สิ่งมชี ีวติ กบั สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ (Ecosystem) สภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาติในแต่ละทอ้ งถ่ิน มีความแตกต่างหลากหลาย เช่น บางบริเวณมีแม่น้า ลาธาร คลอง ชายทะเล ป่ าชายเลน และที่ราบ เป็นตน้ มกั พบสิ่งมีชีวติ มากมายหลายชนิดอาศยั อยรู่ ่วมกนั ตอ้ งพ่ึงพาอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เรียกวา่ กลุ่มสิ่งมีชีวติ (Community) ระบบนิเวศ (Ecosystem) หมายถึง กลุ่มสิ่งมีชีวติ ไม่วา่ จะเป็น พืช สตั ว์ หรือจุลินทรียท์ ่ีอาศยั อยใู่ น บริเวณเดียวกนั มีความสมั พนั ธ์ เก่ียวขอ้ งกนั อยา่ งเป็นระบบรวมท้งั ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั ส่ิงมีชีวติ ระบบนิเวศมีความแตกต่างกนั ข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะของ ส่ิงมีชีวติ และแหล่งที่อยอู่ าศยั ของส่ิงมีชีวติ ซ่ึงจดั เป็นระบบนิเวศ ขนาดใหญ่ เรียกวา่ โลกของสิ่งมีชีวติ ความสมั พนั ธท์ ้งั สองลกั ษณะจะเกิดข้ึนพร้อมกนั ใน ทุก ๆ ระบบนิเวศ นน่ั คือความสมั พนั ธ์ ท่ีเก่ียวขอ้ งกนั ทาให้ ส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดดารง ชีวติ อยรู่ อดได้ สิ่งมีชีวติ และ สิ่งไม่มีชีวติ ในโลก เร่ิมตน้ มาจากสารท่ีเลก็ ที่สุด คือ อะตอม(atom) หลาย ๆ อะตอม ทาปฏิกิริยาเคมี กนั หรือมีแรง ยดึ ระหวา่ งอะตอม กลายเป็น โมเลกลุ (molecule) โมเลกลุ ของสาร ต่างๆ รวมกนั เป็นสารชีวโมเลกลุ เซลล์ หรือ ออร์แกเนลล(์ organelle) ออร์แกเนลลต์ ่าง ๆ ร่วมกนั ทางาน และประกอบกนั เป็น เซลล(์ cell) ในสิ่งมีชีวติ ขนาดเลก็ อาจ มีเพียงเซลลเ์ ดียว ส่วนสิ่งมีชีวติ ที่มี มากกวา่ เซลลเ์ ดียวน้นั เซลลช์ นิดเดียวกนั หลาย ๆ เซลล์ ทาหนา้ ท่ี ร่วมกนั เรียกวา่ เน้ือเยอื่ ( tissue) เช่น เน้ือเยอ่ื กระดูก เน้ือเยอ่ื หลายชนิดร่วมกนั ทาหนา้ ท่ี กลายเป็น อวยั วะ(organ) เช่น กระดูก อวยั วะชนิดเดียวกนั หลายๆ อนั ร่วมกนั ทาหนา้ ที่ เรี่ยกวา่ ระบบอวยั วะ เช่น ระบบโครงกระดูก หลายๆ ระบบร่วมกนั ทางาน กลายเป็นสิ่งมีชีวติ (organism) เช่น แมว สุนขั ววั ควาย ไก่ เกง้ ปู
สิ่งมีชีวติ ชนิดเดียวกนั อยรู่ ่วมกนั กลายเป็น ครอบครัว ( family) หลาย ๆ ครอบครัวอยรู่ วมกนั ในบริเวณ หน่ึง กลายเป็น ประชากร(population) การดารงชีวขิ องส่ิงมีชีวติ การดารงชีวติ ชนิดเดียวกนั จะตอ้ ง มีความสัมพนั ธ์ กบั สิ่งมีชีวติ ชนิดอื่น เช่น ตอ้ งมีอาหาร มีที่อยอู่ าศยั เป็นตน้ จึงตอ้ งเกิด กลุ่มส่ิงมีชีวติ ( community) ข้ึนเมื่อรวมกลุ่มส่ิงมีชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ มท่ีไม่มีชีวติ ในบริเวณน้นั เขา้ ดว้ ยกนั หลายเป็น ระบบนิเวศ (ecosystem) การถ่ายทอดพลังงาน หรือ ห่วงโซ่อาหาร (food chain) พืชและสัตวจ์ าเป็นตอ้ งไดร้ ับพลงั งานเพ่ือใชใ้ นการดารงชีวติ โดยพืชจะไดร้ ับพลงั งานจากแสง ของดวงอาทิตย์ โดยใชร้ งควตั ถุสีเขียวท่ีเรียกวา่ คลอโรฟิ ลล์ (chlorophyll) เป็นตวั ดูดกลืนพลงั งาน แสงเพอื่ นามาใช้ ในการสร้างอาหาร เช่น กลโู คส แป้ ง ไขมนั โปรตีน เป็นตน้ พชื จึงเป็นผผู้ ลิต (producer) และเป็นสิ่งมีชีวติ อนั ดบั แรกในการถ่ายทอดพลงั งาน แบบห่วงโซ่อาหาร สาหรับสตั วเ์ ป็นส่ิงมีชีวติ ท่ีไม่สามารถสร้าง อาหารเองได้ จาเป็นตอ้ งไดร้ ับพลงั งาน จากการบริโภค สิ่งมีชีวติ อ่ืน เป็นอาหาร สัตวจ์ ึงถือวา่ เป็น ผบู้ ริโภค (consumer) ซ่ึงแบ่งออกได้ เป็นตน้ 1. ผบู้ ริโภคลาดบั ท่ีหน่ึง (primary consumer) หมายถึง สตั วท์ ี่กินผผู้ ลิต 2. ผบู้ ริโภคลาดบั ที่สอง (secondary consumer ) หมายถึง สตั วท์ ี่กิน ผบู้ ริโภคลาดบั ท่ีหน่ึง 3. ผบู้ ริโภคลาดบั สูงสุด (top consumer) หมายถึง สัตวท์ ่ีอยปู่ รายสุด ของห่วงโซ่อาหาร ซ่ึงไม่มีส่ิงมีชีวติ ใด มากินต่อ อาจเรียกวา่ ผบู้ ริโภคลาดบั สุดทา้ ย วฏั จกั รของสาร วฏั จกั รของสาร ( Biogeochemical cycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสารหนึงไปอีกสารหน่ึง โดยการ เปล่ียนแปลง ของสารจากสารหน่ึง ไปยงั อีกสารหน่ึง โดยการเปล่ียนตาแหน่งจากแหล่งหน่ึงไปยงั อีกแหล่ง หน่ึง หรือจากส่ิงมีชีวติ ชนิดชนิดหน่ึงไปยงั อีกชนิดหน่ึง แต่ในที่สุดจะหมุนเวยี นกลบั ไปยงั สภาพเดิมอีก เช่น ออกซิเจ น มีอยตู่ ามแหล่งต่างๆ ทว่ั ไป ออกซิเจนมีการหมุนเวยี นเป็นวฏั จกั รโดยเร่ิมจากพชื สร้างออกซิเจน โดยใชพ้ ลงั งานแสงและ คลอโรฟิ ลล์ เช่นเดียวกบั สาหร่ายและแพลงกต์ อนพืช จะไดส้ ารอินทรียซ์ ่ึงเป็นสารอาหารอาหาร จากการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง จากน้นั สาหร่ายและสตั วต์ ่างมีการถ่ายทอดอาหารและ พลงั งานในรูปของห่วงโซ่อาหาร สตั ว์ และพชื เมื่อหายใจ ออกจะปล่อยคาร์บอนออกมาในรูปของสาร ประกอบคาร์บอนไดออกไซด์ ซ่ึงสาหร่ายและแพลงกต์ อนพืช นาไปใชใ้ นการสังเคราะห์ดว้ ยแสงอีกคร้ัง
วฏั จกั รของสารหรือการหมุนเวยี นของสาร เป็นการหมุนเวยี นจากสิ่งไม่มีชีวติ ผา่ นส่ิงมีชีวติ แลว้ หมุนเวยี น กลบั คืนสู่ธรรมชาติดงั เดิม องคป์ ระกอบตามธรรมชาติวา่ ดว้ ย ส่ิงมีชีวติ ดารงชีวติ โดยใชแ้ ร่ธาตุและสารจาก ส่ิงแวดลอ้ ม ซ่ึงจะพบแร่ธาตุต่างๆ อยตู่ ามธรรมชาติ ในรูปของสารอินทรีย์ และสารอนินทรีย์ โดยมีการ เปลี่ยนแปลงไปตามวฏั จกั รของสารไดด้ งั น้ี 1. Hydrologic cycle หมายถึง วฏั จกั รของน้า 2. Gaseouscycle หมายถึง วฏั จกั รการเคล่ือนยา้ ยวตั ถุท่ีแหล่ง สารองในบรรยากาศและทะเล เช่น วฏั จกั รคาร์บอน วฏั จกั รออกซิเจน และวฏั จกั ไนโตรเจน 3. Sedimentary cycle หมายถึง วฏั จกั รการเคล่ือนยา้ ยธาตุ ท่ีมีแหล่งสารองในพ้ืนดินใน รูปของแขง็ สู่วฏั จกั รเมื่อมีการผกุ ร่อน เช่น วฏั จกั รฟอสฟอรัส วฏั จกั รแคลเซียม วฏั จกั รซลั เฟอร์ ทรัพยากรธรรมชาติ ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ 1. ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใชไ้ ม่หมด ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช่ไม่หมด หมายถึง ทรัพยากร ที่มี อยมู่ ากเกิน ความตอ้ งการ ใชอ้ ยา่ งไรกม็ ี วนั หมดสิ้น เพราะธรรมชาติ มีระบบที่ ผลิตทรัพยากรชนิดน้ีออกมา อยา่ งรวดเร็ว ในปริมาณมาก ๆ แต่ถา้ ใชไ้ ม่ถกู วธิ ี หรือไม่ก็ ไม่ช่วยกนั รักษา กอ็ าจเสื่อมคุณภาพได้ และ ใชป้ ระโยชน์ ไดน้ อ้ ยลง เช่น อากาศ แสง เป็นตน้ 2. ทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถสร้างทดแทนข้ึนใหม่ได้ ทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถสร้างข้ึนใหม่ทดแทนได้ หมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติที่เม่ือนามาใชแ้ ลว้ ธรรมชาติ สามารถ สร้างทดแทนข้ึนในส่วนท่ีใชไ้ ปได้ แต่ตอ้ งใชเ้ วลานาน พอสมควร ซ่ึงถา้ มีการดูแลรักษา และ จดั การอยา่ ง ถกู วธิ ี กจ็ ะทาใหท้ รัพยากรชนิดน้นั คุณภาพ และปริมาณอยา่ งเพียงพอ ที่จะทาใหม้ นุษย์ นาไปใช้ อยา่ งยาวนาน โดยไม่ตอ้ ง เดือดร้อน เช่น น้า ดิน ป่ าไม้ สัตวป์ ่ า เป็นตน้ 3. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใชแ้ ลว้ หมดไป ทรัพยากรธรรมชาติที่ใชแ้ ลว้ หมดไป หมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยอู่ ยา่ งจากดั เม่ือนามาใช้ หมดไป ไม่ สามารถสร้างทดแทนใหม่ ได้ หรือ ตอ้ งใชร้ ะยะเวลานาน นบั หลายหมื่น หรือหลายแสนปี กวา่ ธรรมชาติ จะสร้าง ข้ึน ใหม่ได้ เช่น แร่ธาตุชนิดต่างๆ ถ่านหิน น้ามนั ปิ โตรเลียม เป็นตน้
Search
Read the Text Version
- 1 - 3
Pages: