ก คานา รายงานฉบับน้ีเป็นส่วนหนึ่งของวิชาคอมพิวเตอร์และการบารุงรักษาในระดับช้ัน ป.ว.ช.2โดยมีจดุ ประสงค์ เพอ่ื การศึกษาความร้ทู ่ไี ด้จากเรื่องวิวัฒนาการทางด้านการบารุงรักษาคอมพิวเตอร์ท้งั นี้ ในรายงานฉบบั นมี้ ีเน้ือหาซึ้งประกอบความรู้เก่ียวกับการดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ให้มีระยะเวลาการใชง้ านนานยิ่งข้นึ หากผดิ พลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ดว้ ย คณะผ้จู ัดทา 2560
สารบัญ ขเรอ่ื ง หน้าคานา กสารบญั ขความหมายของคอมพิวเตอร์ 1คณุ ลกั ษณะการทางานของคอมพิวเตอร์ 1องค์ประกอบในการทางานของคอมพวิ เตอร์ 2การแบ่งประเภทของคอมพวิ เตอร์ 4 ลกั ษณะการทางานของคอมพวิ เตอร์ 4 ขนาดของคอมพิวเตอร์ วตั ถปุ ระสงค์การทางานของคอมพิวเตอร์ 7กระบวนการทางานของคอมพิวเตอร์อปุ กรณ์ทท่ื างานตามโครงสรา้ งของคอมพวิ เตอร์ 8 ส่วนประกอบของคอมพวิ เตอร์ > สว่ นรบั ข้อมูล(Input Unit) 9 สว่ นประกอบของคอมพวิ เตอร์ >สว่ นประมวลผลขอ้ มูล (Central Processing Unit) 12 สว่ นประกอบของคอมพวิ เตอร์ > สว่ นแสดงผล (Output Unit) 14 สว่ นประกอบของคอมพวิ เตอร์ > หนว่ ยความจา (Memory Unit) 16วงจรการทางานของ CPU 17ประเภทของ printer และการใช้งาน 19ประเภทของจอภาพ และการใช้งาน 21ประเภทของคีย์บอร์ด และการใชง้ าน
1 ความหมายของคอมพิวเตอร์ (Computer) คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซ่ึงหมายถึง การนับ หรือ การคานวณดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้าง ๆ เครื่องคานวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็จดั เป็นคอมพิวเตอร์ได้ท้ังสิ้น ลูกคิดที่เคยใช้กันในร้านค้า ไม้บรรทัด คานวณ (slide rule) ซ่ึงถือเป็นเครื่องมอื ประจาตวั วิศวกรในยุคย่ีสบิ ปีกอ่ น หรอื เครอ่ื งคดิ เลข ลว้ นเปน็ คอมพวิ เตอรไ์ ด้ทั้งหมด ในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึงเครื่องคานวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทางานคานวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคาส่ังด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเน่ืองและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คาจากัดความของคอมพิวเตอรไ์ วค้ อ่ นข้างกะทัดรัดว่า เคร่ืองอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทาหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สาหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทงั้ ท่งี ่ายและซบั ซอ้ น โดยวธิ ีทางคณติ ศาสตร์ คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทางานแทนมนุษย์ ในด้านการคิด คานวณและสามารถจาข้อมูล ท้ังตัวเลข และ ตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในคร้ังต่อไปนอกจากนียังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังมคี วามสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับสง่ ขอ้ มูล การจดั เก็บขอ้ มูลในตวั เครอื่ งและสามารถประมวลผลจากขอ้ มลู ต่างๆ ได้ ท่มี าอา้ งอิง : http://www.thaiwbi.com คณุ ลักษณะการทางานของคอมพวิ เตอร์ ประโยชนข์ องคอมพวิ เตอร์ 1.จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ ทาให้ถูกนามาใช้ประโยชน์ต่อ การดาเนินชีวิตประจาวัน ในสังคมเป็นอย่างมาก ที่พบเห็นได้บ่อย ท่ีสุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซ่ึงเรียกว่างานประมวลผล (word processing )นอกจากนีย้ งั มีการประยุกตใ์ ชค้ อมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อกี หลายดา้ น ดังต่อไปนี้ 2.งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทาบัญชี งานประมวลคา และตดิ ตอ่ กบั หน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่กใ็ ชค้ อมพิวเตอรม์ า ช่วยในการควบคุมการผลิต และการประกอบช้ินส่วนของอุปกรณ์ตา่ งๆ เชน่ โรงงานประกอบรถยนต์ ซง่ึ ทาใหก้ าร ผลิตมคี ณุ ภาพดขี ึน้ บรษิ ัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ทีใ่ หบ้ รกิ ารถอนเงนิ ผา่ นตู้ฝากถอนเงินอัตโนมตั ิ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบ้ียให้กบั ผฝู้ ากเงิน และการโอนเงินระหวา่ งบญั ชี เชอื่ มโยงกันเป็นระบบเครือขา่ ย 3.งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนาคอมพิวเตอรม์ า ใช้ในนามาใช้ในส่วน ของการ คานวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสอู่ วกาศ หรอื งานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สาหรับการตรวจรกั ษาโรคได้ ซ่ึงจะให้ผลท่แี ม่นยากว่าการตรวจดว้ ยวิธเี คมีแบบเดิม และใหก้ ารรักษาไดร้ วดเร็วข้นึ
2 4.งานคมนาคมและส่ือสาร ในส่วนท่ีเกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ทนี่ ง่ั ซ่ึงมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทาให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสาร ก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพ่ือให้อยู่ในวงโคจร ซ่ึงจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณใหร้ ะบบการสื่อสารมคี วามชดั เจน 5.งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จาลองสภาวการณ์ ต่างๆ เชน่ การรับแรง สั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหวโดยคอมพวิ เตอร์จะคานวณ และแสดงภาพสถาน การณใ์ กล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและตดิ ตามความกา้ วหน้าของโครงการ ตา่ งๆ เช่น คนงาน เคร่ืองมอื ผลการทางาน 6.งานราชการ เปน็ หน่วยงานท่มี กี ารใช้คอมพิวเตอร์มากทสี่ ดุ โดยมกี ารใชห้ ลายรูปแบบ ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับบทบาท และหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผา่ นคอมพวิ เตอร์ , กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพ่อื เชอ่ื มโยงไปยงั สถาบนั ตา่ งๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเกบ็ ภาษี บนั ทกึ การเสยี ภาษี เป็นตน้ 7. การศึกษา ไดแ้ ก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนาคอมพิวเตอร์มา ชว่ ยการสอนในลักษณะ บทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซ่ึงทาให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรยี น การเกบ็ ข้อมูลยมื และการสง่ คนื หนังสือห้องสมุด ท่ีมาอ้างอิง : thttp://web.ku.ac.th/schoolnet/ องค์ประกอบของคอมพวิ เตอร์ 1.ฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม)7 เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เคร่ืองพิมพ์ เมาส์เป็นตน้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทางาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล(Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยแสดงผล (OutputUnit) หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าท่ีการทางานแตกตา่ งกัน ดงั ภาพ 2. ซอฟท์แวร์ หมายถึง ส่วนท่ีมนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคาสัง่ ท่ถี กู เขียนข้นึ เพอื่ สงั่ ใหเ้ คร่ือง คอมพวิ เตอร์ทางาน ซอฟตแ์ วร์จงึ เป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เรา ก็ไม่สามารถใช้เคร่ืองคอมพิวเตอรท์ าอะไรไดเ้ ลย ซอฟตแ์ วร์สาหรบั เครือ่ งคอมพวิ เตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2.1 ซอฟต์แวร์สาหรับระบบ (System Software) คือ ชุดของคาส่ังที่เขียนไว้เป็นคาสั่งสาเร็จรปู ซ่ึงจะทางานใกล้ชิดกับคอมพวิ เตอร์มากที่สดุ เพ่ือคอยควบคุมการ ทางาน ของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง และอานวยความสะดวกใหก้ ับผูใ้ ชใ้ นการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือDOS, Windows, Unix, Linux รวมท้ังโปรแกรมแปลคาสั่งท่ีเขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา
3Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมท่ีใช้ในการตรวจสอบระบบเช่นNorton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสาหรบั ระบบด้วยเช่นกนั 2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมท่ีนามาให้คอมพิวเตอร์ทางานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บ ข้อมูล เป็นต้นซอฟต์แวร์ประยกุ ตส์ ามารถจาแนกได้เป็น 2 ประเภท คอื 2.1.1 ซอฟต์แวรส์ าหรับงานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซง่ึ เขยี นขนึ้ เพ่ือการทางานเฉพาะอย่างท่ีเราต้องการ บางท่ีเรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมการทาบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่าซื้อ โปรแกรมการทาสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละ โปรแกรม ก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอรม์ แตกตา่ งกันออกไปตามความตอ้ งการ หรอื กฏเกณฑ์ของ แต่ละหน่วยงาน ท่ีใช้ ซ่ึงสามารถดดั แปลงแก้ไขเพิม่ เตมิ (Modifications) ในบางสว่ นของโปรแกรมได้ เพอ่ื ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และ ซอฟต์แวร์ประยุกตท์ ี่เขียน ขน้ึ น้ีโดยสว่ นใหญ่มกั ใชภ้ าษาระดับสงู เปน็ ตัวพฒั นา 2.1.2 ซอฟต์แวรส์ าหรบั งานท่ัวไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทาไว้ เพื่อใช้ในการทางานประเภทตา่ งๆ ทั่วไป โดย ผ้ใู ช้คนอื่นๆ สามารถนาโปรแกรมนีไ้ ปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไมส่ ามารถทาการดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จา เป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นการประหยดั เวลา แรงงาน และคา่ ใช้จา่ ยในการเขียนโปรแกรม นอกจากน้ี ยังไม่ต้อง เวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซ่งึ โปรแกรมสาเรจ็ รูปน้ี มกั จะมีการใชง้ านในหน่วยงานเรา ขาดบุคลากร ท่ีมีความชานาญเป็นพิเศษ ในการเขียนโปรแกรม ดังน้ัน การใช้โปรแกรมสาเร็จรูปจึงเป็นสิ่งท่ีอานวยความสะดวกและเป็นประโยชน์อย่างย่ิง ตัวอย่างโปรแกรม สาเร็จรูปท่ีนิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, AdobePhotoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมสต์ ่างๆ เปน็ ต้น 3.บุคลากร(people ware) หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซ่ึงมีความรู้เกี่ยวกับคอมพวิ เตอร์ สามารถใช้งาน สัง่ งานเพ่ือ ให้คอมพิวเตอร์ทางาน ตามที่ต้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับดังน้ี 3.1 ผู้จดั การระบบ (System Manager) คือ ผูว้ างนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเปา้ หมายของหน่วยงาน 3.2 นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทาการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงา น เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้ท่ีเขียนโปรแกรมใหก้ บั ระบบงาน 3.3 โปรแกรมเมอร์ (Programmer) คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเคร่ืองคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทางานตามความตอ้ งการของผ้ใู ช้ โดยเขยี นตาม แผนผงั ทน่ี ักวิเคราะห์ ระบบไดเ้ ขยี นไว้ 3.4 ผู้ใช้ (User) คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ท่ัวไป ซ่ึงต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพ่ือให้โปรแกรม ที่มีอยู่สามารถทางานได้ตามท่ีต้องการเนื่องจากเป็นผู้กาหนดโปรแกรมและใช้งานเคร่ืองคอมพิวเตอร์ มนุษย์จึงเป็น ตัวแปรสาคัญในอันที่จะทาให้ผลลัพธ์มีความน่าเช่ือถือ เนื่องจากคาส่ังและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ได้รับจากการ กาหนดของมนุษย์(Peopleware) ทัง้ ส้ิน
4 4. ข้อมูล(data) ข้อมูลเปน็ องค์ประกอบท่สี าคัญอยา่ งหนึง่ ในระบบคอมพวิ เตอร์ เปน็ ส่ิงท่ีต้องป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ พรอ้ มกับ โปรแกรมที่นักคอมพิวเตอร์เขียน ข้ึนเพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา ขอ้ มลู ทส่ี ามารถนามาใชก้ บั คอมพิวเตอร์ได้ มี 5 ประเภท คือ ข้อมูลตัวเลข (Numeric Data)ข้อมูลตัวอักษร (Text Data) ข้อมูลเสียง (Audio Data) ข้อมูลภาพ (Images Data) และข้อมูลภาพเคลื่อนไหว (Video Data) ทม่ี าอ้างอิง : http://srcom608.weebly.com การแบง่ ประเภทของคอมพวิ เตอร์ ลกั ษณะการทางานของคอมพวิ เตอร์ การทางานของคอมพิวเตอร์ ก็เหมือนกับสมองของคนเรา คือ รับข้อมูลมา แล้วนาข้อมูลไปประมวลผล หลงั จากนั้นก็จะแสดงผลออกมา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าทุกส่วนนั้นมีการทางานท่ีสัมพันธ์กันเปน็ กระบวนการ โดยจะมีองค์ประกอบพ้นื ฐานหลกั กค็ อื Input Process และ Output ซ่งึ มีขน้ั ตอนการทางานดงั นี้ ขั้นตอนที่ 1 : การรับข้อมูลและคาสั่ง (Input)คอมพิวเตอร์จะรับข้อมูลและคาสั่งเข้าเครื่องผา่ นทางอปุ กรณ์ชนิดตา่ งๆ ซ่งึ ขึน้ อย่กู ับชนดิ ของขอ้ มลู ทจี่ ะป้อนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใชแ้ ปน้ พิมพ์ (Keyboard) เพอ่ื พิมพข์ อ้ ความหรือโปรแกรมเข้าเครอ่ื ง แต่ถา้ เปน็ การสแกนรูปภาพหรือขอ้ ความเข้าไปไว้ในเคร่ืองก็จะใช้สแกนเนอร์ (Scanner) หรือถ้าเป็นการเล่นเกมส์ก็จะมีก้านควบคุม(Joystick) สาหรบั เคลอื่ นตาแหนง่ ของการเลน่ บนจอภาพ เป็นตน้ ข้ันตอนท่ี 2 : การประมวลข้อมูล (Process)หลังจากนาข้อมูลเข้ามาแล้วนั้น เคร่ืองก็จะนาขอ้ มูลหรือคาสง่ั ไปประมวลผล เพื่อให้ได้ผลลพั ธต์ ามทีต่ อ้ งการ ขั้นตอนที่ 3 : การแสดงผลลัพธ์ (Output)เป็นการนาผลลัพธ์ท่ีได้จากการประมวลผลมาแสดงผลให้ทราบ ซึ่งโดยท่ัวไปจะแสดงผลผ่านทางจอภาพ (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครือ่ งพมิ พ์ (Printer)เปน็ ตน้ ท่มี าอ้างองิ : www.courseware.kbu.ac.th ขานของคอมพิวเตอร์ ประเภทของคอมพวิ เตอร์แบง่ ตามลักษณะของข้อมลู ได้ 3 ประเภท คอื 1. อนาลอกคอมพิวเตอร์ (Analog Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีสร้างข้ึนเป็นพิเศษเพอ่ื ใช้กบั งานเฉพาะด้าน มีการทางานโดยใช้หลักในการวัด มีลักษณะเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีแยกสว่ นทาหน้าที่เปน็ ตัวกระทาและฟังกช์ ันทางคณิตศาสตร์ โดยใช้ค่าระดับแรงดันไฟฟ้าเป็นหลักในการคานวณ และการรับข้อมูลจะรับในลักษณะของปริมาณที่มีค่าต่อเน่ือง ส่วนการรับข้อมูลสามารถรับข้อมูลได้โดยตรงจากแหล่งเกิดข้อมูล แล้วแสดงผลออกมาทางจอภาพ หรืออ่านค่าได้จากเครื่องวัดและแทนค่าเป็นอุณหภูมิ ความเร็ว หรือความดัน มีความละเอียดและสามารถคานวณได้น้อยกว่าดิจิทัลคอมพวิ เตอร์ ไมส่ ามารถเกบ็ ขอ้ มูลได้เป็นจานวนมากเหมอื นกับดิจทิ ลั คอมพวิ เตอร์ ไดแ้ ก่ เครื่องท่ใี ชว้ ดั ปรมิ าณทางฟิสิกส์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาในรูปของกราฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตรวจสภาพ
5อากาศ และท่ใี ชใ้ นวงการแพทย์ เชน่ เคร่อื งตรวจวัดสายตา ตรวจวัดคลื่นสมองและการเต้นของหัวใจเปน็ ตน้ 2. ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (Digital Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีทางานโดยใช้หลักในการคานวณแบบลกู คดิ หรอื หลกั การนับ และทางานกับข้อมลู แบบไม่ต่อเน่ือง ลักษณะการคานวณจะแปลงเลขเลขฐานสิบก่อน แล้วจึงประมวลผลด้วยระบบเลขฐานสอง แล้วให้ผลลัพธ์ออกมาอยู่ในรูปของตวั เลข ซึ่งคอมพิวเตอร์จะแปลงเป็นเลขฐานสิบเพ่ือแสดงให้ผู้ใช้เข้าใจง่าย มีความสามารถในการคานวณและมีความแม่นยามากกว่าอนาลอกคอมพิวเตอร์ สามารถเกบ็ ขอ้ มูลไดเ้ ป็นจานวนมากจึงต้องใชส้ ือ่ ในการบนั ทึกข้อมลู เช่น จานแม่เหล็ก และเทปแม่เหล็ก เป็นต้น เนื่องจากดิจิทัลคอมพิวเตอร์มีอปุ กรณช์ ้ินสว่ นต่าง ๆ เป็นมาตรฐานเดยี วกนั และใช้กับงานได้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทาให้ดิจิทัลคอมพิวเตอร์มกี ารพฒั นาให้สามารถทางานไดเ้ หมาะสมกบั สภาพงานท่วั ไป เช่น งานพิมพ์เอกสาร งานคานวณ งานวิจยั เปรยี บเทยี บคา่ ทางสถติ ิ งานบนั ทกึ นดั หมาย งานส่งข้อความในรูปเอกสาร ภาพและเสยี ง ตลอดจนงานกราฟกิ เพอื่ นาเสนอในรปู แบบต่าง ๆ เปน็ ตน้ 3. ไฮบรดิ คอมพิวเตอร์ (Hybrid Computer) เปน็ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีใช้กับงานเฉพาะด้านมีประสิทธิภาพสูงและสามารถทางานท่ีซับซ้อนได้ เน่ืองจากการนาเทคนิคการทางานของอนาลอกคอมพวิ เตอร์และดิจิทลั คอมพิวเตอรม์ าใช้งานรว่ มกนั เช่น การส่งยานอวกาศขององค์การนาซา จะใช้เทคนิคของอนาลอกคอมพิวเตอร์ในการควบคุมการหมุนของตัวยานอวกาศ ซ่ึงเกี่ยวข้องกับความกดดันอากาศ อุณหภูมิ ความเร็ว และใช้เทคนิคของดิจิทัลคอมพิวเตอร์ในการคานวณระยะทางจากพ้ืนผวิ โลก เปน็ ตน้ประเภทของคอมพวิ เตอร์แบง่ ตามสมรรถนะ ขนาดและราคา ได้ 5 ประเภท คือ 1. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุด รุ่นแรกสร้างในปี ค.ศ. 1960 ที่องค์การทหารของสหรัฐอเมริกา สร้างสามารถประมวลผลได้กว่า 100 ล้านคาสั่งต่อวินาที จึงทาให้ทางานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง มีราคาแพงที่สุด เป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ทีเ่ หมาะกับงานคานวณทต่ี ้องคานวณตัวเลขจานวนมหาศาล ใหเ้ สรจ็ ภายในระยะเวลาอันสั้น โดยตอ้ งอยใู่ นห้องที่มกี ารควบคุมอุณหภูมแิ ละปราศจากฝุ่นละออง มักใช้กับองค์กรท่ีมีขนาดใหญ่เทา่ นั้น เน่อื งจากสามารถรองรับการใช้งานของผใู้ ช้จานวนมากพรอ้ ม ๆ กนั ได้ เรียกว่า มลั ติโปรเซสซ่ิง(Multiprocessing) อันเป็นการใช้หน่วยประมวลผลหลายตัว เพ่ือให้คอมพิวเตอร์สามารถทางานหลายงานพร้อม ๆ กันได้ จึงนิยมใช้กับงานท่ีการคานวณท่ีซับซ้อน เช่น การพยากรณ์อากาศ การทดสอบทางอวกาศ การคานวณทางวิทยาศาสตร์ การบิน อุตสาหกรรมน้ามัน ตลอดจนการวิจัยในห้องปฏิบัตกิ าร ท้ังของภาครฐั บาลและเอกชน เปน็ ต้น ซเู ปอรค์ อมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีในปัจจุบันได้แก่Cray Supercomputer 2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) เป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่มีความเร็วในการประมวลผลสูงรองลงมาจากซเู ปอรค์ อมพิวเตอร์ ต้องอยู่ในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิและปราศจากฝุ่นละออง และได้รับการพัฒนาให้มีหน่วยประมวลผลหลายหน่วยทางานพร้อม ๆ กันเช่นเดยี วกับซเู ปอร์คอมพวิ เตอร์ แต่มจี านวนหนว่ ยประมวลผลทีน่ อ้ ยกวา่ จึงทาใหส้ ามารถประมวลผลคาส่ังได้หลายสิบล้านคาส่ังต่อวินาที ระบบคอมพิวเตอร์ของเครื่องเมนเฟรมส่วนมากจะมีระบบ
6คอมพวิ เตอร์ยอ่ ย ๆ ประกอบอยดู่ ้วย เพอื่ ชว่ ยในการทางานบางประเภทให้กับเคร่ืองหลัก มีราคาแพงมาก (แตน่ ้อยกว่าซเู ปอรค์ อมพิวเตอร์) เหมาะกับงานที่มีข้อมูลที่มีปริมาณมากต้องประมวลผลพร้อมกันโดยผู้ใช้นับพันคน (Multi-user) ใช้กับองค์กรใหญ่ ๆ ทั่วไป เช่น งานด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์วิทยาศาสตร์ การควบคุมระบบเครือข่าย งานพัฒนาระบบ งานด้านธุรกิจ ธนาคาร งานสามะโนประชากร งานสายการบิน งานประกันชวี ติ และมหาวทิ ยาลัย เปน็ ต้น 3. มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดกลางที่มีประสิทธิภาพในการทางานน้อยกวา่ เมนเฟรม แต่สงู กวา่ ไมโครคอมพิวเตอร์ สามารถรองรับการทางานจากผู้ใชห้ ลายร้อยคน (Multi-user) ในการทางานท่ีแตกต่างกัน (Multi Programming) เช่นเดียวกับเคร่ืองเมนเฟรม แต่สง่ิ ท่แี ตกต่างกันระหว่างเคร่ืองเมนเฟรมและเคร่ืองมินิคอมพิวเตอร์ คือ ความเร็วในการทางาน เน่อื งจากมนิ ิคอมพิวเตอร์ทางานได้ชา้ กว่า และควบคุมผู้ใช้งานต่าง ๆ ในจานวนที่น้อยกวา่ รวมทงั้ ส่ือท่ีเก็บข้อมูลมีความจุน้อยกว่าเมนเฟรม จึงเหมาะกับองค์กรขนาดกลาง เพราะมีราคาถูกกว่าเคร่ืองเมนเฟรมมาก ทางานเฉพาะด้าน เช่น การคานวณทางด้านวิศวกรรม การจองห้องพักของโรงแรม การทางานดา้ นบัญชขี ององค์การธรุ กจิ เปน็ ต้น ในสถานศึกษาต่าง ๆ และบางหน่วยงานของรฐั นยิ มใชค้ อมพิวเตอร์ประเภทนี้ 4. เวริ ค์ สเตชันคอมพวิ เตอร์ (Workstation Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบต้ังโต๊ะที่สนับสนุนการทางานของคอมพิวเตอร์เครือข่าย ซ่ึงใช้ในการจัดสรรและใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่นแฟ้มข้อมูลโปรแกรมประยุกต์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น เคร่ืองพิมพ์และอุปกรณ์อื่น ๆ โดยการเชอ่ื มโยงกับเทอรม์ นิ ัล (Terminal) หลาย ๆ เคร่ือง อีกท้ังได้ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถในการคานวณด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม หรืองานอื่น ๆ ที่เน้นการแสดงผลด้านกราฟิก เช่น การนามาชว่ ยออกแบบภาพกราฟกิ ที่มคี วามละเอยี ดสูง ทาใหเ้ วริ ์คสเตชันใช้หน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงและมีหน่วยเก็บข้อมูลสารองจานวนมากด้วย ผู้ใช้บางกลุ่มจะเรียกเครื่องระดับเวิร์คสเตชันน้ีว่าซูเปอร์ไมโคร (Supermicro) เพราะถูกออกแบบให้ใช้งานแบบต้ังโต๊ะ แต่ชิปท่ีใช้ทางานนั้นแตกต่างกันมาก เนื่องจากเวิร์คสเตชันส่วนมากใช้ชิปที่ลดจานวนคาสั่งที่สามารถใช้ส่ังงานให้เหลือเฉพาะที่จาเปน็ เพอ่ื ให้สามารถทางานได้ดว้ ยความเร็วสูง 5. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ราคาถูกสามารถเรยี กไดอ้ กี อย่างหนึง่ ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer หรือ PC) เราสามารถแบ่งคอมพวิ เตอร์สว่ นบคุ คล ได้ดังนี้ คอมพวิ เตอรแ์ บบต้งั โตะ๊ (Desktop Computer) เปน็ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ราคาถูกสามารถเรียกได้อีกอย่างหน่ึงว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer หรือ PC) มีการพัฒนาข้ึนในปี ค.ศ. 1975 ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอันมาก เมื่อ IBM ได้สร้างเครื่อง IBM PCออกมา ซึง่ ความแตกต่างระหว่างเวิร์คสเตชันคอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์ได้ลดน้อยลงเรื่อยๆ เน่ืองจากเคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์ระดับสูงในปัจจุบันมีประสิทธิภาพ และมีความเร็วในการแสดงผลท่ีดีกว่าเวิร์คสเตชันคอมพิวเตอร์มาก สามารถใช้งานโดยใช้คนเดียว (Stand-alone) หรือเชือ่ มต่อเป็นเครือข่ายเพ่ือตดิ ต่อสอื่ สารกับคอมพิวเตอร์เครอื่ งอ่นื ได้ จากการทเี่ ทคโนโลยีท่ีก้าวนาสมัยทาให้ PC สามารถเชอ่ื มโยงเข้ากับระบบเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตตดิ ตอ่ ส่อื สารกับคนอื่นได้ทั่วโลก เหมาะกับงานท่ัวไป เช่น การประมวลผลคา (Word Processing) การคานวณ (Spreadsheet) การบัญชี
7(Accounting) จัดทาสิ่งพิมพ์ (Desktop Publishing) และงานที่เก่ียวข้องกับฐานข้อมูล เป็นต้น เราสามารถแบง่ คอมพวิ เตอร์สว่ นบคุ คล ไดด้ ังน้ี โน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (Notebook Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก มี น้าหนักเบาประมาณ 2-4 กิโลกรัม และบางกว่าแบบตั้งโต๊ะ สามารถพกพาไปยังสถานท่ีต่าง ๆ ได้สะดวก โดยมีหน้าจอและคีย์บอร์ดติดกัน ส่วนเม้าส์ (Mouse) และลาโพงจะอยู่ติดกับตัวเคร่ือง โดยสามารถหาอุปกรณ์ดงั กล่าวติดต้ังภายนอกเพ่ิมเติมก็ได้ มีเคร่ืองอ่านแผ่นดิสก์ (Floppy Disk Drive) และเครื่องอา่ นแผน่ ซดี รี อม (CD-ROM drive) และพัฒนาให้มขี นาดเลก็ กว่าเดมิ สามารถวางบนตักได้ ท่มี าอา้ งองิ : https://sites.google.com วงจรการทางานของคอมพวิ เตอร์ ในการทางานของคอมพวิ เตอร์ จะมีขั้นตอนการทางานพื้นฐาน 4 ขั้นตอน ซ่ึงประกอบด้วยการรับข้อมูล การประมวลผล การแสดงผล และการจัดเก็บข้อมูล หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า IPOS cycle(Input Process Output Storage cycle) 1. รับข้อมูล (Input) คอมพิวเตอร์จะทาหน้าที่รับข้อมูลเพ่ือนาไปประมวลผล อุปกรณ์ที่ทาหนา้ ทีน่ ยิ มใชใ้ นปัจจุบนั ไดแ้ ก่ แปน้ พิมพ์ (Keyboard) และเมาส์ (mouse) เป็นต้น 2. ประมวลผล (Process) เม่ือคอมพิวเตอร์รับข้อมูลเข้าสู่ระบบแล้ว จะทาการประมวลผลตามโปรแกรมหรอื คาสง่ั ท่ีกาหนด เชน่ การคานวณภาษี การคานวณเกรดเฉล่ยี เปน็ ตน้
8 3. แสดงผล (Output) คอมพิวเตอร์จะแสดงผลลัพธ์ท่ีได้จากการประมวลผลไปยังหน่วยแสดงผล อุปกรณ์ทาหน้าที่แสดงผลท่ีใช้แพร่หลายในปัจจุบัน ได้แก่ จอภาพ (Monitor) และเครอ่ื งพิมพ์ (Printer) เป็นต้น 4. จัดเกบ็ ขอ้ มูล (Storage) คอมพิวเตอร์จะทาการจดั เก็บขอ้ มลู ลงในอุปกรณ์เก็บข้อมูล เช่นฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) แผน่ ฟลอ็ ปป้ดี ิสก์ (Floppy disk) เป็นต้น ที่มาอ้างอิง : http://comedu.nstru.ac.th อปุ กรณ์ท่ที างานตามโครงสร้างส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ > ส่วนรบั ขอ้ มูล(Input Unit)หนว่ ยรบั ขอ้ มูล (Input Unit) ทาหน้าทรี่ บั ข้อมูลจากผูใ้ ชเ้ ขา้ ส่หู นว่ ยความจาหลัก ปัจจุบนั มสี อ่ื ต่าง ๆ ให้เลือกใช้ได้มากมายแบ่งเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ไดด้ งั นี้ อปุ กรณแ์ บบกด (Keyed Device) เช่น แป้นพิมพ์ (Keyboard) แบง่ เปน็ 4 กล่มุ ด้วยกันคือ- แปน้ อักขระ (Character Keys)- แป้นควบคมุ (Control Keys)- แปน้ ฟังกช์ นั (Function Keys)- แปน้ ตัวเลข (Numeric Keys)
9 อุปกรณ์ชตี้ าแหน่ง (Pointing Device) เชน่ เมาส์ (Mouse) ลกู กลมควบคมุ (Track ball) แท่งชี้ควบคมุ (Track Point) แผ่นรองสัมผสั (Touch Pad) จอยสตกิ (Joy stick) เปน็ ตน้ จอภาพระบบไวต่อการสัมผัส (Touch-Sensitive Screen) เช่น จอภาพระบบสัมผัส (Touchscreen) ระบบปากกา (Pen-Based System) เช่น ปากกาแสง (Light pen) เคร่ืองอ่านพิกัด (Digitizingtablet) อุปกรณ์กวาดข้อมูล (Data Scanning Device) เช่น เอ็มไอซีอาร์ (Magnetic Ink CharacterRecognition - MICR) เครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ด (Bar Code Reader) สแกนเนอร์ (Scanner) เครื่องรู้จาอักขระด้วยแสง (Optical Character Recognition - OCR) เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง(Option Mark Reader -OMR) กล้องถ่ายภาพดิจิตอล (Digital Camera) กล้องถ่ายทอดวีดีโอดิจติ อล (Digital Video)
10 อุปกรณ์รู้จาเสียง (Voice Recognition Device) เช่น อุปกรณ์วิเคราะห์เสียงพูด (SpeechRecognition Device) ท่มี าอ้างองิ : http://www.bpic.ac.th/ สว่ นประกอบของคอมพวิ เตอร์ >ส่วนประมวลผลข้อมลู (Central Processing Unit)หน่วยประมวลผลกลาง(central processing unit) หรือท่ีนยิ มเรยี กสนั้ ๆ ว่า ซพี ยี ู (CPU) เปน็ วงจรอิเลคทรอนิคทีท่ างาน หรอื ประมวลผล ตามชุดของคาส่ังเครื่องจากซอฟต์แวร์ คาน้ีเร่มิ ใชใ้ นอุตสาหกรรมคอมพวิ เตอร์ตง้ั แต่ต้นศตวรรษ 1960s หน่วยประมวลผลเปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ในการทาหน้าท่ีตัดสินใจหรือคานวณ จากคาสงั่ ทไ่ี ด้รับมา เชน่ การเปรยี บเทียบ การกระทาการทางคณติ ศาสตร์ ฯลฯ โดยมีกระบวนการพน้ื ฐานคือ 1. อ่านชุดคาส่ัง (fetch) Fetch - การอ่านชุดคาส่ังข้ึนมา 1 คาส่ังจากโปรแกรม ในรูปของระหสั เลขฐานสอง (Binary Code from on-off of BIT) 2. ตีความชุดคาสั่ง (decode) Decode - การตีความ 1 คาสั่งนั้นด้วยวงจรถอดรหัส(Decoder circuit) ตามจานวนหลัก (BIT) วา่ รหัสนีจ้ ะให้วงจรอน่ื ใดทางานด้วยขอ้ มูลที่ใด 3. ประมวลผลชุดคาส่ัง (execute) Execute - การทางานตาม 1 คาสั่งน้ัน คือ วงจรใดในไมโครโปรเซสเซอรท์ างาน เชน่ วงจรบวก วงจรลบ วงจรเปรียบเทียบ วงจรย้ายข้อมลู ฯลฯ 4. อา่ นขอ้ มูลจากหน่วยความจา (memory) Memory - การตดิ ตอ่ กับหน่วยความจา การใช้ขอ้ มูท่อี ยใู่ นหนว่ ยจาชวั่ คราว (RAM, Register) มาใชใ้ นคาสง่ั น้นั โดยอา้ งทีอ่ ยู่ (Address) 5. เขียนข้อมูล/ส่งผลการประมวลกลับ (write back) Write Back - การเขียนข้อมูลกลับโดยมหี นว่ ยจา Register ชว่ ยเก็บทีอ่ ยู่ของคาสง่ั ต่อไป ภายหลงั มคี าสั่งกระโดดบวกลบทอี่ ยู่ โปรเซสเซอร์ (Processor) หรอื ชปิ (chip)
11 นับเป็นอุปกรณ์ ท่ีมีความสาคัญมากที่สุด ของฮาร์ดแวร์เพราะมีหน้าท่ีในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อน เข้ามาทางอุปกรณ์อินพุต ตามชุดคาส่ังหรือโปรแกรมท่ีผู้ใช้ต้องการใช้งาน หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบดว้ ยส่วนประสาคญั 3 สว่ น คือ 1. หนว่ ยคานวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU) หนว่ ยคานวณตรรกะ ทาหน้าท่เี หมือนกับเครื่องคานวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยทางานเก่ียวข้องกับ การคานวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร นอกจากนี้หน่วยคานวณและตรรกะของคอมพิวเตอร์ ยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เครื่องคานวณธรรมดาไม่มี คือความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบตามเง่ือนไข และกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพ่ือให้ได้คาตอบออกมาว่าเงื่อนไข นั้นเป็น จริง หรือ เท็จ เช่นเปรียบเทยี บมากว่า นอ้ ยกว่า เท่ากัน ไม่เท่ากัน ของจานวน 2 จานวน เป็นต้น ซึ่งการเปรียบเทียบน้ีมักจะใช้ในการเลือกทางานของเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ จะทาตามคาสงั่ ใดของโปรแกรมเป็น คาสั่งต่อไป 2. หนว่ ยควบคุม (Control Unit) หนว่ ยควบคมุ ทาหนา้ ทคี่ วบคุมลาดับข้นั ตอนการการประมวลผลและการทางานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายใน หน่วยประมวลผลกลาง และรวมไปถึงการประสานงานในการทางานร่วมกันระหว่างหนว่ ยประมวลผลกลาง กับอุปกรณ์นาเขา้ ขอ้ มูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจาสารองด้วย เม่ือผู้ใช้ต้องการประมวลผล ตามชุดคาส่ังใด ผู้ใช้จะต้องส่งข้อมูลและชุดคาส่ังนั้น ๆ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เสียก่อน โดยข้อมูล และชุดคาส่ังดังกล่าวจะถูกนาไปเก็บไว้ในหน่วยความจาหลักก่อนจากนั้นหน่วยควบคุมจะดึงคาสั่งจาก ชุดคาสั่งที่มีอยู่ในหน่วยความจาหลักออกมาทีละคาสั่งเพื่อทาการแปล ความหมายว่าคาส่ังดังกล่าวสั่งให้ ฮาร์ดแวร์ส่วนใด ทางานอะไรกับข้อมูลตัวใด เม่ือทราบความหมายของ คาส่ังน้นั แล้ว หน่วยควบคุมกจ็ ะส่ง สญั ญาณคาสัง่ ไปยังฮาร์ดแวร์ ส่วนที่ทาหน้าที่ ในการประมวลผลดงั กล่าว ใหท้ าตามคาสงั่ น้นั ๆ เชน่ ถ้าคาส่ัง ทเี่ ข้ามานน้ั เปน็ คาสง่ั เกี่ยวกับการคานวณหนว่ ยควบคมุ จะส่งสญั ญาณ คาสง่ั ไปยังหน่วยคานวณและตรรกะ ใหท้ างาน หนว่ ยคานวณและตรรกะก็จะไปทาการดึงข้อมูลจาก หน่วยความจาหลักเข้ามาประมวลผล ตามคาสั่งแล้วนาผลลัพธ์ที่ได้ไปแสดงยังอุปกรณ์แสดงผล หน่วยควบคุมจึงจะส่งสัญญาณคาสั่งไปยัง อุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ ที่กาหนดให้ดึงขอ้ มลู จากหน่วยความจาหลัก ออกไปแสดงใหเ้ หน็ ผลลัพธ์ดังกล่าว อีกต่อหนงึ่ 3. หนว่ ยความจาหลกั (Main Memory) คอมพวิ เตอร์จะสามารถทางานไดเ้ มื่อมีข้อมลู และชุดคาสัง่ ทใ่ี ชใ้ นการประมวลผลอยู่ในหน่วยความ จาหลักเรียบร้อยแลว้ เทา่ นั้น และหลักจากทาการประมวลผลข้อมูลตามชุดคาสั่งเรียบร้อยแล้วผลลพั ธ์ทีไ่ ด้ จะถูกนาไปเก็บไว้ท่หี นว่ ยความจาหลัก และก่อนจะถกู นาออกไปแสดงท่อี ปุ กรณแ์ สดงผล ทมี่ าอ้างอิง : http://www.bpic.ac.th
12ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ > สว่ นแสดงผล (Output Unit)หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทาหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์ โดยมากจะแบ่งออกเป็น 2ประเภท 1. หน่วยแสดงผลช่ัวคราว (Soft Copy) หมายถึงการแสดงผลออกมาให้ผู้ใช้ได้รับทราบใน ขณะนั้น แต่เมื่อเลิกการทางานหรือเลิกใช้แล้วผลน้ันก็จะหายไป ไม่เหลือเป็นวัตถุให้เก็บได้ ถา้ ตอ้ งการเก็บผลลัพธ์น้ันก็สามารถส่งถ่ายไปเก็บในรูปของข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสารอง เพื่อใหส้ ามารถใชง้ านได้ในภายหลัง ได้แก่จอภาพ (Monitor)อปุ กรณฉ์ ายภาพ (Projector)
13อปุ กรณ์เสยี ง (Audio Output) 2. หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy) หมายถึงการแสดงผลที่สามารถจับต้อง และ เคล่ือนยา้ ยได้ตามตอ้ งการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ ซ่ึงผู้ใช้สามารถนาไปใช้ในท่ีต่าง ๆ หรอื ให้ผู้ร่วมงานดใู นทใี่ ด ๆ ก็ได้ อปุ กรณ์ที่ใชเ้ ชน่เครอ่ื งพมิ พ์ (Printer)เครอ่ื งพลอตเตอร์ (Plotter) ที่มาอ้างอิง : http://www.bpic.ac.th
14 ส่วนประกอบของคอมพวิ เตอร์ > หน่วยความจา (Memory Unit)หน่วยความจาหลกั (Main Memory Unit) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจาข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ท่ีอยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจเรยี กว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลกั (Primary storage)สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื 1. หนว่ ยความจาหลกั แบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM)เป็นหน่วยความจาแบบสารก่ึงตัวนาชั่วคราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็นสื่อบันทึกในคอมพิวเตอร์เพราะไมส่ ามารถบันทกึ ซา้ ได้ (อยา่ งง่ายๆ) เปน็ ความจาทซี่ อฟต์แวรห์ รอื ข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมท่ีจะนามาต่อกับไมโครโพรเซสเซอรไ์ ด้โดยตรง หน่วยความจาประเภทนี้แม้ไมม่ ีไฟเลย้ี งตอ่ อยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากน่วยความจา (nonvolatile)โดยท่วั ไปจะใช้เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีการแก้ไขอีกแล้วเช่น เก็บโปรแกรมไบออส (Basic Input outputSystem : BIOS) หรือเฟิร์มแวร์ท่ีควบคุมการทางานของคอมพิวเตอร์ใช้เก็บโปรแกรมการทางานสาหรับเครื่องคิดเลขใช้เก็บโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ท่ีทางานเฉพาะด้าน เช่น ในรถยนต์ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอรค์ วบคมุ วงจร ควบคุมในเครื่องซกั ผา้ เปน็ ต้น 2. หนว่ ยความจาหลกั แบบแกไ้ ขได้ (Random Access Memory - RAM)เป็นหน่วยความจาหลัก ทใี่ ชใ้ นระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจาชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตาแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากส่ือเก็บข้อมูลชนิดอ่นื ๆ อยา่ งเทป หรอื ดสิ ก์ ที่มีข้อจากัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ท่ีต้องทาตามลาดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในส่ือ หรือมีข้อกาจัดแบบรอม ท่ีอนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว ข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กาลังทางาน หรือข้อมูลท่ีใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมท่ีกาลังทางานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เน่ืองจากหน่วยความจาชนิดนี้ จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาทม่ี ีกระแสไฟฟ้าหล่อเลีย้ งเทา่ นนั้
15internal storge หรอื เป็นหน่วยเกบ็ ขอ้ มูลและโปรแกรมชวั่ คราว( temporary storage) เมื่อปิดเคื่รองคอมพิวเตอร์ข้อมูลหรือโปรเเกรมทุกอย่าง ท่ีเก็บในแรมจะหายไป เนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลีย้ ง หนว่ ยเก็บข้อมูลประเภทนี้จึงเรียกว่า volatile ดังนั้นจัดเก็บข้อมูลอย่างถาวร ไว้ใช้งานในภายหลงั จึงจาเปน็ จะตอง้ มีหนว่ ยเก็บเขอ้ มูลภายนอกที่เรียกว่า external storage หรือ secondarystorage หรอื auxiliary storage ซงึ่ สามารถจดั เก็บข้อมูลสาหรับการประมวลผลไว้ได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีกระเเส ไฟฟ้าหล่อเลยี้ ง( non-volatile) กต็ ามกระบวนการในการเกบ็ ข้อมลู เรยี กว่า การเขียนหรือการบันทึกข้อมูล ( writing หรือ recordingdata) เนื่องจากว่า อุปกรณเ์ กบ็ ขอ้ มูลสารอง จะบันทึกข้อมูลในรูปของสื่อต่างๆท่ีสามารถนามาเร๊ยกในภายหลังได้ กระบวนการดึงข้อมูลมาใช้เรียกว่า retrieving data เเละถ้าเป็นการอ่านข้อมูลจะเรยี กวา่ reading data เพราะอปุ กรณเ์ ก็บข้อมลู สารองจะอ่านข้อมูลและถ่ายโอนไปยังหน่วยความจาหลัก เพอื่ การประมวลผลตอ่ ไปการใชง้ านคอมพวิ เตอร์ในหน่วยงานต่างๆ จะมีความตอ้ งการอุปกรณ์ในการจัดเก็บขอ้ มลู ทแี่ ตกตา่ งกันออกไป เชน่ บริษทั ประกนั และธนาคาร อาจมีความต้องการอปุ กรณ์ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าไดจ้ านวนมาก ในขณะทีธ่ รุ กิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาจต้องการอุปกรณ์ ในการจัดเก็บข้อมูลไม่มากนกัหนว่ ยเก็บข้อมูลสารอง (Secondary Storage Unit)อปุ กรณ์เก็บข้อมูลสารอง สามารถจาแนกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทหลกั ๆ ดังนี้ จานแมเ่ หลก็ ( magnetic disk storage)จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสารองที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภท จานแมเ่ หล็กประกอบดว้ ยแผ่นพลาสติกหรือโลหะท่ีเคลือบด้วยสารแม่เหล็ก ข้อมูลสามารถบันทึกและอ่านจากผิวหน้าที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กน้ี จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูง มีความเช่ือถือได้ และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ประเภทของจานแม่เหล็กเช่น ฮารด์ ดิสก์ ( hard disk )
16ฟลอปปด้ี ิสก์ ( floppy disks)ฟลอปป้ีดิสก์ นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า ดิสก์เกตต์ ( diskettes) หรือดิสก์ ( disks) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสารองที่สามารถพกพาและเคลื่อนย้ายได้สะดวก ฟลอปปีดิสก์ ในรุ่นแรก ๆ จะมีขนาด 8 นิ้วและ 5.25 น้ิว แต่ปัจจุบันนิยมใช้ขนาด 3.5 นิ้วแต่เดิมฟลอปปีดิสก์เรียกว่า ฟลอปปี ( floppies)เพราะดสิ กม์ ลี ักษณะทบ่ี างและยืดหยุน่ แตป่ จั จุบันลกั ษณะของดสิ กไ์ ด้พฒั นาข้ึนเร่ือย ๆ เป็นดิสก์ท่ีหุ้มดว้ ยแผน่ พลาสติกแข็ง แต่เนื้อดสิ ก์ภายในยังคงออ่ นเหมือนเดมิ จึงเรียกฟลอปปีเ้ ชน่ เดิม ทม่ี าอ้างองิ : http://www.bpic.ac.th หลกั การทางานของ CPU มีหน่วยสาคญั อยู่ 2 หลกั การ คอื 1. หน่วยควบคุม คือ เป็นหน่วยที่ทาหน้าท่ีประสานงานและควบคุมการทางานของคอมพวิ เตอร์ ควบคมุ ให้อปุ กรณร์ ับข้อมูล สง่ ข้อมูลไปท่ีหน่วยความจา ติดต่อกับอุปกรณ์แสดงผลเพ่ือส่งั ให้นาขอ้ มูลจากหน่วยความจาไปยังอปุ กรณ์แสดงผล 2. หนว่ ยคานวณและตรรกะ คือ เป็นหน่วยท่ีทาหน้าท่ีในการคานวณต่างๆทางคณิตศาสตร์ได้แก่ บวก ลบ คณู หาร หลักการทางานของ CPU โดยวงรอบของการทาคาส่ังของซีพียูประกอบด้วยขั้นตอนการทางานพ้นื ฐาน 4 ข้นั ตอนดังนี้ 1. ขั้นตอนการรับเขา้ ขอ้ มลู ( fatch ) เริม่ แรกหนว่ ยควบคมุ รบั รหัสคาส่ังและข้อมลู ทีจ่ ะประมวลผลจากหน่วยความจา 2. ขนั้ ตอนการถอดรหัส ( decode ) เม่อื รหสั คาส่งั เข้ามาอยู่ในซีพียแู ลว้ หนว่ ยควบคมุ จะถอดรหัสคาสั่งแล้วส่งคาส่ังและข้อมูลไปยังหน่วยคานวณและตรรกะ 3. ขน้ั ตอนการทางาน ( execute ) หน่วยคานวณและตรรกะทาการคานวณโดยใช้ข้อมูลท่ีได้รับการถอดรหัสคาส่ัง และทราบแล้วว่าต้องการทาอะไร ซีพียูก็จะทาตามคาสั่งน้นั 4. ขนั้ ตอนการเกบ็ ( store ) หลงั จากทาคาสงั่ กจ็ ะเกบ็ ผลลพั ธท์ ไ่ี ด้ไวใ้ นหน่วยความจา ท่มี าอ้างอิง : https://jidapa40.wordpress.com
17 ประเภทของ printer และการใช้งาน หลายๆ ท่านอาจจะสงสยั ว่า printer ท่ีเราใชง้ านกนั อยู่ทุกวนั น้ี มีกช่ี นดิ หรือกี่ประเภท และแต่แบบมีลักษะอย่างไร บทความน้ีผมจะขออธิบายให้คุณผู้อ่านทราบถึง ประเภทของ printerแบบต่างๆ และการใช้งานที่แตกต่างกัน เพ่ือที่จะได้เลือกใช้งาน printer แต่ละแบบได้อย่างเหมาะสม ประเภทของ printer แบบตา่ งๆ และการใช้งาน 1. Dotmatrix printer เครื่องพิมพ์ประเภทน้ีในสมัยก่อนเคยเป็นที่นิยม ลักษณะการพิมพ์เป็นแบบใช้หวั เข็ม และไมไ่ ด้ใช้ตลับหมึกแตใ่ ช้ผ้าหมกึ แทน การใช้งาน มักใช้พมิ พง์ านทต่ี ้องการทาสาเนา เน่ืองจากเครอื่ งพมิ พ์ลกั ษณะน้ีมแี รงกด และสามารถพมิ พก์ ระดาษต่อเนือ่ งได้ และอายกุ ารใช้งานคอ่ นข้างนาน แตม่ ขี อ้ เสยี อยู่ท่ีคุณภาพงานพิมพ์ตา่ เม่อื เทียบกบั printer ประเภทอ่ืนๆ และมเี สียงดงั ขณะพมิ พ์งาน 2. Inkjet printer เคร่ืองพิมพ์อิงค์เจ็ทน้ี ในปัจจุบันค่อนข้างได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เนื่องจากราคาที่ไม่สูงจนเกินไป คุณภาพงานพิมพ์เป็นที่ยอมรับ และการใช้งานได้ค่อนข้างหลากหลาย ลักษณะการพมิ พ์ จะเป็นการพ่นหมึกพิมพ์เป็นหยดๆ ลงบนกระดาษ การใช้งาน สามารถพิมพ์งานไดห้ ลากหลาย เอกสาร, ภาพถ่าย, โปสการ์ด แต่โดยท่ัวไปมักมีขนานไม่เกิน A3 และมีสินค้าให้เลือกหลายรุ่นตามระดับราคา และฟังก์ชันที่ต้องการ 3. Laser printer ลกั ษณะการพมิ พ์ของ printer ประเภทน้ี ใชเ้ ทคโนโลยีเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสาร คือยงิ เลเซอร์ไปสรา้ งภาพบนกระดาษในการสร้างรูปภาพ หรือตัวอักษร ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาจะมคี ุณภาพสูงมากกวา่ เครอ่ื งพมิ พแ์ บบพน่ หมึก
18 การใชง้ าน เหมาะสาหรับการพมิ พท์ ีต่ ้องการคณุ ภาพทส่ี ูงมากข้นึ เอกสารสาคัญต่างๆ หรืองานทีต่ อ้ งการความคมชดั และสวยงามมากกวา่ การพิมพ์อิงคเ์ จท็ โดยท่ัวไป แต่เคร่ือง print ประเภทนมี้ ีราคาสูง และตน้ ทนุ ในการใช้งานและบารุงรักษากส็ งู มากข้ึนด้วย 4. Plotter เป็นเครื่องพิมพ์ชนิดท่ีใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลต่างๆ ลงบนกระดาษท่ีทามาเฉพาะงาน พล็อตเตอร์ทางานโดยใช้วิธีเลื่อนกระดาษ โดยสามารถใช้ปากกาได้ 6-8 สี ความเร็วในการทางานของ พล็อตเตอร์มีหน่วยวัดเป็นนิ้วต่อวินาที (Inches Per Second : IPS) ซึ่งหมายถึงจานวนนิ้วท่ีพลอ็ ตเตอร์สามารถ เลื่อนปากกาไปบนกระดาษ การใช้งานเหมาะสาหรบั งานเก่ยี วกบั การเขยี นแบบทางวิศวกรรม และงานตกแต่งภายใน ใช้สาหรับวิศวกรรมและสถาปนิก งานพมิ พข์ นาดใหญ่มีหน้ากวา้ ง เหมาะสาหรับทางานด้านปา้ ย 5. Multifunction printer เคร่ืองพิมพ์ประเภทน้ีเป็น printer ที่รวบรวมฟังก์ชันที่หลากหลายในการทางานไว้ในเครื่องตัวเดียว เช่น สามารถ scan, copy หรือรับ-ส่งแฟ็กซ์ ได้ในตัวเอง ทาให้มีความสะดวกสบายในการใช้งานท่ีค่อนข้างมาก แต่ทั้งนี้ราคาก็มักจะสูงตามความสามารถที่มากขึ้นดว้ ย การใช้งานที่หลากหลายนี้ เหมาะสาหรับผู้ท่ีต้องการความคุ้มค่า และสะดวกสบายในการทางาน ซึง่ สามารถเลอื กฟังก์ชนั จากร่นุ ที่มีได้ตามต้องการ
19 นอกจากประเภทของ printer ต่างๆ ท่ีกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีเคร่ืองพิมพ์ที่สาหรับพิมพ์งานเฉพาะด้าน อกี หลายแบบดว้ ยกนั เชน่ เครือ่ งพมิ พ์ฟิล์ม, เคร่ืองพิมพ์สติกเกอร์-ป้ายต่างๆ เป็นต้น ซง่ึ ผมขอไม่ลงรายละเอยี ดไปมากกว่านี้แล้วกันนะครับ ทม่ี าอา้ งองิ : http://srcom608.weebly.com/ ประเภทของจอภาพ และการใช้งาน จอคอมพิวเตอรม์ หี ลายชนดิ ด้วยกนั โดยเราสามารถแบ่งจอคอมพิวเตอร์เป็นชนิดใหญ่ๆได้ 3ชนิดดว้ ยกนั คอื 1. จอแสดงผลแบบ CRT (Cathode Ray Tube Monitor) ซ่งึ เป็นจอแสดงผลที่รบั สญั ญาณภาพแบบอนาล็อก (Analog) โดยมีการพฒั นาจอแสดงผล CRT มาจากจอโทรทัศน์ในสมยั นัน้ โดยผทู้ ี่รเิ ริ่มในการสรา้ งจอแสดงผลแบบนีค้ อื บรษิ ทั ไอบีเอ็ม ซ่งึ ในยุคต้น ๆจอแสดงผลจะยงั ไมส่ ามารถแสดงกราฟฟิกต่าง ๆได้เหมือนกับในปจั จุบั โดยหลกั การทางานของจอแสดงผลแบบ CRT นั้นจะทางานโดยอาศัยหลอดภาพที่สร้างภาพเหมอื นกบั ในโทรทัศน์ โดยการยิงลาแสงอิเลก็ ตรอนไปยังทีผ่ ิวหนา้ จอ ซึง่ มสี ารประกอบของฟอสฟอรัสฉาบอย่ทู ี่ผวิ เมื่อถกู แสงอิเล็กตรอนมากระทบ สารเหลา่ นีจ้ ะเกิดการเรอื งแสงข้นึ มา ทาให้เกิดเป็นภาพและสีตามสัญญาณ Analog ที่ได้รับมานั่นเอง ในปัจจุบันจอแสดงผลแบบ CRT นั้นเร่ิมจะไม่เป็นท่ีนยิ มแล้วเพราะว่ามจี อแสดงผลแบบใหมม่ าทดแทนทีม่ ีคณุ สมบัติด้านการแสดงผลทีด่ กี ว่า จอคอมพิวเตอร์แบบ CRT 2. จอแสดงผลแบบ LCD (Liquid Crystal Display) เป็นจอแสดงผลรุ่นท่ีสองต่อจากจอแสดงผลแบบ CRT ท่ีถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2506 ในสมัยแรกๆจอ LCD นั้นเริ่มใช้งานจริงๆในนาฬิกาและเคร่ืองคิดเลข เป็นจอแสดงผลตัวเลขขนาดเล็ก โดยหลักการทางานของจอแสดงผลแบบLCD น้ันจะใช้วัสดุประเภทผลึกเหลว (Liquid Crystal) มาใส่ไว้ในผิวของกระจก ใช้หลักการปรับเปลี่ยนโมเลกุลของผลึกเหลว เพื่อปิดกั้นแสงเม่ือมีสนามไฟฟ้าเหน่ียวนา ทาให้เกิดสีขึ้น
20ซ่ึงข้อดีของจอแสดงผลแบบ LCD มีหลายอย่างแต่ท่ีเห็นได้ชัดคือจอ LCD จะประหยัดพลังงานมากกว่าจอแบบ CRT แต่ในข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเช่นเดียวกันคือ จอ LCD คือมุมมองสาหรับการเห็นภาพค่อนขา้ งแคบ จอคอมพวิ เตอรแ์ บบ LCD3. จอแสดงผลแบบ LED ( Light-emitting-diod) ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อทางการตลาด โดยชื่อจริงของเทคโนโลยีนี้คือ OLED (Organic Light Emitting Devices) โดยมีหลัการทางานที่ไม่ยากและสลับซับซ้อนเท่าไรด้วยการนาหลอดLED มาเรียงรายกันเป็นแถว โดยภาพต่างๆจะเกิดข้ึนจากการติดดับของหลอด LED ทาให้เกิดภาพและสีท่ีได้ชัดเจนกว่าจอแสดงผลแบบอื่น ๆโดยจอแสดงผลแบบLED น้ีเปน็ เทคโนโลยีทีม่ าทดแทนและปิดจุดบกพร่องของจอแสดงผลแบบ LCD ซึ่งจอแบบ LED นั้นจะไม่มีข้อจากัดในเรื่องของมุมมอง และอัตราการตอบสนองของภาพท่ีไวกว่าแบบจอ LCDนอกจากนน้ั จอแบบ LED ยังประหยดั ไฟฟ้าไดด้ ีกวา่ แบบ LCD อกี ด้วย จอคอมพิวเตอร์แบบ LEDจอแสดงผลทกุ แบบตา่ งกม็ ขี ้อดีข้อเสยี แตกตา่ งกนั ไป ถึงแมเ้ ทคโนโลยจี อแสดงผลแบบ LED ใหม่ล่าสุดและดีท่ีสุดในตอนนี้แต่ปัญหาเรื่องราคาท่ีสูงมาก เมื่อเทียบกับจอแสดงผลรุ่นเก่าที่มีราคาถูกกว่า ในปจั จบุ ันเรายงั พบเหน็ การใช้งานจอแสดงผลแบบ CRT และ LCD อยู่ และคาดว่าในอนาคตเทคโนโลยีLED จะมีราคาท่ถี ูกลงอย่างแนน่ อน ท่มี าอา้ งอิง : http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net
21 ประเภทของคยี ์บอร์ด และการใช้งาน คีย์บอร์ด คืออุปกรณ์แป้นพิมพ์ท่ีใช้ป้อนข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ มีปุ่มเหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีด เป็นอุปกรณ์ที่มีในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง จานวนปุ่ม 101 ปุ่มขึ้นไป คีย์บอร์ดนั้นจะ 1 ปุ่มจะมีตัวอักษรอยู่หลายตัว โดยปกติคีย์บอร์ดภาษาไทยก็จะมีภาษาอังกฤษปนอยู่ด้วยเพราะฉะน้ันใน 1 ปุ่มจะมี 3 ตัวอักษรและ 4 ตัวอักษรสาหรับปุ่นท่ีมีตัวเลขผสมอยู่ หลักการใช้งานปกติถ้าเราจะพิมพ์อักษรท่ีอยู่ข้างล่างของแป้น เราก็เพียงแค่กดลงไปเฉย ๆแต่ถ้าต้องการพิมพ์อักษรท่ีอยู่ข้างบนของแป้นพิมพ์เราจาเป็นจะต้องกดปุ่ม Shift ค้างไว้ก่อนถึงจะพิมพ์ได้ หรือจะใช้ Shift Lock แทนการกด Shift ค้างก็ได้เช่นกัน แต่เม่ือจะกลับมาพิมพ์อักษรที่อยู่ข้างลา้ งหน้าลมื กดปลดลอ็ กดว้ ย ประเภทของ keyboard มอี ยู่ 5 แบบ1. desktop keyboard เปน็ คียบ์ อรด์ มาตรฐานแบบ 101 ปุ่ม2. desktop keyboard with hot key เป็นคยี บ์ อร์ดทีม่ ีปุม่ พเิ ศษเพมิ่ เข้ามามากกวา่ แบบมาตรฐาน3. wireless keyboard เป็นคียบ์ อรด์ ไร้สายเชื่อมตอ่ กบั คอมพวิ เตอรผ์ า่ นทางการเชื่อมตอ่ ไรส้ าย
224. security keyboard เป็นคีย์บอร์ดที่มีระบบรักษาความปลอยภยั5. notebook keyboard เป็นคียบ์ อรด์ ขนาดเล็กและบาง นอกเหนือจากแป้นปกติแล้วยังมีแป้นพิเศษที่มักจะอยู่แถวบนสุดของคีย์บอร์ด จะเป็นพวกปุ่ม F1-F12 หรอื คีย์บอร์ดบางรนุ่ จะมปี มุ่ ปรังเสียง ปุ่ม Play ปุ่ม Stop ให้เราใช้งานเพิ่มความสะดวก
23เพ่มิ เข้ามาอีกด้วย ส่วนทางขวาของคยี บ์ อรด์ รนุ่ ใหญ่ ๆ จะมีปุ่มตัวเลข 0 - 9 แยกออกมาต่างหากเพื่อความสะดวกในการพมิ พ์ตัวเลข นอกจากนี้แล้วยังมีปุ่มท่ีใช้กับโปรแกรมท่องเว็บ Browser ต่าง ๆ ด้วยเช่นปุ่ม Home ,End,Page Up ,Pagd Down และปุ่มลูกศร บน ล่าง ขวา ซ้าย สามารถใช้แป้นเหล่าน้ีในการควรคุมการเล่อื นหน้าเวบ็ ได้ แทนการใชเ้ มาส์เพือ่ เพมิ่ ความสะดวกในบางกรณี ซึ่งผมเองก็ใช้บ่อยเหมือนกันอย่างเวลาจะเล่ือนหน้าเว็บลงเพ่ืออ่านข้อความในเว็บนั้นผมก็มักจะใช้วิธีกดปุ่มลูกศรลง แทนการใช้เมาส์เล่อื นหนา้ เพจ ท่มี าอ้างอิง : https://sites.google.com
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: