Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore king

king

Published by pracha1975, 2018-07-03 10:00:05

Description: king

Search

Read the Text Version

มหาราชพระองค์ ที่ 9 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวภูมพิ ลอดลุ ยเดชมหาราช(สมเดจ็ พระภัทรมหาราช) ธ ทรงปกครองแผน่ ดนิ โดยธรรม ผเู้ รียบเรียงนายประสาร ธาราพรรค์ “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนสยาม” ข้อความนี้เป็นข้อความที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตรัสในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 5 พฤษภาคม2493 จากวันน้ันถึงวันน้ีพระราชกรณียกิจใหญ่น้อยทั้งปวงที่ทรงพระราชอุตสาห บาเพ็ญมาตลอดก็เพื่อประชาราชษฎรแ์ ละประเทศชาตทิ ั้งสิ้น พระองคจ์ ะเสด็จพระราชดาเนินไปเยี่ยมเยือนประชาชน ไม่ว่าสถานที่แห่งน้ันจะห่างไกลทุรกันดารเพียงใดก็ตาม ทรงมีพระราชปณิธานอันแรงกล้าท่ีจะช่วยเหลือประชาชนให้มีอาชีพเลี้ยงตน มีความอยู่ดีกินดีตามควรแก่อัตภาพ ส่งเสริมความปลอดภัย ความเจริญสมบูรณ์พูนสุขแก่ประเทศชาติและประชาชน เมือ่ ทรงทราบถงึ ความเดือดรอ้ นของประชาชนพระองค์จะหาทางแก้ไข ทรงกระทาทุกวิถีทางท่ีจะให้ราษฎรของพระองค์อยู่ดีมีสุข ทรงดาเนินการในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ โครงการอันหลากหลายของพระองค์ส่งผลประโยชน์อเนกอนันต์แก่ประชาชนในส่วนต่างๆ ของประเทศชว่ ยบาบัดทกุ ข์ บารุงสุข แก่ราษฎรของพระองค์ พระองค์ทรงให้ความสาคัญต่อการพัฒนาแหล่งน้าซ่ึงถือว่าเป็นหัวใจของการเกษตร ซ่ึงนอกจากจะเป็นน้าหล่อเลี้ยงชีวิตชนชาวไทยในท้องถิ่นทุรกันดารแล้ว ยังถือเป็นน้าหล่อเลี้ยงหัวใจของเขาเหล่านั้น ว่าท่ามกลางความทุกข์ยาก พระองค์ก็ยังทรงมีน้าพระทัยห่วงใยประชาชนของพระองคต์ ลอดมา พระราชกรณยี กิจตลอดจนโครงการพระราชดารินานัปการได้ยังประโยชน์ ต่อ

ประเทศชาติเป็นส่วนรวมและยังมีส่วนสนับสนุนก่อพลังท้ังในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ตลอดจนการเสรมิ สร้างความม่นั คงให้แกป่ ระเทศชาตเิ ป็นอย่างยงิ่พระราชประวตั ิพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัวภมู พิ ลอดุลยเดชทรงพระราชสมภพ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวภูมพิ ลอดลุ ยเดชพระราชสมภพณ โรงพยาบาลเมานทอ์ อเบอร์น (MOUNT AUBURN) รัฐเมสสาชเู ขตต์ (MASSACHUSETTS) ประเทศสหรัฐอเมรกิ าเม่อื วันท่ี 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45 น.นายแพทย์ผ้ทู าคลอดช่อื ดบั ลิว สจว๊ ตวิตมอร์ ทรงมีน้าหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์

ภาพ เสดจ็ เยอื นนครบอสตนั และโรงพยาบาลเมาท์ ออเบิร์น เม่อื วันท่ี 7 กรกฎาคม พ.ศ.2503 และทรงพบกับ ดร.ดับเบลิ ยู สจ๊วต วทิ ทม์ อร์ รวมทั้งคณะพยาบาลทีถ่ วายพระประสตู ิกาลด้วย ทรงพระราชทานของทีร่ ะลึกแด่ ดร.วทิ ท์มอร์ มขี ้อความด้วยวา่ To my first friend, Doctor Whittmore, with Affectionate regard แดม่ ติ รคนแรกของฉนั ดร.วทิ มอร์ ดว้ ยความระลึกถงึ และรักใคร่ พระองค์ ทรงพระนามเดมิ วา่ “พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จเจา้ ฟ้ามหิดลอดลุ ยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ตอ่ มาได้รบั การเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหติ ลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาล ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)พระนาม \"ภูมิพล\" ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อย่หู วั รชั กาล 7 ทรงมีช่อื เล่น วา่ เล็ก หรอื พระองคเ์ ลก็

ทรงมีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประสูติเม่ือวันอาทิตย์ท่ี 6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2466 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กับ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหดิ ล เสด็จพระราชสมภพเมอ่ื วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พทุ ธศกั ราช 2468 ณ เมอื งไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมนี มหาวิทยาลัยโลซานน์การศึกษา เม่ือพุทธศักราช 2471 ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก ซ่ึงทรงสาเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต เกียรตนิ ยิ ม จากมหาวทิ ยาลยั ฮาวาร์ด สหรฐั อเมรกิ า กลับประเทศไทย ประทับ ณ วังสระประทุม ต่อมาในวันที่ 24 กันยายน พุทธศักราช 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะน้ันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงเจริญพระชนมายุได้ไม่ถึง 2 ปี และเมื่อมีพระชนมายุได้ 5 ปีได้ทรงเข้ารับการศึกษาขั้นต้น ณ โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพฯ มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า \"H.HBhummibol Mahidol\"หมายเลขประจาตัว 449 พ.ศ. 2476 จึงเสด็จพระราชดาเนินไปประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี พระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เพ่ือทรงศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียน Ecole Nouvelle de la Suisse Romande,Chailly-sur-Lausanneซ่ึงเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติและทรงได้รับประกาศนียบัตร บาเชอลิเย เอ แลทร์ จากการศึกษา ดังกล่าว ทรงรอบรู้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝร่ังเศส เยอรมัน และ ละติน เม่ือทรงรับประกาศนยี บัตร Bachlier es Lettres จาก Gymnase Classique Cantonal แห่งเมอื งโลซานน์แลว้ทรงเข้าศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั โลซานน์ โดยทรงเลอื กศึกษาในแขนงวชิ าวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์

ครองราชย์ สมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัวอานันทมหิดล ได้เสดจ็ สวรรคต อย่างกระทันหนั ณ พระท่นี ั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังเม่ือวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489โดยที่ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 9 การสบื ราชสมบัติ ให้เปน็ ไปตามนยั แหง่ กฎหมายมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสนั ตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 และประกอบด้วยความเห็นชอบของรัฐสภาโดยท่ีสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจา้ ฟ้าภมู ิพลอดุลยเดช ทรงเป็นเจ้านายเชอื้ พระบรมวงศ์ท่รี ว่ มพระราชชนนี ตามความในมาตรา 9 (8) แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช 2467โดยที่รัฐสภาได้ลงมติ ณ วันท่ี 9 มิถุนายนพุทธศักราช 2489 แสดงความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ ในการที่จะอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ข้ึนครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป และทรงมีพระนามเต็มว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหติ ลาธเิ บศรามาธิบดี จกั รนี ฤบดินทรสยามนิ ทราธริ าช บรมนาถบพติ ร พระนามภูมิพลอดุลเดชน้ันพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันท่ี 14 ธันวาคม พ.ศ. 2470 โดยทรงกากับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า\"Bhumibala Aduladeja\" ทาให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า \"ภูมิบาล\" ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า \"ภูมิพลอดุลเดช\" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเองทรงเขียนว่า \"ภูมิพลอดุลยเดช\" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลบั กันไป จนมาทรงนยิ มใชแ้ บบหลงั ซ่งึ มตี วั \"ย\" สะกดตราบปัจจุบันพระนามของพระองค์มีความหมายวา่ ภมู ิพล - ภูมิ หมายความว่า \"แผ่นดิน\" และ พล หมายความว่า \"พลัง\" รวมกนั แล้วหมายถงึ \"พลังแหง่แผน่ ดิน\"  อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า \"ไมอ่ าจเทยี บได\"้ และ เดช หมายความว่า \"อานาจ\" รวมกัน แล้วหมายถงึ \"ผู้มอี านาจที่ไม่อาจเทยี บได้\"

พระพุทธรูปประจาพระองค์ พระพทุ ธปฏิมาชัยวัฒน์ประจาพระบาทสมเดจ็ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวพระพุทธรปู ประจาพระองค์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชยั ประทับน่ังขดั สมาธิเพชร ภายใต้ฉัตร 5 ชั้น หน้าตักกว้าง 7 น้ิว ความสูงยอดพระรัศมี 9 นว้ิ ทรงพดั แฉก หลอ่ ดว้ ยเงิน สรา้ งเมอื่ ปี พ.ศ. 2506 ณ วดั พระศรรี ตั นศาสดารามพระพทุ ธรูปประจาพระชนมวาร สว่ นพระพุทธรูปประจาพระชนมวาร พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลท่ี 9ต้ังแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นต้นมาน้ันยังมิได้มีการสรา้ ง พระพทุ ธรปู ประจาพระชนมวารขึ้นในรัชกาลนี้เลย ดังนั้นในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา5 รอบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการฉลองสมโภชพระพุทธรูปประจาประชนมวาร ใน

วนั ท่ี 4 ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช 2530 ณ พระอโุ บสถวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม เม่ือเสร็จการแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญพระพุทธรูปประจาพระชนมวาร ประดิษฐานไว้กับพระชัยวัฒน์ประจารัชกาล ณ หอพระสุลาลัยพิมาน ในหมู่พระมหามณเฑียร ปัจจุบันอัญเชิญพระพุทธรูปประจาพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ พระราชพิธีสงกรานต์ เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ซ่ึงเป็นปางประจาวันจนั ทร์วัดประจารัชกาล วัดประจารัชกาลท่ี 9 วดั พระราม 9 กาญจนาภิเษก พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เป็นวัดตามแนวพระราชดารใิ นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 รัชกาลปัจจุบัน แห่งพระบรมราชจกั รีวงศ์ ต้งั อยูเ่ ลขที่ 999 ซอยพระราม 9 กาญจนาภิเษก 19 ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10320 ในปีพุทธศักราช 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดาริให้แก้ไขปัญหาน้าเน่าเสีย ด้วยวิธีเติมอากาศท่ีบึงพระราม 9 ซึ่งเป็นที่ดินของสานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และปรับปรุงสภาพพ้ืนท่ีเพื่อพัฒนาชุมชนบริเวณบึงพระราม 9ดาเนินการจัดตั้งวัด เพื่อเป็นพุทธสถานในการประกอบกิจของสงฆ์ และเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของราษฎรในการที่ประกอบกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ต่อมาในวันท่ี 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นางสาวจวงจันทร์ สิงหเสนี เข้าเฝ้าฯ น้อมเกล้าฯ ถวายท่ีดินจานาน 5-2-54 ไร่เพ่ือดาเนนิ การสร้างวัดในนามมูลนธิ ิชยั พัฒนา ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาให้จัดสร้างวัด ซ่ึงมีสมเด็จพระ

ญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายสงฆ์ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายฆราวาส สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ได้ประทานอนุญาตให้ พระราชสุมนต์มุนี (อภิพล อภิพโล) เลขานุการในพระองค์ และผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั บวรนิเวศวิหาร มาดารงตาแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นองค์ปฐมแห่งอาราม ตั้งแต่วันอาสาฬหบูชา ท่ี 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา พร้อมด้วยคณะสงฆ์ภิกษุสามเณรจานวนหน่ึงดอกไมป้ ระจาพระองค์ คือ ดอกดาวเรอื งสปี ระจาพระองค์คอื สีเหลือง ธงประจาพระอิสริยยศ ธงประจาพระองค์

พระราชลญั จกรประจารัชกาลที่ 9 พระราชลัญจกรประจารัชกาลที่ 9 เป็นรูปพระท่ีน่ังอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ประกอบด้วยวงจักรกลางวงจักรมีอักขระเป็น \"อุ\" หรือ \"เลข 9\" รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งออกโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตร 7ชั้น ฉัตรตง้ั อย่บู นพระทีน่ ั่งอฐั ทศิ แปลความหมายว่า มีพระบรมเดชานุภาพในแผ่นดิน โดยที่วันบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี ได้เสด็จประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศ สมาชิกรัฐสภาถวายน้าอภิเษกจากทิศทั้ง 8นับเป็นคร้ังแรกในประวัติศาสตร์ ท่ีพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ทรงรับน้าอภิเษกจากสมาชิกรัฐสภา แทนที่จะรับจากราชบัณฑติ ดัง่ ในรัชกาลก่อน องค์พระราชลญั จกรน้เี ปน็ ตรากลมรีรปู ไขแ่ นวตัง้ กวา้ ง 5เซนติเมตร สูง 6.7 เซนติเมตร พระราชลัญจกรองค์น้ีนอกจากจะใช้ประทับในเอกสารสาคัญส่วนพระองค์ที่ไม่เก่ียวข้องกับราชการแผ่นดินแล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตรานี้แก่สถาบันอุดมศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลและมหาวิทยาลัยราชภัฏ ใช้เป็นตราประจามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งในเครือของตน และยังได้มีพระบรมราชานุญาตให้ใช้เป็นภาพประธานในตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธีสาคัญต่างๆในรัขกาลของพระองค์ ได้แก่ พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และงานพระราชพิธีเฉลมิ พระชนมพรรษาครบ 80 พรรษาอกี ดว้ ย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ออกผนวช พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวเสดจ็ ฯ ออกผนวชเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวนั ท่ี 22 ตลุ าคม–5พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์เป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงได้รับฉายาว่า ภูมิพโลภิกขุ หลังจากน้ัน พระองค์เสด็จฯ ไปประทับจาพรรษา ณ พระตาหนกั ปัน้ หยา วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างท่ีผนวชนั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชนิ ี เป็นผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ฉลิมพระนามาภิไธยเปน็ สมเด็จพระนางเจ้าสริ ิกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธนั วาคม ในปีเดยี วระหว่างท่ีทรงดารงสมณเพศ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชกิจเช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เช่น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทาวัตรเช้า–เย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัยนอกจากน้ียังได้เสด็จพระราชดาเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจพิเศษอ่ืน ๆ เช่นในวันท่ี 24 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ได้เสด็จพระราชดาเนินไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงร่วมสังฆกรรมในพิธีผนวชและอุปสมบทนาคหลวงในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในวันท่ีวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2499 เสด็จฯ ไปทรงรับบิณฑบาต จากพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ในโอกาสนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ครั้งยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลพี ระบาทด้วยอนึง่ ในการทรงพระผนวชคร้ังนี้

เมอื่ วนั ที่ 20 ธนั วาคม พ.ศ. 2499 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระวชริ ญาณวงศ์สมเดจ็ พระสงั ฆราช พระราชอุปชั ฌาจารย์ ขึน้ เปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจ้า และถวายฐานนั ดรศักดิ์ เปน็ กรมหลวงทรงประสบอบุ ตั ิเหตุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในปีพ.ศ. 2489หลังจากที่จบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์เสด็จไปเยือนกรุงปารีส ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซ่ึงเป็นลูกสาวของเอกอัครราชทูตไทยประจาฝรั่งเศส เป็นครั้งแรก ในขณะน้ี ทั้งสองพระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษาและ 15พรรษาตามพระลาดับเม่ือวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ในระหว่างเสด็จประทับยังต่างประเทศ ขณะท่ีพระองค์ทรงขับรถยนต์พระท่ีนั่งเฟียส ทอปอลิโน จากเจนีวาไปยังโลซาน ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กล่าวคือรถยนต์พระที่น่ังชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทาให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส หลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างตอ่ เน่อื งหลายครงั้ หากแต่พระอาการยังคงไมด่ ขี ้นึ กระท่งั วินจิ ฉยั แล้วว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านทางพระเนตรขวาของพระองคเ์ องไดต้ ่อไปแลว้ จึงไดถ้ วายการแนะนาให้พระองคท์ รงพระเนตรปลอมในทีส่ ดุท้งั นี้ หม่อมราชวงศส์ ิรกิ ติ ์ิ ได้มโี อกาสเข้าเฝา้ เย่ยี มพระอาการเปน็ ประจาจนกระทง่ั หายจากอาการประชวร อนัเปน็ เหตทุ ่ีทาให้ทง้ั สองพระองค์มีความสัมพันธ์กนั อย่างใกล้ชิดนบั ตั้งแตน่ ัน้ เป็นตน้ มา

พระราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษก วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระท่ีนั่งไพศาลทักษิณ เฉลิมพระปรมาภิไธยตามท่ีจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพติ ร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า \"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพ่ือประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม\" ในโอกาสนี้พระองค์ทรงพระราชดาริว่า ตามโบราณราชประเพณี เมอื่ สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจา้ ได้เสด็จเถลงิ ถวัลยราชสมบัติบรมราชาภเิ ษก

ทรงอภเิ ษกสมรส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิต์ิ กิติยากร เมื่อวันท่ี 19กรกฎาคม พ.ศ. 2492 และเสด็จพระราชดาเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระท่ีนั่งอัมพรสถานต่อมาวันท่ี 28 เมษายน 2493 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตาหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ภายในวังสระปทุม ซ่ึงในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิต์ิ กิติยากร ข้ึนเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิต์ิ วันท่ี 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493โปรดให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระอัครมเหสีข้ึนเป็นสมเด็จพระบรมราชินี ดังน้ัน พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาเฉลมิ พระเกียรตยิ ศสมเด็จพระราชินสี ิรกิ ิต์ิ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจา้ สิริกิติ์ พระบรมราชนิ ี วันท่ี 5 มิถุนายน 2493 พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ได้เสด็จพรอ้ มดว้ ย สมเดจ็ พระนางเจ้าพระบรมราชนิ ี ไปยงั สวิตเซอรแ์ ลนด์อีกคร้ังเพือ่ ทรงรักษา พระสขุ ภาพ และเสดจ็ พระราชดาเนนิ นิวตั พิ ระนคร เมื่อ 2ธันวาคม 2494 ประทับ ณ พระตาหนักจิตรลดารโหฐาน และพระทนี่ ั่งอมั พรสถาน ทง้ั สองพระองคม์ ีพระราชธิดา และพระราชโอรส 4 พระองค์ดังน้ี 1. สมเด็จพระเจา้ ลกู เธอ เจ้าฟา้ อุบลรตั นราชกญั ญา สริ ิวัฒนาพรรณวดี ประสตู ิเม่ือ 5 เมษายน 2494 ณโรงพยาบาลมองซวั น่ี โลซานน์ 2. สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้าวชริ าลงกรณ์ฯ ประสตู ิเมอื่ 28 กรกฏคม 2495 ณ พระท่นี ่ังอัมพรสถาน ต่อมา ทรงไดร้ ับสถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชเจา้ ฟา้ มหาวชริ าลงกรณฯ สยามมกฎุ ราชกุมารเมอ่ื 28 กรกฏคม 2515 3. สมเดจ็ พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟา้ สิรินธรเทพรตั นสดุ า กติ วิ ัฒนาดลุ นโสภาคย์ ประสตู ิเมอ่ื 2 เมษายน2498 ณ พระท่ีน่ังอัมพรสถาน ภายหลงั ทรงไดร้ ับสถาปนาเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟา้ มหาจักรีสิรินธร รฐั สีมาคณุ ากรปยิ ชาติ สยามบรมราชกมุ ารี เม่ือวนั ที่ 5 ธนั วาคม 2520 4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟา้ จุฬาภรณวลยั ลักษณ์ อคั รราชกุมารี ประสูติเม่ือ 4 กรกฏคม 2500 ณพระทน่ี ั่งอัมพรสถาน

พระราชกรณียกจิ ทรงรับประธานาธบิ ดสี หรัฐอเมริกาบารัค โอบามาในโอกาสเยือนไทยอยา่ งเป็นทางการ ตั้งแต่พุทธศักราช 2502 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดาเนินไป ทรงกระฉับสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ท้ังในยุโรป อเมริกาออสเตรเลยี และ เอเชีย และได้เสด็จพระราชดาเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ทุกภาคทรงประจักษ์ในปัญหาของราษฎร ในชนบทท่ีดารงชีวิตด้วยความยากจน ลาเค็ญและด้อยโอกาส ได้ทรงพระวิริยะอุตสาหะหาทางแก้ปัญหาตลอดมาตราบจนปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า ทุกหนทุกแห่งบนผืนแผ่นดินไทยที่รอยพระบาทได้ประทับลง ได้ทรงขจัดทุกข์ยากนาความผาสุกและทรงยกฐานะความเป็นอยู่ ของราษฎร ให้ดีข้ึนด้วยพระบุญญาธิการและพระปรีชาสามารถปราดเปรื่อง พร้อมด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของราษฏร และเพ่ือความเจริญพัฒนาของประเทศชาติตลอดระยะเวลาโดยมิได้ทรงคานึงประโยชน์สขุ สว่ นพระองค์เลย ดังในปฐมพระบรมราชโองการในระหวา่ งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เม่ือวันที่ 5พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ว่า \"เราจะครองแผน่ ดนิ โดยธรรม เพอ่ื ประโยชน์สุขแกม่ หาชนชาวสยาม\"ด้านการพัฒนาชนบท สิ่งหน่ึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงและทรงหาวิธีการแก้ไขอยู่ก็คือ เร่ืองการพัฒนาชนบทให้เจรญิ ก้าวหน้า เพราะทรงทราบดีว่ามีขอ้ จากดั และมอี ปุ สรรคในด้านต่าง ๆ มาก ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ดา้ นการเปลยี่ นแปลงทศั นคตขิ องราษฎรในท้องถน่ิ ท่สี าคญั คอื ชาวชนบทขาดความรู้ความสามารถ และสง่ิ จาเปน็ ขนั้ พ้นื ฐานในการดารงชีวิต โดยเฉพาะอย่างย่ิงการท่ีเกษตรกรขาดความรู้ ในเร่ืองการประกอบอาชีพเกษตรกรรม อยา่ งมีหลักวิชา รวมทั้งอุปสรรคปัญหาอื่น ๆ เช่นขาดที่ดินทากินเป็นของตนเอง ขาดแคลนแหล่งน้าท่จี ะใช้ทาการเกษตรและใช้อุปโภคบริโภคเป็นต้น แต่ด้วยพระราชหฤทัยท่ีมุ่งมั่นในการช่วยเหลือราษฎรให้พน้ หรอื บรรเทาจากความเดือดรอ้ นดงั นั้น แนวพระราชดาริที่จะช่วยพัฒนาชนบทจึงออกมาในรูปของโครงการต่าง ๆ อันเน่ืองมาจากพระราชดาริ ซึ่งมีลักษณะแต่ละโครงการแตกต่างกันออกไปตามปัญหาและสภาพภูมิประเทศในแต่ละ แห่ง แต่มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ การพัฒนาบทเพ่ือให้ราษฎรในชนบทได้มีความเป็นอยู่

ตลอดจนสามารถประกอบอาชีพ เลี้ยงครอบครวั ให้ดขี ึ้น แนวพระราชดาริท่ีสาคัญในเรื่องการพัฒนาชนบท คือมีพระราชประสงค์ท่ีจะมุ่งช่วยให้ชาวชนบทนั่นเองได้สามารถช่วยเหลือพ่ึงตน เองได้ จะสังเกตเห็นได้ว่าโครงการต่าง ๆ อันเน่ืองมาจากพระราชดาริ ทีข่ ยายตัวครอบคลมุ พ้ืนทส่ี ่วนต่าง ๆ ของประเทศน้ัน จุดมุ่งหมายสาคญั ประการสดุ ท้ายก็คือทาให้ชาวชนบทสามารถพึ่งพาตนเองได้ท้ัง ส้ิน ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านนี้โดยการสร้างพ้ืนฐานหลักท่ีจาเป็นต่อการ ผลิตให้แก่ราษฎรเหล่านั้น อันจะเป็นรากฐานท่ีจะนาพาไปสู่การพงึ่ ตนเองได้ในทส่ี ดุ ในเวลาเดยี วกนั กท็ รงส่งเสริมให้ชาวชนบทไดม้ คี วามรูใ้ นเรื่องของการประกอบ อาชีพอย่างถูกวิธี โดยเผยแพร่ความรู้น้ันแก่ชาวชนบทอย่างค่อยเป็นค่อยไปในลักษณะท่ีเป็นระบบ อย่างต่อเน่ือง และให้สอดคล้องแกค่ วามจาเป็นของแต่ละท้องถิ่น ซ่ึงเร่ืองการพัฒนาชนบทน้ันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยเคร่ืองไมเ้ คร่ืองมือหลายชนดิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทุกหนแห่งไม่ว่าดินแดนแห่งน้ันจะทุรกันดารเพียงใด ไม่ว่าใกลไ้ กลแคไ่ หน พระองค์จัดทาโครงการพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดาริควบคูไ่ ปในทกุ ๆ ด้าน ไม่เน้นด้านใดด้านหนึ่ง พระองค์มีจุดประสงค์เดียวคือ เพ่ือขจัดความทุกข์ยากของชาวชนบท และสนับสนุนส่งเสริมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมท้ังแก้ปัญหาสังคมเมืองให้ดีข้ึนโดยจะเห็นได้จากโครงการในพระราชดาริหลายโครงการท่ีเกิดข้ึนจากความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ โครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดาริจะเป็นโครงการเกีย่ วกับปรับปรุงถนนหนทาง การก่อสร้างถนนเพอ่ื การ สัญจรไปมาได้สะดวกและท่ัวถึง การคมนาคมเปน็ ปจั จยั พ้นื ฐานท่ี สาคัญของการนาความเจริญไปสู่ชนบท การสื่อสาร ติดต่อท่ีดียังผล สาคัญทาให้เศรษฐกิจของราษฎรในพืน้ ทด่ี ขี ้นึ ราษฎรกม็ คี วามเปน็ อยทู่ ่ดี ขี ึ้น ในการพฒั นาชนบทน้ัน การคมนาคม เป็นปัจจัยพื้นฐานทส่ี าคญั ทีจ่ ะมองขา้ มไปเสียมไิ ด้ เพราะเป็นเสมือนประตูเช่ือม ระหว่างในเมือง และชนบท ดังน้ัน การที่จะเริ่มโครงการพัฒนาใด ๆ นั้นจะต้องเร่ิมจากการปรับปรุง และการก่อสร้างถนนหนทางเป็นการเปิดประตูนาความเจริญเข้าไปสู่พ้ืนท่ี และแม้ในยามประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา ก็ได้พระราชทานแนวทางดารงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” ให้ราษฎรได้พ่ึงตนเอง ใช้ผืนแผ่นดินใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสุดประกอบอาชีพอยู่กินตามอัตภาพซงึ่ ราษฎรได้ยึดถือปฏิบัติเป็นผลดีอยู่ในปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานโครงการนานัปการมากกว่า 3,000โครงการ ท้ังการแพทย์

สาธารณสขุ การเกษตร การชลประทาน การพฒั นาท่ีดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรในชนบท ท้ังยังทรงขจัด ปัญหาทุกข์ยาก ของประชาชนในชุมชนเมือง เช่น ทรงแก้ปัญหาการจราจรอุทกภัยและปัญหาน้าเน่าเสียในปัจจุบัน ได้ทรงริเริ่มโครงการการชว่ ยสงเคราะห์ และอนรุ กั ษ์ช้างของไทยอีกด้วยด้านการเกษตรและชลประทาน ในด้านการเกษตร จะทรงเน้นในเรื่องของการค้นคว้า ทดลอง และวิจัยหาพันธ์ุพืชใหม่ ๆ ทั้งพืชเศรษฐกิจ พืชสมุนไพร รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับแมลงศัตรูพืช และพันธ์ุสัตว์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นนั้น ๆ ซ่ึงแต่ละโครงการจะเน้นให้สามารถนาไปปฏิบัติได้จริง มีราคาถูก ใช้เทคโนโลยีง่าย ไม่สลับซับซ้อน เกษตรกรสามารถดาเนินการเองได้ นอกจากนี้ ยังทรงพยายามไม่ให้เกษตรกรยึดติดกับพืชผลทางการเกษตรเพียงอย่างเดียว เพราะอาจเกิดปัญหาอันเน่ืองมาจากความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศหรือความแปรปรวนทางการตลาด แตเ่ กษตรกรควรจะมีรายได้จากด้านอ่ืนนอกเหนือไปจากการเกษตรเพิ่มข้ึนด้วย เพื่อจะได้พึ่งตนเองได้ในระดับหน่ึงการพัฒนาแหล่งน้าเพ่ือการเพาะปลูกหรือการชลประทาน นับว่าเป็นงานท่ีมีความสาคญั และมปี ระโยชนอ์ ยา่ งย่ิงสาหรบั ประชาชนส่วนใหญข่ องประเทศ เพราะเกษตรกรจะสามารถทาการเพาะปลูกได้อย่างสมบูรณ์ตลอดปี เน่ืองจากพ้ืนที่เพาะปลูกในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน ซ่ึงต้องอาศัยเพียงน้าฝนและนา้ จากแหลง่ น้าธรรมชาตเิ ปน็ หลกั ทาใหพ้ ชื ไดร้ ับน้าไมส่ ม่าเสมอ และไม่เพียงพอ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ามากกว่าโครงการพัฒนาอันเน่ืองมาจากพระราชดาริประเภทอ่ืน เช่น เข่ือนป่าสักชลสิทธ์ิ จังหวัดลพบุรี เป็นโครงการพระราชดาริ โครงการหน่งึ ซงึ่ เขอ่ื นแหง่ น้ีเปน็ แหลง่ นา้ สาคญั ของประเทศแหลง่ หน่ึงดา้ นการฟ้ืนฟูพระราชประเพณีสาคัญ ด้านการฟื้นฟูพระราชประเพณีสาคัญนั้น ใน พ.ศ. 2503 ได้ทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟ้ืนฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญข้ึนมาใหม่หลังจากท่ีได้เลิกร้างไปตั้งแต่ พ.ศ. 2479 ด้วยทรงพระราชดาริว่าเป็นพระราชพิธีที่กระทาเพ่ือความเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธ์ุธัญญาหาร ให้รู้กาหนดน้าฝนน้าท่าและเพ่อื บารงุ ขวญั เพมิ่ พนู กาลังใจแก่เกษตรกรซง่ึ เกษตรกรซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศและท่ีสาคัญย่ิงก็คือมิไดท้ รงฟ้ืนฟอู ยา่ งเดียวหากทรงปรับปรุงให้ถูกต้องตามหลักจิตวิทยาการบารุงขวัญ และเป็นประโยชน์แก่การพฒั นาผลผลิต ด้วยการทรงยกย่องวนั พระราชพธิ ีนีใ้ ห้เป็นวนั \"เกษตรกร\" ทัว่ ประเทศ อีกทง้ั ยังโปรดเกล้าฯ ให้

ทุกจังหวัดจัดงานวันเกษตรกร มีการประกวดพืชผลและพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ เพ่ือส่งเสริมการพัฒนาผลผลิตทางเกษตร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้แทนชาวนาทุกภาคได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานรางวัลการประกวดพันธุ์ข้าว พระราชทานพันธ์ุข้าวทรงปลูกจากสวนจิตรลดาให้เป็นเมล็ดข้าวม่ิงขวัญแก่ชาวนาทั่วประเทศต่อมา ใน พ.ศ. 2504 พระเจา้ อยูห่ ัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีเสด็จพระราชดาเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค และเมื่อ พ.ศ. 2506 ในโอกาสอันเป็นมหามงคลท่ีทรงเจริญพระชนมพรรษา 36 พรรษา ได้โปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธีเสด็จพระราชดาเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคพระราชพิธเี สด็จพยหุ ยาตรากระบวนใหญ่ท่ีทรงฟื้นฟูข้ึนนี้ เป็นการแสดงถึงความเจริญทางจิตใจของบรรพชนไทย ในดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมทางขนบประเพณอี ันงดงามย่งิ ใหญ่ ซึง่ อนชุ นรนุ่ หลังควรได้รู้เห็น จะได้เกิดความภาคภูมิใจในชาติของตน ท้ังน้ีเป็นการช่วยบูรณะและอนุรักษ์มรดกของวัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นของดีงามของชาติ ให้คงอยคู่ บู่ า้ นเมืองตลอดไป และยงั เผยแพรใ่ ห้ชาวโลกไดป้ ระจักษ์ในความเป็นชาตเิ ก่าแกข่ องไทยอีดว้ ยด้านการศกึ ษา

พระองคย์ งั โปรดเกลา้ ฯ ให้จดั ตง้ั มลู นธิ ิอานันทมหิดล เพ่ือเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวอานนั ทมหิดล เพือ่ สนบั สนุนทางด้านคัดเลือกบัณฑิตในสาขาวิชาต่าง ๆ ไปศึกษาต่อต่างประเทศเพือ่ จะไดใ้ หบ้ ัณฑิตเหลา่ นนั้ นาความร้ทู ่ไี ด้ไปศึกษาวิจัยนาผลงานท่ีได้กลับมาพัฒนาประเทศอย่างต่อเน่ือง โดยพระองค์ออกทุนให้ตลอดจนดูแลเก่ียวกับความเป็นอยู่ในต่างประเทศน้ัน ๆ อีกด้วยส่วนในประเทศทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลเป็นผู้ดาเนินการจัดการบริหารทางการศึกษา แบบให้เปล่าต้ังแต่ระดับช้ันประถมศกึ ษา จนถงึ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในลักษณะท้ังอยู่ประจาและไปกลับ แบ่งเป็น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จานวน 26 โรงเรยี น โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ จานวน 14 โรงเรียนดา้ นศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี ในฐานะที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ทีม่ พี ระปรชี าสามารถในศิลปะแขนงต่าง ๆ หลายแขนง จึงทรงได้รบั การยกย่องให้เปน็ องคอ์ คั รศิลปินแห่งชาตแิ ละบิดาแห่งการดนตรีพระองค์ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการฝึกเขียนภาพ และมีพระปรีชาสามารถในเร่ืองการถ่ายภาพ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีพระปรีชาสามารถปัน้ พระพทุ ธรูปพระสมเด็จจติ รลดาด้วยพระองค์เองพระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ในศิลปวัฒนธรรมซ่ึงเป็นส่ิงแสดงความเก่าแก่และความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทยที่มีมานานนับพันปีนั้น ทรงสนพระราชหฤทัยทะนุบารุงอยู่เสมอ ทรงเป็นนักพัฒนาที่เห็นการณ์ไกลและแสวงหาวิทยาการใหม่ ๆ เพ่ือส่งเสริมการประกอบอาชีพของมวลพสกนิกร แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นนักอนุรักษ์ผู้คานึงถึงอดีตอันดีงามของชาติไทยอยู่ตลอดเวลาทรงตระหนักดีว่าอดีตรากฐานของปัจจุบันและอนาคต ด้วยเหตุนี้ จึงทรงเอาพระราชหฤทัยใส่เชน่ โปรดเกล้าฯ ใหศ้ ิลปินของกรมศลิ ปากรถ่ายทอดทา่ ราตา่ ง ๆ อันเป็นศิลปะท่าราช้ันครู ท่ารามโนห์รา และใหถ้ ่ายภาพยนตร์บันทกึ ทา่ ราและเพลงหนา้ พาทย์สาคัญ ๆ เอาไวด้ ้วย

ด้านการแพทย์ โครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั พระราชทานให้กับประชาชนในระยะแรก ๆ ลว้ นแต่เปน็โครงการดา้ นสาธารณสุข เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า หากประชาชนมีร่างกายท่ีสมบูรณ์ แขง็ แรง จะนาไปสู่สขุ ภาพจติ ท่ดี ี และส่งผลให้การพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมดไี ปดว้ ย พระองคจ์ งึ ทรงให้ความสาคญั กับงานด้านสาธารณสุขเปน็ อยา่ งมาก ในการเสด็จพระราชดาเนินไปทรงเยยี่ มราษฏรตามท้องทตี่ า่ ง ๆ ทกุ คร้ัง จะทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหม้ คี ณะแพทย์ทปี่ ระกอบดว้ ย ผเู้ ช่ียวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลตา่ ง ๆ และลว้ นเปน็ อาสาสมคั รทง้ั สิ้น โดยเสดจ็ พระราชดาเนนิ ไปในขบวนอยา่ งใกลช้ ิด พรอ้ มดว้ ยเวชภัณฑแ์ ละเคร่ืองมือแพทย์ครบครนั พร้อมท่จี ะใหก้ ารรกั ษาพยาบาลราษฎรผ้ปู ่วยไขไ้ ด้ทันทีนอกจากน้ัน ยงั มีโครงการทันตกรรมพระราชทาน ซึง่ เป็นพระราชดาริทใ่ี หท้ ันตแพทย์อาสาสมัคร ไดเ้ ดินทางออกไปชว่ ยเหลือบาบัดโรคเกีย่ วกับฟันตลอดจนสอนการรักษาอนามัยของปากและฟัน แก่เด็กนักเรียนและราษฎรท่ีอาศัยอยใู่ นทอ้ งท่ีทุรกันดาร และหา่ งไกลจากแพทยท์ ว่ั ทุกภาค โดยให้การบรกิ ารรกั ษาโรคฟัน โดยไม่คิดมูลคา่ ทางด้านหน่วยแพทย์หลวงที่จะต้องตามเสด็จพระราชดาเนินไป ณ ทป่ี ระทบั แรมทุกแห่งน้ัน จะมีเจ้าหนา้ ที่ให้การรักษาพยาบาลราษฎร ผู้มาขอรับการรกั ษา ไม่ต้องเสยี คา่ ใช้จ่ายแต่ประการใด นอกจากน้ัน หน่วยแพทย์หลวงยังจดั เจ้าหน้าที่ออกเดินทาง ไปรักษาราษฎรผปู้ ่วยเจ็บ ตามหมบู่ า้ นที่อย่หู า่ งไกลออกไปอีกด้วยใน พ.ศ. 2554 ทางองค์กรแพทย์ศัลยศาสตร์จากทั่วโลก ต่างพรอ้ มใจกนั ถวายใบประกาศเกียรติคุณ เกียรตบิ ตั รสมาชกิ กิตตมิ ศกั ด์ิ และเหรยี ญสดุดี จากคณุ ูปการดา้ นการแพทย์และสาธารณสุขทีพ่ ระองค์ทรงอทุ ศิ เพื่อพสกนิกรชาวไทยตลอดระยะเวลาท่ีทรงครองราชย์ ด้านการกฬี า เรือใบเป็นกีฬาท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยลงแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งท่ี 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ท่ีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบ้ียเล้ียงในฐานะนักกีฬาเช่นเดียวกับนักกีฬาคนอื่น ๆ ในที่สุด ด้วยพระปรีชาสามารถ พระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกลา้ ฯ ถวายรางวลั เหรยี ญทองจากสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ เมอ่ื วันท่ี 16 ธันวาคม พ.ศ.

2510 ท่ามกลางความปลื้มปีติของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ และเป็นที่ประจักษ์แก่ชนทั่วโลก ทาให้พระอจั ฉรยิ ภาพทางกฬี าเรือใบของพระองค์ท่ยี อมรบั กันทวั่ โลก พระองค์ยังได้ทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างออกมาหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบประเภทม็อธ (Moth) ที่ทรงสร้างข้ึนว่า เรือใบมด เรือใบซูเปอร์มด และ เรือใบไมโครมด ถึงแม้ว่าเรือใบลาสุดท้ายท่ีพระองค์ทรงต่อคือ เรือโม้ค (Moke) เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซูเปอร์มดยังถูกใช้แข่งขันในระดบั นานาชาตทิ จ่ี ัดในประเทศไทยหลายครง้ั ครัง้ สุดท้ายคอื เม่อื พ.ศ. 2528 ในกฬี าซีเกมส์ครง้ั ที่ 13ดา้ นสง่ เสรมิ ศิลปวฒั นธรรมไทย ทรงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ประวัติศาสตร์ไทย สถาปัตยกรรมจิตรกรรม นาฏศิลป์ การดนตรีและศิลปะอ่ืน ๆ เช่น โปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรจัดทาโน้ตเพลงไทยตาม

ระบบสากลและจัดพิมพ์ขึ้นด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดเกล้าฯ ให้อาจารย์และนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั วิจยั หาระดับเฉลี่ยมาตรฐานของเคร่ืองดนตรีไทย ทรงสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย เสด็จพระราชดาเนินไปทรงร่วมการอภิปรายของชุมนุมภาษาไทยคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันท่ี 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ซ่ึงถือว่าเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติพระราชทานภาพเขียนฝีพระหัตถ์ไปร่วมในงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติคร้ังที่ 14 และเสด็จพระราชดาเนินไปทรงเปิด พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในจังหวัดต่าง ๆ เป็นต้นอีกทั้งยังพระราชทานพระบรมราโชวาทท่ีเตือนใจให้คนไทยเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมไทย และช่วยกันธารงรักษาวัฒนธรรมที่ดีงามของชาติไว้ งานทางด้านวรรณศิลป์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเช่ียวชาญในภาษาหลากหลายภาษา ทรงพระราชนิพนธ์บทความ แปลหนังสือ เช่น นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระมหาชนก และพระมหาชนก ฉบับการ์ตูนเร่ือง ทองแดง เป็นพระราชนิพนธ์เกยี่ วกับคุณทองแดง สุนขั ทรงเล้ยี ง เปน็ ตน้ด้านดนตรี พระองค์ทรงมพี ระอจั ฉริยภาพดา้ นดนตรีอย่างสูงส่ง ทรงรอบรู้เร่ืองดนตรีเป็นอย่างดีและทรงดนตรีได้หลายชนดิ เชน่ แซ็กโซโฟน คราริเน็ต ทรัมเป็ต กีตาร์ และเปียโน โปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก ทรงพระราชนิพนธ์เพลงอันไพเราะนับแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบันรวม 47 เพลง เช่น เพลงพระราชนิพันธ์แสงเทียน เป็นเพลงแรก สายฝน ยามเย็น ใกล้รุ่ง ลมหนาว ย้ิมสู้ ค่าแล้ว ไกลกังวล ความฝันอันสูงสุด และเราสู้ หรือจะเป็นพรปีใหม่ ซ่ึงถือได้ว่าเป็นส่วนสาคัญอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวไทย ซ่ึงนักดนตรีท้ังไทย และตา่ งประเทศนาไปบรรเลงอย่างแพร่หลาย เป็นที่ประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพจนสถาบันดนตรีในออสเตรเลียได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์ แด่พระองค์ นอกจากนั้นยังทรงได้รับยกย่องเป็น “อัครศิลปิน” ของชาติทรงได้รบั การเทิดพระเกียรติถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมพิ ลอดลุ ยเดชมหาราช พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวรชั กาลปัจจบุ ันสบื เนอื่ งจากคาถวายอาศริ วาทราชสดุดี และถวายชัยมงคลของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์นายกรฐั มนตรีขณะนั้น เม่ืองานสโมสรสนั นิบาต เนือ่ งในวโรกาสวันฉัตรมงคล วันท่ี 5 พฤษภาคม พุทธศักราช2530 ณ ทาเนยี บรฐั บาล ดงั ปรากฏในเอกสารดงั นี้

“....ในอภิลักขิตมหามงคลสมัยแหง่ “วนั ฉตั รมงคล” ในรอบปีที่ 37 ในวันน้ี บรรดาอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงและรัฐบาล สานึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาท่ีสุดมิได้ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ประกาศความสมานฉันท์พร้อมเพรียงกันเฉลิมพระเกียรติ และถวาย พระราชสมัญญาเป็น“มหาราช” ด้วยความจงรักภักดีมีในปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าฯ ต้ังสัตยาธิษฐานเดชะคุณพระศรีรัตนตรัย เป็นประธาน พร้อมด้วยส่ิงศักด์ิสิทธิ์โปรด อภิบาลพระบรมราชจักรีวงศ์ให้สถิตธารง อยู่คู่ดินฟ้าและโปรดประทานชัยมงคลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ขอจงทรงพระเจริญสิริสวสั ด์ใิ นไอศูรย์ ราชสมบตั ิแห่งสยามรฐั สีมาขอพระมหาราชเจ้า เผยแผ่พระบรมกฤษฎาเดชานุภาพ คุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อมเหลา่ พสกนิกร ตลอดในจิรัฐติ กิ าล เทอญ”“...เมื่อประชาชนชาวไทยในปัจจุบันได้พิจารณาข้อความจารึกที่ฐานพระบรมราชานุสรณ์ ณ ลานพระราชวังดุสิต ถึงปัจจัยท่ีประชาชนในกาล 80 ปีก่อนโน้น น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญา “มหาราช”แด่พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็ประจักษ์ชัดว่าพระบรมราชคุณูปการแห่งพระมหาราชเจ้าพระองค์น้ัน มิได้ผิดเพ้ียนไปจากพระมหากรุณาธิคุณแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแม้แต่น้อย ดังนั้นอาณาประชาราษฎร์แห่งใต้ฝ่าละอองธลุ ีพระบาท ก็ยิง่ ทวีความปติ ปิ ราโมทย์ มสี ามคั คีสมานฉันท์เทิดทูนไว้เหนือเศียรเกล้า และภาคภูมิใจนักที่ได้มีพระบรมธรรมิกราช ผู้ทรงยิ่งด้วยพระขัตติยวัตรธรรม จึงขอ พระราชทาน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” แด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในขณะยังทรงดารงพระชนมชีพอยู่ในไอศรู ย์ราชสมบัติ ทานองเดียวกับประชาราษฎร์ สมัยเมื่อ 80 ปี ที่ล่วงมาได้พร้อมใจกันน้อมเกล้านอ้ มกระหม่อมถวาย พระราชสมัญญาแก่ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั

เหตุการณส์ าคัญในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวภูมพิ ลอดลุ ยเดชพ.ศ. 2470 5 ธันวาคม - เสด็จพระราชสมภพ ณ สหรัฐอเมริกา มพี ระนามเดิมวา่ พระวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจา้ ภูมิพลอดลุ ยเดชพ.ศ. 2471 เสด็จนิวตั พระนครครั้งแรก พร้อมสมเดจ็ พระบรมราชชนก สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระโสทรเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธริ าชพ.ศ. 2472 สมเด็จพระมหติ ลาธิเบศร อดุลยเดชวกิ รม พระบรมราชชนก ส้ินพระชนม์พ.ศ. 2475 ทรงเขา้ ศกึ ษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2476 เสด็จไปประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ ัว สละราชสมบัติรฐั บาลอญั เชิญ พระวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจา้อานนั ทมหิดล เสด็จขึน้ ครองราชย์ เปน็ พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แหง่ ราชวงศ์จักรี ขณะมีพระชนมายุ 9พรรษา เฉลิมพระนามาภิไธยว่า สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ลพ.ศ. 2478 ทรงไดร้ บั การสถาปนาพระอิสรยิ ยศเป็น สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าภูมพิ ลอดุลยเดชพ.ศ. 2481 เสด็จนวิ ตั พระนครคร้ังที่ 2 ชว่ งปลายปีพ.ศ. 2482 เกิดสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 เสดจ็ กลบั ไปประทับท่ีสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งพ.ศ. 2488 ทรงรบั ประกาศนยี บัตรจากโรงเรยี นยมิ นาส คลาสสกิ กงั โตนาล 5 ธนั วาคม - เสดจ็ นิวัตพระนครเป็นคร้งั ที่ 3พ.ศ. 2489 9 มิถนุ ายน - สมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล เสดจ็ สวรรคตรฐั บาลอญั เชิญ สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดลุ ยเดช เสด็จขน้ึ ครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แหง่ ราชวงศจ์ กั รี เฉลิมพระนามาภิไธยว่า สมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช 11 สงิ หาคม - ประกาศพระราชโองการเฉลิมพระปรมาภไิ ธย สมเด็จพระเจา้ อยู่หัวอานนั ทมหิดล ขนึ้เปน็ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธบิ ดี จักรีนฤบดินทร์ สยามนิ ทราธิราช 19 สิงหาคม - เสดจ็ กลบั ไปศึกษาต่อท่ีมหาวิทยาลัยโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงเปลย่ี นคณะ จากวทิ ยาศาสตร์เป็นรฐั ศาสตร์พ.ศ. 2491

ทรงประสบอุบตั ิเหตุทางรถยนต์ ทปี่ ระเทศสวติ เซอร์แลนด์พ.ศ. 2492 ทรงหมนั้ กับ หมอ่ มราชวงศห์ ญิง สิรกิ ิต์ิ กิตยิ ากร ที่เมอื งโลซานน์พ.ศ. 2493 24 มนี าคม - เสดจ็ นิวตั พระนคร พรอ้ มดว้ ย หมอ่ มราชวงศ์หญงิ สิริกิติ์ กิตยิ ากร พระคหู่ มัน้ 29 มีนาคม - พระราชพิธถี วายพระเพลงิ พระบรมศพ พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล 28 เมษายน - พระราชพิธีราชาภเิ ษกสมรส ณ วังสระปทมุ ในการนั้น โปรดเกลา้ ฯ ประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์หญิง สิรกิ ิต์ิ กติ ิยากร เปน็ สมเด็จพระราชินสี ริ ิกิติ์ 5 พฤษภาคม - พระราชพิธบี รมราชาภเิ ษก ตามโบราณราชประเพณี ในการน้ัน โปรดเกล้าฯพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชนส์ ขุ แห่งมหาชนชาวสยามสถาปนา สมเดจ็ พระราชินีสริ กิ ิติ์ เปน็ สมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกติ ิ์ พระบรมราชนิ ี 9 มิถนุ ายน - เสดจ็ พระราชดาเนินพร้อมดว้ ยสมเด็จพระนางเจ้าสริ กิ ิติ์ พระบรมราชินี เพอื่ รักษาพระองค์ท่สี วิตเซอรแ์ ลนด์พ.ศ. ๒๔๙๔ 5 เมษายน - สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอบุ ลรตั นราชกญั ญา ประสตู ิ ณ เมอื งโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนดพ์ ฤศจิกายน - เสด็จนิวัตพระนครเป็นการถาวร พรอ้ มสมเดจ็ พระบรมราชินี และพระธดิ าพ.ศ. 2495 28 กรกฎาคม - สมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ประสูติ ณ พระที่นง่ั อัมพรสถานพระราชวงั ดุสติ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้ังสถานีวทิ ยุกระจายเสียงข้ึน ภายในพระทนี่ ัง่ อมั พรสถานพระราชทานนามว่า สถานวี ทิ ยุ อ.ส. พระราชวงั ดุสติพ.ศ. 2497 พระราชทานพระราชทรัพย์แก่กระทรวงสาธารณสุข เพ่ือจัดตงั้ หน่วยแพทยเ์ คล่ือนที่พระราชทานเพอ่ื รักษาราษฎรตามชนบท 28 ธนั วาคม เสดจ็ พระราชดาเนินทรงวางพวงมาลา ถวายราชสกั การะพระบรมราชานสุ าวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราช ทวี่ งเวียนใหญ่พ.ศ. 2498 2 เมษายน - สมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟ้าสิรินธรเทพรตั นสดุ าฯ ประสูติ ณ พระทน่ี ัง่ อมั พรสถานพระราชวังดุสิตเสดจ็ พระราชดาเนินเย่ียมราษฎรในภาคต่างๆ โดยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่เสดจ็ เยยี่ มราษฎรในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีแนวพระราชดาริให้ทาฝนเทียม เพอ่ื ชว่ ยเหลือราษฎรพระราชทานพระราชทรพั ย์ ในการจดั ตัง้ กองทุนอานนั ทมหดิ ล (มูลนิธอิ านนั ทมหดิ ล ในปัจจบุ ัน) 17 ธนั วาคม - สมเดจ็ พระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพนั วัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคตพ.ศ. 2499 22 ตลุ าคม - พระราชพิธที รงผนวช ทวี่ ดั บวรนเิ วศวิหาร โดยโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ต้งั สมเด็จพระนางเจ้าสริ กิ ิต์ิ พระบรมราชินี เปน็ ผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ 5 ธันวาคม - ประกาศสถาปนาพระอิสรยิ ยศ 'สมเด็จพระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ ี เป็น สมเดจ็พระนางเจ้าสิรกิ ติ ิ์ พระบรมราชินนี าถหลงั ทรงศึกษาวา่ ทาได้จรงิ แล้ว จึงพระราชทานแนวพระราชดารเิ กี่ยวกบัการทาฝนเทยี ม ให้ หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกลุ ไปศึกษาทดลองพ.ศ. 2500

พฤษภาคม - งานเฉลิมฉลองย่สี ิบห้าพทุ ธศตวรรษ : เริ่มกอ่ สรา้ งพุทธมณฑล ทจี่ ังหวัดนครปฐม 4 กรกฎาคม - สมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลยั ลกั ษณ์ อัครราชกุมารี ประสตู ิ ณ พระทน่ี งั่อัมพรสถาน พระราชวังดสุ ติพ.ศ. 2501 เสด็จฯ เยย่ี มราษฎรภาคเหนือทุกจงั หวดัพ.ศ. 2502 เสด็จฯ เยยี่ มราษฎรภาคใต้ทกุ จังหวัด เสด็จพระราชดาเนินเยอื นตา่ งประเทศอย่างเป็นทางการ โดยประเทศเวียดนามเป็นประเทศแรกพ.ศ. 2503 โปรดเกลา้ ฯ ให้ฟ้ืนฟู พระราชพธิ ีพชื มงคลจรดพระนังคลั แรกนาขวญั เสดจ็ พระราชดาเนินเยือนสหรฐั อเมริกา และประเทศในยุโรปรวม 14 ประเทศ ใชเ้ วลาท้ังส้นิ ประมาณ7 เดือนพ.ศ. 2504 ทรงเร่ิม โครงการแปลงนาสาธติ ภายในสวนจติ รลดาพ.ศ. 2505 เสด็จพระราชดาเนนิ เยือนออสเตรเลยี อย่างเปน็ ทางการเกิดวาตภยั ครงั้ รา้ ยแรงในภาคใต้ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถานวี ิทยุ อ.ส.ประกาศชักชวน ใหร้ าษฎรบริจาคทรัพย์และสง่ิ ของ เพ่ือชว่ ยเหลือ มีผ้นู อ้ มเกลา้ ฯ ถวายโคนม 6 ตวั จงึ พระราชทานพระราชทรพั ย์ สร้างโรงโคนมสวนจติ รลดาขึ้น เพื่อศกึ ษาการเลีย้ งโคนมพ.ศ. 2506 5 ธันวาคม - พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2506โปรดเกล้าฯ ให้กอ่ ตงั้ มูลนิธริ าชประชานเุ คราะห์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์พ.ศ. 2507 สถาบนั ดนตรแี ละศิลปะการแสดง แหง่ กรุงเวยี นนา ประเทศออสเตรยี ทูลเกล้าฯ ถวายปรญิ ญา และตาแหนง่ สมาชิกกติ ติมศกั ด์ิ โดยทรงเปน็ สมาชกิ กติ ตมิ ศกั ดิ์ ทีม่ ีอายุน้อยที่สุด และเปน็ ชาวเอเชียคนแรก ที่ได้รบัเกยี รตนิ ้ี ทรงมีพระราชดารใิ ห้จัดตง้ั โครงการพฒั นาท่ดี ินแห่งแรก ขน้ึ ท่ี ตาบลหบุ กระพง อาเภอชะอา จงั หวดัเพชรบรุ ี เจา้ ฟา้ อากิฮโิ ตะ มกฎุ ราชกมุ ารแห่งประเทศญีป่ นุ่ (สมเดจ็ จกั รพรรดิอะกิฮโิ ตะ สมเดจ็ พระจักรพรรดิแหง่ ญี่ปนุ่ องคป์ จั จบุ ัน) น้อมเกลา้ ฯ ถวายพนั ธปุ์ ลาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระราชทานช่ือวา่ปลานิล และโปรดเกล้าฯ ใหเ้ พาะเลีย้ ง และขยายพนั ธ์ุ ภายในสวนจติ รลดา ตอ่ มาจึงโปรดเกล้าฯ ใหน้ าพันธ์ุปลาดังกลา่ ว แจกจา่ ยแก่ประชาชนท่วั ไปพ.ศ. 2510 16 ธันวาคม - ทรงได้รับรางวลั เหรยี ญทอง จากการแขง่ ขันเรือใบ ในกฬี าแหลมทอง คร้งั ท่ี 4พ.ศ. 2511 ทรงมพี ระราชดาริ ให้จัดทา สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเดจ็พระเจ้าอยู่หวั

พ.ศ. 2512 ทรงมพี ระราชดาริให้ตั้งโครงการหลวงโดยจดุ มุง่ หมายเพือ่ ตอ่ ต้านการค้ายาเสพติดพ.ศ. 2513 ทรงมพี ระบรมราชโองการ ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระราชบดิ า เจ้าฟ้ามหิดลอดลุ ยเดชกรมหลวงสงขลานครินทร์ ข้นึ เปน็ สมเดจ็ พระมหิตลาธเิ บศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระราชชนนศี รีสงั วาลย์ ขึน้ เปน็ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีพ.ศ. 2514 9 มิถนุ ายน - พระราชพิธีรัชดาภเิ ษก พุทธศักราช 2514พ.ศ. 2516 เหตกุ ารณ์ 14 ตุลาคม : ทรงมพี ระราชดารัสทางสถานีโทรทัศน์ เพ่ือระงับเหตุแห่งความรนุ แรง หลงัเหตกุ ารณ์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคณุ โปรดเกล้าฯ เสดจ็ ฯ พรอ้ มดว้ ยพระบรมวงศานุวงศ์ ไปทรงเย่ียมผู้ไดร้ ับบาดเจ็บ ตามโรงพยาบาลต่างๆ และสาหรบั ผเู้ สียชวี ติ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ เสดจ็ ฯ ทรงเปน็ องค์ประธาน ในพธิ ีพระราชทานเพลิงศพผเู้ สยี ชีวิต ณ บริเวณตอนเหนอื ของท้องสนามหลวงดว้ ย ตลอดจนนาอฐั ิเหลา่ น้ันไปลอยองั คาร ดว้ ยเคร่อื งบินของกองทัพอากาศ ทปี่ ากแมน่ า้ เจ้าพระยา อ่าวไทยพ.ศ. 2525 เมษายน - สมโภชกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ 200 ปี พุทธศักราช 2525พ.ศ. 2527 22 พฤษภาคม - สมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชนิ ีในรชั กาลท่ี 7 เสดจ็ สวรรคตพ.ศ. 2528 9 เมษายน - พระราชพธิ ีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจา้ ราไพพรรณี พระบรมราชินีในรชั กาลท่ี 7พ.ศ. 2530 5 ธนั วาคม - พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 5 ธนั วาคม พุทธศักราช 2530พ.ศ. 2531 2 กรกฎาคม - พระราชพิธรี ัชมงั คลาภเิ ษก 2 กรกฎาคม พทุ ธศักราช 2531พ.ศ. 2535 เหตกุ ารณ์พฤษภาทมิฬ : 20 พฤษภาคม - ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ นายสัญญา ธรรมศกั ด์ิประธานองคมนตรี และ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรฐั บรุ ษุ นา พลเอก สุจินดา คราประยูรนายกรฐั มนตรีในขณะน้นั และ พลตรี จาลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าทลู ละอองธลุ ีพระบาท โดยทรงมพี ระราชดารัสใหท้ ัง้ สองฝา่ ยหนั หน้าเข้าหากัน ร่วมกันแกไ้ ขปัญหาความรุนแรงในประเทศพ.ศ. 2536 17 ธันวาคม พ.ศ. 2536 - ดาวเทียมดวงแรกของไทยถูกยงิ ขึ้นสู่วงโคจร ณ เมืองคูรู ประเทศเฟรนซ์กิอานา โดยมชี ่ือดาวเทยี มในขณะนนั้ ว่าดาวเทยี มไทยคม 1พ.ศ. 2538 6 พฤษภาคม - ทรงมพี ระบรมราชโองการดารัสส่งั ใหส้ ถาปนา สมเดจ็ พระเจ้าพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณวิ ฒั นา ขน้ึ เปน็ เจา้ ฟ้าตา่ งกรมฝา่ ยใน พระนามว่า สมเดจ็ พระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟ้ากลั ยาณิวฒั นา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ 18 กรกฎาคม - สมเดจ็ พระศรีนครนิ ทราบรมราชชนนี เสดจ็ สวรรคต

พ.ศ. 2539 10 มีนาคม - พระราชพธิ ีถวายพระเพลงิ พระบรมศพ สมเดจ็ พระศรีนครนิ ทราบรมราชชนนี 8 มิถุนายน - ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อม ถวายเพิ่มพระนาม พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล เป็นพระปรมาภิไธยอันวิเศษ ตามแบบแผนโบราณราชประเพณี โดยให้ขานพระปรมาภิไธยอยา่ งสังเขปว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร 9 มถิ นุ ายน - พระราชพิธกี าญจนาภิเษก พุทธศักราช 2539พ.ศ. 2540 4 ธันวาคม - ทรงมพี ระราชดารสั แกค่ ณะบคุ คลตา่ งๆ ท่มี าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนอ่ื งในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เก่ียวกบั เศรษฐกิจพอเพยี ง และ ทฤษฎใี หม่พ.ศ. 2542 5 ธันวาคม - พระราชพธิ มี หามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม พุทธศกั ราช 2542พ.ศ. 2548 29 เมษายน - พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทปี ังกรรศั มีโชติ ประสตู ิ ณ โรงพยาบาลศริ ิราช 16 มิถุนายน - ทรงมพี ระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศสถาปนา หม่อมศรรี ัศมิ์ มหดิ ล ณอยุธยา ข้นึ เป็น พระเจา้ วรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ ศรรี ัศม์ิ พระวรชายาในสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกุฎราชกมุ ารพ.ศ. 2549 9 มถิ นุ ายน - งานฉลองสิรริ าชสมบัตคิ รบ 60 ปี พุทธศักราช 2549 19 กนั ยายน รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 เปน็ รัฐประหารในประเทศไทย ซ่ึงเกิดขน้ึ ในคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นาโดย คณะปฏริ ปู การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซงึ่ มพี ลเอก สนธิ บุญยรตั กลินเปน็ หัวหน้าคณะ โดยโค่นลม้ รักษาการนายกรฐั มนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวตั ร ซง่ึ นบั เปน็ การก่อรัฐประหารเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี รฐั ประหารครัง้ น้ีเกดิ ขนึ้ ก่อนการเลือกตัง้ ท่วั ไปในเดือนต่อมา หลงั จากที่การเลือกต้ังเดอื นเมษายนถูกตัดสนิ ให้เปน็ โมฆะ นับเปน็ จุดเปลย่ี นสาคญั ในวิกฤตการณ์ทางการเมอื งที่ดาเนินมายาวนานนบั ต้ังแตเ่ ดอื นกันยายน พ.ศ. 2548 คณะรฐั ประหารได้ยกเลกิ การเลือกตั้งในเดือนตลุ าคม ยกเลิกรัฐธรรมนญู ส่ังยุบสภา ส่ังห้ามการประท้วงและกิจกรรมทางการเมือง ยับยง้ั และเซน็ เซอร์สอ่ื ประกาศใช้กฎอัยการศึก และจับกมุ สมาชกิ คณะรฐั มนตรหี ลายคนพ.ศ. 2550 5 ธนั วาคม - พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2550พ.ศ. 2551 2 มกราคม - สมเดจ็ พระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากลั ยาณวิ ัฒนา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครินทร์สน้ิ พระชนม์พ.ศ.2554 - 2555 เกิดอุทกภัยคร้ังใหญ่ในประเทศไทย พ.ศ. 2554 หรือท่ีนิยมเรียกกันว่า มหาอุทกภัย เป็นอุทกภัยรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณลุ่มแม่น้าเจ้าพระยาและลุ่มน้าโขง เร่ิมตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมและส้ินสุดเม่อื วนั ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555 มรี าษฎรไดร้ ับผลกระทบกวา่ 12.8 ล้านคน ธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสยี หายสูงถึง 1.44 ลา้ นล้านบาท เม่อื เดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 และจดั ใหเ้ ป็นภัยพิบัติคร้ังสร้างความเสียหายมากท่ีสุดเปน็ อนั ดับสขี่ องโลกอุทกภัยดังกล่าวทาใหพ้ ้นื ดินกว่า 150 ล้านไร่ (6 ล้านเฮกตาร์) ซ่ึงในจานวนน้ีเป็นทั้งพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมใน 65 จังหวัด 684 อาเภอ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,086,138

ครัวเรือน 13,595,192 คน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2,329 หลัง บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 96,833 หลังพ้ืนท่ีการเกษตรคาดว่าจะได้รับความเสียหาย 11.20 ล้านไร่ ถนน 13,961 สาย ท่อระบายน้า 777 แห่ง ฝาย982 แห่ง ทานบ 142 แห่ง สะพาน/คอสะพาน 724 แห่ง บ่อปลา/บ่อกุ้ง/หอย 231,919 ไร่ ปศุสัตว์ 13.41ล้านตัว มีผู้เสียชีวิต 813 ราย (44 จังหวัด) สูญหาย 3 คนอุทกภัยครั้งนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็น \"อุทกภัยคร้ังร้ายแรงท่สี ดุ ทั้งในแง่ของปรมิ าณน้าและจานวนผ้ไู ด้รับผลกระทบพ.ศ.2556 รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เกิดขึ้นเมื่อวันท่ี 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16:30 น. โดยคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อันมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ โค่นรัฐบาลรักษาการนวิ ฒั น์ธารง บุญทรงไพศาล นับเป็นรฐั ประหารคร้ังที่ 13 ในประวัติศาสตร์ไทย รัฐประหารดังกล่าวเกิดข้ึนหลังวิกฤตการณก์ ารเมอื งซ่งึ เรม่ิ เม่อื เดือนตุลาคม 2556 เพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ และอิทธิพลของพันตารวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในการเมืองไทยก่อนหน้านั้นสองวัน คือ วันที่ 20 พฤษภาคม 2557 พลเอก ประยทุ ธ์ จนั ทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศใช้กฎอัยการศึกท่ัวราชอาณาจักรต้ังแต่เวลา 3.00 น.กองทัพบกตง้ั กองอานวยการรักษาความสงบเรยี บรอ้ ย (กอ.รส.) และให้ยกเลิกศูนย์อานวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ท่ีรัฐบาลชุดก่อนต้ังข้ึน กอ.รส. ใช้วิธีการปิดควบคุมสื่อ ตรวจพิจารณาเน้ือหาบนอินเทอร์เนต็ และจัดประชุมเพื่อหาทางออกวิกฤตการณ์การเมืองของประเทศ แต่การประชุมไม่เป็นผล จึงเป็นข้ออ้างรัฐประหารครั้งน้ีหลังรัฐประหาร มีประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550สิ้นสดุ ลงยกเวน้ หมวด 2 คณะรัฐมนตรีรักษาการหมดอานาจ ตลอดจนใหย้ บุ วฒุ สิ ภา 22 กรกฎาคม 2557 มีการประกาศใช้รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับช่ัวคราว) พุทธศกั ราช2557 ซึง่ ให้มสี ภานติ บิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติทาหน้าทแี่ ทนสภาผแู้ ทนราษฎร วุฒสิ ภา และรัฐสภา 21 สิงหาคม 2557 สภาฯ มีมตเิ ลอื กพลเอก ประยุทธ์ จนั ทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรากตราพระวรกายทรงงานอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย แม้ในยามทรงพระประชวร ก็มไิ ดท้ รงหยดุ ยง้ั พระราชดาริเพื่อ ขจดั ความทุกข์ผดุงสุขแก่พสกนิกร กลางแดดแผดกล้าพระเสโทหล่ังชุ่มพระพกั ตร์ และพระวรกายหยาดตกต้องผืนปถพีประดุจน้าทิพย์มนต์ชโลมแผ่นดินแล้งร้าง ให้

กลับคืนความอุดมสมบูรณ์นับแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชย์ตราบจนปัจจุบัน พระองค์ ได้พระราชทานความรักอันยิ่งใหญ่แก่อาณาประชาราษฎร์ พระราชภารกิจอนั หนักเพ่อื ประโยชนส์ ุขของอาณาประชาราษฎร์ ปรากฏเป็นท่ีประจักษ์เทิดทูนพระเกียรติคุณทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวโลกจึงทรงได้รับการสดุดีและการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญากิตติมศักดิ์เป็นจานวนมากทุก สาขาวิชาการ ปวงชนชาวไทยต่างมีความจงรักภักดีเป็นที่ย่ิง และได้พร้อมใจกัน จัดงานเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคลด้วยความกตัญญูกตเวที สานึกในพระมหากรุณาธิคุณลน้ เกล้าลน้ กระหม่อมอย่างสมพระเกียรติทุกวาระเทดิ พระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ผปู้ ระพนั ธน์ ายประสาร ธาราพรรค์ ธ ปกครอง แผน่ ดิน โดยธรรมะ ธ มงุ่ จะ พัฒนา ประชาสยามธ เสดจ็ ท่วั ไทย ทรุ ์เขตคาม ธ ทาตาม ปณธิ าน นิจนริ นั ดร์ธ ยอมสญู เสยี สนิ้ แม้สิง่ สุข ธ ดบั ทกุ ข์ เภทภัย ไทยสุขสันต์ธ สร้างงาน สรา้ งโครงการ ไทยท่วั กัน ธ สรา้ งสรรค์ ท่วั ไทย ให้มีกนิธ ดูแล แก้ไข ไทยท้ังชาติ ธ ห่วงราษฎร์ ผองชาวไทย ท่ัวทกุ ถิน่ธ ทมุ่ เท กายใจ ฟืน้ ผนื ดนิ ธ คอื ป่นิ ปกั ไทย ใหม้ น่ั คงธ สร้างเสรมิ เศรษฐกจิ ใหเ้ รืองรุง่ ธ ผดงุ เอกลักษณ์ไทย ใหส้ งู สง่ธ สร้างชาติ เสริมไทย ให้ยืนยง ธ ดารง คงชาติไทย ใหม้ ั่งมีธ คือองค์ ภูมิพลอดุลยเดช ธ ปกเกศทั่วไทยให้สุขีธ ครองราชย์ ทรงสรา้ งสขุ ทุกนาที ธ คอื ศรี มิง่ มงคล ปวงชนไทยธ ทาให้ ปวงชาวไทย ลว้ นนบน้อม ธ ทรงพร้อม จดั ทาการ งานย่ิงใหญ่ธ มุ่งม่ัน เสียสละ พร้อมกายใจ ธ ทาให้ ไทยทงั้ ชาติ เปน็ หน่ึงเดยี วปวงชาวไทย ต่างร่วมจิต คดิ ต้ังมั่น จิตกตัญญตุ า อยา่ งแนน่ เหนยี วมงุ่ ตามรอย พระบาท โดยกลมเกลียว จติ ยึดเหนย่ี ว เทดิ องค์ไว้ ในใจตน

ทีฆายโุ ก โหตุ มหาราช อภิวาท ธ ทัว่ ไทย ทุกแห่งหนจารพระคุณ ตรงึ ตดิ ไว้ ในกมล ไทยทุกคน มีนามไท้ ทุกใจเอย....................................................................เอกสารอา้ งองิ จดหมายเหตุความทรงจา กรมหลวงนรินทรเทวี.พรนคร: องค์การค้าครุ ุสภา,2516. ทพิ ยากรณ.์ เจ้าพระยา.พระราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสินทร์.พระนคร: หอสมดุ แหง่ ชาติ,2506. วิโรจน์ ไตรเพียร, 9 รัชกาลแหง่ ราชวงศ์จักรี, สานักพิมพ์ คลงั ศกึ ษา,2543,หนา้ 108-116 วิกิพเี ดีย สารานุกรม วฒุ ชิ ยั มลู ศลิ ป์ และคณะ, พระมหากษัตริย์แหง่ กรงุ รัตนโกสินทร์, อลั ฟา่ มเิ ล็นเนียม พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูหัวภมู ิพลอดลุ ยเดช จากเวบ็ ไซต์ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา, กรุงเทพฯ : สานักวรรณกรรมและประวตั ศิ าสตร์ กรมศิลปากร 2548. สมเดจ็ พระเจ้าพน่ี างเธอ เจา้ ฟ้ากัลป์ยาณวิ ฒั นา, เจา้ นายเลก็ ๆ – ยุวกษตั รยิ ์, ซลิ คเ์ วอร์ม บุคส์, พิมพ์ ครัง้ ที่ 6 พ.ศ. 2549, 450 หน้า, เสทื้อน ศภุ โศภณ. ประวัตศิ าสตร์ไทย ฉบบั พัฒนาการ. พระนคร: อักษรเจรญิ ทัศน์,2506. WWW.GOOGLE.COM ……………………………………………………… ผูเ้ รียบเรยี งนายประสาร ธาราพรรค์หมายเหตุผู้เขียน การเรยี บเรียงพระราชประวตั ิ 9 มหาราช ผู้เรียบเรยี งมีความมุ่งม่ันที่ต้องการให้ผู้อ่านในวัยเรียนวัยศึกษาประชาชน ได้รับทราบรับรู้พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจของ 9 มหาราช ซึ่งทุกพระองค์ ทรงมพี ระมหากรณุ าธิคุณสุดพรรณนาต่อชาติและประชาชน ทุกพระองค์ทรงกระทาทุกสง่ิ ทกุ ประการเพ่อื ความเจรญิ รุง่ เรืองของประเทศชาตแิ ละความผาสกุ ของประชาชน ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่สนใจใฝ่รู้โดยการอ่านหนังสือ ส่วนใหญ่จะค้นคว้าหาความรู้ทางอนิ เทอร์เนต็ และเนื้อหาที่อ่านถ้ามีแต่วิชาการล้วน ๆ เป็นเร่ืองน่าเบื่อหน่าย วิถีทางแก้ไขท่ีผู้เรียบเรียงกระทาคือ นารูปภาพที่น่าสนใจหายากมาแทรกไว้ในเน้ือหาเท่าที่กระทาได้แทบทุกหน้า และท้ายนี้ต้องขอขอบคุณเจ้าของบทความเนื้อหา รูปภาพ ต่าง ๆ ที่ผู้เขียนนามารวบรวมเรียบเรียงขอขอบคณุ ประสาร ธาราพรรค์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook