ลำไส้เล็ก(Small Intestine) แบ่งเป็น 3 ส่วน Duodenum Jejunum Ileum ผนังของลำไส้เล็ก มี 4 ชั้นคือ ������Mucosa ชั้นเยื่อเมือกของลำไส้เล็ก จะมีโครงสร้างที่เรียกว่า villi ซึ่งพบมากที่ jejunum ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสระหว่าง อาหารกับลำไส้เล็กให้มากขึ้น ทำให้การย่อยและการดุดซึมมี ประสิทธิภาพสูง Submucosa เป็น connective tissue ที่มีหลอดเลือดและหลอด น้ำเหลืองจำนวนมาก ชั้น submucosa ของลำไส้เล็กส่วน ������duodenum จะมีต่อมเมือก เรียกว่า Brunner’s gland เป็น จำนวนมาก จะสร้างเมือกที่มีฤทธิ์เป็นด่างไว้ป้องกันผนัง ลำไส้เล็กไม่ให้โดนทำลายโดยน้ำย่อยของกรดจากกระเพาะอาหาร และช่วยปรับสภาพความเป็นกรด- เบส ของอาหารที่มาจาก กระเพาะอาหาร 48
������Mucularis ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียน 2 ชั้น คือชั้นนอก เป็นกล้ามเนื้อ longitudinal ชั้นใน เรียงตัวเป็นวง คือกล้าม เนื้อ Circular muscle ������Serosa ลำไส้เล็กส่วน Jejunum และ Ileum จะมี peritoneal หุ้มและยึดกับผนังช่องท้องด้านหลังด้วย mesentery ส่วน Duodenum จะมี peritoneal หุ้มเป็นบางส่วนเท่านั้น ลำไส้ใหญ่(Large Intestine) ลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วน Caecum มีลักษณะเป็นถุงปลาย ส่วน Rectum ต่อจาก Sigmoid colon ตัน เป็นส่วนต้นของลำไส้ใหญ่ที่ เริ่มต้นจาก S3 ยาวประมาณ 12 cm รูป ลำไส้เล็กมาเปิดเข้า ช่องเปิดเรียกว่า ร่างโค้งตามความโค้งของ sacrum และ iliocecal valve coccyx ไป ประมาณ 3 cm ส่วน Colon เป็นส่วนที่ต่อจาก caecum แบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ Ascending colon Transverse colon Descending colon Sigmoid colon ผนังลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น 4 ชั้น Mucosa Submucosa Muscularis Serosa 49
ทวารหนัก(Anus) Anal canal ถูกล้อมรอบไปด้วย sphincter คือ internal anal sphincter และ external anal sphincter Anal sinuses (Crypt of Morgagni) เป็นบริเวณปลายล่างสุดของ anal columns จะเชื่อมกัน จะเห็นเป็นลักษณะพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวขนาดเล็ก เป็น แอ่งหว่ำ ไว้หลั่งเมือก ดังนั้นเมื่อถ่ายอุจจาระ บริเวณนี้ถูกกด แล้วจะหลั่ง เมือกออกมาช่วยหล่อลื่น Pectinate line เป็น Stratified columnar epithelium เป็นตัวแบ่ง Upper anal canal กับ Lower anal canal ล่างของ Pectinate line จะเป็น Stratified squamous epithelium รอยต่อระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ 2 ชั้น เรียกว่า Stratifeid squamocolumnar epithelium 50
unit 8 ระบบทางเดิน ปัสสาวะ&สืบพันธุ์เพศชาย 51
เป็นระบบหนึ่งในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการขับของเสีย หรือขับสารพิษ ออกจากร่างกาย เพื่อควบคุมภาวะร่างกายให้คงที่ (homeostasis) การ ผลิตน้ำปัสสาวะจะเป็นตัวนำพาของเสีย หรือสิ่งที่เป็นพิษโดยเฉพาะ สารประกอบไนโตรเจน (nitrogenous compound) ออกจากร่างกาย ไต (kidneys) 52
สามารถแยกออกได้เป็น 2 ส่วนคือ ������เนื้อไตชั้นนอก (renal cortex) เป็น ส่วนของเนื้อไตที่อยู่ติดกับเปลือกหุ้ม ไต (renal capsule) เนื้อไตมีสีน้ำตาลแดง หรือสีเหลืองปนแดงจะเป็นบริเวณที่มี เลือดมาหล่อเลี้ยงมาก ������เนื้อไตชั้นใน (renal medulla) เป็นส่วน เนื้อไตที่อยู่โดยรอบกรวยไต (renal pelvis) มีผิวเรียบส่วนนอกมีสีน้ำตาล เข้ม และมีลักษณะคล้ายแถบรังสีที่แผ่ยื่น เข้าไปในเนื้อไตชั้นนอก แต่ส่วนเนื้อไต ชั้นในที่ติดกับกรวยไตจะมีสีซีดกว่า และ มีหลอดไตขนาดต่างๆ เรียงตัวกันหนา แน่น 53
จุลกายวิภาคของไต เนื้อไตแต่ละข้างจะมีหน่วย ย่อยๆที่เป็นหน่วยทำหน้าที่ที่ เล็กที่สุดของไต (funtional unit) เรียกว่าเนฟ รอน (nephron) ทำหน้าที่ เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำ ปัสสาวะ 54
1) รีนัลคอร์พัสเคิล (renal corpuscle or malpighian corpuscle) คือ เนฟรอนที่ พบในเนื้อไตส่วนนอกเป็น ส่วนใหญ่ 2) หลอดไต (renal tubule) ก. หลอดไตส่วนต้น (Proximal convoluted tubule) พบอยู่ในเนื้อไตชั้นนอกและ เนื้อไตชั้นใน ประกอบด้วยท่อ ข.ห่วงหลอดไต (loop of Henle ) ขนาดเล็กที่ไม่มีแขนงแยกออก มาจากความยาวของท่อ แบ่ง ค.หลอดไตส่วนปลาย (Distal convoluted tubule ) เป็นส่วนต่างๆ กระเพาะ กระเพาะปัสสาวะมีส่วนประกอบ 2 ส่วน ปัสสาวะ ด้วยกัน คือ ถุงกล้ามเนื้อเรียบ และส่วน (urinary bladder) คอ ตำแหน่งและขนาดของกระเพาะ ปัสสาวะจะแตกต่างกันไปขึ้นกับ 55 ปริมาณน้ำปัสสาวะที่บรรจุอยู่ภายใน โครงสร้างของกระเพาะปัสสาวะประกอบ ด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น เช่นเดียวกับในท่อ ไต
ท่อปัสสาวะ (urethra) เป็นส่วนของท่อที่ต่อมาจากส่วนคอของกระเพาะปัสสาวะ และทอดยาวมายังช่องเชิงกราน มี โครงสร้างเช่นเดียวกับท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ เมื่อเกิดการขับปัสสาวะ (urination) น้ำปัสสาวะ ที่สะสมในกระเพาะปัสสาวะจะไหลเข้าสู่ท่อปัสสาวะ และออกสู่ภายนอก 56
Unit 9 RESPIRATORY SYSTEM 57
โครงสร้างภายใน Gross anatomy Histology โครงสร้างภายนอก กระดูกซี่โครง กล้ามเนื้ อกระบังลม เยื่อหุ้มปอด Pharynx Nasopharynx อยู่เหนื อ 58 เพดานอ่อน มี Eustachian Oropharynx อยู่เหนื อฝา ปิดกล่องเสี ยง Laryngopharynx เหนื อ กระดูกอ่อน Cricoid
Larynx ฝาปิดกล่องเสี ยง Epiฝgาloปิtดtiกsล่องเสี ยง Epiglottis กระดูกอ่อน thyroid กระดูกอ่อน cricoid ส่ วนบนของระบบหายใจ จะจบที่ส่ วนของกล่อง เสี ยง(Larynx) 59
Lung ปอด(lung) เป็น อวัยวะที่ทำหน้ าที่ 1. conducting zone เป็นส่วนที่ ในการหายใจ ไม่มีการแลกเปลี่ยนแก๊ส ปอดตั้งอยู่ภายใน 2. respiratory zone เป็นส่วนที่ ทรวงอกมี เกิดการแลกเปลี่ยนแก๊ส ปริมาตรประมาณ 2 ใน3ของ ทรวงอก ปอด ขวาจะสั้ นกว่า ปอดซ้าย เนื่ องจากตับซึ่ง อยู่ทางด้านล่าง ดันขึ้นมา ส่วน ปอดซ้ายจะแคบ กว่าปอดขวา เพราะว่ามีหัวใจ แทรกอยู่ ปอดมี เยื่อหุ้มปอด (pleura) 2 ชั้น ชั้นนอกติดกับ ผนั งช่องอก ส่วน ชั้นในติดกับผนั ง ของปอด 60
โครงสร้างภายในปอด https://vet.kku.ac.th/physio/rs/structure/alveoli.htm ถุงลมปอด (Pulmonary alveoli) เป็นตำแหน่งที่มีการแลกเปลี่ยน gas ระหว่าง อากาศกับเลือด โดยมีเนื้อเยื่อ (alveolarcapillary membrane) ที่กั้นกลาง ประกอบด้วย alveolar epithelium และ capillary endothelium ที่ตำแหน่งนี้ เลือดดำจาก pulmonary artery จะนำ CO2 มาปล่อย เข้าถุงลม และรับ O2 จากถุงลมเข้ามา ก่อนที่จะถูกส่ง กลับไปสู่หัวใจทาง pulmonary vein 61
โครงสร้างภายนอกปอด 1. กระดูกซี่โครง (rib) และกล้ามเนื้อยคดซี่โครง -ปกป้องปอดและหัวใจ -มี 12 คู่ 2. กระบังลม (diaphragm) -ใช้ในการหายใจ 3. เยื่อหุ้มปอด -ป้องกันการเสียดสีของปอดขณะหายใจ 62
UNIT 10 Nervous system 63
ระบบประสาท เซลล์ประสาท ร่างกายคนมีเซลล์ประสาท (nerve cell) หรือ นิวรอน (neuron) จำนวนมาก เดนไดรต์ (dendrite) แอกซอน (axon) เป็นส่วนของตัวเซลล์ ที่ยื่นออก เป็นส่วนของตัวเซลล์ ที่ยื่นออก มารับกระแสประสาท จากภายนอก มาทำหน้าที่ส่งกระแสประสาทจาก เข้าสู่ตัวเซลล์ แขนงของเดนไดรต์ ตัวเซลล์ ออกไปยังอวัยวะตอบ มีตั้งแต่หนึ่งถึงหลายแขนง และ สนตัวเซลล์ 1 เซลล์จะมีแอกซอน มักมีขนาดสั้น ภายในเดนไดรต์มี เพียง 1แขนงและมักมีขนาดยาว จะ นิสส์ลบอดี (nissl body) และ ไม ถูกหุ้มด้วย เยื่อไมอีลิน (myelin โทรคอนเดรีย sheath) อง เซลล์ประสาทแบ่งตามลักษณะรูปร่าง ออกได้ 3 ประเภท 1.เซลล์ประสาทขั้วเดียว 2.เซลล์ประสาทชนิดสอง 3.เซลล์ประสาทหลายขั้ว ( Unipolar neuron ) ขั้ว(Bipolar neuron) ( Multipolar neuron ) 64
(central nervous system; ตัวย่อ: CNS) สมอง 1.สมองส่วนหน้า (Forebrain) มี ขนาดใหญ่ที่สุด มีรอยหยักเป็น จำนวนมาก สมองส่วนหน้า ประกอบด้วย 1.1ซีรีบรัม (Cerebrum) – มีขนาดใหญ่สุด มี รอยหยักเป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่เกี่ยว กับการเรียนรู้ ความสามารถต่างๆ – Frontal lobe ทำหน้าที่ https://vet.kku.ac.th/physio/rs/structure/alveoli.htm ควบคุมการเคลื่อนไหว การ ออกเสียง ความคิด ความ จำ สติปัญญา บุคลิก -ความรู้สึก พื้นอารมณ์ – Temporal lobe ทำหน้าที่ ควบคุมการได้ยิน การดม กลิ่น – Occipital lobe ทำหน้าที่ ควบคุมการมองเห็น – Parietal lobe ทำหน้าที่ ควบคุมความรู้สึกด้านการ สัมผัส การพูด การรับรส 65
1.2ทาลามัส (Thalamus) – อยู่เหนือไฮโป ทาลามัส ทำหน้าที่เป็นสถานีถ่ายทอด กระแสประสาทเพื่อส่งไปจุดต่างๆในสมอง รับรู้และตอบสนองความรู้สึกเจ็บปวด ทำให้มีการสั่งการแสดงออกพฤติกรรม ด้านความเจ็บปวด 1.3 ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) – ทำ หน้าที่เป็นศูนย์กลางของระบบประสา ทอัติโนมัติ และสร้างฮอร์โมนเพื่อควบคุม การผลิตฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองและ ยังเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึก วงจรการตื่นและการ หลับ การหิว และการอิ่ม 2.สมองส่วนกลาง (Midbrain) เป็นสมองที่ต่อจากสมองส่วนหน้า เป็นสถานีรับส่งประสาท ระหว่าง สมองส่วนหน้ากับส่วนท้ายและส่วนหน้ากับนัยน์ตาทำหน้าที่เกี่ยวกับ การเคลื่อนไหวของลูกตาและม่านตาจะเจริญดีในสัตว์พวกปลา กบ ฯลฯ ในมนุษย์สมองส่วน obtic lobe นี้จะเจริญไปเป็น Corpora quadrigermia ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน 66
3.สมองส่วนท้าย (Hindbrain) 3.2เมดัลลา (Medulla) ประกอบด้วย – เป็นสมองส่วนท้าย สุด เป็นศูนย์กลางการ 3.1พอนส์ (Pons) – อยู่ด้าน ควบคุมการทำงาน หน้าของซีรีเบลลัม ติดกับ เหนืออำนาจจิตใจ เช่น สมองส่วนกลาง ทำหน้าที่ ไอ จาม สะอึก หายใจ ควบคุมการทำงานบาง การเต้นของหัวใจ อย่างของร่างกาย เช่น การ เป็นต้น เคี้ยวอาหาร การหลั่งน้ำลาย การเคลื่อนไหวของกล้าม เนื้อบริเวณใบหน้า การ หายใจ การฟัง 3.3ซีรีเบลลัม (Cerebellum) – อยู่ใต้ เซรีบรัม ควบคุมระบบ กล้ามเนื้อให้สัมพันธ์ กันและควบคุมการ ทรงตัวของร่างกาย 67
ไขสันหลัง (spinal cord) คืออวัยวะที่มีลักษณะเป็นท่อยาวผอม ซึ่งมีเนื้อเยื่อประสาทเป็นส่วน ประกอบสำคัญ อันได้แก่ เซลล์ประสาท (neuron) และ เซลล์เกลีย (glia) https://vet.kku.ac.th/physio/rs/structure/alveoli.htm 68
ระบบประสาทส่วนปลาย 1.ประสาทสมอง (Cranial nerve) มี 12 คู่ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 เส้นประสา เส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 เส้นประสา ทออลแฟกทอรี(olfactory nerve) ทออพติก(optic nerve) เส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 เส้นประสาท เส้นประสาทสมองคู่ที่ 4 เส้นประสาท ออคิวโลมอเตอร์(oculomotor nerve) ทรอเคลีย(trochlea nerve) เส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 เส้น เส้นประสาทสมองคู่ที่ 6 เส้นประ ประสาทไตรเจอมินัล(trigerminal สทแอบดิวเซนส์(abducens nerve) nerve) เส้นประสาทสมองคู่ที่ 8 เส้นประสา เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เส้นประสา ทออดิทอรี(auditoty nerve) ทเฟเชียล(facial nerve) เส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 เส้นประ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 9 เส้นประสาทก สาทเวกัส(vegus nerve) ลอสโซฟารินเจียล(glossopharyngeal nerve) เส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 เส้นประสาทไฮ โพกลอสวัล(hypoglossal nerve) เส้นประสาทสมองคู่ที่ 11 เส้น ประสาทแอกเซสซอรี(accessory nerve) 69
2.ประสาทไขสันหลัง (spinal nerves) มีทั้งหมด 31 คู่ แบ่งออกเป็นทั้งหมด 5บริเวณดังนี้ เส้นประสาทบริเวณคอ (cervical never) 8 คู่ เส้นประสาทบริเวณอก (thoracal never) 12 คู่ เส้นประสาทบริเวณเอว (lumbar never) 5 คู่ เส้นประสาทบริเวณกระเบนเหน็บ (sacral never) 5 คู่ เส้นประสาทบริเวณก้นกบ (coccygeal never) 1 คู่ ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) ระบบประสาทซิมพาเธติก ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก ปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อระบบประสาทซิมพาเธติก ช่วยทำให้ร่างกายกลับคืนสู่ ทำงาน ได้แก่ ขนลุกตั้งชัน ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ เหงื่อ สภาวะปกติ เช่น เส้นขนจะราบ ออกมาก เป็นต้น ลง ชีพจรหัวใจและความดัน โลหิตจะกลับคืนสภาพเดิม เป็นต้น 70
ระบบไหลเวียนเลือด 71 cardiovascular system
เลือด เลือด ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. น้ำเลือดหรือพลาสมา (plasma) มี 55% 2. เม็ดเลือด มี 45% โดยปริมาตร ได้แก่ เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red blood cell) เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood cell) หัวใจ หัวใจห้องบนขวา (Right หัวใจห้องล่างขวา (Right atrium) มีหน้าที่รับเลือด ventricle) จะอยู่ทางด้านหน้า ที่มาจากหลอดเลือดดำ สุดของหัวใจ และพื้นผิวทาง ใหญ่ซุพีเรียเวนาคาวา ด้านหลังของหัวใจห้องนี้จะ (superior vena cava) ซึ่งรับ ติดกับกะบังลม หัวใจห้องล่าง เลือดมาจากร่างกายส่วน ขวาทำหน้าที่รับเลือดจากหัวใจ บน ห้องบนขวา แล้วส่งออกไปยัง ปอด 72
หัวใจห้องบนซ้าย (Left หัวใจห้องล่างซ้าย (Left atrium) มีขนาดเล็กที่สุดใน ventricle) จัดว่ามีขนาดใหญ่ ห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง และวางตัว ที่สุดและมีผนังหนาที่สุด ทำ อยู่ทางด้านหลังสุด โดยหัวใจ หน้าที่หลักในการสูบฉีดเลือด ห้องนี้จะรับเลือดที่ได้รับ ไปยังทั่วทั้งร่างกายผ่านทางลิ้น ออกซิเจนจากปอดผ่านทาง หัวใจเอออร์ติก(Aortic valve) หลอดเลือดดำพัลโมนารี และหลอดเลือดแดงใหญ่เอ (pulmonary veins) และจึงส่ง ออร์ตา (Aorta) ผ่านให้หัวใจห้องล่างซ้ายทาง ลิ้นไมทรัล (Mitral valve) 73
ลิ้นหัวใจ ลิ้นหัวใจไตรคัสปิด (Tricuspid valve) มีสามกลีบ (cusps) อยู่ ระหว่างหัวใจห้องบนขวาและ ล่างขวา ลิ้นไมตรัล (Mitral valve) มี สองกลีบ บางครั้งจึงเรียกว่า ลิ้นหัวใจไบคัสปิด (bicuspid valve) อยู่ระหว่างหัวใจห้อง บนซ้ายและล่างซ้าย ลิ้นหัวใจพัลโมนารี่เซมิลูนาร์ (pulmonary semilunar valve) มีสามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจ ห้องล่างขวาและหลอดเลือด แดงพัลโมนารี่ ลิ้นหัวใจเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic semilunar valve) มี สามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจห้อง ล่างซ้ายและหลอดเลือดแดง ใหญ่ ใกล้ๆกับโคนของลิ้นหัวใจ นี้จะมีรูเปิดเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเข้า ของเลือดที่จะเข้าสู่ระบบหลอด เลือดหัวใจ 74
หลอดเลือด หลอดเลือด มีอยู่ทุกส่วนของ ร่างกาย มีหน้าที่นำสารอาหาร และก๊าซออกซิเจนที่ลำเลียงไป กับเลือด เพื่อไปเลี้ยงส่วน ต่างๆของร่างกาย เมื่อไปถึง เซลล์จะมีการแลกเปลี่ยนอาหาร และก๊าซต่างๆ ถ้านำหลอด เลือดในร่างกายมาต่อกันจะมี ความยาวประมาณ 100,000 ไมล์ หลอดเลือดในร่างกายแบ่ง ออกเป็น 3 ชนิด คือ หลอดเลือดแดง ( Artery ) หลอดเลือดดำ ( Vein ) หลอดเลือดฝอย ( Capillary ) 75
Thank you
Search