ประวตั ิศาสตร์ แหลง่ อารย ธรรม โบราณ ใน ภูมภิ าค เอเชีย
สารบญัแหลง่ อารยธรรมโบราณในภมู ภิ าคเอเชยี 3อารยธรรมของชาวสเุ มเรียน 5อารยธรรมของชาวอมอไรต์ 6อารยธรรมของชาวแอสซเี รยี 7อารยธรรมของชาวคาลเดียน 8อารยธรรมของชาวเปอรเ์ ซีย 8อารยธรรมของชาวฮิบรู 10อารยธรรมลุ่มแม่น้าสินธุ 10อารยธรรมจนี 12 จัดท้าโดย ชนากานต์ สีนวล
แหลง่ อารยธรรมโบราณในภูมภิ าคเอเชยี เอเชียเปน็ ดนิ แดนทมี่ อี ารยธรรมทเ่ี ก่าแกแ่ ห่งหนึ่งของโลกมีแหล่งอารยธรรมที่ส้าคญั ได้แกอ่ ริยธรรมกลุ่มแมน่ า้ ไทกริส – ยู เฟรตสี ในเอเชียตะวันออกเฉยี งใตอ้ ารยธรรมลมุ่ แม่น้าฮวงโหในประเทศจนี และอารยธรรมกลมุ่ แมน่ ้าสินธุในประเทศอนิ เดยี ซ่ึงอารยธรรมในแต่ละแห่งเหล่านีมีวิวัฒนาการมาตงั แต่สมยั ยุคหิน ลักษณะส้าคัญของอารยธรรมในทวีปเอเชยี มลี กั ษณะท่ีสา้ คญั ดังนี อารยธรรมลุ่มน้ําไทกรีส - ยูเฟรตีส หรอื อารยธรรมเมโสโปเตเมยี ตังอยู่ในบรเิ วณของท่รี าบลุ่มไทกริสและแมน่ า้ ยูเฟรตสิ ที่มี ความอดุ มสมบูรณใ์ นภูมภิ าคเอเชยี ตะวันตกเฉียงใตห้ รอื ใน ประเทศอริ ัก ปจั จุบนั ไดม้ ชี นเผ่าต่างๆคลาสเปล่ยี นกนั เข้ามา สร้างความเจริญทางอารยธรรมให้กับดินแดนนีมาตังแตค่ รัง โบราณโดยอารยธรรมของชนเผา่ ทีไ่ ดส้ รา้ งความเจรญิ รุ่งเรอื ง ใหก้ ับเมโสโปเตเมียทส่ี ้าคัญได้แก่ ชาวสุเมเรยี น ชาวอมอไรต์ชาวแอสซีเรีย ชาวคาลเดยี น ชาวเปอรเ์ ซยี และชาวฮบิ รู เปน็ ต้น
1 อารยธรรมชาวสเุ มเรยี น ชาวสุเมเรยี นเป็นชนเผ่าแรกทเี่ ข้ามาตงั ถิ่นฐานในเมโสโปเตเมียเม่อื ประมาณ 4000 ปกี อ่ นครสิ ตศกั ราช มพี ฒั นาการทางการเมืองเร่ิมจากหมูบ่ า้ นก่อนจะขยับ ตวั เป็นชุมชนวดั มีพระเป็นผ้ปู กครอง ศนู ยก์ ลางการปกครองอยู่ทว่ี ัด ต่อมาเมอ่ื ชุมชนขยายตัว เป็นชมุ ชนขนาดใหญเ่ กิดองคก์ ารเมอื งแบบนครรัฐ แต่ละนครรฐั เปน็ อสิ ระไม่ขึนแกก่ นั มี กษตั ริยเ์ ป็นผูน้ า้ ชาวสเุ มเรยี นนับถือเทพเจ้าหลายองค์แตล่ ะนครรฐั จะมเี ทพเจา้ ประจ้านครรฐัชาวสุเมเรยี นไดม้ ีการประดษิ ฐต์ ัวอักษรล่มิ หรือคนู ฟิ อรม์ (cuneiforms) ขนึ เพือ่ ใชใ้ นการติดตอ่ สอ่ื สารการโดยได้บันทึกลงในแผ่นดนิ เหนียว วรรณกรรมของชาวสุเมเรยี นคอื มหากาพยก์ ลิลาเมช กล่าวถึงการผจญภัยของบรรพบุรษุ พวกสุเมเรียนและมหากาศเอลลิ พรรณนาถึงการสร้างโลกและนา้ ท่วมโลก นอกจากนนั ชาวสุเมเรยี นยังร้จู ักการสร้างระบบชลประทานอย่างงา่ ยเช่น การสรา้ งอ่างเก็บน้าเพือ่ ใชใ้ นการเกษตรกรรมเป็นตน้ ร้จู กั การคดิ เลขดว้ ยการบวก ลบคูณ หาร การจัดทา้ ปฏทิ นิ แบบจนั ทรคติที่มีความสมั พนั ธก์ บั การเคลื่อนทีข่ องดวงจันทร์ การรจู้ กั นับวนั และเวลาโดยกา้ หนดให้ 60 นาทเี ปน็ 1 ชว่ั โมง และ 24 ชว่ั โมงเปน็ 1 วนั เปน็ตน้
2 อารยธรรมของชาวอมอไรต์
อารยธรรมของชาวอมอไรต์ ชาวอมอไรต์เปน็ ชนเผา่ ทไี่ ดเ้ ขา้ มาสร้างความเจรญิ รงุ่ เรืองในดินแดนเมโสโปเตเมียต่อจากชนเผ่าสเุ มเรยี น และขยายอาณาจักรออกไปอย่างกว้างขวาง สถาบันจกั รวรรดบิ าบิโลเนยี ขึนประมาณ 2000 ปี ก่อนครสิ ตศักราช มีนครบาบโิ ลน เป็นศูนย์กลางการปกครอง กษัตริยท์ ีส่ า้ คัญคอื พระเจา้ ฮมั มูราบี ผลงานสา้ คญั ของพระองค์คือประมวลกฎหมายฮมั มูราบี ถอื เปน็ ประมวลกฎหมายฉบบั แรกของโลกของโลกมบี ทลงโทษเปน็ แบบสนองตอบหรือ “ตาตอ่ ตา ฟนั ต่อฟัน “ มีการแบ่งชนชันในสังคมเปน็ ชนชนั สูง คนชนั กลางและคนชันต่้า 3 อารยธรรมของชาวแอสซเี รยี ชาวแอสซเี รยี ได้สถาปนาจกั รวรรมดิแอสซเี รียขึนเมื่อประมาณ 1100 ปีก่อนคริสตศกั ราช มศี นู ยก์ ลางการปกครองอยทู่ เี่ มอื งนเิ นเวห์ ชาวแอสซเี รยี มคี วามสามารถในการรบ สามารถขยายอาณาจักรไปได้อย่างกวา้ งขวางและมีกองทัพที่แข็งแกร่ง มีระเบียบวินัยความเจรญิ ของชาวแอสซเี รีย ไดแ้ ก่ การปัน้ ทังแบบนูนและลอยตัว มักแสดงให้เห็นถึงสดั ส่วนของรา่ งกายท่ีเป็นจริง การแกะสลักภาพนูนต้่าทแี่ สดงการเคล่ือนไหวเหมือนธรรมชาตเิ ป็นต้น
4 อารยธรรมของชาวคาลเดยี น พวกแคนเดียนสถาปนาจกั รวรรดิคาลเดียนหรือบาบโิ ลเนียใหม่ โดยมีกรงุ บาบโิ ลเนยี เปน็ ศนู ยก์ ลางการปกครองเมือ่ ประมาณ 612 ปีกอ่ นครสิ ตศักราชมีอารยธรรมท่ีสา้ คญั คอื การสร้างสวนลอยแห่งบาบิโลนทีเ่ ป็นส่ิงมหศั จรรย์สิ่งหนงึ่ ของโลกนอกจากนนั ชนเผา่ คาลเดยี นยงั เปน็ ผู้ทม่ี ีความรู้ทางดา้ นดาราศาสตรแ์ ละโหราศาสตรเ์ ปน็อยา่ งดี 5 อารยธรรมของชาวเปอรเ์ ซยี พวกเปอรเ์ ซียเป็นชนเผ่าหนง่ึ ที่ได้สร้างความเจรญิ รุ่งเรอื งให้กับดนิ แดน เมโสโปเตเมยี เป็นบรรพบุรุษของชาวอิหร่าน ปจั จุบันได้มีการสถาปนาอาณาจักรเปอร์เซยี มาตงั แตป่ ระมาณ600 ปกี ่อนคริสตศักราชมีความเจรญิ ร่งุ เรืองสูงสดุ ในสมัยของพระเจ้าดาริอุส ความเจรญิ ของชนเผา่ เปอรเ์ ซียทสี่ า้ คญั ได้แก่ การรจู้ กั การสร้างถนนเชื่อมระหว่างเมอื งหลวงกบั ดนิ แดนตา่ งๆใน มีความยาวถึง 2500 กโิ ลเมตรเพ่ือควบคุมมณฑลต่างๆ ภายในอาณาจักรวรรดิ และเพื่อความสะดวกในการตดิ ต่อค้าขายนอกจากนันชาวเปอร์เซยี ยงั รู้จกั การประดิษฐ์ตวั อกั ษรใช้เพ่ือการติดตอ่ ส่อื สารกันนับถือศาสนาโซโรแอสเตอร์ซง่ึ นับถอื ไฟเป็นต้น
6 อารยธรรมของชาวฮบิ รู ชาวฮิบรหู รือยิวเป็นชนเผา่ ทไี่ ด้มาสรา้ งความเจรญิ ร่งุ เรืองในดินแดนเมโสโปเตเมยี อีกเทา่ นึงเปน็ ชนเผา่ เร่ร่อนเผ่าหน่ึงในดนิ แดนเอเชยีตะวันออกเฉียงใตพ้ ระเจา้ เดวิดจึงสถาปนาอาณาจักรฮบิ รูขนึ ซงึ่ มคี วามเจรญิ ระหวา่ ง มีศนู ย์กลางการปกครองทก่ี รุงเยรูซาเลม็ และมีความเจรญิ สงู สุดในสมัยพระมหากษัตริยโ์ ซโลมอน ซงึ่ มีความเจริญระหว่าง 973 ถงึ 933 ปีก่อนคริสตศักราช ความเจรญิ ร่งุ เรอื งของชนเผา่ ทิพยล์ กู ได้แก่ความเจรญิ ทางดา้ นศาสนา โดยศาสนายูดายของชาวฮิบรูได้กลายมาเป็นศาสนาคริสตท์ ่ีมผี ู้นับถอื มากทสี่ ดุ ในโลกปจั จุบัน 7 อารยธรรมลมุ่ แมน่ า้ สนิ ธุ เป็นอารยธรรมทเ่ี กา่ แก่แห่งหนงึ่ ของโลกมคี วามเจริญอยรู่ ะหว่าง 4000 ถึง 2500 ปกี อ่ นครสิ ตศักราชมกี ารคน้ พบซากเมอื งโบราณในท่ีราบล่มุ แมน่ ้าสินธคุ ือเมอื งฮารปั ปา และเมืองโมเฮนโจดาโร โดยส่งิ ท่ไี ดค้ น้ พบท่สี า้ คญัได้แก่สร้างเมอื งทมี่ ีการวางผังเมอื งอยา่ งดี ถนนอยา่ งเป็นระเบยี บมีทอ่ ระบายน้าและบอ่ น้าสาธารณะ อาคารบ้านเรอื นของราษฎรมีการสรา้ งระเบียง เครอื่ งมอื ทา้ ดว้ ยกระดกู สตั ว์ อารยธรรมในดินแดนเอเชยี ใตท้ สี่ ร้างสรรคโ์ ดยชนเผา่ อารยันสามารถแบ่งออกเป็นยคุ ตา่ งๆไดด้ ังนี ยคุ พระเวท (ประมาณ 2000- 1000 ปีก่อนคริสตศกั ราช ) คือ ช่วงแรกที่ชาวอารยนั เรม่ิ เขา้ มาในอนิ เดีย 9 ถึงความเปน็ มาและวถิ ชี วี ิตของชาวอารยันวา่ สังคมมีการแบ่งแยกระหวา่ งพวกอารยนั และพวกดราวิเดียน มกี ารรวบรวมคัมภีรฤ์ คเวทซึง่ เป็นบทสวดออ้ นวอนพระเจ้าของชนเผา่ อารยันและมีการใหก้ ้าเนดิ ศาสนาพราหมณ์
ยคุ มหากาพย์ ( ประมาณ 1000 - 500 ปกี อ่ นคริสตศกั ราช) คอื ชว่ งทช่ี าวอารยันไดข้ ยายอา้ นาจของตนไปยังแคว้นตา่ งๆมกี ารกอ่ ตังเมอื งต่างๆทงั ขนาดใหญแ่ ละขนาดเล็กมขี นาดหลายนครรัฐ เปน็ อสิ ระไมข่ ึนแก่กัน แต่ละเมืองมีกษัตรยิ ์ปกครอง มีการน้าระบบวรรณะมาใช้เพอื่ แบ่งแยกชาวอารยัน และพวกดราวเิ ดยี น โดยแบ่งเปน็ 4วรรณะ คือ พระรามหรือนกั บวช กษัตรยิ ์หรอื พวกนักรบ หรอื พอ่ คา้ ชาวนาเจา้ ของทีด่ ินและศูทร หรอื พวกทาส จณั ฑาลคอื ผทู้ ่ที ้าผดิ กฎเกณฑ์ของระบบวรรณะ มีการประดษิ ฐภ์ าษาสนั สกฤตและเกดิ วรรณคดีขึนหลายเรอ่ื งเช่น มหากาพย์มหาภารตะและมหากาพย์รามายณะ เป็นต้นเชอื่ ในเร่อื งตรีมูรติ คอื การมพี ระเจ้าสงู สดุ 3 พระองค์ได้แก่ พระพรหม(ผสู้ รา้ ง) เกิดคัมภรี ์ของพราหมณข์ ึนอีก 3 เลม่ เรยี กวา่ ไตรเวทประกอบดว้ ยค้าภีร์ สามเวทย์ ยชุรเวท และอาถรรพ์เวทย์ ยคุ ฮนิ ดเู กา่ (ประมาณ 550 - 320 ปกี อ่ นครสิ ตศกั ราช) เป็นยุคทม่ี คี วามเชือ่ในเรื่องที่พระมหากษัตรยิ ์เป็นสมมตเิ ทพมีการก้าเนดิ พระพุทธศาสนาและมกี ารก้าเนดิศาสนาเชน สมัยพระพทุ ธศาสนา(ประมาณ 320 - 100 ปีกอ่ นครสิ ตศกั ราช ) เปน็ช่วงเวลาทพี่ ระพทุ ธศาสนามีความเจรญิ รงุ่ เรอื งมากในยคุ สมัยจทั รวรรดิเมาริยะท่ีก่อตงัโดยพระเจา้ จนั ทรคปุ ตแ์ ละในสมยั ของพระเจา้ อโศกมหาราช ทรงสนับสนุนพระพทุ ธเจา้โดยทรงสง่ สมรณทูํตออกไปเผยแพรพ่ ระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆเปน็ ชว่ งเวลาท่ีพระพุทธศาสนามคี วามเจริญรุ่งเรอื งมากทส่ี ดุ ในสมยั ของราชวงศพ์ ระเจา้ กนิษกะทรงทา้ นุบา้ รงุ พระพทุ ธศาสนาให้มีความเจริญรงุ่ เรืองตอ่ มาเป็นยุคท่มี ีการเผยแพร่คา้ สอนไปยังเอเชยี ตะวันออก ได้แก่ จีน ญี่ปนุ่ เป็นตน้
ยคุ ฮนิ ดใู หม่ (ประมาณ ค.ศ. 320 - 550 ) สมัยจากวรรดคิ ปุ ตะเป็นชว่ งเวลาท่ีอนิ เดียมกี ารฟืน้ ฟศู าสนาพราหมณข์ ึนมาใหมเ่ ป็นยุคทองของอนิ เดยี ท่มี คี วามเจริญสงู สุดทางดา้ นการปกครองเศรษฐกจิ สงั คม การปกครองอาณาจกั รมีความเป็นหนึง่เดียวกนั ทงั จักวรรดิ ศาสนาพราหมณไ์ ด้รบั การปรับปรงุ ฟ้ืนฟคู า้ สอนและศาสนาพุทธยังมคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งอยดู่ ้านวรรณคดวี า่ เป็นยุคทองของวรรณคดสี ันสกฤต เทพนยิ าย นยิ าย สุภาษิต สมยั ราชวงศโ์ มกลุ (ค.ศ. 1526 - 1858) เปน็ ยคุ สมยั ทอ่ี นิ เดียตกอยภู่ ายใต้การปกครองของชาวมสุ ลมิ มคี วามเจริญร่งุ เรอื งสงู สุดในสมยั พระเจ้าอกั บารม์ หาราช เปน็ยคุ สดุ ท้ายก่อนทจี่ ะตกเป็นอาณาจักรนิคมของประเทศองั กฤษมีความเจรญิ ทสี่ า้ คัญได้แกง่ านทางสถาปตั ยกรรม เป็นศิลปะผสมฮินดูและมงโก]ทม่ี ีช่ือเสยี งคอื ทัชมาฮาล อินเดยี ภายใตก้ ารปกครองของประเทศอังกฤษ ในยุคของการล่าอาณาจกั รนิคมอินเดียได้ตกเป็นเมอื งขนึ ขององั กฤษมาเปน็ เวลานานไดน้ ้าวทิ ยาการของชาตติ ะวนั ตกเข้ามาเผยแพรใ่ นอนิ เดีย การผอ่ นคลายกฎระเบียบทางสังคมลงและมกี ารยกเลกิประเพณีท่ีไมไ่ ดร้ บั การยอมรับเชน่ การใชม้ นุษยบ์ ูชายัญ เปน็ ตน้ สภาพสังคม ระบบวรรณะทีเ่ คยเขม้ งวดในสงั คมอินเดียไดผ้ อ่ นคลายลงมีการเรยี นแบบวัฒนธรรมตะวนั ตกทางการแตง่ กาย การศึกษา ภาษาองั กฤษกลายเป็นภาษาราชการใช้ในอนิ เดยี องั กฤษได้ประกาศให้อสิ รภาพแกอ่ นิ เดยี หลงั สงครามโลกครงั ท่ี 2 ในปี ค.ศ. 19488 อารยธรรมจนี อารยธรรมจีนเริม่ ปรากฏในบรเิ วณลมุ่ แม่นา้ เหลอื ง (แมน่ า้ ฮ่วงโห)ประมาณ 2 2000 ปีก่อนคริสตศักราช ไดพ้ ฒั นาระดบั ความเจรญิ จากชมุ ชนยุคหนิในไปสู่ความเป็นปึกแผน่ ของรฐั เลก็ ๆก่อนจะรวมตวั กนั ในทางการเมอื งเป็นอาณาจักรและเป็นจกั รวรรดิในทสี่ ุดอารยธรรมจีนในสมยั ก่อนประวัตศิ าสตร์ เปน็ ดินแดนทมี่ นุษย์เข้ามาอาศัยตังแตส่ มัยดกึ ด้าบรรพป์ ระมาณ ค.ศ. 1972 คอื โครงกระดูกมนษุ ยป์ กั กง่ิ ซ่ึงมีอยูป่ ระมาณ 4แสนปี อารยธรรมในยคุ หนิ ใหมข่ องจีนไดป้ รากฏจากการขดุ พบโบราณคดี 2 แห่งคอื
ราชวงศช์ าง (ประมาณ 1766 - 1122 กอ่ นคริสตศักราช) เปน็ ราชวงศแ์ รกท่ีปกครองจีนมีความเจรญิ รงุ่ เรืองทส่ี ้าคญั ไดแ้ ก่การปกครองแบบนครรัฐ กษตั ริยผ์ ู้นา้ การปกครองการทหารและเศรษฐกจิ มอี า้ นาจเหนอื การปกครองแคว้นต่างๆมีการประดิษฐป์ ฏิทนิ ในระบบจันทรคตมิ ีการประดิษฐต์ ัวอักษร การรจู้ ักการใชส้ า้ ริดมาประดิษฐเ์ ป็นเครอ่ื งมือเครอื่ งใชเ้ ปน็ ตน้ราชวงศโ์ จว (ประมาณ 1122 - 249 ก่อนครสิ ตศักราช) ยคุ สมัยของราชวงศโ์ จวแบง่ เป็น 2ชว่ งคอื โจวตะวนั ตก( 1122 - 770 ปีก่อนคริสตศักราช) มศี นู ย์กลางการปกครองอย่บู ริเวณเมืองฉางอันและโจวตะวันออก( 770 - 256 ปกี ่อนครสิ ตศกั ราช ) มีศูนยก์ ลางการปกครองอยทู่ เ่ี มอื งลอ่ หยางมคี วามเจริญรุง่ เรอื งทสี่ ้าคัญ ได้แก่ แนวคิดท่ยี กย่องจากพรรดิให้เป็นโอรสแห่งสวรรคม์ ีการนา้ ระบบศักดินามาใชใ้ นสงั คมจีนครงั แรกและเป็นยคุ ท่ีถอื กา้ เนิดลัทธิขงจอื ผ้ใู ห้กา้ เนดิ คอื ขงจอื ซง่ึ สอนในเร่อื งคุณธรรมและจริยธรรมเนน้ การปฏิบัติตนให้ถกู ตอ้ งตามสถานะในสังคมบุคคลมีหน้าทต่ี ้องปฏบิ ตั ติ อ่ สงั คมที่ตนเองอยใู่ ห้ดีทีส่ ดุ ตามหนา้ ที่ของตน คอื ผ้ปู กครองทา้ หนา้ ทผ่ี ้ปู กครอง ชาชนทา้ หนา้ ทีข่ องประชาชน เป็นต้น พิธกี รรมและการบชู าเป็นการแสดงออกทดี่ ขี องมนษุ ย์ คอื ความกตญั ญรู ้คู ุณ และความเกรงกลวั ต่ออา้ นาจของธรรมชาติ การท้าพธิ ีนา้ มาซง่ึ ความเปน็ หนง่ึ อนั หนง่ึ อนั เดียวการและลัทธเิ ตา๋ ผู้กอ่ ตังลทั ธิเตา๋ คอื เลา่ จอื มีคา้ สอนให้รจู้ กั รักความสงบสนั โดษด้าเนนิ ชีวติ สอดคล้องกับธรรมชาติราชวงศฉ์ นิ (221 - 206กอ่ นคริสตศกั ราช) การปกครองยกเลกิ การปกครองระบบศกั ดินาน้าการปกครองแบบรวมอา้ นาจเข้าสศู่ ูนยก์ ลางมเี มอื งเซยี งหยางเป็นเมืองมคี วามเจริญรุ่งเรอื งทีส่ า้ คัญ ไดแ้ ก่ การผลิตเงนิ ตราแบบเดยี วกนั เครอื่ งชง่ั ตวงวัดมาตรฐานเดยี วกนั ระเบียบการเก็บภาษที ่ดี ินให้เปน็ ระบบเดียวกัน มกี ารสา้ รวจส้ามะโนประชากรครังแรกเพอื่ ทราบจา้ นวนไพรพ่ ลท่แี ทจ้ รงิ สรา้ งพระราชวงั อันใหญโ่ ตมโหฬาร ปน้ั รปู ทหารและมา้ท้าด้วยดินเผามีลกั ษณะเหมอื นสงิ่ มชี วี ติ และการสร้างกา้ แพงเมอื งจีนเพื่อป้องกนั การลกุ ลามชาวชนเผ่าเร่รอ่ นทางเหนอื เป็นตน้
ราชวงศฮ์ น่ั ( 202 กอ่ นครสิ ตศักราช - ค.ศ. 220 ) เจริญรุ่งเรืองสงู สดุ ในสมัยพระเจ้าหวู่ตี( 141 - 87 ปกี อ่ นคริสตศักราช ) พระองค์ทรงขยายดินแดนจนี ออกไปกว้าง มกี ารสอบคัดเลือกบคุ คลเป็นขา้ ราชการอาศยั ความรคู้ วามสามารถสว่ นบคุ คลเปน็ หลักเป็นยคุ ทองทางการคา้ ของจนี มกี ารคา้ กับตา่ งประเทศโดยใชเ้ ส้นทางสายไหมและเปน็ ยคุ ทีพ่ ระพทุ ธศาสนาเจริญรงุ่ เรืองในแผ่นดินจีนราชวงศถ์ งั ( ค.ศ.618 - 907 ) เปน็ ยุคทองของจีนท่ีมีความเจริญรุง่ เรอื งในทุกๆด้านทังในดา้ นเศรษฐกิจทังในด้านเศรษฐกจิ การคา้ การเจรญิ ร่งุ เรืองของพระพุทธศาสนา มกี ารสง่ เสริมทางด้านการศกึ ษามกี ารสอบจอหงวน เป็นยคุ ทองทางด้านวรรณกรรมมคี วามม่นั คงในดา้ นการปกครอง ราชวงศซ์ อ้ ง (ค.ศ.960 - 1279 ) มีความเจรญิ ก้าวหน้าในการเดนิ เรือสา้ เภาค้าขายทางทะเลและงานศิลปกรรมแขนงต่างๆมคี วามกา้ วหนา้ ในวิทยาการใหมๆ่ หลายอย่างกลอนชาตติ ะวนั ตกเช่น การใชล้ กู คิด การใช้เข็มทศิ ในการเดินเรือ การประดิษฐแ์ ท่นพมิ พ์หนงั สอื มกี ารประดษิ ฐด์ นิปืน การผลิตถว้ ย กระเบืองมีความงดงามเปน็ ต้นราชวงศห์ ยวน (ค.ศ. 1279 - 1368 ) เปน็ เปน็ ราชวงศข์ องชนเผ่ามงโกลทีเ่ ข้ามาปกครองจนีกษตั รยิ ์ท่มี ชี ือ่ เสียง หรือหงวนสโี จ๊กฮ่องเต้ (หรือกบุ ไลขา่ น ) เป็นสมยั ที่จีนมีความเขม้ แขง็ทางด้านการปกครองเป็นจากวรรดทิ ี่ยิ่งใหญม่ ีความเจรญิ ทางดา้ นศิลปะการละครคอื งิวราชวงศห์ มงิ หรือเหม็ง ( ค.ศ. 1368 - 1644 ) เป็นสมยั ที่จีนรงุ่ เรอื งด้านการคา้ และมกี ารฟนื้ ฟูศิลปวฒั นธรรมสมัยราชวงศ์ถงั ขนึ ใหม่อีกครงั มคี วามเจริญรงุ่ เรอื งทางด้านการคา้ กับต่างประเทศ ความเจรญิ ทางด้านวรรณกรรมทนี่ ิยมเขียนนวนยิ ายทีใ่ ช้ภาษาพูดมากกวา่ การเขียนเปน็ ต้น
ราชวงศเ์ ชง็ หรอื ชงิ (ค.ศ. 1644 - 1912 ) เปน็ ชนเผ่าแมนจทู เ่ี ข้ามาปกครองจนี และเป็นราชวงศ์สดุ ทา้ ยของจนี กอ่ นจะถกู ดร. ซุน ยัตเซน ศนู ยก์ ารปฏิวตั เิ ปลี่ยนแปลงการปกครองเปน็ ระบอบสาธารณรัฐ ในปี ค.ศ.1911 191 เปน็ เปน็ ยุคสมยั ท่จี ีนมีความเส่ือมถอยในทกุด้าน
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: