Best Practice การเลยี้ งปลาในกระชัง โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงใหม่ สังกัด สานักบรหิ ารการศึกษาพเิ ศษ “เด็กดอยปลาสด สะอาดปลอดภัย มั่นใจทกุ ตวั ก่อนเขา้ ถึงครัวคุณ” ความเป็นมา การจัดการศึกษามุ่งเน้นความสาคัญท้ังด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อพัฒนาคนให้มีความ สมดุล โดยยึดหลักผู้เรียนเป็นสาคัญ การนาเอาความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เร่ืองการจัดการ การบารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างสมดุลย่ังยืน ความรู้เก่ียวกับ ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษาเน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ความรแู้ ละทักษะในการประกอบอาชีพ การดารงชวี ิตอยู่ในสังคมอยา่ งมีความสขุ ในยุคเศรษฐกิจปจั จบุ นั ผู้เรียนควรท่ีจะไดเ้ รียนร้แู นวทางปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงซง่ึ สามารถนามาประยกุ ต์ใชใ้ นการปฏบิ ัติกจิ กรรมตา่ งๆโดยเฉพาะนกั เรยี น โรงเรยี นศึกษาสงเคราะหเ์ ชยี งใหม่เปน็ นกั เรียนในกลุ่มดอ้ ยโอกาสทางการศกึ ษา ครอบครัวประกอบอาชพี ทางการเกษตรเป็นส่วนใหญน่ อกจากน้แี ลว้ นกั เรียนบางคนยังมี ปัญหาครอบครัวแนวนโยบาย หลักของทางโรงเรยี นจงึ ตอ้ งรับ นักเรียนเหลา่ นม้ี าอย่เู ปน็ นกั เรยี นประจาเมอื่ จดั กจิ กรรม การเรยี นร้ตู า่ งๆจงึ ควร สอดแทรกแนวทางหลกั ปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพยี งเพอื่ ให้ นักเรยี นไดซ้ ึมซบั แนวทางดงั กลา่ วในการดารงชวี ิตทัง้ ในปจั จบุ ันและอนาคต โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะหเ์ ชียงใหม่ เป็นโรงเรียนสังกัดสานักบริหารงานการศึกษา พิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน จัดเป็นโรงเรียนในกลุ่มท่ีรับ นกั เรียนด้อยโอกาสทางการศึกษาเข้าเรยี นโดยอยู่ประจา การจัดการศึกษาจึงต้องมุ่งเน้น
2 ให้นกั เรยี นเกิดการเรยี นรูเ้ พือ่ เปน็ แนวทางในการประกอบอาชีพในอนาคต แนวนโยบาย ของโรงเรยี นจงึ มุ่งเน้นใหท้ าการจดั การเรียนการสอนตามกล่มุ สาระเพิ่มเติมที่เน้นวิชาชีพ เพื่อฝึกให้นักเรียนเกิดทักษะกระบวนการในกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ลงมือ ปฏิบัติจริง โดยสามารถปฏิบัติงานได้ตามกระบวนการของงานนั้นๆ มีการวางแผน บริหารจัดการ นาเทคโนโลยีหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ได้ตามโอกาสท่ี เหมาะสม เน้นการทางานเป็นทีม ยึดหลักความปลอดภัยในการทางาน และอนุรักษ์ ทรัพยากร ธรรมชาติ เพื่อเปน็ การฝกึ ใหน้ กั เรียนไดเ้ รยี นร้ทู ักษะทางวชิ าอาชพี จึงไดเ้ ปดิ ทาการสอน รายวชิ าการเลยี้ งปลาในกระชัง (ง 20212) โดยให้ผเู้ รยี นได้ศึกษาค้นควา้ ทดลอง และ ปฏบิ ัตจิ รงิ ภายใตบ้ รบิ ทของโรงเรยี น มีการนาของเหลอื ใชซ้ ึง่ ไมม่ คี า่ กลบั มาใช้ประโยชน์ นาเทคโนโลยหี รอื ภมู ิปญั ญาท้องถ่ินท่ถี ูกมองขา้ มหรือลมื เลือนไปกลบั มาใช้เพือ่ สร้างงาน พรอ้ มน้อมนาหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเขา้ มาประยกุ ต์ใช้ตามความเหมาะสม เสริมสร้างรายไดใ้ นระหวา่ งเรยี นวางแผนการทางานเป็นทมี อย่างมรี ะบบ ปฏบิ ัติงานดว้ ย ความรับผิดชอบ มวี ินัย ยดึ หลักความปลอดภยั ในการทางาน เสรมิ สรา้ งความสามคั คีใน หมคู่ ณะ เลอื กใช้วสั ดุอปุ กรณต์ ่างๆในกระบวนการผลิตและการจดั การทีม่ ีคณุ ภาพใน ราคายุตธิ รรม ผลผลิตทไ่ี ด้จากการทางานมคี ณุ ภาพเทยี บเคยี งกบั ท้องตลาด และมีความ ปลอดภยั ต่อผ้บู รโิ ภค วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ใหน้ กั เรียนมีรายไดร้ ะหวา่ งเรียน 2. เพื่อใหน้ กั เรียนมที ักษะด้านอาชีพ และสามารถนาไปประกอบอาชีพได้อนาคต 3. เพือ่ ใชแ้ หล่งนา้ ธรรมชาติใหเ้ กดิ ประโยชน์ 4. เพอื่ ใหน้ ักเรียนได้รบั ประทานอาหารโปรตีนคุณภาพสูง เป้าหมาย เลี้ยงปลาแบบหมุนเวยี นประมาณ 2,500 กโิ ลกรมั ต่อปี การดาเนนิ งานกระชังปลาพารวย (ตามโครงการ สอร.) Plan - เขยี นโครงการและแตง่ ตัง้ คณะกรรมการดาเนินงาน - รวบรวมสมาชกิ จัดตง้ั บรษิ ทั จาลอง
3 - วิเคราะห์การตลาด - วางแผนการเลยี้ งปลา Do - ศึกษาวิธกี ารเลย้ี งปลา พนั ธ์ุปลา การเจรญิ เติบโต และการตลาด - สรา้ งกระชังปลา - ปฏิบัติการเลี้ยงภายใต้กรอบแนวคิด“คิดเป็น ทาได้ ขายเป็น” พร้อมน้อมนาหลัก ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้อย่าง สรา้ งสรรค์ - ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เพื่อพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ สงู ขนึ้ - วเิ คราะห์เปรียบเทยี บผลผลิตทไ่ี ด้กบั ทอ้ งตลาดเพือ่ กาหนดราคาขาย - การจดั ทาบัญชี รายรับ รายจ่าย - บูรณาการ STEM ศกึ ษาเพือ่ พฒั นาอาชีพเชงิ พาณิชย์ Check - ตดิ ตามตรวจสอบการดาเนินงานบริษทั จาลอง - ตรวจสอบประชังปลา การเจรญิ เติบโตของปลา Action - สรปุ การดาเนินกจิ การบรษิ ัทและปันผลใหส้ มาชิก ตามแนวทางของสหกรณ์ - วธิ ีการสรา้ งการกระชังปลาประหยัดต้นทุน
4 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ท่มี งุ่ เนน้ ภาคทฤษฎคี วบคู่กบั การปฏบิ ตั พิ รอ้ มๆกัน วิเคราะห์สภาพปญั หา บูรณาการสะเตม็ วเิ คราะหห์ ลักสูตรแกนกลาง -เลีย้ งปลาดุก ศกึ ษา -เลีย้ งปลาทับทมิ วเิ คราะหบ์ ริบทของโรงเรียน นกั เรียน ครู ผู้ปกครอง ชมุ ชน จดั ทาหลกั สตู รสถานศึกษา (รายวชิ าการเลยี้ งปลาในกระชัง) ออกแบบการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน ( ทฤษฎี ปฏบิ ัติ องค์ความรู้ใหม่ และผลผลติ พัฒนาสู่การสรา้ งอาชีพ
5 การจดั การเรียนการสอน กจิ กรรมสอร. ชมุ นมุ รายวิชาเพม่ิ เติม ปจั จัยความสาเร็จ 1.นักเรยี นรู้จักแผนธุรกจิ BMC มกี ารวางแผนกระบวนการทางานอยา่ งเป็นระบบ มีการ เรยี นรทู้ กั ษะอาชพี และทกั ษะชีวิต เรยี นรู้การทางานและการแกไ้ ขปญั หาในการทางาน ได้ดแี ละมรี ายไดร้ ะหวา่ งเรยี นเป็นแนวทางในการประกอบอาชพี ได้ 2.โรงเรียนเปน็ ศนู ยก์ ารเรยี นรู้หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงและนกั ธรุ กจิ น้อยมี คุณธรรมนาสูเ่ ศรษฐกิจสรา้ งสรรค์ 3. นกั เรียนได้บริโภคอาหารท่มี โี ปรตีนสงู 4. ใชแ้ หล่งน้าธรรมชาตใิ ห้เกิดประโยชน์ 5. รว่ มมือรว่ มใจสังคมไทยยง่ั ยืน (partnership) กับ มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ เกษตร อาเภอแมร่ มิ บรษิ ัทฟารม์ ธงชัย
6 ฐานการเรยี นร้อู าชีพแบบบูรณาการตามหลักของปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ฐานการเรียนรู้ กระชังปลาพารวย อันดับแรกในการเลยี้ งปลาคือเราตอ้ งมคี วามรูเ้ กย่ี วกับ ชนิด ลกั ษณะของพันธุ์ปลา พ้ืนที่ใน การเลี้ยง อาหารของปลา วิธีการป้องกันโรคหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเล้ียง ปลา และที่สาคัญคอื เราตอ้ งมตี ลาดไว้รับซื้อปลาของเรา ในการเลี้ยงปลานั้นเราต้องมี ความขยันอดทนในการ ทางานรักษาความสะอาดในการชาแหละปลา ทาความ สะอาดบริเวณชาแหละปลา เพื่อให้ลูกค้ามีความม่ันใจ ในความสะอาดมีความสามัคคี ให้ความร่วมมือซ่ึงกัน และกัน รหู้ นา้ ทีข่ องตน มีความมุ่งม่ันในการทางาน เมื่อ เกิดปัญหาก็ช่วยกันคิดแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ยอมรับฟัง ความคิดเหน็ ซง่ึ กันและกนั ในการเลี้ยงปลาเราต้องวางกระชังให้พอดี กับขนาดบ่อปลาในแตล่ ะกระชงั เราจะต้องเลี้ยงปลา ให้พอดีกับขนาดของกระชัง เพราะถ้าใส่มากเกินไป ปลาจะโตไม่เท่ากันรวมถึงการให้อาหารจะต้องให้ อาหารในปริมาณที่เหมาะสมกับจานวนปลาและ ขนาดของปลา ไม่ให้มากเกินไปเพราะตามสัญชาตญาณของปลาดุกจะคายอาหารเก่าเพ่ือกิน อาหารใหม่ ซ่ึงจะทาให้เกิดอาหารตกค้างและกลายเป็นปัญหาน้าเน่าเสีย การเล้ียงปลาก่อให้เกิด ประโยชน์ช่วยทาให้มีรายได้ระหว่างเรียนมีความรู้สาหรับการประกอบอาชีพการเล้ียงปลาใน อนาคต มีอาหารประเภทโปรตีนสาหรับการบริโภคในโรงเรียน ในการเลี้ยงปลาของเราน้ันเรา จะต้องมีการวางแผนการเลี้ยงอย่างรอบคอบ ไว้ อย่างรอบคอ บ ทั้งด้ านเงิ นลงทุน ต ลา ด ระยะเวลาในการเล้ียง การจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ สถานท่ีการเลี้ยงปลา และการจัดเก็บ เงนิ ทนุ สารอง ในเมื่อเรามีความรู้และหลักการในการ เลีย้ งปลาก็จะทาใหเ้ ราไดป้ ลาท่มี คี ณุ ภาพ เปน็ ทตี่ ้องการของตลาดซ่ึงการทางานในแต่ละคร้ังเราจะ ทางานกันเป็นกลุ่มจึงต้องมีการแบ่งหน้าท่ีการทางาน และท่ีสาคัญคือ ต้องอาศัยความสามัคคี ภายในกลุม่ จึงจะก่อให้ไดผ้ ลท่ีดี การเลี้ยงปลาของพวกผมยงั เปน็ อีกช่องทางหน่ึงท่ีช่วยอนุรักษ์พันธุ์ ปลาไว้ให้กับรุ่นต่อๆไปและยังเป็นการใช้บ่อในโรงเรียนให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย กระบวน การศึกษาจะเป็นกระบวนการพ่สี อนนอ้ งต่อๆ กนั การเปน็ รุ่นสรู่ นุ่ ซึง่ ฐานการเรียนรู้ของพวกผม ยัง ได้นาศาสตร์พระราชามาเก่ียวข้องในเร่ืองของศาสตร์ภูมิปัญญา คือการนาเง่ือนเชือกมาใช้ในการ
7 มัดโครงเหล็กกับการเย็บกระชัง จะช่วยกันเย็บกระชัง นอกจากนี้ได้บูรณาการให้เข้ากับหลักของ STEMS(Science)พวกผมก็จะสังเกตการณ์ดารงชีวิตของปลา ใช้หลักการแรงลอยตัวในการทา ทุ่น การตรวจสอบรอยร่ัวของถัง การวัดอุณหภูมิของน้า และพ้ืนที่อยู่อาศัยของปลา T(Technology) พวกผมได้นาเคร่ืองปั้มน้ามาดูดน้าแล้วปล่อยไปตามแต่ละกระชัง เพ่ือเพิ่ม ออกซิเจนในน้า E (Engineering) เป็นออกแบบการทาโครงเหล็ก ให้มีขนาดพอดีกับกระชังปลา และสุดท้ายM (Mathematic) ในการคานวณปรมิ าตรของกระชัง ให้เหมาะสมกับจานวนปลา การ ทารายรับ-รายจา่ ย และจาหนา่ ยปลา
8 การเลยี้ งปลาดุก เศรษฐกิจพอเพยี งกับการเลี้ยงปลาดุกในกระชงั เปน็ ปรชั ญาทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดารัสชี้แนะแนวทาง การดาเนิน ชีวิตแกพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและเม่ือภายหลังได้ทรงเน้นย้า แนวทางแกไ้ ขเพื่อใหร้ อดพน้ และสามารถดารงอยู่ได้อย่างมั่นคงและย่ังยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความ เปลยี่ นแปลงตา่ งๆ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. แนวคดิ หลกั เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับต้ังแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐบาล ท้ังในการพัฒนาและการบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกจิ เพอ่ื ใหก้ ้าวทนั ต่อโลกยคุ โลกาภวิ ัตน์ 2. เป้าหมาย มุง่ ให้เกิดความสมดลุ พรอ้ มรบั ตอ่ การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม สง่ิ แวดล้อม และวฒั นธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอยา่ งดี 3. หลักการ ความพอเพยี ง หมายถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล การสรา้ งภูมิคุม้ กนั ในตัวพอสมควรต่อการมี ผลกระทบใดๆ อนั เกิดจากการเปลีย่ นแปลงท้ังภายนอกและภายใน 4. เงื่อนไขพน้ื ฐาน จะต้องอาศัยความรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างย่ิงในการนาวิชาการต่างๆ มาใช้ในการ วางแผน และการดาเนินการทุกขั้นตอน การเสริมสร้างจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นัก ทฤษฎี และนักธุรกิจ ในทุกระดับให้สานึกคุณธรรม ความซ่ือสัตย์ สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดาเนินชีวิตดว้ ยความอดทน ความเพยี ร มสี ตปิ ัญญา และความรอบคอบ 5. นยิ ามของความพอเพยี ง ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดไี มน่ อ้ ยเกนิ ไป และไม่มากเกนิ ไป โดยไม่เบียดเบียด ตนเองและ ผูอ้ น่ื เชน่ การผลติ และการบริโภคทอี่ ยใู่ นระดบั พอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกับความพอเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดย พิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกย่ี วข้อง ตลอดจนคานึงถงึ ผลทคี่ าดว่าจะเกดิ จากากรกระทาน้นั ๆ อย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และความเส่ียงจากการ เปล่ียนแปลงด้านตา่ งๆ ท่คี าดวา่ จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล 6. เงือ่ นไขเพ่อื ให้เกดิ ความพอเพียง 6.1 การตัดสินใจและการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ให้พอเพียงต้องอาศัยท้ังความรู้และคุณธรรม พ้นื ฐาน 6.2 เงอ่ื นไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรูเ้ กี่ยวกบั วิชาการตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวข้องอย่างรอบ ดา้ น ความรอบคอบทจ่ี ะนาความรูเ้ หล่าน้ันมาพิจารณาใหเ้ ชื่อมโยงกัน เพ่ือประกอบการวางแผน และความ ระมดั ระวงั ในขนั้ ปฏิบตั ิ
9 6.3 เงอื่ นไขคณุ ธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วยมีความตระหนักในคุณธรรม เช่น มคี วามซอื่ สัตยส์ ุจรติ ความอดทน ความเพียร ใชส้ ติปญั ญาในการดาเนนิ ชวี ติ 7. ผลท่เี กดิ ข้นึ 7.1 มิติด้านวัตถุ เช่น การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ผลผลิตท่ีได้มีคุณภาพ ปลอดภยั ตอ่ ผบู้ ริโภค เป็นตน้ 7.2 มิติด้านสังคม เช่น การทางานร่วมกันเป็นทีมเกิดความสัมพันธ์ในหมู่คณะ การ แบง่ หน้าท่ีในการทางาน การเปน็ ผนู้ าและผู้ตามทด่ี ี การพฒั นาสงู่ านอาชพี เป็นตน้ 7.3 มติ ดิ า้ นขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม เช่น การถ่ายทอดองค์ความรู้ จากรุ่นต่อรนุ่ การนาภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินมาใชเ้ พื่อพัฒนางาน เป็นต้น 7.4 มิตดิ า้ นส่ิงแวดล้อม การใชท้ รัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัดไม่ทาให้เกิดมลพิษ เปน็ ตน้ การเลอื กทาเลในการเล้ยี งปลาดกุ ในกระชัง ทาเลที่เหมาะสมมีความสาคัญอย่างยิ่งสาหรับการเลี้ยงปลาดุกในกระชัง เพราะจะส่งผลถึง ความสาเร็จในการเลี้ยงปลาดุกในกระชัง เพราะจะส่งผลถึงความสาเร็จของการเล้ียงปลาเป็นอย่าง มาก หากผู้เลี้ยงสามารถเลือกทาเลที่เหมาะสมได้ การเล้ียงละไม่ประสบปัญหามากนัก ซ่ึงการเลือก ทาเลท่ีจะใชเ้ ลยี้ งปลาดุกในกระชงั น้ันให้คานงึ ถงึ ปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. คุณภาพของน้า ต้องดี ใสสะอาด มีออกซิเจนสูง ไม่มีน้าเสีย อยู่ไกลโรงงานอุตสาหกรรม อนั จะทาใหเ้ กดิ สภาวะนา้ เสยี และสารพิษอืน่ ๆ เจือปนได้ 2. เป็นแหลง่ ท่มี ีกระแสนา้ ไหลสะดวก ความลกึ ของน้าท่ีใช้แขวนลอยกระชังควรมีความลึกไม่ น้อยกว่า 2 เมตร เพื่อให้ปริมาณน้าเพียงพอต่อการไหลเวียน และสามารถถ่ายเทเศษอาหารและของ เสยี ในกระชังได้ 3. การคมนาคมสะดวก ง่ายตอ่ การลาเลียงลกู พนั ธุป์ ลา อาหารปลา และนาปลาออกจาหน่าย ตลาด 4. ในบริเวณที่ใช้เล้ียงปลาในกระชัง ควรปราศจากศัตรูธรรมชาติและโจรผู้ร้าย เพราะผู้ที่คิด ไม่หวังดีอาจมาลักลอบตัดกระชังขโมยปลาดุกท่ีเลี้ยงไปได้ ดังนั้นควรอยู่ในแหล่งท่ีเพื่อนบ้านมี ความคิดเปน็ มิตรตอ่ กนั การเล้ยี งปลาดุกจงึ ประสบความสาเรจ็ ไปไดด้ ว้ ยดี พนื้ ท่ีทีเ่ หมาะสมต่อการเลยี้ งปลา 1. แหล่งน้าเช่นแม่น้า ลาคลอง หนอง บึง อ่างเก็บน้า เข่ือน ท่ีมีระบบชลประทานเพ่ือ การเกษตร ต้องคานงึ ถงึ ภาวะน้าเสียจากแหล่งชมุ ชนและโรงงานอุตสาหกรรมท่ีปล่อยน้าทง้ิ 2. อยูใ่ กล้ชมุ ชนท่ีมีผูบ้ รโิ ภคนยิ มปลาดุกสงู และทางคมนาคมสะดวก เพื่อความสะดวกในการ จาหน่ายและไม่เปลืองค่าใช้จ่ายในการขนส่ง การอยู่ใกล้เส้นทางท่ีมีรถยนต์เข้าถึงจะสะดวก เพราะ การขายปลาดกุ จะขายใหแ้ กพ่ อ่ ค้าคนกลางซงึ่ ตระเวนจับตามฟารม์ ต่าง ๆ และไปขายยังตลาดอีกทอด หนงึ่ 3. อยูใ่ กลแ้ หล่งพันธ์ุปลาดกุ สามารถหาพันธป์ุ ลาได้ง่ายและไมแ่ พงเกนิ ไป
10 4. อยู่ใกล้แหล่งหาอาหารปลาได้สะดวก หรืออยู่ใกล้แหล่งจาหน่ายอาหารปลาสาเร็จรูป รวมท้งั ใกลแ้ หล่งจาหนา่ ยยาและสารเคมีทใ่ี ชป้ อ้ งกันและกาจัดโรคปลาดกุ 5. พ้นื ที่สงบ หาแรงงานได้ง่าย สะดวกทีจ่ ะขยับขยายพ้นื ท่ีเลยี้ งได้ในอนาคต คุณสมบัติของน้าทเ่ี หมาะสมในการเลยี้ งปลา 1. อณุ หภูมิ อณุ หภมู มิ สี ว่ นสาคัญในกระบวนการต่าง ๆ ภายในร่างกายของตัวปลา เช่น การ กนิ อาหาร การสบื พันธ์ุ การเคลือ่ นไหว การหายใจ ปกติปลาตอ้ งการอุณหภูมิในการอยู่อาศัยท่ี 25-32 องศาเซลเซยี ส ในการเคลอ่ื นยา้ ยปลาจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง ต้องให้ปลาค่อย ๆ ปรับตัวจาก การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิ 2. ความขนุ่ ของนา้ แสดงถึงความสามารถของสารแขวนลอยในน้าท่ีจะขัดขวาง สะท้อน และ ดูดซับแสงเอาไว้ได้ สิ่งที่ทาให้น้าขุ่นได้แก่อินทรีย์สารและอนินทรีย์สารในน้า ความขุ่นของน้าตาม ธรรมชาตจิ ากอนิ ทรียส์ ารขดั ขวางการสงั เคราะห์แสงของพืชในน้าทาให้มีปรมิ าณออกซิเจนในน้าลดลง 3. ความเปน็ กรด ดา่ ง <4.0 เป็นอนั ตรายตอ่ ปลา ทาให้ปลาตายได้ 4.0-6.5 ปลาทนอยไู่ ด้แตโ่ ตช้า ใหผ้ ลผลติ ตา่ การสบื พันธห์ุ ยดุ ชะงกั 6.5-9.0 เป็นช่วงท่ีเหมาะสมต่อการเลย้ี งปลา 9.0-11.0 ไม่เหมาะแกก่ ารดารงชีวิต ถ้าต้องอาศัยอยนู่ านจะใหผ้ ลผลติ ตา่ >11.0 เป็นพษิ ตอ่ ปลา 4. ปริมาณออกซิเจนท่ีละลายในน้า ปลาต้องการใช้ออกซิเจนในน้าในการหายใจ ปลาจะ ได้รับออกซิเจนสองทางคือ ออกซิเจนจากบรรยากาศที่อยู่บนผิวน้า และออกซิเจนท่ีละลายอยู่ในน้า ซง่ึ กข็ ้นึ อยกู่ ับแสงท่ีจะทาใหพ้ ืชเกิดการสังเคราะห์แสงได้ ออกซเิ จนออกมา พันธุ์ปลาดุก ปลาดุกเป็นปลาที่มีอยู่ทั่วไปในน้าจืดเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นอินเดีย พม่า ไทย ลาว ฯลฯ สาหรบั ประเทศไทยพบตามแหลง่ น้าลาคลองทว่ั ๆไป ตามธรรมชาติของปลาดุกจะอยู่ในน้าจืดสนิท พื้นดินเป็นโคลนตม มีนิสัยชอบกินอาหารหน้า ผิวดิน เป็นปลาทมี่ ีตาขนาดเล็กแตม่ ีหนวดทสี่ ามารถรับความรสู้ กึ ได้ดี โดยปกติปลาดุกมีนิสัยว่องไวกิน อาหารจาพวกเนือ้ สัตวแ์ ต่ถา้ นามาเลี้ยงสามารถฝกึ ใหก้ ินอาหารผิวนา้ ได้ ปลาดกุ เป็นปลาอยใู่ นครอบครัว Clariidae มลี กั ษณะกลมยาว ลาตวั ไม่มเี กล็ด มสี เี ทาปนดา ส่วนหัวแบน มีแผ่นกระดูกบางๆต่อกันเป็นช้ินๆปกคลุมทั้งด้านบนละด้านล่าง ตัวยาวเรียว ครีบหลัง ยาว ไม่มีกระโดง ครีบท้องยาวถึงหาง มีหนวด 4 คู่และมีอวัยวะช่วยในการหายใจจึงช่วยให้ปลาดุก ทนทานสามารถอยใู่ นสภาพพน้ น้าไดน้ าน ปลาในครอบครวั Clariidae ในเมอื งไทยมี 2 สกลุ คือ Clarias และ Prophagorus ปลาดกุ ในสกลุ Clariidae มีลกั ษณะท่ีสาคัญคือ ครีบหลงั ครีบหาง และครีบกน้ เจรญิ แยกออกจากกัน ปลาในสกลุ น้ไี ดแ้ ก่ 1. ปลาดุกด้าน (Clarias batrachus ) อาจเรียกแตกต่างกันไป เช่า ปลาดุกเลา ปลา
11 ดกุ เผือก ปลาดุกนา้ จดื ปลาดกุ แดง 2. ปลาดกุ อยุ (Clarias melanoderma ) บางทอ้ งทเ่ี รียกปลาดกุ เลา ปลาดกุ เนื้อออ่ น 3. ปลาดัก (Clarias melanoderma ) มีมากนาคกลางตามหนอง บึง เช่นที่ จงั หวัด พิจิตร และนครสวรรค์ 4. ปลามอด (Clarias teymanni ) ลกั ษณะคลา้ ยปลาดุกดา้ น พบท่ีจังหวัด นครศรธี รรมราช สาหรับปลาในสกุล Prophagorus มีลกั ษณะท่ีสาคญั คอื ครบี หลัง ครีบหาง และ ครบี ก้นเจรญิ เชื่อมตดิ กัน ปลาในสกลุ น้ไี ด้แก่ 1. ปลาดุกลาพัน (Prophagorus nieuhofii ) ลาตัวมีสีค่อนข้างดา และมีจุดขาว ตาม ลาตัวยกเว้นทีท่ อ้ ง พบในจงั หวดั พัทลุง อาเภอหลงั สวนจังหวดั ชุมพร 2. Prophagorus cataractus พบทจี่ งั หวัดนครศรธี รรมราช ปลาดุกท่นี ิยมบรโิ ภคกนั โดยทัว่ ไปมี 3 ชนดิ คือ ปลาดุกดา้ น ปลาดุกอยุ และปลาดกุ บิ๊กอุย 1. ปลาดุกด้าน ปลาชนิดนี้มีช่อื เรยี กแตกต่างกนั ไป เช่น ดกุ เลา ดุกเผือก ดุกเอน็ ดุกแดง เป็นปลาท่ีมีสีของผิวหนังลาตัวค่อนข้างดา เน้ือสีขาว น่ิม มีมันน้อย ส่วนหัวค่อนข้างแหลม ส่วนปลายกระดูกท้ายทอยแหลมยาวเม่ือเปรียบเทียบกับความกว้างของฐานกระดูกดังกล่าว ปลาดุก ด้านท่ีมีลาตัวสีเทาปนดาเรียกว่าปลาดุกเผือก ส่วนปลาที่มีสีค่อนข้างแดงเรียกว่าปลาดุกแดง หรือดุก เอน็ พวกนีส้ ่วนมากมจี ุดขาวเลก็ ๆ ตามลาตัว ธรรมชาตขิ องปลาดกุ เป็นปลาทีช่ อบสรา้ งโพรงวางไขต่ ามรมิ ตลิ่งในแหล่งน้าที่ปราศจาก ส่งิ รบกวน ท่ีมีระดับน้าลึก 20-25 เซนติเมตรโดยปลาตัวผู้จะเป็นผู้สร้าง ภายในโพรงจะล่ืนเป็นมัน ที่ ปากโพรงจะมีพันธุ์ไม้น้าปิดไว้ โดยปกติปลาดุกด้านมักจะวางไข่ตอนเช้ามืดโดยท่ีปลาเพศผู้จะฉีด น้าเชือ้ ผสมกับไข่แบบผสมภายนอก หลงั จากน้ันปลาตวั ผู้จะดูแลไข่จนกว่าจะฟักเป็นตัวไข่ปลาดุกด้าน มีลักษณะเป็นเม็ดกลม สีเหลืองอ่อน หรือเหลืองปนน้าตาล มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.6 มิลลิเมตรเป็น ประเภทไข่จมมีเมือกเหนียวยึดติดกันเป็นแพในก้นหลุมภายในโพรง ในแหล่งน้าท่ัวไปปลาดุกด้าน สามารถวางไขป่ ีละ 2 ครั้ง ตั้งแตเ่ ดือนพฤษภาคมถงึ เดือนพฤศจกิ ายนโดยจะวางไข่ชุกในชว่ งฤดฝู น 2. ปลาดกุ อยุ เปน็ ปลาท่มี ผี ิวหนงั สคี อ่ นขา้ งเหลอื ง มีจดุ ประตามลาตัว เน้อื มสี ี เหลือง นิ่ม มันมาก ส่วนหัวค่อนข้างทู่ ส่วนปลายกระดูกท้ายทอยป้าน ส้ันนิสัยของปลาดุกอุยเหมือน ปลาดุกด้าน คือค่อนข้างดุ เป็นปลาที่กินเน้ือเป็นอาหาร ไม่ชอบอยู่ในท่ีมีแสงสว่างมากเกินไป จะ เชื่องชา้ ในเวลากลางวัน เป็นปลาท่ีหากินอาหารในเวลากลางคืนอยู่ได้หนาแน่นในพื้นท่ีแคบๆ ปรับตัว ในการกนิ อาหารไดด้ ี สามารถฝกึ ใหก้ ินอาหารลอยน้าได้ ปลาดกุ อยุ เจรญิ พนั ธุ์เมอ่ื อายไุ ด้ 8 เดอื นข้นึ ไป ความแตกตา่ งระหวา่ งเพศสามารถดูไดจ้ าก อวัยวะเพศซ่ึงตัวผู้จะมีติ่งแหลมยื่นออกมาส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะเพศเป็นรูปวงรี จะวางไข่ในช่วงฤดู ฝน ปลาดุกอุยมักจะวางไข่ตามท้องนาที่มีน้าท่วมขังหลังจากฝนตกใหม่ๆ โดยปลาตัวเมียจะขุดหลุม กว้างประมาณ 30 เซนติเมตร ลึกประมาณ 5-8 เซนติเมตร และวางไข่ลงในหลุมที่เตรียมไว้โดยไข่จะ
12 ติดกับรากหญ้าภายในหลมุ เม่อื วางไข่แลว้ ตวั ผูเ้ ปน็ ผดู้ แู ลรักษาไข่ ใช้เวลาประมาณ 24-30 ช่ัวโมงไข่จะ ฟักเป็นตวั ปกติปลาดุกอยุ อาศัยอยตู่ ามแหลง่ นา้ ธรรมชาติหาอาหารตามผวิ หนา้ ดนิ มกี ารเคลอ่ื นไหว คล่องแคล่วว่องไวชอบกินอาหารประเภทเน้ือสัตว์ เช่น ตัวอ่อนของแมลงน้า กุ้ง ลูกปลาเล็กๆ ฯลฯ นอกจากน้ียังชอบกินเนือ้ ทเี่ นา่ เปอ่ื ย แต่ถ้านามาเลีย้ งก็สามารถฝกึ ใหก้ ินอาหารได้ 3. ปลาดกุ บ๊ิกอยุ ไดม้ ีผู้นาปลาดกุ ชนดิ หนงึ่ เข้ามาเลีย้ งในประเทศไทย ซึ่งเป็นปลา ในตระกูลแคทฟิชเช่นเดียวกับปลาดุกอุย มีถ่ินกาเนิดในประเทศแอฟริกา มีช่ือว่า Clarias gariepinus Afrian Sharptooth catfish เป็นปลาที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วมาก กินอาหารได้ แทบทุกชนิด มคี วามต้านทานตอ่ สภาพแวดล้อมสูง แตเ่ ป็นปลาท่ีมขี นาดใหญม่ เี น้ือเหลวสีซีดขาวไม่น่า รับประทาน ได้มกี ารเพาะขยายพนั ธโุ์ ดยมีการผสมข้ามพันธุ์กบั ปลาดกุ อยุ เพศเมีย ลกู ปลาท่ไี ด้มมี ีอตั รา การเจริญเตบิ โตรวดเร็ว แขง็ แรง ทนทานตอ่ โรคสงู มีลกั ษณะใกลเ้ คยี งกับปลาดุกอุย เน้ือและรสชาติดี ราคาถูก เป็นที่นิยมบริโภคของประชาชน จึงทาให้มีการผสมพันธุ์ และเลี้ยงอย่างแพร่หลาย ซึ่งปลา ลูกผสมน้เี รยี กว่า ปลาดกุ บ๊กิ อยุ หรอื อยุ บ่อ 4. ปลาดกุ ยักษ์ หรอื ปลาดกุ เทศ หรือปลาดกุ รสั เซีย ถ่นิ กาเนิดเดมิ อยู่ในประเทศ แอฟรกิ ากลาง ชาวรสั เซยี นามาแพรพ่ ันธ์ใุ นประเทศลาว คนไทยนามาจากลาวอีกต่อหนึ่ง ปลาดุกยักษ์ เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าปลาดุกอุย และปลาดุกด้าน มีลาตัวสีเทาอมเหลือง ไม่มีจุดตามลาตัว ผนัง ท้องมีสีขาวตลอดจนถึงโคนหาง หัวแบนใหญ่ กะโหลกเป็นตุ่มไม่เรียบมีรอยบุ๋มตรงกลางเล็กน้อย ใต้ คางมสี ีขาว หนวดมี 4 คู่ โคนหนวดใหญ่หยักแหลมมี 3 หยัก ปากป้านหนาแบน ครีบหูมีเงี่ยงใหญ่สั้น น่ิมไม่แหลมคม และสัดส่วนปลายของครีบอ่อนหุ้มถึงปลายครีบแข็ง ครีบหลังปลายครีบสีแดง ครีบ หางกลมใหญส่ ีเทาปลาครบี มสี แี ดงและมแี ถบสขี าวพาดบริเวณคอดหาง อปุ นิสยั ใจคอ เป็นปลาท่ีชอบอยู่สงบนิง่ เวลาหวิ จงึ ว่ายน้าพล่าน กินอาหารทุกชนิด ตาโต ดูซ่ือและเชื่อง ไม่ชอบขุดดินเป็นโพรง ไม่ชอบมุดดินหนี ไม่หนีจากบ่อ เล้ียงง่าย อาศัยอยู่ได้ท้ังน้าตื้น นา้ ลกึ นา้ ไหล และน้านง่ิ ปลาดกุ ยกั ษ์ มกี ารสบื พนั ธุแ์ ละผสมพนั ธ์ุท้ังภายในและภายนอก ทงั้ ยังสามารถผสมพันธ์ไุ ด้ ทกุ ฤดูกาล และไดไ้ ขจ่ านวนมากๆ พฤติกรรมการเอาตวั รอดของตัวอ่อนสงู หากได้รบั การเอาใจใสด่ ูแล จากคากล่าวข้างต้นจึงสรุปได้ว่าในขณะน้ีเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมเล้ียงปลาดุกบิ๊กอุย เน่ืองจากเป็นปลาท่ีมีเนื้อและรสชาติอร่อยใกล้เคียงกับปลาดุกอุย แต่มีอัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว สามารถเพาะเลย้ี งไดท้ กุ ฤดู มคี วามทนทานตอ่ สภาพแวดลอ้ มสูง ใหผ้ ลตอบแทนทางด้านธุรกิจสูง อาหารและการใหอ้ าหารปลาดุกในกระชัง 1. อาหาร 1.1 ระดบั โปรตีนในอาหาร ปริมาณโปรตีนที่เหมาะสาหรับการเจริญเติบโตท่ีมีอายุต่างกันจะ ต่างกัน ปลาวัยอ่อนจะต้องการระดับโปรตีนในอาหาร 30-40% แต่ในปลาใหญ่จะต้องการระดับ โปรตนี ในอาหาร 25-30% 1.2 ปลาดกุ ขนาดเลก็ (2-3 ซม.) ควรให้อาหารผสมคลกุ น้า ป้นั เปน็ ก้อนหว่านให้ท่ัว
13 1.3 ลกู ปลามีขนาดโตขน้ึ (5-7 ซม.) สามารถฝกึ ให้กนิ อาหารเม็ดได้ 1.4 ปลาโตต้ังแต่ 15 ซม ข้ึนไป สามารถอาหารเสริมชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น ปลาเป็ดผสมรา ละเอียด อัตราส่วน 9:1 , อาหารผสมบดจากส่วนผสมต่าง ๆ เช่น กระดูกไก่ ไส้ไก่ เศษขนมปัง เศษ อาหารตา่ ง ๆ การให้อาหารเสรมิ ตอ้ งระวังเร่ืองคุณภาพของน้าให้ดี เพราะอาหารอาจทาให้น้าเน่าเสีย ได้ 2. การให้อาหาร การเลย้ี งปลาในกระชงั เน้นการให้อาหารเพื่อเร่งผลผลิตและการเจริญเติบโต ควรให้อาหารท่ี มีคุณค่าทางโปรตีนค่อนข้างสูงและเหมาะสมต่อความต้องการของปลาแต่ละขนาด ปัจจัยท่ีควร พจิ ารณาในการให้อาหารปลาในกระชังได้แก่ 2.1 เวลาในการให้อาหาร เนอ่ื งจากปลาจะกินอาหารไดด้ เี มอ่ื มีปริมาณออกซิเจนในน้าสูง ซ่ึง ต้องเปน็ เวลากลางวัน ดังนนั้ จึงควรให้อาหารปลาในเวลากลางวัน 2.2 ความถใ่ี นการให้อาหาร การใหอ้ าหารท่มี ากเกนิ ไปจะทาให้สูญเสียคุณค่าทางสารอาหาร และอาจทาให้น้าเน่าเสียได้ ควรให้อาหารน้อย ๆ แต่มีความถ่ีบ่อย ๆ คือ 4-5 คร้ังต่อวัน จะช่วยเร่ง การเจริญเติบโตและให้ผลตอบแทนสูงสุด 2.3 อัตราการใหอ้ าหาร ปริมาณอาหารที่ให้ปลากินจะขึ้นอยู่กับขนาดของปลา ควรให้วันละ ประมาณ 5% ของน้าหนักรวมของปลาท่ีเลี้ยงทั้งหมด โดยทาการสุ่มปลาจานวนหน่ึงข้ึนมาคานวณ เพอ่ื หานา้ หนักเฉลีย่ ตวั อยา่ งเชน่ มีปลาดุกในกระชงั 200 ตวั สุ่มปลาขึ้นมา 10 ตัว มีน้าหนักดังน้ี 0.5 , 0.6 , 0.4 , 0.5 , 0.7 , 0.6 , 0.6 , 0.5 , 0.4 , 0.5 หาน้าหนักเฉลี่ยของปลาโดย นาน้าหนักของปลา ที่สุ่มมาบวกกัน หารด้วย จานวนปลาท่ีสุ่มข้ึนมา 0.5+0.6+0.4+0.5+0.7+0.6+0.6+0.5+0.4+0.5 / 10 เท่ากับ 0.53 หาน้าหนักปลาทั้งบ่อโดย เอาน้าหนักเฉล่ียคูณจานวนปลาทั้งหมด 0.53 x 200 = 106 กิโลกรมั ให้อาหารปลา 5% ของนา้ หนักปลาทงั้ หมด 5/100 x 106 = 5.3 กโิ ลกรัม 2.4 อุณหภูมิของน้า หากอุณหภูมิของน้าสูงขึ้น จะทาให้การกินอาหารของปลาสูงขึ้นด้วย อุณหภมู ินา้ ทเ่ี หมาะสมประมาณ 25-30 องศาเซลเซยี ส 2.5 การจัดการระหว่างการเล้ียง ควรมีการตรวจสอบกระชังเพ่ือซ่อมแซมส่วนท่ีชารุดทุก ๆ สปั ดาห์ รวมทง้ั สุ่มปลามาตรวจสอบน้าหนักเพื่อปรับปริมาณอาหารทไ่ี ด้อย่างเหมาะสม 2.6 บรเิ วณท่ใี ห้อาหารแตล่ ะคร้งั ควรมีมากกว่า 1 แห่ง และควรให้เป็นเวลา เพื่อฝึกให้ปลารู้ เวลาและกินอาหารให้ทั่วถึงกนั ไม่เป็นการแออัด และแย่งอาหารทารา้ ยกันเอง โรคท่ีเกดิ กบั ปลาดกุ และวิธปี ้องกนั แกไ้ ข โรคของปลาดกุ แบง่ ตามลกั ษณะอาการได้ดงั ต่อไปน้ี 1. อาการติดเชื้อจากแบคทีเรียจะมีการตกเลือด มีแผลตามลาตัวและครีบ ครีบกร่อน ตาขุ่น หนวดหงิก กกหูบวม ทอ้ งบวม มีน้าในช่องท้อง กินอาหารนอ้ ยลงหรือไมก่ นิ อาหาร ลอยตวั 2. อาการจากปรสิตเข้าเกาะติดตัวปลา จะมีเมือกมาก มีแผลตามลาตัว ตกเลือด ครีบเปื่อย จดุ สีขาวตามลาตัว สตี ามลาตัวซดี หรอื เข้มผดิ ปกติ เหงอื กซดี ว่ายนา้ ทุรนทรุ ายไมต่ รงทิศทาง 3. อาการจากอาหารมีคุณภาพไม่เหมาะสม ขาดวิตามิน C กะโหลกร้าว บริเวณใต้คางจะมี การตกเลือด ตัวคด กนิ อาหารน้อยลง ถ้าขาดวติ ามิน B ปลาจะวา่ ยนา้ ตวั เกรง็ และชกั กระตกุ
14 4. อาการจากคณุ ภาพน้าในบ่อไม่ดี ปลาจะวา่ ยน้าข้นึ ลงเร็วกวา่ ปกติ ลอยหัว ครบี กร่อนเปื่อย เหงอื กซดี และบวม ลาตวั ซีด ไม่กินอาหาร ท้องบวม มีแผลตามลาตวั สารเคมีและยาปฏชิ วี นะทีน่ ยิ มใชแ้ ละรกั ษาโรคปลา 1. เกลอื ใช้กาจดั แบคทเี รียบางชนิด เช้ือรา ปรสติ บางชนดิ ลดความเครียดของปลา 2. ปูนขาว ฆ่าเช้ือก่อนปล่อยปลา ใชป้ รบั pH ของดินและน้า 3. คลอรนี ใชฆ้ ่าเชื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ทใี่ ชก้ ับบ่อเล้ียงปลา 4. ดพิ เทอรเ์ ร็กซ์ ใช้กาจดั ปลิงใส เห็บปลา หนอนสมอ ยาที่ใช้ควรเป็นผงละเอียดสีขาว ถ้ายา เปลย่ี นเปน็ ของเหลวไม่ควรใช้ 5. ฟอรม์ าลนิ ใช้กาจดั ปรสิตภายนอกทว่ั ไป ระหว่างการใช้ควรระวังการขาดออกซเิ จนในน้า 6. ออกซเี ตตรา้ ไซคลิน ใชก้ าจัดแบคทีเรีย 7. คลอแรมฟนิ ิคอล ใช้กาจัดแบคทเี รีย บางครงั้ ก็ใชไ้ ม่ไดเ้ นอื่ งจากแบคทเี รยี ด้ือยา สาหรบั ผลิตสารบาบัดนา้ เสยี และขจดั กลนิ่ เหม็นจากเศษอาหารเหลอื ทิ้ง สารบาบัดน้าเสียและขจัดกล่ินเหม็นจากเศษอาหารเหลือท้ิง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการย่อย สลายขยะสด ซ่ึงประกอบด้วยวัสดอุ นิ ทรีย์จากเศษอาหาร ผกั ผลไม้ และเนอ้ื สัตว์ โดยกิจกรรมของ จุลินทรยี ใ์ นสภาพทไ่ี ม่มอี อกซเิ จน ได้ของเหลวสนี ้าตาลซง่ึ มีคณุ สมบัตใิ นการทาความสะอาด คอกสตั ว์ บาบัดน้าเสยี และขจดั กลิ่นเหม็นตามท่อระบายน้า สารเร่ง พด.6 เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพการหมักเศษอาหารใน สภาพท่ีไม่มีออกซิเจนเพ่ือผลิตสารบาบัดน้าเสียและขจัดกล่ินเหม็น สาหรับทาความสะอาดคอกสัตว์ บาบัดนา้ เสีย และขจัดกลิ่นเหมน็ ตามทอ่ ระบายน้า วสั ดุสาหรบั ผลิตสารบาบัดน้าเสยี และขจัดกลนิ่ เหมน็ จากเศษอาหารเหลอื ทง้ิ จานวน 50 ลิตร 1. เศษอาหารจากครัวเรอื น 40 กโิ ลกรมั 2. นา้ ตาล 10 กโิ ลกรัม 3. นา้ 10 ลิตร 4. สารเร่ง พด.6 1 ซอง (25 กรมั ) วิธที า 1. นาเศษวัสดุและนา้ ตาลผสมลงในถงั หมกั 2. ละลายสารเรง่ พด.6 ในน้า 10 ลติ ร แลว้ เทลงในถงั หมกั 3. คลกุ เคล้าหรอื คนให้สว่ นผสมเข้ากัน 4. ปดิ ฝาไมต่ อ้ งสนทิ ใชร้ ะยะเวลาหมกั 20 วนั การพจิ ารณาวา่ สารท่ีได้จากการหมักสามารถนาไปใชไ้ ด้แล้ว 1. มกี ารเจริญของจลุ ินทรยี ์นอ้ ยลง 2. กล่ินแอลกอฮอลจ์ ะลดลง และไม่มกี ลิ่นเหมน็ เน่าของขยะ 3. ไมป่ รากฏฟองกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ หรอื มีนอ้ ยลง 4. ไมป่ รากฏคราบไขมัน 5. ได้สารละลายหรอื ของเหลวสนี า้ ตาล 6. ค่าความเปน็ กรด-ด่าง อยูร่ ะหวา่ ง 3-4
15 อตั ราการใช้ เจือจางสารบาบดั น้าเสยี และขจัดกลน่ิ เหม็น : น้า เทา่ กบั 1 : 10 วธิ กี ารใช้ เทสารบาบัดนา้ เสียและขจัดกลนิ่ เหมน็ ทีเ่ จือจางแล้วลงบริเวณท่ีบาบัดทุกวันหรือทุก ๆ 3 วัน ประโยชน์ของสารเร่ง พด.6 1. ทาความสะอาดคอกสตั ว์ 2. ช่วยบาบดั นา้ เสยี และขจัดกลนิ่ เหม็นตามท่อระบายนา้ การจดั การผลผลติ การตลาดปลาดุกนั้นเป็นลักษณะของการเคลื่อนย้ายผลผลิตปลาดุกไปสู่ผู้บริโภค โดย ช้ใี ห้เห็นถึงผลผลิตปลาดุกท้ังหมดจากผู้ผลิตได้ผ่านผู้นาหน้าท่ีทางการตลาดประเภทและระดับต่าง ๆ ในจานวนเท่าไหร่และอย่างไร ไปจนถึงมือผู้บริโภค ลักษณะของการตลาดขึ้นอยู่กับลักษณะและ ปริมาณการผลิตในแต่ละแหล่งเป็นสาคัญ ปลาดุกจากการเล้ียงในลักษณะเป็นบ่อหรือฟาร์มนั้น ถ้าผู้ เลี้ยงหรือเจ้าของฟารม์ ต้องการกระจายปลา ก่อนวิดบ่อปลา ผู้เล้ียงจะไปติดต่อกับพ่อค้าคนกลางก่อน ซงึ่ มีทงั้ พอ่ ค้าคนกลางในท้องถิ่นและพอ่ ค้าคนกลางในจงั หวดั โดยผเู้ ล้ียงจะพยายามขายปลาให้ได้ราคา ดีที่สุด โดยพ่อค้าคนกลางมีบทบาทค่อนข้างสูงในการกาหนดราคาร่วมกับความต้องการของตลาด ราคาปลาดุกจะเปล่ียนแปลงค่อนข้างเร็วขึ้นอยู่กับปริมาณและฤดูกาล โดยทั่วไปพบว่าช่วงเวลา ระหว่างเดอื นกุมภาพนั ธถ์ งึ เมษายนราคาปลาดกุ มกั จะตกต่า เนื่องจากมีปลาจากธรรมชาติออกสู่ตลาด ค่อนข้างมาก เมื่อตกลงราคากันได้ก็จะนัดวันวิดปลา เมื่อถึงวันนัดพ่อค้าจะนาเข่งไปรับปลาท่ีบ้านผู้ เลยี้ ง หลังจากซอ้ื ปลาเสรจ็ แลว้ พ่อคา้ จะนาปลาไปขายให้แก่พ่อคา้ ในอาเภอหรือพ่อค้าในจงั หวดั ผู้เลี้ยงที่ขายปลาให้แก่พ่อค้าในท้องถิ่นนั้น อาจจะมีข้อผูกพันท่ีได้รับลูกปลาและอาหารจาก พอ่ คา้ ในท้องถ่ิน จงึ จาเป็นต้องนาปลามาขายใหซ้ ่ึงจะถกู หักค่าพันธ์ุปลาและอาหาร ผู้เล้ียงหรือเจ้าของ ฟาร์มทม่ี ฐี านะดีอาจจะนาลกู ปลาดุกมาประมลู ขายทีส่ ะพานปลาโดยตรง พ่อค้าคนกลางในท้องถ่ินนอกจากจะรับซ้ือปลามาจากผู้เล้ียงแล้ว อาจจะให้สินเชื่อหรือลูก ปลาและอาหารแก่ผูเ้ ลี้ยง กลา่ วคอื พ่อคา้ ในท้องถิ่นอาจเป็นพ่อค้าขายลูกปลาและอาหารสาหรับเลี้ยง ปลาด้วย และจะรวบรวมปลาใหแ้ กพ่ ่อค้าในอาเภอหรอื จงั หวัด การชาระเงนิ ไมน่ ิยมชาระเปน็ เงนิ สด พ่อค้าในจังหวัดอาจรวบรวมปลาดุกบรรจุลังและบรรทุกมาที่สะพานปลากรุงเทพ หรือ จาหน่ายใหก้ ับพอ่ คา้ ในตลาดใกล้เคยี ง การประมลู ทส่ี ะพานปลา พอ่ ค้าในจงั หวัดจะมีแพปลาที่สะพาน ปลาเอง หรอื เป็นตวั แทนของแพปลา จะไดร้ บั เงนิ กต็ อ่ เมือ่ ประมลู ขายเสรจ็ แล้ว ถ้าเป็นตัวแทนของแพ ปลา ทางแพปลาจะนารถบรรทุกไปรับปลาเอง แพปลาจะหักค่าธรรมเนียมและค่าขนส่งแล้วจึงชาระ เงินสดสว่ นท่ีเหลือให้สาหรบั พอ่ ค้าทไี่ ม่ได้เป็นตัวแทนของแพปลาใดมีทางเลือกที่จะจาหน่ายให้แพใดก็ ไดท้ ีช่ อบพอกนั ไมจ่ าเปน็ ว่าจะต้องผูกขาดว่าจะตอ้ งนาปลามาส่งใหแ้ พปลาใด พ่อค้าในตลาดอื่น ๆ นอกจากจะได้ปลาจากพ่อค้าในท้องถิ่นของตนเองแล้ว อาจซื้อจาก พอ่ คา้ ในจังหวัดใกล้เคียงอีกส่วนหน่ึงเพ่ือจาหน่ายในตลาดย่อยหรือจาหน่ายให้แก่พ่อค้าปลีกในตลาด
16 สดก็ได้ ตลาดย่อย นอกจากจะได้รับปลาดุกท่ีได้จากการประมูลที่สะพานปลาเพื่อจาหน่ายให้แก่ ผู้บริโภคโดยตรงแลว้ อาจจาหนา่ ยใหก้ บั พ่อค้าปลกี กไ็ ด้ โดยสรุปแล้วการเลี้ยงปลาดุกในกระชังผู้เลี้ยงจะต้องเข้าใจในหลักการเล้ียงเป็นอย่างดี เช่น ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองของการเลือกทาเลพื้นท่ี การจัดหาหรือจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ การ คัดเลือกพันธ์ุที่ใช้เล้ียง การให้อาหาร การป้องกันและกาจัดศัตรู การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจน การจดั การผลผลิต หรือนาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ เม่ือผู้เล้ียงมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ี รวมทั้งน้อมนาหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดาริฯ มาประยุกต์ใช้ท้ังในกระบวนการผลิต และกระบวนการจดั การยอ่ มทาใหป้ ระสบผลสาเร็จได้ เอกสารอา้ งองิ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ (2544). การเพาะเลย้ี งปลาดกุ บิ๊กอุย. กองส่งเสริมการ ประมง กรมประมง : โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั กรมพัฒนาที่ดนิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2547). ผลิตภณั ฑ์จุลนิ ทรยี ท์ างการเกษตร ของกรม พัฒนาท่ีดิน. กรุงเทพฯ : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จาเนยี ร ทองพันชงั่ . (2542). ค่มู ือการเลยี้ งปลาดกุ . กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พเ์ กษตรศาสตร์วิชาการ ประพนั ธ์ ธาราเวทย์. (2543). การเพาะพันธุ์และการเล้ยี งปลาดุกอยุ . กรุงเทพฯ : อกั ษรสยามการ พิมพ์ สุนยั เศรษฐบญุ สรา้ ง.(2550). แนวปฏิบตั ิ 7 ขน้ั ส่วู ิถเี ศรษฐกจิ พอเพียง. กรุงเทพฯ:ซเี อด๊ ยเู คช่ัน จากดั (มหาชน).
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: