รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา 1067301 การบริหาร สถานศึกษาและการศึกษาในยุคดิจิตอล ซึ่งได้รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับ ความรู้และความสำคัญของมนุษยสัมพันธ์ ความเป็นมาของวิวัฒนาการ ท ฤษ ฎีการบริหารยุคมนุษ ยส ัมพันธ์ (Human Relation Era) แนวความคิดของบุคคลสำคัญ กระบวนการของมนุษยสัมพันธ์ แนวทาง ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ความหมายของมนุษยสัมพันธ์ในองค์กร (Human Relations of Organization) การสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธ์ในองคก์ ร (Human Relation in Organization) คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่มีความสนใจศึกษาเรียนรู้เพื่อนำไปปรับใช้ในการบรหิ ารงานภายใน องคก์ รไมม่ ากก็น้อย คณะผจู้ ดั ทำ
เน้อื หา หนา้ ความหมายและความสำคญั ของมนุษยสัมพันธ์ 1 ความเป็นมาของววิ ัฒนาการทฤษฎีมนษุ ยสัมพันธ์ 3 แนวคิดทฤษฎีการบริหารบนพนื้ ฐานของมนุษยสมั พนั ธ์ 5 กระบวนการของมนุษยสมั พนั ธ์ 7 แนวทางในการสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ 9
คำวา่ มนษุ ยสัมพันธ์ แยกออกเปน็ 2 คำดงั น้ี « มนุษย (Human) หมายถงึ บุคคลผมู้ ีจิตใจ « สมั พนั ธ์ (Relation) หมายถงึ การอยรู่ ่วมกัน การตดิ ต่อ ความเกยี่ วขอ้ ง ความผกู พนั ท่มี ีต่อกัน มนุษยสัมพันธ์ (Human Relation) หมายถึง การอยู่ร่วมกันและความเกี่ยวข้อง ผกู พนั ระหว่างบุคคลที่จิตใจสงู พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ใหค้ วามหายของคำว่า \"มนุษย สัมพันธ\"์ เอาไว้ ดังน้ี มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง ความสัมพันธ์ในทางสังคมระหว่างมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิด ความเข้าใจอันดีต่อกัน ฉะนั้นเมื่อพิจารณาจากรากศัพท์ 2 คำ คือ มนุษย + สัมพันธ์ จึง แปลความหมายได้ว่า มนุษย หมายถึง สัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล และสัตว์ที่จิตใจสูง สัมพันธ์ หมายถึง ความผูกพัน เกีย่ วขอ้ ง และการอย่รู ว่ มกัน « ชลอ ธรรมศิริ (2529:2) กล่าวว่า \"มนุษยสัมพันธ์ เป็น ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคลโดยใชศ้ ิลปะในการท่ีจะเข้ากับคน ให้ชนะใจคน ครองใจ ใหเ้ ขาร่วมมือกบั เราดว้ ยความเต็มใจ และรู้สึกเปน็ สุข\" « อภิญดา สวารชร (2530:1) ได้กล่าวสรุปและให้ความหายของ มนษุ ยสัมพนั ธเ์ อาไว้ดงั น้ี \"มนุษยสัมพนั ธ์ เป็นวิชาทว่ี ่าด้วยศาสตร์และศิลป์ ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อนั ดกี ับบุคคล เพื่อให้ได้มาซึ่งความรกั ใคร่ นบั ถือ ความจงรักภักดแี ละความร่วมมอื \" คำว่า \"มนุษยสัมพันธ์\" ภาษาอังกฤษใช้คำว่า 'Human Relation’ เมือ่ แยกคำแลว้ จะไดค้ ำว่า \"มนุษย\"์
(Human) หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีสมองสำหรับคิดและส่งผลให้เกิดสติปัญญา ในการแก้ปัญหาได้ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของความเป็นมนุษย์และอีกคำนึงคือคำว่า \"สัมพันธ\"์ (Relation) หมายถึง ความผกู พนั เก่ยี วข้องกนั มนุษยสัมพันธ์จึงหมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับกลุ่มบุคคล คณะบุคคล หรือ สังคม โดยมีจุดประสงค์เพือ่ ให้บคุ คลทำงานได้สำเรจ็ อย่างมปี ระสิทธิภาพ ด้วยการให้ ความร่วมมือกันทำงานด้วยความพึงพอใจ (กฤษณา ศักดิ์ศรี. 2530; พรรณทิพย์ ศริ ิวรรณบศุ ย์. 2541; วิภาพร มาพบสุข. 2543; ลักขณา สรวิ ฒั น์. 2553) 1. มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง การติดต่อเกี่ยวข้องระหว่างมนุษย์อันจะเป็น สะพานทอดไปสู่การสร้างมิตร ชนะมิตร และจูงใจคน รวมทั้งการสร้างหรือพัฒนา ตนเองให้เป็นที่รู้จักรักใคร่ชอบพอแก่คนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ได้รับการสนับสนุน ร่วมมอื จากบุคลากรทกุ ฝ่าย เป็นการสร้างตนใหเ้ ป็นคนดขี องสังคม พรอ้ มท้ังแสดงให้ เห็นลักษณะสำคญั ของการเป็นผู้นำในอนาคต 2. มนุษยสัมพันธ์ เป็นเรื่องความจำเป็นและสำคัญแก่บุคคลทั่วไป ตั้งแต่ บุคคลธรรมดา หัวหน้า นักบริหาร นักธุรกิจ ครู อาจารย์ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พ่อบ้าน แมบ่ ้าน และบุคคลทกุ ระดบั ชน้ั 3. มนุษยสัมพนั ธ์ หมายถึง การครองใจคน เพื่อให้เกิดความพึงพอใจ รักใคร่ ทำงานอย่ดู ว้ ยความเต็มใจ พอใจ มีความสุข 4. มนุษยสัมพันธ์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยวิธีการหรือศิลปะในการเข้ากับคน เพื่อ เอาชนะและครองใจคนให้เห็นด้วย นอกจากน้ียังมีความพอใจ รักใคร่ เชื่อถือ ศรัทธา และทำตาม มนุษยสัมพันธ์จึงเป็นเรื่องที่ว่าด้วยพฤติกรรมของคนที่มาเกี่ยวข้องกับการ ทำงานร่วมกับองค์กรหรือหน่วยงานเพื่อให้การทำงานร่วมกันดำเนินไปด้วยความ ราบร่ืน บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์และเป้าหมาย จงึ สรุปไดว้ า่ มนุษยสมั พันธ์ หมายถึง ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคลที่มคี วามเก่ียวข้องผูกพัน กันทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน เข้าใจกัน รักใคร่กลมเกลียว ต้องการช่วยเหลือกัน ให้ความสนับสนุนดว้ ยความเต็มใจต่อกนั ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในอันที่จะช่วยเหลือ ป้องกันความขดั แยง้ ระแวงสงสยั ไม่ไวว้ างใจต่อกนั ส่งผลใหบ้ ุคคลอยรู่ ่วมกันในสงั คม ไดอ้ ยา่ งเปน็ สุข
« แนวคิดการจัดการมนุษยสัมพันธ์ ( Human Relation ) แนวคิดมนุษยสัมพันธ์เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับ แนวคิดการจัดการแบบ วทิ ยาศาสตร์ ทเ่ี น้นประสิทธภิ าพของการทำงาน และมองขา้ มความสำคัญของคน เหน็ วา่ มนษุ ย์ไมม่ ชี วี ติ จิตใจ ไมม่ ีความตอ้ งการมากนกั มพี ฤตกิ รรมที่ง่ายต่อความ เข้าใจ โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การมาเป็นตัวกำหนด และควบคุม ให้มนุษย์ ทำงานให้บรรลุผลสำเรจ็ ซึ่งยุคมนุษยสัมพันธ์นั้นเป็นแนวคิดที่อยู่ในช่วงระหว่าง ปี ค.ศ 1930 – 1950 เนื่องจากเล็งเห็นว่า การจัดการใด ๆ จะบรรลุผลสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัย คนเป็นหลัก ดังนั้น แนวคิดมนุษยสัมพันธ์ จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องราว ความสมั พันธร์ ะหว่างบุคคล ( Interpersonal Relations ) จึงทำใหเ้ รอ่ื งราวของ มนุษยสัมพันธ์ ( Human Relation ) กลบั มามีบทบาทสำคัญมากขึ้น นกั วิชาการ สำคัญท่ใี หก้ าร สนบั สนุนและศกึ ษาแนวคิดนค้ี อื Greorge Elton Mayo ไดท้ ำการ ทดลองวิจัยที่เรียกว่า “Hawthorne Experiment” ซึ่งจุดประสงค์ก็คือ ต้องการ เขา้ ใจพฤติกรรมของคนในหน้าทง่ี านท่ีจดั ไว้ให้ปรากฏว่าคนทำงานมิใช่ทำงานเพื่อ หวังผลตอบแทนด้วยตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่คนทำงานต้องการด้านสังคม ภายในกลุ่มที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการที่เป็นเรื่องของจิตใจ ตลอดจน ความสมั พนั ธ์ทางสังคมระหว่างคนดว้ ยกนั การศึกษาวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาทดลอง ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. การศึกษาทดลองภายในห้อง (Room Studies) ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างภายในห้องทำงาน เพื่อสังเกตุประสิทธิภาพของ การทำงานว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร 2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์ (Interviewing Studies) การทดลองนี้ก็เพื่อค้นหาความเปลี่ยนแปลงในการ ทำงานเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของการทำงานและการบังคับบัญชา 3. การศึกษาโดยการสังเกต (Observation Studies) เป็นการสังเกตการณ์ ทำงานของคนและปจั จัยอ่ืนๆ
จากการทดลองน้ไี ด้ประโยชน์หลายประการ คือ 3.1 คนมิใช่วัตถุ สิ่งของ คนมีชีวิตจิตใจ จะซื้อด้วยเงินอย่างเดียว มไิ ด้ 3.2 การแบ่งงานกันทำตามลักษณะเฉพาะตัว มิใช่มีประสิทธิภาพ สงู สดุ เสมอ 3.3 เจ้าหน้าที่ระดับสูง การจูงใจด้วยจิตใจมีความสำคัญ และ มีความหมายมากกว่าการจงู ใจด้วยเงนิ ตรา 3.4 ประสิทธิภาพการทำงานหาได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเพียง อย่างเดียวไม่ ยังขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ภายในองค์การ ด้วยจาก การศึกษาแนวคิดมนุษยสัมพันธ์ทำให้ได้มีการศึกษาพฤติกรรมศาสตร์ ทางการจัดการมากขึ้นโดยนำเอา หลักการจัดการมาผสมผสานกับ พฤติกรรมของมนุษย์ในองค์การ ทำให้ได้ความรู้ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น นักวิชาการ Abram Maslow ได้ศึกษาการแสวงหาความต้องการ ของมนุษย์ ว่ามนุษย์เราแสวงหาอะไร โดยเขาได้เสนอ ทฤษฎี ลำดับขั้น ของความต้องการ ( Hierachy of Need ) ส่วน Frederick Herzberg ได้ศึกษารูปแบบของการจูงใจโดย ได้เสนอ ทฤษฎี Two Factor Theory Of Motivation เป็นตน้
« แนวคิดของบุคคลสำคัญ มนุษยสัมพันธเ์ ป็นสิ่งสำคัญต่อการอยูร่ ่วมกันของทุกสังคม มนุษยสัมพันธ์ นั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ช่วยให้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ถึงแม้ว่า มนุษยสัมพันธ์นั้นจะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้โดยธรรมชาติพร้อมกับการกำเนิดของ มนุษย์ แต่ศาสตร์แหง่ มนุษยสัมพันธท์ ี่มีการศึกษาและเรียนรอู้ ย่างจริงจังน้ันก็เพ่ิง เกิดขน้ึ เม่อื ไมก่ ร่ี ้อยปมี าน้ีนี่เอง ปัจจุบันแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์เกิดขึ้นมากมายบนโลกตั้งแต่แนวคิด ดั้งเดิมมาจนถึงแนวคิดสมัยใหม่ แต่อย่างไรก็ดี แนวคิดเหล่านี้ก็มีแก่นคล้ายๆ กัน นน่ั กค็ ือการให้ความสำคัญกบั ทรัพยากรมนุษย์นนั่ เอง แนวคดิ ดา้ นมนุษยสัมพันธ์ที่ มคี วามโดดเด่นนัน้ ประกอบไปด้วย 1. ไมย่ ดึ มั่นในกระบวนการ และผลลัพธ์เพียงอยา่ งเดียว 2. ใหค้ วามสำคัญกับคนถือว่าคนเป็นทรัพยากรที่มคี ่า 3. ความแตกตา่ งของคน เป็นส่ิงท่ดี ี และ จำเปน็ ต่อการบริหารองค์การ 4. ผู้บรหิ ารตอ้ งมคี วามรดู้ ้านการบรหิ ารจัดการ 5. บรรยากาศในการทำงาน เอ้ือต่อการปฏิบัตงิ าน 6. ให้ความสำคญั ต่อความหมายในความเปน็ มนษุ ย์ 7. ผู้บรหิ ารตอ้ งเปน็ ทีย่ อมรับของผ้ใู ตบ้ ังคับบัญชา
« แนวคดิ ของ Elton Mayo Elton Mayo ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการจัดการแบบ มนุษยสัมพันธ์” ที่ทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดีทีเดียว การกำเนิดศาสตร์แห่ง มนุษยสัมพันธ์ Elton Mayo นั้นเป็นนักสังคมวิทยาแห่งฝ่ายวิจัยด้านอุตสาหกรรม ของฮารว์ ารด์ (The Department of Industrial Research at Harvard) หลังจาก ทก่ี ารศึกษาวิจัย Hawthorne Effect ประสบความสำเรจ็ และได้รับการยอมรับในวง กว้าง ในปี ค.ศ.1936 เขาก็ได้เปิดสอนวิชา “มนุษยสัมพันธ์ (Human Relation)” อย่างเป็นทางการขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เมโย (Mayo) ตั้งข้อสมมติฐานว่าสิ่งแวดล้อมมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของคน มีการ ค้นพบจากการทดลอง คือ มีการสร้างกลุ่มแบบไม่เป็นทางการในองค์การ ทำให้ เกิดแนวความคิดใหม่ที่ว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์ มีความสำคัญมาก ซ่งึ ผลการศกึ ษาทดลองของเมโยและคณะพอสรปุ ไดด้ ังนี้ 1. คนเป็นส่ิงมีชวี ิต จติ ใจ ขวญั กำลังใจ และความพึงพอใจเป็นเรอื่ งสำคัญใน การทำงาน 2. เงินไม่ใช่ สิ่งล่อใจที่สำคัญแต่เพียงอย่างเดียว รางวัลทางจิตใจมีผลต่อ การจูงใจในการทำงานไมน่ อ้ ยกวา่ เงนิ 3. การทำงานขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมมากกว่าสภาพแวดล้อม ทางกายภาพคับท่ีอยไู่ ดค้ ับใจอยู่อยาก
« กระบวนการของมนุษยสมั พนั ธ์ พฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลของปัจจัยด้านการรับรู้การเรียนรู้ สติปญั ญา และความคิด ทศั นคติ ความเชื่อ อารมณ์ และแรงจูงใจ รวมถึงการกระทำ ที่เริ่มมาจากบคุ คลในครอบครวั พ่อแม่ญาติพีน่ ้อง ตลอดจนบคุ คลอืน่ ๆ ในสังคม เชน่ ครู-อาจารย์ เพื่อน การรับรู้ หรือการเรียนรู้ ที่ได้ประสบพบเห็นจากคนอื่นมาเป็น ลักษณะของตน ลักษณะดังกล่าวเราจะเห็นอย่างชัดเจน นักจิตวิทยาทั้งหลายต่างก็ ต้องการทีจ่ ะรู้วา่ พฤติกรรมของบคุ คลแต่ละคนมีผลต่อคนอ่ืนอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้ ทำการคาดคะเนพฤติกรรมของบคุ คลอย่างมคี วามเช่ือม่นั ไดใ้ นสถานการณต์ ่างๆ ก ร ะ บ ว น ก า ร ข อ ง ม น ุ ษ ย ส ั ม พ ั น ธ ์ ม ี อ ง ค ์ ป ร ะ ก อ บ ท ี ่ ส ำ ค ั ญ ดั ง ต ่ อ ไ ป น้ี (Kelly and Thibaut. 1959) 1. การรับรู้บุคคล ( Person Perception ) การรับรู้ของบคุ คลที่มีต่อกันและ กันนั้นจะมีความสำคญั ในการช่วยใหเ้ กดิ การพิจารณาว่าบุคคลเหลา่ น้ันมีผลตอ่ ตนเอง อยา่ งไร เนอ่ื งจากปฏกิ ิริยาที่บคุ คลนั้นมีต่อคนอ่ืนจะเปน็ เครอื่ งตัดสินว่าคนอื่นรับรู้เขา เหล่านั้นอย่างไรบ้าง และวิธีที่คนเราจะรับรู้บุคคลอื่นๆ นั้นก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ต่างๆ เช่น บคุ ลิกลักษณะของบคุ คล วธิ ที จี่ ะรวบรวมและสรุปการรับรู้ท่ีมีต่อบุคคลอื่น ความรู้สึกที่ประทับใจในครั้งแรก และความคล้ายคลึงกันระหว่างตนเองและบุคคล เหล่าน้ัน 2. ลักษณะของสิ่งเร้า ( Stimulus Characteristics ) โดยท่วั ไปแล้วการรับรู้ ที่บุคคลมีต่อกันนั้นจะมีการพิจารณาจากลักษณะรูปร่าง หน้าตา กิริยาท่าทาง และการพูดจาของบุคคลเป็นสำคัญ แม้ว่าจะไม่ได้มีการพิจารณาสิ่งเหล่านี้อย่าง ละเอียดก็ตาม แต่มนุษย์เราก็มักจะตัดสินบุคคลอื่นจากลักษณะทางกาย เช่น รูปร่าง ลักษณะทีด่ ึงดดู ความสนใจแกผ่ ทู้ ่พี บเห็น และมักจะคิดวา่ บุคคลนัน้ เป็นทป่ี รารถนาและ ช่นื ชอบของสงั คมโดยทั่วไป
3. การรวมลักษณะที่ได้จากการรับรู้ การรับรู้ทางสังคมของมนุษย์เรานั้น เป็นผลอันเกิดจากวิธีการรวบรวมข้อมูลจากสิ่งที่ตนมองเห็น เช่น ถ้าบุคคลหนึ่งมี แนวโน้มที่จะพิจารณาบุคคลอื่นจากสติปัญญา เขามักจะพิจารณาลักษณะและ องค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นเครื่องบ่งชี้ถงึ สตปิ ัญญาของบุคคลนัน้ ก่อนที่จะพิจารณา ลักษณะอืน่ ๆ การทบ่ี คุ คลใดกต็ ามอธิบายลักษณะคนใดคนหน่งึ นน้ั เป็นผลมาจากการเรยี นรู้ หรือการรับรู้ที่มีต่อบุคคลนั้นมักจะพิจารณาว่าเป็นคนดี สวย หรือเก่ง ก็เพราะเขา เรียนร้ทู ่ีจะสรปุ ความคิดในลักษณะนนั้ การพจิ ารณาวา่ ใครเปน็ คนดี สวยหรือเก่งน้ัน อาจเปน็ การพจิ ารณาคนโดยมขี ้อมูลจำกัดและความสนใจอยู่ในวงแคบ การที่จะสรุปโดยกล่าวว่าคนๆนั้นเป็นอย่างไรนอกจากจะมีผลต่อผู้พิจารณา เองแลว้ ยังมีผลตอ่ บคุ คลอ่ืนดว้ ยจากการศึกษาของเคลล่ี (Kelly) 4. ความรูส้ ึกประทบั ใจครัง้ แรก ความร้สู กึ ประทบั ใจคร้ังแรกทบ่ี ุคคลมตี อ่ กนั นั้นมีบทบาทสำคัญต่อมนุษยสัมพันธ์ของบุคคลมากกว่าความประทับใจครั้งแรกท่ี บุคคลมตี อ่ วตั ถุสงิ่ ของ ถ้าความรู้สึกประทับใจครง้ั แรกของบุคคลที่มีต่อวัตถุสิ่งของ ในทางลบก็ย่อมทำลายความสัมพันธ์ที่จะเกิดในขณะนั้น หรือในเวลาต่อมา จาก การศึกษาเรื่องความประทับใจครั้งแรกของลูชินส์ (Luchins, 1957) ซึ่งให้ได้ผู้ถูก ศึกษาอ่าน ข้อความ 2 ตอนที่บรรยายถึงกิจกรรมของเด็กคนหนึ่ง ในข้อความตอน แรกบรรยายว่าเด็กชายคนนั้นเป็นเด็กน่าคบและมีลักษณะเป็นมิตร เขาเดินไป โรงเรียนกับเพื่อนๆ พูดคุยกับเพื่อนๆ ในระหว่างทางที่กำลังเดินไปโรงเรียนและได้ หยุดทักทายกับเด็กผูห้ ญิงที่เขารู้จักด้วยกิริยาที่สุภาพ นอกจากนีใ้ นอีกตอนหน่ึงได้ บรรยายวา่ เขาเปน็ เด็กไม่สนใจใครและบางคร้ังก็เปนี คนขี้อาย เขาเดนิ ไปโรงเรียนตาม ลำพัง ไมไ่ ด้สนใจเดก็ ผู้หญิงหน้าตานา่ รกั ท่ีเขาร้จู ักเมือ่ วนั กอ่ น และน่ังคนเดียวในร้าน ขนมในขณะทีเ่ พ่ือนๆนั่งรวมกนั เปน็ กลุ่ม ผู้ถูกศกึ ษาอา่ นข้อความทัง้ สองตอนโดยให้ บางคนอา่ นข้อความตอนหลังกอ่ นและบางคนก็อา่ นตอนแรกก่อน ถูกชนิ ส์ พบส่ิงที่ เรียกว่า ภาพพจน์ครั้งแรก ก็คือคนที่อ่านจะพิจารณาเด็กในลักษณะที่ตนอ่าน ลักษณะของเด็กเป็นคร้งั แรกมากกว่า เชน่ ถา้ เขาอา่ นข้อความซงึ่ บอกว่าเด็กเป็นคน มีลักษณะเก็บตัวก่อน เขาก็มีแนวโน้มที่จะตัดสินว่าเด็กนัน้ เป็นคนเก็บตัว แต่ถ้าเขา อ่านข้อความซง่ึ บอกลักษณะ ของเดก็ แสดงตัวกอ่ น เขามแี นวโน้มทีจ่ ะประเมินผลว่า เดก็ คนนนั้ เป็นคนแสดงตวั
« แนวทางในการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์ ลักขณา สริวัฒน์ (2539) ได้เสนอแนวทางในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ กับผูอ้ ื่นดงั นี้ 1. ต้องรูจ้ ักสงั เกตใส่ใจต่อผู้อ่ืนวา่ เขามีความต้องการต่อสิง่ ใด ส่ิงใดที่เขาชอบ เพ่อื ทเ่ี ราจะไดต้ อบสนองในส่งิ ที่เขาต้องการได้อยา่ งถกู ต้องและพึงพอใจ นอกจากนั้น ก็สังเกตความเปล่ียนแปลงวา่ เปน็ ในทางใด 2. พยายามสร้างทัศนคติที่ดีในการคบหากับผู้อื่น เริ่มที่สร้างความรู้สึก รกั ชอบ ผ้อู นื่ ก่อน เพราะการทเ่ี รามีความคิด ความรู้สึกทีด่ ีต่อใครแล้ว ความคดิ และการ ปฏิบัตติ ่อกันก็มกั จะมีแนวโนม้ ดตี ามไปด้วย โดยยดึ หลกั ท่ีว่า \"อกเขา...อกเรา\" สงิ่ ใดที่ เราชอบผอู้ ื่นกม็ ักจะชอบและส่งิ ใดทเี่ ราไมช่ อบคนอื่นก็มักจะไม่ชอบเช่นกัน ยกเว้น คนพวกที่เราเรียกว่า \"ขวางโลก หรือ ผิดปกติ\" คนพวกนี้มักจะ พยายามทำอะไรผิดแผกและแตกตา่ งไปจากผ้อู ื่นเสมอและสุดทา้ ยก็นำความเดอื ดรอ้ น ยงุ่ ยากมาสู่ชวี ิตตนเอง 3. พยายามทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า \"เขาเป็นบุคคลสำคัญ' เพราะบุคคลส่วนใหญ่ มักจะมีความสุขเมื่อรู้สึกวา่ ตนนั้นมีความสำคัญในกลุ่ม ซึ่งมีวิธกี ารมากมาย ดังเชน่ วธิ กี ารดังต่อไปนี้ 3.1 การฝึกจำชื่อและรายละเอยี ดผูท้ ี่เราตดิ ต่อดว้ ยได้อยา่ งถกู ตอ้ ง โดย การจดบันทึก หรอื สรา้ งภาพเชอ่ื มโยงกบั สง่ิ /คน/เหตกุ ารณ์ที่เราค้นุ เคย 3.2 มีความสมำ่ เสมอในการใหค้ วามเอาใจใสต่ ่อบุคคลท่เี ราตดิ ตอ่ ดว้ ย พร้อมทั้งบุคคลใกล้ชดิ ของเขา โดยเฉพาะบคุ คลทเ่ี ขารกั และเคารพ 3.3 รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน ทั้งด้านบวกและด้านลบ พร้อม ทง้ั เขา้ ใจในการเปลี่ยนแปลงนนั้ เพื่อคงไว้ หรอื ปรับปรุง 3.4 รับฟงั ความคดิ เห็นและให้การยอมรับเขาอย่างไมม่ ีเง่ือนไข เพื่อจะ นำไปส่คู วามรู้สกึ ว่า \"เขาเปน็ บุคคลสำคัญ\" 3.5 ยิ้มแย้ม แจม่ ใส มีความจริงใจเปน็ มติ ร 3.6 ใหค้ วามชว่ ยเหลืออยา่ งเตม็ ใจและกระตือรือรน้
4. มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อมี จงั หวะและโอกาส 5. มใี จกวา้ ง มีเหตผุ ลในการพิจารณาตดั สินใจ และยอมรับฟังความ คิดเหน็ ผ้อู ื่น 6. ไม่นึกถึงแต่ประ โยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียว คำนึงถึงผู้อื่น สังคม โดยรวม 7. มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ คือ สามารถควบคุมอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการของตนเองได้ถูกต้องเหมาะสมกับวัน เวลา สถานที่ บุคคล และเหตุการณ์ 8. มีความอดทน อดกลั้น ยดึ หลักธรรม \"สงั คหวดั ถุ 4\" ซ่งึ เปนี สิ่งท่ี ช่วยยึดเหนี่ยวใจบุคคล ซึ่ง ประกอบด้วยทาน คือการให้ ปิยวาจา คือ วาจาอนั สภุ าพและไพเราะ อถั จริยา คือ ประพฤตติ นในส่ิงที่เป็นประโยชน์ และสมานตั ตา คอื การวางตวั เสมอต้นเสมอปลาย มีความสม่ำเสมอในการ สรา้ งมนษุ ยสมั พันธก์ บั ผูอ้ นื่ แนวทางในการสร้างมนุษยสัมพันธท์ ้ังประการ ล้วนมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติเพื่อให้รู้จัก \"มนุษย์\" คนที่เราจะต้องรู้จักด้วยให้ดีเสียก่อนว่ามนุษย์นั้นมีลักษณะ ธรรมชาตแิ ละความต้องการเปน็ อย่างไร เพอื่ ท่จี ะทำให้เราสามารถรู้ เข้าใจ ถึงตัวมนุษย์คนนั้นๆ อย่างแท้จริง และสามารถตอบสนองความต้องการ ของเขาทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของเขาได้อย่าง ถกู ตอ้ งส่งผลใหเ้ ขารู้สกึ ชอบพอและพึงพอใจเรา อนั จะนำไปสู่การมีมนุษย สมั พนั ธท์ ดี่ ีตอ่ กนั
11 “มนุษยสัมพันธ์” เป็นของธรรมชาติ ปฏิบัติกันตั้งแต่มนุษย์อยู่ร่วมกันแต่เริ่มมี หลักฐานการถ่ายทอดกันตั้งแต่เริ่มมี ตัวหนังสือใช้ ดังเห็นได้จากคัมภีร์ศาสนา เชน่ ศาสนาครสิ ต์สอนว่า « บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะวา่ เขาจะไดร้ บั พระกรุณาตอบ « ถ้าเราปรารถนาให้มนุษย์ทำ อย่างไรแกเ่ รากต็ ้องกระทำอยา่ งน้นั แกเ่ ขา เหมือนกัน
12 คำสอนอืน่ ๆ «เมื่อไม่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนอย่างไรก็ ต้องไมป่ ฏิบตั ติ อ่ เขาอยา่ งน้นั «ฟงั ใหม้ ากพูดให้น้อยในการตดิ ตอ่ กบั ผูค้ น «ความซอ่ื สัตยเ์ ปน็ นโยบายทีด่ ที ส่ี ดุ «ทำเท่าที่สามารถทำได้,ประหยัดเท่าที่ควร,ให้ ทานเท่าท่ที ่านจะใหไ้ ด้ «การพูดจาต่อคนอื่นควรเจรจาด้วยถ้อยคำ ไพเราะยกย่องชมเชยเพื่อผกู ใจไมตรี «การเป็นผู้ให้ย่อมได้รับพรคำสรรเสริญมากกว่า จะเปน็ ผรู้ บั
- กฤษณา ศกั ด์ิศรี. (2534). มนุษยสัมพนั ธ์. กรุงเทพฯ: บำรุงสาสน์ . - ชลอ ธรรมศิริ. (2529). มนษุ ยสมั พนั ธใ์ นการทำงาน. กรุงเทพฯ: การไฟฟ้าฝา่ ยผลิตแหง่ ประเทศไทย. - พรรณทิพย์ ศริ ิวรรณบุศย์. (2527). มนุษยสัมพันธ์. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. - ลักขณา สริวัฒน์. (2553). มนุษยสัมพนั ธ์. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. - วิภาพร มาพบสุข. (2543). มนษุ ยสมั พนั ธ์ (พมิ พค์ ร้ังท่ี 6). กรงุ เทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชน่ั . - อภิญดา สวารชร. (2530). มนษุ ยสัมพนั ธ์ในการทำงาน. กรุงเทพฯ: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแหง่ ประเทศไทย. - Thibaut, J.W. and Kelley, H.H. (1959) The social psychology of groups. New York. USA.
จดั ทําโดย 1. นางสาวจริ ฏั ฐกิ านต์ จันทรแ์ ทน 6426141005 2. นางสาวกมลชนก เวชสิทธิ์ 6426141001 3. นายธีรภัทร หลังนาค 6426141013 4. นายอนนั ต์ สัตย์ธรรม 6426141029 5. นางสาวอรพรรณ จันทรท์ อง 6426141030 เสนอ อาจารย์ ดร. อรณุ เกยี รติ จนั ทรส์ ง่ แสง นักศึกษาปรญิ ญาโท สาขาการบริหารการศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราํ ไพพรรณี
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: