Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาวัดผล

วิชาวัดผล

Published by aseesah261236, 2021-07-03 04:44:21

Description: วิชาวัดผล

Search

Read the Text Version

ความหมายและความสัมพนั ธ์ของการวดั และการประเมนิ ผล ในยุคแรกของการใช้การประเมินผล คือ ต่ังแต่ ค.ศ.1950 การประเมินผลจะเป็ น การทดสอบไอคิวเป็ นหลกั ผลจากการวดั จะบอกความสามารถได้วา่ ความฉลาดอยู่ในระดบั ใด ดงั น้ี ความหมายด้งั เดิมของการประเมินผลคือการวดั ผล (Measurement) น่ั น เ อ ง ซ่ึ ง ใ น ปัจจุบนั ไม่ค่อยมีผูใ้ ดใช้คานิยามน้ีแล้ว อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบนั ยงั มีนกั การศึกษาหลายท่านท่ี มกั เขา้ ใจสับสนเกี่ยวกบั ความหมายของคาวา่ การวดั และการประเมินผลอยเู่ สมอ ๆ ความหมายของ การวดั ไดม้ ีผใู้ หค้ านิยามตา่ ง ๆ ดงั น้ี เคอร์ลินเจอร์ (Kerlinger) ไดก้ ล่าวไวว้ า่ การวดั ผลการศึกษาคือการกาหนดวดั ตวั เลขแก่ ส่ิงของหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์ กลิ เฟร์ด (Guildford) ใหค้ วามหมายไวอ้ ยา่ งกวา้ ง ๆ วา่ เป็นการพิจารณาหรือตีคา่ ขอ้ มูลใน รูปของตวั เลข อีเบลและฟริสบาย (Ebel and Frisbie) ให้ความหมายว่า การวดั เป็ นกระบวนการ กาหนดตวั เลขหรือสัญลกั ษณ์ท่ีมีความหมายแทนคุณลกั ษณะของส่ิงที่วดั โดยอาศยั กฎเกณฑ์อยา่ งใด อยา่ งหน่ึง (อา้ งจากบุญธรรมกิจปรีดาบริสุทธ์ิ) ไพศาล หวังพานิช ไดก้ ล่าววา่ การวดั ผลการศึกษาคือ กระบวนการในการกาหนดหรือ หาจานวนปริมาณ อนั ดบั หรือรายละเอียดของคุณลกั ษณะหรือพฤติกรรมความสามารถของบุคคล โดยใช้เคร่ืองมือเป็ นหลักในการวดั และโดยทัว่ ไป การวดั ผลจะมีอยู่ 2 อย่างคือ การวดั ผล ทางกายภาพศาสตร์ ซ่ึงเป็ นการวดั เพื่อหาจานวนปริมาณของส่ิงต่าง ๆ ท่ีเป็ นรูปธรรม เช่นน้าหนกั มกั มีเครื่องมือท่ีใหผ้ ลเช่ือถือไดแ้ ละมีหน่วยการวดั แน่นอน และการวดั ผลทางสังคมศาสตร์ ซ่ึง เป็ นการวดั เพ่ือหาจานวนหรือคุณภาพของสิ่งท่ีเป็ นนามธรรม ไม่มีตวั ตนแน่นอน เช่น ความรู้ และเคร่ืองมือที่ใช้ในการวดั ผลประเภทน้ีมกั ให้ผล เช่ือถือได้ต่า เน่ืองจากไม่มีหน่วยการวดั ที่ แน่นอนและสิ่งที่วดั จะเปลี่ยนแปลงไดง้ ่าย ผลการวดั อาจเกิดความผิดพลาด (errors) ไดม้ ากกวา่ การวดั ผลทางกายภาพศาสตร์ อุทุมพร ทองอุไทย ให้ความหมายของการวดั วา่ เป็ นกระบวนการท่ีนาตวั เลข มาเกี่ยวขอ้ ง กบั ลกั ษณะหรือคุณสมบตั ิของวตั ถุ คน หรือสิ่งของท่ีจะวดั การวดั จึงตอ้ งมีลกั ษณะดงั น้ี (1) ตอ้ ง มีกลุ่มของวตั ถุ คน หรือสิ่งของ (2) มีคุณสมบตั ิของลกั ษณะที่จะวดั (3) มีการกระทาเป็ น ตวั เลขหรือสญั ลกั ษณ์กบั ลกั ษณะของวตั ถุ คน หรือส่ิงของน้นั และ (4) ตอ้ งพิจารณาถึงธรรมชาติ ตลอดจนนาตงั เลขหรือสัญลกั ษณ์เหล่าน้นั ไปใช้

ความสัมพนั ธ์ระหว่างการสอนกบั การวดั และประเมนิ ผล การวัดและประเมินผลมีความสัมพันธ์กับการสอนอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากใน การจดั การเรียนการสอนระดับช้ันเรียนเพ่ือให้ผูเ้ รียนบรรลุจุดประสงค์น้ัน ครูผูส้ อนควรมี การตรวจสอบโดยวดั และประเมินความรู้ความเขา้ ใจ และทกั ษะพ้ืนฐานของผเู้ รียนแตละคนก่อนท่ี จะสอนรายวชิ าหรือหน่วยการเรียนน้นั ๆ เพ่ือตรวจสอบความรู้พ้ืนฐานของผูเ้ รียน กล่าวคือจะได้ ทราบวา่ ความรู้ความสามารถของผูเ้ รียนในเร่ืองใดท่ียงั ขาดและตอ้ งรีบเสริมให้เกิดข้ึนก่อน หรือ ความรู้ความสามารถใดรู้แลว้ จะไดไ้ ม่ตอ้ งเรียนซ้า เพื่อจะไดว้ างแผนและจดั การเรียนการสอนให้ เหมาะสมกบั ผเู้ รียนก่อนการสอนจริง ซ่ึงจะมีผลทาใหผ้ เู้ รียนสามรถบรรลุจุดประสงคไ์ ดด้ ีข้ึน ในขณะท่ีดาเนินการสอน ครูผสู้ อนยงั สามารถทาการวดั และประเมินผลผเู้ รียนเป็นระยะ ๆ เพื่อจะไดท้ ราบความกา้ วหนา้ และปัญหาในการเรียนเรื่องน้นั ๆ ของผูเ้ รียน จะไดแ้ ก่ไขซ่อมเสริม ก่อนท่ีจะเรียนเร่ืองอ่ืนต่อไป นอกจากน้ีผลจากการวดั และประเมินยงั ช่วยครูผูส้ อนในการปรับปรุง การสอนของตนให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของผู้เรียนอีกด้วย การวดั และ ประเมินผลระยะน้ีมกั จะกระทาหลกั จากจบบทเรียนในแต่ละช่วง หรือหลงั จากจบเน้ือหาในแต่ละ ตอน ซ่ึงไมจ่ าเป็นตอ้ งใชเ้ วลามากมายในการวดั หลงั จากเสร็จสิ้นการเรียนการสอนแล้ว ครูผูส้ อนยงั สามารถจดั ทาการวดั และประเมิน ผูเ้ รียน เพ่ือตรวจสอบว่าผูเ้ รียนมีพฤติกรรมหรือคุณสมบัติตรงตามท่ีได้ระบุไวใ้ นจุดประสงค์ หรือไม่ เก่ง/อ่อนในเร่ืองใด ครูผูส้ อนจะได้นาไปปรับปรุงการสอนโดยส่วนรวมในคร้ังต่อไป การวดั และประเมินผลในระยะน้ีมกั จะกระมาเมื่อสิ้นสุดการสอนในหน่ึงภาคเรียน หรือเม่ือจบ เน้ือหารายวชิ าเป็นส่วนใหญ่ จากข้อความดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้ว่าการวดั และประเมินผลภาคเรียนมีความสัมพันธ์ กบั การสอนใน 3 ระยะดงั นี้ 1. ก่อนการสอน 2. ขณะดาเนินการสอน 3. หลงั การสอนสิ้นสุดลง ข้นั ตอนในการวดั และประเมนิ ผลการเรียน 1. การกาหนดจุดประสงค์ในการวดั และประเมินผลการเรียน ก่อนที่จะวดั และประเมินผล การเรียนของนกั เรียน ครูผูส้ อนควรจะกาหนดจุดประสงคก์ ่อนวา่ จะวดั อะไร วดั แคไ่ หน และ วดั เพื่ออะไร (ซ่ึงการกาหนดจุดประสงค์ในการวดั และประเมินผลการเรียนควรให้สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ในการสอน) เพราะการสอนกบั การวดั และประเมินผลเป็ นกิจกรรมท่ีต่อเน่ืองกัน

ดังน้ัน เมื่อจุดประสงค์ในการสอนช่วยครูผูส้ อนให้มีเป้าหมายในการสอนชัดเจน ก็ย่อมเป็ น ประโยชน์ต่อการวดั และประเมินผลดว้ ย 2. การเลือกและสร้างเครื่องมือ เมื่อทราบว่าการวดั และประเมินผลคร้ังน้ีมีจุดมุ่งหมาย อยา่ งไร และตอ้ งการจะวดั คุณลกั ษณะหรือพฤติกรรมใดของผูเ้ รียน ข้นั ต่อไปก็ควรพิจารณาว่า ในการวดั คุณลกั ษณะหรือพฤติกรรมที่กาหนดไวน้ ้นั ควรใชเ้ คร่ืองมืออะไรบา้ งจึงจะวดั ไดต้ รงตาม ความตอ้ งการอย่างครบถ้วน เพราะเคร่ืองมือในการวดั มีหลายอย่าง บางอย่างก็เหมาะสมกับ การวดั พฤติกรรมบางชนิด การวดั แต่ในละคร้ังจึงตอ้ งเลือกเคร่ืองมือใหเ้ หมาะสม หรืออาจตอ้ งใช้ เคร่ืองมือหลาย ๆ ชนิดประกอบกนั เพือ่ วดั พฤติกรรมดา้ นตา่ ง ๆ ครบทุกดา้ นตามจุดประสงค์ 3. การนาเคร่ืองมือไปทาการสอบวัดผู้เรียน ครูผู้สอนหรือผู้คุมสอบควรจัดเตรียม สภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เพ่ือให้นกั เรียนทาขอ้ สอบหรือแกป้ ัญหาไดอ้ ย่างเต็มความสามารถ ไมใ่ หส้ ิ่งรบกวนสมาธิหรือเวลาของผเู้ ขา้ สอบ รวมท้งั กาหนดเวลาสอบใหเ้ หมาะสม 4. การตรวจและนาผลเปรียบเทียบกับเกณฑ์ ในข้นั น้ีเป็ นการรวบรวมและแปลงคาตอบ ของผูเ้ รียนให้เป็ นคะแนนแลว้ จดบนั ทึกไว้ จากน้นั จึงรวบรวมคะแนนของผูเ้ รียนท่ีไดจ้ ากการวดั ทุกชนิดจากทุกระยะมาเปรียบเทียบกบั เกณฑท์ ี่กาหนดไว้ 5. การประเมินผล เป็นการตดั สินวา่ ผเู้ รียนมีความสามรถขนาดไหน สูงหรือต่ากวา่ เกณฑ์ แต่ละคนไดเ้ กรดอะไร ผเู้ รียนส่วนใหญ่มีผลการเรียนเป็นเช่นไร วธิ ีการวดั ผลการเรียน การประเมินผลท่ีดีควรมีขอบเขตกวา้ งขวางและใชว้ ธิ ีการหลาย ๆ แบบ ท้งั น้ีเพ่ือใหค้ รูได้ วดั ผลอย่างถูกต้อง วิธีการวดั ผลการเรียนมีหลายอย่างเร่ิมต้งั แต่การสังเกตไปจนถึงการทดสอบ ซ่ึงพอจะจาแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดงั น้ี 1. การวดั โดยใชก้ ารทดสอบ 2. การวดั โดยไมใ่ ชก้ ารทดสอบ 1. การวัดโดยใช้ การทดสอบ เป็ นการวดั โดยมีแบบทดสอบ (Test) เป็ นเคร่ืองมือใน การวดั แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ 1.1 แบบทดสอบวัดผลสั มฤทธ์ิ (Achievement Test) เป็ นข้อสอบท่ีมุ่งวัด คุณลักษณะทางด้านความรู้ความคิดและความสามารถ หรือพุทธิพิสัย แบ่งเป็ น 2 ชนิดคือ (1) แบบทดสอบที่ครูสร้างเอง (Teacher-made Test) ซ่ึงเป็ นแบบทดสอบที่ครูสร้างข้ึนเพื่อ ทดสอบความรู้ ความสามารถ และทกั ษะของนกั เรียนในช้นั เรียน สอบเสร็จแลว้ ก็อาจทิ้งไปแลว้ สร้างใหม่ในการสอบคราวหน้า หรือปรับปรุงดงั แปลงขอ้ สอบเก่ามาใช้ใหม่ (2) แบบทดสอบ

มาตรฐาน (Standardized Test) ซ่ึงเป็ นแบบทดสอบที่สร้างและผ่านกระบวนการพฒั นาจนมี คุณภาพได้ มาตรฐาน ส่วนใหญจ่ ะใชใ้ นการวดั ผลสมั ฤทธ์ิแบบรวบยอด 1.2 แบบทดสอบวดั ความถนัดและเชาว์ปัญญา (Aptitude and Intelligence Test) เป็ นขอ้ สอบที่มุ่งวดั คุณลกั ษณะทางดา้ นพุทธิพิสัยและทกั ษะพิสัย เป็ นขอ้ สอบท่ีวดั ความสามารถ ของนกั เรียนวา่ จะเรียนไดม้ ากนอ้ ยแค่ไหน หรือมีความถนดั ในทางใด 1.3 แบ บ ท ด ส อบ วัด บุ ค ลิกภ าพ (Personality Test) ห รื อวัด การป รั บ ตั ว (Adjustment Test) บางตาราก็เรี ยกว่า แบบทดสอบบุคลิกภาพและสถานภาพทางสังคม (Personal-social Test) แบบทดสอบชนิดน้ีใช้เป็ นเคร่ืองมือในการวดั คุณลกั ษณะดา้ นความรู้สึก หรือจิตพิสัย เช่น เจตคติ ค่านิยม ความเชื่อ ฯลฯ และวดั บุคลิกภาพของบุคคล เช่น การปรับตวั ในสังคม ฯลฯ ส่วนรูปแบบ (format) ของขอ้ สอบมี 3 รูปแบบเช่นกนั คือ (1) ขอ้ สอบแบบปากเปล่า (Oral Test) ซ่ึงเป็ นการสอบแบบใชว้ าจาหรือคาพูดระหว่างผูส้ อบและผูถ้ ูกสอบโดยตรง มกั ตอ้ ง สอบเป็ นรายบุคคล (2) ข้อสอบแบบข้อเขียน (Written Test) ซ่ึงแบ่งเป็ นแบบความเรียงหรือ ท่ีเรียกว่าอตั นัยและปรนัย ซ่ึงผูส้ อบตอ้ งเขียนหรือทาเคร่ืองหมายในแบบทดสอบ (3) ขอ้ สอบ แบบภาคปฏิบตั ิ (Performance Test) ซ่ึงเป็ นการสอบโดยใหผ้ สู้ อบแสดงพฤติกรรมดว้ ยการปฏิบตั ิ จริง มกั เน้นในวิชาท่ีมีภาคปฏิบตั ิเป็ นหลกั เช่น ศิลปะ ดนตรี พละ เป็ นต้น ขอ้ สอบแบบน้ี เหมาะใช้วดั ดา้ นทกั ษะพิสัย แต่ผูส้ อนตอ้ งไม่คานึงแต่ดา้ นผลปฏิบตั ิ (product) เท่าน้นั ควรเน้น ดา้ นวธิ ีการปฏิบตั ิ (procedure) ดว้ ย 2. การวดั ไม่ใช้การทดสอบ เป็นการวดั โดยวธิ ีเหล่าน้ีคือ 2.1 การสอบถาม (Questioning) เป็ นการใช้รายการคาถามท่ีเตรียมไวเ้ ป็ นชุดเพ่ือถาม ในเรื่องใดเรื่องหน่ึง แล้วส่งไปให้ผูต้ อบหรือนักเรียนอ่านและเขียนตอบส่งกลบั มา มกั ใช้ถาม ขอ้ เท็จจริง (facts) และความคิดเห็นต่าง ๆ (พุทธิพิสัยและจิตพิสัย) ครูอาจใชเ้ ครื่องมือซ่ึงไดแ้ ก่ แบบสอบถามแบบปิ ด (Closed form) คือเป็ นแบบสอบถามท่ีคาถามแตละขอ้ มีตวั เลือกหรือคาตอบ ให้นักเรียนเลือกตอบ หรือใช้แบบสอบถามเปิ ด (Open-ended form) คือเป็ นแบบสอบถามท่ี คาถามแต่ละขอ้ เวน้ ท่ีใหผ้ ตู้ อบเขียนคาตอบลงไปเอง มกั ใชก้ บั การเรียนการสอนในระดบั สูง 2.2 การสัมภาษณ์ (Interview) เป็ นการพูดคุย สนทนา หรือซกั ถามกนั ระหวา่ งครูกบั นกั เรียนหน่ึงคนหรือมากกว่าหน่ึงคนข้ึนไปอาจเป็ นการสัมภาษณ์แบบเป็ นทางการหรือไม่เป็ น ทางการก็ได้ และอาจมีการกาหนดคาถามต่าง ๆ ไวล้ ่วงหนา้ หรือไม่มีการกาหนดคาถามที่แน่นอน แต่มีเพียงประเด็นคาถามต่าง ๆ ไวล้ ่วงหน้า หรือไม่มีการกาหนดคาถามท่ีแน่นอนแต่มีเพียง ประเด็นคาถามกวา้ ง ๆ เพ่ือใช้เป็ นแนวทางการสัมภาษณ์เท่าน้นั ก็ได้ ในการสัมภาษณ์น้นั หากใช้ วดั คุณลักษณะทางด้านจิตพิสัย เช่น ความคิดเห็นหรือความรู้สึกนึกคิดในเรื่องใดเรื่องหน่ึง จะเรียกวา่ “การสัมภาษณ์” แต่หากคาถามท่ีใชถ้ ามเป็ นการวดั คุณลกั ษณะทางดา้ นความรู้ความคิด

(พุทธิพิสัย) หรือตอ้ งการทราบระดบั การเรียนรู้ของนักเรียน จะเรียกว่า “การสอบปากเปล่า” (Oral Testing) 2.3 การสังเกต (Observation) เป็ นการใชป้ ระสาทสัมผสั ท้งั ห้าศึกษาพฤติกรรมต่าง ๆ ของนกั เรียนท้งั ในและนอกหอ้ งเรียน โดยท่ีครูอาจมีส่วนร่วมในกิจกรรมของนกั เรียน หรือไม่ได้ เขา้ ไปมีส่วนร่วมอยา่ งเช่นการสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนขณะที่กาลงั เล่นเกมส์ต่าง ๆ ก็ได้ และ การสังเกตพฤติกรรมนักเรียนของครูน้ันอาจจะเฝ้าดูพฤติกรรมต่าง ๆ โดยที่ไม่ได้กาหนด จุดประสงคข์ องการสังเกตไวล้ ่วงหนา้ ไม่ไดว้ างแผนวา่ จะสังเกตอะไร แต่จะจดบนั ทึกพฤติกรรม ท่ีสังเกตไดท้ ้งั หมด หรือครูอาจจะเฝ้าดูอยา่ งมีการเตรียมการในส่ิงท่ีตอ้ งการสังเกตุหรือจะเฝ้าดูไว้ ล่วงหนา้ แลว้ จดบนั ทึกเฉพาะขอ้ มูลที่ตอ้ งการศึกษาเท่าน้นั มกั ใชว้ ดั คุณลกั ษณะทางดา้ นจิตพิสัย และทกั ษะพสิ ยั 2.4 การวัดผลงาน (Product Evaluation) บางทีเรียกวา่ “การตรวจผลงาน” เป็ นการ วดั พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนในด้านรูปธรรมมากกว่านามธรรม นักเรียนตอ้ งมีผลงาน ท่ีใช้วดั ส่วนผูป้ ระเมินหรือผูต้ รวจผลงานตอ้ งต้งั เกณฑ์ในการวดั ไวล้ ่วงหน้า ซ่ึงในแต่ละเกณฑ์ อาจมีน้าหนกั เท่ากนั หรือไมเ่ ท่ากนั ก็ได้ เช่น ถา้ ผลงานน้นั ๆ มุ่งท่ีความประฌีตสวยงาม เกณฑใ์ น ขอ้ น้ีจะมีคา่ น้าหนกั สูงกวา่ เกณฑอ์ ่ืน ๆ เป็นตน้ ลกั ษณะทดี่ ขี องการวดั และประเมนิ ผลการเรียน ในการวดั และประเมินผลการเรียนของนักเรียน ครูผูส้ อนต้องดาเนินให้ถูกต้องตาม หลกั การ การวดั และประเมินผลการเรียนท่ีดีน้นั มีลกั ษณะดงั น้ี 1.)การวดั และประเมินผลตอ้ งยดึ จุดประสงคเ์ ป็นหลกั 2.)การวดั ผลการเรียนของนกั เรียนบางดา้ น เช่น ดา้ นจิตพิสัย ดา้ นทกั ษะพิสัย ไม่ควรใช้ เครื่องมือเพียงอย่างเดียว เช่น ขอ้ ทดสอบ ควรใชว้ ิธีการวดั ผลวิธีอื่น ๆ ประกอบดว้ ย เพ่ือให้ได้ ขอ้ มูลเพียงพอสาหรับการประเมินผลการเรียน 3.)การวดั และประเมินผลการเรียนของนกั เรียนควรดาเนินการบ่อยคร้ัง อาจดาเนินการท้งั ก่อนเรียน ระหวา่ งเรียน และภายหลงั การเรียน 4.)เครื่องมือท่ีใชว้ ดั ผลการเรียนของนกั เรียนควรมีการปรับปรุงแกใ้ ขเพอื่ ใหเ้ หมาะสมยงิ่ ข้ึน 5.)นกั เรียนคนใดมีขอ้ บกพร้องหรือจุดอ่อน ซ่ึงทาใหไ้ ม่ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน ครูควรหา วธิ ีการแกไ้ ขขอ้ บกพร้องเหล่าน้นั เช่น การสอนซ่อมเสริม เป็นตน้ 6.)ครูต้องนาผลท่ีได้จากการวดั และประเมินผลการเรียนมาเป็ นข้อมูลในการปรับปรุง การสอนของครูใหด้ ีข้ึน 7.)ครูควรเตรียมหรือสร้างเคร่ืองมือวดั ผลแล้วต้งั เกณฑ์ไวล้ ่วงหน้า และใช้เครื่องมือ วดั ผลอยา่ งมีประสิทธิภาพ และสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์

8.)การวดั และประเมินผลการเรียนของนกั เรียนบางวิธีควรใชภ้ าษาหรือถอ้ ยคา และเวลา ให้เหมาะสมกบั วุฒิภาวะและระดบั ช้ันของนักเรียน เช่น การสัมภาษณ์หรือการสอบปากเปล่า การใชข้ อ้ ทดสอบ เป็นตน้ ประโยชน์ของการวดั และประเมนิ ผลการเรียน การวดั และประเมินผลการเรียนของผูเ้ รียนมีประโยชน์อย่างมากท้งั แก่ผูเ้ รียน ครูผูส้ อน ผบู้ ริหารและบุคคลที่เก่ียวขอ้ งกบั การศึกษาซ่ึงสรุปไดด้ งั น้ี 1. ประโยชน์ต่อผู้เรียน ทาให้ผูเ้ รียนรู้ระดับความสามรถในแต่ละด้านและภาพรวม ของตน รู้สิ่งที่บกพร่องที่ควรแกไ้ ขหรือซ่อมเสริม เป็ นขอ้ มูลประกอบการตดั สินใจ ในการเลือกวิชาเอก โปรแกรม หรือวิชาต่าง ๆ ต่อไป รวมท้งั กระตุน้ ให้ต่ืนตวั ใน การเรียนยงิ่ ข้ึน 2. ประโยชน์ต่อครูผู้สอน ทาให้รู้พ้ืนฐานความรู้ความสามรถของผูเ้ รียน เป็ นขอ้ มูล ในการพิจารณาสอนซ่อมเสริมแกผ้ เู้ รียน ช่วยให้สามารถแกไ้ ขขอ้ บกพร่องของผเู้ รียน ไดต้ รงจุด ช่วยในการจดั กลุ่มผูเ้ รียนเพื่อทากิจกรรมการเรียนการสอนอยา่ งเหมาะสม นอกจากน้ียงั ช่วยให้ครูผูส้ อนทราบคุณภาพการสอนของตนและสามารถปรับปรุง แกไ้ ขวธิ ีการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพยง่ิ ข้ึน 3. ประโยชน์ต่อครูแนะแนว ช่วยให้รู้จุดเด่น ขอ้ บกพร่องหรือปัญหา และรายละเอียด ต่าง ๆ ของผูเ้ รียนอันเป็ นประโยชน์ต่อการให้คาแนะนาปรึกษาช่วยเหลือ ช่วยใน การสารวจความถนดั และความสนใจของผูเ้ รียนช่วยในการแนะแนวท้งั ดา้ นการเรียน และอาชีพ 4. ประโยชน์ต่อผู้บริหาร ช่วยใหร้ ู้สถานภาพทางการศึกษาท่ีแทจ้ ริงของสถานศึกษา ช่วย ทาใหเ้ ห็นขอ้ บกพร่องต่างๆ ในดา้ นการเรียนการสอนที่ควรปรับปรุง ใชเ้ ป็ นขอ้ มูลใน การวางแผนการปฏิบตั ิงานในดา้ นต่าง ๆ ของสถานศึกษา ใชเ้ ป็นขอ้ มูลในการรายงาน ผลการเรียนแก่ผปู้ กครองและผบู้ ริหารในระดบั ต่าง ๆ รวมท้งั ยงั เป็ นขอ้ มูลช่วยในการ ประเมินผลการปฏิบตั ิงานของบุคคลท้งั หลายในสถานศึกษา

แหล่งอา้ งอิง : ใจทิพย์ เชื่อรัตนพงษ์ (2539). การพัฒนาหลักสูตร : หลักการและแนวปฏิบัติ. จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , อลีน เพรส, กรุงเทพฯ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook