Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แบบฝึกการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

แบบฝึกการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

Published by สุดโปรด หล่อเฟี้ยว, 2022-06-09 05:00:12

Description: แบบฝึกการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

Keywords: แบบฝึกการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

Search

Read the Text Version

รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ พว 21001 กศน.ตำบลเขำชนกนั ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอแมว่ งก์ …….สงั กดั สานกั งาน กศน.จงั หวดั นครสวรรค์ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ

ก คำนำ แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้นจดั ทาข้นึ เพ่อื ใชป้ ระกอบการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ พว 21001 โดยเน้น ใหผ้ เู้ รยี นศึกษา ใบความรู้ แลว้ ทาแบบฝึกหดั ฝึกทักษะด้วยตนเองหรือทาเป็นกลุ่ม ตามขั้นตอน ต้ังแต่ต้นจนจบ งานสาเร็จบรรลุผลตามเป้าหมาย โดยมีครูให้คาแนะนาและช่วยเหลือ โดยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่อง โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาตอนตน้ มที ้ังหมด 5 เร่อื ง ดังนี้ เร่อื ง 1 การกาหนดปัญหา/ประเดน็ ที่สนใจ เรื่อง 2 การรวบรวมขอ้ มลู ท่ีเกย่ี วขอ้ ง เรอื่ ง 3 การออกแบบและดาเนนิ กจิ กรรมโครงงาน เรอ่ื ง 4 การออกแบบและดาเนินกจิ กรรมโครงงาน เรือ่ ง 5 การนาเสนอโครงงาน แบบฝกึ ทกั ษะการเรียนรเู้ ร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมธั ยมศึกษา ตอนต้น เล่มนีจ้ ะเป็นประโยชนต์ อ่ นักศึกษาและผู้สนใจ ในการ ส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นมีความรพู้ ้ืนฐาน ความเข้าใจ ในการทา โครงงานวิทยาศาสตร์ ช่วยกระตนุ้ ให้เกิดความสนใจท่ีจะเรยี นรู้ มีความมงุ่ ม่ันและมีความสขุ ในการ ค้นควา้ โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์สบื เสาะหาความรู้ ตามขนั้ ตอนวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ จนกระทงั่ ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ได้สาเร็จ ตลอดจนนาไปใชแ้ ก้ปัญหาตา่ งๆในการดารงชวี ิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ ง เหมาะสมและมีประสิทธภิ าพ

ข สำรบัญ เรื่อง หน้า คานา ก สารบัญ ข คาชแี้ จง 1 จุดมุ่งหมายในการใช้แบบฝกึ ทกั ษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) 2 ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้น คาชีแ้ จงสาหรับนักศึกษา 3 จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 4 แบบทดสอบก่อนเรยี น เรื่องท่ี 1 การกาหนดปญั หา/ประเด็นทสี่ นใจ 5 ใบงานที่ 1 แบบสารวจสภาพปัญหา 7 ใบงานท่ี 2 แบบวเิ คราะห์ปัญหา 8 ใบงานท่ี 3 แบบกาหนดเรื่องในการทาโครงาน 9 แบบทดสอบหลงั เรียนเร่ืองท่ี 1 การกาหนดปญั หา/ประเด็นทส่ี นใจ 10 แบบทดสอบก่อนเรยี นเร่อื งที่ 2 การรวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้อง 12 ใบความรทู้ ี่ 1 เรอ่ื งแหลง่ ข้อมูล 14 ใบงานท่ี 4 แบบบันทึกรายละเอียดที่คน้ ควา้ จากแหล่งข้อมูล 15 แบบทดสอบหลงั เรียนเร่ืองท่ี 2 การรวบรวมข้อมลู ทเี่ กีย่ วข้อง 16 แบบทดสอบก่อนเรียนเร่อื งท่ี 3 การออกแบบและดาเนินกิจกรรมโครงงาน 18 ใบความรู้ท่ี 2 เรอ่ื งการเขยี นเค้าโครงของโครงงาน 20

สำรบญั (ตอ่ ) ค เร่ือง หนา้ ใบงานท่ี 5 แบบฟอรม์ การจัดทาเค้าโครงของโครงงาน 22 แบบทดสอบหลงั เรยี นเรื่องที่ 3 การออกแบบและดาเนินกิจกรรมโครงงาน 23 แบบทดสอบก่อนเรียนเร่ืองท่ี 4 การออกแบบและดาเนินกิจกรรมโครงงาน 25 ใบงานท่ี 6 แบบฟอรม์ การเขียนรายงานบทที่ 5 สรุป และอภิปรายผลโครงงาน 27 แบบทดสอบหลังเรยี นเรยี นเรื่องท่ี 4 การออกแบบและดาเนินกจิ กรรมโครงงาน 28 แบบทดสอบก่อนเรยี นเรอื่ งที่ 5 การนาเสนอโครงงาน 30 ใบความรูท้ ่ี 3 เรอื่ งการนาเสนอโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 32 แบบทดสอบหลงั เรียนเร่ืองที่ 5 การนาเสนอโครงงาน 33 บรรณานุกรม 38 ภาคผนวก

4 คำชีแ้ จง แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษา ตอนตน้ เลม่ นใ้ี ด้จดั ทาข้ึนเพอื่ ใชส้ อนนักศกึ ษารายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ พว 21001 ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น เกี่ยวกับการนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ซึ่งแบบฝึกทักษะท่ี จัดทาขึ้นผู้เรียนสามารถศึกษาและฝึทักษะตามกิจกรรมและประเมินผลการเรียนตามข้ันตอนที่กาหนดไว้ เนือ้ หาการฝึกแบ่งเปน็ เร่อื ง จานวน 5 เร่อื ง ซง่ึ แตล่ ะเรอื่ งประกอบด้วยแบบทดสอบก่อนจุดประสงค์การเรียนรู้ ใบความรแู้ บบฝกึ ใบงาน แบบทดสอบหลังเรียน ดังน้ี เร่อื ง 1 การกาหนดปัญหา/ประเด็นที่สนใจ เร่อื ง 2 การรวบรวมขอ้ มลู ท่ีเกย่ี วข้อง เรอ่ื ง 3 การออกแบบและดาเนนิ กจิ กรรมโครงงาน เร่อื ง 4 การออกแบบและดาเนินกจิ กรรมโครงงาน เรอ่ื ง 5 การนาเสนอโครงงาน เข้าใจแล้วมาเริ่มกนั เลย

5 จุดม่งุ หมำยในกำรใชแ้ บบฝกึ แบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ มีจุดม่งุ หมายดังน้ี 1. เพ่ือให้นักเรียนเปน็ ผู้มคี วามใฝรู้ ใฝเรียน สร้างองค์ความรูไ้ ดด้ ้วยตนเอง 2. เพ่ือให้นักเรยี นมีความรู้ ความเข้าใจ และมที ักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ เพ่อื นาไปใชใ้ นการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ท่ถี ูกต้อง 3. เพ่ือใหน้ ักเรียนมีความรบั ผิดชอบและฝกึ การทางานกลมุ่ 4. เพ่ือใหน้ ักเรียนมีเจตกติที่ดีตอ่ การเรยี นกลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 5. เพื่อให้นกั เรยี นได้นาความร้ทู ่ีไดร้ ับไปใช้ในการทาโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้ อยา่ งมีคณุ ภาพ ดแู ล้วงำ่ ยๆใช่ ไหมคะ

6 คำชแี้ จงสำหรับนักศกึ ษำ 1. แบบฝกึ ทผี่ เู้ รยี นศึกษาเป็นแบบฝึกโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ความรู้เบ้อื งต้นเก่ียวกบั โครงงานและจนจบงาน สาเรจ็ บรรลผุ ลตามเปา้ หมาย ประกอบด้วย เรอ่ื ง 1 การกาหนดปัญหา/ประเด็นทีส่ นใจ เวลา 2 ชั่วโมง เรื่อง 2 การรวบรวมขอ้ มูลทเี่ กยี่ วขอ้ ง เวลา 2 ชั่วโมง เรอ่ื ง 3 การออกแบบและดาเนินกจิ กรรมโครงงาน เวลา 2 ชว่ั โมง เรื่อง 4 การออกแบบและดาเนินกิจกรรมโครงงาน เวลา 2 ช่ัวโมง เรื่อง 5 การนาเสนอโครงงาน เวลา 2 ช่ัวโมง 2. เอกสารชดุ น้ีประกอบไปด้วย - จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ - ใบความรู้ - แบบฝกึ - แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น 3. นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ และสมาชกิ ในแต่ละกลมุ่ จะประกอบด้วยสมาชิก จานวน 3 คน ให้นักเรียนเลือก ประธาน รองประธานและเลขานุการ ประธานมอบหมายงานให้ทุกคนในกลมุ่ ช่วยกนั ศกึ ษากิจกรรมตาม แบบฝกึ ใหเ้ ขา้ ใจ 4. ในการทากิจกรรม นกั เรียนจะได้รับแบบฝกึ คนละ 1 เล่ม โดยให้ทางานเป็นกลุ่มซ่ึงนักเรียนสามารถ ช่วยเหลอื กันทางานได้ตามความเหมาะสม แตจ่ ะให้คะแนนผลงานเปน็ รายบุคคล และให้คะแนน พฤติกรรมการปฏิบตั ิกจิ กรรมในกลุม่ เท่ากัน ถ้าสมาชิกคนใดในกลุ่มไม่เข้าใจใหช้ ่วยกนั อธิบายจนเขา้ ใจ หรอื ปรกึ ษาครู 5. นักเรียนจะทาแบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรียน โดยให้คะแนนเปน็ รายบุคคล 6. ในการฝกึ การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ นักเรียนจะต้องปฏิบตั ิตามข้ันตอนดงั ต่อไปนี้ 6.1 ทาแบบทดสอบก่อนเรียน 6.2 นักเรยี นตอ้ งซื่อสัตยต์ ่อตนเองไม่เปดิ ดูเฉลยก่อน เพราะจะทาให้นกั เรียน ไมม่ ีความรู้ท่แี ท้จรงิ ไมป่ ระสบผลสาเรจ็ ในการเรียนอีกดว้ ย 6.3 อ่านรายละเอยี ดของแบบฝกึ ก่อนลงมอื ปฏิบตั ิทุกครงั้ 6.4 เม่อื ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตามแบบฝึกเสรจ็ แล้ว ส่งตวั แทนมานาเสนอผลกิจกรรมตามแบบฝึก หลังจากน้ันครแู ละนักเรยี นร่วมกันเฉลขและอภปิ รายเกย่ี วกับคาตอบในแบบฝึก 6.5 ทาแบบทดสอบหลงั เรียน

7 จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 1. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์การกาหนดปัญหา/ประเด็นที่สนใจ และเขียนเค้าโครงโครงงาน วิทยาศาสตร์ 2. นักศึกษาสามารถศกึ ษาเอกสาร และแหล่งข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ในเร่อื งทน่ี ักเรียนสนใจเลือกทาได้ 3. นกั ศึกษาสามารถวางแผนและดาเนนิ งานเขียนเค้าโครงของโครงงานในเรอ่ื งทนี่ ักศึกษาสนใจเลือกทา ได้ขอบข่ายเนอื้ หา 4. นกั ศกึ ษาสามารถดาเนนิ งานตามขัน้ ตอนโครงงานทวี่ างแผนไว้ 5. นักศึกษาสามารถดาเนินการจัดนิทรรศการและนาเสนอผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์ในเร่ืองท่ี นักศึกษาสนใจเลอื กทาได้ มำทำแบบทดสอบ กอ่ นเรยี น ๑ กนั เลย

8 แบบทดสอบ ก่อนเรียน 1 คำชีแ้ จง ให้นกั เรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว 1. ข้อใดกลา่ วไมถ่ ูกตอ้ ง * ก. การทาโครงงานวิทยาศาสตรจ์ ะช่วยพฒั นาให้นักเรยี นเปน็ คนรบั ผดิ ชอบ ข. การเรียนโครงงานวทิ ยาศาสตร์นักเรียนสามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้ ค. การทาโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นการเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนได้พัฒนาและแสดงความสามารถตาม ศักยภาพของตนเอง ง. จุดม่งุ หมายของการทาโครงงานวทิ ยาศาสตรท์ ่สี าคัญคือการเข้าประกวดแขง่ ขนั 2. ความหมายโครงงานวทิ ยาศาสตร์คือขอ้ ใด * ก. เปน็ กิจกรรมที่นาเอาวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศกึ ษา ข. เปน็ งานวจิ ัยเลก็ ๆ ของนักเรียนที่มเี นื้อหาเก่ยี วกบั วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ค. เปน็ การศึกษาเรื่องใดเร่ืองหน่ึงทีน่ กั เรยี นเป็นผลู้ งมือปฏบิ ตั ิและศึกษาคน้ คว้าคน้ คว้าด้วยตนเอง ง. ถกู ทุกข้อ 3. ข้อใดไมจ่ ัดว่าเปน็ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. ขาวศึกษา คน้ คว้า และพฒั นาเครือ่ งอบผ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทติ ย์ ข. สม้ ทาสบสู่ มุนไพรสตู รพิเศษท่ีคดิ ค้นขึ้นเอง ค. เขียวผลิตยาขจัดกลิน่ กายสตู รธรรมชาติทไ่ี ม่เหมือนใคร ง. แดงซ้ือชดุ ทายาหม่องน้าจากร้านค้ามาทายาหม่องแจกเปน็ ของชาร่วย 4. ข้อใดเป็นจดุ มุ่งหมายที่สาคญั ในการใหน้ กั เรยี นทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. เพื่อให้นักเรยี นได้รับคาตอบในปัญหา ข. เพ่ือใหม้ ีเจตคติท่ดี ีต่อการเรยี นวิทยาศาสตร์ ค. เพอ่ื ใหม้ ีประสบการณ์ตรงในการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเองโดยวิธีทางวทิ ยาศาสตร์ ง. เพอ่ื ช่วยให้นักเรยี นเข้าใจลกั ษณะธรรมชาตวิ ิทยาศาสตร์ดีขึ้น 5. หลักการของการจดั กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตรค์ ือข้อใด * ก. ความสามัคคีในหมู่คณะ ข. การใชเ้ วลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ ค. การคดิ เปน็ ทาเป็น แก้ปัญหาได้ ง. ความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ 6. ขอ้ ใดคือองคป์ ระกอบของโครงงานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี * ก. กระตุ้นให้นักเรยี นสนใจในการเรียนวทิ ยาศาสตร์ ข. นกั เรยี นเป็นผ้รู เิ รม่ิ เรื่องทจ่ี ะศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ค. เปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนทุกคนได้พัฒนาและแสดงความสามารถ ง. นักเรยี นไดใ้ ชเ้ วลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์

9 7. ข้อใดเป็นคุณคา่ ของการทาโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี * ก. สร้างความสานกึ และรบั ผิดชอบในการศกึ ษาหาความรู้ ข. นกั เรยี นเป็นผวู้ างแผนในการศึกษาค้นคว้า ค. เป็นกิจกรรมท่เี กีย่ วกับวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ง. เป็นกิจกรรมทีใ่ ชว้ ธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ในการค้นคว้า 8. ขอ้ ใดไม่ใช่จุดม่งุ หมายของการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ * ก. เพอ่ื ใหน้ กั เรียนได้รจู้ กั ใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ ข. เพอ่ื สง่ เสริมให้นกั เรียนเกดิ ความรกั และสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์ ค. เพื่อพัฒนาความรบั ผิดชอบ และสามารถทางานร่วมกับผอู้ ่ืนได้ ง. เพื่อใหเ้ หน็ ถึงนสิ ยั และพฤติกรรมของผู้ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 9. ขอ้ ใดไมใ่ ชค่ วามสาคัญของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. เปน็ การหาความรดู้ ว้ ยตนเองทีห่ ลากหลาย ข. ช่วยส่งเสรมิ ใหม้ กี ารเผยแพรผ่ ลงาน และเป็นหนทางในการสร้างรายได้ ค. ร้จู ักการทางานร่วมกนั เป็นหมู่คณะ รจู้ กั ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อน่ื ง. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง 10. นกั เรยี นไดร้ ับประโยชนอ์ ะไรจากการทาโครงงานมากท่สี ดุ * ก. ได้ใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ในทางสรา้ งสรรค์ ข. ได้ฝึกการนาเอาทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้แก้ปญั หา ค. ไดป้ ระสบการณแ์ ละพัฒนาคุณลกั ษณะในหลายๆด้านใหก้ ับผู้เรยี น ง. สร้างความสานกึ และรับผิดชอบในการศึกษาคน้ คว้าหาความรู้

10 ใบงำนท่ี ๑ แบบสำรวจสภำพปญั หำ คาชีแ้ จง : ให้นักศึกษาสารวจสภาพปญั หา หรือสิง่ ที่ต้องการศึกษา จากหัวขอ้ ด้านต่าง ๆ ท่ีนกั ศึกษาสนใจ ต่อไปนี้ จานวน ๑ เร่ือง แลว้ วิเคราะห์ลงในผงั มโนทศั น์ - ดา้ นคณุ ภาพของแหล่งนา้ ดิน หรือทรพั ยากรธรรมชาตใิ นท้องถ่นิ ท่ีถูกทาลาย - ดา้ นเกษตรกรรม หรือผลผลิตทางการเกษตร - ด้านขยะมลู ฝอย ในท้องถิ่น - สภาพภายใน กศน.ตาบลเขาชนกนั ดา้ นต่าง ๆ ๑. รายชือ่ สมาชิกกลุ่ม ๑…………………………………………………………… 2…………………………………………………………… 3……………………………………………………………. ๒. ผังมโนทัศนเ์ ร่ืองที่นักเรยี นเลอื กในการวิเคราะห์ คือ ดำ้ น…………………………………………………………………… ………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………… …………………………………………………………………….. …………………………………………….. งา่ ยๆใช่ไหมคะ

11 ใบงำนท่ี ๒ แบบวิเครำะหป์ ญั หำ คาชแ้ี จง : ให้นักศกึ ษาเลือกปัญหา หรอื เรอื่ งท่ีสนใจศึกษา จากการวิเคราะหใ์ นผงั มโนทัศน์ทีน่ ักศึกษา วเิ คราะหแ์ ล้ว ๑ เรื่อง มาวิเคราะหถ์ งึ ปญั หา (สิ่งทตี่ ้องการศึกษา) , สาเหตขุ องปัญหา (มีจุดประสงค์ ยา่ งไร ในการศกึ ษาเร่ืองนัน้ ๆ) , แนวความคดิ ในการแก้ปญั หา (จะทาอย่างไรทจี่ ะได้มาซึ่งข้อมลู หรือ สงิ่ ท่ีต้องการ ศึกษา) ๑. รายชอื่ สมาชิกกลุ่ม 1………………………………………………………………… 2………………………………………………………………… 3…………………………………………………………………. ๒. ปัญหา หรอื เรือ่ งทสี่ นใจศึกษาเลือกในการวเิ คราะห์ คือ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................. ๒.1 ปัญหา (สิ่งที่ต้องการศึกษา) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................. ๒.๒ สาเหตขุ องปญั หา(มีจุดประสงค์อยา่ งไรในการศกึ ษาเรื่องนั้นๆ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................. ๒.๓ แนวความคิดในการแกป้ ัญหา จะทาอย่างไรที่จะได้มาซึง่ ขอ้ มลู หรอื สง่ิ ทีต่ ้องการศึกษา) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. .............................................................................................................................................................

12 ใบงำนท่ี ๓ แบบกำหนดเรือ่ งในกำร ทำโครงงำน คาชแี้ จง : จากสภาพปัญหาหรือหวั ขอ้ ท่ีนักศึกษารว่ มกนั วเิ คราะห์ ให้นักศึกษาตกลงกันใน หอ้ งเรียน เพ่อื กาหนดเรื่องท่ีจะทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โดยเขียนช่ือเรือ่ งให้ชดั เจน และ เตรยี มการวางแผนเพื่อดาเนนิ การ จัดทาโครงงานไดเ้ หมาะสม ๑. ช่ือโครงงาน(ตดั สินใจเลือกทา) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒. ความสาคัญ/เหตผุ ลในการเลอื กทาเร่ืองนี้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๓. จดุ มุง่ หมาย/จดุ ประสงค์ในการทา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๔. ขอ้ มูลที่จาเป็นต้องศึกษาค้นคว้า …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๕. วิธกี ารดาเนินงาน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๖. ประโยชน/์ ผลทีค่ าดวา่ จะได้รับจากการทาโครงงานน้ี …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ช่อื .........................................................................ระดบั ช้นั ........................................................... ชือ่ .........................................................................ระดับช้ัน........................................................... ชื่อ.........................................................................ระดบั ช้ัน...........................................................

13 แบบทดสอบ หลงั เรียน 1 คำช้แี จง ให้นกั เรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ข้อใดกลา่ วไมถ่ ูกตอ้ ง * ก. การทาโครงงานวิทยาศาสตร์จะชว่ ยพฒั นาใหน้ กั เรยี นเป็นคนรับผดิ ชอบ ข. การเรยี นโครงงานวทิ ยาศาสตรน์ กั เรยี นสามารถนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ ค. การทาโครงงานวิทยาศาสตรเ์ ป็นการเปดิ โอกาสให้นักเรยี นได้พฒั นาและแสดงความสามารถตาม ศกั ยภาพของตนเอง ง. จุดมงุ่ หมายของการทาโครงงานวิทยาศาสตรท์ สี่ าคญั คือการเข้าประกวดแขง่ ขัน 2. ความหมายโครงงานวิทยาศาสตรค์ อื ขอ้ ใด * ก. เป็นกจิ กรรมท่ีนาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตรม์ าใช้ในการศึกษา ข. เป็นงานวิจยั เลก็ ๆ ของนกั เรียนทมี่ ีเนอื้ หาเกีย่ วกับวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ค. เป็นการศึกษาเร่ืองใดเรื่องหนึ่งที่นักเรยี นเปน็ ผู้ลงมือปฏบิ ตั ิและศึกษาค้นควา้ คน้ คว้าด้วยตนเอง ง. ถกู ทุกข้อ 3. ข้อใดไม่จัดว่าเป็นโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. ขาวศกึ ษา ค้นคว้า และพัฒนาเครื่องอบผ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ข. ส้มทาสบสู่ มนุ ไพรสูตรพเิ ศษที่คดิ ค้นขึ้นเอง ค. เขียวผลิตยาขจัดกลนิ่ กายสูตรธรรมชาติท่ไี ม่เหมือนใคร ง. แดงซอ้ื ชุดทายาหม่องนา้ จากร้านคา้ มาทายาหม่องแจกเป็นของชาร่วย 4. ขอ้ ใดเปน็ จุดมุง่ หมายท่ีสาคญั ในการให้นักเรียนทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. เพ่อื ให้นักเรียนไดร้ บั คาตอบในปญั หา ข. เพอ่ื ใหม้ เี จตคติทด่ี ีต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ ค. เพ่อื ให้มปี ระสบการณ์ตรงในการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเองโดยวิธที างวทิ ยาศาสตร์ ง. เพอ่ื ชว่ ยให้นกั เรยี นเขา้ ใจลักษณะธรรมชาตวิ ิทยาศาสตร์ดขี ึ้น 5. หลกั การของการจัดกิจกรรมโครงงานวทิ ยาศาสตร์คือข้อใด * ก. ความสามคั คใี นหมู่คณะ ข. การใช้เวลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ ค. การคิดเป็น ทาเปน็ แก้ปญั หาได้ ง. ความคดิ รเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ 6. ขอ้ ใดคือองคป์ ระกอบของโครงงานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี * ก. กระตุน้ ใหน้ ักเรยี นสนใจในการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ข. นักเรยี นเปน็ ผู้รเิ ริม่ เรื่องท่ีจะศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง ค. เปดิ โอกาสให้นักเรยี นทกุ คนไดพ้ ัฒนาและแสดงความสามารถ ง. นักเรียนได้ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์

14 7. ขอ้ ใดเปน็ คุณคา่ ของการทาโครงงานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี * ก. สรา้ งความสานึก และรับผิดชอบในการศึกษาหาความรู้ ข. นักเรยี นเปน็ ผ้วู างแผนในการศกึ ษาคน้ คว้า ค. เปน็ กิจกรรมทีเ่ กี่ยวกบั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ง. เปน็ กจิ กรรมท่ใี ช้วิธีการทางวิทยาศาสตรใ์ นการค้นควา้ 8. ขอ้ ใดไม่ใชจ่ ุดมงุ่ หมายของการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ * ก. เพือ่ ใหน้ ักเรียนไดร้ จู้ ักใช้เวลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ ข. เพ่อื สง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนเกดิ ความรกั และสนใจในวชิ าวิทยาศาสตร์ ค. เพ่อื พัฒนาความรบั ผิดชอบ และสามารถทางานร่วมกบั ผ้อู ่ืนได้ ง. เพ่ือให้เห็นถึงนิสยั และพฤตกิ รรมของผู้ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 9. ขอ้ ใดไม่ใช่ความสาคัญของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. เปน็ การหาความร้ดู ว้ ยตนเองทีห่ ลากหลาย ข. ชว่ ยสง่ เสรมิ ให้มีการเผยแพร่ผลงาน และเปน็ หนทางในการสร้างรายได้ ค. รู้จกั การทางานร่วมกันเปน็ หมู่คณะ รู้จักยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อื่น ง. เปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนได้แสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง 10. นักเรียนไดร้ บั ประโยชนอ์ ะไรจากการทาโครงงานมากที่สุด * ก. ไดใ้ ช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ ข. ได้ฝกึ การนาเอาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มาใชแ้ ก้ปญั หา ค. ได้ประสบการณ์และพัฒนาคุณลักษณะในหลายๆด้านให้กับผู้เรยี น ง. สรา้ งความสานกึ และรบั ผดิ ชอบในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ แบบทดสอบหลัง เรียน๑ ง่ำยๆคะ

15 แบบทดสอบ ก่อนเรยี น 2 คำชแี้ จง ให้นักเรยี นเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. การสงั เกตของนักวทิ ยาศาสตรท์ าใหเ้ กดิ สงิ่ ใดเป็นอนั ดบั แรก * ก. สมมตฐิ าน ข. ถูกทุกข้อ ค. ปญั หา ง. การทดลอง 2. กฎข้ันตอนวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ทใี่ ชใ้ นการแสวงหาความรมู้ ที งั้ หมดกี่ข้ันตอน * ก. 5 ขนั้ ข. 4 ขนั้ ค. 3 ขน้ั ง. 2 ข้ัน 3. การที่ผูเ้ รียนมีเจตคติทางวทิ ยาศาสตรห์ รือจิตวิทยาศาสตรจ์ ะมลี กั ษณะตรงกบั ขอ้ ใด * ก. มีเหตุผล ซื่อสัตย์ รบั ฟังความคดิ เห็น ข. ตั้งในเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ ค. ตระหนักในคณุ และโทษของการใช้เทคโนโลยี ง. ศรัทธา ซาบซง้ึ ในผลงานทางวิทยาศาสตร์ 4. ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถา้ หากผลการทดลองท่ีได้จากการทดสอบสมมตฐิ านไม่สอดคล้องกับ สมมติฐานจะต้องทาอยา่ งไร * ก. ต้ังปัญหาใหม่ ข. ออกแบบการทดลองใหม่ ค. เปล่ยี นสมมติฐาน ง. สังเกตใหม่ 5. สมมตฐิ านทางวิทยาศาสตรจ์ ะเปลี่ยนเปน็ ทฤษฎีไดเ้ มื่อใด * ก. เปน็ ทีย่ อมรบั โดยท่วั ไป ข. ทดสอบแล้วเปน็ จรงิ ทุกครัง้ ค. อธบิ ายได้กว้างขวาง ง. มีเครอ่ื งมือพสิ จู น์ 6. ขอ้ ใดเรยี งลาดับขนั้ ตอนของวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ถกู ต้อง * ก. การตั้งสมมติฐาน การสังเกตและปญั หา การตรวจสอบสมมตฐิ านและการทดลอง และสรุปผล ข. การต้งั สมมตฐิ าน การรวบรวมข้อมลู การทดลอง และสรุปผล ค. การสงั เกตและปญั หา การทดลองและตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมตฐิ าน และสรุปผล ง. การสงั เกตและปญั หา การตัง้ สมมตฐิ าน การตรวจสอบสมมติฐานและการทดลอง และสรปุ ผล

16 7. การตั้งสมมตฐิ านจะต้องสอดคล้องกบั ข้อใด * ก. ตวั แปรในการศึกษา ข. การทดลอง ค. เคร่อื งมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ง. ปญั หา 8. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ขนั้ ตอนของ “ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ “ * ก. การทดลอง ข. การแกป้ ัญหา ค. การตง้ั สมมตฐิ าน ง. การสรปุ และแปลความหมาย 9. ขอ้ ใดคือความชานาญและความสามารถในการใช้กระบวนการคิดเพ่ือแกป้ ัญหา * ก. จติ วิทยาศาสตร์ ข. วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ค. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ง. ทักษะกระบวนการคิด 10. ในการต้งั สมมตฐิ านของการศึกษาคน้ คว้ามปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร * ก. เพื่อเปน็ การบอกผลสรุปจากการทาโครงงานล่วงหนา้ ข. เพอ่ื เป็นการพิสูจน์ผลของปญั หาท่ตี ง้ั ไว้ ค. เพอื่ เปน็ แนวทางในการดาเนินโครงการ ง. เพื่อเปน็ การคาดคะเนคาตอบชว่ั คราวของปัญหาท่ีตัง้ ไว้ แบบทดสอบทีก่ ่อน เรยี นที่ ๒ แล้วนะคะ

17 ใบควำมรทู้ ่ี ๑ เรื่อง แหล่งข้อมูล คาช้แี จง : ใหน้ ักศกึ ษาศึกษาทาความเข้าใจในเอกสารใบความรู้แลว้ ร่วมกนั อภิปรายภายในกลุม่ เพ่ือใหน้ ักศึกษาได้ค้นพบสง่ิ ที่ตนเองสนใจไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง นอกเหนือจากการเรยี นในช้ันเรยี น และ การอ่านหนงั สือแบบเรียนแลว้ นกั ศกึ ษาควรจะได้ศึกษาหาความร้จู ากแหล่งข้อมลู ต่าง ๆ เพิ่มเติมอกี ดังตอ่ ไปน้ี ๑. การอ่านหนังสือตา่ ง ๆ เช่น ตารา หนังสือพมิ พ์ วารสาร เปน็ ตน้ ๒. การไปเยยี่ มชมสถานท่ีต่าง ๆ เชน่ โรงงานอุตสาหกรรม หนว่ ยงานวจิ ัย เป็นต้น ๓. การฟังบรรยายทางวิชาการ การฟงั และชมรายการทางวิทยุ โทรทัศน์ ๔. จากกจิ กรรมการเรยี นการสอนใน กศน.ตาบล ๕. งานอดิเรกของนักศกึ ษาเอง 6. การเข้าชมนิทรรศการ หรอื งานประกวดโครงงานต่าง ๆ ๗. การศึกษาโครงงานต่างๆ ที่ผูอ้ ื่นทาไว้แลว้ 8. การสนทนากบั ครูอาจารย์ เพื่อน ๆ หรือบุคคลอืน่ ๆ 9. การสังเกตปรากฏการณต์ ่าง ๆ รอบ ๆ ตัวด้านสิง่ แวดล้อม ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรมท้ัง ท่ีเปน็ ปัญหาและความตอ้ งการ ๑๐. จากสอ่ื เทคโนโลยีและคอมพวิ เตอร์และส่งิ ทส่ี าคัญทค่ี วรจดบันทกึ ทกุ ครั้งเมื่อได้ข้อมูลทีต่ ้องการ แล้วคอื ท่ีมาของข้อมลู อันประกอบด้วย ช่อื เร่ือง ชอื่ ผเู้ ขียนหรือผู้แตง่ ชื่อหนงั สือ วนั เดอื น ปี ท่ีพิมพ์ และ สานกั พิมพ์ ๑๑. จากหนงั สอื งานวจิ ัยย้อนหลงั ทไี่ ม่เกนิ ๑๐ ปี เกง่ มำกๆทุกคน

18 ใบงำนที่ ๔ แบบบันทึกรำยละเอียดทีค่ ้นควำ้ จำกแหล่งขอ้ มูล คาชี้แจง : ให้นกั ศกึ ษาไปช่วยกนั คน้ คว้าหาหวั ข้อหรือเรื่องราวทน่ี ักศึกษาสนใจศึกษาสารวจจากแหลง่ ข้อมูล จริง แลว้ เขียนรายละเอียดทค่ี ้นควา้ ได้ลงในใบกจิ กรรมตามหัวข้อตอ่ ไปนี้ หัวขอ้ หรอื เรื่องราวที่สนใจศึกษาสารวจทาโครงงาน เรอื่ งที่ ๑........................................................................................................................………………… ชอ่ื ผู้เขยี น.................................................................................................................................. .......... จากแหลง่ ข้อมลู (ชื่อสถานที่ และชอ่ื หนังสอื หรือวารสารฯ) ............................................................................................................................................ .................................................................................................................................. .......... ฉบับที.่ .................... วันท่ี.......เดอื น... ปี................สานักพมิ พ์………………………………………………….. เรือ่ งท่ี ๒............................................................................................................................. ............... ชอื่ ผู้เขียน........................................................................................................................................... จากแหล่งข้อมลู (ชื่อสถานท่ี และชอ่ื หนังสอื หรือวารสารฯ) ฉบบั ท่ี…………………วันที.่ ............เดือน...........ปี……………สานกั พิมพ์.............................................. เรือ่ งที่ ๓…………………………………………………………………………………………………………………………. ชื่อผ้เู ขียน.................................................................................................................................. .......... จากแหล่งข้อมลู (ช่ือสถานท่ี และช่ือหนังสือ หรือวารสารฯ) .................................................................................................................................. .......... ............................................................................................................................................ ฉบบั ท.ี่ .................... วนั ที่.......เดอื น... ปี................สานกั พิมพ์………………………………………………….. เรื่องท่ี 4............................................................................................................................................ ชื่อผู้เขียน.............................................................................................................................. ............. จากแหล่งข้อมลู (ชื่อสถานที่ และช่อื หนงั สือ หรือวารสารฯ) ฉบับท่ี…………………วันท.ี่ ............เดือน...........ปี……………สานักพิมพ์.............................................. ชอ่ื .........................................................................ระดบั ชน้ั ........................................................... ชื่อ.........................................................................ระดับชั้น....................................... .................... ช่อื .........................................................................ระดับชัน้ ...........................................................

19 แบบทดสอบ หลังเรียน 2 คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. การสังเกตของนักวิทยาศาสตร์ทาให้เกดิ สง่ิ ใดเปน็ อันดับแรก * ก. สมมตฐิ าน ข. ถูกทุกข้อ ค. ปัญหา ง. การทดลอง 2. กฎขน้ั ตอนวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรท์ ใี่ ชใ้ นการแสวงหาความรมู้ ที ัง้ หมดกข่ี ้นั ตอน * ก. 5 ขั้น ข. 4 ขน้ั ค. 3 ข้นั ง. 2 ขั้น 3. การทผ่ี ู้เรียนมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์หรือจติ วทิ ยาศาสตร์จะมีลกั ษณะตรงกับขอ้ ใด * ก. มีเหตผุ ล ซื่อสัตย์ รบั ฟังความคิดเห็น ข. ตั้งในเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ค. ตระหนักในคณุ และโทษของการใช้เทคโนโลยี ง. ศรัทธา ซาบซงึ้ ในผลงานทางวิทยาศาสตร์ 4. ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถ้าหากผลการทดลองที่ไดจ้ ากการทดสอบสมมติฐานไมส่ อดคล้องกบั สมมตฐิ านจะต้องทาอย่างไร * ก. ตั้งปญั หาใหม่ ข. ออกแบบการทดลองใหม่ ค. เปลีย่ นสมมติฐาน ง. สงั เกตใหม่ 5. สมมติฐานทางวิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนเป็นทฤษฎีได้เม่ือใด * ก. เปน็ ทยี่ อมรบั โดยทั่วไป ข. ทดสอบแล้วเปน็ จริงทุกคร้ัง ค. อธบิ ายได้กวา้ งขวาง ง. มีเครอื่ งมอื พิสจู น์ 6. ข้อใดเรียงลาดับขั้นตอนของวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ได้ถกู ต้อง * ก. การตัง้ สมมตฐิ าน การสังเกตและปญั หา การตรวจสอบสมมติฐานและการทดลอง และสรุปผล ข. การต้ังสมมตฐิ าน การรวบรวมขอ้ มูล การทดลอง และสรุปผล ค. การสงั เกตและปัญหา การทดลองและต้ังสมมติฐาน การตรวจสอบสมมตฐิ าน และสรุปผล ง. การสงั เกตและปญั หา การตั้งสมมตฐิ าน การตรวจสอบสมมติฐานและการทดลอง และสรปุ ผล 7. การตงั้ สมมตฐิ านจะต้องสอดคล้องกับข้อใด * ก. ตัวแปรในการศึกษา ข. การทดลอง

20 ค. เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมลู ง. ปัญหา 8. ข้อใดไมใ่ ชข่ นั้ ตอนของ “ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ “ * ก. การทดลอง ข. การแก้ปัญหา ค. การตง้ั สมมตฐิ าน ง. การสรุปและแปลความหมาย 9. ข้อใดคือความชานาญและความสามารถในการใช้กระบวนการคดิ เพ่ือแกป้ ญั หา * ก. จติ วทิ ยาศาสตร์ ข. วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ค. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ง. ทกั ษะกระบวนการคิด 10. ในการตงั้ สมมติฐานของการศึกษาคน้ คว้ามีประโยชน์อยา่ งไร * ก. เพ่อื เปน็ การบอกผลสรุปจากการทาโครงงานล่วงหน้า ข. เพื่อเปน็ การพสิ จู นผ์ ลของปัญหาท่ตี ัง้ ไว้ ค. เพือ่ เปน็ แนวทางในการดาเนินโครงการ ง. เพื่อเป็นการคาดคะเนคาตอบชว่ั คราวของปญั หาที่ต้งั ไว้ เกง่ กันทุก ๆ คนเลย

21 แบบทดสอบ ก่อนเรยี น 3 คำช้แี จง ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ข้อใดกลา่ วได้ถูกต้องเกย่ี วกบั ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ * ก. เปน็ ทกั ษะท่จี าเป็นต้องใชใ้ นการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ข. เปน็ ทกั ษะกระบวนการพ้นื ฐานที่มคี วามสาคัญและจาเปน็ ในการเรยี นรู้ ค. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เปรยี บเสมอื นเครอื่ งมือท่จี าเปน็ ในการแสวงหาความรู้ และ แกป้ ัญหา ง. ถกู ทุกข้อ 2. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรม์ ีก่ีทกั ษะ * ก. 8 ข. 5 ค. 10 ง. 13 3. ทกั ษะใดไม่ใช่ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ * ก. การต้ังสมมตฐิ าน ข. การสังเกต ค. การทดลอง ง. การวางแผน 4. ทักษะใดทตี่ ้องใชข้ ้อมูลมาทาการประมวลผล * ก. การทดลอง ข. การคานวณ ค. การตั้งสมมติฐาน ง. การสงั เกต 5. ทักษะใดทีม่ ีการกาหนดความหมาย หรอื นิยามสิง่ ตา่ ง ๆ เพ่อื ความเขา้ ใจทตี่ รงกนั * ก. การตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ ข. การกาหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ตั ิการ ค. การคานวณ ง. การทดลอง 6. ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ใดท่เี ก่ียวข้องกบั การแยกสว่ นจัดกลุม่ * ก. การจาแนกประเภท ข. การคานวณ ค. การตั้งสมมตฐิ าน ง. การสังเกต

22 7. การคดิ หาค่าคาตอบล่วงหนา้ กอ่ นจะทาการทดลอง เปน็ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ใด * ก. ทักษะการกาหนดนยิ ามเชิงปฏิบตั กิ าร ข. การสงั เกต ค. การตง้ั สมมติฐาน ง. ทักษะการตีความและลงข้อสรปุ 8. การนาผลการทดลองมาจัดทาใหมใ่ หเ้ ข้าใจงา่ ยขน้ึ เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขอ้ ใด * ก. ทกั ษะการกาหนดนยิ ามเชิงปฏิบัติการ ข. การตงั้ สมมติฐาน ค. การจัดกระทาและสือ่ ความหมายขอ้ มลู ง. ทักษะการตีความและลงข้อสรุป 9. ทักษะใดหมายถึงการทานายผล การคาดคะเนสง่ิ ท่ีจะเกิดขึน้ ในอนาคต โดยใชข้ ้อมูลเป็นหลักการ * ก. การตัง้ สมมติฐาน ข. ทกั ษะการกาหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ัตกิ าร ค. ทกั ษะการตีความและลงข้อสรปุ ง. ทกั ษะการพยากรณ์ 10. การวัดความยาวของโต๊ะตวั หนง่ึ 3 ครัง้ ได้ผลดงั นี้ 98.1 97.7 98.5 ค่าเฉลี่ยความยาวของโตะ๊ ตัวน้เี ป็น เทา่ ไร * ก. 94.3 ข. 98.1 ค. 99.4 ง. 98.2 แบบทดสอบทกี่ อ่ นเรียน ที่ ๓ แล้วนะคะสู่ๆ

23 ใบควำมร้ทู ่ี ๒ เรื่อง กำรเขียนเคำ้ โครงของโครงงำน คาชี้แจง : ให้นักศึกษาทาความเขา้ ใจในเอกสารใบความรู้แล้วร่วมกนั อภปิ รายภายในกลุ่ม หลักการเขียนเคา้ โครงโครงงานประกอบด้วย 1 ชอ่ื โครงงำนช่ือโครงงานท่ีดีควรมีลักษณะ ดังนี้ a เป็นข้อความที่มคี วามกะทัดรัด ชัดเจน b ชือ่ ของโครงงานเมื่ออา่ นแลว้ ควรมองเหน็ ภาพพจน์ของโครงงานน้ันว่ามีลกั ษณะเปน็ อย่างไร c ชอื่ โครงงานควรเปน็ หัวข้อที่เปน็ ปัญหา และนา่ สนใจตอ่ ผู้พบเหน็ และสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ 2 ช่อื ผ้ทู ำโครงงำนต้องมกี ารระบุชอื่ ผทู้ าโครงงาน โดยมีการระบุ ชอ่ื .........................................นามสกลุ ...........................................เลขท.ี่ ................ช้นั ....................... โรงเรียน .......................................................................................... 3 ชื่อท่ีปรึกษาโครงงานทป่ี รึกษาโครงงานควรมลี กั ษณะ ดงั น้ี a เปน็ ผ้เู ชยี่ วชาญในเนื้อหาของโครงงานนนั้ ๆ b เปน็ ผทู้ ม่ี เี วลาในการให้คานาปรกึ ษา เมื่อมปี ัญหาในการดาเนินงานโครงงาน c เปน็ ผู้ทีพ่ บปะได้ง่าย และสะดวกต่อผูท้ าโครงงาน d เป็นผู้ท่เี ตม็ ใจ และพอใจในการให้คาแนะนาปรึกษา ในการดาเนนิ โครงงาน ฃ e เป็นผู้ท่มี คี วามเข้าใจที่ดกี ับผู้ดาเนินโครงงาน 4 ท่มี ำและควำมสำคัญของโครงงำนควรมลี ักษณะ ดงั น้ี a มกี ารบ่งบอกรากฐานความเปน็ มาของโครงงาน ว่ามีท่มี าอย่างไร b มีแนวความคดิ เปน็ พนื้ ฐานทีม่ าของโครงงานน้ันๆ อย่างไร c ควรให้ผู้อ่าน หรือผใู้ ชโ้ ครงงานอย่างน้อยใหม้ ีความเข้าใจ และทราบถึงพื้นฐานความเป็นมาแนวคิดของ โครงงานนน้ั d. ต้องมีการเขยี นแสดงถึงความสาคญั ของโครงงาน จากประเดน็ ตา่ งๆในโครงงานนั้น e มีการระบุความเรง่ ดว่ นของโครงงาน ตลอดจนความสมั พันธ์ ความผกู พันระหวา่ งโครงงานนน้ั ๆ กับ โครงงาน หรอื ความรู้ต่างๆ ทั้งในอดตี ปจั จบุ นั และอนาคต ๕. จุดมงุ่ หมำยของกำรศึกษำค้นคว้ำตอ้ งมีลกั ษณะดังนี้ ๕.๑ เขียนเป็นประโยคคาถาม หรือเป็นประโยคธรรมดากไ็ ด้ หรือจะเขยี นผสมกันระหวา่ งประโยคทั้งสองท่ี กล่าวมาแลว้ - ควรใช้ภาษาท่ี แจม่ ชดั เข้าใจงา่ ย ไมก่ วน - สามารถตั้งสมมตฐิ านได้ – สามารถทาการทดสอบได้ - ควรแยกแยะให้เหน็ ส่ิงท่ตี ้องการศกึ ษาเป็นรายย่อย ไม่ควรเขยี นคลมุ ๆกันไว้ทาใหข้ าดความเป็น ปรนยั

24 6. สมมุติฐำนของการศกึ ษาค้าคว้า (ถ้ามี) สมมตฐิ านของการศกึ ษาค้นคว้า หมายถงึ ข้อความท่ีผู้ดาเนินงาน เสนอหรอื คาดคะเนวา่ เป็นคาตอบของการศกึ ษาคน้ ควา้ มักเขยี นในรปู ข้อสรุป หรอื ปัญหาทรี่ อการพิสจู น์ ๗. วิธีดำเนินงำนวธิ ดี าเนนิ งานนจี้ ะเปน็ สว่ นระบถุ งึ แนวทาง กลยุทธ์ และวธิ ที ่ีจะทาโครงงานน้นั ๆ โดยละเอียด ในการระบุวิธีดาเนินงานน้ี จะต้องชแี้ จงรายละเอยี ดว่าทาอย่างไร เพยี งใด จึงจะบรรลุตามเปา้ หมายที่กาหนด ตาม โครงงาน มีการระบุถึง a. วสั ดอุ ุปกรณ์ท่ีใช้ ให้ระบุถึงวัสดุอปุ กรณ์ท่ีใช้ในการดาเนินโครงงานโดยละเอียดเป็นรายขอ้ b. แนวการศึกษาค้นควา้ ระบุการจัดทาและดาเนินโครงงานว่าได้แนวคดิ จากแหลง่ ใด โดยใครและ นามา ประยุกต์ใช้ในโครงงานนี้อย่างไร ๘. แผนปฏบิ ตั งิ ำนเขียนแผนปฏิบตั งิ านในการจดั ทาและดาเนนิ งานโครงงานโดยละเอียด เป็นข้ันตอนระบุ ระยะเวลาในการดาเนินกิจกรรม ผู้รับผิดชอบ และงบประมาณ (ในรปู ตาราง เพื่อความสะดวกในการนาเสนอ) แผนปฏบิ ตั งิ านแบง่ ออกเปน็ ขั้นๆ โดยสรุปดงั นี้ a. ขน้ั ตอนการดาเนินงาน เปน็ ข้นั ตอนทผี่ รู้ บั ผิดชอบโครงงานต้องเตรยี มการก่อนดาเนินงาน เชน่ ศึกษาคน้ คว้าเอกสารอ้างองิ ประชมุ ผู้รบั ผดิ ชอบโครงงาน เลือกหวั ข้อในการทาโครงงาน จัดเตรียมวัสดอุ ุปกรณ์ และแบ่งหนา้ ท่ตี ามความ รับผดิ ชอบภายในกลุม่ b. ขั้นดาเนนิ งาน ระบรุ ายละเอียดตงั้ แต่เริม่ ดาเนนิ การ จนโครงงานสาเรจ็ เป็นขน้ั ตอนในแต่ละช่วงเวลา c. ขนั้ วดั ผลและประเมินผล ระบุเคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวดั และประเมินผลว่าใช้เครื่องมือชนดิ ใดบ้าง เช่น การสังเกต การซกั ถาม หรอื แบบสอบถาม เปน็ ต้น 9. ผลที่คำดว่ำจะได้รับ ผลท่ีคาดวา่ จะได้รบั จะเปน็ การระบุถึงประโยชนห์ รือผลท่ีพ่งึ จะได้รับหลังจากส้ินสดุ การทาโครงงาน นั้นๆ แล้วเป็นการ แสดงผลกระทบทด่ี ี ท้ังทางตรงและทางอ้อม และระบวุ ่าใครจะได้รบั ประโยชน์ และ ผลกระทบ หรอื มีการเปลี่ยนแปลง ในเร่อื งอะไร และอยา่ งไร ทัง้ เชงิ คุณภาพและปรมิ าณ ๑๐. เอกสำรอำ้ งอิงจะเปน็ สงิ่ ทที่ าให้ผ้ดู าเนนิ โครงงานมองเห็นแนวทางในการดาเนินงานและแกป้ ัญหาของตน ได้ดขี ึน้ มาฝึกเขียนกนั เลยนะคะ

25 ใบงำนที่ ๕ แบบฟอร์มกำรจัดทำเค้ำโครงของโครงงำน คาชี้แจง : ให้นกั ศกึ ษาแต่ละกลุ่มรว่ มกนั เขยี นเค้าโครงของโครงงานตามแบบฟอร์มทกี่ าหนดให้ ๑. ช่ือโครงงำน ……………………………………………………………………………………………………. ๒. ชื่อผู้ทำโครงงำน ........................................................................................................... ........................................................................................................... ................................. ๓. ช่ือท่ีปรึกษำโครงงำน .................................................................................................... ๔. ทมี่ ำและควำมสำคัญของโครงงำน................................................................................. ........................................................................................................... ................................. ........................................................................................................... ................................. ........................................................................................................... ................................. ๕. จุดมุง่ หมำยของกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ ........................................................................................................... ................................. ............................................................................................................................................ ........................................................................................................... ................................. 5. สมมตุ ิฐานของการศกึ ษาค้าคว้า (ถ้ามี) ........................................................................................................... ................................. ........................................................................................................... ................................. ๗. วธิ ดี ำเนนิ งำน - วัสดุอุปกรณท์ ตี่ ้องใช้ ........................................................................................................... ................................. ............................................................................................................................................ - แนวการศกึ ษาค้นคว้า ........................................................................................................... ................................. ........................................................................................................... ................................. ........................................................................................................... ................................. ๘. แผนปฏบิ ตั ิงำน ........................................................................................................... ................................. ............................................................................................................................................ ........................................................................................................... ................................. ๔. ผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ ........................................................................................................... ................................. ........................................................................................................... ................................. ๑๐. เอกสำรอ้ำงอิง ........................................................................................................... ................................. ............................................................................................................................................ ........................................................................................................... .................................

26 แบบทดสอบ หลังเรยี น 3 คำช้แี จง ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ข้อใดกลา่ วได้ถูกต้องเกยี่ วกบั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ * ก. เปน็ ทกั ษะท่จี าเป็นตอ้ งใชใ้ นการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ข. เปน็ ทกั ษะกระบวนการพนื้ ฐานท่มี ีความสาคญั และจาเปน็ ในการเรยี นรู้ ค. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เปรียบเสมือนเคร่ืองมือท่จี าเปน็ ในการแสวงหาความรู้ และ แกป้ ัญหา ง. ถกู ทุกข้อ 2. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีก่ีทกั ษะ * ก. 8 ข. 5 ค. 10 ง. 13 3. ทกั ษะใดไม่ใช่ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ * ก. การต้ังสมมตฐิ าน ข. การสังเกต ค. การทดลอง ง. การวางแผน 4. ทักษะใดที่ต้องใชข้ ้อมูลมาทาการประมวลผล * ก. การทดลอง ข. การคานวณ ค. การตงั้ สมมติฐาน ง. การสังเกต 5. ทักษะใดทีม่ ีการกาหนดความหมาย หรือนิยามสงิ่ ต่าง ๆ เพอื่ ความเข้าใจที่ตรงกนั * ก. การตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรุป ข. การกาหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ตั ิการ ค. การคานวณ ง. การทดลอง 6. ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ใดท่ีเกย่ี วข้องกบั การแยกส่วนจดั กลุม่ * ก. การจาแนกประเภท ข. การคานวณ ค. การตั้งสมมตฐิ าน ง. การสังเกต

27 7. การคิดหาคา่ คาตอบลว่ งหนา้ กอ่ นจะทาการทดลอง เปน็ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ใด * ก. ทกั ษะการกาหนดนิยามเชงิ ปฏิบตั กิ าร ข. การสังเกต ค. การตงั้ สมมติฐาน ง. ทักษะการตีความและลงข้อสรปุ 8. การนาผลการทดลองมาจัดทาใหม่ให้เขา้ ใจง่ายขึ้นเป็นทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ ้อใด * ก. ทกั ษะการกาหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ัตกิ าร ข. การต้ังสมมตฐิ าน ค. การจัดกระทาและส่ือความหมายขอ้ มลู ง. ทักษะการตีความและลงข้อสรุป 9. ทักษะใดหมายถึงการทานายผล การคาดคะเนสงิ่ ที่จะเกิดขน้ึ ในอนาคต โดยใชข้ ้อมลู เปน็ หลกั การ * ก. การตง้ั สมมติฐาน ข. ทกั ษะการกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบัตกิ าร ค. ทกั ษะการตีความและลงข้อสรปุ ง. ทกั ษะการพยากรณ์ 10. การวดั ความยาวของโต๊ะตัวหน่งึ 3 ครั้งได้ผลดงั นี้ 98.1 97.7 98.5 คา่ เฉลยี่ ความยาวของโตะ๊ ตัวน้เี ป็น เทา่ ไร * ก. 94.3 ข. 98.1 ค. 99.4 ง. 98.2 เกง่ มำกทุกคน

28 แบบทดสอบ ก่อนเรียน 4 คำชแ้ี จง ให้นกั เรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ มีก่ีประเภท * ก. 5 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 6 ประเภท 2. โครงงานประเภทใดท่งี ่ายเหมาะสาหรับการเรมิ่ ตน้ ในการทาโครงงาน * ก. ทฤษฎี ข. การทดลอง ค. สารวจรวบรวมขอ้ มูล ง. สง่ิ ประดษิ ฐ์ 3. โครงงานทีน่ าเอาหลกั การ กฎ แนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปสตู ร สมการ หรอื คาอธบิ าย คือโครงงาน ประเภทใด * ก. โครงงานประเภทสงิ่ ประดิษฐ์ ข. โครงงานประเภททดลอง ค. โครงงานประเภทสารวจรวบรวมข้อมลู ง. โครงงานประเภททฤษฎี 4. โครงงานประเภทใดทีเ่ ก่ียงข้องกับการประดษิ ฐ์เครื่องมอื เครอ่ื งใชแ้ ละอปุ กรณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วกับ การใชส้ อย ก. การทดลอง ข. ทฤษฎี ค. สง่ิ ประดษิ ฐ์ ง. สารวจรวบรวมข้อมลู 5. การจัดทาโครงงานทด่ี ี นักเรยี นต้องทาอย่างไร * ก. เป็นโครงงานท่ีมีอาจารย์ทป่ี รึกษาเกง่ ๆ ข. เปน็ โครงงานทไ่ี ปดมู ากจากโครงงานอน่ื ค. เปน็ โครงงานท่ี สง่ เข้าประกวดไดร้ างวลั ง. เป็นโครงงานทเ่ี ราคิดเอง ทาเอง แกป้ ัญหาเอง นาเสนอเองอยา่ งมรี ปู แบบขน้ั ตอน 6. โครงงานวิทยาศาสตรเ์ รอ่ื ง “การสร้างเคร่ืองถอนขนไก่” เปน็ โครงงานประเภทใด * ก. สารวจรวบรวมขอ้ มลู ข. สิง่ ประดษิ ฐ์ ค. ทฤษฎี ง. การทดลอง

29 7. โครงงานวิทยาศาสตรเ์ รือ่ ง “การอธิบายอวกาศแนวใหม่” เปน็ โครงงานประเภทใด * ก. สารวจรวบรวมขอ้ มูล ข. การทดลอง ค. สง่ิ ประดษิ ฐ์ ง. ทฤษฎี 8. โครงงานที่ศกึ ษาผลของตวั แปรหนึง่ ท่มี ีต่อตวั แปรอกี ตวั แปรหนึ่งจัดวา่ เปน็ โครงงานประเภทใด * ก. ทฤษฎี ข. การทดลอง ค. สง่ิ ประดษิ ฐ์ ง. สารวจรวบรวมขอ้ มูล 9. การศกึ ษาชนดิ และปริมาณของแพลงก์ตอนในน้าทิ้งจากฟารม์ เลี้ยงสุกรจัดว่าเป็นโครงงานประเภทใด * ก. สารวจรวบรวมขอ้ มูล ข. การทดลอง ค. ทฤษฎี ง. สง่ิ ประดิษฐ์ 10. โครงงานประเภทใดทีม่ ีการกาหนดตัวแปรท่ีค่อนขา้ งเด่นชดั * ก. สง่ิ ประดษิ ฐ์ ทดลอง ข. ทดลอง สารวจรวบรวมข้อมูล ค. สารวจรวบรวมขอ้ มูล สิง่ ประดิษฐ์ ง. สิ่งประดษิ ฐ์ ทฤษฎคี าชแ้ี จง แบบทดสอบท่ีกอ่ นเรียน ท่ี ๔ แล้วนะคะส่ๆู

30 ใบงำนท่ี 6 แบบฟอร์มกำรเขียนรำยงำนบทท่ี ๕ สรุป และอภิปรำยผลโครงงำน ชแี้ จง : ให้นกั ศึกษาแต่ละกลมุ่ ร่วมกันเขยี นสรปุ และอภิปรายผลโครงงานจากการ ดาเนนิ โครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ๑. สรปุ ผลการศกึ ษา ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ๒. ประโยชน์ท่ีได้รบั ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ๓. ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ช่อื .........................................................................ระดบั ชน้ั ........................................................... ชอื่ .........................................................................ระดับช้ัน........................................................... ช่อื .........................................................................ระดบั ชน้ั ...........................................................

31 แบบทดสอบ หลังเรียน 4 คำชแ้ี จง ให้นักเรยี นเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ มกี ่ีประเภท * ก. 5 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 6 ประเภท 2. โครงงานประเภทใดทง่ี ่ายเหมาะสาหรับการเร่ิมตน้ ในการทาโครงงาน * ก. ทฤษฎี ข. การทดลอง ค. สารวจรวบรวมขอ้ มูล ง. ส่งิ ประดิษฐ์ 3. โครงงานท่ีนาเอาหลักการ กฎ แนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรปู สตู ร สมการ หรอื คาอธบิ าย คือโครงงาน ประเภทใด * ก. โครงงานประเภทสิง่ ประดิษฐ์ ข. โครงงานประเภททดลอง ค. โครงงานประเภทสารวจรวบรวมข้อมลู ง. โครงงานประเภททฤษฎี 4. โครงงานประเภทใดท่ีเก่ียงข้องกับการประดษิ ฐเ์ ครือ่ งมอื เครื่องใชแ้ ละอปุ กรณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วกับ การใชส้ อย ก. การทดลอง ข. ทฤษฎี ค. สง่ิ ประดิษฐ์ ง. สารวจรวบรวมข้อมลู 5. การจัดทาโครงงานทดี่ ี นักเรยี นต้องทาอย่างไร * ก. เปน็ โครงงานท่มี ีอาจารย์ทป่ี รึกษาเกง่ ๆ ข. เปน็ โครงงานทไ่ี ปดมู ากจากโครงงานอืน่ ค. เป็นโครงงานที่ สง่ เข้าประกวดไดร้ างวัล ง. เป็นโครงงานท่เี ราคิดเอง ทาเอง แกป้ ัญหาเอง นาเสนอเองอยา่ งมรี ปู แบบขน้ั ตอน 6. โครงงานวิทยาศาสตรเ์ รอ่ื ง “การสร้างเคร่ืองถอนขนไก่” เปน็ โครงงานประเภทใด * จ. สารวจรวบรวมขอ้ มลู ก. สงิ่ ประดษิ ฐ์ ข. ทฤษฎี ค. การทดลอง

32 7. โครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ รอ่ื ง “การอธบิ ายอวกาศแนวใหม่” เป็นโครงงานประเภทใด * ก. สารวจรวบรวมขอ้ มลู ข. การทดลอง ค. สิง่ ประดษิ ฐ์ ง. ทฤษฎี 8. โครงงานท่ศี ึกษาผลของตัวแปรหน่งึ ทมี่ ีต่อตัวแปรอีกตัวแปรหนง่ึ จัดวา่ เป็นโครงงานประเภทใด * ก. ทฤษฎี ข. การทดลอง ค. สิง่ ประดิษฐ์ ง. สารวจรวบรวมขอ้ มูล 9. การศึกษาชนิดและปริมาณของแพลงก์ตอนในน้าทิ้งจากฟารม์ เล้ียงสุกรจดั วา่ เป็นโครงงานประเภทใด * ก. สารวจรวบรวมขอ้ มลู ข. การทดลอง ค. ทฤษฎี ง. สิ่งประดิษฐ์ 10. โครงงานประเภทใดท่ีมีการกาหนดตวั แปรท่ีคอ่ นขา้ งเด่นชดั * ก. ส่ิงประดิษฐ์ ทดลอง ข. ทดลอง สารวจรวบรวมขอ้ มูล ค. สารวจรวบรวมขอ้ มูล สงิ่ ประดษิ ฐ์ ง. สิง่ ประดิษฐ์ ทฤษฎคี าชี้แจง ทำแบบทดสอบเป็น อย่ำงไรบ้ำงคะ

33 แบบทดสอบ ก่อนเรียน 5 คำช้แี จง ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. สิง่ ที่ควรทาเปน็ อนั ดับแรกในการทาโครงงาน คือทาอย่างไร * ก. ศกึ ษาหาสถานท่ีท่ีจะประกวด ข. สอบถามเร่ืองทีจ่ ะทาจากอาจารย์ทีป่ รกึ ษา ค. คดิ หัวเรือ่ งทจี่ ะทา ง. เตรยี มสถานทท่ี จี่ ะทาโครงงาน 2. ในการจัดนทิ รรศการแสดงโครงงานนน้ั ควรคานึงถงึ สง่ิ ใดมากทส่ี ดุ * ก. ความปลอดภัยและความเหมาะสมของเน้ือหาทีจ่ ัดแสดง ข. ดงึ ดูดความสนใจผูเ้ ข้าชม ค. ใชต้ าราง และรูปภาพประกอบโดยจดั วางเหมาะสม ง. ส่งิ ประดษิ ฐค์ วรอยใู่ นสภาพที่ทางานได้อย่างสมบรู ณ์ 3. ขั้นตอนใดเป็นขนั้ ตอนสดุ ท้ายในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. ศกึ ษาเอกสารท่ีเกยี่ วข้อง ข. การเขียนรายงาน ค. การแสดงผลงาน ง. ข้นั ตอนการคิดหวั ข้อของโครงงาน 4. ขั้นตอนท่ีสาคัญทีส่ ดุ ในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตรค์ ือขนั้ ตอนใด * ก. การคิดหวั ข้อเร่อื งทจี่ าทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ข. การลงมอื ทาโครงงาน ค. การจดั ทาเค้าโครงยอ่ ของโครงงาน ง. การศกึ ษาเอกสารท่ีเกยี่ วข้อง 5. ขอ้ ใดเปน็ การประเมนิ ผลของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. การจัดแสดงโครงงาน ข. การเขยี นรายงาน ค. การอภปิ รายปากเปล่า ง. ถูกทุกข้อ 6. ความสาเรจ็ ของการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ขน้ึ อยู่กบั ข้อใด * ก. ผลการทดลองทไ่ี ด้ไม่จาเปน็ ต้องเป็นไปตามความคาดหวัง ข. ได้สิ่งประดิษฐท์ ่สี วยงาม และมรี าคาแพง ค. ผลการทดลองทไ่ี ด้ตรงกบั ความคาดหวังเสมอ ง. มีความปลอดภยั และใชต้ ้นทุนสงู

34 7. ข้อใดคือความสาคญั ของการศึกษาเอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง * ก. ช่วยให้นักเรียนไดแ้ นวความคิดท่จี ะกาหนดขอบขา่ ยของเรื่องทจี่ ะศึกษาค้นควา้ ให้ เฉพาะเจาะจงมาก ขึ้น ข. ชว่ ยใหน้ กั เรยี นไดเ้ อกสารประกอบการทารายงาน ค. ชว่ ยใหน้ กั เรียนได้มแี หล่งความร้ทู จี่ ะคน้ ควา้ ง. ชว่ ยให้นักเรยี นได้รู้งบประมาณ 8. การเขยี นรายงานเกย่ี วกับโครงงานที่ถกู ต้องคือข้อใด * ก. การเขียนรายงานควรใชภ้ าษาท่อี า่ นเขา้ ใจงา่ ย ชัดเจน สั้น ๆ และตรงไปตรงมาครอบคลมุ หัวขอ้ ต่าง ๆ ข. การเขยี นรายงานควรรายงานอย่างตรงไปตรงมา ค. การเขยี นรายงานควรใช้ตาราง และรูปภาพประกอบ ง. การเขียนรายงานควรดึงดูดความสนใจ ใชส้ ที ่สี ดใส และครอบคลุมหัวข้อตา่ ง ๆ 9. รายงานโครงงานวทิ ยาศาสตรแ์ บ่งออกเปน็ สว่ นใหญ่กี่ส่วน * ก. 4 สว่ น ข. 3 ส่วน ค. 2 ส่วน ง. 5 ส่วน 10. สว่ นทเ่ี ป็นเนื้อหาโครงงานวิทยาศาสตรแ์ บง่ ออกเปน็ กี่บท * ก. 4 บท ข. 5 บท ค. 2 บท ง. 3 บท แบบทดสอบท่ีก่อนเรียน ท่ี ๕ แล้วนะคะสู่ๆ

35 ใบควำมรู้ท่ี ๓ เรอ่ื งกำรนำเสนอโครงงำนวทิ ยำศำสตร์ คาชี้แจง : ใหน้ กั ศึกษา ศึกษาทาความเข้าใจในเอกสารใบความรู้แลว้ ร่วมกนั อภิปรายภายโครงงาน หลกั กำรนำเสนอโครงงำน ในการนาเสนอผลงานตอ้ งอธิบายหรอื รายงานปากเปล่า หรือตอบคาถามตา่ งๆ ต่อผู้ชมหรือ กรรมการตดั สนิ โครงงาน การอธบิ าย ตอบคาถามหรือรายงานปากเปล่าน้นั ควรคานึงถงึ สิ่งตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้ 1 ตอ้ งทาความเข้าใจกับเร่ืองที่จะอธิบายเป็นอย่างดี 2 คานงึ ถึงความเหมาะสมของภาษาท่ีใชก้ บั ระดับผู้ฟัง ควรให้ชัดเจน และเขา้ ใจง่าย 3 ควรรายงานอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม 4 พยายามหลกี เล่ียงการอ่านรายงาน แตอ่ าจจดหวั ข้อสาคัญๆได้ เพอื่ ช่วยใหก้ ารรายงานเปน็ ไปตาม ข้นั ตอน 5 อย่าท่องจารายงาน เพราะทาให้ดูไม่เปน็ ธรรมชาติ 6 ขณะรายงานควรมองตรงไปยังผ้ฟู งั 7 เตรียมตัวสาหรับการตอบคาถามทีเ่ กยี่ วกับเร่ืองน้นั ๆ 8 ตอบคาถามอยา่ งตรงไปตรงมา ไม่จาเป็นต้องกล่าวถงึ สง่ิ ที่ไม่ไดถ้ าม 9 หากติดขดั ในการอธิบายควรยอมรบั โดยดี อย่ากลบเกล่ือนหรือหาทางเลีย่ งเป็นอย่างอื่น ๑๐. ควรรายงานให้เสรจ็ ในเวลาทีก่ าหนด ๑๑. หากเป็นไปได้ควรใชส้ ่อื ประเภทโสตทัศนูปกรณ์ประกอบการรายงานดว้ ย

36 แบบทดสอบ หลังเรียน 5 คำช้แี จง ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. สิง่ ที่ควรทาเปน็ อนั ดับแรกในการทาโครงงาน คือทาอย่างไร * ก. ศกึ ษาหาสถานท่ีท่ีจะประกวด ข. สอบถามเร่ืองทีจ่ ะทาจากอาจารย์ที่ปรกึ ษา ค. คดิ หัวเรือ่ งทจี่ ะทา ง. เตรยี มสถานทท่ี จี่ ะทาโครงงาน 2. ในการจัดนทิ รรศการแสดงโครงงานนน้ั ควรคานึงถงึ สง่ิ ใดมากทส่ี ดุ * ก. ความปลอดภัยและความเหมาะสมของเน้ือหาทีจ่ ัดแสดง ข. ดงึ ดูดความสนใจผูเ้ ข้าชม ค. ใชต้ าราง และรูปภาพประกอบโดยจดั วางเหมาะสม ง. ส่งิ ประดษิ ฐค์ วรอยใู่ นสภาพที่ทางานได้อย่างสมบรู ณ์ 3. ขั้นตอนใดเป็นขนั้ ตอนสดุ ท้ายในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. ศกึ ษาเอกสารท่ีเกยี่ วข้อง ข. การเขียนรายงาน ค. การแสดงผลงาน ง. ข้นั ตอนการคิดหวั ข้อของโครงงาน 4. ขั้นตอนท่ีสาคัญทสี่ ดุ ในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตรค์ อื ขนั้ ตอนใด * ก. การคิดหวั ข้อเร่อื งทจี่ าทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ข. การลงมอื ทาโครงงาน ค. การจดั ทาเค้าโครงยอ่ ของโครงงาน ง. การศกึ ษาเอกสารท่ีเกยี่ วข้อง 5. ข้อใดเปน็ การประเมนิ ผลของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. การจัดแสดงโครงงาน ข. การเขยี นรายงาน ค. การอภปิ รายปากเปล่า ง. ถูกทุกข้อ 6. ความสาเรจ็ ของการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ขน้ึ อยู่กบั ข้อใด * ก. ผลการทดลองทไ่ี ด้ไม่จาเปน็ ต้องเป็นไปตามความคาดหวัง ข. ได้สิ่งประดิษฐท์ ่สี วยงาม และมรี าคาแพง ค. ผลการทดลองทไ่ี ด้ตรงกบั ความคาดหวังเสมอ ง. มีความปลอดภยั และใชต้ ้นทุนสงู

37 7. ขอ้ ใดคือความสาคัญของการศึกษาเอกสารที่เก่ยี วข้อง * ก. ชว่ ยให้นกั เรียนไดแ้ นวความคิดท่จี ะกาหนดขอบข่ายของเร่ืองที่จะศึกษาค้นควา้ ให้ เฉพาะเจาะจงมาก ข้ึน ข. ชว่ ยใหน้ ักเรียนได้เอกสารประกอบการทารายงาน ค. ช่วยให้นักเรียนไดม้ แี หลง่ ความรูท้ ่ีจะคน้ คว้า ง. ชว่ ยให้นกั เรยี นไดร้ งู้ บประมาณ 8. การเขยี นรายงานเกีย่ วกับโครงงานที่ถูกต้องคือข้อใด * ก. การเขยี นรายงานควรใชภ้ าษาท่อี า่ นเขา้ ใจงา่ ย ชัดเจน สัน้ ๆ และตรงไปตรงมาครอบคลุมหัวขอ้ ตา่ ง ๆ ข. การเขยี นรายงานควรรายงานอย่างตรงไปตรงมา ค. การเขยี นรายงานควรใช้ตาราง และรูปภาพประกอบ ง. การเขยี นรายงานควรดึงดูดความสนใจ ใชส้ ีที่สดใส และครอบคลมุ หวั ข้อต่าง ๆ 9. รายงานโครงงานวทิ ยาศาสตรแ์ บ่งออกเปน็ ส่วนใหญ่กี่ส่วน * ก. 4 ส่วน ข. 3 สว่ น ค. 2 สว่ น ง. 5 ส่วน 10. ส่วนท่เี ป็นเน้อื หาโครงงานวทิ ยาศาสตร์แบ่งออกเป็นกี่บท * ก. 4 บท ข. 5 บท ค. 2 บท ง. 3 บท จบแลว้ ทกุ คน

38 บรรณำนกุ รม กรมวิชาการ.(2545). คมู่ ือกำรจดั กำรเรียนรู้กลมุ่ สำระกำรเรยี นรวู้ ทิ ยำศำสตร์. กรงุ เทพ : โรงพมิ พ์องค์การ รบั สง่ สินคา้ และพสั ด.ุ ภิญญดา อยสู่ าราญ.(2548) โครงงำนวทิ ยำศำสตร.์ กรงุ เทพ : เจริญรงุ่ เรอื งการพมิ พ์. ราศี สดดุ ี.แบบฝึกทกั ษะโครงงำนวิทยำศำสตร์ระดบั ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 2

39 ภาคผนวก

40 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาตอนตน้ เร่ือง โครงงาน จานวน 50 ข้อ เวลา 60 นาที คะแนนเต็ม 30 คะแนน ............................................................................................................................. ............... คาชี้แจง้ ใหน้ ักศึกษาเลือกคาตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงคาตอบเพียงแลว้ ทาเครื่องหมาย X ลงในกระดาษคาตอบ ใหต้ รงกับข้อที่เลือกไว้ 1. ข้อใดกล่าวไม่ถูกตอ้ ง * 4. ข้อใดเป็นจดุ มุง่ หมายที่สาคญั ในการให้นักเรียน ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ * ก. การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์จะช่วย พัฒนาใหน้ ักเรยี นเป็นคนรบั ผิดชอบ ก. เพ่ือให้นกั เรยี นไดร้ ับคาตอบในปัญหา ข. เพ่ือให้มีเจตคติทด่ี ตี ่อการเรียน ข. การเรยี นโครงงานวิทยาศาสตรน์ ักเรียน สามารถนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ วทิ ยาศาสตร์ ค. เพอ่ื ใหม้ ปี ระสบการณ์ตรงในการแสวงหา ค. การทาโครงงานวิทยาศาสตรเ์ ปน็ การเปิด โอกาสใหน้ กั เรียนได้พัฒนาและแสดง ความรู้ดว้ ยตนเองโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ความสามารถตามศักยภาพของตนเอง ง. เพอ่ื ช่วยใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจลกั ษณะ ง. จดุ มงุ่ หมายของการทาโครงงาน ธรรมชาติวทิ ยาศาสตรด์ ขี นึ้ วิทยาศาสตรท์ ส่ี าคญั คอื การเขา้ ประกวด 5. หลักการของการจัดกิจกรรมโครงงาน แขง่ ขัน วิทยาศาสตร์คือข้อใด * 2. ความหมายโครงงานวทิ ยาศาสตร์คอื ข้อใด * ก. ความสามคั คีในหมู่คณะ ข. การใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ก. เป็นกิจกรรมท่ีนาเอาวิธีการทาง ค. การคดิ เปน็ ทาเป็น แกป้ ัญหาได้ วิทยาศาสตร์มาใชใ้ นการศึกษา ง. ความคดิ รเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ 6. ขอ้ ใดคือองค์ประกอบของโครงงานวิทยาศาสตร์ ข. เป็นงานวิจยั เลก็ ๆ ของนักเรยี นทมี่ เี นื้อหา และเทคโนโลยี * เก่ียวกับวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก. กระตุ้นให้นักเรยี นสนใจในการเรยี น ค. เปน็ การศึกษาเร่ืองใดเรื่องหน่ึงท่นี กั เรียน วิทยาศาสตร์ เป็นผลู้ งมอื ปฏบิ ตั ิและศึกษาค้นควา้ คน้ คว้าด้วยตนเอง ข. นักเรยี นเป็นผรู้ เิ รม่ิ เรอื่ งท่ีจะศึกษาคน้ คว้า ด้วยตนเอง ง. ถกู ทุกข้อ 3. ข้อใดไมจ่ ัดว่าเปน็ โครงงานวิทยาศาสตร์ * ค. เปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นทุกคนได้พฒั นาและ แสดงความสามารถ ก. ขาวศึกษา คน้ ควา้ และพัฒนาเครอ่ื งอบ ผ้าโดยใชพ้ ลงั งานแสงอาทิตย์ ง. นักเรยี นไดใ้ ชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ ข. สม้ ทาสบสู่ มุนไพรสตู รพิเศษที่คดิ คน้ ขึ้น เอง ค. เขียวผลติ ยาขจดั กลิน่ กายสตู รธรรมชาตทิ ่ี ไมเ่ หมือนใคร ง. แดงซอ้ื ชดุ ทายาหม่องน้าจากรา้ นค้ามาทา ยาหมอ่ งแจกเปน็ ของชาร่วย

7. ขอ้ ใดเปน็ คุณคา่ ของการทาโครงงาน 41 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี * 10. นักเรียนได้รบั ประโยชน์อะไรจากการทา ก. สร้างความสานึก และรบั ผดิ ชอบใน โครงงานมากที่สดุ * การศึกษาหาความรู้ ก. ได้ใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์ในทาง ข. นกั เรยี นเปน็ ผวู้ างแผนในการศกึ ษา สรา้ งสรรค์ คน้ ควา้ ข. ได้ฝกึ การนาเอาทกั ษะกระบวนการทาง ค. เป็นกจิ กรรมที่เก่ยี วกบั วทิ ยาศาสตร์และ วิทยาศาสตร์มาใชแ้ ก้ปญั หา เทคโนโลยี ค. ไดป้ ระสบการณแ์ ละพัฒนาคุณลกั ษณะใน ง. เป็นกิจกรรมทใี่ ช้วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ หลายๆด้านใหก้ ับผู้เรยี น ในการคน้ คว้า ง. สร้างความสานึกและรับผิดชอบใน 8. ข้อใดไมใ่ ช่จุดมุ่งหมายของการทาโครงงาน การศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ วิทยาศาสตร์ * 11. การสังเกตของนักวิทยาศาสตร์ทาใหเ้ กิดสงิ่ ใด ก. เพอ่ื ให้นกั เรียนไดร้ ู้จักใช้เวลาวา่ งให้เป็น เป็นอันดบั แรก * ประโยชน์ ก. สมมติฐาน ข. เพื่อสง่ เสริมให้นกั เรยี นเกดิ ความรกั และ ข. ถกู ทุกข้อ สนใจในวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ค. ปญั หา ง. การทดลอง ค. เพอ่ื พัฒนาความรับผิดชอบ และสามารถ 12. กฎข้ันตอนวิธีการทางวิทยาศาสตร์ทใี่ ชใ้ นการ ทางานร่วมกบั ผู้อื่นได้ แสวงหาความรมู้ ีท้ังหมดกี่ขั้นตอน * ง. เพือ่ ให้เห็นถึงนิสัยและพฤติกรรมของผู้ทา ก. 5 ขน้ั โครงงานวทิ ยาศาสตร์ -ข. 4 ขั้น ค. 3 ข้นั 9. ข้อใดไม่ใชค่ วามสาคัญของโครงงาน ง. 2 ขัน้ วิทยาศาสตร์ เปน็ การหาความรดู้ ้วยตนเองที่ 13. การทีผ่ ู้เรยี นมีเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์หรือจติ หลากหลาย วทิ ยาศาสตร์จะมลี ักษณะตรงกบั ข้อใด * ก. ช่วยส่งเสริมใหม้ ีการเผยแพรผ่ ลงาน และ ก. มีเหตุผล ซือ่ สตั ย์ รับฟงั ความคิดเหน็ เป็นหนทางในการสรา้ งรายได้ ข. ตงั้ ในเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ค. ตระหนกั ในคณุ และโทษของการใช้ ข. รู้จักการทางานรว่ มกันเป็นหมู่คณะ ค. รู้จักยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ของผูอ้ ื่น เทคโนโลยี ง. เปิดโอกาสใหน้ ักเรียนได้แสดง ง. ศรัทธา ซาบซ้ึงในผลงานทางวิทยาศาสตร์ ความสามารถตามศักยภาพของตนเอง

14. ในกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ถ้าหากผล 42 การทดลองท่ีได้จากการทดสอบสมมติฐานไม่ สอดคล้องกบั สมมตฐิ านจะต้องทาอย่างไร * 18. ขอ้ ใดไม่ใช่ขน้ั ตอนของ “ กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ “ * ก. ตั้งปัญหาใหม่ ข. ออกแบบการทดลองใหม่ ก. การทดลอง ค. เปลยี่ นสมมติฐาน ข. การแก้ปัญหา ง. สงั เกตใหม่ ค. การต้งั สมมตฐิ าน 15. สมมตฐิ านทางวทิ ยาศาสตรจ์ ะเปล่ียนเปน็ ง. การสรปุ และแปลความหมาย ทฤษฎีได้เมอ่ื ใด * 19. ขอ้ ใดคือความชานาญและความสามารถใน การใช้กระบวนการคดิ เพ่ือแก้ปญั หา * ก. เป็นทยี่ อมรับโดยทั่วไป ข. ทดสอบแลว้ เปน็ จรงิ ทุกครั้ง ก. จิตวทิ ยาศาสตร์ ค. อธิบายได้กว้างขวาง ข. วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ ง. มเี คร่ืองมอื พสิ จู น์ ค. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 16. ข้อใดเรียงลาดบั ข้ันตอนของวธิ กี ารทาง ง. ทกั ษะกระบวนการคดิ วิทยาศาสตรไ์ ด้ถูกต้อง * 20. ในการต้ังสมมติฐานของการศึกษาคน้ คว้ามี ประโยชน์อย่างไร * ก. การตั้งสมมตฐิ าน การสังเกตและปัญหา การตรวจสอบสมมติฐานและการทดลอง ก. เพ่อื เป็นการบอกผลสรปุ จากการทา และสรุปผล โครงงานล่วงหน้า ข. การตั้งสมมติฐาน การรวบรวมขอ้ มูล การ ข. เพ่ือเป็นการพิสูจนผ์ ลของปัญหาทีต่ ัง้ ไว้ ทดลอง และสรุปผล ค. เพอ่ื เป็นแนวทางในการดาเนินโครงการ ง. เพื่อเป็นการคาดคะเนคาตอบชั่วคราวของ ค. การสังเกตและปญั หา การทดลองและ ต้ังสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน ปัญหาที่ตั้งไว้ และสรุปผล 21. ข้อใดกลา่ วได้ถูกต้องเกี่ยวกับทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ * ง. การสงั เกตและปัญหา การตง้ั สมมตฐิ าน การตรวจสอบสมมติฐานและการทดลอง ก. เป็นทกั ษะท่ีจาเป็นตอ้ งใช้ในการทา และสรุปผล โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 17. การตงั้ สมมติฐานจะต้องสอดคลอ้ งกับข้อใด * ข. เป็นทักษะกระบวนการพ้นื ฐานท่ีมี ความสาคญั และจาเป็นในการเรยี นรู้ ก. ตวั แปรในการศึกษา ข. การทดลอง ค. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ค. เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เปรยี บเสมอื นเคร่ืองมือท่ีจาเป็นในการ ง. ปญั หา แสวงหาความรู้ และแก้ปัญหา ง. ถูกทุกข้อ

43 22. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีกท่ี ักษะ 27. การคิดหาค่าคาตอบล่วงหนา้ กอ่ นจะทาการ * ทดลอง เปน็ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใด * ก. 8 ข. 5 ก. ทักษะการกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบตั ิการ ค. 10 ข. การสังเกต ง. 13 ค. การต้งั สมมติฐาน 23. ทักษะใดไม่ใช่ทกั ษะกระบวนการทาง ง. ทกั ษะการตีความและลงข้อสรุป วทิ ยาศาสตร์ * 28. การนาผลการทดลองมาจัดทาใหมใ่ หเ้ ข้าใจ งา่ ยขึน้ เปน็ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ข้อ ก. การตง้ั สมมติฐาน ใด * ข. การสงั เกต ค. การทดลอง ก. ทกั ษะการกาหนดนยิ ามเชิงปฏิบตั ิการ ง. การวางแผน ข. การตง้ั สมมตฐิ าน 24. ทักษะใดท่ีตอ้ งใช้ข้อมูลมาทาการประมวลผล ค. การจัดกระทาและสอ่ื ความหมายข้อมูล * ง. ทักษะการตีความและลงข้อสรปุ 29. ทักษะใดหมายถึงการทานายผล การ ก. การทดลอง คาดคะเนสิง่ ที่จะเกิดข้นึ ในอนาคต โดยใช้ข้อมูล ข. การคานวณ เป็นหลักการ * ค. การต้งั สมมติฐาน ง. การสงั เกต ก. การต้ังสมมติฐาน 25. ทักษะใดที่มกี ารกาหนดความหมาย หรือ ข. ทกั ษะการกาหนดนิยามเชงิ ปฏิบัตกิ าร นยิ ามสง่ิ ตา่ ง ๆ เพื่อความเข้าใจทีต่ รงกัน * ค. ทกั ษะการตีความและลงข้อสรุป ง. ทกั ษะการพยากรณ์ ก. การตคี วามหมายข้อมูลและลงขอ้ สรปุ 30. การวัดความยาวของโต๊ะตัวหนง่ึ 3 ครง้ั ไดผ้ ล ข. การกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร ดังน้ี 98.1 97.7 98.5 คา่ เฉลย่ี ความยาวของโต๊ะ ค. การคานวณ ตวั นีเ้ ปน็ เทา่ ไร * ง. การทดลอง 26. ทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ใดท่ีเกีย่ วข้องกบั การ ก. 94.3 แยกสว่ นจัดกลุม่ * ข. 98.1 ค. 99.4 ก. การจาแนกประเภท ง. 98.2 ข. การคานวณ -31. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ มกี ่ีประเภท * ค. การต้ังสมมตฐิ าน ง. การสงั เกต ก. 5 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 6 ประเภท

44 -32. โครงงานประเภทใดท่ีงา่ ยเหมาะสาหรับการ 37. โครงงานวทิ ยาศาสตร์เร่ือง “การอธิบาย เรม่ิ ตน้ ในการทาโครงงาน * อวกาศแนวใหม่” เป็นโครงงานประเภทใด * ก. ทฤษฎี ก. สารวจรวบรวมข้อมูล ข. การทดลอง ข. การทดลอง ค. สารวจรวบรวมขอ้ มลู ค. สิ่งประดษิ ฐ์ ง. ส่ิงประดษิ ฐ์ ง. ทฤษฎี 33. โครงงานทน่ี าเอาหลักการ กฎ แนวคิดใหม่ ๆ 38. โครงงานที่ศกึ ษาผลของตวั แปรหนึ่งที่มีต่อตวั ซ่ึงอาจอยใู่ นรูปสูตร สมการ หรือคาอธบิ าย คือ แปรอีกตัวแปรหน่ึงจัดวา่ เป็นโครงงานประเภทใด * โครงงานประเภทใด * ก. ทฤษฎี ก. โครงงานประเภทสิ่งประดษิ ฐ์ ข. การทดลอง ข. โครงงานประเภททดลอง ค. ส่ิงประดษิ ฐ์ ค. โครงงานประเภทสารวจรวบรวมขอ้ มลู ง. สารวจรวบรวมข้อมลู ง. โครงงานประเภททฤษฎี 39. การศึกษาชนิดและปรมิ าณของแพลงกต์ อนใน 34. โครงงานประเภทใดทเี่ ก่ียงข้องกบั การ นา้ ทงิ้ จากฟารม์ เลีย้ งสุกรจัดวา่ เปน็ โครงงาน ประดษิ ฐ์เครื่องมือ เคร่ืองใชแ้ ละอปุ กรณ์ต่าง ๆ ท่ี ประเภทใด เกยี่ วกบั การใชส้ อย * ก. สารวจรวบรวมขอ้ มลู ก. การทดลอง ข. การทดลอง ข. ทฤษฎี ค. ทฤษฎี ค. สิง่ ประดษิ ฐ์ ง. ส่ิงประดษิ ฐ์ ง. สารวจรวบรวมขอ้ มลู 40. โครงงานประเภทใดทีม่ ีการกาหนดตัวแปรที่ 35. การจดั ทาโครงงานทดี่ ี นักเรยี นตอ้ งทาอย่างไร ค่อนข้างเดน่ ชดั * ก. เป็นโครงงานที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาเก่ง ๆ ก. สิ่งประดษิ ฐ์ ทดลอง ข. เปน็ โครงงานที่ไปดูมากจากโครงงานอนื่ ข. ทดลอง สารวจรวบรวมขอ้ มูล ค. เป็นโครงงานที่ สง่ เขา้ ประกวดไดร้ างวัล ค. สารวจรวบรวมข้อมูล สง่ิ ประดษิ ฐ์ ง. เปน็ โครงงานทีเ่ ราคดิ เอง ทาเอง แก้ปัญหา ง. ส่งิ ประดษิ ฐ์ ทฤษฎคี าชี้แจง 41. สงิ่ ท่คี วรทาเปน็ อันดับแรกในการทาโครงงาน เอง นาเสนอเองอยา่ งมรี ปู แบบข้นั ตอน คือทาอยา่ งไร * 36. โครงงานวิทยาศาสตรเ์ รอ่ื ง “การสร้างเครื่อง ถอนขนไก่” เป็นโครงงานประเภทใด * ก. ศกึ ษาหาสถานท่ีที่จะประกวด ข. สอบถามเร่ืองท่จี ะทาจากอาจารยท์ ่ี ก. สารวจรวบรวมขอ้ มูล ข. สงิ่ ประดษิ ฐ์ ปรึกษา ค. ทฤษฎี ค. คิดหวั เรอื่ งท่จี ะทา ง. การทดลอง ง. เตรยี มสถานทีท่ ่จี ะทาโครงงาน

45 42. ในการจดั นทิ รรศการแสดงโครงงานน้ันควร 46. ความสาเรจ็ ของการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ คานงึ ถงึ สิง่ ใดมากที่สุด * ขึน้ อยกู่ ับข้อใด * ก. ความปลอดภัยและความเหมาะสมของ ก. ผลการทดลองทไี่ ด้ไม่จาเป็นต้องเปน็ ไป เนอ้ื หาท่ีจดั แสดง ตามความคาดหวงั ข. ดึงดดู ความสนใจผเู้ ข้าชม ข. ได้สงิ่ ประดิษฐท์ ส่ี วยงาม และมีราคาแพง ค. ใชต้ าราง และรูปภาพประกอบโดยจดั วาง ค. ผลการทดลองท่ไี ดต้ รงกบั ความคาดหวัง เหมาะสม เสมอ ง. ส่งิ ประดษิ ฐ์ควรอย่ใู นสภาพที่ทางานได้ ง. มคี วามปลอดภยั และใช้ต้นทุนสูง 47. ขอ้ ใดคือความสาคัญของการศึกษาเอกสารท่ี อย่างสมบูรณ์ เกย่ี วข้อง * 43. ขั้นตอนใดเป็นข้นั ตอนสุดทา้ ยในการทา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ * ก. ชว่ ยใหน้ กั เรียนไดแ้ นวความคิดท่ีจะ กาหนดขอบข่ายของเร่ืองทจี่ ะศกึ ษา ก. ศึกษาเอกสารทเี่ กีย่ วข้อง คน้ คว้าให้ เฉพาะเจาะจงมากข้นึ ข. การเขียนรายงาน ค. การแสดงผลงาน ข. ชว่ ยใหน้ กั เรียนได้เอกสารประกอบการทา ง. ขั้นตอนการคิดหัวข้อของโครงงาน รายงาน 44. ขั้นตอนท่ีสาคญั ท่ีสุดในการทาโครงงาน วิทยาศาสตรค์ ือข้นั ตอนใด * ค. ชว่ ยให้นักเรียนได้มแี หล่งความรทู้ ่จี ะ คน้ คว้า ก. การคิดหัวข้อเรอ่ื งท่จี าทาโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ ง. ช่วยให้นักเรียนไดร้ งู้ บประมาณ ข. การลงมอื ทาโครงงาน 48. การเขียนรายงานเก่ียวกับโครงงานทถี่ ูกต้อง ค. การจดั ทาเค้าโครงย่อของโครงงาน คอื ข้อใด * ง. การศึกษาเอกสารท่เี กี่ยวข้อง 45. ข้อใดเป็น การประเมนิ ผลของโครงงาน ก. การเขยี นรายงานควรใชภ้ าษาที่อา่ นเขา้ ใจ วิทยาศาสตร์ * ง่าย ชัดเจน ส้นั ๆ และตรงไปตรงมา ครอบคลุมหัวขอ้ ต่าง ๆ ก. การจดั แสดงโครงงาน ข. การเขียนรายงาน ข. การเขยี นรายงานควรรายงานอยา่ ง ค. การอภิปรายปากเปล่า ตรงไปตรงมา ง. ถูกทุกข้อ ค. การเขยี นรายงานควรใชต้ าราง และ รปู ภาพประกอบ ง. การเขยี นรายงานควรดงึ ดดู ความสนใจ ใช้ สที ี่สดใส และครอบคลมุ หวั ข้อต่าง ๆ

46 49. รายงานโครงงานวทิ ยาศาสตรแ์ บง่ ออกเป็น ส่วนใหญ่กี่ส่วน * ก. 4 ส่วน ข. 3 ส่วน ค. 2 ส่วน ง. 5 ส่วน 50. สว่ นท่ีเป็นเนือ้ หาโครงงานวิทยาศาสตร์แบ่ง ออกเป็นกบี่ ท * ก. 4 บท ข. 5 บท ค. 2 บท ง. 3 บท

46 บรรณำนุกรม กรมวิชาการ.(2545). คมู่ ือกำรจดั กำรเรียนร้กู ลมุ่ สำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์. กรงุ เทพ : โรงพมิ พ์องค์การ รบั สง่ สินคา้ และพสั ด.ุ ภิญญดา อยสู่ าราญ.(2548) โครงงำนวิทยำศำสตร.์ กรุงเทพ : เจรญิ รงุ่ เรอื งการพมิ พ์. ราศี สดดุ ี.แบบฝึกทกั ษะโครงงำนวทิ ยำศำสตรร์ ะดับช้นั มัธยมศึกษำปีที่ 2

กศน.ตำบลเขำชนกนั ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอแมว่ งก์ สงั กดั สานกั งาน กศน.จงั หวดั นครสวรรค์ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ …….


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook