ประวตั ิศาสตรจ์ งั หวดั เลย ประวตั คิ วามเป็นมาของจงั หวดั เลยเพง่ิ จะมปี รากฏแน่ชดั ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจอม- เกลา้ เจ้าอยู่หวั รชั กาลท่ี ๔ แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ครงั้ โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ งั้ เมอื งเลยขน้ึ เม่อื พ.ศ. ๒๓๙๖ ส่วนประวตั คิ วามเป็นมาของจงั หวดั ก่อนหน้าน้ีเป็นเพยี งประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ ในระดบั หม่บู า้ นและการ สรา้ งบ้านแปลงเมอื งซ่งึ เป็นเมอื งโบราณในทอ้ งทจ่ี งั หวดั เลยปัจจุบนั อย่างไรกต็ าม หลกั ฐานทเ่ี กย่ี วกบั ประวตั คิ วามเป็นมาของหม่บู า้ นและเมอื งเหล่าน้ีกเ็ ป็นหลกั ฐานทไ่ี ดจ้ ากคาบอกเล่าสบื ตอ่ กนั มา โดยอาจ ไดร้ บั การบนั ทกึ ไวใ้ นรปู ของสมุดขอ่ ยคมั ภรี ใ์ บลาน รวมทงั้ พงศาวดาร ซ่งึ ยอ่ มจะมสี าระรายละเอยี ดทไ่ี ม่ ตรงกนั นัก เพราะเป็นการบนั ทกึ จากคาบอกเล่าสบื ต่อกนั มาหลายชวั่ คน ตลอดทงั้ หลกั ฐานประเภท จารกึ เช่น ศิลาจารกึ จารกึ ท่ีฐานพระเจดีย์ เป็นต้น ก็มกั เป็นจารกึ ท่ีจดั ทาข้นึ ใหม่แทนของเก่าท่สี ูญ หายไป สมยั ก่อนกรงุ ศรีอยธุ ยา ดนิ แดนท่เี ป็นทต่ี งั้ ของประเทศไทยปัจจุบนั เคยเป็นท่อี ย่ขู องชนเผ่าพน้ื เมอื งหลายกลุ่ม มี ละว้า มอญ ขอม เป็นต้น ต่อมาจงึ มหี ลกั ฐานเก่ยี วกบั การอพยพของชนเผ่าไทยเขา้ มายงั ดนิ แดนน้ี ชนเผ่าพ้ืนเมืองและชนเผ่าไทยได้ตงั้ ถ่ินฐานจนก่อตัง้ เป็นอาณาจักรใหญ่กระจายอยู่ทวั้ ทุกทิศ เช่น อาณาจกั รโยนก อาณาจกั รทวาราวดี และอาณาจกั รอสิ านปรุ ะเป็นตน้ กลุ่มชนทอ่ี พยพมาตงั้ ถนิ่ ฐานในทอ้ งทท่ี ่เี ป็นจงั หวดั เลยจนสรา้ งบ้านแปลงเมอื งไดเ้ ป็น กล่มุ แรกนนั้ เชอ่ื กนั วา่ เป็นชนเผ่าไทยทส่ี บื เชอ้ื สายมาจากบรรพบุรุษทก่ี ่อตงั้ อาณาจกั รโยนก อาณาจกั รโยนกเป็นอาณาจกั รใหญ่ครอบครองดนิ แดนทางภาคเหนือของประเทศไทย ตลอดไปจนถงึ ดนิ แดนแควน้ ตงั เกยี๋ ของประเทศจนี และรฐั ฉานของพม่า มอี ายอุ ยรู่ ะหว่างพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒–๑๘ ตานานสิงหนวตั กิ ล่าวว่า ปฐมกษัตรยิ ์ของอาณาจกั รน้ีทรงพระนามว่า พญาสงิ หนวตั ิ เป็น เจา้ ชายอยทู่ างตอนใตข้ องประเทศจนี อพยพผคู้ นลงมาสรา้ งอาณาจกั รโยนก กษตั รยิ ์ในราชวงศ์พระเจา้ สงิ หนวตั ปิ กครองโยนกนครสบื มาจนถงึ สมยั พระองค์พงั ค- ราช พวกขอมดาซง่ึ มอี านาจอยทู่ างใต้ของอาณาจกั รโยนกตไี ดโ้ ยนกนคร พระองคพ์ งั คราชต้องอพยพ ผู้คนไปตงั้ เมอื งใหม่ทเ่ี วยี งสที วง ๑๙ ปี พรหมกุมารราชโอรสจงึ ปราบปรามขอมดาขบั ไล่ออกไปจาก อาณาจกั รแลว้ อญั เชิญพระองคพ์ งั คราชกลบั มาปกครองโยนกนครใหม่ ส่วนพรหมกุมารหรอื พระเจ้า พรหมตามท่ขี นานนามในภายหลงั ได้สร้างเมอื งชยั ปราการทร่ี มิ แม่น้าฝาง ทาให้อาณาจกั รโยนกเชยี ง แสนมอี านาจยง่ิ ขน้ึ พระเจ้าพรหมครองเมืองชัยปราการจนสวรรคตแล้ว พระองค์ชัยศิริราชโอรส ครองราชยส์ บื ต่อมา ในสมยั น้ีพระเจา้ อนุรุทมหาราช กษตั รยิ ์พม่ามอี านาจยงิ่ ใหญ่ตไี ดอ้ าณาจกั รโยนก และเมอื งชยั ปราการไวใ้ นอานาจ พระองคช์ ยั ศริ กิ อ็ พยพผคู้ นลงใตอ้ นั เป็นดนิ แดนของพวกมอญและขอม เม่อื พ.ศ. ๑๕๔๗
๒ การตงั้ เมืองด่านซ้าย เม่อื อาณาจกั รโยนกล่มสลายแลว้ ชาวโยนกเชยี งแสนทร่ี กั อสิ ระต่างพากนั อพยพไปหา ถนิ่ ทอ่ี ย่ใู หม่ บางพวกอพยพไปรวมกาลงั กบั พระองคช์ ยั ศริ ิ บางพวกกอ็ พยพไปหาทอ่ี ย่อู าศยั ทางแควน้ พางคา พอ่ ขนุ บางกลางหาว และพอ่ ขนุ ผาเมอื ง (เช่อื ถอื กนั ว่าเป็นเชอ้ื สายราชวงศ์สงิ หนวตั )ิ ไดน้ าผคู้ น อพยพมุ่งลงไปทางทศิ ตะวนั ออก เม่อื เขา้ สดู่ นิ แดนลานชา้ งแลว้ จงึ บ่ายหน้าลงไปทางทศิ ใต้ (สนั นิษฐาน ว่าจะนาผคู้ นอพยพผ่านไปตามหม่บู ้านหว้ ยไฮ หว้ ยลกึ นากอก บา้ นเมอื งฮาและเมอื งบ่อแตน ปัจจุบนั อยู่ในแขวงไชยบุรี ประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว) แล้วนาไพร่พลขา้ มลาน้าเหอื งข้นึ ไปทางฝัง่ ขวาของลาน้าหมนั จนถงึ บรเิ วณทร่ี าบจงึ ไดพ้ ากนั หยุดพกั สว่ นพอ่ ขุนผาเมอื งไดต้ งั้ บ้านด่าน ขวา (ปัจจุบันอยู่ในบรเิ วณชายเนินนาด่านขวาซ่ึงยงั มซี ากวดั เก่าอยู่ในแปลงนาของเอกชน ระหว่าง หมู่บ้านหวั แหลมกบั หมู่บ้านนาเบ้ยี อาเภอด่านซ้าย จงั หวดั เลย) และพ่อขุนบางกลางหาวไดแ้ บ่งไพร่ พลขา้ มลาน้าหมนั ไปทางฝัง่ ซ้ายสร้างบ้านด่านซ้าย (สนั นิษฐานว่าจะอยู่ในบรเิ วณหมู่บ้านเก่า อาเภอ ด่านซา้ ย จงั หวดั เลยในปัจจุบนั ) แลว้ ต่อมาจงึ ไดอ้ พยพเล่อื นขน้ึ ไปตามลาน้าไปสรา้ งบา้ นหนองคูซง่ึ อยู่ ทางทิศใต้ เม่อื มีกาลงั คนมากข้นึ จึงคิดท่ีจะขยับขยายไปหาถิ่นท่ีอยู่อาศัยใหม่ ครนั้ ได้นาเอานาม หมู่บา้ นด่านซ้ายมาขนานนามใหห้ มู่บา้ นหนองคูเสยี ใหม่เป็น “เมอื งด่านซ้าย” แล้วจงึ นาไพร่พลอพยพ ไปเมอื งบางยาง (เช่อื ว่าอยู่ในเขตอาเภอนครไทย จงั หวดั พษิ ณุโลก) ส่วนพ่อขนุ ผาเมอื งขณะท่พี ่อขุน บางกลางหาวเล่อื นขน้ึ ไปตงั้ หม่บู า้ นหนองคู พอ่ ขนุ ผาเมอื งกไ็ ดน้ าผคู้ นอพยพออกจากบา้ นดา่ นขวาขา้ ม ภูน้ารนิ ไปตงั้ เมอื งโปงถ้าและอพยพต่อไปตงั้ เมอื งภูครงั่ (โปงถ้าสนั นิษฐานว่าเป็นถ้าเขยี ะในปัจจุบนั เป็นถ้าเล็ก ๆ อยู่ข้างถนนสายเลย-ด่านซ้าย ห่างจากหมู่บ้านโคกงามไปทางด่านซ้ายประมาณ ๑ กโิ ลเมตร และบรเิ วณท่หี ยุดพกั ไพร่พลตงั้ เมอื งเป็นการชวั่ คราวคงจะเป็นทเ่ี นินดา้ นขวาของทางหลวง สายโคกงาม-ดา่ นซา้ ย อย่ใู นความควบคมุ ของแขวงการทางด่านซา้ ย ต่อมาไดอ้ พยพไปสรา้ งเมอื งบนภู ครงั่ ซ่งึ เป็นทร่ี าบอย่บู นยอดเขาภูครงั่ ภูครงั่ เป็นภูเขาลูกใหญ่มพี น้ื ทร่ี าบอนั กวา้ งใหญ่อย่บู นยอดเขา อยู่ ตรงขา้ มกบั ทว่ี ่าการอาเภอภูเรอื และอยทู่ างดา้ นทศิ ใตข้ องหม่บู า้ นหนองบวั ซง่ึ เป็นทต่ี งั้ ของอาเภอภูเรอื จงั หวดั เลย อน่ึงคาว่า “เขยี ะ” นนั้ หมายถงึ จกั๊ จนั่ ชนิดหน่งึ แต่ตวั เป็นสเี ขยี ว) ครนั้ พ่อขนุ บางกลางหาวได้ พาผคู้ นอพยพไปอย่ทู เ่ี มอื งบางยางแลว้ พอ่ ขุนผาเมอื งจงึ ไดอ้ พยพผคู้ นตดิ ตามไปจนไปตงั้ หลกั แหล่งได้ ทเ่ี มอื งราด (เช่อื ว่าเป็นเมอื งศรเี ทพ อยู่ในทอ้ งทอ่ี าเภอศรเี ทพและอาเภอวเิ ชยี รบุรี จงั หวดั เพชรบูรณ์) โดยมพี ่อขุนบางกลางหาวเป็นผปู้ กครองเมอื งบางยาง และพ่อขนุ ผาเมอื งเป็นผปู้ กครองเมอื งราด ขณะ เม่อื พ่อขุนบางกลางหาวปกครองเมอื งบางยาง ก็ได้ตงั้ เมอื งด่านซ้ายเป็นเมอื งหน้าด่านทางตะวนั ออก ตามราชธานีสมยั โบราณดว้ ย การตงั้ เมืองเซไล ชาวไทยท่มี ผี ูน้ าสบื เช้อื สายมาจากเจ้าผูค้ รองอาณาจกั รโยนกอกี กลุ่มหน่ึง ได้อพยพมาตงั้ บา้ นเรอื นระหว่างชายแดนตอนใต้ของอาณาเขตลานนาไทยต่อแดนลานชา้ ง คนไทยกลุ่มน้ีอยู่รวมกนั เป็นกลุ่มใหญ่ สบื เช้อื สายต่อมาหลายชวั่ อายุคน จนถึงสมยั ท่ีพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ ลไิ ท ปกครอง อาณาจกั รสุโขทยั เน่ืองจากการเสดจ็ ขน้ึ ครองราชยข์ องพญาลไิ ท ใน พ.ศ.๑๘๙๐ นนั้ มไิ ดเ้ ป็นไปอย่าง
๓ ราบร่นื ดงั ปรากฏในจารกึ วดั ป่ ามะม่วง (หลกั ท่ี ๔) ว่าเม่อื พญาเลอไทสวรรคตแล้ว พญาลไิ ท ซ่งึ เป็น อุปราชครองเมอื งศรสี ชั นาลยั ตอ้ งยกทพั มาลอ้ มเมอื งสุโขทยั และเอาขวานประหารศตั รทู งั้ หลายแลว้ จงึ เสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั กิ รุงสุโขทยั ในระยะแรกครองราชย์ พญาลไิ ทตอ้ งปราบปรามพวกพอ้ งของผคู้ ดิ ชงิ อานาจ พรอ้ มกบั การทานุบารุงบ้านเมอื ง ชาวไทยกลุ่มทต่ี งั้ บา้ นเรอื นอย่เู ขตชายแดนอาณาจกั รลาน- นาต่อแดนลานช้าง จงึ เกรงว่าพญาลไิ ทอาจจะทรงคดิ กอบกู้พระราชอานาจ ยกทพั มาปราบปรามหวั เมอื งทางด้านน้ี และมคี วามเหน็ ว่าหม่บู า้ นของตนเป็นทางผ่านและอยู่ใกล้แดนลานชา้ ง ทงั้ ตนเองกไ็ ด้ ผกู สมั พนั ธไมตรมี คี วามสนิทสนมรกั ใคร่เป็นสหายต่อกนั กบั เจ้าชวี ติ เมอื งหลวงพระบางจงึ คดิ ท่จี ะขจดั ปัญหายุ่งยากซ่ึงก่อให้เกิดความเข้าใจผิดข้ึนทัง้ สองฝ่ ายให้หมดส้ินไป จึงนาผู้คนอพยพออกเดิน ทางผ่านเขา้ ไปในแดนลานชา้ งของพระสหายซง่ึ อย่ทู างทศิ ตะวนั ออก แลว้ จงึ มุ่งหน้าเดนิ ลงไปทางทศิ ใต้ เม่อื ขา้ มลาแม่น้าใหญ่ (แม่น้าเหอื ง) ไดแ้ ลว้ กว็ กลงไปทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ ครนั้ ไปถงึ รมิ แม่น้าสาย ใหญ่เหน็ มชี ยั ภูมเิ หมาะสมในการตงั้ ถิ่นฐาน จึงได้พาผู้คนหยุดพกั สร้างบ้านตงั้ เมอื งข้นึ โดยให้ช่อื ว่า “เมอื งเซไล” (คาว่า “เซ” ในภาษาทอ้ งถนิ่ สมยั นนั้ ใชเ้ รยี กแม่น้าขนาดย่อม หรือลาหว้ ยขนาดใหญ่ ซง่ึ ไป ตรงกบั คาว่า “แคว” ในภาษาของภาคกลาง สว่ นคาวา่ “ไล ไหล หรอื เลอว” อนั เป็นสาเนียงเสยี งพูดของ ผคู้ นในสมยั นัน้ สนั นิษฐานว่า คงจะหมายถงึ ลกั ษณะของน้าท่กี าลงั ไหล หรอื ชาระลา้ งสงิ่ ต่าง ๆ ดงั นัน้ คาวา่ “เซไล” กค็ งจะหมายถงึ น้าทก่ี าลงั ไหลเชย่ี วหรอื ชะสง่ิ ต่าง ๆ นนั่ เอง ผู้นาในการอพยพจนสร้างเมืองเซไลครงั้ นัน้ แม้จะมีฐานะเป็นเพียงนายบ้านผู้ปกครอง หม่บู า้ นแต่กค็ งจะเป็นผูท้ ส่ี บื เช้อื สายมาจากราชวงศส์ งิ หนวตั เิ ช่นกนั เพราะในยุคนนั้ มคี าเรยี กขานผนู้ า ว่า “เจา้ ฟ้าร่มขาว” คาว่า “เจา้ ฟ้า” แสดงฐานะความเป็นเจา้ ผคู้ รองนคร “ร่มขาว” กค็ อื ร่มหรอื สปั ทนท่ี ทาดว้ ยผา้ ขาว ซง่ึ ใชก้ างกนั้ เป็นเครอ่ื งประกอบอสิ รยิ ยศของผมู้ ยี ศศกั ดเิ ์ทา่ นัน้ อย่างไรกต็ าม การอพยพลงไปจนตงั้ เมอื งเซไลโดยเจา้ ฟ้าร่มขาวนนั้ สนั นิษฐานว่าน่าจะเป็น นายบา้ น ซ่งึ เป็นบดิ าของเจา้ ฟ้าร่มขาว เป็นผนู้ าในการอพยพ ทงั้ น้ี จากหลกั ฐานการสรา้ งวดั กู่ ซง่ึ เป็น วดั ดงั้ เดมิ สรา้ งขน้ึ ในบรเิ วณทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของหอโฮงการ และอยู่รมิ ฝัง่ เซไล (ปัจจุบนั ยงั พอมี ซากอฐิ หลงเหลอื ไวใ้ หพ้ บเหน็ ) สาหรบั ช่อื เมอื งว่าเซไลนนั้ คงจะเน่ืองมาจากความอุดมสมบูรณ์ทไ่ี ดม้ า พบอยู่สองฟากฝัง่ เซไลและช่อื แม่น้าแห่งน้ีก็ไม่มมี าก่อน นอกจากคาว่าเซไลซ่ึงเกดิ มาจากคาอุทานท่ี ผคู้ นอพยพทงั้ หลายได้มาพบเหน็ ในการเดนิ ทางมาแสนไกลแลว้ ได้มาหยุดพกั ลงอาบกนิ ทาให้ความ เหน็ดเหน่ือยเม่อื ยล้าทงั้ หลายทม่ี มี าเหอื ดหายไปจนหมดสน้ิ ต่างเลยพากนั ถอื เอาคาอุทานมาเป็นช่อื ของเมอื งและของแม่น้าถอื เป็นศริ มิ งคลแกพ่ วกของตนแตน่ นั้ เป็นตน้ มา เมอื งเซไลท่ไี ด้สร้างข้นึ ในสมยั นัน้ ไม่มกี าแพง ป้อมปราการ หรอื ปราสาทราชมณเฑยี รแต่ อย่างใดคงมแี ต่หอโฮงการซ่ึงเป็นโรงเรอื นขนาดใหญ่ใช้เป็นทงั้ ท่พี กั และท่วี ่าการเมอื งของเจา้ ผู้ครอง เมอื งเท่านัน้ (หอโฮงท่ไี ดก้ ่อสรา้ งในสมยั นัน้ ถงึ จะไม่มซี ากปรากฏใหเ้ หน็ เป็นหลกั ฐานแต่กส็ นั นิษฐาน ว่าคงจะอย่ใู นบรเิ วณหอหลวง อนั เป็นสถานทศ่ี กั ดสิ ์ ทิ ธขิ์ องชาวบา้ นทรายขาวในปัจจุบนั ซ่งึ อย่หู ่างจาก วดั กู่คา และพระธาตุกุดเรอื คาไปทางทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ตามลาน้าเลย ๒๐๐ เมตรเศษ ในท้องท่ี หมู่บ้านทรายขาว ตาบลทรายขาว อาเภอวงั สะพุง จงั หวดั เลย) สาหรบั บ้านเรอื นของราษฎรให้ปลูก สรา้ งเรยี งรายขน้ึ ไปทางทศิ เหนือ จนไปจดชายเขตหนองน้าเล็ก ๆ ซ่ึงอยู่ทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือ
๔ ต่อมาเจ้าเมืองได้นาชาวเมืองสร้างวัดข้ึนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหอโฮงการเม่ือปี พุทธศักราช ๑๙๐๐ ให้ช่ือว่า “วดั กู่” (วดั กู่ซ่ึงได้สร้างข้ึนในสมัยโบราณนัน้ ปัจจุบันยงั พอมีซากอิฐ เหลอื อย่รู มิ ฝัง่ แมน่ ้าเลย บางสว่ นอย่ใู นบรเิ วณหอหลวงของชาวบา้ นทรายขาว) ระหว่างทน่ี าผคู้ นบุกเบกิ สรา้ งบ้านเมอื งใหม่รมิ ฝัง่ เซไล เจ้าเมอื งคนแรกของเมอื งเซไลก็ได้ไปมาหาสู่เจ้าชีวติ เมอื งหลวงพระ บางพระสหายอย่ไู ม่ขาด หลงั จากสรา้ งวดั กู่เสรจ็ เรยี บรอ้ ยลงไปไดห้ ลายปี นายบา้ นจงึ มบี ุตรชายซง่ึ เกดิ จากภรรยาผมู้ เี ช้อื สายเดยี วกนั หน่งึ คน ระหวา่ งนนั้ เจา้ ชวี ติ เมอื งหลวงพระบางกไ็ ดล้ งมาเยย่ี ม ครนั้ ไดม้ า รวู้ ่านายบ้านไดบ้ ุตรชายทงั้ เกดิ ในวนั เวลาเดยี วกนั กบั บุตรชายของตน ซ่งึ เกดิ จากมเหสเี อกก็ยนิ ดเี ป็น ยงิ่ นัก จงึ ให้ผูกสมั พนั ธก์ นั ไวเ้ ช่นตนทงั้ สอง นายบา้ นไดเ้ ฝ้ารกั ษาเลย้ี งดบู ุตรชายมวิ ่าจะไปมาในทใ่ี ด ๆ นายบา้ นผเู้ ป็นบดิ ากใ็ หผ้ คู้ นคอยตดิ ตามไปกางร่ม (สปั ทน) สขี าวกนั แดดบงั ฝนจนเป็นสมญาเรยี กกนั ใน หมู่ชาวเมืองเซไลว่า \"เจ้าฟ้ าร่มขาว\" ครนั้ เจ้าฟ้ าร่มขาวเติบใหญ่จนถึงวยั บวชเรียน บิดาก็ถึงแก่ มรณกรรมด้วยโรคชราทงั้ ตรากตราทางานหนักมากเกนิ ไป เจ้าฟ้าร่มขาวบุตรชายก็ได้ขน้ึ ครองเมอื ง เซไลแทนบดิ าตงั้ แตบ่ ดั นนั้ เป็นตน้ มา (ประมาณพ.ศ.๑๙๓๕) ครนั้ เจ้าฟ้าร่มขาวได้ข้นึ ครองเมอื งเซไล ได้นาชาวเมอื งเซไลพฒั นาบ้านเมอื งด้วยการขุด ลอกหนองน้าเลก็ ทางชายเมอื งดา้ นตะวนั ตกเฉยี งเหนอื และนาดนิ สว่ นใหญ่มาถมยกระดบั ทล่ี ุ่มทางดา้ น ทศิ ใต้ใกลฝ้ ัง่ น้าให้เป็นสนั คนั คูกนั้ น้าไวใ้ ช้ในฤดูแลง้ เม่อื การขุดลอกขยายหนองน้าเล็ก ๆ ออกไปจน กวา้ งขวางเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ กใ็ หช้ าวเมอื งไปหาพนั ธุบ์ วั หลวงมาลงปลูกเอาไว้ แลว้ ขนานนามวา่ \"สระ บวั หลวง\" มาจนกระทงั่ ทุกวนั น้หี ลงั จากนนั้ กไ็ ดพ้ จิ ารณาเหน็ ว่า \"วดั ก\"ู่ ทบ่ี ดิ าสรา้ งเอาไวใ้ กลห้ อโฮงการ ดา้ นรมิ ฝัง่ เซไล ไดถ้ ูกน้าเซาะกดั เขา้ มาจนจะถงึ ตวั พระอุโบสถ มวิ นั ใดวนั หน่งึ คงต้องพงั ทลายลงไปตาม กระแสเซไล พอดใี นระหว่างนนั้ เจ้าฟ้าร่มขาวไดบ้ ุตรชาย ซ่งึ กาเนิดจากนางเทวี หน่ึงคนในขณะทอ่ี ายุ ล่วงเลยวยั กลางคนไปแลว้ เลยใหช้ ่อื ว่า \"ทา้ วหลา้ น้า\" เจา้ ชวี ติ เมอื งหลวงพระบางก็ไดล้ งมาเยย่ี มและ ต่อจากนนั้ มาอกี ไม่นาน เจา้ ชวี ติ เมอื งหลวงพระบางไดท้ วิ งคตในระยะทเ่ี มอื งเซไลไดก้ ่อสรา้ งวดั ขน้ึ บน สนั คนั คูดา้ นทศิ ใต้ของสระบวั หลวง กไ็ ดม้ เี หตุแปลกประหลาดเกดิ ขน้ึ คอื มเี รอื ทองคาปราศจากฝีพาย เป็นพาหนะนาอฐั เิ จา้ ชวี ติ เมอื งหลวงพระบางมาถงึ เมอื งเซไล แลว้ เรอื ไดพ้ ุง่ เขา้ ฝัง่ เพ่อื จอดแต่ความแรง หวั เรอื ไดพ้ ุง่ เขา้ หาตลง่ิ ไปโผล่ขน้ึ บนฝัง่ ทางดา้ นหน้าวดั ใหม่ทก่ี าลงั สรา้ ง เจา้ ฟ้ าร่มขาวเกรงชาวเมอื งจะ มาทาลายเลยใหก้ ่อสถูปครอบหวั เรอื ทองคาเอาไว้ ส่วนอฐั ขิ องเจา้ ชวี ติ เมอื งหลวงพระบางพระสหายกใ็ ห้ นาไปเกบ็ ไวใ้ นหอโฮงการ รวมไวก้ บั อฐั บิ ดิ าของตน เม่อื การก่อสรา้ งวดั และสถูปเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ กใ็ ห้ ขนานนามวดั ว่า \"วดั กู่คา\" และขนานนามพระสถูปซ่งึ สร้างครอบหวั เรอื ทองคาว่า \"พระธาตุกุดเรอื คา\" ซง่ึ สรา้ งเสรจ็ ราว พ.ศ.๒๐๐๐ แตต่ ามหลกั ฐานซง่ึ ไดจ้ ารกึ เอาไวท้ ว่ี ดั กูค่ าว่าสรา้ งเมอ่ื พ.ศ.๑๙๐๐ นนั้ สนั นิษฐานว่า เจา้ ฟ้าร่มขาวประสงคใ์ ห้ชาวเมอื งทงั้ หลายไดร้ าลกึ ถงึ คุณความดขี องบดิ า ซ่งึ นาพาผคู้ น อพยพลงมาบุกเบกิ สรา้ งบา้ นเมอื ง จนไดต้ งั้ เมอื งเซไลและสรา้ งวดั กู่ขน้ึ ไวเ้ ป็นวดั แรก เม่อื ปี พ.ศ.๑๙๐๐ ถงึ วดั กู่จะพงั ทลายลงไปในกระแสแม่น้าเลยตามกาลเวลา และเจา้ ฟ้ารม่ ขาวกไ็ ดส้ รา้ งวดั ขน้ึ มาใหม่ โดย เจตนาจะนาช่อื วดั เก่ามาตงั้ เป็นช่อื วดั ทส่ี รา้ งขน้ึ ใหม่ ซง่ึ พอดกี บั เจา้ ชวี ติ เมอื งหลวงพระบางทวิ งคต ดว้ ย ความรกั กนั อย่างแน่นแฟ้น ถงึ จะมแี ต่เพยี งกระดูกหรอื เถา้ ถ่านกย็ งั มาถงึ กนั เจา้ ฟ้าร่มขาวก็จงึ นาเอา ช่อื ของทงั้ สองมารวมเขา้ ดว้ ยกนั แลว้ ตงั้ เป็นช่อื วดั ว่า \"วดั กู่คา\" แต่นาเอา พ.ศ.๑๙๐๐ ซง่ึ เป็นปีทต่ี งั้ วดั กู่
๕ ของบดิ ามาจารกึ เอาไวเ้ ป็นอนุสรณ์ สว่ นคาจารกึ ซง่ึ ติดไวท้ ป่ี ้ายพระธาตุกุดเรอื คา ซง่ึ ไดม้ กี ารบรู ณะปัน้ ด้วยปูนพอกสถูปองค์เดมิ ข้นึ ใหม่จนผดิ รูปผดิ ร่างเดมิ ไปด้วยฝีมอื ของหลวงพ่อเนียม ชาวบา้ นนาโป่ ง ตาบลนาโป่ง อาเภอเมอื ง จงั หวดั เลย ซ่งึ ไดม้ าเป็นเจา้ อาวาสวดั กู่คา ราวปี พ.ศ.๒๕๑๙ ต่อมาได้ถงึ แก่ มรณภาพท่ีวดั บ้านเกดิ หลวงพ่อเนียมได้ทาการบูรณะด้วยมวี ตั ถุประสงค์ท่ีจะให้มคี วามมนั่ คงและ สวยงาม จงึ ได้มกี ารเสรมิ รูปร่างขององค์พระสถูปใหแ้ ปลกตาออกไป ในคาจารกึ ท่แี ผ่นป้ายบอกไวว้ ่า \"สรา้ งเม่อื พ.ศ.๑๒๐๐\" นนั้ เป็นการจารกึ ผดิ พลาดอย่างแน่นอน พระธาตุกุดเรอื คาน่าจะสรา้ งราว พ.ศ. ๒๐๐๐ มากกว่า บนั ทกึ ในสมุดข่อยทน่ี ายหา อุทธตรี หรอื \"พ่อตู้แพทย\"์ แห่งบา้ นทรายขาว ตาบลทรายขาว อาเภอวงั สะพุง จงั หวดั เลย พบในขณะบรรพชา เมอ่ื พ.ศ.๒๔๗๑ ทว่ี ดั กู่คา บา้ นทรายขาว กลา่ วถงึ การ ปกครองเมอื งเซไลโดยแบ่งออกเป็น ๕ ยุค ดงั น้ี ยุคที่ ๑ เจา้ ฟ้าร่มขาว มภี รรยาช่อื นางเทวี เช้อื สายเดยี วกนั มบี ุตรชายหน่ึงคนช่อื \"ท้าว หลา้ น้า\" มเี หตุการณ์ทส่ี าคญั คอื ๑.๑ ขดุ ลอกหนองน้า นาบวั ลงปลูกใหช้ ่อื ว่า \"สระบวั หลวง\" ๑.๒ สรา้ งพระธาตุกดุ เรอื คา ยุคที่ ๒ ท้าวหล้าน้า มภี รรยาเป็นชาวเมอื งเซไล ช่อื นางหลา้ และมบี ุตรชาย หญิง ๒ คน ช่อื \"ทา้ วศลิ า และนางชฎา\" เล่ากนั ว่า นางหลา้ เป็นลูกของนางสดี าซง่ึ เกดิ มาจากนางสดี า ได้ไปด่มื น้า ในรอยเทา้ ชา้ งชอ่ื มโนศลิ า และรอยเทา้ กวาง นางสดี าใหก้ าเนิดบตุ รฝี าแฝดผพู้ ช่ี ่อื นางหลา้ ผนู้ ้องชอ่ื นาง ลุน และผนู้ ้องไดม้ าเสยี ชวี ติ ลงในคราวเดนิ เสย่ี งทางไต่งวงงาของพญาชา้ ง เลยเหลอื แต่นางหลา้ ซง่ึ เป็น ลูกของชา้ ง และต่อมานางหลา้ กค็ อื นางผมหอมซ่งึ มนี วิ าสถานอย่ทู ภ่ี ูหอ สญั ลกั ษณ์กงิ่ อาเภอภูหลวง ใน ปัจจบุ นั น้ี ในสมยั ของทา้ วหลา้ น้าไดม้ เี หตกุ ารณ์ทส่ี าคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี ๒.๑ สรา้ งวดั เทงิ (ปัจจุบนั เป็นวดั รา้ งมเี หลอื ซากอฐิ และหุน่ พระประธานอยขู่ า้ งทท่ี า การประปาบาดาลบา้ นทรายขาว ตาบลทรายขาว อาเภอวงั สะพุง จงั หวดั เลย) ๒.๒ เมอื งเซไล มชี ่อื เรยี กเป็นสรอ้ ยต่อว่า \"เซไลไซ้ขา่ ว\" ทงั้ น้เี น่ืองจากคลา้ ยเป็นเมอื งหน้า ด่านของเมอื งลม (หล่มสกั เก่า จงั หวดั เพชรบูรณ์) ซง่ึ จะตอ้ งสบื ขา่ วคราวหรอื สง่ ขา่ วไปยงั เมอื งลม ยุคที่ ๓ ทา้ วศลิ า มภี รรยาช่อื นางสุขมุ มเี ช้อื สายเป็นชาวเมอื งหลวงพระบาง มลี ูกชายหน่ึง คนชอ่ื \"ทา้ วสายเดอื น\" มเี หตุการณ์ทส่ี าคญั ดงั ต่อไปน้ี ๓.๑ สรา้ งวดั ทุ่ง หรอื ในปัจจุบนั น้ีเรยี ก \"ทุ่งนาคนั ทง\" แต่เป็นท่ีน่าเสยี ดายเป็นอย่างยงิ่ ท่ี หลกั ฐานอนั สาคญั ทางประวตั ศิ าสตรท์ พ่ี อจะมเี หลือไวใ้ หไ้ ดเ้ หน็ คอื ต้นโพธิ์ อย่ใู นบรเิ วณสวนกลว้ ยของ เอกชนลกึ เขา้ ไปทางซา้ ยของทางหลวงจงั หวดั สายวงั สะพุง-ทรายขาว ประมาณ ๑๕ เมตร และอย่หู ่าง จากหม่บู า้ นทรายขาว ตาบลทรายขาว อาเภอวงั สะพุง จงั หวดั เลย ประมาณ ๕๐๐ เมตร ๓.๒ ในยคุ น้ีเมอื งเซไลมสี รอ้ ยเรยี กต่อไปใหม่ \"เซไลสว่ ยขาว\" เน่ืองจากชาวเมอื งเซไลแต่ละ ครวั เรอื นจะตอ้ งส่งสว่ ยดว้ ยผา้ ขาวเรอื นละ ๑ วา (ประมาณ ๒ เมตร) สว่ นการสง่ สว่ ยผา้ ขาวจะไดส้ ่งไป ทางกรุงศรอี ยุธยาหรอื เมอื งหลวงพระบางยงั ไม่มหี ลกั ฐานระบุใหแ้ น่ชดั
๖ ยุคท่ี ๔ ทา้ วสายเดอื น มภี รรยาเช้อื สายเดยี วกนั กบั มารดาช่อื นางบวั เซีย มบี ุตรชายหน่ึง คนชอ่ื \"ทา้ วเดอื นสขุ \" และมเี หตกุ ารณ์ทส่ี าคญั คอื ๔.๑ สรา้ งวดั ตาล (ปัจจบุ นั คอื วดั โพธเิ์ ยน็ ซง่ึ อย่ดู า้ นหลงั วดั กู่คา ห่างประมาณ ๒๐๐ เมตร) ๔.๒ ชาวเมอื งเซไลยงั ตอ้ งสง่ สว่ ยผา้ ขาวอยเู่ ป็นประจา ยคุ ที่ ๕ ทา้ วเตอื นสุขมภี รรยาเชอ้ื สายเดยี วกนั กบั มารดาชอ่ื นางบวั ลม (ไม่ปรากฏว่ามบี ตุ ร) มเี หตกุ ารณ์ทส่ี าคญั คอื ๕.๑ ท้าวเตือนสุขได้ครองเมอื งเซไลด้วยความสงบร่มเย็นมาจนอายุล่วงเลยวยั กลางคน เมอื งเซไลกเ็ กิดทุพภกิ ขภยั ขา้ วยากหมากแพงฝนฟ้าไม่ตกชาวเมอื งไม่ได้ทานามาหลายปี ทงั้ มโี รค ระบาดเกดิ ขน้ึ โดยทวั่ ไป ชาวเมอื งไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นเป็นอย่างยงิ่ จงึ ไดพ้ ากนั ไปเรยี นทา้ วเตอื นสุขให้ พจิ ารณาหาทางแก้ไข ทา้ วเตอื นสุขไดพ้ จิ ารณาแลว้ เหน็ ว่าเมอื งเซไลไดม้ าถงึ กาลเวลาดบั สน้ิ จงึ ไดเ้ กดิ เหตุอาเพศข้นึ มาเช่นน้ีจงึ ได้พาผู้คนอพยพออกจากเมอื งเซไลเพ่ือแสวงหาท่ีอยู่ใหม่ โดยได้พากัน เดนิ ทางลงไปตามลาแม่เซไล ครนั้ ไปถงึ บรเิ วณทร่ี าบแห่งหน่งึ ซง่ึ อย่รู ะหว่างปากลาหว้ ยไหลตกแม่เซไล เหน็ มชี ยั ภูมเิ หมาะสมในการตงั้ บา้ นเรอื นประกอบกบั ทอ้ งน้าของลาหว้ ยกอ็ ุดมไปดว้ ยสารแร่ทองคา จงึ ใหผ้ คู้ นทอ่ี พยพมาตงั้ หลกั ฐานสรา้ งบา้ นเรอื นขน้ึ อยอู่ าศยั เสรจ็ แลว้ ไดข้ นานนามหม่บู า้ นใหมต่ ามสภาพ ทต่ี นได้พาผู้คนมาอยู่อาศยั ว่า \"บา้ นแห่\" ส่วนลาห้วยก็ให้ช่อื ว่า \"ห้วยหมาน\" (คาว่า \"แห่\" ภาษาและ สาเนยี งเสยี งพูดของชาวอสี านนนั้ บางคาทใ่ี ชพ้ ยญั ชนะ \"ห\" นา จะเป็นตวั \"ฮ\" คาว่า \"แห่\" จงึ เป็น \"แฮ่\" ดว้ ย ซ่งึ มคี วามหมายเดยี วกนั แต่นายแพทยอ์ ุเทอื ง ทพิ รส นายแพทย์สาธารณสุขคนแรกของจงั หวดั เลย ไดเ้ ขยี นไวใ้ นเร่อื งบ้าน \"แฮ่\" ว่า เน่ืองจากในท้องน้าหมานมสี ารแร่ทองคา จงึ ไดต้ งั้ ช่อื หม่บู า้ นของ พวกตนว่า \"บา้ นแฮ่\" ทงั้ น้ีเพราะตวั \"ร\" ของชาวอสี านนนั้ คอื ตวั \"ฮ\" นนั่ เอง ซง่ึ กถ็ ูกดว้ ยกนั ทงั้ สองฝ่าย แต่ในการตงั้ ช่อื ลงทะเบยี นหม่บู ้าน ผจู้ ดั ทาฟังสาเนียงชาวอสี านไม่เขา้ ใจ \"บา้ นแห่\" จงึ กลายเป็น \"บา้ น แฮ่\" มาจนกระทงั่ ทุกวนั น้ี สว่ นคาว่า \"หมาน\" ความหมายในภาษาอสี านนัน้ หมายถงึ ความมโี ชคดเี ป็น ตน้ ) ๕.๒ ครนั้ พาผคู้ นสรา้ งบา้ นตงั้ ถนิ่ ฐานไดม้ นั่ คงพอสมควร ทา้ วเตอื นสุขจงึ นาชาวบา้ นสรา้ ง วดั เสรจ็ แลว้ ขนานนามวดั ทส่ี รา้ งขน้ึ ใหม่ใหเ้ ป็นศริ มิ งคลแก่หม่บู า้ นของตนว่า \"วดั ศรภี ูม\"ิ (สรา้ งปีพุทธ- ศกั ราช ๒๒๒๐) เม่อื ไดพ้ ากนั สรา้ งวดั เสรจ็ แลว้ ต่อมาราว ๒ ปี จงึ ไดพ้ ากนั หล่อพระประธานดว้ ยโลหะ ขน้ึ อีกองค์หน่ึงดว้ ยฝีมอื ช่างจากทางเหนือ (ซ่ึงจะเหน็ ไดจ้ ากฝีมอื ช่างสกุลลานนากบั ลานชา้ งผสมกนั โดยถอื เอาแบบเชยี งแสนยุคปลายสงั ฆาฏยิ าวพระพกั ตรก์ ลมค่อนขา้ งแป้นและสนั้ เปลวรศั มยี อดพระ เศยี รยาว พระวรกายไม่สง่าดงั พระพุทธรูปแบบเชยี งแสนทวั่ ไป และโลหะท่ใี ชห้ ล่อคงจะไม่พอ ดงั จะ เหน็ ไดจ้ ากสขี องโลหะทอ่ี งคพ์ ระจากฐานถงึ พระศอจะเป็นนาก ซง่ึ เป็นการหล่อช้ินใหญ่ช้นิ หน่ึงตา่ งหาก ส่วนพระพกั ตร์และพระรศั มนี ัน้ สขี องนากจะอ่อนไปจึงเป็นสคี ่อนขา้ งเหลืองมองด้วยตาเปล่าเหน็ ได้ เด่นชดั ซ่งึ กเ็ ป็นการหล่อทแ่ี ปลก แต่กเ็ ป็นวตั ถุโบราณท่มี คี ุณค่าสูงสุดชน้ิ หน่ึงของชาวเมอื งเลยทไ่ี ดม้ ี การสร้างข้ึนมาเม่ือปี พุทธสักราช ๒๒๒๒ เป็ นของคู่บ้านคู่เมืองมีช่ือเรียกกันมาจนทุกวันน้ีว่า \"พระพุทธรูปมง่ิ เมอื ง\" ซ่งึ ประดษิ ฐานอย่บู นกุฏเิ จา้ อาวาสวดั ศรภี ูมิ จะนาออกมาให้ประชาชนไดส้ รงน้า เฉพาะวนั สงกรานตเ์ ท่านัน้ อน่ึงสาหรบั พระประธานซ่งึ ปั้นดว้ ยปูนในพระอุโบสถเดมิ พอกปูนขาวผสม
๗ ยางบงและหนังเน่า คลุกเคลา้ เข้าดว้ ยกนั และได้มาบูรณะขน้ึ ใหม่ในคราวรอ้ื พระอุโบสถ เพ่อื สรา้ งใหม่ รปู พระพกั ตรต์ ลอดจนทรวดทรงช่างไดถ้ อื เอาแบบพระพุทธรูปมง่ิ เมอื งมาเป็นหลกั เลยทาให้ผพู้ บเหน็ พระพทุ ธรปู พระประธานในพระอุโบสถวดั ศรภี มู ปิ ัจจุบนั น้วี ่า เอาแบบมาจากพระพุทธรปู มงิ่ เมอื ง) ๕.๓ หลังจากชาวเมืองเซไลได้อพยพลงมาตัง้ ถิ่นฐานอยู่ท่ีบ้านแฮ่ ก็มีชาวเมืองเซไล บางส่วนท่ยี งั รกั ในถ่นิ ฐานเดมิ จงึ ได้พากนั อพยพกลบั ไปเมอื เซไลส่วยขาว ครนั้ ได้พากนั บูรณะท่อี ยู่ อาศยั ให้ดีแล้วเห็นว่าเมอื งเซไลได้หมดสภาพความเป็นเมอื ง ทงั้ ได้เลกิ ยกเลกิ ส่งส่วยผ้าขาวไปเป็น เวลานาน จงึ ได้พากนั ขนานนามใหห้ ม่บู า้ นของตนเสยี ใหม่ในถน่ิ เดมิ ว่า \"บา้ นทรายขาว\" แลว้ พากนั อยู่ กนิ ดว้ ยปกติ สุขมาจนตราบเทา่ ทกุ วนั น้ี สมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา ประวตั ิของจงั หวดั เลยในสมยั กรุงศรอี ยุธยานัน้ ไม่มเี ร่อื งราวเก่ียวกบั การสงครามมาก เท่าใด คงมีเหตุการณ์ท่ีน่าจะกล่าวถึงอยู่เร่อื งหน่ึง คือ เม่ือพ.ศ.๒๐๙๑ ปีแรกท่ีสมเด็จพระมหา จกั รพรรดเิ สวยราชย์ พระเจา้ ตะเบ็งชะเวต้ี กษตั รยิ พ์ ม่าผูค้ รองกรุงหงสาวดี ได้ยกทพั ใหญ่มาตกี รุงศรี อยุธยา สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดไิ ดย้ กกองทพั ออกรบกบั พม่า เพ่อื ป้องกนั พระนครและได้ชนช้างกบั พระเจา้ แปร แม่ทพั หน้าของพม่า จนตอ้ งเสยี สมเดจ็ พระศรสี ุรโิ ยทยั พระมเหสเี พราะถูกพระเจา้ แปรฟัน สน้ิ พระชนม์ซบกบั คอช้าง การรบครงั้ นัน้ พระเจ้าตะเบ็งชะเวต้ไี ม่สามารถตีกรุงศรอี ยุธยาได้ และเม่อื กลบั ไปถงึ กรุงหงสาวดแี ลว้ ไม่นานกส็ วรรคต พระเจ้าบุเรงนองขน้ึ ครองราชสมบตั ทิ ่กี รุงหงสาวดแี ทน บุเรงนองเป็นกษตั รยิ ์ท่เี ขม้ แขง็ ในการสงคราม จงึ ไดห้ าสาเหตุมาตกี รุงศรอี ยุธยาอกี โดยแต่งพระราช สาสน์ มาขอชา้ งเผอื กของไทย ฝ่ายไทยไม่ยอมให้ พระเจา้ บุเรงนองจงึ ถอื สาเหตยุ กกองทพั ใหญ่มาตกี รุง ศรอี ยุธยาและตหี วั เมอื งฝ่ ายเหนือของไทยได้หลายหวั เมอื ง รวมทงั้ เมอื งพิษณุโลกด้วยนอกจากยก กองทพั มารุกรานไทยแลว้ พม่ายงั ไดย้ กกองทพั ไปตกี รุงศรสี ตั นาคนหุต ฝ่ายกรุงศรสี ตั นาคนหุตสพู้ ม่า ไม่ได้ พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชตอ้ งพากองทพั หนีไปอยู่ในป่า ทพั พม่าเขา้ กรุงศรสี ตั นาคนหุตไดจ้ งึ เกบ็ ทรพั ยส์ นิ และกวาดตอ้ นประชาชน รวมทงั้ มเหสแี ละสนมกานลั ของพระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชไปเมอื งพม่า เม่อื พม่าเลกิ ทพั กลบั ไปแลว้ พระเจ้าไชยเชษฐาธริ าชจงึ ได้พาทหารกลบั เขา้ มาอยู่กรุงศรสี ตั นาคนหุต และไดแ้ ต่งทูตมาเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั กรุงศรอี ยุธยาอกี ครงั้ หน่ึง พรอ้ มกบั ทูลขอพระเทพกษตั รยิ ์ พระ ราชธดิ าของสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ ซง่ึ ประสูตแิ ต่สมเดจ็ พระศรสี ุริโยทยั ผเู้ ป็นวรี กษตั รยิ ไ์ ปเป็นมเหสี เพ่อื เหน็ แก่ความเป็นไมตรขี องสองพระนครทจ่ี ะใหม้ คี วามรกั ใคร่กลมเกลยี วกนั และจะไดเ้ ป็นกาลงั ใน การต่อสขู้ า้ ศกึ สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดกิ ต็ กลงรบั ยนิ ดเี ป็นไมตรกี บั พระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าชตามทท่ี ูล ขอมา แต่เป็นทน่ี ่าเสยี ดายขณะทพ่ี ระเทพกษัตรยิ เ์ ดนิ ทางไปกรุงศรสี ตั นาคนหุตนนั้ ไดถ้ ูกกองทพั พม่า เขา้ แยง่ ชงิ และกวาดตอ้ นไปกรงุ หงสาวดเี สยี ก่อนทจ่ี ะไปถงึ กรุงศรสี ตั นาคนหตุ เพ่อื เป็นสกั ขพี ยานและแสดงออกซ่ึงไมตรจี ิตมติ รภาพ ระหว่างกษตั รยิ ์ทงั้ สองพระนคร สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดแิ ละพระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช จงึ ได้โปรดใหส้ รา้ งพระเจดยี อ์ งคห์ น่ึงข้นึ เม่อื ปี พ.ศ.๒๑๐๓ ในบรเิ วณทล่ี าน้าอูไ้ หลมาบรรจบกบั ลาน้าหมนั ซง่ึ อย่ใู กลท้ ต่ี งั้ เมอื งด่านซา้ ย ไวเ้ ป็นอนุสรณ์
๘ โดยไดโ้ ปรดให้อามาตยร์ าชครู และพระราชาคณะเป็นตวั แทนของสองพระนครมาดาเนินการสรา้ ง แต่ ก่อนท่จี ะสรา้ งพระธาตุศรสี องรกั ผู้แทนทงั้ สองพระนครไดม้ กี ารทาพธิ ตี งั้ สตั ยาธษิ ฐานว่า ทงั้ สองพระ นครจะรกั ใคร่กลมเกลยี วเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ดว้ ยความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ ดุจเป็นราชอาณาจกั รเดยี วกนั ตลอดไปชวั่ กปั กลั ป์ (โปรดศกึ ษารายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ในประวตั พิ ระธาตุศรสี องรกั ) สมยั กรงุ ธนบุรีและสมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ ในสมยั กรุงธนบรุ ไี มป่ รากฏหลกั ฐานวา่ มเี หตกุ ารณ์สาคญั เกดิ ขน้ึ ในทอ้ งทจ่ี งั หวดั เลย สาหรบั สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ไดม้ เี หตุการณ์ทส่ี าคญั เกดิ ขน้ึ หลายครงั้ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ทงั้ น้ี เพราะสมยั นัน้ ประเทศท่มี อี านาจทางตะวนั ตกกาลงั ล่าเมอื งข้นึ เพ่อื ให้เป็น อาณานิคมของตนเหตกุ ารณ์ทส่ี าคญั ทป่ี รากฏขน้ึ มดี งั น้ี เหตกุ ารณ์สงคราม การอพยพหนีภยั ทางการเมือง ในพ.ศ.๒๔๓๖ (ร.ศ.๑๑๒) ไทยตอ้ งเสยี ดนิ แดนฝัง่ ซ้ายแม่น้าโขงให้แก่ฝรงั่ เศสไปทงั้ หมด เมอื งเชยี งคานซ่งึ ตงั้ อยู่บนฝัง่ ซ้ายแม่น้าโขงดงั กล่าวมาแลว้ ก็ ต้องตกไปเป็นของฝรงั่ เศสด้วย ปรากฏว่า ชาวเมอื งเชยี งคานไม่พอใจและด้วยความรกั อสิ ระเสรี รกั ความเป็นไทย จึงพรอ้ มใจกนั อพยพขา้ มมาตงั้ เมอื งท่ฝี ัง่ ขวาแม่น้าโขงเย้อื งกบั เมอื งเดิมไปทางเหนือ เลก็ น้อย เมอื งทต่ี งั้ ใหมเ่ รยี กวา่ เมอื งใหม่เชยี งคาน คอื ทต่ี งั้ อาเภอเชยี งคานปัจจุบนั ราษฎรทอ่ี พยพขา้ ม มาครงั้ นนั้ ไม่มผี ใู้ ดเกลย้ี กล่อมหรอื บงั คบั ทุกคนขา้ มมายงั ดนิ แดนท่ยี งั เป็นส่วนหน่ึงของราชอาณาจกั ร ไทยดว้ ยความเตม็ ใจ ไม่พอใจทจ่ี ะอย่ภู ายใตก้ ารปกครองของคนตา่ งชาติ ประมาณว่าผคู้ นอพยพมาครงั้ นนั้ ประมาณ ๔ ใน ๕ ของเมอื งเชยี งคานเดมิ ต่อมาฝรงั่ เศสไดเ้ ปลย่ี นช่อื เมอื งเชยี งคานเดมิ เป็น เมอื ง สา- นะคามจนทุกวนั น้ี การอพยพหนีภยั การเมอื งของชาวเมอื งเชยี งคานยุคนัน้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการ อพยพขา้ มฝัง่ โขงครงั้ ยงิ่ ใหญ่ทส่ี ุดของจงั หวดั เลย หรอื พอจะกล่าวไดว้ ่าชาวเมอื งเชยี งคาน เป็นกลุ่มชน ทอ่ี พยพหนีภยั การเมอื งรุ่นแรกของจงั หวดั ก็พอจะได้ หวั หน้าผู้อพยพครงั้ นัน้ ไดแ้ ก่ พระอนุพนิ าศเจ้า เมอื งเชยี งคานนนั่ เอง ศึกบ้านนาอ้อ พ.ศ.๒๔๔๐ เม่อื ฝรงั่ ได้ครอบครองดินแดนฝัง่ ซ้ายแม่น้าโขง ในพ.ศ. ๒๔๓๖ แลว้ แมจ้ ะไดค้ รอบครองเมอื งสานะคาม (เชยี งคาน) แลว้ กค็ งไดแ้ ต่เมอื งทเ่ี กอื บรา้ ง เพราะผคู้ น อพยพเขา้ สู่พระราชอาณาจกั รไทยข้ามฝัง่ โขงมาตงั้ เมอื งเชียงคานข้นึ ใหม่ท่ฝี ัง่ ตรงข้ามดงั กล่าวแล้ว ฝรงั่ เศสกห็ าทางทจ่ี ะยดึ ดนิ แดนไทยอกี คอื เมอื งเชยี งคานทต่ี งั้ ขน้ึ ใหม่ ถงึ กบั ขา้ มแม่น้าโขงมาข่เู ขญ็ เจา้ เมอื งเชยี งคานใหม่ โดยหลอกว่าทางบางกอกไดย้ กเมอื งเชยี งคานใหแ้ ก่ฝรัง่ เศสแลว้ เจา้ เมอื งเชยี งคาน ได้ออกอุบายให้ฝรงั่ เศสไปยดึ เมอื งเลยใหไ้ ดเ้ สยี ก่อน เม่อื ไดเ้ มอื งเลยแลว้ เมอื งเชยี งคานกไ็ ม่มปี ัญหา อะไร ทงั้ น้ี เพราะเจา้ เมอื งเชยี งคานทราบดวี า่ ทางเมอื งเลยมกี องทหารเตรยี มมาแต่สมยั ร.ศ.๑๑๒ แลว้ ซ่ึงฝรงั่ เศสก็คงพ่ายแพ้แล้วจะได้หาทางซ้าเติมทีหลังและได้ส่งข่าวให้ทางเมืองเลยทราบล่วงหน้า ฝรงั่ เศสหลงกลไดย้ กกาลงั พลโดยมฝี รงั่ เศสหน่ึงนายเป็นหวั หน้าและมลี ูกน้องเป็นลาวเพยี งไม่กค่ี น ยดึ บา้ นนาอ้อ ยุยงใหช้ าวบา้ นแขง็ เมอื งต่อรฐั บาลไทย โดยสญั ญาว่าจะปลดปล่อยบ้านนาอ้อให้เป็นเมอื ง
๙ นครหงส์ มเี จา้ เมอื งกรมการเมอื งเช่นเดยี วกบั เมอื งเลย ซ่งึ จะแต่งตงั้ จากผู้ร่วมมอื ทงั้ ส้นิ ก็ปรากฏว่ามี ชาวบา้ นหลงเช่อื อย่ไู มก่ ่คี น สุดทา้ ยกองทหารจากเมอื งเลยเขา้ ปราบปรามไม่กว่ี นั ฝรงั่ เศสกแ็ ตกพ่ายหนี ไปทางเวยี งจนั ทน์ ประเทศลาว (เวลาน้ียงั มซี ากสนามเพลาะของทหารไทยอย่ทู บ่ี า้ นโพน ห่างจากบา้ น นาออ้ ราว ๒ กโิ ลเมตร) ศึกด่านซ้ายและท่าลี่ ฝรงั่ เศสได้ใช้อานาจเดินทพั เข้ายึดอาเภอด่านซ้ายในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ และได้นาศลิ าจารกึ ตานานพระธาตุศรสี องรกั ล่องแม่น้าโขง หวงั ว่าจะนาไปยงั นครเวยี งจนั ทน์ แตเ่ รอื ทบ่ี รรทุกศลิ าจารกึ ล่มทแ่ี ก่งฬา้ เขตอาเภอปากชม จงั หวดั เลย ศลิ าจารกึ จมน้าหายไป (แต่ภายหลงั ทราบว่าในปีทแ่ี ลง้ ทส่ี ุดน้าในแม่น้าโขงแหง้ ขอดมาก มผี ไู้ ปพบศลิ าจารกึ น้ีทแ่ี ม่น้าโขง และ ฝรงั่ เศสได้นาไปเก็บไว้ท่พี พิ ธิ ภณั ฑ์ลูฟ นครปารสี ประเทศฝรงั่ เศส แต่ยงั ไม่มกี ารยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จรงิ ) ขณะนัน้ พระมหาเถระชาวอาเภอด่านซ้ายผู้หน่ึงช่ือพระคูลุนแห่งวดั บ้านหนามแท่ง ตาบลด่านซ้าย พรอ้ มพระแก้วอาสา (กองแสง) เจ้าเมอื งด่านซ้ายและเพยี ศรวี เิ ศษ ได้ขอคดั ลอกไว้ก่อนท่ฝี รงั่ เศสจะ นาไปเวยี งจนั ทน์ แลว้ เขยี นลงในศลิ าจารกึ มขี อ้ ความอย่างเดยี วกนั เวลาน้ีกย็ งั เกบ็ รกั ษาไวท้ บ่ี รเิ วณวดั ธาตุศรสี องรกั ฉะนัน้ ศลิ าจารกึ ท่เี หน็ อยู่ทุกวนั น้ีจงึ เป็นศลิ าจารกึ ฉบบั คดั ลอก ต่อมาในปีพ.ศ.๒๔๔๙ ฝรงั่ เศสได้คืนเมืองด่านซ้ายให้ โดยแลกกบั ดินแดนเขมรท่ีเป็นของไทยบางส่วน ในระยะท่ีฝรงั่ เศส ครอบครองเมอื งด่านซ้าย ๓ ปีเศษนัน้ ไทยได้อพยพอาเภอไปตัง้ ท่ีบ้านนาขามป้อม ตาบลโพนสูง อาเภอดา่ นซา้ ย เสรจ็ เรอ่ื งแลว้ จงึ กลบั คนื ไปตงั้ อาเภอทเ่ี ดมิ ในระยะเวลาใกล้ ๆ กบั ท่ฝี รงั่ เศสยดึ อาเภอด่านซ้ายนัน้ กาลงั ทหารฝรงั่ เศสตงั้ อยู่ท่บี า้ น หาดแดงแม่น้าเหอื ง ไดย้ กพลจะยดึ อาเภอทา่ ล่ี เพราะเหน็ วา่ เคยเขา้ ยดึ อาเภอดา่ นซา้ ยสาเรจ็ อย่าง งา่ ยดายมาแลว้ แต่คราวน้ีฝ่ายไทยหลอกล่อให้ฝรงั่ เศสเดนิ ทพั มาอย่างสะดวก พอจวนถงึ ทต่ี งั้ อาเภอก็ ถูกหน่วยกลา้ ตายของชาวอาเภอท่าล่ี ซุ่มโจมตถี งึ ตะลุมบอน (ท่ตี งั้ โรงเรยี นบา้ นท่าล่)ี ฝรงั่ เศสประสบ กบั ความพา่ ยแพแ้ ละนบั แตน่ นั้ มาไม่ปรากฏฝรงั่ เศสไดข้ า้ มแม่น้าเหอื งมาก่อกวนอกี เลย ผีบญุ ที่บ้านหนองหมากแก้ว เมอ่ื ปีพ.ศ.๒๔๖๗ ไดเ้ กดิ มผี บี ุญขน้ึ มาคณะหน่งึ จานวน ๔ คน อา้ งว่า คณะของตน ไดร้ บั บญั ชาจากสวรรคใ์ หล้ งมาบาบดั ทุกขบ์ ารงุ บารุงสุขแก่มวลมนุษยซ์ ง่ึ ยากไรแ้ ละเตม็ ไปดว้ ยกเิ ลส ได้ กาหนดสถานท่อี นั บรสิ ุทธไิ์ ว้ดาเนินการเพ่อื แสดงอภนิ ิหารประกอบพธิ กี รรม อบรมสงั่ สอนผูค้ นท่วี ัด บ้านหนองหมากแก้วในหมู่บ้านหนองหมากแก้ว (ปัจจุบันอยู่ในท้องท่ีตาบลปวนพุ อาเภอภูกระดึง จงั หวดั เลย) บคุ คลในคณะของผบี ุญ ๔ คน ตา่ งมหี น้าทแ่ี ตกตา่ งกนั ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. นายบุญมา จตั ุรสั อุปสมบทไดห้ ลายพรรษาเดนิ ทางมาจากจงั หวดั ชยั ภูมิ ได้ ขนานนามของตนเองเป็น พระประเสรฐิ มตี าแหน่งเป็นหวั หน้าคณะ มหี น้าทท่ี าน้ามนตอ์ นั ศกั ดสิ ์ ทิ ธใิ์ ส่ ตุ่มไวใ้ หผ้ ูค้ นไดด้ ่มื กนิ และอาบเป็นการสะเดาะเคราะห์ แลว้ ทาพธิ ปี ลุกเสกลงเลขยนั ตใ์ นตะกรุด ซง่ึ ใช้ ตะกวั่ ลูกแหมาตแี ผ่ออกเป็นแผ่นบาง ๆ เสรจ็ แลว้ มวั นออกแจกจ่ายใหผ้ คู้ นรอ้ ยเชอื กผกู สะเอวตดิ ตัวไว้ เป็นเครอ่ื งรางของขลงั ชนั้ ยอดของพระประเสรฐิ ในทางคงกระพนั ชาตรปี ้องกนั ผรี า้ ย ๒. ทดิ เถกิ บุคคลผคู้ งแก่เรยี นชาวบา้ นหนองหมากแกว้ ไดข้ นานนามตนเองเป็น เจ้าฝ่าตนี แดงมตี าแหน่งเป็นรองหวั หน้า มหี น้าทท่ี าผ้าประเจยี ดกนั ภยั อนั ทรงประสทิ ธภิ าพเป็นมหา-
๑๐ อุตมแ์ ม้ปืนผาหน้าไมต้ ลอดจนมดี พรา้ กะทา้ ขวานกไ็ ม่สามารถทจ่ี ะทาอะไรแก่ผทู้ ม่ี ผี า้ ประเจยี ดอนั ทรง ฤทธขิ์ องเจ้าฝ่ าตนี แดงได้ วธิ ีทาผ้าประเจียด ไม่ว่าบุคคลใดท่มี คี วามประสงค์ก็ให้บุคคลเหล่านัน้ ไป จดั หาผ้าฝ้ายสขี าวขนาดกว้างยาว ด้านละหน่ึงศอกของตนมาหน่ึงผนื เม่อื มาพรอ้ มหน้ากันครนั้ ได้ เวลาสานุศษิ ยก์ ็ใหผ้ ูป้ ระสงคร์ อคอยอยู่ขา้ งล่างศาลาแลว้ เรยี กขน้ึ ไปทลี ะคน ผทู้ ข่ี น้ึ ไปแต่ละคนจะต้อง คลานเขา้ ไปหาเจา้ ฝ่าตนี แดงและหา้ มมองหน้า เม่อื คลานเขา้ ไปถงึ ทท่ี เ่ี จา้ ฝ่าตนี แดงนงั่ อย่จู งึ คลผ่ี า้ ขาว ท่จี ะมาทาผ้าประเจยี ดปูออกแล้วพนมหมอบก้มหน้าน่ิงจนกว่าเจา้ ฝ่ าตีนแดงจะทาผ้าประเจยี ดเสร็จ ฝ่ายเจา้ ฝ่ าตนี แดงเม่อื เห็นผู้ท่ปี ระสงค์อยากได้ผ้าประเจียดได้กระทาตามกฎซ่ึงตนวางไวด้ ้วยความ เคารพกล็ ุกข้นึ ยกเท้าขวาหรอื ซ้ายย่าลงไปในบม (บมคอื ภาชนะท่ที าดว้ ยไม้ มลี กั ษณะทรงกลมแบน และลกึ คลา้ ยถาดซง่ึ ชาวอสี านใชเ้ ป็นภาชนะสาหรบั ใส่ข้าวเหนียวทน่ี ่ึงสุกดแี ลว้ เพอ่ื ใหไ้ อน้าออกกอ่ นท่ี จะนาไปเกบ็ ไวใ้ นกระตบิ ) ทม่ี ขี มน้ิ กบั ปนู ตาผสมกนั ไวอ้ ยา่ งดี แลว้ จงึ ยกเทา้ ขา้ งทย่ี ่าลงไปในบมเหยยี บ ผ้าขาวก็จะปรากฏรอยเท้าของเจ้าฝ่ าตนี แดงอย่างชดั เจนเป็นอนั เสรจ็ พธิ ที าผ้าประเจยี ดนาไปใช้ได้ ทนั ที แต่ถ้าหากเหยยี บผ้าขาวแล้วปรากฏรอยไม่ชดั เจน หรอื ไม่สบอารมณ์ของเจ้าฝ่ าตนี แดง ผู้ท่ี ต้องการกต็ ้องไปหาผา้ ขาวมาทาใหม่จนกว่าจะไดผ้ า้ ประเจยี ดชนั้ ดไี ปไวใ้ ชต้ ่อไป ครนั้ ไดผ้ า้ ประเจยี ด ไปแล้วจะต้องนาไปเก็บบูชาเอาไว้บนห้ิงพระ หรือเม่ือออกเดินทางจะต้องพับชายผูกคอไปเป็น เคร่อื งรางของขลงั ประจาตวั ทกุ ครงั้ จะลมื ไมไ่ ดเ้ ป็นอนั ขาด ๓. นายสายทอง อินทองไชยศรี ขนานนามตนเองเป็น เจ้าหน่อเลไลย์ อ้างว่า ไดร้ บั บญั ชาจากสวรรค์ใหม้ าปราบยุคเขญ็ โดยเฉพาะ มวี าจาสทิ ธสิ์ ามารถท่จี ะสาปผู้ละเมดิ กฎสวรรค์ ให้เป็นไปตามโทษานุโทษท่ตี นพจิ ารณาเหน็ ตามสมควรไดท้ นั ที ครงั้ นัน้ ได้เกดิ มกี ารขโมยเกดิ ขน้ึ ใน หมู่บ้านหนองหมากแก้ว แลว้ จบั ขโมยได้ ชาวบา้ นจงึ ควบคุมตวั ไปให้เจา้ หน่อเลไลย์เป็นผู้ตดั สนิ ผล ของการตดั สนิ ปรากฏว่า ขโมยไดล้ ะเมดิ กฎของสวรรคใ์ นขอ้ บงั เบยี ดเคร่อื งยงั ชพี ของมวลมนุษยอ์ ย่าง สุดท่ีจะอภัยให้ได้ โทษท่ีขโมยพึงได้รบั ในครัง้ น้ีก็คือ ต้องถูกสาปให้ธรณีสูบลงไปทงั้ เป็น ครนั้ ได้ พิพากษาโทษให้ผู้คนทงั้ หลายได้รู้เห็นทัว่ ไปแล้ว พิธีสาปก็เรมิ่ ข้นึ โดยเจ้าหน่อเลไลย์มีบัญชาให้ สานุศิษย์ขุดหลุมขนาดพอฝังศพไดใ้ นสถานท่ที ่ไี ด้กาหนดไว้ ครนั้ แล้วให้ไปนาตวั ขโมยซ่ึงได้ผูกมดั ขอ้ มอื เอาไวอ้ ยา่ งแน่นหนา พาไปยนื ทป่ี ากหลุม แลว้ เจา้ หน่อเลไลยก์ เ็ รมิ่ อ่านโองการอญั เชญิ เทวทตู ให้ ลงมาจากสรวง-สวรรค์ มาเป็นสกั ขพี ยานในการทต่ี นไดด้ าเนนิ การสาปใหข้ โมยตอ้ งถูกธรณสี บู ลงไปทงั้ เป็นตามโทษานุโทษ พอเจ้าหน่อเลไลยก์ ล่าวคาสาปสน้ิ สุดลงก็บญั ชาให้สานุศษิ ยผ์ ลกั ขโมยลงไปใน หลุม พรอ้ มกบั ช่วยกนั รบี ขุดคุย้ โกยดนิ ลงกลบฝังขโมยทต่ี ้องคาสาปใหธ้ รณีสบู ลงไปทงั้ เป็น ท่ามกลาง ความตกตะลงึ พรงึ เพรดิ สยดสยองของผคู้ นทไ่ี ปร่วมชมพธิ กี รรมเป็นอยา่ งยง่ิ เม่อื คณะผบี ุญคลอ้ ยหลงั ลบั ไป บรรดาญาตพิ น่ี ้องของขโมยกร็ บี พากนั ขดุ คุย้ โกยดนิ นาขโมยทถ่ี ูกฝังทงั้ เป็นอาการรอ่ แร่ปางตาย ขน้ึ มาปฐมพยาบาล แลว้ รบี พากนั อพยพหลบหนีบญั ชาจากสวรรคข์ องคณะผบี ุญไปในคนื นัน้ ทนั ที และ เหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในครงั้ นนั้ เป็นผลใหไ้ ม่มกี ารลกั ขโมยใด ๆ เกดิ ขน้ึ ในหม่บู า้ นหนองหมากแกว้ ตอ่ ไป อกี เลย ทงั้ น้ี ดว้ ยทุกคนไดป้ ระจกั ษ์แกต่ าในประกาศติ จากสวรรคข์ องเจา้ หน่อเลไลยเ์ ป็นอยา่ งยงิ่ ๔. นายก้อนทอง พลซา ชาวบ้านวงั สะพุงซ่งึ เป็นบุคคลท่ี ๔ ขณะนัน้ รบั ราชการ ในหน้าท่ีสารวตั ร อาเภอวงั สะพุง ได้ไปพบเห็นพิธีการต่าง ๆ ของคณะผบี ุญจึงเกิดความเล่ือมใส
๑๑ ศรทั ธา จนถงึ กบั ได้ขออนุญาตลาบวชจากทางราชการมกี าหนด ๑๐ วนั ในระหว่างท่ีทางราชการได้ อนุญาตใหล้ าบวชได้ นายก้อนทอง ฯ ไดถ้ อื โอกาสหลบไปสมทบกบั คณะผบี ุญทบ่ี า้ นหนองหมากแก้ว แล้วก็รบี ทาความเพียรแต่ยงั ไม่ทนั จะได้รบั ความสาเร็จจนถึงขนั้ ได้รบั การขนานนาม ก็มาถูกทาง บา้ นเมอื งเขา้ ทาการปราบปรามและจบั ตวั ไดเ้ สยี ก่อน คณะผบี ุญซง่ึ ถอื วา่ ตนเป็นผวู้ เิ ศษไดก้ าหนดพธิ กี รรมใหช้ าวบา้ นปฏบิ ตั ิ โดยถอื เอา ศาลาการเปรยี ญวดั บ้านหนองหมากแก้วเป็นศูนย์กลางทุกวนั ในเวลาเช้าและเย็น ชาวบ้านทุกคน จะต้องมาร่วมเขา้ พธิ สี วดมนต์ไหวพ้ ระเป็นประจาขาดไม่ได้ และในเวลากลางคนื ทุกคนื บรรดาสาว ๆ หรอื ภรรยาของผใู้ ดกต็ ามทม่ี ใี บหน้าและรปู ร่างสวยงาม จะต้องอาบน้าแต่งตวั ใหส้ ะอาดสดสวย แลว้ นา พวงมาลัยดอกไม้สดและน้าหอมผลัดกันเข้าไปมอบให้คณะผีบุญ ต่อจากนัน้ ก็จะเรม่ิ พิธีฟ้อนรา บวงสรวงเวยี นพรมน้าอบน้าหอมไปรอบๆ ตวั ของผบี ุญ หากผบี ุญเกดิ พงึ พอใจอสิ ตรนี างใดในวงฟ้อน บวงสรวง กจ็ ะใชพ้ วงมาลยั ดอกไมส้ ดเกย่ี วปลายไมแ้ ลว้ ย่นื ไปคลอ้ งคอเอาไว้ เป็นเคร่อื งหมายใหท้ ุกคน ไดท้ ราบว่า อสิ ตรนี างนนั้ ไดร้ บั โปรดปรานจากผบี ุญเป็นพเิ ศษ และนับเป็นวาสนาเป็นอย่างยง่ิ ทใ่ี นคนื นนั้ จะตอ้ งเขา้ เวรปรนนิบตั ิ ปรากฏว่าบรรดาสาวและไมส่ าวตา่ งแย่งกนั ปรนนบิ ตั ผิ บี ุญเหล่าน้ีเป็นพเิ ศษ ทุกคนื คณะผบี ุญชุดน้ีได้บัญญัติกฎข้อบังคบั เอาไว้ ๓ ประการ ท่ีชาวบ้านจะต้องถือปฏิบัติอย่าง เคร่งครดั จะหลงลมื ไม่ไดน้ นั้ มดี งั ต่อไปน้ี ๑. จะตอ้ งสวดมนตไ์ หวพ้ ระเป็นประจาทกุ เชา้ เยน็ ขาดไม่ได้ ๒. จะตอ้ งฟ้อนราบวงสรวงคณะผมู้ บี ุญเป็นประจาทกุ คนื ขาดไมไ่ ด้ ๓. จะต้องหมนั่ ทาบุญให้ทานอยู่เป็นนิจ และจะต้องราลึกถึงพระคุณของบิดา- มารดาอย่เู สมอทงั้ น้ีในการเรยี กพ่อ-แม่ดงั ท่เี คยเรยี กกนั มาเฉย ๆ นัน้ เป็นการไม่เคารพ จะตอ้ งพากนั เรยี กเสยี ใหมว่ ่า คณุ พอ่ คณุ แม่ ดว้ ยพธิ กี รรมทค่ี ณะผบี ุญไดน้ าชาวบา้ นปฏบิ ตั ิตอ่ เน่อื งกนั มามไิ ดข้ าด ครนั้ นานวนั เข้า กิตติศัพท์ก็ได้เล่ืองลือไปไกล ทาให้มีผู้คนสนใจหลัง่ ไหลเข้าไปอย่างมากมาย บ้างท่ีสนใจ เคร่อื งรางของขลงั กต็ ้องตระเตรยี มสงิ่ ของเขา้ ไปจดั ทาเอง อาทเิ ช่นต้องการตะกรุดก็ต้องหาตะกวั่ ลูก แหไปหลอมแลว้ ตแี ผ่ออกใหพ้ ระประเสรฐิ ทาตะกรุด ทป่ี ่วยเจบ็ ไดไ้ ขก้ ไ็ ปอาบน้ามนต์สะเดาะเคราะห์ ท่ี ตอ้ งการผา้ ประเจยี ดกต็ ้องหาผา้ ฝ้ายสขี าวไปใหเ้ จา้ ฝ่าตนี แดง ครนั้ คณะผบี ุญไดพ้ บผคู้ นมากหน้าหลาย ตาและเพม่ิ จานวนมากยงิ่ ข้นึ เลยเกดิ ความเคลบิ เคล้มิ หลงตนลมื ตวั หนักเขา้ เลยพากนั รอิ ่านหนั ไป ทางการบา้ นการเมอื ง ฝันเฟ่ืองทจ่ี ะเป็นเจา้ เขา้ ครองแผ่นดนิ โดยประกาศอย่างอหงั การว่า จะยกกาลงั เข้าตีเอาเมืองเลยได้แล้วจงึ จะยกกาลงั เลยไปตีเอาเมืองเวยี งจนั ทน์ เพ่อื ตงั้ ตนเป็นเอกราช เม่อื ได้ ประกาศเจตนารมณ์แลว้ กเ็ รยี กอาสาสมคั รมาทาการคดั เลอื ก ดว้ ยมคี วามเช่อื มนั่ ว่าตนไดร้ บั บญั ชามา จากสวรรค์ ไม่ต้องมผี ูค้ นมากก็สามารถท่จี ะกระทาการใหญ่ได้ เม่อื เลอื กผูค้ นรวมได้ ๒๓ คน พรอ้ ม ด้วยปืนแก๊บ ๑ กระบอก ปืนคาบศลิ า ๒ กระบอก พรอ้ มด้วยหอกดาบแหลนหลาวครบครนั ครนั้ ได้ ฤกษ์พชิ ยั สงคราม คณะผบี ุญกย็ กพลจานวน ๒๓ คน ออกเดินทางจากบา้ นหนองหมากแก้วแล้วมุ่ง หน้าขน้ึ สทู่ ศิ เหนอื ออ้ มผา่ นหม่บู า้ นนาหลกั แลว้ ไปตงั้ มนั่ อย่รู มิ ลาหว้ ยทางดา้ นทศิ เหนือของอาเภอวงั สะพงุ (บรเิ วณหม่บู า้ นหว้ ยอเี ลศิ ห่างจากทต่ี งั้ อาเภอวงั สะพุง ประมาณ ๓ กม.)
๑๒ ระหว่างนนั้ หลวงพศิ าลสารกจิ นายอาเภอวงั สะพุงไดต้ ดิ ตามความเคล่อื นไหวของ คณะผบี ุญโดยส่งนายบุญเลศิ เหตุเกตุ สารวตั รศกึ ษา (อดตี กานนั ตาบลวงั สะพุง ปัจจุบนั ยงั มชี วี ติ อยู่) ออกไปสอดแนมพฤตกิ ารณ์ดูความเหมิ เกรมิ ของคณะผบี ุญอย่างใกลช้ ดิ แทบจะเอาชวี ติ ไม่รอดกห็ ลาย ครงั้ แลว้ ใหท้ ารายงานเขา้ มายงั อาเภอทุกระยะ หลวงพศิ าลสารกจิ ไดท้ ารายงานความเคล่อื นไหวของ คณะผบี ุญเขา้ จงั หวดั ทุกระยะ ซ่งึ ในขณะนัน้ กาลงั เจา้ หน้าทต่ี ารวจท่ปี ระจาอย่ใู นตวั จงั หวดั เลยมนี ้อย เม่อื เทยี บกบั จานวนผคู้ นทเ่ี ขา้ ไปกราบไหวค้ ณะผบี ุญ ดงั นนั้ ทางจงั หวดั เลยจงึ ไดท้ ารายงานไปยงั กอง บงั คบั การตารวจภูธรจงั หวดั อุดรธานี พรอ้ มกนั นนั้ กไ็ ดร้ ายงานขอกาลงั ไปยงั ฝ่ายทหารทค่ี ่ายประจักษ์ ศลิ ปาคมอกี ดว้ ย ถา้ หากว่ากาลงั ทางฝ่ายตารวจทอ่ี ดุ รมไี ม่เพยี งพอ ขณะนัน พ.ต.อ.พระปราบภยั พาล ผู้บงั คบั การตารวจภูธรจงั หวดั อุดรธานีในสมยั นัน้ ได้นากาลงั เจ้าหน้าท่ีตารวจรบี รุดมาจากจงั หวดั อุดรธานีเข้าสมทบกับกาลังของจังหวัดเลย ร่วมกับเจ้าหน้าท่ีของอาเภอวังสะพุ ง รีบวางแผน ปราบปรามโดยด่วน ครนั้ ไดท้ ราบกาลงั ของคณะผบี ุญพรอ้ มดว้ ยอาวุธจากนายบุญเลศิ เหตุเกตุ เป็นท่ี แน่นอนแลว้ กองกาลงั ตารวจจากอุดรรว่ มกบั จงั หวดั เลยและเจา้ หน้าทอ่ี าเภอวงั สะพุงกเ็ คล่อื นเขา้ โอบ ลอ้ มคณะผบี ุญทุกทศิ ทุกทาง ไดม้ กี ารปะทะกนั เพยี งเลก็ น้อย คณะผบี ุญกแ็ ตกกระจดั กระจายจบั ผบี ุญ ไดท้ งั้ คณะ แลว้ ควบคุมตวั ขน้ึ สง่ ฟ้องศาลฐานก่อการจลาจลสอบถามไดค้ วามว่า พวกเขาทงั้ ๔ คนทต่ี งั้ ตนเป็นผบี ุญ เกดิ ความเคลบิ เคลม้ิ หลงใหลในนิยายพน้ื เมอื งของชาวอสี านเร่อื ง สงั ขศ์ ลิ ปชยั และจาปา สต่ี ้น จนหลงตนลมื ตวั ไป ส่วนความรสู้ กึ ทแ่ี ทจ้ รงิ นัน้ ยังมคี วามรกั ในถนิ่ ฐานหาไดม้ คี วามคดิ เป็นกบฏ ต่อแผ่นดนิ กาเนิดก็หาไม่ คณะตุลาการได้รบั ฟังเร่อื งราวจากผู้ท่ไี ด้ตงั้ ตนเป็นผบี ุญทงั้ ๔ คน ไดเ้ กิด ความเหน็ ใจ จงึ พพิ ากษาใหจ้ าคกุ ผบี ญุ ทงั้ ๔ คน คนละ ๓ ปี สว่ นบรวิ ารใหป้ ลอ่ ยตวั ไป การตงั้ เมืองเลย เม่อื พ.ศ.๒๓๙๖ ในรชั สมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั รชั กาลท่ี ๔ พระองคท์ รงพจิ ารณาเหน็ ว่าผคู้ นในแขวงน้ีมปี รมิ าณเพมิ่ ขน้ึ มากกว่าแต่ก่อน สมควรจะไดต้ งั้ เป็นเมอื ง เพ่ือประโยชน์ในการปกครองอย่างใกล้ชิด จงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาท้ายน้าออกมา สารวจเขตแขวงต่าง ๆ แลว้ ไดพ้ จิ ารณาเหน็ ว่า หม่บู า้ นแฮ่ ซ่งึ ตงั้ อย่รู มิ ฝัง่ หว้ ยน้าหมานและอย่ใู กลก้ บั แม่น้าเลย มภี ูมปิ ระเทศทเ่ี หมาะสมแก่การสรา้ งป้อมดว้ ย เพราะมภี ูเขาลอ้ มรอบและพลเมอื งหนาแน่น พอจะตงั้ เป็นเมืองได้ จึงนาความข้ึนถวายบังคมทูลเพ่ือทรงทราบ พระบาทสมเด็จพระจอมเก ล้า เจา้ อย่หู วั จงึ ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ตงั้ เป็นเมอื ง เรยี กช่อื ตามนามของแม่น้าเลยว่า \"เมอื ง เลย\" ต่อมา พ.ศ.๒๔๔๐ ได้มกี ารประกาศใช้พระราชบญั ญตั ปิ กครองท้องท่ี ร.ศ.๑๑๖ ได้ เปล่ยี นแปลงการปกครองจากเดิมมาเป็นแบบเทศาภิบาล โดยแบ่งเป็นมณฑลเมอื ง อาเภอ ตาบล หม่บู า้ น เมอื งเลยจงึ แบ่งการปกครองอกี เป็น ๔ อาเภอ อาเภอทต่ี งั้ ตวั เมอื งเรยี กช่อื ว่า \"อาเภอกุดป่อง\" ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๔๒-๒๔๔๙ ได้เปลย่ี นช่อื เมอื งเลยเป็น \"บรเิ วณลาน้าเลย\" ใน พ.ศ.๒๔๔๙-๒๔๕๐ ได้เปล่ียนช่ือบริเวณลาน้าเลย เป็นบริเวณลาน้าเหือง และใน พ.ศ.๒๔๕๐ จึงได้ มีประกาศของ กระทรวงมหาดไทย ลงวนั ท่ี ๔ มกราคม ๒๔๕๐ ยกเลกิ บรเิ วณลาน้าเหอื งใหค้ งเหลอื ไวเ้ ฉพาะ \"เมอื ง เลย\" โดยใหเ้ ปลย่ี นชอ่ื อาเภอกุดป่อง เป็นอาเภอเมอื งเลยดว้ ย
๑๓ สาหรบั อาเภอกดุ ป่อง ซง่ึ เป็นทต่ี งั้ ตวั เมอื งเลยนนั้ เรยี กตามตาบลซ่งึ เป็นทต่ี งั้ อาเภอ ในครงั้ นนั้ เหตุทเ่ี รยี กตาบลแห่งน้ีว่า \"กุดป่อง\" กเ็ น่ืองจากมหี นองน้าอย่แู ห่งหน่ึง ซง่ึ ตงั้ อยู่ ณ บรเิ วณ ทว่ี ่าการอาเภอเมอื งเลย ปัจจุบนั น้เี กดิ จากการเปลย่ี นทางเดนิ ของแม่น้าเลย มลี กั ษณะเป็นลาหว้ ยมรี ปู โค้งเป็นรูปพระจนั ทรค์ รง่ึ ซีก มปี ากน้าแยกออกจากลาแม่น้าเลยทงั้ สองด้าน มีน้าขงั อยู่ตลอดปี ตรง กลางเป็นเกาะมเี น้ือท่ปี ระมาณ ๙๐ ไร่ ปัจจุบนั เป็นท่ตี งั้ ของท่วี ่าการอาเภอเมอื งเลย ศาลาเทศบาล เมอื งเลย และสถานวี ทิ ยุกระจายเสยี งแหง่ ประเทศไทย จงั หวดั เลย การจดั รปู การปกครองในสมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ การจดั รปู การปกครองก่อนจดั ระบบมณฑลเทศาภิบาล ใชว้ ธิ ซี ง่ึ เรยี กในกฎหมายเก่าว่า \"กนิ เมอื ง\" อนั เป็นแบบเดมิ คาว่า \"กนิ เมอื ง\" มาถงึ ชนั้ หลงั เรยี กเปลย่ี นเป็น \"ว่าราชการเมอื ง\" สว่ นคาว่า \"กนิ เมอื ง\" กย็ งั ใชก้ นั ในคาพดู อย่บู า้ ง วธิ กี ารปกครองท่ี เรยี กว่า \"กินเมือง\" นัน้ หลักเดิมมาคงถือว่าผู้เป็นเจ้าเมอื งต้องท้ิงกิจธุระของตนมาประจาทาการ ปกครองบ้านเมอื งให้ราษฎรอยู่เยน็ เป็นสุข ปราศจากภยนั ตราย ราษฎรก็ต้องตอบแทนคุณเจ้าเมอื ง ดว้ ยการออกแรงช่วยทางานใหบ้ ้าง หรอื แบ่งสง่ิ ของซ่งึ ทามาหาได้ เช่น ขา้ วปลาอาหาร เป็นต้น อนั มี เหลอื ใช้มอบให้เจ้าเมอื งคนละเล็กละน้อย ทาให้เจา้ เมอื งดารงตนอยู่ได้โดยรฐั บาลในราชธานีไม่ต้อง รบั ภาระ จงึ ใหค้ ่าธรรมเนียมในการต่าง ๆ แทนตวั เงนิ สาหรบั ใชส้ อย กรมการซง่ึ เป็นผชู้ ่วยเจา้ เมอื งก็ ไดร้ บั ผลประโยชน์ทานองเดยี วกนั เป็นแต่ลดลงตามศกั ดิ ์ ต่อมาบา้ นเมอื งเปลย่ี นแปลง ทาใหก้ ารเลย้ี ง ชพี ตอ้ งอาศยั เงนิ ตรามากขน้ึ ผลประโยชน์ทเ่ี จา้ เมอื งกรมการไดร้ บั อย่างโบราณไม่พอเล้ยี งชพี จงึ มกี าร หาผลประโยชน์เพมิ่ พนู อย่างอน่ื เช่น ทาไรน่ า คา้ ขาย เป็นตน้ การเป็นเจา้ เมอื งกม็ กั จะมกี ารสบื เชอ้ื สายวงศต์ ระกูลทเ่ี คยเป็นเจา้ เมอื ง หรอื เคยรบั ราชการ งานเมอื งมาแล้ว เช่น อาจเป็นบุตรชายเจ้าเมอื งหรอื ถ้าไม่มีบุตรชายก็อาจให้บุตรเขยผู้ซ่ึงเห็นว่ามี ความรคู้ วามสามารถพอปกครองบา้ นเมอื งได้ ทาหน้าทเ่ี จา้ เมอื งแทน การแต่งตงั้ เจา้ เมอื งสาหรบั เมอื ง เอก คงไดร้ บั การโปรดเกลา้ ฯ แต่งตงั้ ส่วนเมอื งเลก็ ๆ กรมการเมอื งคงมใี บบอกหวั เมอื งเอก และดว้ ย ความเหน็ ชอบของเจา้ เมอื งเอก สาหรบั ทท่ี าการเจา้ เมอื งก็เอาบา้ นเรอื นเป็นท่วี ่าราชการดว้ ย บ้านเจา้ เมอื งนิยมเรยี กว่า \"จวน\" และมีศาลาโถงปลูกไว้หน้าบ้านหลงั หน่ึงเรยี กว่า \" ศาลากลาง\" สาหรบั ประชุมปรกึ ษาราชการ เป็นศาลาสาหรบั ชาระความหรอื ตดั สนิ ความ ทงั้ จวนและศาลากลางน้ีสรา้ งข้นึ ดว้ ยทุนทรพั ยส์ ่วนตวั รวมทงั้ ท่ดี นิ ก็เป็นของส่วนตวั ดว้ ย เม่อื สน้ิ สมยั เจา้ เมอื งคนหน่ึงอาจเป็นดว้ ยเจา้ เมืองถึงแก่อนิจกรรมหรอื เปล่ียนเจ้าเมือง \"จวน\" เจ้าเมืองและศาลากลางเดิมก็ตกเป็นมรดกแก่ ลูกหลาน ใครไดเ้ ป็นเจา้ เมอื งคนใหม่ถา้ มไิ ด้เป็นผูร้ บั มรดกของเจา้ เมอื งเก่า กต็ อ้ งหาท่สี ร้างจวนและ ศาลากลางใหม่ตามลาดบั ท่ีจะสร้างได้ บางทีก็สร้างห่างไกลจากท่เี ดิม แม้จนต่างตาบลก็มี จวนเจ้า เมอื งไปอยู่ทไ่ี หนก็ยา้ ยท่ที าการไปอยู่ท่ใี หม่ ตามสมยั ของเจา้ เมอื งคนนัน้ ส่วนกรมการนัน้ เพราะมกั เป็นคหบดีในเมอื งนัน้ ซ่ึงเม่อื ตงั้ บ้านเรอื นอยู่ไหนก็คงอยู่ท่นี ัน่ เป็นแต่เวลามกี ารงานจะต้องทาตาม หน้าท่ี จวนเจา้ เมอื งอย่ไู หนกไ็ ปฟังคาสงั่ ทน่ี นั่ บางคนตงั้ บา้ นเรอื นอย่หู ่างไกลกม็ ี โดยถอื หลกั เหน็ เป็น ผเู้ หมาะสมทจ่ี ะรกั ษาสนั ตสิ ขุ ของทอ้ งถน่ิ นัน้ เป็นสาคญั และมุง่ ใหป้ ระชาชน \"อย่เู ยน็ เป็นสุข\" ปราศจาก
๑๔ ภยั ต่างๆ เช่นโจรผูร้ า้ ย ปราบปรามนกั การพนนั การเสพของมนึ เมาเป็นสาคญั มไิ ดพ้ ฒั นาดา้ นต่าง ๆ ใหเ้ จรญิ กา้ วหน้าเหมอื นในการดาเนนิ การปกครองในสมยั ปัจจบุ นั การบรหิ ารงานปกครองสาหรบั เมอื งเล็กมไิ ด้เป็นประเทศราช เช่น จงั หวดั เลย คงมี การปกครองท้องถิ่นเป็นของตนเอง ในแต่ละเมอื งจะมีเจา้ เมอื งปกครอง ซ่ึงส่วนใหญ่สบื ตระกูลกนั เรอ่ื ยมาดงั กล่าวขา้ งตน้ อานาจการปกครองมอี ยา่ งเตม็ ทต่ี งั้ แต่ระดบั สงู สุดถงึ ระดบั ต่าสุด และเน่อื งจาก เขตจงั หวดั เลยอยู่ใกล้ชดิ กบั ลาวมาก การจดั การปกครองบ้านเมอื งบางอย่างคงไดร้ บั อทิ ธพิ ลลาวอยู่ มาก การบรหิ ารบา้ นเมอื งไดแ้ บ่งทาเนียบขา้ ราชการออกเป็น ๕ ขนั้ คอื ๑. ตาแหน่งอาชญาส่ี เป็นตาแหน่งบงั คบั บญั ชาสงู สดุ ของเมอื ง มี ๔ ตาแหน่ง คอื เจา้ เมอื ง เป็นผมู้ อี านาจสทิ ธขิ์ าดในกจิ การบา้ นเมอื งทงั้ ปวง อุปฮาด ทาการแทนเจา้ เมอื งในกรณเี จา้ เมอื งไม่อย่หู รอื ไมส่ ามารถว่าราชการ ได้ และชว่ ยราชการทวั่ ไป ราชวงศ์ มหี น้าทเ่ี กย่ี วกบั อรรถคดี ตดั สนิ ชาระความ และการปกครอง ราชบุตร มหี น้าทค่ี วบคมุ เกบ็ รกั ษาผลประโยชน์ของเมอื ง (เก่ยี วกบั ตาแหน่งรองเจา้ เมอื ง คอื อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตรน้ี มหี ลกั ฐานพอสบื ได้จากคนเฒ่าคนแก่ ปรากฏให้ทราบว่าการปกครองสมยั ก่อน จดั ระบอบมณฑลเทศาภิบาล เช่น ในสมยั พระแก้วอาสา (กองแสง) ปกครองเมอื งด่านซ้ายก็ดี และพระยาศรอี คั รฮาด (ทองดี) ปกครองเมอื งเชยี งคานก็ดี มี ตาแหน่งรองเจา้ เมอื งดงั กล่าว คอื อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบตุ ร อย่ดู ว้ ย) ๒. ตาแหน่งผ้ชู ่วยอาชญาส่ี ได้แก่ตาแหน่งท้าวสุรยิ ะ ท้าวสุรโิ ย ท้าวโพธสิ าร และ ทา้ วสุทธสิ ารมหี น้าทใ่ี นการพจิ ารณาคดพี พิ ากษาและการปกครองแผนกต่าง ๆ ของเมอื ง ๓. ตาแหน่งข่ือบ้านขางเมือง มที งั้ หมด ๑๗ ตาแหน่ง เช่น เมอื งแสน กากบั ฝ่ าย ทหารเมอื งจนั ทน์ กากบั ฝ่ายพลเรอื น เมอื งขวา เมอื งซา้ ย เมอื งกลาง มหี น้าทด่ี แู ลการพสั ดุตา่ ง ๆ เช่น การปฏสิ งั ขรณ์จดั และกากบั การสกั เลก เป็นตน้ ๔. ตาแหน่งเพียหรอื เพีย้ เป็นองครกั ษเ์ จา้ เมอื ง เป็นพนกั งานตดิ ตามเจา้ เมอื ง เป็นตน้ ๕. ตาแหน่งประจาหมู่บ้าน มี ๔ ตาแหน่ง ไดแ้ ก่ท้าวฝ้าย ตาแสง นายบ้าน และจ่า เมืองเทียบได้กับตาแหน่งทางปกครองในปัจจุบันคอื นายอาเภอ กานัน ผู้ใหญ่บ้าน และสารวตั ร หม่บู า้ นตามลาดบั สาหรบั ตาแหน่งขอ่ื บา้ นขางเมอื ง ๑๗ ตาแหน่ง ดชู อ่ื แลว้ คลา้ ยกบั ตาแหน่งขา้ เฝ้า เม่อื มี วญิ ญาณเจา้ เขา้ ทรงเก่ยี วกบั ศาลเทพารกั ษ์ หรอื อาฮกั หลกั เมอื งของเมอื งด่านซา้ ยมาก ตาแหน่งขา้ เฝ้า ดงั กล่าว มถี งึ ๑๙ ตาแหน่ง โดยแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหน่ึง ขา้ เฝ้าฝ่ายเจา้ เมอื งจงั คอื \"เจา้ กวน\" (ผชู้ ายซง่ึ มหี น้าทใ่ี หว้ ญิ ญาณเจา้ เขา้ ทรง) มี ๑๐ คน ไดแ้ ก่ แสนด่าน แสนหอม แสนฮอง แสนหนูรนิ ทร์ แสนศรสี องฮกั แสนตางใจ แสนกลาง แสนศรฮี กั ษา แสนศรสี มบตั ิ และแสนกากบั ขา้ เฝ้ าฝ่ายเจา้ เมอื ง กลาง คอื \"นางเทยี ม\" (ผหู้ ญงิ ซ่งึ มหี น้าทใ่ี หว้ ญิ ญาณเจา้ เขา้ ทรง) มี ๙ คน ไดแ้ ก่ แสนเขอ่ื น แสนคาบุญ ยอ แสนจนั ทน์ แสนแก้วอุ่นเมอื ง แสนบวั โฮม แสนกลางโฮง แสนสุข เมอื งแสน และเมอื งจนั ทน์ ซ่ึง
๑๕ ตาแหน่งเหลา่ น้อี าจเป็นตาแหน่งผมู้ หี น้าทต่ี า่ ง ๆ ในการดาเนินกิจการบา้ นเมอื งในสมยั โบราณกไ็ ด้ แต่ ไม่ทราบว่าผใู้ ดมหี น้าทอ่ี ะไรแน่ชดั ท่พี อทราบก็มแี สนด่าน และแสนเข่อื น เป็นหวั หน้าของแสนแต่ละ ฝ่ายเท่านนั้ แมใ้ นทุกวนั น้ีการเขา้ ทรงกด็ ี ตาแหน่งเจา้ กวนนางเทยี ม และแสนต่าง ๆ กด็ ที อ่ี าเภอด่าน ซา้ ย กย็ งั คงมอี ย่เู ชน่ สมยั ก่อน ในแต่ละเมอื งจะมอี านาจเต็มทใ่ี นการปกครอง การศาลและการเกบ็ ส่วยสาอากร เช่น ใน ดา้ นการศาล คงใหม้ กี ารชาระความกนั เอง โดยเจา้ เมอื งและกรมการเมอื งทาหน้าทล่ี ูกขุนพจิ ารณาคดี ส่วนการเกบ็ ภาษีอากรกค็ งให้อย่ใู นอานาจของแต่ละเมอื ง สาหรบั เมอื งซ่งึ อยู่ในท้องท่จี งั หวดั เลย ซ่งึ เป็นเมอื งเลก็ จะขน้ึ ตรงต่อเมอื งเอก หรอื เมอื งใหญ่อกี ต่อหน่ึง การส่วยสาอากรกต็ ้องสง่ ต่อเมอื งเอกทุก ปี และเจา้ เมอื งตลอดขา้ ราชการมกี ารทาพธิ รี บั พระราช่ทานน้าพพิ ฒั น์สตั ยาปีละ ๒ ครงั้ หรอื ปีละครงั้ เป็นอย่างน้อย การจดั รปู การปกครองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล ลักษณ ะการเท ศาภิ บาล เป็ นการปกครองซ่ึงเปล่ียนแปลงให้มีข้ึนในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั การเทศาภิบาล คอื การปกครองโดยลกั ษณะท่จี ดั ให้มี หน่วยบรหิ ารราชการอนั ประกอบดว้ ย ตาแหน่งขา้ ราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั และเป็นทไ่ี ว้วางใจของรฐั บาลในพระองค์ รบั แบ่งภาระของรฐั บาลกลาง ซ่งึ ประจาอย่แู ต่ เฉพาะในราชธานีนัน้ ออกไปดาเนินการในส่วนภูมิภาคอนั เป็นท่ีใกล้ชิดต่ออาณาประชากร เพ่อื ให้ ไดร้ บั ความ ร่มเยน็ เป็นสุขและความเจรญิ ทวั่ ถงึ กนั โดยมรี ะเบียบแบบแผนอนั เป็นคุณประโยชน์แก่ ราชอาณาจกั รด้วย ฯลฯ จึงแบ่งส่วนการปกครองแว่นแคว้นออกโดยลาดบั ชนั้ เป็นมณฑล จงั หวดั อาเภอ ตาบล และหม่บู า้ น และแบง่ หน้าทร่ี าชการเป็นสว่ นสดั เป็นแผนกพนกั งาน ทานองการแบ่งงาน ของกระทรวงในราชการ อนั เป็นวถิ นี ามาซง่ึ ความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย รวดเรว็ และโดยเฉพาะอย่างยงิ่ ระงบั ทุกข์บารุงสุขด้วยความเท่ียงธรรมแก่อาณาประชาชนและได้มีการแก้ไขลกั ษณะปกครอง ให้ เป็นไปตามพระราช-บญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองทอ้ งท่ี ร.ศ.๑๑๖ นนั่ คอื ใหต้ งั้ ทาเนียบขา้ ราชการเสยี ใหม่ ยกเลกิ ตาแหน่งทางการปกครอง คอื อาชญาส่ี ได้แก่ เจา้ เมอื ง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร ในตอนแรก คงใชแ้ บบเดมิ อยู่ ต่อมาจงึ ค่อยยบุ เลกิ หมดใน พ.ศ.๒๔๕๐ โดยใหเ้ รยี กใหม่เป็น ผวู้ า่ ราชการเมอื ง ปลดั เมือง ยกกระบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการเมืองตามลาดับแทน ตาแหน่งอ่ืน ๆ ก็ได้ปรบั ปรุงให้ เหมาะสมดว้ ย สาหรบั สว่ นราชการตามระบอบมณฑลเทศาภบิ าลแบง่ ออกดงั ต่อไปน้ี มณฑล คือรวมเขตจงั หวดั ตัง้ แต่สองจงั หวัดข้นึ ไป มากบ้างน้อยบ้าง สุดแต่ให้ความ สะดวกในการปกครอง ตรวจตราบญั ชาการของสมหุ เทศาภบิ าล จดั เป็นมณฑลหน่งึ มขี า้ ราชการชนั้ สงู เป็นผูบ้ ญั ชาการเป็นประธานขา้ ราชการมณฑลหน่ึง นอกจากตาแหน่งสมุหเทศาภบิ าล ยงั มขี า้ หลวง รอง เป็นเจา้ หน้าทแ่ี ผนกการต่าง ๆ ของมณฑล และมขี า้ ราชการเจา้ พนักงานสาหรบั ช่วยปฏบิ ตั ริ าช- การตามสมควรแก่หน้าท่ี สมุหเทศาภบิ าลมอี านาจหน้าทป่ี กครองบญั ชาการและตรวจตราภาวะการณ์ ทงั้ ปวง และราชการในมณฑล ซง่ึ มบี ทบญั ญตั ขิ องรฐั บาลมอบใหเ้ ป็นหน้าทข่ี องเทศาภบิ าล รบั ขอ้ เสนอ และสงั่ ราชการแก่ผวู้ ่าราชการจงั หวดั อนั เป็นผลสาเรจ็ เรว็ กว่าทจ่ี งั หวดั จะบอกเขา้ มายงั กระทรวง และ คอยฟังคาสงั่ จากกรุงเทพ ฯ ดงั แตก่ อ่ น นบั เป็นผลดแี กท่ างราชการและประชาชน
๑๖ จงั หวดั แต่ก่อนเรยี กว่า \"เมอื ง\" รวมเขตอาเภอ (เมอื ง) ตงั้ แต่สองอาเภอ (เมอื ง) ข้นึ ไป ถงึ หลายอาเภอ (เมอื ง) กม็ ี จดั เป็นจงั หวดั หน่ึง รองถดั จากมณฑลลงมาใหม้ อี าณาเขตพอควรแก่ความ เจรญิ และความสะดวกในการตรวจตราปกครองจงั หวดั หน่ึง ซ่งึ มขี า้ ราชการผใู้ หญ่ เป็นตาแหน่งผูว้ ่า- ราชการเมอื ง เรยี กว่า \"ขา้ หลวงประจาจงั หวดั \" และต่อมาเรยี กว่า \"ผูว้ ่าราชการจงั หวดั \" เป็นหวั หน้า และมกี รมการจงั หวดั คณะหน่งึ ช่วยบรหิ ารราชการ อาเภอ กิ่งอาเภอ ตาบล และหมู่บา้ น เป็นสว่ นรองถดั จากจงั หวดั ลงมาโดยลาดบั ชนั้ ทงั้ ท้องท่แี ละเจา้ พนักงานมหี น้าท่ปี กครองใกล้ชดิ กบั ประชาราษฎร ตามท่บี ญั ญัตไิ ว้ในพระราชบญั ญัติ ลักษณะปกครองท้องท่ีและพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค อาเภอหน่ึง มี นายอาเภอเป็นหวั หน้า กง่ิ อาเภอมปี ลดั อาเภอผเู้ ป็นหวั หน้า ตาบลและหม่บู า้ นมกี านนั และผใู้ หญ่บา้ น เป็นหวั หน้าปกครองดแู ลตามลาดบั การตงั้ มณฑลเทศาภิบาล มณฑลท่ีตัง้ ข้ึนครงั้ แรก เม่อื พ.ศ.๒๔๓๕ คอื ก่อน พ.ศ.๒๔๓๗ มี ๖ มณฑล ได้แก่ มณฑลลาวเฉียง ภายหลงั เปลย่ี นช่อื เป็นมณฑลพายพั มณฑลลาวพวน ภายหลงั เปลย่ี นช่อื เป็นมณฑล อุดร (เมอื งเลยข้นึ อยู่ในเขตมณฑลน้ี) มณฑลลาวกาว ภายหลงั เปลย่ี นช่อื เป็นมณฑลอสี าน มณฑล เขมร ภายหลังเปล่ียนช่ือเป็ นมณฑลบูรพา มณฑลลาวกลาง ภายหลังเปล่ียนช่ือเป็ นมณฑล นครราชสมี า และมณฑลภูเกต็ มณฑลทต่ี งั้ ครงั้ แรกน้ยี งั มไิ ด้จดั เป็นลกั ษณะเทศาภบิ าล พ.ศ.๒๔๓๗ ได้จดั ตงั้ มณฑลเทศาภบิ าลขน้ึ ใหม่ ๔ มณฑล คอื มณฑลพษิ ณุโลก มณฑล ปราจนี มณฑลราชบุรี และมณฑลนครราชสมี า พ.ศ.๒๔๓๘ ไดจ้ ดั ตงั้ มณฑลขน้ึ ใหม่ ๓ มณฑล และแกไ้ ขใหเ้ ป็น ลกั ษณะเทศาภบิ าล ๑ มณฑล รวม ๔ มณฑล คอื มณฑลนครชยั ศรี มณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุง เกา่ และมณฑลภูเกต็ พ.ศ.๒๔๓๙ ได้จดั ตงั้ มณฑลข้นึ ใหม่ ๒ มณฑล และแก้ไขให้เป็นลกั ษณะเทศาภิบาล ๑ มณฑล รวม ๓ มณฑล คอื มณฑลนครศรธี รรมราช มณฑลชุมพร และมณฑลบูรพา พ.ศ.๒๔๔๐ ไดจ้ ดั ตงั้ มณฑลขน้ึ ใหม่ ๑ มณฑล คอื มณฑลไทรบุรี พ.ศ.๒๔๔๒ ไดจ้ ดั ตงั้ มณฑลขน้ึ ใหม่ ๑ มณฑล คอื มณฑลเพชรบรู ณ์ พ.ศ.๒๔๔๓ ได้แก้ไขการปกครองมณฑลท่ีมีอยู่ก่อน พ.ศ.๒๔๓๖ ให้เป็ นลักษณะ เทศาภบิ าล ๓ มณฑล คอื มณฑลพายพั มณฑลอสี าน (เคยเรยี กว่ามณฑลตะวนั ออกเฉียงเหนือ) และ มณฑลอุดร (แบ่งเมอื งออกเป็นบรเิ วณซง่ึ มบี รเิ วณน้าเหอื งตงั้ บรเิ วณทเ่ี มอื งเลย รวมอย่ดู ว้ ย) พ.ศ.๒๔๔๙ ยบุ มณฑลเพชรบรู ณ์ พ.ศ.๒๔๔๙ ไดจ้ ดั ตงั้ มณฑลขน้ึ อกี ๒ มณฑล คอื มณฑลจนั ทบรุ ี และมณฑลปัตตานี พ.ศ.๒๔๕๐ ตงั้ มณฑลเพชรบูรณ์ขน้ึ อกี ครงั้ หน่งึ พ.ศ.๒๔๕๑ จานวนมณฑลลดลง ๑ มณฑล เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรใี ห้แก่ องั กฤษ
๑๗ พ.ศ.๒๔๕๕ แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีช่อื ใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑล รอ้ ยเอด็ พ.ศ.๒๔๕๘ จดั ตงั้ มณฑลขน้ึ อกี ๑ มณฑล คอื มณฑลมหาราษฎร์ ในรชั กาลท่ี ๖ โปรดเกล้าฯ ให้เปล่ียนมณฑลกรุงเทฯ เป็นกรุงเทพมหานคร (มณฑล กรุงเทพฯ รชั กาลท่ี ๕ ไดโ้ ปรดใหต้ งั้ ขน้ึ เม่อื พ.ศ.๒๔๓๘) มณฑลทงั้ หมดในราชอาณาจกั รครงั้ นนั้ มที งั้ สน้ิ ๒๑ มณฑลดว้ ยกนั เมอ่ื ไดม้ กี ารปกครองแบบมณฑลเทศาภบิ าลขน้ึ แลว้ ต่อมากไ็ ดม้ กี ารแกไ้ ขปรบั ปรุงการ ปกครองให้เป็นลกั ษณะเทศาภบิ าลขน้ึ ดงั กล่าวขา้ งต้น เพ่อื ให้การปกครองดาเนินไปอย่างมรี ะเบยี บ และเกดิ คุณประโยชน์แก่ประชาชนและบ้านเมอื งมากขน้ึ การปกครองจงึ ใชแ้ บบเก่าของไทยเป็นหลกั คอื การปกครองแบบพ่อปกครองลูก และวธิ ีการแบบใหม่ควบคู่ไปด้วย ได้ออกประกาศตกั เตือนให้ ราษฎรปฏบิ ตั ติ ามแบบอย่างทางราชการ โดยใหถ้ อื เป็นกฎหมายท่จี ะต้องปฏบิ ตั อิ ย่างเคร่งครดั ซ่งึ มี เร่อื งต่าง ๆ ดงั ต่อไปน้ี ก. ประกาศใหร้ าษฎรเสยี เงนิ ค่าราชการประจาปี ข. ประกาศใหร้ าษฎรเมอ่ื มคี ดขี น้ึ ใหฟ้ ้องรอ้ งต่อศาลทต่ี งั้ ขน้ึ ในแต่ละทอ้ งท่ี เช่น ศาลหมู่- บา้ น ศาลอาเภอ ศาลเมอื ง และศาลขา้ หลวง เป็นตน้ ค. ประกาศใหร้ าษฎรเขา้ รบั ราชการทหาร ง. ประกาศใหร้ าษฎรเลกิ เล่นการพนนั เลกิ สูบฝ่ินและเลกิ หลงเช่อื ในสง่ิ ทผ่ี ดิ เช่น เลกิ สกั ตามรา่ งกาย เป็นตน้ จ. ประกาศใหร้ าษฎรใชห้ วั แม่มอื แตะเอกสารแทนการเขยี นรปู รา่ ง ๆ ลงทา้ ยเอกสารเช่น แต่ก่อน แต่เน่ืองจากความเคยชนิ ของราษฎรทป่ี ฏบิ ตั ติ ามประเพณีทเ่ี ช่อื ถอื กนั มาแต่เดมิ จงึ ยงั ไม่ เหน็ ผลประโยชน์ทเ่ี กดิ ขน้ึ แก่ตนเองและประเทศชาติ เพราะขาดสง่ิ ทจ่ี ะใหร้ าษฎรเปลย่ี นความคดิ คอื การใหก้ ารศกึ ษาแก่ราษฎร ประกาศดงั กล่าวจงึ ไม่คอ่ ยไดผ้ ลนกั นอกจากน้ียงั ประกาศเตอื นใหร้ าษฎรปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย หรอื ตามความต้องการของทาง ราชการอ่นื ๆ มกี ารปรบั ปรุงการศกึ ษา โดยใหผ้ ูช้ ายมอี ายุพอสมควร ได้บวชเรยี นได้จดั ให้ราษฎรเขา้ ศึกษาในสถานศึกษาท่ีทางราชการจดั ข้นึ จัดตงั้ ศาลให้แน่นอน การเก็บภาษีให้รดั กุมไม่รวั่ ไหล จดั เสน้ ทางคมนาคม ไดแ้ ก่ ถนนทางเกวยี นและสะพานใหส้ ะดวก ตลอดจนการสอ่ื สาร เป็นตน้ การปกครองตามเมอื งต่าง ๆ นอกจากมผี วู้ ่าราชการเมอื งแลว้ ยงั มขี า้ หลวงกากบั อกี ดว้ ย ขา้ หลวงท่ไี ด้รบั แต่งตงั้ ได้มอบหน้าท่ใี หไ้ ปจดั การเก็บภาษีอากรสุรา ภาษีต่าง ๆ และพจิ ารณาตดั สนิ แกป้ ัญหาเร่อื งเขตเมอื ง มกี ารยกฐานะการครองชพี ของราษฎร โดยสง่ เสรมิ การทานา เล้ยี งสตั ว์ เป็นตน้ การเก็บภาษีอากร เม่อื เก็บได้นอกจากนาเข้ารฐั แล้ว ยงั แบ่งผลประโยชน์ให้ผู้ว่าราชการเมือง และ ขา้ หลวง ตลอดจนกรมการอกี ดว้ ย ต่อมาทางราชการได้พจิ ารณาปรบั ปรุงในด้านต่างๆ เช่น การเก็บผลประโยชน์การทหาร การศาล การคมนาคมส่อื สาร และการศึกษา เป็นต้น ซ่ึงช่วยให้การปรบั ปรุงการปกครองในส่วน
๑๘ โครงสร้างไดผ้ ลดยี งิ่ ขน้ึ อนั เป็นการปรบั ปรุงขนั้ พ้นื ฐานเป็นผลให้ราษฎรได้เปล่ยี นแปลงสภาพความ เป็นอยไู่ ดร้ บั ความสะดวก ความยุตธิ รรม ความสงบสขุ มากขน้ึ ตามลาดบั แผนภมู ิการบริหารการปกครองหลงั จากประกาศใช้ พ.ร.บ. ลกั ษณะปกครองท้องท่ี ร.ศ.๑๑๖ ลาดบั การบงั คบั บญั ชา ชื่อตาแหน่งก่อนใช้ พ.ร.บ ช่ือตาแหน่งภายหลงั ใช้ พ.ร.บ ลกั ษณะปกครองท้องที่ รศ.116 ลกั ษณะปกครองท้องที่ รศ. 116 กระทรวงมหาดไทย เสนาบดกี ระทรวงมหาดไทย เสนาบดกี ระทรวงมหาดไทย มณฑล ขา้ หลวงตา่ งพระองค์ ขา้ หลวงต่างพระองค์ เมอื ง เจา้ เมอื ง ผวู้ ่าราชการเมอื ง อาเภอ ทา้ วฝ่าย นายอาเภอ ตาบล ตาแสง กานนั หม่บู า้ น พอ่ บา้ นหรอื นายบา้ น ผใู้ หญบ่ า้ น ๔.๓ การจดั รปู การปกครองในสมยั ปัจจบุ นั เม่อื มกี ารเปลย่ี นแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าช มาเป็นระบอบ ประชาธปิ ไตย เมอ่ื พ.ศ.๒๔๗๕ แลว้ ต่อมาทางราชการไดอ้ อกพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการ แผ่นดนิ สยาม พ.ศ.๒๔๗๖ ใหย้ กเลกิ วธิ กี ารปกครองตามแบบมณฑลเทศาภบิ าล เปลย่ี นเป็นแบบการ บรหิ ารราชการส่วนภูมภิ าคโดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจงั หวดั และอาเภอ โดยรวมพน้ื ทห่ี ลาย ๆ อาเภอเป็นจงั หวดั ระดบั จงั หวดั มขี า้ หลวงประจาจงั หวดั เป็นหวั หน้า ร่วมกบั คณะกรมการจงั หวดั เป็น ผบู้ รหิ าร ทงั้ น้ี เพอ่ื มใิ หห้ น่วยงานมณฑลซ้าซอ้ นกบั จงั หวดั เป็นการประหยดั ช่วยทาใหก้ ารบรหิ ารราช- การรวดเรว็ ขน้ึ เพราะการคมนาคมส่อื สารเจรญิ ก้าวหน้ากว่าแต่ก่อน และรฐั บาลมนี โยบายมอบอานาจ การปกครองใหแ้ ก่สว่ นภูมภิ าคมากยงิ่ ขน้ึ เม่อื พ.ศ.๒๔๙๕ รฐั บาลได้ตราพระราชบญั ญัตริ ะเบียบบรหิ ารราชการแผ่นดนิ อกี ฉบบั หน่ึงเปลย่ี นแปลงจากหลกั การเดมิ ใหจ้ งั หวดั มฐี านะเป็นนิตบิ ุคคล และมอบอานาจบรหิ ารราชการ แผ่นดินให้ผู้ว่าราชการจงั หวดั โดยเฉพาะ ส่วนคณะกรมการจงั หวดั ให้มฐี านะเป็นท่ปี รกึ ษาของผู้ว่า ราชการจงั หวดั ต่อมาคณะปฏวิ ตั ไิ ด้แก้ไขปรบั ปรุงกฎหมายว่าดว้ ยระเบียบบรหิ ารราชการแผ่นดิน ตามนยั ประกาศของคณะปฏวิ ตั ฉิ บบั ท่ี ๒๑๘ ลงวนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๑๕ โดยจดั ระเบยี บบรหิ ารราช- การสว่ นภูมภิ าคออกเป็น (๑) จงั หวดั (๒) อาเภอ โดยกาหนดให้รวมท้องท่หี ลาย ๆ อาเภอข้นึ เป็นจงั หวดั มฐี านะเป็นนิตบิ ุคคล การ ตงั้ ยุบ และเปลย่ี นแปลงเขตจงั หวดั จะทาไดต้ ้องตราเป็นพระราชบญั ญตั ิ และใหม้ คี ณะกรมการจงั หวดั เป็นท่ปี รกึ ษาของผู้ว่าราชการจงั หวดั ในการบรหิ ารราชการแผ่นดินในเขตจงั หวดั -อาเภอหน่ึง ๆ มี
๑๙ นายอาเภอเป็นผบู้ รหิ าร โดยมคี ณะกรมการอาเภอเป็นทป่ี รกึ ษา และในเขตอาเภอหน่ึง ๆ ยงั แบ่งเขต ปก ครองออกเป็นตาบลและหมบู่ า้ นโดยมกี านนั และผใู้ หญบ่ า้ นเป็นหวั หน้าปกครองตามลาดบั นอกจากน้ีตามประกาศของคณะปฏิวตั ิฉบับท่ี ๒๑๘ ยงั กาหนดให้มีการจดั การ ปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ โดยเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนได้มสี ว่ นร่วมในการบรหิ ารงานใหก้ บั ทอ้ งถนิ่ เพอ่ื ให้ ท้องถน่ิ เจรญิ ก้าวหน้าและเป็นการฝึกประชาชนให้เขา้ ใจหลกั การปกครองระบอบประชาธิปไตยดว้ ย โดยแบ่งการปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ออกเป็น ๔ รปู คอื ๑. องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ๒. เทศบาล ๓. สขุ าภบิ าล ๔. องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล ปัจจุบนั จงั หวดั เลย แบ่งการปกครองออกเป็น ๙ อาเภอ ๒ กิง่ อาเภอ ๗๒ ตาบล และ ๖๒๒ หม่บู า้ น และมกี ารปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ไดแ้ ก่ องคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั ๑ แห่ง เทศบาล ๑ แห่ง และสขุ าภบิ าล ๖ แห่ง
๒๐ ทม่ี า : ประวตั ิมหาดไทยส่วนภมู ิภาคจงั หวดั เลย . กรงุ เทพมหานคร : วฒั นาพานิช , ๒๕๒๕ .
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: