ข้ันสรุป ขน้ั น�ำ ข้ันตอนที่ 1 กระตนุ้ และการสรา้ งแรงจูงใจ ในการเรยี นรู้ที่มปี ระสทิ ธภิ าพ ข้นั ตอนท่ี 4 แนวคดิ หลักการ ข้ันตอนท่ี 2 การให้ข้อมลู ยอ้ นกลับ ทฤษฎี การใหข้ ้อมูล การตรวจสอบ เพอื่ กระตุ้นความกา้ วหนา้ ความเข้าใจ ย้อนกลับ ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพ ในการเรียน ที่มีประสทิ ธิภาพ ทมี่ ีประสิทธภิ าพ ขั้นตอนท่ี 3 ขน้ั สอน การให้ขอ้ มลู ย้อนกลับ ทีม่ ีประสทิ ธิภาพ กระบวนการเรยี นการสอนและการประเมินระหวา่ งเรียน การประเมินเพือ่ เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั เพอ่ื ส่งเสริมการเรยี นรู้ 43
รปู แบบการประเมนิ ระหว่างเรยี นทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ เป้าหมายที่จะพัฒนานักเรียน ลดช่องว่างระหวา่ งเป้าหมายทค่ี าดหวัง ผลลพั ธท์ จ่ี ะเกิดขึ้นกบั นกั เรยี น กับความเขา้ ใจ ทกั ษะของนักเรยี น วเิ คราะห์จากมาตรฐาน/ตวั ชี้วดั วิธีการ/แนวทาง ในการลดช่องวา่ ง ครู นกั เรยี น ก�ำหนดเป้าหมายเฉพาะทท่ี ้าทายและเหมาะสม ใชค้ วามพยายามท่ีจะท�ำกิจกรรม ที่มปี ระสทิ ธภิ าพ หรือละทง้ิ เป้าหมายเดิม กับนักเรียน หรือใช้ระบบการประเมิน เพ่ือพฒั นานกั เรียน ตง้ั เป้าหมายให้สงู ขน้ึ เทคนคิ การใหข้ ้อมูลเพือ่ พัฒนานกั เรียน กระต้นุ และการสร้าง การตรวจสอบ การใหข้ อ้ มลู การให้ข้อมลู แรงจูงใจในการเรียนรู้ ความเขา้ ใจเพอื่ พฒั นา ยอ้ นกลบั ย้อนกลบั เพอื่ กระตุ้น (Feed-Up) การเรยี นรู้ (Checking (Feedback) ความก้าวหน้า for Understanding) ในการเรียน (Feed-Forward) ทีม่ า : From visible learning : A synthesis of over 800 meta-analyses relating to achievement (p. 176), by J. Hattie, 2009, New York : Routledge. Copyright 2009 by Routledge. Adapted with permission. 44 การประเมนิ เพอื่ เรยี นรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ย้อนกลับเพื่อส่งเสรมิ การเรยี นรู้
รปู แบบการประเมนิ ระหว่างเรียนทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ การประเมินระหว่างเรยี น มีจุดมุง่ หมายเพื่อพฒั นาการเรียนรู้ของนกั เรยี นอย่างต่อเนอื่ ง การให้ข้อมูลแก่นักเรียนเป็นองค์ประกอบส�ำคัญของการประเมินเพ่ือเรียนรู้หรือการประเมิน ระหว่างเรียนท่ีมีผลต่อการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การให้ข้อมูลแก่นักเรียนมีประโยชน์ ต่อการเรียนการสอน ซ่งึ ไมม่ กี ฎเกณฑ์ตายตวั แตข่ ้ึนอยกู่ บั บริบทของการจดั การเรยี นรู้ การให้ข้อมลู แกน่ กั เรียนทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพจะตอ้ งตรงประเด็น อธบิ ายผลทเ่ี กิดตามจริง และทันเวลา เพอ่ื นักเรียน จะได้แก้ไขได้ทันท่วงที จะไม่ตัดสินว่าถูก-ผิด แต่จะบอกให้นักเรียนเห็นประเด็นตามเกณฑ์ แล้วสรุปการปฏิบัติของตนเองว่าเป็นอย่างไร ห่างจากเป้าหมายอย่างไร และต้องท�ำอะไรต่อไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการให้ข้อมูลแก่นักเรียนที่มีประสิทธิภาพส่งเสริมให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ ไดด้ ว้ ยตนเอง และสง่ เสริมการเรียนรู้ตลอดชวี ิต เพราะนกั เรียนไดฝ้ กึ ฝนการประเมินตนเอง อยา่ งไร ก็ตาม Nancy Frey and Douglas Fisher (2011) ปรับปรุงจาก Hattie and Timperley ไดเ้ สนอรปู แบบการประเมนิ ระหวา่ งเรยี นทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพวา่ การใหข้ อ้ มลู แกน่ กั เรยี นมอี งคป์ ระกอบ 4 ขน้ั ตอน คอื ดังน้ี ข้ันที่ 1 กระตุ้นและการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ (Feed-Up) โดยแจ้งจุดประสงค์ การเรียนรู้และการประเมินที่ชัดเจนเพ่ือให้นักเรียนเห็นคุณค่าในการเรียนรู้และการประเมิน ท�ำให้ครูม่ันใจได้ว่านักเรียนมีความเข้าใจจุดประสงค์การเรียนรู้ ความคิดรวบยอด ภาระงาน และ การประเมนิ ผล ขน้ั ที่ 2 การตรวจสอบความเขา้ ใจเพอ่ื พฒั นาการเรยี นรู้ (Checking for Understanding) โดยการพูด ตอบคำ� ถาม การนำ� เสนอ การเขียน ฯลฯ ขัน้ ท่ี 3 การใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั (Feedback) เปน็ การให้ข้อมลู สารสนเทศ การให้ขอ้ มูล สารสนเทศเกี่ยวกับความส�ำเร็จและส่ิงท่ีจ�ำเป็นต้องได้รับการพัฒนาหรือปรับปรุงแก้ไขแก่นักเรียน (Feedback) ข้ันท่ี 4 ให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือกระตุ้นความก้าวหน้าในการเรียน (Feed-Forward) เป็นการให้ค�ำแนะน�ำ ชี้แนะแนวทางบนพ้ืนฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์เพ่ือกระตุ้นให้นักเรียน เกดิ พฒั นาการเรยี นรู้ที่สูงขึน้ การประเมนิ เพ่ือเรยี นรู้ : การต้ังคำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพอ่ื สง่ เสรมิ การเรยี นรู้ 45
รูปแบบการให้ข้อมลู ยอ้ นกลับเพื่อสง่ เสรมิ การเรียนรู้ วัตถุประสงค์ เพื่อลดความขัดแยง้ ระหว่างความเข้าใจ/การปฏบิ ัติในปัจจบุ นั กับเป้าหมายที่ตอ้ งการ ความขัดแย้งสามารถลดไดโ้ ดย นักเรียน เพ่มิ ความพยายามหรือใชก้ ลยทุ ธ์การทำ� งานท่ีมปี ระสิทธิภาพมากข้นึ หรือละทิ้งเปา้ หมาย หรอื ลดเปา้ หมายทค่ี ลุมเครอื ครู จัดเตรียมเปา้ หมายท่ีทา้ ทายหรอื เป้าหมายท่เี ฉพาะเจาะจง การช่วยนกั เรียน ใหบ้ รรลุเปา้ หมายโดยใช้ e-learning ที่มีประสิทธภิ าพและการใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั การสะทอ้ นกลับท่มี ีประสทิ ธภิ าพ ฉันก�ำลังไปท่ีไหน (เป้าหมาย) Feed-Up ฉนั จะไปอยา่ งไร Feedback ฉนั จะไปทไ่ี หนตอ่ Feed-Forward คำ� ถามการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั แต่ละข้อ ประกอบดว้ ย 4 ระดบั ระดบั ท่ี 1 ระดับที่ 2 ระดับท่ี 3 ระดับที่ 4 ระดับภาระงาน ระดบั กระบวนการ ระดับการก�ำกับตนเอง ระดบั ตนเอง ความเขา้ ใจ/ กระบวนการหลัก ประกอบดว้ ย การประเมินตนเอง การปฏิบัติ จ�ำเปน็ ต้องมี การเตือนตนเอง และเจตคติ ในภาระงาน ความเขา้ ใจ/ ควบคุมและกำ� กับ (ทางบวก) ดอี ยา่ งไร การปฏบิ ตั ิ การกระท�ำ เก่ียวกับการเรยี นรู้ ในภาระงาน ท่มี า : Hattie, J. and Timperley, H. (2007). The Power of Feedback. Review of Educational Research, 77-87. 46 การประเมินเพือ่ เรยี นรู้ : การตงั้ คำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับเพื่อส่งเสรมิ การเรียนรู้
การจัดการเรยี นรูก้ บั เทคนคิ การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั นกั เรียน ขนั้ น�ำ กระตุ้นและการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ ขั้นสอน - การสงั เกต ข้นั สรปุ - ซักถาม - การแสดงออก - กิจกรรม การใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั - ภาระงาน - กระบวนการภาระงาน - การควบคมุ ตนเอง - การเปน็ ตัวตนของตนเอง การตรวจสอบความเขา้ ใจ - การสงั เกต ซกั ถาม - การพดู การนำ� เสนอ - การเขียน - กระบวนการท�ำงาน - โครงงาน - กระบวนการท�ำงาน การใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับเพือ่ กระตุ้น ความกา้ วหนา้ ในการเรียน - ครแู ละนกั เรยี นสะท้อนผลประเมนิ ตนเอง การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับเพื่อกระตนุ้ ความก้าวหนา้ ในการเรยี น - การเสริมแรงเพื่อการปรบั ปรงุ พัฒนา เรียนรตู้ ่อยอด การประเมินเพอ่ื เรียนรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลบั เพื่อสง่ เสริมการเรยี นรู้ 47
ตัวอยา่ งการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 4 เรอ่ื ง การประยกุ ต์ใชป้ รชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งในการดำ� รงชวี ิต มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้วี ัด ส 3.1 ป.4/2 การประยุกต์ใช้ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งในการดำ� รงชีวติ ส 3.1 ป.4/3 อธบิ ายหลักการของเศรษฐกิจพอเพยี งและนำ� ไปใช้ในชวี ติ ประจ�ำวนั ของตนเอง ภาระงาน/ช้ินงาน จัดท�ำหนังสือเล่มเล็ก เรื่อง การด�ำเนินชีวิตในครอบครัวของนักเรียนท่ีสอดคล้องกับ หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการแต่งกาย การกนิ อาหาร และการใชจ้ า่ ย เกณฑ์การประเมิน หนังสือเล่มเล็ก เร่ือง การด�ำเนินชีวิตในครอบครัวของนักเรียนท่ีสอดคล้องกับหลักการ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง ประเด็นประเมนิ ดี (3) ระดับคณุ ภาพ ปรบั ปรุง (1) พอใช้ (2) 1. ความถูกตอ้ ง เนอื้ หาครอบคลมุ เนื้อหาครอบคลุม เนื้อหาผิดมากกว่า ของเนอื้ หา ถูกต้องท้งั หมด แตผ่ ดิ บางสว่ น 3 ส่วนข้ึนไป 2. ความสมบูรณ์ มหี วั ขอ้ ครบถ้วน และ ขาด 1-2 หวั ข้อ ขาด 3 หวั ข้อขนึ้ ไป ของช้ินงาน เรยี งล�ำดับได้ถูกตอ้ ง แตเ่ รียงล�ำดบั ได้ถูกต้อง และเรียงลำ� ดับ ตามทีก่ �ำหนด สะอาด ตามที่กำ� หนด สะอาด สลับหวั ข้อ ไม่เป็นไป เรยี บรอ้ ยทุกส่วน เรียบร้อยเปน็ ส่วนใหญ่ ตามที่ก�ำหนด สะอาด เรียบรอ้ ยเป็นส่วนน้อย 3. ความคิดสร้างสรรค์ ผลงานมีความคดิ ผลงานมีความคดิ ไม่มคี วามคดิ สร้างสรรค์โดยไมซ่ ้�ำ สร้างสรรคข์ องตนเอง สรา้ งสรรค์ ลอกเลียน แบบเพื่อน เป็นส่วนใหญ่ แบบเพอ่ื น 4. อ้างอิงแหลง่ สืบคน้ บอกแหล่งสบื ค้น บอกแหลง่ สบื ค้น ไมบ่ อกแหล่งสบื คน้ ทีเ่ ช่อื ถอื ได้ ทเ่ี ช่อื ถอื ได้ 2 แหล่ง ท่ีเช่อื ถอื ได้ 1 แหลง่ ข้นึ ไป 5. งานเสรจ็ ทนั เวลา สง่ งานตรงตาม สง่ งานชา้ กวา่ ทก่ี �ำหนด ส่งงานชา้ กว่าทก่ี �ำหนด ก�ำหนดเวลา 1-2 วนั 3 วันขน้ึ ไป 48 การประเมินเพอื่ เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั เพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้
ข้ันตอนท่ี 1 : กระต้นุ และการสร้างแรงจงู ใจในการเรียนรู้ องคป์ ระกอบ เทคนคิ 1. กระตุน้ สรา้ งแรงจูงใจ ครเู สนอภาพการแตง่ กาย การกินอาหาร และการใช้จ่าย ทีไ่ มพ่ อเพยี งและแบบพอเพียงของคนกล่มุ ตา่ ง ๆ เช่น นักเรียน นกั ศกึ ษา ชาวบา้ น ฯลฯ แล้วเปรยี บเทียบ ให้เห็นข้อดีขอ้ เสียของการปฏบิ ัตติ นแตล่ ะอยา่ ง อภิปรายหาขอ้ สรุปรว่ มกัน 2. แจ้งจุดประสงค์/ภาระงาน ให้นกั เรียนจดั ทำ� เป็นหนังสอื เล่มเล็ก อธิบายหลกั การของ เศรษฐกิจพอเพยี งและนำ� ไปใช้ในชวี ิตประจำ� วันของตนเอง ในดา้ นการกินอาหาร การแต่งกาย และการใช้จ่าย 3. วิธกี ารประเมนิ และเกณฑ์ ครูอธบิ ายวธิ ีการประเมินและเกณฑโ์ ดยทำ� ความเข้าใจรว่ มกนั 4. สรา้ งความเชอื่ มนั่ ในตนเอง ครเู ช่ือม่นั ในตัวนกั เรียนว่านักเรียนมคี วามเชื่อในหลักปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพยี งและใชช้ วี ิตประจ�ำวนั ตามหลกั การน้นั และสามารถถา่ ยทอดการน�ำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจำ� วัน เป็นหนังสือเล่มเล็กไดอ้ ยา่ งสวยงาม ข้นั ตอนที่ 2 : การตรวจสอบความเขา้ ใจ วิธกี ารตรวจสอบความเข้าใจ เทคนิคของการตรวจสอบความเข้าใจ ใชเ้ ทคนิคเพอื่ นคคู่ ดิ และเขยี น นักเรียนจับคู่คยุ กนั เกยี่ วกับหลกั การของเศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ แผนผังความคดิ และเขยี นเปน็ แผนผังความคดิ น�ำเสนอหนา้ ชั้น ครซู ักถาม และเพอ่ื น ๆ แสดงความคดิ เหน็ และเตมิ เตม็ ขัน้ ตอนที่ 3 : การใหข้ ้อมลู ย้อนกลับ องค์ประกอบการให้ข้อมลู ย้อนกลบั เทคนิคของการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั 1. ใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เกี่ยวกับ - ครตู รวจแผนผังความคดิ และใหน้ ักเรียนแก้ไข ภาระงาน ใหต้ รงตามหลักการเศรษฐกจิ พอเพียงและการน�ำไปใช้ - ครตู รวจหนังสอื เล่มเลก็ ตามเกณฑ์การประเมินหนงั สอื เล่มเลก็ 2. ให้ข้อมลู ย้อนกลบั เกีย่ วกบั ในความสมบรู ณ์ของชน้ิ งานความคิดสรา้ งสรรค์ การอา้ งอิง กระบวนการ แหลง่ สืบค้นทีเ่ ชือ่ ถอื ได้ 3. ให้ขอ้ มูลย้อนกลบั เก่ยี วกบั ตรวจผลงานโดยดูจากความพยายามในการคิดวิเคราะห์ การก�ำกบั ตนเอง อยา่ งสรา้ งสรรค์ และการผลิตชิน้ งาน 4. ใหข้ ้อมลู ย้อนกลับโดยใช้ ครูชื่นชมผลงานและความคดิ ของนักเรียนโดยการจบั ตอ้ ง ภาษากาย ภาษาพูด ผลงาน และการพดู ที่ให้ก�ำลังใจในการพฒั นางานให้ดขี ึ้น การประเมนิ เพอื่ เรียนรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั เพ่อื ส่งเสริมการเรียนรู้ 49
ข้นั ตอนท่ี 4 : การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับเพ่ือกระต้นุ ความก้าวหนา้ ในการเรยี น องค์ประกอบ เทคนคิ การให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เพ่ือกระตุ้นความก้าวหนา้ ในการเรียน การถอดบทเรียน แสดงกระบวนการ - ให้นกั เรยี นเขยี นถอดบทเรยี นในความภาคภูมิใจในผลงาน ในการท�ำหนังสอื เล่มเลก็ ข้อจำ� กัดและขอ้ บกพรอ่ งในผลงาน - ครูตรวจผลงานหนังสือเลม่ เล็กให้ข้อเสนอแนะ ตามเกณฑก์ ารประเมิน - นกั เรียนปรบั ปรงุ ผลงาน และน�ำไปเผยแพรผ่ ลงาน ในห้องเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ช่ัวโมงคณิตศาสตร์ เรียนเร่ือง เงิน ซงึ่ คณุ ครูกำ� ลังสอนใหน้ ักเรยี นรจู้ กั การบวก ลบ จ�ำนวนเงนิ ทีใ่ ชจ้ ่ายประจำ� วัน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ มาตรฐาน ค 1.2/1. บวก ลบ คูณ หาร และ บวก ลบ คูณ หารระคนของจ�ำนวนนับไม่เกินหน่ึงพันและศูนย์ พร้อมทั้งตระหนักถึงความสมเหตุ สมผลของคำ� ตอบ ขน้ั ตอนที่ 1 : กระตุ้นและการสร้างแรงจงู ใจในการเรียนรู้ องคป์ ระกอบ เทคนคิ 1. กระตุ้นสรา้ งแรงจงู ใจ “หนคู ิดวา่ การบนั ทกึ รายรบั -รายจ่ายประจำ� วันมีความจ�ำเป็น กับเราหรอื ไม่” “ในหลวงของเราสอนให้เราอยู่อยา่ งพอเพียง ซ่งึ ในแตล่ ะวัน เรามกี ารใช้จ่ายอะไร อย่างไรบ้าง เราควรต้องฝกึ บันทกึ รายรบั -รายจา่ ยประจ�ำวัน เพื่อน�ำมาวางแผนการใชจ้ า่ ยเงิน ของเราจนเป็นนสิ ยั หนคู ิดวา่ การบันทกึ รายรบั -รายจา่ ย ประจำ� วันมปี ระโยชน์กับเราอยา่ งไรบา้ ง” “ในวันน้ีเราจะมาบนั ทึกรายรบั -รายจ่ายประจ�ำวนั กนั ดไี หมคะ” 2. แจง้ จุดประสงค/์ ภาระงาน ร้องเพลง “รวมเงนิ ” “วันนเ้ี ราจะมาฝกึ บนั ทึกรายรับ-รายจ่ายประจำ� วัน และการสรปุ เงินคงเหลือแต่ละวัน” “เราจะบนั ทึกรายรับ-รายจา่ ยประจำ� วันกนั กว่ี ันดีคะ” “ตกลงเราจะบนั ทึกรายรับ-รายจา่ ยประจำ� วนั 5 วันนะคะ แต่ครูคดิ วา่ จะต้องมนี ักเรียนอีกหลาย ๆ คนต้องบันทึก ได้มากกว่า 5 วัน หรือบางคนอาจจะอยากบันทึกทกุ วนั ครูก็จะดีใจมากเลย นำ� มาให้คุณครอู า่ นไดเ้ ลยทุกวนั นะคะ คุณครูจะบันทกึ ดาวเดก็ ดีไว้ให้” 50 การประเมินเพอ่ื เรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั เพื่อสง่ เสริมการเรียนรู้
องค์ประกอบ เทคนคิ 3. วิธีการประเมินและเกณฑ์ “หนคู ิดวา่ งานชนิ้ นี้ นา่ จะให้คะแนนในสว่ นใดบ้าง” 4. สร้างความเชอื่ ม่นั ในตนเอง “ตกลงวา่ พวกเราจะใหค้ ะแนน คอื 1) การบันทึกรายรบั - รายจา่ ยประจ�ำวัน 5 วัน ได้ 5 คะแนน 2) สรุปเงินคงเหลือ แตล่ ะวันถกู ตอ้ ง 5 วนั ได้ 5 คะแนน รวม 10 คะแนน 3) ความสะอาด/เรียบร้อย 3 คะแนน 4) ตรงเวลา 3 คะแนน ถา้ นิดเขามีการบันทึกรายรับ-รายจ่ายประจ�ำวนั ครบ 5 วัน สรุปเงินคงเหลือแตล่ ะวันถูกต้องทกุ วัน ครูให้คะแนน 10 คะแนน แต่หน่อยเขากบ็ นั ทกึ รายรับ-รายจ่ายประจ�ำวนั ครบ 5 วนั สรปุ เงนิ คงเหลือแตล่ ะวนั ถกู ต้องทกุ วันเหมอื นกัน แตห่ น่อยเขาเขยี นเป็นระเบียบเรยี บร้อยดว้ ย หนคู ดิ วา่ หนอ่ ย น่าจะได้คะแนนเท่าไหร่คะ” เกณฑก์ ารประเมินชิ้นงาน ประเดน็ การประเมนิ ระดับคะแนน 1. การบนั ทกึ รายรบั - บันทกึ รายรับ-รายจา่ ยประจำ� วนั ได้วนั ละ 1 คะแนน รายจ่ายประจ�ำวัน 2. สรปุ เงนิ คงเหลอื สรุปเงนิ คงเหลือแต่ละวนั ถกู ต้อง ได้วนั ละ 1 คะแนน แตล่ ะวัน 3 คะแนน 2 คะแนน 1 คะแนน 3. ความสะอาด/ เขียนตวั อกั ษร เขียนตวั อักษร เขยี นตวั อักษร เรยี บร้อย เปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย เป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย ไม่ค่อยเรยี บรอ้ ย สะอาด สวยงาม ไมส่ ะอาด 4. ตรงเวลา สง่ งานตรงเวลา สง่ งานไม่ตรงเวลา ส่งงานไมต่ รงเวลา ตามที่ก�ำหนด ตามทก่ี ำ� หนด ตามทก่ี ำ� หนด โดยส่งหลังจาก โดยสง่ หลงั จาก วันทกี่ �ำหนด 1 วนั วันที่ก�ำหนด มากกว่า 1 วนั “ครเู ช่ือว่านกั เรียนทกุ คนจะท�ำงานชิ้นน้ีอย่างตง้ั ใจ และสามารถท�ำได้ถกู ตอ้ ง” การประเมนิ เพอื่ เรยี นรู้ : การตงั้ คำ�ถามและการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับเพ่อื ส่งเสรมิ การเรยี นรู้ 51
ขั้นตอนท่ี 2 : การตรวจสอบความเข้าใจ วธิ ีการตรวจสอบความเข้าใจ เทคนิคของการตรวจสอบความเขา้ ใจ - ตรวจผลงานนักเรียน - การสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียน - การสอบถามนักเรยี น ขั้นตอนที่ 3 : การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับ องคป์ ระกอบการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับ เทคนิคของการให้ข้อมลู ย้อนกลบั 1. ให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกบั “หนูเขยี นอักษรหวั เหล่ยี มสวยนะ แตถ่ า้ เขียนหวั กลม ภาระงาน ตามแบบที่ครใู หไ้ ว้คงจะสวยมากเลย” “หนูบนั ทกึ รายรับ-รายจ่ายถกู ต้อง สรุปจ�ำนวนเงินคงเหลอื ไดถ้ ูกต้องทุกวัน ถา้ หนลู บตวั ทีเ่ ขยี นผดิ ให้สะอาด กอ่ นเขียนใหมอ่ ีกนดิ จะดีเยยี่ มเลย” 2. ใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั เกี่ยวกบั “หนลู องชว่ ยครดู สู วิ ่าจำ� นวนเงินทห่ี นบู ันทกึ ตง้ั ตรงหลัก กระบวนการ หรือเปล่า ถา้ เราตง้ั ให้ตรงหลกั จะท�ำให้เราบวกจ�ำนวนเงินได้ ถูกตอ้ ง หนลู องปรับอกี นดิ ไดไ้ หมคะ” “หนูลองบอกคณุ ครูสวิ า่ ตวั เลขแตล่ ะตวั อยู่ในหลักอะไร การบวกเลขในแนวต้งั ตอ้ งตง้ั อย่างไรเอ่ยจ�ำได้ไหมคะ ของหนตู ง้ั หลกั เลขตรงกนั หรอื ยงั คะ ค�ำตอบทห่ี นไู ดถ้ กู ไหมคะ ไมเ่ ป็นไรลองคิดใหม่อีกคร้ัง แลว้ เอามาให้คณุ ครูดูนะคะ” “หนูคดิ วา่ งานของหนนู ่าจะทำ� อะไรเพ่ิมเติมอกี ไหม ท่จี ะท�ำให้งานของหนูยอดเย่ียม” 3. ให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เกย่ี วกบั “หนเู ล็ก หนูน่ารกั จงั เลยนะ งานไมเ่ สรจ็ กไ็ ม่คุยเล่น การก�ำกบั ตนเอง กับเพื่อนเลย” “มนี า หนูทำ� ได้ดมี ากเลยนะ มีความตัง้ ใจในการเขยี น ไดเ้ รียบรอ้ ย เปน็ ระเบียบ” 4. ใหข้ ้อมูลย้อนกลบั โดยใช้ “เพือ่ น ๆ ปรบมอื ใหช้ าลีหนอ่ ยคะ่ เม่ือกลางวันคุณครูเหน็ ภาษากาย ภาษาพูด ช่วยเพ่อื นตรวจทานสรุปจำ� นวนเงินคงเหลือก่อนส่งคุณครู” (พฤตกิ รรมแสดงความรับผิดชอบและช่วยเหลอื ต่องานทที่ �ำ) 52 การประเมนิ เพ่อื เรยี นรู้ : การต้งั คำ�ถามและการให้ขอ้ มลู ย้อนกลับเพอ่ื ส่งเสริมการเรยี นรู้
ข้นั ตอนท่ี 4 : การใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลับเพอ่ื กระตนุ้ ความก้าวหน้าในการเรยี น องค์ประกอบ เทคนิคการใหข้ ้อมูลย้อนกลบั เพ่ือกระตนุ้ ความกา้ วหน้าในการเรียน ใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั เพอ่ื กระตนุ้ - นำ� เสนอผลงานของนกั เรยี นทท่ี �ำงานไดใ้ นระดับดี ความก้าวหนา้ ในการเรยี น และให้เลา่ ให้เพอื่ นฟงั เพื่อการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ - นกั เรียนตรวจสอบผลงานของตนเองวา่ ยงั มขี อ้ บกพร่อง ตรงไหน - ครพู ดู คยุ กบั นักเรียนแบบกลั ยาณมิตร การประเมินเพอื่ เรียนรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ อ้ มูลย้อนกลับเพื่อสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ 53
ตวั อยา่ งกลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 1 ตวั ช้ีวัด ท 4.1 ป.1/3 เรยี บเรียงคำ� เปน็ ประโยคง่าย ๆ ข้นั ตอนท่ี 1 : กระตุ้นและการสรา้ งแรงจูงใจในการเรียนรู้ องค์ประกอบ เทคนคิ 1. กระตุน้ สร้างแรงจงู ใจ ครูกระต้นุ นักเรียนโดยการพูดคยุ “นักเรยี นคะ วนั น้ีนักเรียนลองฟังครพู ูดดูนะคะว่าตรงไหนท่ี นกั เรียนเข้าใจ ตรงไหนที่นกั เรยี นไมเ่ ข้าใจ เช่น แม/่ สดุ า/ไปวัด/ พ/ี่ กบั /ปลายา่ ง/แมว/กิน นักเรียนเข้าใจไหมคะ ถา้ ครพู ูดแคน่ ี้ นักเรียนเข้าใจไหมคะ นกั เรยี นตอบ......... “อา้ ว ถา้ งนั้ ครูพดู ใหม่นะคะ แมว กนิ ปลาย่าง, แม่ ไปวดั กับ พ่ี สุดา นักเรยี นลองเปรยี บเทียบดสู คิ ะ สว่ นไหนทนี่ ักเรยี น เข้าใจมากกว่า นกั เรียนเขา้ ใจไหมคะ ที่นกั เรยี นบอกว่า สว่ นทน่ี กั เรียนเข้าใจมากกว่า นน่ั คอื เขาเรียกว่าประโยค ประโยคทกุ ประโยคจะต้องมปี ระธาน กริยา หรอื ประธาน กริยา กรรม ถ้างนั้ วนั นีเ้ รามาเรียนเรอ่ื งประโยคกันนะคะ” 2. แจง้ จดุ ประสงค์/ภาระงาน “นักเรยี นคะ วนั นสี้ ิ่งท่นี กั เรียนทำ� ได้คอื การเรยี งค�ำ ให้เปน็ ประโยคคะ่ แลว้ งานท่ีจะเกดิ ขน้ึ ก็คือ นกั เรียนสามารถ เรยี งประโยคไดถ้ กู ต้องอยา่ งนอ้ ย 5 ประโยค” 3. วิธีการประเมินและเกณฑ์ ครูช้ีแจงกับนักเรียนว่า “นักเรียนเรียงประโยคใหถ้ กู ต้อง เสรจ็ แลว้ เขียนลงในใบงานที่ครูแจกให้นะคะ แต่นักเรียน เรียงให้ถกู ต้องอย่างน้อย 5 ประโยค จึงจะถอื ว่าผา่ นค่ะ 4. สร้างความเชือ่ มั่นในตนเอง ครพู ดู คุยกับนักเรยี น “นกั เรียนคะ เม่ือนักเรยี นเข้าใจทุกอย่างทีค่ รพู ูด ครคู ิดว่า นักเรยี นสามารถท�ำไดท้ ุกคน บางคนอาจจะทำ� ไดม้ ากกวา่ 5 ประโยคเสียอกี ไหนใครคดิ วา่ ทำ� ได้บา้ งคะ ถ้างัน้ เรามาลอง ฝกึ กันเลยนะคะ ใครสงสยั อะไรระหวา่ งฝกึ ท�ำ ปรกึ ษาครนู ะคะ ครจู ะคอยชว่ ยเหลืออยูค่ ะ่ ” 54 การประเมนิ เพ่อื เรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรียนรู้
ขั้นตอนที่ 2 : การตรวจสอบความเข้าใจ วิธกี ารตรวจสอบความเข้าใจ เทคนคิ ของการตรวจสอบความเขา้ ใจ 1. ตอบคำ� ถาม ครูซกั ถามแล้วให้นักเรยี นตอบคำ� ถามโดยมีหวั ขอ้ ดังตอ่ ไปน้ี นกั เรียนตอ้ งบอกครูสคิ ะวา่ ในประโยคที่ 1 ของนกั เรียนค�ำไหน ท่แี สดงความเป็นประธาน กริยา หรือประธาน กริยา กรรม 2. การเขียน ครตู รวจผลงานการเขียนของนักเรียนตามหัวขอ้ ตอ่ ไปน้ี 1. เขยี นคำ� ไดถ้ กู ต้อง 2. วางสระ วรรณยุกต์ ได้ถกู ท่ี 3. นักเรยี นท�ำงานไดส้ ะอาด เรียบรอ้ ย มีระเบียบ มรี อยลบ หรอื มกี ล็ บสะอาด ขั้นตอนที่ 3 : การใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั องคป์ ระกอบการใหข้ ้อมลู ย้อนกลับ เทคนิคของการให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั 1. ให้ข้อมูลยอ้ นกลับเกี่ยวกับ “ไหนนักเรยี นลองเลือกใหค้ รดู ูสวิ า่ ของใครทีถ่ ูกหมด ภาระงาน และมีของใครบ้างท่ียังมขี อ้ บกพรอ่ ง” “ด.ญ.มานี งานของนกั เรยี นถกู หมดเลยนะคะ ไหนนักเรียน ลองอ่านประโยคของนักเรยี นใหเ้ พ่อื นฟังสคิ ะ” “ด.ช.มานะ ค�ำในประโยคที่ 2 ทยี่ งั ผดิ อยู่ นักเรียนตอ้ งการ เขียนค�ำว่าอะไรคะ ไหนบอกครสู ิคะ เดีย๋ วครูจะใหเ้ พ่ือน ลองสะกดคำ� ให้ฟงั นะคะ แล้วลองฝกึ ใหมน่ ะคะ ครงั้ ตอ่ ไป จะไดไ้ ม่ผดิ อกี ” 2. ใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั เกี่ยวกบั “ครูดใี จมากเลยค่ะ วันนนี้ กั เรยี นต้งั ใจทำ� งานตามลำ� ดบั ขนั้ ตอน กระบวนการ กันทุกคน ครหู ายเหนื่อยเลยนะคะทสี่ อนนกั เรียนไปวันน้ี ครัง้ ต่อไปนักเรียนท�ำแบบน้อี ีกนะคะ” 3. ให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั เกีย่ วกบั “เม่อื กต้ี อนครูไปหอ้ งคอมฯ มีใครวิ่งเล่นในหอ้ งไหมคะ การก�ำกับตนเอง วนั น้ีห้องเราไม่คอ่ ยมีเสียงดังกนั เลย แสดงวา่ นักเรียนเรยี บร้อย ดมี าก วนั หลังถา้ ครูไม่อยู่ ครกู ไ็ ม่ตอ้ งหว่ งแล้วใชไ่ หมคะ ปรบมือใหต้ วั เองทกุ คนเลยค่ะ” การประเมินเพือ่ เรยี นรู้ : การต้ังคำ�ถามและการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับเพ่อื สง่ เสริมการเรียนรู้ 55
องคป์ ระกอบการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับ เทคนคิ ของการใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั 4. ให้ข้อมลู ยอ้ นกลับโดยใช้ ครใู ชภ้ าษากายโดยการจบั มือนักเรยี นทกุ คน ภาษากาย ภาษาพดู “ไหน ๆ วนั นี้นักเรยี นเก่งกันทกุ คน ครดู ใี จจริง ๆ ครขู อจบั มอื นักเรยี นทุกคนได้ไหมคะ เหน็ ไหมคะ ถา้ นักเรยี นตั้งใจเขียน” ขน้ั ตอนที่ 4 : การใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั เพอื่ กระตุน้ ความก้าวหน้าในการเรียน องคป์ ระกอบ เทคนคิ การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับ เพือ่ กระตุ้นความก้าวหนา้ ในการเรียน ใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั เพ่ือกระตุ้น “ครูดใี จมาก ครไู ม่ตอ้ งเสยี งดัง ครไู ม่ตอ้ งอารมณ์เสีย ความกา้ วหน้าในการเรียน นกั เรียนชอบให้ครทู �ำแบบน้ไี หมคะ” “นกั เรยี นคะ นักเรียนท�ำงานไปในวนั น้แี ล้วหลายคน ได้คะแนนเต็ม แตน่ ักเรียนรไู้ หมคะวา่ ประโยคในภาษาไทย ทเ่ี ราใช้ในชีวิตประจำ� วนั ยงั มอี กี มากค่ะ ถา้ นกั เรยี นเขยี น ประโยคไดด้ แี ลว้ นกั เรยี นสามารถน�ำไปเขียนเป็นคำ� อวยพร ให้คุณพอ่ คุณแมใ่ นโอกาสต่าง ๆ ได้ดว้ ย นกั เรียนลองดู ตัวอยา่ งที่ครใู หด้ ูนะคะ และอ่านพร้อมกนั เลยนะคะ” ประโยคที่ 1................................................................................ ประโยคท่ี 2................................................................................ ประโยคที่ 3................................................................................ 56 การประเมินเพอ่ื เรียนรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ขอ้ มลู ย้อนกลับเพื่อส่งเสรมิ การเรยี นรู้
ตรวจสอบ หน้าท่ี ความพึงพอใจต่อผลลพั ธ์ พืน้ ฐานเดิม (Function) (Valence) เสริมสรา้ ง การให้ขอ้ มลู ย้อนกลับ การเปรยี บเทยี บ สาระของการใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับ ความชดั เจน สงิ่ ใหม่ ส�ำหรบั เนื้อหาเฉพาะ (Comparison) (Feedback Content) (Clarity) ลงมือปฏบิ ตั ิ จุดเนน้ น�้ำเสยี ง ความเฉพาะ (Focus) (Tone) (Specificity) การประเมนิ เพ่อื เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั เพ่อื สง่ เสริมการเรยี นรู้ 57 น�ำส่ชู ้นั เรียน จ�ำลองวธิ ีการให้ รปู แบบการให้ข้อมลู ยอ้ นกลับ เวลา และใช้ผลขอ้ มูลยอ้ นกลบั ทมี่ ีประสิทธภิ าพ (Timing) การชว่ ยนักเรียน ลกั ษณะของการให้ข้อมลู ย้อนกลบั ปริมาณ สอนทกั ษะการประเมินตนเอง ใชผ้ ลการให้ข้อมูลยอ้ นกลบั (Type of Feedback and their Purposes) (Amount) และการประเมินโดยเพื่อน เพื่อให้นักเรียนเกดิ ทกั ษะ ออกแบบบทเรียนทนี่ ักเรยี น ใชผ้ ลขอ้ มลู ย้อนกลบั ผู้เข้าร่วม วิธีการ ชดั เจนในเปา้ หมายการเรยี นรู้ ในการปรับปรงุ ผลงานคร้งั กอ่ น (Audience) (Mode) และเกณฑ์ในการประเมนิ ผลงาน ทม่ี ีระดับคุณภาพดี
58 การประเมินเพอ่ื เรียนรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั เพอ่ื สง่ เสริมการเรียนรู้ ประเมิน/ตดั สนิ เชงิ บวก เชงิ ลบ ชัดเจน ไมช่ ัดเจน บรรยายความ หน้าที่ ความพงึ พอใจ ความชัดเจน (Function) ตอ่ ผลลพั ธ์ (Clarity) (Valence) เทยี บกับเกณฑ์ การเปรียบเทียบ สาระของการให้ข้อมลู ยอ้ นกลับ ความเฉพาะ เทยี บกับนักเรยี น (Comparison) (Specificity) (Feedback Content) นำ�้ เสยี ง เวลา ผลงาน จุดเน้น (Focus) (Tone) กระบวนการ การใหข้ ้อมูลย้อนกลับ (Timing) การก�ำกับตดิ ตามตนเอง (Feedback) ข้อควรระวัง ลักษณะของการให้ขอ้ มูลย้อนกลับ ปริมาณ การประเมินตนเอง วิธีการ รปู แบบของการใหข้ ้อมูลย้อนกลบั (Feedback) (Amount) (Feedback) การประยุกตใ์ ช้ ผู้เขา้ รว่ ม วิธีการ (Audience) (Mode) การเขยี น การพูด ภาษากาย (Written Feedback) (Oral Feedback) (Body Language)
เปดิ โอกาส เปดิ โอกาสให้นักเรยี น จ�ำลองวิธีการใหแ้ ละ สอนให้นักเรียนรู้ว่าแหล่งทม่ี า สง่ เสริมนักเรยี น ใหน้ กั เรยี น ได้เหน็ ความเชื่อมโยงระหวา่ ง ใชผ้ ลขอ้ มูลย้อนกลบั ของการใช้ข้อมูลยอ้ นกลบั ให้เกิดความสนใจ ไดท้ �ำภาระงานใหม่ ข้อมูลยอ้ นกลับที่ไดร้ ับกับผลงาน การให้ขอ้ มลู ย้อนกลับ ให้ภาระงานใหม่ เนื่องจากเปน็ ขอ้ มูล ท่มี เี ปา้ หมาย ทีผ่ ่านการปรับปรุงใหม่ ของนักเรียนเอง การเรียนร้เู ช่นเดิม ของนักเรยี น พัฒนาทกั ษะ การประเมนิ เพ่อื เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั เพ่อื สง่ เสริมการเรยี นรู้ 59 ออกแบบบทเรียนท่ีนกั เรยี น การชว่ ยนักเรยี น สอนทักษะการประเมนิ ตนเอง การก�ำกับตนเอง ใชผ้ ลข้อมูลย้อนกลบั ใชผ้ ลการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับ และการประเมินโดยเพ่ือน ซ่ึงมคี วามสำ� คัญ เพือ่ ใหน้ ักเรียนเกิดทกั ษะ ต่อการใช้ประโยชน์ ในการปรับปรงุ ผลงานครง้ั กอ่ น การใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับ ออกแบบบทเรยี นทีส่ อดคล้อง ชดั เจนในเปา้ หมายการเรียนรู้ ใชเ้ กณฑ์การ ทุกชนิด กับเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน และเกณฑใ์ นการประเมินผลงาน ใหค้ ะแนน (Rubrics) ตอบคำ� ถาม และภาระงานที่นักเรยี น ของนกั เรยี น จะได้รบั มอบหมาย ท่ีมีระดบั คุณภาพดี ท่ชี ัดเจน ด้วยตัวนกั เรยี นเอง ส่งเสรมิ ให้นักเรยี นพฒั นา ก�ำหนดค�ำชแี้ จง อธบิ ายใหน้ กั เรียน กำ� หนดภาระงาน เกณฑ์การใหค้ ะแนนโดยตนเอง รับรูถ้ ึงเหตผุ ล ท่นี า่ สนใจ ที่ชดั เจน หรือแปลความในภาษา ที่นกั เรยี นเข้าใจในกรณี ในการทำ� ภาระงานน้นั และมคี ณุ คา่ ทมี่ ีความจำ� เปน็
การให้ข้อมูลย้อนกลบั (Feedback) การให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับ (Feedback) การใหผ้ ลยอ้ นกลบั และการใหน้ กั เรยี นแกไ้ ขผลงานเปน็ อกี แนวทางในการใชก้ ารประเมนิ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน การตรวจงานของครูควรให้ข้อเสนอแนะ (Comment-Only Marking) แทนการให้เป็นคะแนนหรือเกรด เพื่อให้นักเรียนและครูสามารถตรวจสอบ ความก้าวหน้าได้ ข้อเสนอแนะเหล่าน้ันควรมีการจดบันทึกไว้สม�่ำเสมอ อาจท�ำในรูปแบบบันทึก การเรียนรู้ การให้ผลย้อนกลับของครูควรมีลักษณะเชิงบวก ควรมีการชมเชย และระบุจุดเด่น ของงาน ในขณะเดียวกันก็ควรให้การแนะแนวทางเพื่อการปรับปรุง (Improvement Guidance) ให้นกั เรียนรู้วา่ จะพฒั นางานไดอ้ ยา่ งไร ครูอาจจะเปน็ แม่แบบในการให้ผลยอ้ นกลับ เพอ่ื ใหน้ ักเรยี น น�ำไปใช้ในการประเมินผลงานของเพ่ือนได้ด้วย ครูอาจน�ำงานหรือการบ้านที่นักเรียนท�ำผิด มาเป็นประเด็นในการอภิปราย (Incorrect Discussion) เพื่อช่วยแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตามครูไม่ควรสร้างบรรยากาศเชิงลบ หรือท�ำให้นักเรียนรู้สึกว่าถูกซ้�ำเติม นอกจาก การให้ผลย้อนกลับแล้วครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนแก้ไข (Corrections) ผลงานของนักเรียนเอง ซ่ึงครูควรจัดเวลาเผื่อไว้หลังจากการตรวจงานนักเรียน นอกจากนั้นครูควรมีการติดตาม ใหน้ กั เรียนไดแ้ กไ้ ขงานตามผลการใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับทไี่ ดร้ ับ (Comment Follow-Up) วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อใหเ้ กดิ การพัฒนาและน�ำพาใหน้ กั เรียนมีพัฒนาการด้านการเรยี นรูส้ ู่คุณภาพ 2. เพอื่ เป็นการก�ำกบั และช่วยเหลอื กระบวนการเรียนการสอน 3. เพื่อเป็นการสะท้อนกระบวนการสอนของครู ให้เห็นถึงพัฒนาการของนักเรียน อนั จะน�ำไปสูก่ ารพฒั นา/ปรับปรงุ นักเรียนไดอ้ ย่างตรงตามความต้องการเป็นรายบคุ คล 4. เพื่อเป็นการวินิจฉัยความต้องการของนักเรียนเป็นรายบุคคล อันจะน�ำไปสูก่ ารซ่อม เสริมตรงจดุ ท่ีมีความบกพรอ่ ง 5. เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีอิสระโดยในการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบ และ สามารถเติมเต็มในส่วนที่ตนมีความบกพรอ่ งได้อย่างยง่ั ยืน ลักษณะของการให้ขอ้ มูลย้อนกลับ (Type of Feedback and Their Purposes) ฐานความคดิ ของครใู นการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั จะตอ้ งมคี วามเชอ่ื วา่ สงิ่ ทน่ี กั เรยี นไดป้ ฏบิ ตั ิ หรือแสดงออกเป็นสิ่งที่มีเหตุผลจากการกระท�ำและความคิดของนักเรียน ครูจะเปลี่ยนแปลง เหตุผลน้ันของนักเรียนได้อย่างไร ด้วยวิธีการใด โดยเทคนิคในการให้ข้อมูลย้อนกลับสู่นักเรียน ของครู มรี ายละเอียดดงั น้ี 60 การประเมนิ เพ่ือเรียนรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับเพ่ือสง่ เสรมิ การเรียนรู้
1. เวลา (Timing) ช่วงเวลาในการให้ข้อมูลย้อนกลับต้องด�ำเนินการให้ทันกับการแก้ไขนักเรียน หาก ให้ข้อมูลย้อนกลับในระยะเวลาท่ีช้าเกินไปจะท�ำให้นักเรียนเปล่ียนความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเอง ให้ไปสู่จุดหมายในการเรียนรู้ ช่วงเวลาในการให้ข้อมูลย้อนกลับไปสู่นักเรียนไม่ควรมีระยะเวลา เกินกว่า 2 สัปดาห์ หลังจากที่นักเรียนได้ท�ำการทดสอบ หรือได้ท�ำภาระงาน/ช้ินงานน้ันไปแล้ว ทง้ั นใี้ นการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั สนู่ กั เรยี นควรเปน็ การสะทอ้ นผลทเ่ี ปน็ จรงิ และสะทอ้ นผลสงิ่ ทน่ี กั เรยี น เข้าใจคลาดเคลื่อน หรอื เข้าใจผดิ พลาดจากองคค์ วามรู้ 2. ปรมิ าณ (Amount) ข้อมูลย้อนกลับท่ีจะให้กลับไปสู่นักเรียนอย่างมีคุณภาพจะต้องมีจ�ำนวนไม่มาก หรอื นอ้ ยเกนิ ไป จนทำ� ใหน้ กั เรยี นไมส่ ามารถพฒั นาการเรยี นรไู้ ด้ ครคู วรเลอื กจดุ ทจ่ี ะใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ทสี่ ำ� คญั ๆ ประมาณ 2-3 จดุ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นสามารถทจ่ี ะนำ� ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ไปใชใ้ นการพฒั นาตนเอง ในการเรยี นรู้ ทงั้ นคี้ รคู วรใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ในสว่ นทเี่ ปน็ จดุ แขง็ ของนกั เรยี นในปรมิ าณทใ่ี กลเ้ คยี งกบั จุดท่ีควรพัฒนาของนักเรียน โดยส่ิงท่ีครูไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่งคือให้ข้อมูลย้อนกลับไปสู่นักเรียน เฉพาะชิ้นงาน/ภาระงานที่นักเรียนท�ำได้ไม่ดีเพียงอย่างเดียว ครูต้องพยายามมองหาจุดเด่นหรือ จุดแข็งของนกั เรยี นใหไ้ ด้ เพือ่ เป็นการใหก้ �ำลงั ใจกบั นกั เรยี นในการพัฒนาตนเองไปพรอ้ มกัน 3. วธิ ีการ (Mode) ครตู อ้ งเลอื กวธิ กี ารในการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั แกน่ กั เรยี นดว้ ยวธิ กี ารสอื่ สารใหน้ กั เรยี น เขา้ ใจและรบั รสู้ ง่ิ ทค่ี รตู อ้ งการสอ่ื สารไดง้ า่ ย เพอื่ ใหน้ กั เรยี นไดพ้ ฒั นาตนเอง เชน่ นกั เรยี นทไี่ มช่ อบอา่ น หรือมีปัญหาในการอ่านจับใจความ ครูควรให้ข้อมูลย้อนกลับโดยวิธีการพูดแก่นักเรียน ซึ่งถ้าครู ให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยวิธีการเขียนกับนักเรียนกลุ่มน้ี ข้อมูลย้อนกลับก็จะไม่เกิดประโยชน์ กับตัวนักเรียน ดังน้ัน ครูควรจะต้องศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียน ตลอดจนความถนัด และความสนใจของนักเรียนก่อนให้ข้อมูลย้อนกลับ เพ่ือให้ข้อมูลย้อนกลับท่ีครูสะท้อนสู่นักเรียน จะเกิดประโยชนก์ บั ตัวนักเรยี นสงู สุด 4. ผูเ้ ข้าร่วม (Audience) ครูต้องท�ำความเข้าใจในตัวนักเรียน และกลวิธีในการน�ำเสนอข้อมูลย้อนกลับให้แก่ นักเรียนเพื่อคุณภาพของข้อมูลย้อนกลับจะได้เกิดกับตัวนักเรียนอย่างสูงสุด ทั้งนี้ครูต้องท�ำการ พจิ ารณาวา่ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ใดทคี่ วรจะตอ้ งนำ� เสนอใหก้ บั นกั เรยี นเปน็ รายบคุ คล หรอื ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ประเภทใดทคี่ วรจะนำ� เสนอใหน้ กั เรยี นรบั ทราบในรปู แบบของกลมุ่ เชน่ ครตู อ้ งการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั แก่นักเรียนเป็นรายบุคคลในเร่ืองเดียวกัน ท่ีมีความเหมือนหรือมีความคล้ายกัน ในนักเรียนจ�ำนวน หลาย ๆ คนน้ัน ครูควรจะปรับเปล่ียนวิธีการให้ข้อมูลย้อนกลับมาน�ำเสนอให้นักเรียนได้รับทราบ ในรูปแบบของกลุ่มจะมีความเหมาะสมมากกว่า หรือในกรณีท่ีครูต้องการให้ข้อมูลย้อนกลับ สู่นักเรียนเป็นรายบุคคล แต่ในการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนต่อคนน้ันใช้เวลามากก็จะท�ำให้ นักเรยี นคนอนื่ ๆ เกิดความรูส้ กึ เบอ่ื หนา่ ย ไมอ่ ยากจะเรียนรู้ หรือเกิดอคติกบั นกั เรยี นคนน้ันไป การประเมินเพอ่ื เรียนรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับเพ่อื ส่งเสริมการเรียนรู้ 61
สาระของการให้ข้อมูลย้อนกลบั (Feedback Content) สาระส�ำคัญของการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับ มีดังนี้ 1. จดุ เน้น (Focus) 1) การใหผ้ ลยอ้ นกลบั เกยี่ วกบั ผลงาน (Task) วา่ ผลงานทป่ี ฏบิ ตั ดิ หี รอื ไม่ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ เชน่ การแกโ้ จทย์ปัญหาข้อนถ้ี กู ต้อง หรอื การแก้โจทย์ปญั หาขอ้ น้ีผดิ 2) การให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับกระบวนการ (Process) ว่ากระบวนการท่ีใช้ใน การปฏิบัติงานมีข้อบกพร่องอย่างไร จะแก้ข้อบกพร่องของกระบวนการอย่างไร มีทางเลือก ในการปฏิบัติงานด้วยวิธีอ่ืนหรือไม่ เช่น นักเรียนลองตรวจสอบดูใหม่ ว่าการแก้โจทย์ปัญหาข้อน้ี ยงั มขี อ้ บกพรอ่ งตรงไหน หรอื การแกโ้ จทยป์ ญั หาขอ้ นถี้ กู ตอ้ งแลว้ แตม่ วี ธิ กี ารแกโ้ จทยป์ ญั หาวธิ กี ารอน่ื หรือไม่ หรอื ขณะท่แี กโ้ จทย์ปัญหานกั เรียนคยุ กบั เพอ่ื นอยู่ นกั เรยี นลองนงั่ ทำ� คนเดียวไม่คยุ กบั เพ่ือน ดูซวิ ่าคำ� ตอบจะเหมอื นเดมิ หรือไม่ 3) การให้ข้อมูลย้อนกลับเก่ียวกับการก�ำกับติดตามตนเอง (Self-Regulation) วา่ นกั เรยี นตอ้ งตรวจสอบผลงานไดอ้ ยา่ งไร เชน่ นกั เรยี นทำ� แบบฝกึ หดั ไมท่ นั เวลา คราวหนา้ นกั เรยี น จะทำ� อยา่ งไรให้ทนั เวลา หรือคราวนน้ี ักเรียนลมื น�ำงานมาส่งครู จะท�ำอย่างไรไมใ่ ห้นกั เรยี นลืมอกี 4) การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เกีย่ วกบั การประเมนิ ตนเอง (Self-Personal Evaluation) วา่ ผลงานของตนเองเปน็ อย่างไร เมือ่ เทียบกับเกณฑม์ คี ุณภาพระดับใด เช่น นักเรยี นพอใจในผลงาน ของตนเองหรือยัง หรือผลงานของนักเรียนมีคุณภาพระดับใด หรือถ้าครูให้โอกาสปรับปรุงผลงาน อีกครัง้ นกั เรยี นจะปรับปรงุ หรือไม่ ถ้าปรับปรงุ จะปรับปรงุ อยา่ งไร 2. การเปรียบเทียบ (Comparison) 1) เทียบกบั เกณฑ์ (Criterion-Reference) 2) เทียบกบั นักเรยี น (Student) 3. หน้าที่ (Function) 1) บรรยายความ (Descriptive) 2) ประเมนิ /ตดั สนิ (Evaluation/Judgment) 4. ความพึงพอใจตอ่ ผลลพั ธ์ (Valence) 1) เชิงบวก (Positive) 2) เชงิ ลบ (Negative) 5. ความชัดเจน (Clarity) 1) ชดั เจน (Clear) เช่น มีการใชค้ �ำงา่ ย ๆ 2) ไมช่ ดั เจน (Unclear) เช่น การใชค้ ำ� ทีใ่ หญ่หรอื กวา้ งจนเกนิ ไป 62 การประเมนิ เพือ่ เรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั เพ่อื ส่งเสรมิ การเรียนรู้
6. ความเฉพาะ (Specificity) เชน่ การใชค้ ำ� นามหรอื คำ� วเิ ศษณม์ าขยาย มกี ารอธบิ าย ความคิดรวบยอด 7. น�้ำเสียง (Tone) เช่น การเน้นเสียงของค�ำที่ใช้ในการถ่ายทอดข้อมูล ควรเป็น การเสรมิ แรงหรอื กระตุ้นใหน้ ักเรยี นเกดิ การเรียนรู้ ตวั อย่างการให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั ในแต่ละหัวข้อ ดังต่อไปน้ี การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับ หัวข้อ รายงานนด้ี ที ่สี ุดในชั้นเรยี น นกั เรยี น จุดเน้น : ตัวบุคคล ไมต่ อ้ งทำ� งานเพิม่ เติม การเปรียบเทยี บ : บรรทดั ฐานอา้ งอิง หนา้ ท่ี : ตดั สิน Valence : เชิงบวก ดังนน้ั ตัวอยา่ งนเ้ี ป็นการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ท่ไี มด่ ี เน่ืองจากไมม่ กี ารบอกนกั เรียน ว่าดอี ย่างไร ครชู อบแผนภูมนิ ี้มาก มันเริ่มต้นจากต้นไม้ จดุ เนน้ : ชิ้นงาน กระบวนการ การสะทอ้ น และจบลงดว้ ยวัฏจักรของพชื (แทนที่จะเปน็ ตนเอง ตน้ ไม้อน่ื ) มันเห็นถงึ ความสอดคล้องของ การเปรียบเทียบ : เกณฑ์อ้างอิง รายงาน และแสดงถงึ ความสมบูรณ์ของวฏั จกั ร หน้าท่ี : บรรยาย ท่ชี ัดเจน นักเรียนเกิดความคดิ น้ไี ดอ้ ยา่ งไร Valence : เชิงบวก ดังนน้ั ตวั อย่างน้เี ป็นการให้ข้อมลู ย้อนกลับท่ีดี เนอ่ื งจากเป็นการดงึ สว่ นท่ดี ีออกมา มีการถาม นกั เรียนใหน้ ักเรียนสะทอ้ นความคิดของตนเอง การประเมินเพื่อเรยี นรู้ : การต้ังคำ�ถามและการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เพื่อสง่ เสรมิ การเรียนรู้ 63
รปู แบบของการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั (Feedback) 1. วิธกี ารให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั โดยการเขยี นให้มปี ระสทิ ธภิ าพ (How to Give Effective Written Feedback) ในการให้ข้อมูลย้อนกลับโดยการเขียน ครูจ�ำเป็นต้องเลือกให้ค�ำหรือวลี ทมี่ คี วามเหมาะสม เพราะสงิ่ เหลา่ นจี้ ะสรา้ งคณุ คา่ ใหแ้ กน่ กั เรยี น รวมไปถงึ การสนบั สนนุ และสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นเกิดการเรียนรู้ โดยอาจจะเขียนลงในงานของนักเรยี น เขยี นโดยอา้ งองิ เกณฑ์ (Rubrics) หรือเขยี นลงในใบงานของนักเรียน โดยมีวธิ กี ารเขยี นการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ท่ดี ี ดังนี้ 1.1 หลีกเลี่ยงการใช้ปากกาหมึกสีแดง เพราะท�ำให้นักเรียนรู้สึกว่างานของตน มขี ้อผดิ พลาด 1.2 เขียนการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับด้วยลายมือทอี่ ่านง่าย 1.3 เขียนการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลับด้วยขอ้ ความท่เี ขา้ ใจงา่ ย มนี ัยทางบวก 1.4 เขียนการให้ข้อมูลย้อนกลับโดยใช้เทคนิค Sandwich 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขัน้ ตอนแรกการเขยี นขอ้ ความชมเชย โดยนำ� ข้อดีของนักเรียนกลา่ วข้นึ ตน้ จากน้ันใหเ้ ขียนขอ้ ความ ท่ีต้องการให้ปรับปรุงแก้ไข และข้ันตอนสุดท้ายให้เขียนข้อความท่ีเป็นเชิงบวก โดยกล่าวถึง สิง่ ทจ่ี ะเปน็ ผลจากการปรับปรงุ ผลงานน้นั ๆ นอกจากน้ีครูอาจจะใช้วิธีการให้ข้อมูลย้อนกลับโดยการพูดในลักษณะ ของการโค้ชให้แกน่ ักเรียนในคราวตอ่ ไปกไ็ ด้ 2. วิธีการให้ข้อมูลย้อนกลับโดยการพูดให้มีประสิทธิภาพ (How to Give Effective Oral Feedback) การให้ข้อมูลย้อนกลับโดยการพูดอาจท�ำได้ทั้งในลักษณะของบุคคล หรือกลุ่ม ท้ังนี้ครูต้องอาศัยการสังเกต (Observation) ควบคู่ เพ่ือให้การให้ข้อมูลย้อนกลับ มปี ระสทิ ธิภาพ 64 การประเมินเพอ่ื เรยี นรู้ : การต้ังคำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรยี นรู้
การชว่ ยนักเรียนใชผ้ ลการให้ขอ้ มูลย้อนกลับ ในสว่ นนตี้ อ้ งการแนะนำ� วธิ สี อนนกั เรยี นใหใ้ ชก้ ารใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั (Feedback) ของครู ในการปรับปรุงผลงานของนักเรียน นอกจากน้ันบทน้ียังมีการน�ำเสนอประโยชน์ของการให้ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ทม่ี าจากการประเมนิ โดยตนเองและประเมนิ โดยเพอ่ื น (Self and Peer Assessment) ท่ที ำ� ใหร้ ู้สภาพท่ีเป็นจรงิ และข้อจ�ำกัดในการเรียนร้ขู องนกั เรียน ในความเปน็ จรงิ ผลการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั จากทง้ั สองแหลง่ ไดแ้ ก่ การประเมนิ โดยตนเอง และการประเมนิ โดยครู ควรชว่ ยใหน้ กั เรยี นสามารถควบคมุ การเรยี นรขู้ องตนเองได้ ดงั นน้ั ในการให้ ข้อมูลย้อนกลับโดยครูจึงควรมีการอธิบายลักษณะผลการเรียนรู้ของนักเรียน และควรให้ข้อแนะน�ำ ในการปรบั ปรงุ ประกอบกัน กลยทุ ธท์ ่ใี ช้ในการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับ สามารถสรปุ ไดด้ งั นี้ 1. จำ� ลองวิธีการให้และใชผ้ ลขอ้ มลู ย้อนกลับ 2. สอนทกั ษะการประเมนิ ตนเองและการประเมนิ โดยเพอื่ น เพอื่ ใหน้ กั เรยี นมที กั ษะดงั น้ี 2.1 สอนใหน้ ักเรยี นร้วู ่าแหล่งท่มี าของการใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับ 2.2 ส่งเสริมนักเรียนให้เกิดความสนใจการให้ข้อมูลย้อนกลับ เนื่องจากเป็นข้อมูล ของนักเรยี นเอง 2.3 ตอบค�ำถามของนกั เรียนด้วยตัวนักเรยี นเอง 2.4 พฒั นาทกั ษะการก�ำกบั ตนเอง ซงึ่ มคี วามสำ� คญั ตอ่ การใชป้ ระโยชน์การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับทุกชนดิ 3. ชัดเจนในเป้าหมายการเรียนรู้และเกณฑ์ในการประเมินผลงานท่ีมีระดับคุณภาพดี ควรมลี กั ษณะดังน้ี 3.1 ก�ำหนดภาระงานทน่ี า่ สนใจและมีคุณคา่ 3.2 อธบิ ายใหน้ กั เรียนรับรู้ถึงเหตผุ ลในการทำ� ภาระงานนั้น 3.3 กำ� หนดคำ� ช้แี จงทีช่ ดั เจน 3.4 ใช้เกณฑก์ ารให้คะแนน (Rubrics) ทีช่ ดั เจน 3.5 สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นพฒั นาเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนโดยตนเอง หรอื แปลความในภาษา ทีน่ ักเรียนเขา้ ใจในกรณที ม่ี ีความจำ� เปน็ 3.6 ออกแบบบทเรียนท่ีสอดคล้องกับเกณฑ์การให้คะแนนและภาระงานที่นักเรียน จะได้รับมอบหมาย การประเมนิ เพ่ือเรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ย้อนกลับเพ่อื สง่ เสรมิ การเรยี นรู้ 65
4. ออกแบบบทเรยี นทนี่ กั เรยี นใชผ้ ลขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ในการปรบั ปรงุ ผลงานครงั้ กอ่ น ดงั นี้ 4.1 เปิดโอกาสให้นักเรยี นไดท้ �ำภาระงานใหม่ 4.2 ให้ภาระงานใหมท่ ่มี ีเป้าหมายการเรียนรเู้ ชน่ เดมิ 4.3 เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลย้อนกลับท่ีได้รับกับ ผลงานที่ผา่ นการปรบั ปรุงใหมข่ องนักเรยี น วิธีการ/แนวทางในการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั ไปยงั นกั เรียน การให้ข้อมูลย้อนกลับไปยังนักเรียนเป็นสิ่งท่ีครูต้องปฏิบัติเป็นประจ�ำ และต้องค�ำนึงว่า การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั จะตอ้ งไมเ่ ปน็ การสรา้ งแรงกดดนั ใหก้ บั นกั เรยี น แตต่ อ้ งเปน็ การกระตนุ้ สรา้ งแรง จูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ โดยอาจเป็นการให้รางวัล การกล่าวชมเชย หรือการประทับรูปภาพที่แสดงนัย ในทางบวก เช่น ภาพใบหน้าท่ีมีรอยยิ้ม การติดสติกเกอร์รูปท่ีสวยงามมากกว่าที่จะเป็นการให้ คะแนนที่เป็นตัวเลข หรือการเขียนข้อความเพื่อให้พัฒนาหรือปรับปรุงเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การให้ข้อมูลย้อนกลับ ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ควรมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้นักเรียน ได้ทราบเทคนิค/วิธีการในการปรับปรุงผลงาน และเพื่อสะท้อนให้เห็นแนวทางในการสร้างผลงาน ทมี่ ีประสทิ ธผิ ลต่อไป การให้ข้อมลู ย้อนกลบั (Feedback) ท่ดี ี 1. มคี วามชัดเจน ไม่คลุมเครือ 2. มคี วามเฉพาะเจาะจง ตรงประเด็น 3. มีความเป็นปรนยั ตรวจสอบได้ 4. ทันเวลา 5. เข้าใจง่าย 6. สร้างใหเ้ กิดความรู้สึกทดี่ ี (ตเิ พ่ือกอ่ ) สิ่งทค่ี วรค�ำนงึ ของครูในการให้ข้อมูลย้อนกลับ 1. ใช้ลายมือท่ีอ่านง่าย 2. ใหค้ วามส�ำคัญกับการให้ข้อมูลยอ้ นกลบั เพอื่ ให้เกิดผลดกี บั นักเรียน 3. ใช้ภาษาในเชงิ สรา้ งสรรค์ ใช้ค�ำทีส่ ละสลวย 4. ไม่จ�ำเป็นต้องใช้ขอ้ ความยาว ๆ แต่ให้ยึดหลักการเขียนการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับโดยใช้ เทคนคิ Sandwich 3 ขน้ั ตอน 5. ควรมีการให้ข้อมูลยอ้ นกลบั แกน่ ักเรียนเปน็ ประจ�ำ 66 การประเมินเพ่อื เรียนรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพอื่ ส่งเสริมการเรียนรู้
ข้อเสนอแนะในการให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั สำ� หรบั เนื้อหาเฉพาะ ขอ้ เสนอแนะในการใหข้ อ้ มูลย้อนกลับส�ำหรบั เน้ือหาเฉพาะ มี 4 ขน้ั ตอน ดงั น้ี ขั้นที่ 1 ตรวจสอบพื้นฐานเดมิ ตรวจสอบมโนทศั น์เก่ยี วกับ Feedback Content เนือ้ หาสว่ นนีต้ ้องการพูดถงึ ขอ้ เสนอแนะในการใชส้ าระสำ� คญั ของการให้ข้อมูลย้อนกลบั (Feedback Content) ให้เหมาะสมกับเนื้อหาเฉพาะ อันได้แก่ การให้ข้อมูลย้อนกลับ ด้านการอ่านในระดับประถม การให้ข้อมูลย้อนกลับด้านการเขียนในระดับประถม การให้ข้อมูล ย้อนกลับด้านการเขียนในระดับมัธยม การให้ข้อมูลย้อนกลับด้านการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การให้ข้อมูลย้อนกลับด้านความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาทางสังคมหรือวิทยาศาสตร์ และการให้ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เกย่ี วกบั โครงงานในสาระวชิ าตา่ ง ๆ การสะท้อนผลแก่นักเรียน ครูจ�ำเป็นต้องค�ำนึงถึงสาระส�ำคัญของการสะท้อนผล ซึ่งสรุปพอสังเขปได้ดังนี้ 1. สาระของการให้ข้อมูลยอ้ นกลบั (Feedback Content) 1.1 จุดเน้น (Focus) สาระของการให้ข้อมูลย้อนกลับที่มุ่งเน้นเร่ืองใดเรื่องหน่ึง เป็นสำ� คญั สามารถแบ่งไดด้ งั น้ี 1) ผลงาน (Task) : จดุ เนน้ ของการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั จะพจิ ารณาถงึ ความถกู ตอ้ ง ของผลงาน หาข้อบกพรอ่ ง ตลอดจนวิธีการแกไ้ ขเพ่อื ให้ผลงานมีความสมบูรณ์ 2) กระบวนการ (Process) : จุดเน้นของการให้ข้อมูลย้อนกลับจะพิจารณา ถึงวิธีปฏิบัติในการท�ำภาระงานน้ัน ๆ กล่าวคือ ดูท่ีความถูกต้องของข้ันตอนการท�ำงาน ตลอดจน หาข้อบกพร่องของการปฏิบัติในแต่ละขั้นตอน เพ่ือแก้ไขปรับปรุงให้ได้มาซ่ึงการด�ำเนินการ ตามกระบวนการทถ่ี กู ตอ้ งสมบูรณ์ 3) การก�ำกับติดตามตนเอง (Self-Regulation) : จุดเน้นของการให้ข้อมูล ย้อนกลับถึงการก�ำหนดตนเองของนักเรียนจะพิจารณาถึงวิธีก�ำหนดตนเองของนักเรียน ในการปฏิบตั ิงานให้บรรลุผลส�ำเรจ็ กล่าวคอื ให้นกั เรียนพจิ ารณาข้อบกพรอ่ งของตนเอง หาสาเหตุ และวิธีการแก้ไข เพ่ือปรับปรงุ พัฒนาตนเองไปสคู่ วามส�ำเร็จ 4) การประเมินตนเอง (Self-Personal Evaluation) : จดุ เนน้ ของการให้ขอ้ มลู ย้อนกลับท่ีมุ่งเน้นให้นักเรียนพิจารณาด้วยตนเอง ไม่ว่าจะในแง่ของคุณภาพเม่ือเทียบกับเกณฑ์ ท่ีก�ำหนด หรอื ความพงึ พอใจของตวั นกั เรยี นเอง ในงานหน่ึง ๆ ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย การประเมินเพ่อื เรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ย้อนกลบั เพ่ือส่งเสรมิ การเรยี นรู้ 67
1.2 การเปรียบเทยี บ (Comparison) 1) การเปรียบเทียบกบั เกณฑ์ทกี่ �ำหนดให้ 2) การเปรยี บเทียบกบั กลุ่มเพ่อื นในช้นั เรยี น 3) การเปรียบเทียบกบั ผลการปฏิบตั ิท่ผี ่านมาของตนเอง 1.3 หนา้ ท่ี (Function) เปน็ ลกั ษณะของการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั วา่ ตอ้ งการใหท้ ำ� หนา้ ท่ี ในลักษณะใด โดยแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั ที่มงุ่ บรรยายให้เห็นสภาพจรงิ 2) การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับท่มี ุ่งประเมินค่าหรอื ตัดสนิ คุณคา่ 1.4 ความพึงพอใจต่อผลลัพธ์ (Valence) เป็นลักษณะของการให้ข้อมูลย้อนกลับ ที่มุ่งใชห้ ลักจติ วิทยาในการสะทอ้ นผลเกดิ ความร้สู ึกตอ่ การดำ� เนินงานดงั นี้ 1) การใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับในเชงิ บวก กลา่ วคือ การบอกถงึ การกระท�ำท่เี ป็นสิง่ ดี 2) การให้ข้อมลู ย้อนกลบั ในเชงิ ลบ กลา่ วคอื การบอกถงึ วิธกี ารหรือข้อแนะน�ำ ทจ่ี ะท�ำให้งานน้นั ๆ มีการปรบั ปรุงและพฒั นาใหด้ ีขนึ้ 1.5 ความชัดเจน (Clarity) เป็นลักษณะของการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียน ในลักษณะ 1) ชัดเจน 2) ไมช่ ัดเจน โดยมุ่งให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในค�ำหรือความคิดรวบยอดของเขา ตลอดจน ใหข้ อ้ เสนอแนะเพือ่ ยกระดับการพัฒนาใหส้ ูงข้ึน 1.6 ความเฉพาะ (Specificity) 1) ความสอดคล้องตา่ ง ๆ ของเรอื่ ง 2) ความถกู ต้อง 3) ความพิเศษอืน่ ๆ 1.7 น�ำ้ เสยี ง (Tone) 1) นัยของเรอ่ื ง 2) ส่ิงท่ีนกั เรยี นเขา้ ใจ 68 การประเมินเพื่อเรียนรู้ : การต้งั คำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพอ่ื สง่ เสริมการเรยี นรู้
ขนั้ ที่ 2 เสรมิ สร้างสิ่งใหม่ สร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง Content-Specific Suggestions for Feedback ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ จากสาระส�ำคัญของการให้ข้อมูลย้อนกลับท่ีกล่าวมา มีข้อเสนอแนะส�ำหรับการน�ำ สาระส�ำคัญของการให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั ในแบบตา่ ง ๆ มาพจิ ารณาใชก้ ับลกั ษณะงานทม่ี ีเนอ้ื หาเฉพาะ ดังต่อไปนี้ การให้ข้อมูลยอ้ นกลบั ดา้ นการเขียนในระดับประถม ตัวอยา่ งการนำ� ไปใช้ การประเมินเพอ่ื เรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ย้อนกลบั เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรียนรู้ 69
การใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลับด้านการเขียนในระดับมธั ยม ตัวอย่างการน�ำไปใช้ 70 การประเมินเพอ่ื เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั เพอื่ สง่ เสริมการเรยี นรู้
การใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั ด้านการแกป้ ัญหาทางคณติ ศาสตร์ ตัวอย่างการน�ำไปใช้ ขน้ั ท่ี 3 ลงมอื ปฏิบตั ิ เลอื กใช้ Feedback Content ให้ตรงกับงานทีก่ ำ� หนด ขั้นที่ 4 น�ำสชู่ ้ันเรยี น วางแผนการประยุกต์ใช้เน้ือหาสาระ เรื่อง Content-Specific Suggestions for Feedback สูก่ ารปฏบิ ตั ิงานของตน การประเมินเพ่อื เรยี นรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ขอ้ มูลย้อนกลับเพ่ือสง่ เสริมการเรยี นรู้ 71
การปรับการให้ขอ้ มลู ย้อนกลับส�ำหรบั นักเรยี นทมี่ ีความแตกต่างกนั การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั มลี กั ษณะคลา้ ยการสอ่ื สาร โดยขนึ้ อยกู่ บั ผรู้ บั ผสู้ ง่ สาร และขอ้ ความ ท่ีส่ง ซ่ึงข้อความที่ส่งเปรียบได้กับการให้ข้อมูลย้อนกลับ สามารถแบ่งกลุ่มนักเรียนท่ีจะให้ข้อมูล ยอ้ นกลับได้ดังน้ี 1. นกั เรยี นทปี่ ระสบความสำ� เรจ็ ในการเรยี น 2. นักเรยี นท่ีไม่ประสบความสำ� เรจ็ ในการเรยี น 3. นักเรยี นภาษาองั กฤษ 4. นกั เรียนท่ไี ม่เตม็ ใจเรียน การให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั เปน็ วิธีการหน่ึงท่สี ง่ เสริมการวดั และประเมินผลนักเรยี นระหว่าง จัดการเรียนการสอน เมื่อท�ำการวัดและประเมินผลนักเรียนแล้ว ครูสามารถให้ข้อมูลย้อนกลับ กบั นกั เรยี นในแต่ละกลุ่มแตกต่างกนั ดงั น้ี 1. นักเรยี นทปี่ ระสบความส�ำเรจ็ ในการเรียน นักเรียนที่ประสบความส�ำเร็จในการเรียน จะให้ข้อมูลย้อนกลับโดยท่ัวไป เกี่ยวกับ ความรู้ ทักษะในการท�ำแบบทดสอบ หรือการมอบหมายงาน ตัวอย่างเช่น การให้นักเรียนสรุป เกี่ยวกับวิธีการท�ำแบบทดสอบ หรือวิธีการเขียนรายงาน นักเรียนที่ประสบความส�ำเร็จจะสามารถ ประเมินการท�ำงานได้ด้วยตนเอง ครูสามารถเสริมแรงให้นักเรียนท�ำงานหรือไม่ต้องเสริมแรงก็ได้ เนอ่ื งจากนกั เรยี นกลมุ่ นม้ี คี วามสามารถในการทำ� งานอยแู่ ลว้ นกั เรยี นทปี่ ระสบความสำ� เรจ็ ในการเรยี น ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการประเมินระหว่างเรียนกับการประเมินแบบสรุปรวมได้ นกั เรยี นประเภทนส้ี ามารถนำ� ผลการประเมนิ ทง้ั สองแบบไปใชไ้ ด้ สามารถสรา้ งแรงจงู ใจในการพฒั นา การเรยี นรู้ของตนเองได้ นักเรียนท่ีประสบความส�ำเร็จสามารถออกแบบวิธีการเรียนรู้เพ่ือท�ำแบบทดสอบ หรือท�ำโครงการได้ สามารถออกแบบการเรียนหรือการค้นคว้าได้ในระหว่างเรียน และสามารถ ใหข้ ้อมูลย้อนกลบั เพอื่ พัฒนาการเรียนหรอื โครงการของตนได้ ครูอาจไม่ต้องให้ข้อมูลย้อนกลับกับนักเรียนกลุ่มนี้ แต่ควรให้ความสนใจให้ข้อมูล ย้อนกลับกับนักเรียนที่ไม่ประสบความส�ำเร็จ นักเรียนที่ประสบความส�ำเร็จสามารถให้ข้อมูล ย้อนกลับตนเองได้ หรือครูต้องให้ข้อมูลย้อนกลับที่สร้างสรรค์ สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้กับ นักเรยี นกลมุ่ นี้ ในการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั กบั นกั เรยี นกลมุ่ น้ี สามารถใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั ทดี่ ตี ามภาระงาน กระบวนการหรือเกณฑ์อ้างอิง ที่ต้องเป็นบวก ชัดเจน และเฉพาะเจาะจง การให้ข้อมูลย้อนกลับ ควรใหค้ ำ� แนะนำ� เปน็ ขน้ั ตอน ระมดั ระวงั ในการแนะนำ� ทกุ ขน้ั ตอน เพอื่ ใหถ้ งึ จดุ มงุ่ หมายของการเรยี น ครูและนักเรียนควรแบ่งปันสง่ิ ทีร่ ู้ สนใจในกระบวนการท�ำงานซงึ่ กนั และกัน 72 การประเมนิ เพ่อื เรยี นรู้ : การต้ังคำ�ถามและการให้ข้อมลู ย้อนกลบั เพือ่ ส่งเสรมิ การเรยี นรู้
2. นักเรยี นทีไ่ ม่ประสบความส�ำเร็จในการเรียน นักเรียนที่ไม่ประสบความส�ำเร็จในการเรียน จะไม่มีทักษะในการเรียน และไม่มี กระบวนการในการได้มาของข้อมูล หรือไม่มีท้ังสองอย่าง และจะไม่เข้าใจอย่างชัดเจนเมื่อครู มอบหมายงานหรอื ใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั นกั เรยี นกลมุ่ นม้ี ที ง้ั นกั เรยี นทไ่ี มส่ ามารถเรยี นรไู้ ด้ และนกั เรยี น ทีไ่ ม่มพี ้ืนฐานในการเรียน การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั จะมปี ระโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ สำ� หรบั นกั เรยี นกลมุ่ น้ี ในอนั ทจี่ ะชว่ ยให้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้บรรลุจุดประสงค์ที่ต้ังไว้ ตัวอย่างเช่น การสอนการอ่านออกเสียง ควรใหข้ อ้ มูลย้อนกลบั หลายวิธี เชน่ การอ่านซำ้� การแปลความหมายของคำ� การจ�ำคำ� ศัพท์ เปน็ ตน้ ซึ่งนักเรียนกลุ่มน้ีมีความแตกต่างภายในกลุ่ม ดังนั้น การให้ข้อมูลย้อนกลับจึงเฉพาะเจาะจง แตล่ ะคนดว้ ย การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั กบั นกั เรยี นกลมุ่ นี้ บางครง้ั อาจตอ้ งใหข้ อ้ มลู มากกวา่ ทมี่ อบหมายงาน ในตอนแรก และให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั ไม่มากในแต่ละข้นั ของการใหข้ ้อมลู เช่น การใหข้ ้อมูลย้อนกลับ ในเร่ืองการเขียนประโยคหนึ่งย่อหน้า อาจเทียบกับผลงานท่ีเคยเขียนคร้ังก่อน วันน้ีนักเรียน อาจเขยี นได้ 2 ประโยค ซง่ึ เปน็ การเขยี นทไี่ มด่ ี แตค่ รงั้ กอ่ นอาจเขยี นไดป้ ระโยคเดยี ว ครคู วรใหข้ อ้ มลู ถึงคณุ ภาพของหวั ขอ้ เร่อื งในย่อหนา้ นั้นวา่ ควรเป็นอย่างไร และแนะน�ำให้เขยี นเพ่มิ เป็น 3 ประโยค โดยอ้างองิ จากหัวขอ้ ของย่อหน้า การใหข้ อ้ มูลย้อนกลับสำ� หรับนักเรยี นกล่มุ นี้ ตอ้ งให้ครั้งละไมม่ าก ดูว่านักเรียนท�ำได้หรือไม่ แล้วจึงให้ข้อมูลในขั้นต่อไป จนบรรลุจุดมุ่งหมายของการเรียน กลยุทธ์ ในการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั ส�ำหรบั นกั เรียนทีไ่ มป่ ระสบความส�ำเร็จในการเรยี น แสดงดังตาราง 3 กลยุทธ์ในการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับส�ำหรับนกั เรยี นที่ไม่ประสบความส�ำเรจ็ ในการเรยี น กลยุทธ์ การอธิบาย ตัวอยา่ ง กระบวนการการให้ข้อมูล ย้อนกลบั ระบุกระบวนการการใหข้ อ้ มูล อา่ นประโยคซ้�ำ ยอ้ นกลับกบั นักเรียนให้ชดั เจน เปลีย่ นประโยคใหม่ การให้ข้อมูลย้อนกลบั ประโยคใหม่ดขี นึ้ หรอื ไม่ โดยเทียบกับตวั นกั เรียน การให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั ย่อหน้าครั้งล่าสุดมี 2 ประโยค โดยเทียบกบั ตัวนกั เรยี น ตอนนม้ี ี 4 ประโยค และ หากครัง้ ทผี่ า่ นมานักเรียน เรยี งร้อยกนั เป็นอย่างดี ทำ� ไดเ้ ลก็ นอ้ ย ครัง้ นส้ี ามารถ พฒั นาได้เพ่ิมขน้ึ นักเรยี น จะมกี ำ� ลงั ใจในการพฒั นางาน ของตนเองตอ่ ไป การประเมนิ เพอ่ื เรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลับเพื่อสง่ เสริมการเรยี นรู้ 73
กลยุทธ์ การอธบิ าย ตัวอย่าง การใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั ส�ำคญั หลกั การท�ำเร่อื งยาก ซบั ซ้อน ครงั้ ต่อไปในการเขยี นประโยค หน่ึงหรอื สองจดุ และแนะนำ� คอื ทำ� แต่ละข้ันทีละน้อย 1 ย่อหนา้ พยายามเขียน แตล่ ะขัน้ ทีละนอ้ ย ประโยคแรกให้สามารถ เช่ือมประโยคต่อไป การใหค้ �ำพดู ท่ีเข้าใจงา่ ย ใช้คำ� พดู ทเ่ี ข้าใจง่าย หลกี เล่ยี ง ครัง้ ตอ่ ไปในการเขยี นประโยค คำ� ศพั ท์ทซ่ี ับซอ้ น เข้าใจยาก 1 ยอ่ หน้า พยายามเขยี น ประโยคแรกให้ไดใ้ จความ สรปุ รวมของทั้งยอ่ หนา้ ซึง่ เรียกวา่ ใจความหลกั การตรวจสอบความเขา้ ใจ ถ้านกั เรยี นไม่เขา้ ใจการให้ บอกถึงสงิ่ ท่จี ะเขียนในยอ่ หนา้ ในการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ครไู มส่ ามารถ ถดั ไปได้ ชว่ ยนกั เรยี นในการเรียนได้ 3. นักเรยี นภาษาอังกฤษ นักเรียนภาษาอังกฤษ มักพบปัญหาในการเรียน คือความสามารถของพวกเขา ในการฟังและความเข้าใจ ส่วนข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการให้ข้อมูลย้อนกลับจากครู เป็นวิธีการ ที่เหมาะในการช่วยแก้ปัญหาน้ีสามารถกระท�ำได้ด้วยการเริ่มต้นก�ำหนดปัญหา ระบุตัวแปร และกลยุทธ์การแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ประเด็นข้อเสนอแนะท่ีส�ำคัญส�ำหรับครูของนักเรียน ภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่ภาษาที่หนึ่ง เช่น นักเรียนอาจจะเขียนประโยคท่ีมีค�ำสั่งที่ผิดปกติ ค�ำอาจจะ อยใู่ นลำ� ดบั ทแ่ี บบเดมิ ในภาษาพนื้ เมอื งของนกั เรยี น เราสามารถชข้ี อ้ เสนอแนะทถ่ี กู ใหน้ กั เรยี นทเี่ หน็ ชว่ ยยนื ยนั ใหน้ กั เรยี นเพม่ิ ความเขา้ ใจวา่ ในประโยคทถี่ กู ตอ้ ง ทำ� ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ ทดี่ ี และเปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ส�ำหรับการพูดคุย หรือประโยคท่ีดีส�ำหรับนักเรียนบางคนท่ีมีโครงสร้างและการใช้ประโยค ภาษาอังกฤษท่ีถูกต้อง การสนทนาตอบค�ำถามเกี่ยวกับเร่ืองท่ีนักเรียนอ่านก็อาจจะมีประสิทธิผล มากขน้ึ ในระยะยาวที่จะม่งุ เน้นการส่อื สารมากกว่าคำ� สง่ั ทรี่ ะบใุ ห้นกั เรียนปฏิบตั ิ สิ่งส�ำคัญของการให้ข้อมูลย้อนกลับที่ตรงกับความคิดเห็นของคุณตามระดับ ความสามารถของมากทสี่ ดุ เทา่ ทเ่ี ปน็ ไปได้ ขอ้ เสนอแนะทเ่ี ปน็ ประโยชนเ์ ฉพาะในกรณที น่ี กั เรยี นเขา้ ใจ แสดงให้เหน็ ได้ 5 วธิ ี ดังนี้ 74 การประเมินเพอื่ เรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับเพอื่ สง่ เสรมิ การเรียนรู้
1. วธิ ที น่ี กั เรยี นมคี วามเขา้ ใจในการอภปิ รายในหอ้ งเรยี น (ไมม่ นี กั เรยี นเขา้ ใจการพดู คยุ ในห้องเรียนท้งั หมด/เข้าใจวา่ การพูดชา้ และมีการท�ำซ้�ำ) 2. วิธีท่นี กั เรียนพดู (นักเรยี นจะลงั เลหรือคน้ หาค�ำที่ไม่เรมิ่ ตน้ การสนทนา) 3. วธิ ที นี่ กั เรยี นไมใ่ ชภ้ าษาองั กฤษเชงิ วชิ าการโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ คำ� ศพั ทท์ างวชิ าการ 4. วิธที ่ีง่ายคอื การท�ำความเขา้ ใจกับสงิ่ ท่นี ักเรียนกลา่ ว 5. วธิ ที น่ี กั เรยี นไม่ใช้ไวยากรณแ์ ละรูปประโยคธรรมดา กลยุทธข์ ้อเสนอแนะเกีย่ วกบั วธิ กี ารให้ขอ้ เสนอแนะทีด่ ีในการเรียนภาษาองั กฤษ กลยุทธ์ข้อเสนอแนะ เวลาและปริมาณ - พดู คยุ บ่อย ๆ กบั นกั เรียนเกย่ี วกับการทำ� งาน - เผ่ือเวลาสำ� หรับการท�ำงานร่วมกันและพูดคุยกับนักเรยี น วิธกี าร - มกี ารสนทนากับนักเรียนเกีย่ วกบั การทำ� งาน - ใชภ้ าพไดอะแกรมทา่ ทางประกอบ - สร้างแบบจ�ำลองของภาษาอังกฤษที่แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับการใช้ภาษา อังกฤษของนักเรียนหรือการออกเสียง ข้อผิดพลาดโดยการสร้างแบบจ�ำลอง ภาษาองั กฤษท่ีถกู ตอ้ ง (โดยไม่ “แกไ้ ข” นกั เรียน) และท�ำเชน่ นใ้ี นความคิดเห็น ส�ำหรับเนอื้ หาทัง้ หมด ผ้เู ขา้ รว่ ม - ใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั กบั นักเรียนเปน็ รายบุคคล (เม่ือเทยี บกบั ของกลุ่ม) สาระการให้ขอ้ มูลย้อนกลับ จดุ เนน้ - มุ่งเน้นไปทีก่ ิจกรรม งานท่ีทำ� รว่ มกันกับคนอน่ื (สง่ เสรมิ การพัฒนาภาษา รวมทงั้ การเรยี นร้)ู ที่น�ำไปสผู่ ลงานท่ีเป็นรปู ธรรม - มงุ่ เน้นไปทีผ่ ลงานและกิจกรรมทผ่ี ลิต การเปรียบเทยี บ - ทำ� การเปรยี บเทยี บกับเกณฑ์อา้ งองิ (เปรยี บเทยี บการทำ� งานของนักเรยี น ให้ไดม้ าตรฐาน) - ทำ� การเปรียบเทียบตนเองอ้างองิ ตามความเหมาะสม (ช้ีใหเ้ ห็นการปรบั ปรงุ ) หน้าท่ี -ใช้การอธบิ าย ความชดั เจน - ใช้ภาษาไทยสำ� หรบั ขอ้ เสนอแนะถ้าเปน็ ไปได้ - ทำ� ซ้�ำ - พูดชา้ - ใช้คำ� ศพั ทง์ ่าย ๆ อธบิ ายเงอื่ นไขสำ� คัญ - ท�ำใหเ้ ป็นงานประจ�ำ การประเมนิ เพื่อเรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั เพื่อสง่ เสริมการเรยี นรู้ 75
ความเฉพาะ สาระการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั น�้ำเสียง - ให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เพ่ือเช่ือมตอ่ ความรแู้ ละทกั ษะทีน่ ักเรียนมอี ยแู่ ลว้ - ให้ข้อมูลยอ้ นกลับเพอื่ นำ� ไปใชใ้ นชวี ิตจรงิ (บ้านชุมชน) ตามบรบิ ท - ใหน้ กั เรียนอธบิ ายเหตุผลของพวกเขา - ให้นกั เรยี นอธบิ ายความคิดเหน็ - ตอบสนองและสนบั สนนุ - ฟงั นักเรยี นและตอบสนองทันทีดว้ ยการปรบั บทเรยี นทเี่ ก่ยี วข้องกับ ข้อเสนอแนะท่ีได้จากการสนทนา 4. นักเรยี นที่ไม่เตม็ ใจเรยี น นักเรียนทไี่ มเ่ ต็มใจเรยี น ท่ีรู้ตัวเองวา่ ไม่ประสบความส�ำเร็จในการเรียน มกั จะค้นุ เคย กับการลงความเห็นว่าพวกเขา “โง่” บ่อยคร้ังท่ีพวกเขาไม่ตั้งใจฟังข้อมูลย้อนกลับที่มีอยู่ใน ข้อเสนอแนะและเป็นเจตนาดีจากครู สำ� หรบั นักเรยี นเหลา่ นี้ข้อมลู ย้อนกลับทเ่ี สนอแนะตอ่ นกั เรยี น ต้องจัดการกับความรู้สึกเชิงลบของนักเรียนออกไปก่อนแล้วจึงให้ข้อมูลที่เหมาะสมพอเพียง เพื่อให้นักเรียนมีความเช่ือม่ันในการท�ำความเข้าใจและใช้งานได้ โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษ กับเสียงของความคิดเห็นจากนักเรียนเหล่านี้ น่ันคือแนวโน้มตามธรรมชาติที่อธิบายว่าเร่ืองนี้ เป็นสิ่งที่ผิดและท่ีถูกต้อง และเป็นส่ิงท่ีน่าปฏิบัติท่ีอาจจะดีกว่า ครูหลายคนที่ใช้ค�ำพูดแบบนี้ให้กับ นกั เรียนที่ประสบความส�ำเรจ็ ไม่แตกต่างกับนักเรยี นทไี่ ม่ประสบความส�ำเรจ็ การสื่อสารท่ีดีจะกลายเป็นค�ำท�ำนาย การตอบสนองตนเองของนักเรียนได้รับการ สนับสนุนที่ดีและปรับปรุง เพราะนักเรียนท่ีไม่เต็มใจเรียนจะไม่รับฟังข้อมูลของครู เพราะจะได้รับ การปิดก้ันโดยการตัดสินของนักเรียน ปัญหาก็คือไม่ได้ส่ิงที่คุณต้องการจะพูด แต่เป็นส่ิงท่ีนักเรียน ตอ้ งการจะไดย้ นิ การกลา่ วเทจ็ กบั นกั เรยี นเกยี่ วกบั คณุ ภาพของการทำ� งานไมไ่ ดเ้ ปน็ ขอ้ เสนอแนะทดี่ ี เมอื่ เขาไมไ่ ดท้ ำ� สงิ่ ทคี่ รคู วรชน่ื ชม จงึ ควรนำ� กลยทุ ธแ์ นะนำ� สำ� หรบั การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เชน่ นำ� เสนอ วิธีท่ีมุ่งเน้นความคิดเห็นเก่ียวกับขั้นตอนการใช้งานของนักเรียนท่ีเป็นความคิดเห็นของนักเรียนเอง ที่มีการอ้างอิง แสดงความคิดเห็นในหน่ึงหรือสองจุดที่ส�ำคัญ และแนะน�ำข้ันตอนขนาดเล็ก ส�ำหรับการปรับปรุง ใช้ค�ำศัพท์ง่ายและตรวจสอบความเข้าใจของค�ำศัพท์ที่เก่ียวข้องกับเนื้อหา สดุ ท้ายตรวจสอบความเขา้ ใจของความคิดเหน็ ของตวั เอง 76 การประเมินเพ่อื เรยี นรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลบั เพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้
ตวั อยา่ งกรณนี ้ี เชน่ นกั เรยี นคนหนงึ่ ในชน้ั เรยี นมคี วามสามารถในการทำ� งานดา้ นภาษา ช้ากว่าคนอื่น นักเรียนมักจะท�ำงานเสร็จเป็นคนสุดท้าย และมีปัญหาเพ่ิมข้ึนเม่ือครูมอบหมายงาน ที่มากกว่าคนอ่ืนนักเรียนมักจะงงและไม่เข้าใจ ในขณะท่ีคนอ่ืนดูเหมือนจะเข้าใจ นอกจากนี้ เมื่อครูให้นักเรียนเขียนงาน งานของนักเรียนมักจะเป็นข้อความท่ีสั้นท่ีสุดในช้ันเรียน ดังน้ัน ในการมอบหมายงาน ครูควรให้นักเรียนส�ำรวจความสนใจของตนเองก่อนว่าสนใจเรื่องอะไรบ้าง ท่ีเชื่อมโยงกับเร่ืองราวในชีวิตประจ�ำวันของตัวเอง เพ่ือให้สามารถพัฒนาเขียนเรื่องได้ดีข้ึน นอกจากน้ีเม่ือนักเรียนแสดงให้เห็นว่านักเรียนยังไม่เข้าใจในค�ำส่ังของครู ครูจะต้องอธิบายเพ่ิมเติม ในส่ิงท่ีจะให้นักเรียนปฏิบัติ เป็นล�ำดับข้ันตอน เมื่อนักเรียนสามารถปฏิบัติได้ส�ำเร็จแล้ว ครูต้องให้นักเรียนอธิบายถึงจุดอ่อนของเขาท่ีไม่สามารถท�ำงานได้ส�ำเร็จในตอนแรก เพ่ือให้ครู น�ำกลยทุ ธน์ ้ไี ปใช้แกไ้ ขจดุ ออ่ นของนักเรียนในการท�ำงานครงั้ ตอ่ ไป การประเมินเพ่ือเรียนรู้ : การต้งั คำ�ถามและการให้ขอ้ มลู ย้อนกลับเพอ่ื ส่งเสริมการเรียนรู้ 77
ตวั อยา่ งการให้ข้อมูลยอ้ นกลบั จากใบงานนักเรียน ครูสามารถใช้ดาวและรูปแบบบันไดที่จะให้ข้อเสนอแนะให้กับนักเรียน ดาวบ่งบอก ถงึ สงิ่ ทนี่ ักเรยี นทำ� ได้ดแี ละบันไดแสดงให้เหน็ ขน้ั ตอนทน่ี กั เรยี นจะตอ้ งใช้เวลาในการปรบั ปรงุ ชอื่ __________________________________________ วันท่ี _________________ ที่มา : Chappuis, Jan. Seven strategies of Assessment for learning (1st ed., p. 208), © 2009. Reprinted by permission of Peason Education, Inc., Upper Saddle River, NJ. 78 การประเมนิ เพอ่ื เรียนรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั เพ่ือสง่ เสรมิ การเรยี นรู้
แบบฟอร์มการประเมนิ ผลการสนทนา นักเรียนสามารถด�ำเนนิ การส่วนแรกของแบบฟอร์มน้ีกอ่ นท่จี ะได้รับขอ้ เสนอแนะ จากนั้นครูใหข้ อ้ เสนอแนะ และนกั เรยี นเขียนตอบทสี่ นองกับแผนทตี่ ้องท�ำต่อไป ชอ่ื : ______________________________________ วนั ที่ : ________________________ งานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย : _________________________ จดุ เน้น : ______________________ ความคดิ ของนกั เรียน จดุ แขง็ ของฉนั ______________________________________________________________ ________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ สง่ิ ทีน่ กั เรยี นคิดว่าตอ้ งท�ำงานตอ่ ไป______________________________________________ _______________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ ขอ้ มูลยอ้ นกลับ จดุ แขง็ __________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ งานทที่ ำ� _________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ แผน สงิ่ ทน่ี กั เรยี นจะท�ำตอนนี้ _____________________________________________________ ________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ ทม่ี า : Chappuis, Jan. Seven strategies of Assessment for learning (1st ed., p. 208), © 2009. Reprinted by permission of Peason Education, Inc., Upper Saddle River, NJ. การประเมนิ เพอ่ื เรียนรู้ : การตั้งคำ�ถามและการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับเพือ่ สง่ เสรมิ การเรียนรู้ 79
ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ในตวั อย่างขา้ งต้น มกี ารแนะแนวขอ้ ท่ีผิดพลาด ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ในตวั อยา่ งขา้ งตน้ ครใู หค้ ำ� แนะนำ� นกั เรยี นเกย่ี วกบั ประเภทของความผดิ พลาดทป่ี รากฏ (S = Spelling, P = Punctuation, C = Capitalization) ข้อมูลยอ้ นกลบั ในตวั อยา่ งข้างต้น แสดงให้เหน็ ว่านกั เรียนทมี่ ีขอ้ ผดิ พลาดปรากฏขึ้น แตใ่ ห้นกั เรยี น ตรวจสอบสงิ่ ท่ผี ิดพลาดและวธิ กี ารแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ งเอง ที่มา : Chappuis, Jan. Seven strategies of Assessment for learning (1st ed., p. 208), © 2009. Reprinted by permission of Peason Education, Inc., Upper Saddle River, NJ. ข้อมลู ย้อนกลับท่มี ีประสทิ ธภิ าพและไมม่ ปี ระสิทธิภาพ 80 การประเมินเพื่อเรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่อื ส่งเสริมการเรยี นรู้
งาน : _________________________หน่วย : _____________________ ชื่อ : __________________________ วันที่ : ______________________ เกณฑค์ วามส�ำเร็จ เปรียบเทยี บขอ้ มลู ย้อนกลับ การกระท�ำของนักเรยี น/ ในการท�ำกิจกรรม จากครกู บั การกระท�ำ วิธกี ารทีน่ ักเรียนตอบสนอง ของนกั เรียน ตอ่ ข้อมลู ยอ้ นกลบั ที่ไดจ้ ากครู สรปุ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ทใี่ หไ้ ว้ และระบขุ น้ั ตอนทเ่ี ฉพาะเจาะจงในการปรบั ปรงุ งานในครงั้ ตอ่ ไป อยา่ งน้อย 2 ข้อ การประเมนิ เพ่ือเรียนรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เพื่อสง่ เสรมิ การเรียนรู้ 81
ชื่อ : ____________________________________________________________________ เป้าหมายการเรียนรู้ (s) : ______________________________________________________ ________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________ เกณฑค์ วามส�ำเร็จ วันท่ี ข้อมลู ย้อนกลบั การด�ำเนินการ (ทเ่ี สร็จสมบรู ณโ์ ดยนกั เรยี น) 82 การประเมินเพ่ือเรยี นรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพอ่ื สง่ เสริมการเรียนรู้
7สิ่งส�ำคัญเกีย่ วกบั การให้ข้อมูลย้อนกลบั ควรให้ข้อมลู ย้อนกลบั ถา้ นักเรียนรู้สึกปลอดภยั ข้อมูลยอ้ นกลบั จากผูเ้ รยี น ที่สง่ เสริมความสำ� เร็จ จะเกิดการเรยี นรู้และ ทีม่ ปี ระโยชนต์ อ่ การพัฒนา ของผู้เรียน พัฒนาไดม้ ากขน้ึ คุณภาพการจัดการเรยี นรู้ การให้เพอ่ื นให้ข้อมูลยอ้ นกลับ ขอ้ มูลยอ้ นกลบั ท่ที �ำใหเ้ กดิ ใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั อยา่ ง ซ่งึ กนั และกนั เป็นสิง่ สำ� คญั การเปลีย่ นแปลงมกั เกิดขึน้ หลากหลาย ครอบคลุม ของการเรยี นรู้ ในระหวา่ งการจัดการเรียนรู้ คุณภาพผลงาน กระบวนการ ทำ� งาน การกำ� กบั ตนเอง และคุณลักษณะส่วนบุคคล ใหน้ กั เรยี นกำ� หนดเปา้ หมาย ของตนเองอยู่เสมอ แล้วให้ข้อมูลย้อนกลบั ที่เป็นประโยชน์ต่อการ บรรลุเปา้ หมายของแตล่ ะคน การประเมินเพือ่ เรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรยี นรู้ 83
ตัวอย่างการใช้คำ� ถามและการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั สแู่ ผนการจัดการเรยี นรู้ ตวั อยา่ งแผนการจัดการเรยี นรู้ ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร ์ เรอ่ื ง การเกิดราก จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. อธิบายโครงสร้างและการเกิดรากพชื ได้ 2. จ�ำแนกพืชโดยใช้ลักษณะรากเป็นเกณฑไ์ ด้ กิจกรรมการเรียนรู้ กจิ กรรม ค�ำถาม ระดบั ค�ำถามของบลมู / การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั 1. ขั้นน�ำเขา้ สู่บทเรยี น (5 นาท)ี ค�ำถาม : พืชทคี่ รนู �ำมานี้ - การจดั จ�ำแนก 1.1 ครูน�ำตน้ พืชมาแสดงให้ มสี ว่ นประกอบอะไรบา้ ง - ความรู้ (กฎความจริง) นักเรียนดู และใชค้ �ำถามกระต้นุ (ราก ล�ำตน้ ใบ ดอก ฯลฯ) ให้นกั เรียนสนใจในการเรียน ถามตอ่ : ทีน่ ักเรียนตอบนน้ั ใชป้ ระสาทสมั ผัสทางใด (ตา) 1.2 ครูน�ำเมลด็ ถ่ัวเขยี ว ค�ำถาม : ถา้ เราเพาะเมล็ดพืช - ความรู้ (กฎความจรงิ ) และเมล็ดขา้ วโพด มาแสดง ทัง้ 2 ชนดิ นี้ นกั เรียนคิดวา่ ข้อมลู ย้อนกลับ : ให้นักเรยี นดู สว่ นใดของพชื จะงอก ใสค่ วามคดิ เหน็ ลงไปดว้ ยรึเปล่า ออกจากเมล็ดเป็นอันดบั แรก การบอกข้อมูลหรือรายละเอียด ของสง่ิ ตา่ ง ๆ โดยไมใ่ ส่ ความคดิ เหน็ ลงไป เราเรียกวา่ การสงั เกต ซ่งึ สามารถ ใชป้ ระสาทสมั ผัสทั้ง 5 ในการรวบรวมขอ้ มลู 2. ขั้นส�ำรวจ ค�ำถาม : นกั เรียนคดิ วา่ - ความรู้ (กฎความจริง) 2.1 นกั เรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ สว่ นใดทงี่ อกออกจากเมล็ด - การวเิ คราะห์ (ความสมั พันธ)์ 6 คน นำ� อุปกรณท์ เี่ ตรียมไว้ เปน็ อนั ดบั แรก - ความเขา้ ใจ (ขยายความ) ข้นึ มาสำ� รวจ มีขวดพลาสตกิ ใส ค�ำถาม : ส่วนใดทงี่ อกออก ตดั คร่งึ ขวด 2 ขวด ส�ำลี จากเมล็ดเป็นอันดับแรก (ราก) เมลด็ ถว่ั เขยี วและเมล็ดขา้ วโพด ถามตอ่ : นกั เรียนใชป้ ระสาท ที่แชน่ ้�ำทง้ิ ไว้ 1 คืน น�ำอปุ กรณ์ สัมผสั ทางใด (ตา) มาเพาะเมล็ดพืชท้ัง 2 ชนิด โดยใสน่ ำ้� ประมาณเทา่ กัน ไวท้ ี่ ที่มีแสงสว่างเท่ากัน 84 การประเมินเพ่อื เรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ข้อมูลยอ้ นกลับเพือ่ ส่งเสรมิ การเรยี นรู้
กจิ กรรม ค�ำถาม ระดบั ค�ำถามของบลูม/ การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั 2.2 ครนู ำ� เมล็ดถว่ั เขยี ว ค�ำถาม : ส่งิ ทงี่ อกจากเมลด็ ถ่วั เขยี ว - ขอ้ มูลย้อนกลับ : และเมล็ดข้าวโพดทง่ี อกแล้ว และเมล็ดข้าวโพดมลี ักษณะ ใส่ความคดิ เหน็ ลงไปดว้ ย มาใหน้ ักเรยี นดู เหมอื นหรอื ต่างกนั หรือไม่ อย่างไร หรือไม่ ค�ำถาม : อกี 3 วนั ลักษณะของ รากตน้ ถวั่ เขียวและตน้ ขา้ วโพด จะเหมือนเดิมหรอื ไม่ (…) - ข้อมลู ย้อนกลบั : ถามต่อ : คำ� ตอบของนักเรยี น เราเรียกการสงั เกตแบบนี้ว่า ไดจ้ ากการสงั เกตใช่หรือไม่ การสงั เกตการเปล่ยี นแปลง เพราะอะไร (...) ควรมกี ารจดบนั ทึก 3. ขัน้ อธิบาย (20 นาที) ค�ำถาม : ลกั ษณะของราก - การวิเคราะห์ (ความสัมพนั ธ)์ 3.1 ครนู �ำตน้ ถัว่ เขยี ว เหมอื นหรือตา่ งกนั อยา่ งไร (…) - ข้อมูลย้อนกลับ : และตน้ ขา้ วโพดท่เี พาะทิง้ ไว้ ค�ำถาม : รากอะไรยาวกว่ากนั เราเรียกการสงั เกตแบบน้ีว่า 2 สัปดาห์ มาให้นกั เรียนดู (...) ทราบไดอ้ ยา่ งไร (...) การสังเกตเชงิ ปรมิ าณ 3.2 นกั เรยี นศึกษา ค�ำถาม : รากแก้วมีลกั ษณะ - การนำ� ไปใช้ ใบความรู้ ครนู ำ� ตน้ หญา้ ตน้ พริก อยา่ งไร (...) - การวเิ คราะห์ (ความสมั พันธ์) ทีม่ ีรากตดิ อยู่ให้นักเรยี นดู ค�ำถาม : นักเรียนบอกลักษณะ ของรากไดอ้ ย่างไร (การสังเกต) ค�ำถาม : นกั เรียนคิดว่า - ข้อมูลยอ้ นกลับ : เราเรยี ก รากของตน้ หญา้ และตน้ พริก การสงั เกตแบบนี้ว่า จัดอยู่ในประเภทใด (ต้นหญ้า การสงั เกตเชิงคณุ ภาพ รากฝอย และตน้ พริกรากแก้ว) 4. ขัน้ สรุป (5 นาท)ี ค�ำถาม : นักเรียนจะอธิบาย - การวเิ คราะห์ (ความสัมพนั ธ)์ ลกั ษณะของรากแกว้ และรากฝอย อยา่ งไร ค�ำถาม : เราจะสรปุ ผล การจ�ำแนกพชื ไดอ้ ยา่ งไร การประเมินเพ่ือเรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการใหข้ ้อมลู ย้อนกลับเพอื่ ส่งเสรมิ การเรยี นรู้ 85
ตัวอยา่ งแผนการจัดการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าท่ขี องรากและล�ำต้น เวลา 2 ชัว่ โมง 1. สาระส�ำคญั รากมีรูปรา่ งเรียว ยาว ปลายแหลม ท�ำหน้าทย่ี ึดล�ำต้นพืชไว้กบั ดนิ ดูดน้�ำและธาตุอาหาร สว่ นลำ� ตน้ มรี ปู รา่ งเหมอื นทรงกระบอก ตง้ั ตรงหรอื โคง้ งอ ขน้ึ อยกู่ บั ชนดิ ของพชื ทำ� หนา้ ทล่ี ำ� เลยี งนำ�้ และธาตอุ าหารไปเล้ยี งสว่ นต่าง ๆ ของพชื 2. ตัวชี้วัด สังเกตและอธิบายรูปร่าง ลักษณะ และหน้าท่ีของโครงสร้างภายนอกของพืชและสัตว์ (ว 1.1 ป.1/2) 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. สังเกตและอธบิ ายรปู รา่ ง ลกั ษณะ และหน้าท่ีของรากและล�ำตน้ ของพชื 2. มคี วามสนใจใฝ่รู้ หรอื อยากรูอ้ ยากเห็น 3. ท�ำงานร่วมกบั ผูอ้ ืน่ อยา่ งสร้างสรรค์ 4. สื่อสารและน�ำความรู้เร่ืองโครงสร้างและหน้าที่ของรากและล�ำต้นไปใช้ในชีวิต ประจ�ำวนั ได้ 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ กิจกรรม ค�ำถาม การให้ข้อมูลยอ้ นกลับ 1. ข้นั น�ำเข้าส่บู ทเรยี น ครู : เรามาชว่ ยกนั บอกช่อื พชื 1.1 ครใู ห้นักเรยี น ในภาพน้ีกันก่อน ดูภาพพชื 2-3 ชนดิ ครู : ล�ำตน้ ของพืชแตล่ ะชนิด - ใช่แลว้ ...แต่มนั ก็ยงั โตได้อีก มลี ักษณะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร - ออ๋ ...อนั นน้ั ไม่ใชร่ าก... ครู : ใครบอกได้บา้ งว่ารากของพืช แต่เราเรยี กวา่ ล�ำตน้ ... แตล่ ะชนดิ ทเ่ี หน็ มลี กั ษณะเปน็ อยา่ งไร ล�ำตน้ ใต้ดินค่ะ นกั เรียน 1 : ตน้ .....รากมีลกั ษณะ....... นกั เรยี น 2 : ตน้ .....รากมลี ักษณะ....... ครู : มีใครช่วยเพ่ือน ๆ บอกลักษณะ ของรากไดอ้ กี บ้าง ครู : นกั เรยี นเคยเหน็ พชื ชนดิ อ่ืน ทม่ี รี ากลกั ษณะเชน่ เดยี วกบั พชื ชนดิ นม้ี ยั้ ครู : นักเรยี นบอกไดม้ ้ยั วา่ รากและ ลำ� ตน้ มหี นา้ ทีอ่ ะไร ครู : เดย๋ี วเราจะไปดกู นั ทไ่ี หนดี 86 การประเมินเพือ่ เรียนรู้ : การตง้ั คำ�ถามและการให้ข้อมูลยอ้ นกลับเพือ่ ส่งเสริมการเรยี นรู้
กจิ กรรม ค�ำถาม การใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับ 2. ขั้นสอน ครู : พชื ชนดิ ใดบา้ งทีส่ ามารถ 2.1 นกั เรียนถอน ถอนออกจากดินไดง้ า่ ยกว่ากนั ตน้ ไม้ เพือ่ สังเกต ครู : ทำ� ไมจงึ ตา่ งกนั ลกั ษณะลำ� ตน้ และราก ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรปุ ผล - ขนาดของพืชกม็ ีผล แลว้ นำ� เสนอจากการ โดยครเู นน้ ให้นักเรยี นเข้าใจว่า ตอ่ การถอน แตเ่ ม่ือสกั ครู่ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม รากแบ่งเปน็ รากแก้วและรากฝอย เราถอนตน้ ไมท้ ม่ี ขี นาด ซ่งึ มีหนา้ ทย่ี ดึ ล�ำตน้ พืชไว้กับดนิ ไมต่ ่างกนั มาก 2.2 นกั เรียนสังเกต ครู : นักเรยี นคิดว่า รากของพืช ตน้ เทียนที่แช่ในแก้วน้ำ� มหี น้าท่อี ่ืนอกี หรอื ไม่ นอกจาก สีแดง จ�ำนวน 2-3 ชุด ยึดล�ำตน้ ท้ิงไวร้ ะยะเวลาตา่ งกัน ครู : นักเรยี นอยากรมู้ ยั้ วา่ รากของพชื (ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั ทำ� อะไรได้อกี ครจู ะได้แสดงให้ สรุปว่ารากมีหน้าที่ นกั เรยี นไดเ้ หน็ ดดู นำ้� และธาตอุ าหาร ครู : นักเรยี นเหน็ อะไรทล่ี ำ� ตน้ ของพืช สว่ นลำ� ต้นมหี น้าท่ี ครู : สใี นลำ� ตน้ มาจากไหนคะ ลำ� เลยี งนำ�้ และธาตอุ าหาร ครู : มนั ขึ้นไปอยใู่ นลำ� ต้นได้อย่างไรเอย่ - ถกู ตอ้ งคะ่ ...ใชแ่ ลว้ ไปสสู่ ่วนตา่ ง ๆ ของพืช) ใครบอกครไู ด้บ้าง ครู : นักเรียนคดิ วา่ สีเขา้ สูล่ ำ� ต้นทางไหน ครู : นกั เรียนเหน็ อะไรที่แตกต่างกันอกี ครู : นักเรียนคิดวา่ ทำ� ไมระดับน�ำ้ ในแต่ละตน้ มันตา่ งกนั ครู : ใครอยากรู้อะไรอกี บ้าง เก่ยี วกับตน้ ไม้ทีเ่ หน็ 3. ขัน้ สรปุ ครู : ลำ� ตน้ มะมว่ งและลำ� ต้นต�ำลึง มีหนา้ ทเี่ หมอื นหรือแตกต่างกนั อย่างไร ครู : นกั เรยี นคดิ ว่า ระหว่างตน้ หญา้ กับตน้ เข็ม ต้นไหนถอนยากกวา่ กนั เพราะอะไร ครูและนักเรียนร่วมกันสรปุ ถึงลกั ษณะ และหน้าทข่ี องรากและล�ำตน้ พชื การประเมินเพื่อเรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับเพอื่ ส่งเสรมิ การเรียนรู้ 87
ตวั อย่างแผนการจัดการเรยี นรู้ การอา่ นออกเสียงค�ำควบแท้ เวลา 1 ชว่ั โมง ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 จุดประสงคก์ ารเรียนร ู้ นักเรยี นสามารถอา่ นออกเสยี งค�ำควบแท้ไดถ้ กู ต้อง กิจกรรมการเรยี นรู้ นกั เรียนท�ำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่ือง การอ่านค�ำในภาษาไทย ขน้ั น�ำเขา้ สู่บทเรยี น ส่ือการเรียนรู้ : เกมขานไข-ใบ้ค�ำ-เขยี นความ ตวั อยา่ งค�ำถามกระตุ้นความคดิ 1. ครูหาอาสาสมัครนักเรียน จ�ำนวน 3 คน • นักเรียนคิดวา่ การอา่ นออกเสยี งค�ำในบตั รค�ำ ออกมาเป็นตัวแทนในการเล่นเกมขานไข- มผี ลตอ่ การใบ้ค�ำหรือไม่ อย่างไร ใบ้ค�ำ-เขียนความ ค�ำที่ใช้ในเกม มีจ�ำนวน (มีผลต่อการใบ้ค�ำ เพราะหากออกเสียงผิด 3 คำ� คอื กอง กรอง กลอง ท�ำจะท�ำให้ความหมายของค�ำเปลี่ยน 2. ครูอธิบายกติกาในการเล่นเกม เพ่ือให้ และจะตอ้ งใบค้ �ำตามค�ำทไ่ี ด้ยิน) นักเรียนเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง • นกั เรยี นคดิ วา่ การเลน่ เกมนม้ี ปี ระโยชนห์ รอื ไม่ หรือให้นักเรียนศึกษาเพ่ิมเติมจากเอกสาร อย่างไร ประกอบการสอน (มีผลท�ำให้เกิดความสนุกสนานและได้ความรู้ 3. นักเรียนร่วมกันเล่นเกมตามกติกา จากน้ัน ทักษะการส่ือสาร ต้องออกเสียงควบกล�้ำ รว่ มกนั อภปิ รายประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั จากการเลน่ เกม ให้ชดั เจนจึงจะสื่อสารไดถ้ กู ตอ้ ง) 4. นกั เรยี นตอบคำ� ถามกระตุ้นความคิด ขน้ั สอน สอ่ื การเรยี นรู้ : 1. หนงั สอื เรยี น หลกั ภาษาฯ ป.6 ตัวอย่างค�ำถามกระต้นุ ความคิด 2. ใบงานท่ี 1.1 • ค�ำทมี่ ลี กั ษณะคลา้ ยกบั ค�ำในเกมทเี่ ลน่ มอี กี มย้ั 1. นักเรียนจับคู่กับเพื่อน แล้วช่วยกันคิดและ อะไรบา้ งคะ รวบรวมค�ำท่ีมีลักษณะคล้ายกับค�ำท่ีปรากฏ (มคี ่ะ เช่น พริก พลิก...) ในการเลน่ เกมใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ ในเวลา 10 นาที • ค�ำที่ยกตัวอย่างมา มีความหมายเหมือนกัน 2. นักเรียนแต่ละคู่ตรวจสอบความถูกต้อง หรอื ตา่ งกนั อยา่ งไร ของคำ� ทีร่ วบรวมไว้ (ต่างกันค่ะ เช่น พริก เป็นชื่อพืชชนิดหน่ึง 3. ครูให้นักเรียนสังเกตค�ำท่ีครูยกตัวอย่างจาก สว่ น พลกิ เปน็ อาการขยบั สงิ่ ของ...) การสมุ่ ผลงานนกั เรยี น แลว้ ใหอ้ า่ นออกเสียง และบอกความหมายของค�ำ เช่น คู-ครู ตา-ตรา พาย-พราย-พลาย 88 การประเมนิ เพื่อเรยี นรู้ : การตัง้ คำ�ถามและการให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เพือ่ ส่งเสรมิ การเรียนรู้
ขัน้ สอน 4. ครูให้นักเรียนศึกษาความรู้เร่ืองการอ่าน • นกั เรยี นคดิ วา่ การอา่ นออกเสยี งค�ำควบกลำ�้ ออกเสยี งค�ำทม่ี ีพยญั ชนะต้น 2 ตวั ออกเสยี ง ให้ชัดเจน ชว่ ยในการสอ่ื สารได้อยา่ งไร คำ� ควบกล�้ำจากใบความรู้ (ช่วยให้ส่ือสารได้ตรงวัตถุประสงค์ และ 5. นักเรียนแต่ละคู่ฝึกอ่านออกเสียงค�ำที่มี มปี ระสทิ ธภิ าพในการสอื่ สาร) พยัญชนะควบกับ ร ล ว • นักเรียนช่วยกันตรวจดูงานของเพ่ือนว่า 6. ครูสังเกตการอ่านออกเสียง เพื่อให้สามารถ ถกู ต้องหรอื ไม่ อยา่ งไร แก้ไขข้อบกพร่องในการอ่านออกเสียงของ (ถกู ตอ้ งค่ะ, ไม่ถกู ต้องค่ะ เช่น ค�ำว่า ปลาพร้า นกั เรียนให้ถกู ตอ้ ง ต้องอ่านว่า ปลา-พร้า ไม่ใช่ ปา-ร้า และ 7. นกั เรยี นตอบค�ำถามกระตนุ้ ความคดิ ค�ำว่า ขรุขระ ต้องอ่านว่า ขรุ-ขระ ไม่ใช่ 8. ครูให้นักเรียนท�ำใบงานที่ 1.1 เร่ือง ข-ุ ขะ...) อ่านออกเสียงอย่างไร ให้ถูกต้อง จากน้ัน แลกเปลยี่ นคำ� ตอบกบั คขู่ องตนเอง หากคำ� ตอบ และการอา่ นออกเสยี งคำ� ไมต่ รงกนั ใหร้ ว่ มกนั อภิปรายค�ำตอบจนได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง แลว้ แกไ้ ขใบงานใหถ้ กู ตอ้ ง และอา่ นออกเสยี ง อยา่ งชดั เจนรว่ มกนั จนมนั่ ใจ กอ่ นนำ� สง่ ครตู รวจ 9. ครสู มุ่ นกั เรยี นทลี ะคนออกมานำ� เสนอคำ� ตอบ ในใบงานที่ 1.1 หนา้ ชั้นเรยี น ครูตรวจสอบ ความถูกต้องและกล่าวชมเชยนักเรียน ทท่ี �ำได้ถกู ต้อง ขั้นสรุป สื่อการเรียนรู้ : - ตัวอย่างค�ำถามกระตนุ้ ความคิด 1. นักเรียนตอบคำ� ถามกระต้นุ ความคิด • วัยรุ่นในปัจจุบันนิยมออกเสียงค�ำไม่ชัดเจน 2. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น ถูกต้อง และคิดว่าเท่และทันสมัย นักเรียน เกี่ยวกับความส�ำคัญของการอ่านออกเสียง มีความคดิ เห็นอย่างไร ค�ำควบกล้ำ� จากน้นั รว่ มกันสรุปความส�ำคัญ (การออกเสียงไม่ถูกต้องอาจท�ำให้การสื่อ และประโยชน์ของการออกเสียงค�ำควบกล�้ำ ความหมายผดิ ไป ไมค่ วรสรา้ งนสิ ยั ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ท่ชี ัดเจนในการสื่อสาร ค่านิยมท่ีผิด เพราะภาษาไทยเป็นภาษา ประจ�ำชาติ เราคนไทยต้องอนุรักษ์และ ใชใ้ หถ้ กู ต้อง) การประเมินเพ่ือเรียนรู้ : การตั้งคำ�ถามและการใหข้ ้อมูลย้อนกลบั เพอื่ สง่ เสรมิ การเรียนรู้ 89
ข้นั สรปุ 3. ครูเสนอแนะให้นักเรียนอ่านหนังสือเก่ียวกับ • การพูดคุยสนทนาในชีวิตประจ�ำวัน จ�ำเป็น การออกเสียงค�ำที่มีพยัญชนะควบกล้�ำ ทจี่ ะตอ้ งออกเสยี งค�ำควบกลำ�้ ใหช้ ดั เจนหรอื ไม่ เพ่ือฝึกอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน เพราะเหตุใด และคล่องแคล่ว แล้วจดบันทึกความรู้ลง (จ�ำเป็น เพราะค�ำท่ีมีพยัญชนะควบกล้�ำ ในแบบบันทกึ การอ่าน หากไม่ออกเสียงควบกล้�ำจะท�ำให้ความหมาย เปลี่ยนไป เชน่ ปลา-ปา กลาย-กาย) • นกั เรยี นคดิ วา่ การอา่ นออกเสยี งค�ำใหถ้ กู ตอ้ ง ชัดเจน มีความส�ำคญั หรอื ไม่ อยา่ งไร (มผี ลตอ่ การสอื่ สาร สอื่ ความหมาย เพราะหาก ออกเสียงผิด จะท�ำให้ความหมายของค�ำ เปล่ียนไป) • ท�ำอย่างไรจึงจะท�ำให้นักเรียนสามารถ อา่ นออกเสียงค�ำใหถ้ กู ต้อง ชดั เจน (ต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีนิสัยรักการอ่าน และบันทึกเรอื่ งราวท่อี ่านอยา่ งสม�่ำเสมอ) 90 การประเมนิ เพื่อเรียนรู้ : การต้ังคำ�ถามและการใหข้ ้อมูลย้อนกลับเพอื่ สง่ เสริมการเรยี นรู้
บรรณานุกรม Assessment Reform Group. (2002). Assessment for Learning : 10 Principles. Cambridge : University of Cambridge Faculty of Education. Brookhart, S. M. (2008). How to Give Effective Feedback to Your Students. Alexandria, VA : ASCD. Dorothy Spiller. (2012). Assessment Matters : Self Assessment & Peer Assessment. Teaching Development Unit. The University of Waikato, New Zealand. Douglas Fisher and Nancy Frey. (2010). Guided Instruction : How to Develop Confident and Successful Learners. Association for supervision and curriculum development. Alexandria, VA : ASCD. Fisher, D. and Frey, N. (2007). Checking for Understanding : Formative Assessment Techniques for Your Classroom. Alexandria, VA : ASCD. Fisher, D. and Frey, N. (2011). The formative assessment action plan. Alexandria, VA : ASCD. Fisher, D., Grant, M., Frey, N. and Johnson, C. (2007). Taking formative assessments schoolwide. Educational Leadership, 65 (4), PP. 64-68. Hattie, J. and Timperley, H. (2007). The power of feedback. Review of Educational Research, 77, PP. 81-112. Jan Chappuis. (2012). How am I doing?. September Education Leadership. Vol. 70 No. 1. Kluger, A. N. and DeNisi, A. (1996). The effects of feedback interventions on performance : A historical review, a meta-analysis and a preliminary feedback intervention theory. Psychological Bulletin, 119 (2), PP. 254-284. Lorrie A. Shepard. (2000). The role of assessment in a learning culture. Educational Researcher, Vol. 29, No. 7, pp. 4-14. Paul Black and Other. (2004). Working Inside the Black Box : Assessment for Learning in the Classroom. Rolheiser, C. and Ross, J. A. (2000). Student self-evaluation-What do we know?. Orbit, 30 (4), PP. 33-36. Rita Berry. (2008). Assessment for Learning. Hong Kong University. Lammar Printing Co., Ltd. HongKong, China. การประเมินเพ่ือเรยี นรู้ : การต้งั คำ�ถามและการให้ข้อมูลยอ้ นกลับเพือ่ สง่ เสรมิ การเรียนรู้ 91
Stichter, J. P., Stormont, M. and Lewis, T. J. (2009). Instructional practices and behavior during reading : A descriptive summary and comparison of practices in Title 1 and non-title elementary schools. Psychology in the Schools, 46 (2), PP. 172-183. The National Society for Education in Art and Design. (2009). Effective Questioning. United Kingdom. The Northern Ireland. (2009). Assessment for Learning : A Practical Guide. Council for the Curriculum Examinations and asessment. United of Kingdom. Walsh, J. A. and Sattes, B. D. (2005). Quality questioning : Research-Based Practices to Engage Every Learner. Thousand Oaks, CA : Corwin. Welsh Assembly Government. (2010). How to Develop Thinking and Assessment for Learning in the Classroom. United of Kingdom. 92 การประเมนิ เพือ่ เรยี นรู้ : การต้งั คำ�ถามและการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับเพ่ือสง่ เสริมการเรียนรู้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108