กบฏผีบุญอีสาน ผู้ เ ขี ย น กฤตพร วงษ์ สุวรรณ 620510436
กบฏผีบุญใน มณฑลอีสาน หากพูดถึงประวัติศาสตร์เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 คงจะเป็นที่ทราบ กันดีอยู่แล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมือง ไทย นั่นก็คือการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครอง หากศึกษาจากมุมมอง ของส่วนกลางสยามก็อาจจะมองว่าการปฏิรูปในครั้งนี้ส่งผลดีอย่างมาก ให้สังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นสุดระบบศักดินาแบบเก่า การปฏิรูปและ จัดระเบียบการปกครอง รวมไปถึงการปฏิรูปการศึกษา นโยบายต่าง ๆ ที่ ได้ทำขึ้นนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการทำให้สยามพัฒนาก้าวหน้าขึ้นเทียบเท่า ชาติตะวันตกที่มีความศิวิไลซ์ แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง การปกครองในครั้งนี้กลับเป็นมูลเหตุที่สำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้ เกิดความขัดแย้งจนเกิดเป็นกบฏในหลายพื้นที่ โดยรายงานเล่มนี้ผู้เขียน จะมุ่งเน้นศึกษากรณีกบฏผีบุญ หรือกบฏผู้มีบุญในภาคอีสาน ซึ่งเป็น ภูมิภาคหนึ่งที่มีบทบาทอย่างมากในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครอง ของไทย ก่อนปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 เดิมทีนั้นภูมิภาคอีสานมีการ ปกครองในรูปแบบหัวเมืองประเทศราช ซึ่งในแต่ละหัวเมืองนั้นก็จะอยู่ ภายใต้สยามแต่ยังคงมีรูปแบบการปกครองของตนเอง โดยมีตำแหน่ง อาชญาสี่ อันประกอบไปด้วย เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร เป็นกลุ่มผู้มีอำนาจในหัวเมืองนั้น ๆ แต่ครั้นเมื่อสถานการณ์การเมือง ไทยเริ่มสั่นคลอนทั้งจากปัจจัยภายนอกนั่นคือภัยคุกคามจากชาติตะวัน ตกอย่างฝรั่งเศส และปัจจัยภายใน ก็ส่งผลให้พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ต้องดำเนินการปฏิรูประบบการ ปกครองสยาม
มูลเหตุปัจจัยที่นำไปสู่ การเกิดกบฏผีบุญ สถานการณ์ทางการเมืองภายนอก จากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังตกอยู่ ภายใต้อำนาจการปกครองของอาณานิคมตะวันตก ทำให้ชนชั้นนำไทย ตระหนักถึงภัยอันตรายของชาติตะวันตกที่กำลังรุกรานเข้ามาในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่ได้ยึดครองประเทศเวียดนาม ซึ่งมีดินแดนติดกับไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บรรดาชนชั้นนำไทยจึงมี ความกังวลว่าฝรั่งเศสมีแนวโน้มที่จะขยายอาณาเขตการปกครองเข้า มายังดินแดนของไทย ซึ่งในขณะนั้นเองไทยยังไม่ได้มีการปักปัน เขตแดนอย่างชัดเจนว่ามีดินแดนหรือเมืองใดบ้างที่อยู่ภายใต้ขอบเขต อำนาจการปกครองของไทย และนั่นอาจเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ฝรั่งเศส สามารถใช้เป็นข้ออ้างได้หากต้องการขยายอิทธิพลเข้ามายึดครองดิน แดน
สถานการณ์ทางการเมืองภายใน เดิมทีนั้นรูปแบบการปกครองของไทยในช่วงรัตนโกสิทร์ตอนต้นเป็น ไปในรูปแบบที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง ประเทศ แต่หากในทางปฏิบัติแล้วอำนาจการปกครองจะตกอยู่กับบรรดา เจ้านายและขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ปฏิบัติหน้าที่ตาม หน่วยงานและกรมที่ตนเองรับผิดชอบ ส่วนการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ นั้นรัฐบาลกลางจะมีอำนาจครอบคลุมเพียงหัวเมืองรายรอบเมืองหลวง เท่านั้น ในขณะที่หัวเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวงอำนาจการควบคุมของ รัฐบาลกลางก็จะยิ่งลดน้อยลง เนื่องด้วยระยะทางที่ห่างไกลรัฐบาลกลาง จึงไม่สามารถเข้าไปดูแลควบคุมได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นหัวเมืองเหล่านี้ก็จะมี อำนาจการบริหารปกครองอย่างอิสระโดยที่รัฐบาลส่วนกลางจะไม่เข้าไป ยุ่งเกี่ยวในด้านการบริหารตราบใดที่หัวเมืองเหล่านี้ยังแสดงความจงรัก ภักดีต่อส่วนกลางและไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร จนกระทั่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ ก็ทรงตระหนักว่าการปกครองแบบจารีตดั้งเดิมนั้นมีปัญหา เนื่องจากการ ปกครองในลักษณะที่กระจายอำนาจนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้มีการฉ้อ ราษฎร์บังหลวงทุจริตเงินภาษีอากรที่เป็นรายได้ของแผ่นดิน การที่ ขุนนางข้าราชการได้รับค่าตอบแทนเป็นเบี้ยหวัดซึ่งได้รับเป็นปี จากการ หักลดภาษีแบบเก็บสิบลดทำให้รัฐส่วนกลางไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะ พระคลังไม่สามารถทราบจำนวนที่แท้จริงของรายได้จากภาษีอากรโดย เฉพาะในหัวเมืองที่ห่างไกล
อีกทั้งการปกครองแบบกระจายอำนาจไปยังหัว เมืองต่าง ๆ ส่งผลให้ขาดเอกภาพในการปกครอง ดินแดนสยาม ซึ่งเอกภาพดังกล่าวหมายถึงการที่ รัฐสามารถรวมอำนาจการปกครองเข้าสู่ศูนย์กลาง เสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมถึง ความจงรักภักดีของราษฎรที่มีต่อรัฐและสถาบัน กษัตริย์ แต่การปกครองแบบเก่านั้นกลับขาด เอกภาพและสร้างปัญหาอยู่บ่อยครั้ง จากการที่ สถาบันกษัตริย์ขาดเสถียรภาพ ไม่มีหลักประกัน หรือกฎเกณฑ์ในการสืบทอดอำนาจทางการเมือง จึงเกิดการแย่งชิงราชสมบัติอยู่หลายครั้ง และหาก กษัตริย์หรือรัฐบาลส่วนกลางบริหารประเทศอย่าง ไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะส่งผลให้เกิดความวุ่นวายใน อาณาจักร จากการที่หัวเมืองโดยรอบลุกขึ้นมาก่อ กบฏเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐส่วนกลาง
ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัย ภายนอก ก็ส่งผลให้รัชกาลที่ 5 ทรงเล็งเห็นว่าจำเป็นต้องมีการ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการบริหารปกครองให้มีเอกภาพและ เสถียรภาพมากขึ้น ทรงพยายามปฏิรูปการปกครองโดยดึง อำนาจจากเหล่าขุนนางมาสู่พระมหากษัตริย์มากขึ้น รวมถึงปฏิรูป ระบบราชการโดยลดอำนาจหัวเมืองต่าง ๆ ให้ขึ้นตรงต่อการ ควบคุมดูแลของรัฐบาลกลางโดยตรง เพื่อเป็นการรวมอำนาจ และปักปันเขตแดนว่าหัวเมืองใดหรือดินแดนใดบ้างที่อยู่ภายใต้ อำนาจการปกครองของสยาม นอกจากนี้ยังได้เข้าไป เปลี่ยนแปลงระบบการบริหารปกครองในแต่ละหัวเมืองโดยยุบ เมืองขนาดเล็กลงเป็นอำเภอ ส่วนเมืองที่มีขนาดเล็กมากให้ยุบ เป็นตำบล แล้วส่งข้าราชการจากส่วนกลางสยามให้เข้าไปประจำ การดูแลบริหารตามมณฑล อำเภอ และตำบลต่าง ๆ เพื่อให้ง่าย ต่อการดูแลควบคุม การที่รัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินนโยบายเปลี่ยนแปลงรูปแบบ การบริหารปกครองเช่นนี้ ส่งผลให้กลุ่มขุนนางชนชั้นสูงและ บรรดาผู้ปกครองเดิมของหัวเมืองต่าง ๆ เกิดความไม่พอใจ เนื่องจากทำให้พวกเขาต้องสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ที่ ตนเองเคยได้รับ จนนำมาสู่การตั้งตัวเป็นกบฏเพื่อต่อต้านอำนาจ รัฐสยาม ซึ่งกบฏผีบุญก็เป็นหนึ่งในปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเพื่อต่อต้าน การดำเนินนโยบายปฏิรูปการปกครองสยามของรัชกาลที่ 5
ประชุมสภาที่ปรึกษา คณะเทศาภิบาลและเสนาบดี ภาพจาก: https://www.vacationistmag.com/reform-king-rama-5/
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ในการปฏิรูปครั้งนี้นอกจากจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบ ราชการแล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจในหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งแก่ผู้ปกครองเดิมของแต่ละเมืองหรือแม้ กระทั่งราษฎรทั่วไป เดิมทีนั้นผู้ปกครองเดิมในหัวเมืองอีสานและ หัวเมืองอื่น ๆ จะมีอำนาจอิสระในการบริหารปกครองภายในท้อง ถิ่นของตนเอง ดังนั้นผู้ปกครองเหล่านี้จึงสามารถเก็บเกี่ยวผล ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่จากการจัดเก็บภาษีของราษฎร แต่เมื่อส่วน กลางได้ส่งข้าราชการเข้ามาดูแลบริหารมณฑลอีสานก็ได้มีการ เปลี่ยนแปลงระบบแบบเก่า โดยมีการประกาศห้ามมิให้เจ้าเมืองเก็บ เงินส่วยจากไพร่โดยไม่มีการกำหนดอัตราและไม่มีใบเสร็จให้เป็น คู่มือแก่ผู้จ่ายเงิน นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มการเก็บเงินราชการจากชายฉกรรจ์ เป็นปีละ 4 บาท จากที่แต่เดิมให้เก็บคนละ 3.5 บาทต่อปี อีกทั้งมี การประกาศใช้พระราชบัญญัติการเก็บเงินข้าราชการ โดยกำหนด ให้แบ่งเงินที่ได้จากการเก็บภาษีให้กำนันตามจำนวนชายฉกรรจ์ คนละ 16 อัฐ (25 สตางค์) ค่าเขียนใบเสร็จคนละ 1 อัฐ (15 สตางค์) ต่อฉบับ นอกนั้นให้ส่งเป็นเงินกลาง ส่วนกรรมการเมือง ผู้ใหญ่จะได้รับส่วนแบ่งเป็นรายปี ตามที่พระราชบัญญัติกำหนด
ซึ่งการที่ส่วนกลางสยามได้เข้ามากำหนดรายได้และจัดระเบียบการ เก็บภาษีตามมณฑลต่าง ๆ ก็ทำให้เจ้าเมืองและกรมการเมืองบาง ส่วนเกิดความไม่พอใจ เนื่องจากเป็นการทำให้ตนเองได้รับผล ประโยชน์น้อยลงจากที่เคยได้รับ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจ้าเมืองหรือ กลุ่มอำนาจเดิมหลายคนตั้งตนเป็นผู้นำผีบุญในการก่อกบฏ หรือหัน ไปเข้าร่วมกับกลุ่มผีบุญ การเข้าไปปฏิรูปเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของมณฑลอีสาน ไม่ เพียงแต่จะส่งผลกระทบแก่บรรดาเจ้าเมืองหรือผู้ปกครองเดิม เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบทางอ้อมให้แก่ราษฎร เนื่องจากเมื่อเจ้า นายเดิมถูกลดผลประโยชน์ลงจากรัฐบาลกลาง คนเหล่านี้ก็หันมา ฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากราษฎรแทน โดยใช้วิธีการ บังคับเก็บเงินจากราษฎร ซึ่งโดยทุนเดิมแล้วราษฎรอีสานมีสภาวะ ทางการเงินที่ค่อนข้างขัดสน เนื่องจากอาชีพของคนส่วนใหญ่คือ เกษตรกรที่ต้องอาศัยปัจจัยด้านสภาพดินฟ้าอากาศเป็นหลักจึงมี รายได้ที่ไม่แน่นอน ประกอบกับสถานการณ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ทำให้ราษฎรไม่สามารถทำการค้าขายวัวควายซึ่งเป็นกิจกรรมทาง เศรษฐกิจที่สำคัญของอีสาน เนื่องจากเมื่อฝรั่งเศสได้เข้ามายึด ครองดินแดนบริเวณเขมรและลาว อีสานจึงต้องสูญเสียตลาดใน การซื้อขายวัวควายกับประเทศดังกล่าวไปหลายแห่ง ดังนั้น เมื่อ ราษฎรยากจนขาดรายได้และต้องมาประสบกับปัญหาการขูดรีดจาก บรรดาเจ้านาย จึงทำให้ราษฎรหลายคนเกิดความไม่พอใจต่อรัฐบาล กลาง และถูกโน้มน้าวชักจูงโดยผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้มีบุญให้หันไปเข้า ร่วมกับกลุ่มกบฏได้อย่างง่ายดาย
สถานการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม โดยพื้นฐานดั้งเดิมของชาวอีสานนั้นมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ของตนเองซึ่งเป็นวัฒนธรรมเดียวกับลาว แต่เมื่อรัฐสยามเข้า มาปฏิรูปเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ รวมไปถึงสภาพสังคม จาก การพยายามปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมให้คนอีสานกลายเป็น “คน ไทย” เหมือนกัน ก็ส่งผลให้ราษฎรชาวอีสานที่ยึดมั่นในประเพณี แบบเดิมเกิดการต่อต้าน ไม่พร้อมที่จะปฏิบัติตามระเบียบวิธี แบบใหม่ที่รัฐสยามกำหนด และด้วยความที่ภูมิภาคอีสานนั้นมี ความผูกพันกับลาวมาอย่างยาวนาน วัฒนธรรม ประเพณี วิถี ชีวิตของผู้คนก็มีความคล้ายคลึงกัน จึงทำให้คนเหล่านี้รู้สึกว่า โครงสร้างและวัฒนธรรมของตนกำลังถูกคุกคามอย่างร้ายแรง สิ่งที่เกิดขึ้นจากนโยบายการปฏิรูปของส่วนกลางสยามที่ พยายามจะทำให้คนในภูมิภาคต่าง ๆ มีสำนึกความเป็นไทย มี มาตรฐาน วัฒนธรรมเดียวกัน ทำให้เอกลักษณ์และคุณค่าทาง วัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาคถูกกลืนกินจากวัฒนธรรมส่วน กลางที่ถูกกำหนดโดยรัฐ ไม่ว่าจะเป็นภาษา ประเพณี แนวปฏิบัติ ในการดำรงชีวิต หรือแม้แต่การศึกษาก็ถูกทำให้เป็นแบบแผน และมาตรฐานเดียวกัน จึงไม่แปลกหากราษฎรจะเกิดความรู้สึก ว่าถูกคุกคามเอกลักษณ์ของท้องถิ่นตนเองและหันไปให้ความ ร่วมมือกับกบฏผู้มีบุญ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะสามารถหวนคืน กลับไปสู่ระบบเก่า
กลุ่มกบฏผีบุญหรือกบฏ ผู้มีบุญอีสาน ณ ช่วงเวลาที่สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจมีความวุ่นวาย ได้เกิดกลุ่มกบฏที่ตั้งตนว่าเป็นผู้มีบุญหลายกลุ่มในหลายพื้นที่โดยเฉพาะ ภูมิภาคอีสาน ผู้เขียนจึงจะนำเหตุการณ์การก่อกบฏมาเพียงแค่บางกลุ่ม เพื่อเป็นกรณีศึกษา จากหนังสือเรื่อง “กบฏไพร่หรือผีบุญ ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของราษฎรกับอำนาจรัฐเหนือแผ่นดินสยาม” ได้ ให้ข้อมูลไว้ว่า เมื่อครั้งเกิดกบฏผู้มีบุญในอีสานช่วงปีพ.ศ. 2444-2445 ได้มีบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้นนั่นก็คือ “องค์แก้วหรือบักมี” ซึ่งได้ประกาศ ตนว่าเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ ชี้ไม้ชี้มือทำอะไร สิ่งไหนเป็นสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้องค์แก้วหรือบักมีสามารถชักจูงชาวบ้านให้เชื่อมั่นใน กลุ่มกบฏและร่วมมือต่อต้านอำนาจรัฐได้ จนกลายเป็นผู้มีบทบาทและถือ ได้ว่าเป็นเจ้าผู้มีบุญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเขตลาวฝั่ งซ้าย
ช่วงที่มีการก่อตั้งองค์กรผู้มีบุญของตนเองขึ้นมานั้น องค์แก้วก็ได้ ไปเข้าร่วมกับหัวหน้าของชาวข่าบางเผ่าได้แก่ นายคมคำ และคมแสง อีก ทั้งยังได้นายร้อยคนหนึ่งมาเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏของตนเองเป็นคนแรก นั่นก็คือ “องค์มั่นหรือวัน” ซึ่งองค์มั่นนี้เป็นชาวลาวที่ปรากฏตัวขึ้นที่เมือง สุวรรณเขตและเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในการก่อกบฏในฝั่ งไทย องค์มั่นได้เริ่มปฏิบัติการก่อกบฏโดยได้ประกาศตนเองว่าเป็นท้าว ธรรมิกราช จากนั้นจึงเริ่มเกณฑ์ทหารและไพร่พลเพื่อทำการติดอาวุธให้ แก่ผู้ร่วมขบวนการ และได้พาพวกองค์บริวารเดินทางไปยังท้องที่ต่าง ๆ ในภูมิภาคอีสานเพื่อชักชวนชาวบ้านให้เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏ ซึ่งวิธีการของ กลุ่มกบฏผู้มีบุญมักใช้วิธีการแต่งตัวนุ่งผ้าจีบแบบบวชนาคสีต่าง ๆ กัน แล้วมีปลอกใบลานเป็นคาถาสวมศีรษะเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้วิเศษ เป็นเทพผู้มีบุญจากสรวงสวรรค์ที่ลงมาจุติเพื่อโปรดมวลมนุษย์ทั้งหลาย จากนั้นจึงเริ่มปล่อยข่าวลือและคำพยากรณ์ โดยป่าวประกาศแก่ราษฎรว่า จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ให้ชาวบ้านระมัดระวังตนเองให้ดี เมื่อราษฎรเห็นคน ต่างถิ่นที่ดูแล้วเป็นผู้ถือศีล ผู้มีบุญบารมีก็พากันเชื่อถือและหันไปหากลุ่ม กบฏผู้มีบุญเพราะต้องการให้คนเหล่านี้ช่วยเหลือ ปกป้องราษฎรให้ รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลาย เมื่อกลุ่มกบฏขององค์มั่นเข้าไปชักจูง เกลี้ยกล่อมราษฎรให้หันมา เข้าร่วมกับตนเองได้จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้รักษาเมืองและกรม การเมืองที่ดูแลท้องที่จึงทำการต่อต้านเพื่อไม่ให้ราษฎรเข้าร่วมกับกลุ่ม กบฏ ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มกบฏและฝ่ายข้าราชการของส่วน กลาง โดยฝ่ายกบฏขององค์มั่นได้เข้าโจรกรรมและเผาเมืองเขมราฐ จาก นั้นได้ทำการสังหารกรมการเมือง 2 คน และจับกุมพระเขมรัฐเดชประชา รักษ์ ผู้ซึ่งเป็นข้าหลวงประจำเมืองเขมราฐเอาไว้เป็นตัวประกัน แล้วจึง ทำการตั้งมั่นที่่บ้านสะพือใหญ่เพื่อรวบรวมอาวุธ เสบียงอาหาร รวมถึง สามารถเกณฑ์ชาวบ้านได้ประมาณ 1,000 คนให้เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏ เพื่อเตรียมตัวไปตีเมืองอุบลราชธานี
จากการที่กลุ่มกบฏผู้มีบุญสามารถรวบรวมกำลังคนและแพร่ขยาย อำนาจไปได้อย่างกว้างขวาง จึงทำให้มีคำสั่งจากข้าหลวงต่างพระองค์ที่ได้ ทราบข่าวว่าคนกลุ่มนี้เป็น “กบฏต่อแผ่นดิน” ว่าหากมีผู้ใดคิดการร้ายต่อ แผ่นดินก็ให้ปราบและจับตัวมาสอบสวนลงโทษให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการ ปะทะต่อสู้กันระหว่างฝ่ายทหารของพันตรีหลวงสรกิจพิศาล ผู้บังคับการ กองพันทหารราบเมืองอุบลราชธานี และกลุ่มกบฏผู้มีบุญ ซึ่งในการปะทะ กันครั้งนี้ฝ่ายทหารก็ต้องพ่ายแพ้และถูกสังหารจนเหลือเพียงพลทหาร หนึ่งนายที่รอดชีวิตกลับมา จากชัยชนะของฝ่ายกบฏผู้มีบุญครั้งนี้ก็ทำให้ ฝ่ายกบฏเกิดความฮึกเหิม และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับราษฎรได้ จึงทำให้มีราษฎรที่ประสงค์เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏผู้มีบุญมากขึ้นเรื่อย ๆ กบฏผู้มีบุญ จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ในมุมมองของรัฐบาลสยามที่ เห็นความจำเป็นว่าจะต้องมีมาตรการปราบปรามอย่างเร่งด่วนและรุนแรง โดยมีคำสั่งให้นายร้อยเอกชิตสรการ ผู้บังคับบัญชาไพร่พล นำกองทหาร และอาวุธ ทั้งปืนใหญ่ ปืนยาวเล็กออกไปปราบปรามพวกกบฏผู้มีบุญ ได้สั่ง ให้ตั้งกองทัพซุ่มอยู่ในป่าบริเวณที่เป็นทางผ่านไปอุบลราชธานี และยังเป็น บริเวณที่ไม่ห่างจากหมู่บ้านและค่ายของกบฏผู้มีบุญมากนัก เมื่อกบฏผู้มี บุญกำลังจะยกพลไปตีเมืองอุบลและต้องผ่านเส้นทางดังกล่าว ร้อยเอก หลวงชิตสรการจึงสั่งให้ทหารเริ่มยิงเพื่อล่อให้กลุ่มกบฏเข้ามาในวงล้อม สมรภูมิจนเกิดการต่อสู้กันครั้งใหญ่ ฝ่ายกบฏผู้มีบุญล้มตายเป็นจำนวน มากจากการถูกกระหน่ำยิงและแรงระเบิดจากปืนใหญ่ การต่อสู้กันในครั้งนี้ส่งผลให้ฝ่ายกบฏผู้มีบุญพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ผู้คนล้มตายจำนวนมาก คนที่ยังเหลืออยู่ทั้งแกนนำอย่างองค์มั่นและชาว บ้านธรรมดาก็แตกฮือหลบหนีเอาตัวรอด มีการจับกุมพวกกบฏผู้มีบุญที่ รองจากองค์มั่นและพรรคพวกชาวบ้านจำนวนกว่า 400 คน คุมใส่ขื่อคา จองจำไปยังเมืองอุบลเพื่อฟังรับสั่งจากข้าหลวงต่างพระองค์ จาก เหตุการณ์การปะทะกันในครั้งนี้ทำให้รัฐบาลลงมือปราบปรามบรรดาผู้มี บุญกลุ่มอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง ส่งผลให้กบฏทางภาคอีสานใน ครั้งนั้นสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว
เห\"ตกุใบดฏจึผงู้ตม้ีอบุงญเป\"็น กบฏผีบุญ หรือกบฏผู้มีบุญ เป็นปฏิกิริยาต่อต้านอำนาจรัฐที่เกิด ขึ้นในหมู่ราษฎรอีสาน จากปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลง ด้านการปกครอง สภาพสังคม หรือเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ ราษฎรและกลุ่มอำนาจเดิมในท้องถิ่นเป็นอย่างมาก จึงเกิดการ พยายามที่จะก่อกบฏโดยมีการนำเอาความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์มา เป็นเครื่องมือชักจูงผู้คนและสร้างความชอบธรรมให้กลุ่มกบฏ ซึ่งเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องเป็น “กบฏผู้มีบุญ” ก็เนื่องจาก ว่าพื้นฐานทั่วไปของชาวอีสานนั้นนับถือ ศรัทธาในหลักคำสอนของ พระพุทธศาสนา เมื่อราษฎรต้องประสบกับปัญหาความทุกข์ยากจาก เศรษฐกิจ สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การถูกกดขี่ขูดรีด และ สภาวะการเมืองที่มีความวุ่นวายไม่มั่นคง ก็ส่งผลให้ราษฎรโหยหาที่ พึ่งทางจิตใจ ดังนั้น เมื่อมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งประกาศตนว่าตนเอง เป็นผู้วิเศษ มีบุญบารมี ก็ย่อมทำให้ราษฎรหันไปพึ่งพาและนับถือ ศรัทธาคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายเพราะเชื่อมั่นว่าท่านผู้นั้นจะ สามารถนำพาให้ตนเองมีชีวิตที่สงบสุขและรุ่งเรืองได้ การเกิดขึ้น ของกบฏผู้มีบุญจึงเรียกได้ว่าเป็นการนำเอาความเชื่อของคนมาใช้ เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสร้างอำนาจความชอบธรรมให้คน กลุ่มหนึ่ง รวมถึงชักจูง ปลุกระดมผู้คนให้เข้าร่วมและเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ภาพจาก: https://www.silpa-mag.com/history/article_8986 อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมีมุมมองว่าถึงแม้การเกิดขึ้นของกบฏผู้มีบุญ ในหลายครั้งอาจไม่ได้เกิดขึ้นเพราะต้องการต่อสู้เพื่อชีวิตความเป็น อยู่ของคนส่วนรวม อาจเป็นเพียงการใช้ความเชื่อความศรัทธา ความ ยากลำบากของคนส่วนมากมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ให้ตัวเองเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้ามเลยคือความยาก ลำบากของราษฎรจากการที่อำนาจรัฐเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต สภาพสังคม และสภาพเศรษฐกิจของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ ว่าใครจะได้เพิ่มพูนหรือลดทอนอำนาจและผลประโยชน์ กลุ่มคนที่ได้ รับผลกระทบมากที่สุดก็คือประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ความคับแค้นใจและความทุกข์ยากของราษฎรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กบฏผู้มีบุญ สามารถแพร่ขยายออกไปได้เป็นวงกว้าง
อ้างอิง สุมิตรา อำนวยศิริสุข. (2524). กบฏผู้มีบุญในมณฑลอีสานพ.ศ. 2444-2445. มหาวิทยาลัยศิลปากร สมมาตร์ ผลเกิด. กบฏผีบุญ กระจกสะท้อนสังคมไทย. วารสาร วิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ วุฒิชัย มูลศิลป์. (2520). หัวเมืองอีสานสมัยปฏิรูปการปกครองใน รัชกาลที่ 5. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สายสกุล เดชาบุตร. (2555). กบฏไพร่หรือผีบุญ ประวัติศาสตร์การ ต่อสู้ของราษฎรกับอำนาจรัฐเหนือแผ่นดินสยาม. กรุงเทพ: ยิปซี กรุ๊ป. สายสกุล เดชาบุตร. (2558). ประวัติศาสตร์บาดแผล หลังการปฏิรูป สมัยรัชกาลที่ 5. กรุงเทพ: ยิปซี กรุ๊ป.
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: