Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พัฒนาการในสมัยโบราณของประเทศสมาชิกอาเซียน

พัฒนาการในสมัยโบราณของประเทศสมาชิกอาเซียน

Published by non0831876843, 2021-07-25 10:02:14

Description: พัฒนาการในสมัยโบราณของประเทศสมาชิกอาเซียน

Search

Read the Text Version

พฒั นาการในสมยั โบราณของประเทศสมาชิกอาเซียน เอเชียตะวนั ออกเฉียงใตบ้ ริเวณที่เป็นดนิ แดนของประเทศสมาชิกอาเซียนมีผคู้ นอาศยั มานาน หลกั ฐานที่เก่าแก่ ที่สุด คอื โครงกระดูกมนุษยช์ วาพบที่ริมฝัง่ แมน่ ้าโซโลใกลเ้ มืองตรินิล (Trinil) บนเกาะชวา ประเทศอนิ โดนีเซีย มีอายุ ประมาณ 500,000 ปี ล่วงมาแลว้ รู้จกั นาโลหะโดยเฉพาะนาสาริดมาใช้ ดงั หลกั ฐานโบราณที่คน้ พบทด่ี องซอนใน เวยี ดนาม บา้ นเชียงในไทย และรูจ้ กั การเพาะปลูก คอื รู้จกั การเพาะปลกู ขา้ ว เมื่อประมาณ 6,000 ปี มาแลว้ กลา่ วไดว้ า่ การพบหลกั ฐานทางโบราณคดีหลายแห่งบนภมู ิภาคน้ีทาให้ทราบวา่ บริเวณที่ต้งั ของประเทศสมาชิก อาเซียนมีมนุษยต์ ้งั ถ่ินฐานอยอู่ าศยั มาต้งั แตก่ ่อนประวตั ิศาสตร์ หมบู่ า้ นและชุมชนโบราณส่วนใหญต่ ้งั อยตู่ ามแนวสายน้าต่างๆ เช่น อาณาจกั รอยธุ ยาบริเวณลมุ่ แม่น้าเจา้ พระยา อาณาจกั รพกุ ามบริเวณลุม่ แม่น้าอิรวดี เป็นตน้ ผคู้ นต่างใชป้ ระโยชนจ์ ากล่มุ แม่น้าลาคลอง ท้งั เป็นเสน้ ทางคมนาคมติดต่อกบั โลกภายนอก ใชใ้ นการอุปโภคบริโภค และทาการเกษตรกรรมเป็นสาคญั บริเวณหมู่เกาะและชายฝั่งทะเลที่ทอดยาวขนาบดว้ ยมหาสมุทรอินเดียและมหาสมทุ รแปซิฟิ ก เป็นทาเลท่ี เหมาะสมสาหรับการคา้ จึงเป็นเสน้ ทางของการเดินเรือนานาชาติเช่ือมการติดตอ่ ระหวา่ งซีกโลกตะวนั ออกกบั ซีกโลกตะวนั ตก มาต้งั แตส่ มยั โบราณ บริเวณท่ีราบชายฝ่ังทะเลของคาบสมทุ รและหมเู่ กาะ เช่น เกาะชวาและเกาะสุมาตราในอนิ โดนีเซีย เกาะลู ซอนและเกาะมินดาเนาในฟิ ลิปปิ นส์ เป็นตน้ บริเวณท่ีมีผคู้ นอาศยั อยเู่ บาบาง ไดแ้ ก่ บริเวณที่ราบสูง เน่ืองจากสภาพอากาศแหง้ แลง้ และไม่สะดวกในการ สัญจร เขตที่ราบสูงและเขตเทือกเขาท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ท่ีราบสูงชานทางตะวนั ออกของพม่า ที่ราบสูงทางตอนเหนือของเวยี ดนาม พ้นื ที่ส่วนใหญข่ องลาว เป็นตน้ ผคู้ นในดินแดนซ่ึงเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนไดร้ ับอิทธิพลทางอารยธรรมจากสองอารยธรรมใหญ่ คอื อารย ธรรมจีนทางตะวนั ออกซ่ึงมีอิทธิพลต่อเวยี ดนามมาก และวฒั นธรรมอินเดียทางดา้ นตะวนั ตก ซ่ึงมีอิทธิพลตอ่ พม่า ไทย ลาว และ กมั พชู า สาหรับอินโดนีเซียและมาเลเซีย ไดร้ ับอิทธิพลในระยะแรก ส่วนฟิ ลิปปิ นส์ อารยธรรมอินเดียและจีนยงั แผเ่ ขา้ ไปไมถ่ ึง 1.

พฒั นาการในสมยั ใหม่ของประเทศสมาชิกอาเซียน ประวตั ิศาสตร์ภมู ิภาคท่ีเป็นดินแดนของประเทศสมาชิกอาเซียนสมยั ใหม่เริ่มกลางพทุ ธศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงเป็นช่วงที่ชาติตะวนั ตกเขา้ ยดึ ครองประเทศต่างๆ ในดินแดนน้ีเป็นอาณานิคม ซ่ึงมเี ฉพาะประเทศไทยเท่าน้นั ท่ีคงเอกราชไวไ้ ด้ โดยเร่ิมจากเมือ่ โปรตเุ กสเขา้ มายึดครองมะละกา ในมลายหู รือมาเลเซีย ซ่ึงเป็นเมอื งท่าสาคญั ของภมู ิภาค ต่อจากน้นั โปรตุเกสกเ็ ดินทางถงึ หมเู่ กาะเคร่ืองเทศ (หม่เู กาะโมลกุ กะ ปัจจบุ นั อยใู่ นประเทศ อินโดนีเซีย) และเป็นผผู้ กู ขาดการคา้ เคร่ืองเทศเป็นเวลานาน โดยมีสเปน องั กฤษ ฮอลนั ดา (เนเธอแลนด)์ พยายามเขา้ มาแขง่ ขนั การแข่งขนั ของชาติตะวนั ตกในภมู ิภาคน้ี มีจุดมุ่งหมายที่สาคญั คือ เขา้ ควบคมุ เมอื งทา่ สาคญั และแหลง่ ผลิตเคร่ืองเทศในบริเวณหมู่ เกาะต่างๆ ส่วนหมู่เกาะฟิลิปปิ นส์ถูกสเปนเขา้ ยดึ ครองกอ่ นแลว้ ต้งั แต่แรกในปลายพทุ ธศตวรรษที่ 21 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ของหลายประเทศ เช่น พมา่ ไทย กมั พชู า พระมหากษตั ริยท์ รงลดความเป็นเทพเจา้ ลง และเป็นธรรม ราชามากข้นึ มีการนบั ถอื พระพุทธศาสนา ส่วนมลายู (มาเลเซีย) อนิ โดนีเซียเปลีย่ นไปนบั ถือศาสนาอิสลาม ในฟิลิปปิ นส์นบั ถอื ศาสนาคริสต์ และใน เวยี ดนามนบั ถือลทั ธิขงจื๊อและพระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน ชาติตะวนั ตกท่ีเขา้ มายึดครองประเทศต่างๆ ในภูมิภาคที่เป็นดินแดนของประเทศสมาชิกอาเซียน เริ่มจากการยดึ ครองเมอื งทา่ และ แหล่งผลิตเคร่ืองเทศก่อน โดยฮอลนั ดาขยายอทิ ธิพลเขา้ ครอบครองอินโดนีเซียแทนโปรตุเกส องั กฤษขอเช่าเกาะสิงคโปร์จากสุลตา่ นแห่งยะโฮร์ และ ไดท้ าสนธิสัญญากบั ฮอลนั ดาแบง่ เขตอิทธิพลกนั โดยฮอลนั ดาจะมีอทิ ธิพลต้งั แต่ใตเ้ กาะสิงคโปร์ลงไป ส่วนองั กฤษมีอทิ ธิพลเหรือสิงคโปร์ข้ึนมา หลงั จากน้นั องั กฤษไดข้ ยายอิทธิพลเขา้ สู่มลายจู นมีอานาจการปกครองเหนือมลายทู ้งั หมด ต่อจากน้นั องั กฤษเร่ิมขยายอทิ ธิพลไปยงั ประเทศพม่า พม่าตอ้ งสูญเสียเอกราชใหอ้ งั กฤษและถูกรวมเขา้ เป็นส่วนหน่ึงของจกั รวรรดิ อินเดียขององั กฤษ สาหรับเวยี ดนามหลงั จากเป็นอิสระจากจีน กต็ อ้ งสูร้ บกบั อาณาจกั รจามปาจนไดช้ ยั ชนะเดด็ ขาด มกี ารผลดั เปลย่ี นราชวงศ์ ประเทศ แบง่ แยก มีกบฏและตอ้ งใชเ้ วลาในการปราบกบฏเป็นเวลานานบา้ นเมอื งจึงสงบ ต่อมาเกิดความขดั แยง้ กบั ฝร่ังเศสที่เขา้ มาเผยแผศ่ าสนาคริสต์ โดย จกั รพรรดิของเวียดนามปราบปรามพวกเขา้ รีต (ผทู้ ่ีเปลย่ี นไปนบั ถอื ศาสนาคริสต)์ อยา่ งรุนแรง และปิ ดเมืองท่าคา้ ขายกบั ตา่ งชาติ ฝรั่งเศสไดถ้ ือโอกาสที่เวียดนามตอ่ ตา้ นปราบปรามการเผยแผศ่ าสนาคริสต์ ทาสงครามกบั เวียดนาม จนกระทงั่ ในท่ีสุดฝร่ังเศสได้ ครอบครองเวยี ดนามท้งั หมด ตอ่ จากน้ันฝรั่งเศสยงั ขยายอานาจเขา้ ไปในกมั พูชาและลาว ซ่ึงเป็นประเทศราชของไทย และไดค้ รอบครองกมั พชู าและ ลาวในท่ีสุด 2.

พฒั นาการในสมัยปัจจบุ นั ของประเทศสมาชิกอาเซียน หลงั สงครามโลกครงั้ ที่ 2 เป็นยคุ ของสงครามเย็น (พ.ศ. 2490 - 2534) ซง่ึ เป็นการตอ่ สรู้ ะหวา่ งคา่ ยโลกเสรที ี่มีสหรฐั อเมรกิ าเป็นผนู้ า กบั คา่ ย โลกคอมมวิ นิสตท์ ม่ี ีอดีตสหภาพโซเวยี ตเป็นผนู้ า ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตท้ ไี่ ดร้ บั เอกราชจากชาติตะวนั ตกตา่ งดาเนนิ นโยบาย แตกตา่ งกนั เชน่ เวยี ดนามเหนอื เป็นฝ่ายคา่ ยโลกคอมมิวนิสต์ ฟิลปิ ปินสเ์ ป็นฝ่ายคา่ ยโลกเสรี อินโดนเี ซยี ไมผ่ กู พนั กบั คา่ ยใด นอกจากนีแ้ ตล่ ะประเทศต่างพยายามแสวงหาหนทางของตนเอง เพือ่ การสรา้ งชาตขิ นึ้ ใหม่ เช่น พม่าไม่ยอมเขา้ รว่ มในเครอื จกั รภพองั กฤษ (British Commonwealth) เวียดนามซง่ึ เป็นประเทศถกู แบง่ ออกเป็นเวียดนามเหนอื และเวยี ดนามใต้ ตอ้ งตอ่ สเู้ พ่อื การรวมประเทศ ซง่ึ ก่อใหเ้ กดิ สงครามที่รุนแรงมากระหวา่ ง พ.ศ. 2503 - 2518 รวมเวลาถึง 15 ปี ในช่วงสงครามเวยี ดนามครงั้ ที่ 2 (พ.ศ. 2503 - 2518) ประเทศตา่ งๆ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตร้ วมทง้ั ไทย มคี วามหวาดระแวงกบั การ ขยายตวั ของลทั ธิคอมมวิ นสิ ตก์ นั มาก นอกจากนีห้ ลายประเทศยงั ไดร้ ว่ มกนั ก่อต้ังสมาคมอาสา ซง่ึ ต่อมาไดพ้ ฒั นาเป็นสมาคมประชาชาติแห่งเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ หรืออาเซยี น ขึน้ เม่อื พ.ศ. 2510 มีประเทศรว่ มก่อตงั้ 5 ประเทศ คอื ไทย มาเลเซีย สงิ คโปร์ อินโดนเี ซีย และฟิลิปปินส์ เพ่อื รว่ มมอื กนั ทางดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรม ภายหลงั จากสนิ้ สดุ สงครามเยน็ และการลม่ สลายของสหภาพโซเวยี ต ตง้ั แต่ พ.ศ. 2534 เป็นตน้ มา เกอื บทกุ ประเทศในเอเชียตะวนั ออกเฉียง ใตจ้ ะใหค้ วามสาคญั กบั การพฒั นาเศรษฐกิจจนนาไปสกู่ ารผ่อนคลายและปรบั ตวั ของประเทศเวียดนาม ลาว ทป่ี กครองในระบอบสงั คมนยิ ม และ ยอมรบั ระบบเศรษฐกิจของโลกเสรี มกี ารเปิดตลาดการคา้ ใหก้ บั ตลาดโลก การพฒั นาการศกึ ษา การสาธารณสขุ การคมนาคมเป็นเรือ่ งสาคญั ทที่ าใหป้ ระเทศพฒั นาไดเ้ รว็ ขนึ้ ประชากรมีชวี ติ ความเป็นอย่ดู ขี นึ้ แต่ หลายประเทศก็ประสบปัญหาเดียวกนั ในการพฒั นาประเทศ คอื เมื่อพฒั นาเศรษฐกจิ แลว้ มกั เกดิ ปัญหาการทาลายส่ิงแวดลอ้ มและปัญหามลภาวะ ตา่ งๆ ตามมาดว้ ย ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตไ้ ดร้ บั ผลกระทบอย่างรุนแรงจากวกิ ฤตทิ างการเงินท่ีเกดิ ขนึ้ ในสหรฐั อเมรกิ า เมอ่ื ปลายปี พ.ศ. 2551 ซง่ึ สง่ ผล กระทบเป็นวงกวา้ งไปในยโุ รปและเอเชยี ทาใหบ้ ริษทั การเงิน โรงงานอตุ สาหกรรมตา่ งๆ ขาดทนุ สนิ คา้ ขายไดน้ อ้ ยลง ทาใหม้ ีการปลดคนงานออก ชะลอการผลติ หรอื ผลติ นอ้ ยลงจนถึงปิดโรงงานกม็ ี รฐั บาลประเทศตา่ งๆ รวมทงั้ ประเทศไทย ไดพ้ ยายามกระตนุ้ ระบบเศรษฐกิจเพื่่่อสรา้ งงานและ เพิ่มรายได้ ดงั นนั้ การพึ่งตนเองโดยสรา้ งความรว่ มมือระหว่างหน่วยงานทางเศรษฐกิจภายในประเทศและระหวา่ งประเทศ โดยเฉพาะประเทศ สมาชกิ อาเซยี นจึงมคี วามสาคญั มาก นอกจากนี้ การเพิ่มจานวนประชากรของภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตก้ เ็ ป็นปัญหาสาคญั กล่าวคือ ในปัจจบุ นั เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตม้ ี ประ่่ชากรประมาณ 602 ลา้ นคน (พ.ศ.2554) จากที่เคยมี 557 ลา้ นคน เมือ พ.ศ. 2551 ซง่ึ เป็นภาระหนกั มากทงั้ การเลีย้ งดู การมที ่อี่ ยอู่ าศยั การ ใหก้ ารศกึ ษา การประกอบอาชีพ ผลทเ่ี ่่กดิ ขนึ้ คอื ทาใหม้ ผี คู้ นทีย่ ากจนเป็นจานวนมาก อีกทง้ั ทาใหป้ ัญหาอ่นื รุนแรงขนึ้ เช่น ยาเสพติด การฉอ้ ราษฎรบ์ งั หลวง เป็นตน้ อยา่ งไรก็ตาม แมว้ ่าประเทศในภมู ิภาคเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตจ้ ะมีความหลากหลายทางเชอื้ ชาติ ศาสนา วฒั นธรรม ภาษา และสงั คม แต่ ก็มีความพยายามรว่ มกนั ของทกุ ประเทศเพ่ือทีจ่ ะใหเ้ กิดความเป็นเอกภาพ และพยายามลดความขนุ่ ขอ้ งหมองใจท่ีมีมาในประวตั ิศาสตร์ โดยเฉพาะ จากสงครามในอดตี เพ่ือใหเ้ กิดความเขา้ ใจอนั ดรี ะหว่างกนั อนั จะนาไปสคู่ วามรว่ มมอื กนั อยา่ งใกลช้ ดิ เพ่ือความสงบสขุ และมชี วี ติ ทดี่ รี ว่ มกนั 3.

พฒั นาการทางด้านศาสนา สังคมและวัฒนธรรม 1. พฒั นาการทางด้านศาสนา หลงั จากเสียกรุงศรีอยธุ ยา บา้ นเมอื งอยใู่ นสภาพบา้ นแตกสาแหรกขาด ผคู้ นตา่ งหนีเอาตวั รอด เมื่อพระเจา้ ตากสิน ฯ ไดร้ วบรวมกาลงั กเู้ อกราชของชาตกิ ลบั คืนมา ไดจ้ นเป็นปึ กแผ่นแลว้ ในปี เดียวกนั น้นั คอื ปี พ.ศ. 2310 ก็ไดท้ รงมีพระราชดาริท่ีจะทานุบารุงพระพุทธศาสนา ใหเ้ จริญรุ่งเรืองเป็นปกตสิ ุขเช่นที่เคยเป็นมาก่อน จึงไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระศรีภูริปรีชา ให้สืบเสาะหาพระเถระผูร้ ู้อรรถรู้ธรรมให้มาประชุมกนั ท่ี วดั บางหวา้ ใหญ่ (วดั ระฆงั โฆษิตาราม) พระเจา้ ตากสิน ฯ ไดท้ รงต้งั พระอาจารยด์ ี วดั ประดกู่ รุงเก่า ซ่ึงเป็นผทู้ ่ีมคี วามรู้สูงและมีอายพุ รรษามากดว้ ย ข้นึ เป็นพระสงั ฆราช และต้งั พระพระเถระอืน่ ๆ ข้นึ เป็นพระราชาคณะฐานานุกรม นอ้ ยใหญ่ เหมอื นคร้งั กรุงศรีอยธุ ยาให้สถติ อยใู่ นพระอารามต่าง ๆ ในกรุงธนบุรี ให้สั่งสอนคนั ถธุระและวิปัสสนาธุระ แก่ภกิ ษุสามเณรโดยทว่ั ไป เม่ือคร้งั เสียกรุงศรีอยธุ ยา นอกจากบา้ นเมือง ปราสาทราชวงั วดั วาอาราม จะถกู เผาพลาญโดยสิ้นเชิงแลว้ บรรดาคมั ภีร์พระไตรปิฎกกพ็ ลอยถกู เผาสูญหายหมดส้ิน ไปดว้ ย พระองคจ์ ึงไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ืบหารวบรวมคมั ภีร์พระไตรปิ ฎกทหี่ ลงเหลืออยตู่ ามหวั เมอื งตา่ ง ๆ ตลอดไปจนถงึ กรุงกมั พูชา แลว้ เอามาคดั ลอกสร้างเป็น พระไตรปิ ฎกฉบบั หลวงไว้ แตย่ งั ไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ส้ินรชั กาลเสียกอ่ น 2. พฒั นาการด้านสังคมและวฒั นธรรม โครงสร้างทางสังคมไทยสมัยธนบรุ ีประกอบด้วยชนช้ันต่างๆ ได้แก่ -พระมหากษตั ริย์ เป็นผูท้ ม่ี ีพระราชอานาจสูงสุดในแผ่นดิน -พระบรมวงศานุวงศ์ ไดแ้ ก่ ราชวงศช์ ้นั ผใู้ หญ่ บรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดา -ไพร่ ไดแ้ ก่ คนธรรมดาสามญั ท่เี ป็นชายฉกรรจ์ ส่วนเด็ก ผูห้ ญิงหรือคนชราถือเป็นบริวารของไพร่ -ทาส หมายถงึ บุคคลท่มี ไิ ดเ้ ป็นไทแก่ตนเองโดยสิ้นเชิง -พระสงฆ์ เป็นผสู้ ืบทอดพระพทุ ธศาสนา และเป็นผอู้ บรมสง่ั สอนคนในสังคมให้เป็นคนดี 2.1 สภาพสังคมสมัยธนบรุ ี เนื่องจากบา้ นเมืองตกอยภู่ าวะสงคราม ทางราชการจึงตอ้ งควบคุมกาลงั คนอยา่ งเขม็ งวดเพ่อื เตรียมสาหรบั ตา้ นภยั พม่า มกี ารลงทะเบยี นชายฉกรรจ์ เป็นไพร่หลวง โดยการสักเลกท่แี ขนเพือ่ ป้องกนั การหลบหนี 2.2 การฟื้ นฟูพระพุทธศาสนา สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินทรงมคี วามเสื่อมใส ศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งยิง่ ทรงฟ้ืนฟกู ิจการพระพทุ ธศาสนาเพ่ือใหเ้ ป็นที่ยดึ เหน่ียวทางจิตใจแก่ราษฏร ดงั น้ี ▪ การจดั ระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ โปรดเกลา้ ฯ แตง่ ต้งั พระสงั ฆราชและพระราชาคณะข้ึนปกครองคณะสงฆ์ และใหม้ ีการชาระความบริสุทธ์ิของพระสงฆ์ ท้งั หมด พระสงฆท์ ี่มกี ารประพฤตไิ มอ่ ยใู่ นพระวินยั ก็ใหส้ ึกออกเสีย ▪ การสร้างและปฏสิ ังขรณ์วดั วาอารามตา่ งๆ เช่น วดั บางย่เี รือใต้ (วดั อนิ ทาราม) วดั แจง้ (วดั อรุณราชวราราม)และวดั บางหวา้ ใหญ(่ วดั ระฆงั โฆสิตาราม) เป็นตน้ ▪ การตรวจสอบและคดั ลอกพระไตรปิ ฏก เพอื่ ใหพ้ ระธรรมวนิ ัยมีความบริสุทธ์ิ โดยใชต้ น้ ฉบบั พระไตรปิ ฏกจากวดั พระมหาธาตุ เมอื งนครศรีธรรมราช 2.3 งานสร้างสรรค์ศลิ ปะและวรรณกรรม ▪ ความเจริญรุ่งเรืองดา้ นศิลปแขนงตา่ งๆ ในสมยั ธนบุรีไม่ปรากฏเดน่ ชดั นกั เน่ืองจากบา้ นเมืองตกอยใู่ นภาวะสงครามตลอดรัชกาล ความบีบค้นั ทางเศรษฐกิจและ บรรดาช่างฝีมือถกู พมา่ กวาดตอ้ นไปจานวนมาก ▪ งานสถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่เป็นงานซ่อมแซมบรู ณะปฏสิ งั ขรณ์วดั วาอารามตา่ งๆ และงานกอ่ สร้างพระราชวงั เดิม ▪ งานวรรณกรรม ไดแ้ ก่ รามเกียรต์ิ (พระราชนิพนธบ์ างตอนในสมเดจ็ พระเจา้ ตากสิน),ลิลิตเพชรมงกุฏ (หลวงสรวชิ ิต),และโคลงยอพระเกียรต์พิ ระเจา้ กรุงธนบุรี (นายสวนมหาดเล็ก) เป็นตน้ 4.

ตอ่ จากหน้ากอ่ น4. 3. ด้านการศึกษา ▪ วัดเป็ นสถานศึกษาของเด็กไทยในสมยั ธนบรุ ี พระสงฆเ์ ป็นผสู้ อนให้ความรู้ท้งั ดา้ นหนังสือและอบรมความประพฤติ และเดก็ ชายเท่าน้นั ทีม่ ีโอกาสไดเ้ ล่าเรียน ▪ การเรียนวชิ าชีพ เป็นหนา้ ที่ของพ่อแม่ ซ่ึงจะถ่ายทอดวชิ าชีพตามบรรพบุรุษของตน เช่นวชิ าช่างปั่น ช่างเหลก็ ช่างเงิน ช่างทอง เป็นตน้ ▪ การศึกษาสาหรับเด็กหญงิ มีการเลา่ เรียนการเยบ็ ปักถกั ร้อย การปรุงแตง่ อาหารและวิชางานบา้ นงานเรือนสาหรับกุลสตรี ซ่ึงถ่ายทอดกนั มาตามประเพณีโบราณ มเี ฉพาะในหมลู่ กู หลานขุนนาง และพระราชวงศ์ ส่วนวชิ าหนงั สือไมน่ ิยมใหผ้ ูห้ ญงิ เรียน ▪ พฒั นาการดา้ นการเมืองการปกครอง ▪ พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองในสมัยปรับปรุงและปฏิรูปประเทศสามารถแบ่งออกเป็ นประเด็นต่างๆ ได้ดังน้ี ▪ ▪ 1.ด้านการเมือง ▪ ▪ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเก้าเจ้าอยู่หัวอานาจทางการเมืองขึน้ อย่กู ับขุนนางตระกูลบุนนาค ต่อมาเม่ือพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั เสด็จขึน้ ครองราชย์ทรงพยายามลดอานาจคุณนางปรากฏบนหน้าและทาให้อานาจของพระองค์เพ่ิมมากขนึ้ ซึ่งทรงทาได้สาเร็จในเวลาต่อมาทาให้การปฏิรูปประเทศเป็ นไป อย่างรวดเร็วย่งิ ขนึ้ ▪ ▪ ▪ 2.ด้านการปกครอง ▪ ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ประเทศไทยเร่ิมเข้าสู่ยุคใหม่มีการปรับปรุงการปกครองให้ทันสมยั โดยพระองค์เร่ิมเปล่ียนแปลงทาเนยี มท่ลี ้าสมัย ซ่ึงจะทาให้ชาวต่างชาตกิ ล่าวหาว่าไทยล้าหลัง จงึ ทรงเร่ิมให้ขุนนางสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้าอีกท้งั ให้ชาวต่างชาตเิ ข้าเฝ้าในวันประกอบพิธบี รมราชาภเิ ษกและในโอกาส ต่างๆ และพระองค์ยงั ทรงมพี ระราชหัตถเลขาตดิ ต่อกับชาวต่างชาติอกี หลายคนท้งั ในอังกฤษและ สหรัฐอเมริกา ▪ การเปล่ียนแปลงท่ีสาคัญอีกประการหน่งึ คือ โปรดเกล้าฯ ให้เลือกพระมหาราชครูปุโรหติ าอาจารย์และพระมหาราชครูมหิธรซ่ึงเป็ นตาแหน่งสาคญั ในด้านการตัดสิน คดีความโดยเลอื กจากผ้มู คี วามรู้ความสามารถทางกฎหมาย ส่วนในหวั เมืองกใ็ ห้เลือกตลุ าการได้

▪ เมื่อพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั ขนึ้ ของราชสมบตั ิด้วยพระองค์เอง พระองค์ได้ทรงเริ่มปฏริ ูปการ ปกครองทนั ที โดยทรงจดั ต้งั สภาทีป่ รึกษา ๒ สภา คือ “สภาท่ีปรึกษาราชการแผ่นดิน” เพ่ือเป็ นทปี่ รึกษาในเรื่องต่างๆ ทจี่ ะทาให้บ้านเมืองมคี วามเจริญก้าวหน้า เช่น การเลิกทาส การวางสายโทรเลข และอีกสภาหนึ่งคือ “สภาทป่ี รึกษาใน พระองค์” เพื่อปฏบิ ัติงานต่างๆทไี่ ด้รับมอบหมาย ▪ ต่อมาในปลายปี พ.ศ. ๒๔๒๗ เจ้านายและขนุ นางทรี่ ับราชการและศึกษาต่อในทวปี ยโุ รปรวม ๑๑ นายได้ทาคากราบ บงั คมทูลพระกรุณาทรงเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ เป็ นระบอบประชาธิปไตยทม่ี ี รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายสูงสุด เพราะเห็นว่าจะเป็ นวิถที างให้บ้านเมืองรักษาเอกราชไว้ได้และนาความเจริญมาสู่ ประเทศ แต่พระองค์ทรงเหน็ ว่ายังไม่พร้อมท่ีจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเพราะขาดคนทีม่ คี วามรู้ ▪ ในปลาย พ.ศ.2430 พระบาทสมเดจ็ พระจุฬาจอมเก้าเจ้าอยู่หวั ทรงเห็นว่าวธิ กี ารปกครองบ้านเมืองทีเ่ ป็ นอย่นู ้นั ล้าสมัย จึงทรงปฏริ ูปการปกครองท้งั ในส่วนกลาง ส่วนภูมภิ าค และส่วนท้องถน่ิ ดงั นี้ ▪ ➢การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง พระองค์ทรงทดลองเปลย่ี นแปลงการปกครองโดยเพมิ่ หน่วยงานจาก6กรม เป็ น12กรม และให้เสนาบดีมีความรับผิดชอบตดั สินใจได้มากขนึ้ การทดลองดาเนนิ การอยู่ ๔ ปี ถึงวนั ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๗ จงึ ดาเนนิ การเป็ นการถาวรท้งั ๑๒ กรม เปลยี่ นเป็ น ๑๒ กระทรวง ซึ่งเป็ นรากฐานของกระทรวงต่างๆใน ปัจจุบัน ▪ ➢การปฏริ ูปการปกครองส่วนภมู ภิ าค พระองค์ทรงยกเลกิ ระบบกนิ เมือง เมืองท้งั หลายรวมเป็ นมณฑล เทศาภิบาลและมขี ้าหลวงเทศาภบิ าลจากส่วนกลางเป็ นผ้ปู กครอง อานาจจากส่วนกลางจงึ ครอบคลมุ ส่วนภมู ภิ าค ทุก เมืองถูกรวมอยู่ในราชอาณาจักรไทย ▪ ➢การปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิน่ พระองค์ทรงนาระบบการปกครองแบบสุขาภบิ าลมาใช้เป็ นคร้ังแรกท่ี ตาบลท่าฉลอม และแต่งต้งั ตาแหน่งกานัน ผู้ใหญ่บ้าน นอกจากนพี้ ระองค์ทรงต้งั เสนาบดสี ภา “องคมนตรีสภา” เพอ่ื เป็ นทปี่ รึกษางานราชการและส่วนพระองค์ และ รัฐมนตรีสภา เพ่อื ตรวจตรากฎหมายและปรับปรุงกฎหมายให้ทนั สมัย ▪ การเมืองการปกครองของไทยมีพฒั นาการต่อมาโดยในต้นรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว \"กล่มุ ยังเติร์ก หรือ ขบวนการ ร.ศ. ๑๓๐\"(พ.ศ.๒๔๕๔)พยายามเปล่ียนแปลงการปกครองเป็ นระบอบประชาธปิ ไตยแต่ไม่ สาเร็จนอกจากนีพ้ ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เก้าเจ้าอยู่หวั ทรงให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออกโดยเขยี นบทความ แสดงความคดิ เห็นในหนงั สือพมิ พ์ได้ และพระองค์ยังทรงชีแ้ จงหรือโต้ตอบในหนังสือพมิ พ์ด้วย ▪ เม่ือพระบาทสมเด็จพระปกเก้าเจ้าอย่หู วั ขึน้ ครองราชย์ชัดสมบตั ิ ทรงมีพระราชดาริในการปกครองระบอบ ประชาธปิ ไตยและเตรียมการให้ราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ผู้ทสี่ ่งปรึกษาได้ถวายความคิดเห็นว่าประชาชนยังไม่พร้อม เพราะการศึกษายงั ไม่แพร่หลาย ถงึ กระน้ันกท็ รงวางรากฐานการปกครองท้องถน่ิ เป็ นแบบเทศบาล เพื่อให้ราษฎรรู้จัก อดทนเป็ นเอง ▪ ขณะเดียวกนั ทรงต้งั สภาทป่ี รึกษาคือ “อภริ ัฐมนตรีสภา” ประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงไว้วางพระราช หฤทัย ๕ พระองค์ และทรงต้ังสภากรรมการองคมนตรี ประกอบด้วยพระบรมมาวงศานุวงศ์และขนุ นางระดบั เจ้าพระยา รวม ๙ นาย เพื่อให้คาปรึกษาต่างๆและทรงปรับปรุงหน้าทีข่ องสภากรรมการองคมนตรีให้มหี น้าทีพ่ จิ ารณา ร่างกฎหมายต่างๆคล้ายกับสภานติ บิ ญั ญัติ จนกระทัง่ ในวันที่ ๒๔ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎร์ได้ทาการ เปลีย่ นแปลงการปกครองเป็ นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งดาเนนิ การต่อมาจนถึงปัจจบุ ัน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook