผู้เรียนด้วยการทดสอบจากแบบทดสอบวัดพื้นฐาน ผ้เู รยี น เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นักศกึ ษาครปู ฏบิ ัตเิ ทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรยี นรรู้ ะหว่างฝึกประสบการณ์วิชาชพี ครู
๘๘ *เทคนิคประเมินเพื่อการเรยี นร:ู้ ภาคผนวก: แบบประเมนิ การปฏิบตั กิ ารประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรู้ ขอ้ ประเดน็ คาถาม ความเขา้ ใจตามสภาพจรงิ ของตน ทักษะกระบวนการปฏบิ ตั ิ ตามสภาพจรงิ ของตน 5432154321 8. การปรับพ้ืนฐานผู้เรียนเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจก่อนดาเนินการ จัดการเรยี นรู้ 9. การกาหนดจดุ มงุ่ หมายของการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ 10. การแจ้งกรอบการประเมินให้ผู้เรียนทราบถึงสิ่งท่ีครูจะต้องทา การประเมินผลการเรียนรู้ 11. การออกแบบตารางแนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพื่อให้ ครอบคลมุ สอดคล้องกบั ตารางวิเคราะห์หลกั สตู ร 12. การกาหนดสัดส่วนของการประเมินผลการเรียนรู้ เกณฑ์การประเมิน การตดั สนิ ผลการเรียน แลว้ แจง้ ใหผ้ เู้ รยี นรับรู้ 13. เครื่องมือที่จะใช้ประเมินความสามารถ ผลการเรียนรู้ต้องมีความ หลากหลายเพอื่ การประเมินที่เทยี่ งธรรม 14. การวางแนวปฏบิ ตั ใิ นการประเมินผลการเรยี นรู้ 15. การออกแบบในการประเมินผลการเรียนรขู้ องผเู้ รียน 16. การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื ในการประเมินผลการเรยี นรู้ 17. การใช้เทคนคิ และเคร่ืองมอื ในการประเมินผลการเรยี นรู้ 18. การเก็บรวบรวมและการแปลผลข้อมลู สารสนเทศ 19. การใหร้ ะดบั คะแนน การสรปุ รายงานผลและการแปลความหมาย ของผลการประเมนิ 20. การเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเหน็ ต่อแนวทางการประเมนิ ผล และเกณฑ์การประเมินทีผ่ สู้ อนเป็นผ้กู าหนดร่วมกันมา 21. การเลือกวธิ ีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือได้เหมาะสม 22. การตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมือไดด้ ้วยวิธกี ารที่เหมาะสมกบั ชนดิ ของเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ 23. การเกบ็ รวบรวมและแปลผลขอ้ มลู สารสนเทศของผู้เรียนได้ อย่างเปน็ ระบบ 24. การใช้เทคนิคการสมั ภาษณ์/สอบถามกับนกั เรียนเพื่อให้ไดข้ ้อมูล ดา้ นตา่ งๆของนักเรียนเช่นความคดิ ทัศนคติข้นั ตอนการทางาน
๘๙ ขอ้ ประเด็นคาถาม ความเขา้ ใจตามสภาพจรงิ ของตน ทักษะกระบวนการปฏบิ ตั ิ 25. การประเมนิ ทง้ั กอ่ นเรยี น ระหวา่ งเรียน และหลงั เรียน ตามสภาพจรงิ ของตน 5432154321 26. การประเมินทั้งดา้ นพทุ ธพิ สิ ัย ทกั ษะพิสัยและจติ พสิ ยั 27. เครอ่ื งมือทีใ่ ช้วดั ผลการเรียนร้ขู องผู้เรยี นด้วยแบบทดสอบ มีทง้ั แบบอัตนัยและปรนยั 28. การนาผลท่ไี ดจ้ ากการประเมนิ ไปใช้ในออกแบบกิจกรรมเสรมิ หลักสตู ร 29. การวางแผนและจัดกจิ กรรมเพอื่ สง่ เสริม/สนบั สนนุ ใหน้ กั เรียน ปฏิบตั ภิ าระงานได้ 30. การเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนวเิ คราะห์จุดเด่น จุดทคี่ วรพฒั นาของ ตนเอง 31. การสร้างสถานการณส์ ง่ เสริมผเู้ รยี นทางานอยา่ งเป็นระบบทง้ั งาน กลมุ่ และงานเดีย่ ว 32. การสังเกตและการพูดคุยกบั ผู้เรยี นเพอ่ื ติดตามความกา้ วหน้าของ ภาระงานท่มี อบหมาย 33. การตรวจงานแล้วช้แี จงผเู้ รยี นใหม้ คี วามเขา้ ใจเพ่อื การพัฒนางาน ของตนใหด้ ียิง่ ขึน้ 34. การบนั ทึกคะแนนทง้ั ในส่วนของพฤตกิ รรม ทกั ษะกระบวนการ ของผู้เรียนแล้วแจง้ ผลการประเมินผู้เรยี นเป็นระยะๆ 35. การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนปรับปรุงแก้ไขผลการเพื่อพัฒนา สง่ ผลการประเมินเพิม่ ขึ้นกอ่ นการประเมินสรปุ ผลการเรียนรู้ 36. การประเมินความรูพ้ น้ื ฐานเดิมของผ้เู รียน พฒั นาการการเรียนรู้ เปน็ ระยะๆ ของการเริ่มบทเรียนใหม่ 37. การแจง้ ผลการประเมินใหส้ ถานศึกษา ผ้ปู กครองทราบเปน็ ระยะๆ กอ่ นการประเมินท้งั สิน้ สดุ เพ่ือตดั สินผลการเรียน 38. การปฏิบตั ิการประเมนิ ตามหลกั ปรัชญาของการวัดผลสอบ คือ เพ่อื คน้ หาและพัฒนาสมรรถภาพของมนุษย์ การปฏิบัติการประเมินตามสภาพจริง ให้ความสาคัญกับการ 39. ประเมินความสามารถของผู้เรียนเพื่อค้นหาจุดเด่นในการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาผ้เู รยี นให้เตม็ ศกั ยภาพของตนเอง เอกสารประกอบการสง่ เสริมนสิ ติ นักศึกษาครปู ฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมินเพอื่ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู
๙๐ *เทคนคิ ประเมินเพ่ือการเรยี นร:ู้ ภาคผนวก: แบบประเมินการปฏบิ ตั ิการประเมนิ เพอื่ การเรยี นรู้ ข้อ ประเดน็ คาถาม ความเข้าใจตามสภาพจรงิ ของตน ทกั ษะกระบวนการปฏบิ ตั ิ ตามสภาพจรงิ ของตน 5432154321 40. จุดมุ่งหมายพืน้ ฐานของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2560 41. การนาผลการประเมินมาตัดส้ินผู้เรียนเป็นรายบุคคล และกาหนด แผนการจัดการเรยี นทเี่ หมาะสมในการพัฒนาผู้เรียน 42. การยื่นยนั ผลการประเมนิ ผเู้ รยี นดว้ ยสาระสนเทศท่มี ีความหลากหลาย นา่ เชอ่ื ถอื และด้วยคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ 43. การออกแบบประเมนิ ทีผ่ ูเ้ รียนมีสว่ นร่วมในการกาหนดเกณฑ์ การประเมนิ แลว้ แจง้ ให้ผเู้ รียนทราบอย่างทั่วถึงทุกคน 44. แบบประเมนิ ผู้เรยี นในลกั ษณะต่างๆ ข้อดี ข้อจากัดของการเลอื ก แบบประเมินแตล่ ะชนิดมาใช้เพ่อื ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผู้เรียน 45. การปฏิบัติการประเมินอย่างเป็นระบบมีข้ันตอนแบบแผนที่แน่นอน เหมาะสมสอดคล้องกบั มาตรฐานการจัดการเรยี นรู้ 46. การออกแบบวางแผนการเลือกแบบประเมิน การหาคุณภาพแบบ ประเมนิ การใชแ้ บบประเมิน การรายงานผลการประเมนิ การจัดทาผังการออกข้อสอบ (test blueprint) เพ่ือกาหนด 47. ออกแบบการสร้างข้อสอบได้สอดคล้อง ครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ ของรายวิชา 48. การแจง้ ขอบข่ายเนื้อหาการออกประเมนิ ผลการเรียนรสู้ าหรบั ผทู้ เ่ี ก่ยี วขอ้ งกับการจัดการเรยี นรู้ของครู 49. การรายงานผลการประเมนิ ระหว่างการจดั การเรยี นรู้และสรุปผล การเรียนรู้แก่ผ้ทู ี่เกี่ยวขอ้ งกบั ผเู้ รียน 50. การนาผลการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนมาสะท้อนและพัฒนา ตนของครผู ู้สอนแลว้ เสนอต่อผบู้ รหิ ารหรือผู้ท่เี ก่ียวข้อง ตอนท่ี 3: เจตคตขิ องนสิ ิต/นักศกึ ษาครูต่อความสามารถตนดา้ นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ คาชีแ้ จง: โปรดพิจารณาขอ้ ความแล้วทาเคร่อื งหมาย ลงในช่องตามระดับทศั นะคติ/ความคิดเห็นเกี่ยวกับ ความสามารถด้านการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ของนิสิต/นักศึกษาครูตามสภาพจริงซึ่งมีเกณฑ์ การให้ คะแนน ดงั นี้
๙๑ ด้านเจตคติ เกณฑค์ า่ ระดับคะแนนในช่อง “นสิ ิต/นักศกึ ษาเห็นดว้ ยประเดน็ เกี่ยวกบั ความสามารถ ดา้ นการวดั และการประเมินผลการเรียนรู้” ระดบั 5 หมายถงึ นิสติ /นกั ศึกษาเห็นด้วยกับประเด็นน้นั ๆ ระดบั มากทส่ี ดุ ระดบั 4 หมายถึง นิสติ /นักศกึ ษาเห็นด้วยกับประเด็นน้ันๆ ระดบั มาก ระดบั 3 หมายถงึ นิสิต/นกั ศึกษาเหน็ ดว้ ยกบั ประเด็นน้ันๆ ระดบั ปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง นสิ ิต/นกั ศกึ ษาเหน็ ด้วยกับประเด็นนน้ั ๆ ระดบั น้อย ระดบั 1 หมายถึง นสิ ิต/นักศึกษาเหน็ ด้วยกับประเด็นนน้ั ๆ ระดับน้อยทสี่ ดุ ข้อ ประเด็นคาถาม ทศั นะคติ/ความคิดเหน็ 54321 1. ความรู้ความเขา้ ใจ ความสามารถในการปฏิบัตกิ ารวดั และประเมินผล การเรียนรู้ มีความสาคัญเป็นประโยชน์ตอ่ การจดั การเรียนรขู้ องครู 2. ผลการประเมินผู้เรียนสามารถช่วยในการพฒั นาหลกั สตู ร จดั กจิ กรรมเสริม หลักสตู รเพื่อการพัฒนาผู้เรียนอยา่ งเต็มตามศักยภาพ 3. การจดั การเรียนมีความจาเปน็ อย่างย่งิ ทตี่ ้องมกี ารวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ 4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เปน็ สว่ นสาคญั ในการวางแผนการจดั กจิ กรรม การเรยี นการสอน ครมู คี วามจาเป็นท่ีตอ้ งมีความรู้ความสามารถในการออกแบบการประเมิน 5. สร้างเครอ่ื งมือในการประเมิน และหาคุณภาพของเครื่องมือ เพือ่ ความน่าเชื่อถือ ของผลการประเมิน 6. สมรรถนะครดู ้านการวดั และประเมินผลการเรียนรู้มีความสาคัญอยา่ งยิง่ ตอ่ อาชีพ ครู 7. การประเมินผลการเรยี นร้ทู ่ีเทย่ี งธรรมผเู้ รียนควรมสี ว่ นรว่ มในการกาหนดเกณฑ์ การประเมนิ 8. การทาการประเมินผลการเรียนรู้ครตู ้องแจง้ ขอบเขตการประเมินใหผ้ ู้เรียนทราบ 9. ผลการประเมินผูเ้ รียนคอื ผลการประเมนิ ประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้จะมีประสิทธภิ าพ ประสิทธิผลอย่างไร กาหนดด้วย 10. ประสิทธิภาพของการประเมินด้วยเครื่องมือทมี่ คี ุณภาพมีความหลากหลายในการ ประเมิน 11. ทกั ษะการสื่อสารผลการประเมนิ ให้กับผเู้ รียนเปน็ เรอื่ งที่ครูต้องให้ความสาคัญ ทัง้ น้เี พราะมผี ลทางบวกหรืออาจมีผลทางลบต่อพัฒนาการของผเู้ รียน เอกสารประกอบการสง่ เสริมนิสติ นกั ศึกษาครูปฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมินเพื่อการเรยี นรรู้ ะหว่างฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู
๙๒ *เทคนคิ ประเมนิ เพอ่ื การเรยี นร:ู้ ภาคผนวก: แบบประเมนิ การปฏิบตั ิการประเมนิ เพอ่ื การเรยี นรู้ ข้อ ประเด็นคาถาม ทศั นะคติ/ความคิดเห็น 54321 12. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรใู้ นระดบั ห้องเรยี นเปน็ เรื่องสาคัญทค่ี รูทุก คนตอ้ งสามารถปฏิบัติได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ 13. การวดั และประเมินผลในระดบั ชั้นเรยี นมจี ดุ มุ่งหมายเพือ่ พัฒนาผู้เรยี นให้บรรลุ ตามมาตรฐานการจดั การเรียนรู้ 14. ครูต้องวางแผน ออกแบบประเมิน หาคณุ ภาพแบบประเมินก่อนนาแบบประเมิน ไปใช้ในการวิเคราะหผ์ ู้เรยี น ตัดสินผู้เรยี น 15. การใช้เคร่อื งมือที่หลากหลาย มีคณุ ภาพ ในการประเมนิ วตั ถปุ ระสงคเ์ ดียวกัน จะช่วยให้ผลการการประเมนิ เปน็ ที่ยอมรับจากผู้ที่เก่ยี วข้อง .............................................................................................................................................................................. ขอขอบคณุ ทใ่ี หค้ วามร่วมมือในการตอบแบบประเมินค่ะ
ภาคผนวก เฉลยกิจกรรม เฉลยกิจกรรม 1: ...........1. การประเมินคุณลักษณะใฝเ่ รยี นรสู้ ามารถประเมินได้ด้วยการสังเกตพฤติกรรมการแสดงออก ...........2. การวัดผลการศกึ ษามคี วามคลาดเคล่ือนอนั เนื่องมาจากเครื่องมือท่ีใชใ้ นการวัดผล ............3. การประเมนิ ผลการเรียนรูเ้ กีย่ วขอ้ งกับผปู้ กครองเปน็ สาคัญเพราะใชข้ ้อมูลพัฒนาผูเ้ รยี น การประเมินผลการเรียนรเู้ กี่ยวขอ้ งกับผเู้ รียน ครูผูส้ อน ผ้ปู กครอง ผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศกึ ษา สาคัญตามลาดบั ............4. การประเมินเพ่อื จดั วางตาแหน่งเกดิ ข้ึนระหว่างจดั การเรยี นรู้เพ่ือปรบั เปลยี่ นบรรยากาศการเรยี น การประเมินเพ่ือจดั วางตาแหน่งเกดิ ข้ึนกอ่ นจัดการเรยี นร้เู พ่ือครูผสู้ อนนาผลการประเมินออกแบบ การจัดการเรยี นรู้เปน็ สาคญั ...........5. การตัดสิ้นผลการเรยี นรคู้ รูผูส้ อนควรใช้วิธีการประเมินทห่ี ลากหลายเพ่ือผลการประเมินทต่ี รงตาม ความสามารถท่ีแทจ้ รงิ ของผเู้ รียน ............6. กระบวนการนาขอ้ มลู ที่ได้จาการวดั ผลมาตดั สินคุณภาพโดยใช้เกณฑ์เป็นการวเิ คราะห์ผู้เรียน กระบวนการนาขอ้ มลู ที่ได้จาการวัดผลมาตดั สนิ คณุ ภาพโดยใช้เกณฑเ์ ปน็ การประเมนิ ผลผเู้ รียน ...........7. การประเมนิ ผลเพื่อพฒั นาผู้เรยี นนน้ั ครูผู้สอนตอ้ งวัดซา้ หลายครั้งและหลายดา้ นเป็นสาคัญ ............8. ครฝู ่ายวชิ าการมหี นา้ ท่ีสาคัญสดุ ในการประเมินผลผู้เรยี น ครผู ูส้ อนมีหนา้ ทีส่ าคัญสดุ ในการประเมนิ ผลผเู้ รียน ...........9. การประเมินผลเพื่อพฒั นาผู้เรียนเป็นการประเมนิ ทเ่ี กดิ ขึ้นก่อน-ระหว่าง-หลังจัดการเรียนรไู้ ม่รวม การสอบปลายภาคเรียน ...........10. การประเมนิ การเรียนรทู้ ี่สาคญั ทส่ี ุดคือการประเมนิ ผลการเรยี นรเู้ พราะจะทราบระดับการเรียน ของผู้เรยี น การประเมินการเรยี นรู้ท่สี าคัญสดุ คือการประเมินเพื่อการเรยี นร้เู พราะครผู ู้สอนนาผลการประเมนิ มาวางแผนการจดั การเรยี นรู้และผเู้ รียนนาผลไปปรบั ปรงุ พัฒนาตนเอง เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นิสติ นกั ศึกษาครปู ฏิบัตเิ ทคนิคประเมินเพอื่ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชพี ครู
๙๔ *เทคนคิ ประเมนิ เพือ่ การเรยี นร:ู้ ภาคผนวก เฉลยกิจกรรม เฉลยกิจกรรม 2 : คาชี้แจง: จงเลือกคาตอบท่กี าหนดให้หรือเติมคาถามที่ถกู ต้องจากข้อคาถามต่อไปน้ี 1. การประเมนิ ผลเพ่ือปรบั ปรงุ การเรยี นรขู้ องผ้เู รียนนน้ั ข้อใดไม่ถูกต้อง ก. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ก่อนเรยี น ข. การประเมินผลการเรียนรรู้ ะหว่างเรียน ค. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ย่อยหลงั เรยี น ง. การประเมินผลการเรียนรเู้ พือ่ ให้ระดบั ผลการเรยี น ตอบ:…………ง. การประเมนิ ผลการเรยี นร้เู พือ่ ใหร้ ะดบั ผลการเรียน………………………………… 2. การประเมินผลการเรยี นรูเ้ กย่ี วข้องสาคัญตามข้อใดมากทีส่ ดุ ก. การประเมินผล คือ การทดสอบข้อเรียนรู้ ข. การประเมินผลการเรียนรู้ยดึ จุดประสงค์การเรยี นร้เู ปน็ หลัก ค. การประเมินผลการเรยี นรูเ้ ป็นการทดสอบหลังจากจัดการเรยี นรู้ ง. การวดั ผลการเรียนรู้ คือ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผู้เรียนเปน็ สาคัญ ตอบ:…………ข. การประเมินผลการเรียนรู้ยึดจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้เปน็ หลัก……………………… 3. การประเมนิ ผลการเรยี นรูก้ อ่ นเรียนนาไปใช้ประโยชนใ์ นด้านใดมากที่สดุ ก. เพ่อื ชว่ ยเหลอื จดั หอ้ งเรียนสาหรบั ผเู้ รยี น ข. เพื่อจดั ลาดับความรู้พ้ืนฐานเดิมของผู้เรียน ค. เพอ่ื การเตรยี มตวั วางแผนการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนและผสู้ อน ง. เพ่อื กาหนดนโยบายในการจดั การเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผเู้ รยี น ตอบ:…………ค. เพือ่ การเตรยี มตัววางแผนการเรยี นรขู้ องผเู้ รียนและผู้สอน ……………………… 4. การใช้ผลการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรชู้ ว่ ยผูเ้ รยี นโดยตรงในเร่ืองใด ก. ส่งเสรมิ สนบั สนุนให้ผู้เรยี นรักในการเรียน ข. ช่วยเพิม่ ความมัน่ ใจในการเรียนรูข้ องผเู้ รยี น ค. ช่วยแนะข้อเรยี นรู้ที่บกพรอ่ งเพ่ือการพฒั นาตน ง. ช่วยให้ผเู้ รียนเขา้ ใจจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ของตน ตอบ:………ค. ชว่ ยแนะข้อเรยี นรูท้ ี่บกพร่องเพื่อการพัฒนาตน……………………………………………
๙๕ จงใช้ตวั เลือกต่อไปน้ตี อบคาถามขอ้ 5 – 10 ก. การประเมินผลการเรยี นรู้ (assessment of learning; Aol) ข. การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning) ค. การประเมินเพ่ือการเรียนรู้ (Learning for assessment) 5. บทบาทของการประเมินใดทผ่ี ้สู อนและผเู้ รยี นต่างมีข้อมูลย้อนกลับ ตอบ:………ค. การประเมินเพอื่ การเรยี นรู้ (Learning for assessment)………………..……………… 6. จุดมุ่งหมายของการประเมินเพ่ือตัดสินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแล้วรายงานผลให้ผู้เรียนพ่อแม่ ผู้ปกครองรบั รู้เก่ียวขอ้ งกับการประเมินในข้อใด ตอบ:………ก. การประเมินผลการเรียนรู้ (assessment of learning; Aol)………………………………… 7. การประเมินตามข้อใดท่ีบทบาทของการประเมินน้ันผู้สอนจะไม่มีโอกาสได้รับข้อมูลย้อนกลับ ผู้เรยี นขาดโอกาสในการพฒั นาการเรยี นรูใ้ หเ้ ต็มตามศักยภาพ ตอบ:………ก. การประเมินผลการเรยี นรู้ (assessment of learning; Aol)………………………………… 8. บทบาทของการประเมนิ เพอื่ ชแ้ี นะใหผ้ ู้เรยี นวิเคราะห์ ระบจุ ดุ แข็งจุดอ่อนของตนเองเปน็ แลว้ ร้จู ัก สะท้อนตนเอง มองหาวิธกี ารพฒั นาตนเองได้ ตอบ:………ข. การประเมินขณะเรียนรู้ (Assessment as Learning) .…………..………………………… 9. จุดมุ่งหมายของการประเมินตามข้อใดทาให้ได้ข้อมูลในการปรับการเรียนจัดการเรียนรู้ ให้ข้อมูล ย้อนกลับแกผ่ ้เู รียน ดาเนินการอยา่ งตอ่ เนือ่ ง ตอบ:………ค. การประเมนิ เพอ่ื การเรียนรู้ (Learning for assessment)………………..……………… 10. การประเมนิ ตามข้อใดมจี ดุ มงุ่ หมายเพ่อื พัฒนา self-assessment, self-reflection ของผู้เรียน ตอบ:………ข. การประเมินขณะเรยี นรู้ (Assessment as Learning) .…………..………………………… เอกสารประกอบการสง่ เสรมิ นสิ ติ นักศึกษาครูปฏิบัตเิ ทคนคิ ประเมินเพื่อการเรยี นรรู้ ะหวา่ งฝึกประสบการณ์วิชาชพี ครู
๙๖ *เทคนิคประเมนิ เพอื่ การเรยี นร:ู้ ภาคผนวก เฉลยกิจกรรม เฉลยกิจกรรม 3 : คาชแี้ จง: จงทาเครื่องหมาย หน้าขอ้ ที่เห็นด้วยวา่ ข้อความน้ันถกู ต้อง และทาเครอ่ื งหมาย หนา้ ข้อที่ไม่เหน็ ดว้ ยวา่ ขอ้ ความนัน้ ถกู ต้อง 1. ครผู ูส้ อนตอ้ งการประเมนิ การใช้เวลาว่างในการทางาน อ่านหนงั สอื ควรวัดผลด้วยวิธีการใด _______ก. การสังเกตผูเ้ รียน _______ข. การสัมภาษณผ์ เู้ รียน _______ค. การตรวจสอบงาน _______ง. การทบสอบดว้ ยแบบทดสอบ 2. การสรา้ งขอ้ ตกลงระหว่างผูเ้ รียนและผู้สอน (Learning Contract) มคี วามเกี่ยวข้องกบั ข้อใด _______ก. กาหนดจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ร่วมกันระหว่างครูผ้สู อนกับผเู้ รียน _______ข. การมอบหมายงานท้ายชัว่ โมงซึง่ หมายถึงการบ้าน _______ค. การกาหนดเกณฑ์การประเมินชิ้นงาน เอกสาร ตาราเรียนประกอบการเรียนรู้ _______ง. ผเู้ รยี นทราบเปา้ หมายของการเรียนรู้ท่ชี ัดเจน วางแผนการเรียนรไู้ ด้ 3. เทคนคิ ประเมนิ เพ่ือการเรียนร้มู ปี ระโยชน์ตอ่ ผเู้ รยี นผ้สู อนตรงตามข้อใดบา้ ง _______ก. ผู้เรยี นร้ถู งึ ความสามารถความเข้าใจในแตล่ ะสาระการเรียนรู้ _______ข. ผเู้ รียนรู้มาตรฐานการประเมินของสถานศึกษาเพ่อื จดั การเรียนรู้ _______ค. ผู้เรียนสามารถปรับปรุงแกไ้ ขพัฒนาตนเองไดอ้ ย่างทนั เวลาในการเรยี นรู้ _______ง. ครูผ้สู อนได้ขอ้ มลู ผู้เรียนเพ่ือการวางแผนการจัดการเรียนร้ทู ี่มีประสิทธิภาพ _______จ. การบันทกึ การเรียนรู้มีส่วนสาคญั ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนตรวจสอบตนเอง 4. การประเมินผลการเรียนรู้ด้วยการสงั เกตควรดาเนินการอยา่ งไร _______ก. ศึกษาจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรูแ้ ล้วกาหนดพฤติกรรม _______ข. ครผู ู้สอนแจง้ ผูเ้ รียนทราบส่งิ ทจ่ี ะประเมินการเรียนรู้
Search