การหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมือวดั และประเมินผล โครงการบริการวชิ าการ ท่าสาบโมเดล อาจารยป์ ราณี หลาเบญ็ สะ สาขาการวดั และประเมินผล คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ยะลา 11/6/2559
1 คณุ ภาพของเครอ่ื งมือวดั และประเมินผล คณุ ลักษณะทีด่ ขี องเครื่องมอื วดั และประเมนิ ผล การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบที่ใช้ในการวัดผลจะตอ้ งทาการตรวจสอบคุณภาพดา้ นตา่ งๆ ทีจ่ าเปน็ ของแบบทดสอบแต่ละชนิดดังต่อไปน้ี 1. ความเท่ียงตรง (Validity) เปน็ ความถูกต้องสอดคล้องของแบบทดสอบกับส่งิ ทตี่ อ้ งการจะวดั ซ่งึ เปน็ คณุ ลกั ษณะของแบบทดสอบทถ่ี อื ว่าสาคัญที่สดุ โดยมีเกณฑใ์ นการเปรยี บเทียบ คือ เน้อื หา โครงสรา้ ง สภาพ ปจั จบุ ัน และอนาคต 2. ความเชื่อมน่ั (Reliability) เปน็ ความคงเส้นคงวาของคะแนนในการวัดแต่ละครั้ง หรือ ความคงท่ีของ ผลการวดั ผลของการวดั ไม่วา่ จะเป็นคะแนนหรอื อันดับท่ีกต็ าม เม่ือวัดได้ผลออกมาแล้วสามารถเชื่อถือได้ในระดบั สงู จนสามารถประกนั ไดว้ ่า ถา้ มีการตรวจสอบผลซา้ อีกไม่วา่ กคี่ ร้ังก็จะไดผ้ ลใกลเ้ คยี งและ สอดคล้องกบั ผลการวดั เดมิ นั่นเอง 3. ความเป็นปรนัย (Objectivity) เปน็ ความชดั เจนทท่ี กุ ฝ่ายที่เกย่ี วข้องกับการวดั ผล คร้ังนน้ั มคี วามเห็น สอดคลอ้ งกันในเรื่องของคาถาม ค่าของคะแนนหรืออันดบั ท่ที ่ีวัดได้ ตลอดจนการแปลงค่าคะแนนเปน็ ผลประเมนิ ในการ ตดั สินคณุ คา่ ก็สอดคล้องตรงกัน การพจิ ารณาความเป็นปรนยั ของแบบทดสอบมีหลายประการ คุณสมบัตคิ วามเป็น ปรนยั ของแบบทดสอบท่สี าคัญ ไดแ้ ก่ คุณสมบัติ 3 ประการ ดงั น้ี 3.1 ชัดแจ้งในความหมายของคาถาม ขอ้ สอบท่เี ป็นปรนยั ทุกคนท่ีอา่ นข้อสอบ ไม่ว่าจะเปน็ ผ้สู อบหรือผู้ ตรวจข้อสอบย่อมจะเขา้ ใจตรงกันไม่ตีความไปคนละแง่ 3.2 ตรวจให้คะแนนไดต้ รงกัน ขอ้ สอบท่ีมคี วามเปน็ ปรนยั ไม่ว่าจะเป็นผู้ออก ข้อสอบหรอื ใครกต็ าม สามารถตรวจใหค้ ะแนนไดต้ รงกนั ข้อสอบทีผ่ ู้ตรวจเฉลยไม่ตรงกนั แสดงให้เหน็ ถงึ ความไมช่ ดั เจนในคาถามและคาตอบ 3.3 แปลความหมายของคะแนนไดต้ รงกัน โดยทัว่ ไปข้อสอบปรนัยน้ันผู้ตอบถูกจะได้ 1 คะแนน ตอบ ผดิ จะได้ศูนยค์ ะแนน จานวนคะแนนที่ได้จะแทนจานวนข้อท่ถี กู ทาให้สามารถแปลความหมายไดช้ ดั เจนวา่ ใคร เกง่ อ่อนอย่างไร ตอบถูกมากน้อยตา่ งกันอยา่ งไร ขอ้ สอบประเภทถูกผิด จบั คู่ เติมคา หรอื เลือกตอบที่ขาดคุณสมบตั ิข้อใดข้อหน่ึง อาจกล่าวไดว้ ่าเป็นขอ้ สอบ ปรนยั เฉพาะรปู แบบของขอ้ สอบเทา่ น้นั สว่ นคุณสมบตั ยิ ังไมเ่ ป็นปรนยั ความเปน็ ปรนัยของข้อสอบจะทาใหเ้ กดิ คุณสมบตั ทิ างความเช่ือม่ันของคะแนนอันจะนาไปสู่ความเท่ียงตรงของผลการวัดด้วย 4. ความยากงา่ ย (Difficulty) ความยากง่ายของข้อสอบพิจารณาได้จากผลการสอบของผู้สอบเป็น สาคญั ขอ้ สอบใดทผี่ สู้ อบสว่ นมากตอบถูก ค่าคะแนนเฉลี่ยของข้อสอบสงู กว่า 50 เปอรเ์ ซ็นต์ ของคะแนนเต็ม อาจ กล่าวไดว้ า่ เปน็ ข้อสอบทีง่ ่าย หรอื คอ่ นขา้ งง่าย ขอ้ สอบที่มคี วามยากงา่ ยพอเหมาะ คะแนนเฉลีย่ ของข้อสอบควรมี ประมาณ 50 เปอร์เซน็ ต์ ของคะแนนเต็ม ถา้ คะแนนเฉล่ียต่ากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเป็นข้อสอบค่อนข้าง ยาก ขอ้ สอบทด่ี คี วรมีความยากงา่ ยพอเหมาะ ไมย่ ากหรือง่ายเกนิ ไป ข้อสอบฉบบั หนงึ่ ควรมผี ตู้ อบถูกไมต่ า่ กว่า 50 คนและไม่เกิน 80 คน จากผู้สอบ 100 คน 5. อานาจจาแนก (Discrimination) เป็นลักษณะของแบบทดสอบทส่ี ามารถออกเป็นประเภทตา่ ง ๆ ไดท้ ุก ระดับ ตั้งแต่ออ่ นสุดจนถึงเก่งสดุ แมว้ ่าจะเก่ง – อ่อนกว่ากนั เพียงเล็กนอ้ ยกส็ ามารถชจ้ี าแนกให้เหน็ ได้ ขอ้ สอบที่มี อานาจจาแนกสูงนนั้ เดก็ เก่งมักตอบถกู มากว่าเด็กอ่อนเสมอ ข้อสอบท่ีทุกคนตอบถูกหมดจะไมส่ ามารถบอกอะไรได้ เลย หรือข้อสอบท่ที ุกคนตอบผิดหมดไม่สามารถบอกไดว้ ่าใครเก่งหรืออ่อน 6. ความมีประสิทธภิ าพ (Efficiency) เครอ่ื งมอื วดั ผลที่มีประสทิ ธิภาพ หมายถึง เคร่ืองมือที่ทาใหไ้ ด้
2 ข้อมลู ได้ถูกต้องเชื่อถือได้ โดยลงทนุ นอ้ ยทส่ี ดุ ไม่ว่าจะเปน็ การลงทุนในแงเ่ วลา แรงงาน และทนุ ทรัพย์ รวมทั้งความ สะดวกสบาย คลอ่ งตัวในการรวบรวมขอ้ มลู ขอ้ สอบที่มปี ระสทิ ธภิ าพสามารถให้คะแนนไดเ้ ทย่ี งตรงและเชื่อถือได้มาก ที่สดุ โดยใชเ้ วลาแรงงานและเงินนอ้ ยท่ีสดุ แตป่ ระโยชนท์ ่ีไดจ้ ากการสอบคมุ้ ค่า ข้อสอบทีพ่ มิ พผ์ ิดตกหล่น มาก จานวนหน้า ไมค่ รบ รูปแบบของแบบทดสอบเรยี งไมเ่ ปน็ ระเบยี บทาให้ผู้สอบเกิดความสับสน มผี ลต่อคะแนนที่ ไดจ้ ากการทาแบบทดสอบทั้งสิน้ การจดั รูปแบบของข้อสอบปรนยั แบบเลอื กตอบเพื่อให้ดงู า่ ย มคี วามเป็นระเบียบ เรยี บรอ้ ยนิยมพิมพ์แบง่ ครึ่งหน้ากระดาษ 7. ความยุติธรรม (Fair) ความยุติธรรมเป็นคณุ ลกั ษณะของข้อสอบทีด่ ตี ้องไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้เปรยี บ เสยี เปรยี บกัน เชน่ ขอ้ สอบบางฉบบั ครูไปเนน้ เร่อื งใดเร่ืองหน่ึง ซึ่งตรงกับเรื่องทเ่ี ด็กทารายงานในบางกลุ่ม ทาให้กล่มุ นนั้ ๆ ไดเ้ ปรยี บคนอื่น ๆ ขอ้ สอบบางข้อใชค้ าถามหรือข้อความท่แี นะคาตอบ ทาให้นกั เรียนใชไ้ หวพริบเดาได้ การใช้ ขอ้ สอบแบบอัตนัยเพยี ง 5 หรือ 10 ข้อ มาทดสอบเด็กน้ันไมอ่ าจสรา้ งความยุตธิ รรมในการสอบใหแ้ กเ่ ด็กได้ เพราะ ผูส้ อบมีโอกาสเกง็ ข้อสอบได้ถูกมากกว่าแบบปรนยั ที่มีจานวนขอ้ มาก ๆ เชน่ 100 ข้อ 8. คาถามลกึ (Searching) ขอ้ สอบทถ่ี ามลึกไมถ่ ามแต่เพยี งความรู้ความจาเทา่ นนั้ แตจ่ ะถามวดั ความ เขา้ ใจ การนาความรู้ท่ไี ด้เรียนไปแล้วมาแกป้ ัญหา วิเคราะห์ ตลอดจนสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ขนึ้ มาจนท้ายที่สดุ คือการ ประเมนิ ผล คาถามทถ่ี ามลึกน้นั ผูต้ อบตอ้ งคดิ ค้นก่อนจงึ จะสามารถหาคาตอบได้ มิใช่เพียงแตร่ ะลึกถึงประสบการณ์ ตา่ งๆเพียงต้ืนๆ กต็ อบปัญหาได้ แตเ่ ป็นแบบทดสอบทีว่ ดั ความลึกซ้งึ ทางวิชาการตามแนวด่งิ มากกว่าจะวัดตามแนว กวา้ ง 9. คาถามย่วั ยุ (Exemplary) คาถามยวั่ ยุ ได้แก่ คาถามท่ีมีลกั ษณะท้าทายให้เด็กอยากคิดอยากทา มลี ลี า การถามทนี่ า่ สนใจ ไม่ถามวนเวียนซ้าซากนา่ เบื่อหนา่ ย การใช้รูปภาพประกอบ กเ็ ปน็ วธิ หี นงึ่ ทีท่ าให้ข้อสอบน่าสนใจ ข้อสอบท่ยี ากเกินไปทาใหผ้ ู้สอบหมดกาลังใจทจี่ ะทา ส่วนขอ้ สอบท่ีงา่ ยเกนิ ไปก็ไม่ท้าทายให้อยากทา การ เรียงลาดับคาถามจากข้องา่ ยไปหายากเป็นวิธีหน่ึงทท่ี าให้ข้อสอบมลี ักษณะท้าทายน่าทา 10. จาเพาะเจาะจง (Definite) คาถามทด่ี ีต้องไม่ถามกวา้ งเกนิ ไป ไม่ถามคลุมเครือหรือเล่นสานวนให้ผ้สู อบ งง ผูส้ อบอา่ นแลว้ ต้องเข้าใจชดั เจนวา่ ครูถามอะไร ส่วนจะตอบไดห้ รือไม่อยู่ที่ความสามารถของผตู้ อบเปน็ สาคญั วธิ ีการหาคณุ ภาพเครื่องมอื การสรา้ งเครื่องมือท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ครผู ้สู อนต้องหาคุณภาพของเคร่ืองมอื เพื่อเปน็ การยืนยันวา่ เครื่องมือดงั กลา่ วมคี ุณภาพ ซ่ึงการหาคุณภาพของเครอ่ื งมอื สามารถจาแนกเป็น ๒ ลกั ษณะ คือ 1. การหาคุณภาพของเคร่ืองมือทั้งฉบับ การวิเคราะห์ขอ้ สอบทง้ั ฉบับ เปน็ การตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมือวัด เก่ียวกับความเที่ยงตรง (Validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) รายละเอยี ด ดังนี้ (1) ความเทย่ี งตรง หมายถงึ ความสามารถของเคร่ืองมือวัด ทสี่ ามารถวดั ได้ในส่ิงที่ต้องการวดั เป็น ความสอดคล้องระหว่างผลการวดั กับสงิ่ ทต่ี ้องการวดั ความตรงท่ีใชใ้ นการทดสอบจาแนกเป็น 3 ชนดิ ได้แก่ ความตรง ตามเน้อื หา ความตรงตามโครงสรา้ ง และ ความตรงตามเกณฑ์ทเี่ ก่ียวข้องโดยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ จะเก่ียวขอ้ ง กบั ความตรงตามเนื้อหามากกว่าความตรงชนดิ อนื่ ๆ การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) เป็นการหาค่าความเที่ยงตรงท่ีให้ผู้เชี่ยวชาญ พจิ ารณาว่าข้อสอบ หรือ ข้อคาถามแต่ละข้อ วัดได้ตรงตามสิ่งที่ต้องการวัดเน้ือหาหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้มากน้อย เพียงใด โดยใชเ้ กณฑก์ ารประเมิน ดงั น้ี ใหค้ ะแนน +1 หมายถงึ แน่ใจวา่ ข้อสอบวัดจุดประสงค์/เน้อื หานน้ั
3 ใหค้ ะแนน 0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จวา่ ข้อสอบวดั จุดประสงค์/เนื้อหานน้ั ใหค้ ะแนน -1 หมายถึง แน่ใจวา่ ขอ้ สอบไมว่ ดั จุดประสงค์/เน้ือหานน้ั แล้วนาข้อมูลท่ีได้จากการพิจารณาของผู้เช่ียวชาญ หาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามแต่ละข้อกับ จุดประสงคห์ รือเนื้อหา (Index of Item-Objective Congruence หรอื IOC) จาก สูตร IOC ΣR N เมือ่ R แทน ผลรวมของคะแนนการพจิ ารณาของผ้เู ช่ียวชาญ N แทน จานวนผเู้ ช่ยี วชาญ เกณฑ์การตัดสินค่า IOC ถ้ามีค่า 0.50 ขึ้นไป แสดงว่า ข้อคาถามน้ันวัดได้ตรงจุดประสงค์ หรือตรงตาม เนือ้ หานัน้ แสดงว่า ข้อคาถามขอ้ นน้ั ใชไ้ ด้ ตัวอย่าง แบบประเมนิ สาหรับผู้เชยี่ วชาญตรวจสอบคุณภาพของเครือ่ งมือ แบบทดสอบรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 คาชแ้ี จง : แบบประเมินฉบบั น้ีใช้สาหรับทา่ นซง่ึ เปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญในการตรวจสอบวา่ ข้อคาถามแตล่ ะขอ้ มคี วามสอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์เชิง พฤติกรรมหรอื ไม่ โดยมเี กณฑ์การประเมนิ ดังนี้ ใหค้ ะแนน +1 หมายถึง แน่ใจวา่ ข้อสอบวดั จุดประสงค/์ เนือ้ หานัน้ ให้คะแนน 0 หมายถงึ ไมแ่ น่ใจวา่ ขอ้ สอบวัดจดุ ประสงค/์ เนื้อหานนั้ ใหค้ ะแนน -1 หมายถงึ แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบไมว่ ดั จุดประสงค/์ เนือ้ หานั้น จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ข้อสอบ คะแนนประเมนิ จาก ข้อเสนอแนะ ผู้เชย่ี วชาญ +1 0 -1 ๑. สามารถอธบิ ายเรือ่ งนา้ และ 1. ปัจจัยใดทที่ าใหเ้ มลด็ งอก แสงที่เป็นปัจจัยสาคญั ต่อการ ก. น้า ดารงชวี ติ ข. แสง ค. ลม 2. ส่งิ ใดจาเปน็ ต่อการเจรญิ เติบโตของพืช ก. นา้ ข. แสง ค. ถูกทั้งขอ้ ก. และ ข.
4 ตวั อยา่ ง การคานวณและการแปลผลคา่ IOC ข้อสอ คะแนนความเห็นของผเู้ ช่ยี วชาญ รวม คา่ IOC สรปุ ผล บ คนที่ 1 คนที่ คนท่ี 3 คนที่ 4 คนที่ 5 ขอ้ ที่ 2 1 +1 +1 +1 +1 +1 5 1 ใช้ได้ 2 0 +1 +1 0 +1 3 0.6 ใชไ้ ด้ 3 +1 0 -1 0 0 4 +1 +1 -1 +1 +1 5 0 0 -1 0 -1 (2) ความเชื่อม่นั ความเชอ่ื มนั่ หมายถึง ความคงท่ีของคะแนนท่ีวดั ไดแ้ ต่ละครัง้ วิธีการหาค่าความ เชอ่ื มน่ั ของแบบทดสอบทาได้หลายวิธี คอื 1. วิธสี อบซา้ 2. วธิ ีแบบทดสอบคขู่ นาน 3. วิธหี าความสอดคล้องภายใน แบง่ เป็น 3.1 วธิ แี บง่ ครึง่ แบบทดสอบ 3.2 วิธหี าจากสตู รคเู ดอรแ์ ละริชารด์ สัน 3.3 วธิ หี าจากสูตรสัมประสทิ ธแ์ิ อลฟา 1. วธิ ีสอบซำ้ การหาความเชือ่ มัน่ โดยวธิ สี อบซ้า เปน็ การหาความสัมพันธข์ องคะแนนจากการทาแบบทดสอบฉบับ เดียวกนั สองครง้ั โดยทิง้ ช่วงห่างใหเ้ หมาะสม (ประมาณ 2 สัปดาห์) การหาความเช่ือม่ัน โดยวธิ ีน้เี ป็นการตรวจสอบ ความคงท่ีของการแสดงออกของผู้สอบสองครัง้ ว่า จะมคี วามคงทห่ี รือไม่ วธิ กี ารน้ีมจี ุดอ่อนทีค่ วามแปรเปล่ยี นภายในตวั ผู้สอบในระหว่างท้ิงชว่ งการสอบ ดังนัน้ การหาความเช่ือม่ันโดยวธิ นี คี้ วรนาไปใชก้ บั แบบทดสอบวดั คุณลกั ษณะท่ี คอ่ นข้างจะคงท่ีไม่แปรเปลยี่ นโดยงา่ ย 2. วิธีใชแ้ บบทดสอบคขู่ นำน การหาความเชื่อม่นั โดยใชว้ ิธแี บบทดสอบค่ขู นาน เป็นการหาความสมั พันธข์ องคะแนนจากการนา แบบทดสอบ 2 ฉบับที่เทยี บเทา่ กนั ไปสอบกับบุคคลกลมุ่ เดียวกนั วิธกี ารนมี้ จี ดุ อ่อนท่ีความเปน็ คขู่ นานกนั ของ แบบทดสอบ 2 ฉบับซ่งึ สรา้ งไดย้ าก 3. วิธหี ำควำมสอดคล้องภำยใน 3.1 วิธีแบง่ ครึ่งแบบทดสอบ การหาความเทยี่ งโดยวธิ ีน้ี เปน็ การหาความสัมพนั ธ์ของคะแนนจากการใช้แบบทดสอบฉบับเดยี ว และสอบเพียงคร้ังเดยี ว โดยนาผลการสอบมาแบ่งเป็นข้อมูล 2 ชดุ โดยอาจแบง่ เป็นขอ้ คู่ - ข้อค่ี แบ่งเป็นคร่ึงฉบับแรก ครง่ึ ฉบบั หลัง จากการหาคา่ สัมประสทิ ธส์ิ หสัมพนั ธจ์ ะได้ สัมประสทิ ธค์ิ วามเช่ือม่ันของแบบทดสอบคร่ึงฉบบั แลว้ จึง นาไปปรบั ขยายเปน็ สมั ประสิทธิส์ หสมั พันธ์ของแบบทดสอบท้งั ฉบบั
5 จากสูตรของสเปยี ร์แมน บราวน์ (Spearman Brown) ดงั นี้ Rtt = 2rmm 1 rmm เม่อื Rtt แทน ความเทยี่ งขแบแบบทดสอบท้ังฉบบั Rmm แทน สัมประสิทธสิ์ หสัมพนั ธข์ องแบบทดสอดคร่ึงฉบบั 3.2 วธิ ีหาจากสตู รของคเู ดอร์และริชารด์ สัน การหาความเท่ียงโดยวิธีน้ี เป็นการหาความสัมพนั ธ์ของคะแนนจากการใช้แบบทดสอบฉบบั เดยี วและสอบ เพยี งคร้งั เดยี วโดยนาผลการสอบมาคานวณค่าสมั ประสิทธ์ิ ใชส้ ูตรของคูเดอร์และรชิ าร์ดสันซ่งึ เปน็ การหาความเทยี่ งของ แบบทดสอบท่ีมีระบบการให้คะแนนแบบ 0,1 (ผิด 0, ถูก 1) สูตรทใ่ี ชม้ ี 2 สตู ร คือ สูตร KR - 20 กับสูตร KR - 21 สูตร KR -20 ในกรณีท่ีค่าความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อไม่เทา่ กัน RKR-20 = K 1 pq K 1 S2 เมอื่ Rtt แทน ความเทีย่ งของแบบทดสอบ K แทน จานวนขอ้ สอบ P แทน ความยากง่ายของขอ้ สอบแต่ละขอ้ (สัดส่วนที่ตอบถุก) q แทน สดั สว่ นที่ตอบผิด (1-p) S2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมของแบบทดสอบ s2 = N X 2 ( X )2 N2 สูตร KR-21 ในกรณที คี่ า่ ความยากงา่ ยของข้อสอบทุกข้อเทา่ กันหรอื ไม่แตกตา่ งกนั มาก RKR-21 = K 1 X (K X ) K 1 KS 2 เมอ่ื Rt แทน ความเทย่ี งของแบบทดสอบ K แทน จานวนขอ้ สอบ X แทน ค่าเฉลย่ี ของคะแนนรวมของแบบทดสอบท้งั ฉบับ S2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมของแบบทดสอบ
6 สตู ร KR - 20 และ KR - 21 นใี้ ช้ได้เฉพาะการหาความเที่ยงของแบบทดสอบท่ีให้คะแนนแต่ละข้อ เป็นแบบ 0 กับ 1 เท่านัน้ สูตร KR - 21 ใช้ในกรณีขอ้ สอบทุกข้อมีคา่ ความยากเท่ากนั ซึง่ ในทางปฏบิ ตั ติ อ้ งพจิ ารณาเงื่อนไขที่ เปน็ จรงิ ด้วย ตวั อย่างท่ี 1 จงหาความเชื่อมัน่ ของแบบทดสอบ โดยใช้สตู ร KR-20 จากการนาแบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย จานวน 10 ขอ้ ไปทดสอบกบั นักเรยี น 10 คน ได้คะแนนดังผลตาราง ขา้ งลา่ งนี้ คน\\ขอ้ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 X X2 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 10 100 2 1 1 1 1 1 1 1 1 1 0 9 81 3 1 1 1 1 1 1 1 0 0 1 8 64 4 1 1 1 1 1 1 0 0 0 1 7 49 5 1 1 1 1 1 1 0 0 0 0 6 36 6 1 1 1 1 1 1 0 1 0 0 7 49 7 1 1 1 1 1 1 0 0 1 0 7 49 8 1 1 1 1 0 0 0 0 0 0 4 16 9 1 1 1 1 0 0 0 0 1 0 5 25 10 1 1 0 0 0 0 0 0 0 0 2 4 10 10 9 9 7 7 3 3 4 3 65 473 p 1 1 0.9 0.9 0.7 0.7 0.3 0.3 0.4 0.3 q 0 0 0.1 0.1 0.3 0.3 0.7 0.7 0.6 0.7 pq 0 0 0.09 0.09 0.21 0.21 0.21 0.21 0.24 0.21 1.47 วธิ ที า pq = 1.47 , X = 65 , X2 = 473 คานวณคา่ s2 = N X 2 ( X )2 N2 s2 = (10x473) (65)2 = 5.05 10 x10 คานวณหาค่าความเชือ่ มัน่ rKR-20 = K 1 pq K 1 s2 = 10 1 1.47 10 1 5.05 = 0.79
7 3.1 วิธีหาจากสูตรสมั ประสทิ ธ์ิ แอลฟา การหาคา่ ความเท่ียงโดยใช้สูตรของครอนบคั (Cronbach) น้ปี รบั มาจากสตู ร KR – 20 ใช้หาความเที่ยงของเครื่องมอื วดั ที่ให้คะแนนแตกต่างกันไปในแต่ละข้อได้ โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งเปน็ ระบบการให้ คะแนน แบบ ๑ กับ ๐ สตู รการคานวณเปน็ ดงั นี้ = K S 2 1t k 1 1 SZ เมอ่ื แทน ความเทย่ี งของแบบทดสอบ S2 แทน ความแปรปรวนของข้อสอบแตล่ ะขอ้ S2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมของแบบทดสอบ K แทน จานวนข้อสอบทัง้ หมด การหาค่าความเทีย่ งโดยใชส้ ตู รสัมประสิทธ์ิแอลฟา สามารถหาไดโ้ ดยใชผ้ ลการสอบจากแบบทดสอบฉบับเดียว นาไปสอบกับบคุ คลกลมุ่ เดยี ว และนาไปใช้กนั ได้อย่างกว้างขวาง โดยไมจ่ ากัดเฉพาะแบบทดสอบท่ีให้คะแนนแบบ 1 กับ 0 2. การวิเคราะหห์ าคุณภาพของขอ้ สอบรายข้อ การวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อ เป็นการตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบแต่ละขอ้ โดยพจิ ารณาจากสมบัติทส่ี าคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ความยาก อานาจจาแนก และประสทิ ธิภาพของตวั ลวง 1.1 ความยากของข้อสอบ ความยากของขอ้ สอบ หมายถึง สดั ส่วนของจานวนผ้ทู ่ีตอบข้อสอบไดถ้ ูกต้องต่อจานวนผทู้ ่ีตอบข้อสอบ ทั้งหมด หรอื หมายถงึ จานวนรอ้ ยละของผ้ตู อบข้อสอบนั้น ๆ ถูก ตวั อยา่ งเช่น ค่า p = 0.30 แสดงวา่ จานวน ผู้ตอบ 100 คน มีผทู้ ่ีตอบข้อนน้ั ๆ ถูก 30 คน ค่าความยากงา่ ยจะมีค่าระหว่าง 0 ถงึ 1.00 สามารถหาได้จาก สูตร P RH RL NH NL P คือ ความยากงา่ ย RH คือ จานวนนักเรียนท่ีตอบถกู ในกลมุ่ คะแนนสงู RL คือ จานวนนักเรียนท่ีตอบถกู ในกลมุ่ คะแนนตา่ NH คือ จานวนนักเรียนท้งั หมดในกล่มุ คะแนนสูง NL คอื จานวนนกั เรยี นทัง้ หมดในกลุ่มคะแนนต่า ในการพิจารณาค่าความยากง่ายนนั้ ถา้ ขอ้ สอบมีคา่ ความยากง่ายสูง เชน่ p = 0.95 แสดงวา่ มผี ตู้ อบ ถูกจานวนมาก จึงถอื ว่าเป็นขอ้ สอบทง่ี ่าย แตใ่ นทางกลับกนั ถ้าข้อสอบมผี ู้ตอบถูกน้อย เช่น p = 0.15 แสดงว่า
8 เป็นข้อสอบท่ยี าก ข้อสอบท่ดี จี ะมีระดับความยากง่าย เทา่ กบั 0.5 ซ่ึงจะทาให้เกิดค่าอานาจการจาแนกสงู สุดและมี ความเชือ่ ม่นั สูง อยา่ งไรกต็ ามในการสอบวดั ความรผู้ ลการเรียนโดยท่วั ไป มักนิยมให้มีข้อสอบท่ีมรี ะดับความยากงา่ ยใน ระดบั ต่าง ๆ ปะปนกนั ไป โดยจัดใหม้ ขี ้อสอบมคี ่าความยากงา่ ยพอเหมาะ ( p มคี ่าใกล้เคียง ๐.๕ ) เป็นส่วนใหญ่ รวมทง้ั ให้มขี ้อสอบทค่ี ่อนขา้ งยากและคอ่ นข้างงา่ ยอกี จานวนหน่ึง แต่ถ้าเปน็ การสอบแขง่ ขนั เพ่ือคัดเลือกผทู้ ี่มีความรู้ ความสามารถควรมสี ัดส่วนของข้อสอบทยี่ ากสงู ขึ้น ทง้ั นี้ ข้อสอบทด่ี ีควรมีค่าความยากงา่ ยระหว่าง 0.20 – 0.80 ใน ขอ้ สอบประเภท 4 ตัวเลือก ส่วนข้อสอบประเภทถูก – ผดิ ค่าความยากง่าย ควรอยู่ระหวา่ ง 0.60 - 0.70 เกณฑ์การแปลความหมายค่าความยากงา่ ย ( p ) ของข้อสอบ ( ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ, ๒๕๔๓) ความยากงา่ ยของข้อสอบ ( p ) ความหมาย ๐.๘๑ - ๑.๐๐ ง่ายมาก ( ควรปรับปรุงหรอื ตัดทง้ิ ) ๐.๖๐ - ๐.๘๐ คอ่ นขา้ งงา่ ย ( ดี ) ๐.๔๐ - ๐.๕๙ ยากพอเหมาะ ( ดีมาก ) ๐.๒๐ - ๐.๓๙ ค่อนขา้ งยาก ( ดี ) ยากมาก ( ควรปรบั ปรุงหรอื ตดั ทิ้ง ) ๐ - ๐.๑๙ ๑.๒ อานาจจาแนก ( r ) หมายถงึ ความสามารถของข้อสอบในการจาแนกหรอื แยกให้เหน็ ความ แตกตา่ งระหวา่ งผู้สอบท่ีมผี ลสัมฤทธ์ิต่างกัน เพื่อท่ีจะใช้พยากรณห์ รือบง่ ช้ีความแตกต่างที่เห็นชัดในด้านความสามารถ เชน่ จาแนกคนเก่งกบั คนอ่อนจากกันได้ โดยถือว่าคนเก่งควรทาขอ้ สอบข้อน้ันได้ ส่วนผูท้ อี่ อ่ นไม่ควรทาข้อสอบขอ้ นั้น ได้ อานาจจาแนกของขอ้ สอบ จะมีคา่ ตั้งแต่ - 1 ถงึ + 1 คา่ อานาจจาแนกท่ีดี ควรมคี ่าต้ังแต่ 0.20 ขึน้ ไป r RH RL NH or NL r คือ ค่าอานาจจาแนก RH คือ จานวนนกั เรยี นทต่ี อบถูกในกล่มุ คะแนนสูง RL คอื จานวนนักเรยี นท่ีตอบถกู ในกลมุ่ คะแนนต่า NH คอื จานวนนักเรยี นทั้งหมดในกล่มุ คะแนนสงู NL คือ จานวนนกั เรยี นทั้งหมดในกลุ่มคะแนนต่า กรณที ่ีค่า r ตดิ ลบ แสดงวา่ ขอ้ สอบข้อนนั้ จาแนกกลับ คนเก่งทาไมไ่ ด้ แตค่ นอ่อนทาได้ ถอื ว่าเปน็ ขอ้ สอบท่ไี ม่ดีควรตัดท้ิง นอกจากน้ี อาจารยผ์ ้สู อนควรตรวจสอบการจัดการเรยี นสอนของตน ว่าเพราะเหตุใดผู้ท่ีเรียน เกง่ จึงไม่เข้าใจในเรอ่ื งทส่ี อน
9 เกณฑ์การแปลความหมายค่าอานาจจาแนก ( r ) ของข้อสอบ อานาจจาแนกของข้อสอบ ( r ) ความหมาย ๐.๖๐ - ๑.๐๐ อานาจจาแนกดมี าก ๐.๔๐ - ๐.๕๙ อานาจจาแนกดี ๐.๒๐ - ๐.๓๙ อานาจจาแนกพอใช้ ๐.๑๐ - ๐.๑๙ อานาจจาแนกตา่ (ควรปรับปรุงหรือตดั ทิ้ง ) -๑.๐๐ - ๐.๐๙ อานาจจาแนกตา่ มาก ( ควรปรับปรงุ หรือ ตัดท้งิ ) ขั้นตอนการหาคา่ ความยากง่ายและอานาจจาแนก 1. ตรวจให้คะแนนข้อสอบ แลว้ เรียงกระดาษคาตอบจากคะแนนมากไปหานอ้ ย 2. แบง่ กระดาษคาตอบออกเป็น 2 กลุ่ม กลมุ่ แรกเรียกวา่ กลุม่ สงู (PH) โดยนับจากคะแนนสูงลงมา ประมาณ 27% ของกระดาษคาตอบท้งั หมด และกล่มุ หลังเรยี กวา่ กลุม่ ต่า (PL) โดยนบั จากคะแนนต่าขึ้นไปประมาณ 27% ของกระดาษคาตอบทัง้ หมด 3. หาจานวนคนทีต่ อบถูกในแต่ละข้อของกลุ่มสงู และกลุ่มต่า 4. หาคา่ ความยาก (P) และค่าอานาจจาแนก (r) ตามสูตร การใช้เทคนิค 27% สาหรบั การคัดเลือกกลุ่มสูงและกลุม่ ตา่ น้ใี ช้ในกรณีที่ผ้สู อบมีจานวนมากและคะแนน มกี ารแจกแจงแบบปกติ แต่ถ้าคะแนนไม่มกี ารแจกแจงแบบปกตคิ วรใชเ้ ทคนิค 35% item กลมุ่ สูง กล่มุ ต่า P r 0.26 i1 23 32 0.79 0.14 0.29 i2 28 33 0.87 0.40 0.74 i3 18 28 0.66 0.63 0.54 i4 8 22 0.43 -0.03 0.23 i5 6 32 0.54 0.23 i6 9 31 0.57 i7 9 28 0.53 i8 31 30 0.87 i9 5 13 0.26 i10 25 33 0.83
10 การหาคุณภาพของเครอื่ งมอื โดยการใช้ EXCEL ขั้นตอนการหาคุณภาพของเครื่องมือทง้ั ฉบบั 1. การหาค่าความเที่ยงตรงของเคร่ืองมือ โดยการหาคา่ IOC จากไฟลข์ อ้ มลู data Tasap.xlsx มจี านวนข้อสอบ 5 ขอ้ ผู้เช่ียวชาญจานวน 5 คน โดยทาการกรอกคะแนน ของผูเ้ ช่ยี วชาญท้งั 5 ท่านของขอ้ สอบแตล่ ะข้อ ทาการวิเคราะหค์ ่า IOC โดยการคลิกทชี่ อ่ ง G3 แลว้ ไปที่ แทรกฟังก์ชัน ƒx
11 ปรากฏหนา้ ตา่ ง แทรกฟงั ก์ชัน จากนนั้ เลือกเมนู AVERAGE แล้ว คลกิ ตกลง
12 จะปรากฏหน้าต่าง อาร์กวิ เมนต์ของฟังก์ชนั เพอื่ ให้เลือกขอบเขตข้อมลู ที่จะทาการวเิ คราะห์ เลือกขอบเขตของข้อมูลเพ่ือทาการวเิ คราะห์ โดยคลิกเมาส์ค้างแล้วลากตั้งแตช่ อ่ ง B:3-F:3 ขอบเขตของข้อมูลจะปรากฏในช่อง Number1 จากน้นั คลกิ ปุ่ม ตกลง
13 จะปรากฏค่า IOC ของข้อ 1 ใน ชอ่ ง G3 หาคา่ IOC ของข้ออน่ื ๆ โดยการ copy สูตร โดยวางเมาส์ไปที่มุมขวาลา่ งของชอ่ ง G3 ใหเ้ ปน็ เคร่อื งหมาย + แลว้ กดเมาสค์ า้ ง พร้อมลากลงมาจนถึงช่อง G7 จะปรากฏค่า IOC ข้อสอบต้ังแต่ข้อ 1 ถึง ข้อ 5
14 2. การหาค่าความเชอื่ ม่ันจากสูตร KR20 จากไฟล์ข้อมลู เป็นผลการสอบของนักเรยี นจานวน 30 คน จากข้อสอบจานวน 20 ขอ้
15 หาคะแนนรวมของนักเรยี นแต่ละคน โดยคลกิ ท่ี ชอ่ ง V2 เป็นการหาคะแนนรวมของนักเรียนคนที่ 1 คลิกเลือก เมนู ผลรวมอตั โนมัติ จะปรากฏขอบเขตของข้อมลู ทีต่ อ้ งการหาผลรวม เม่อื ตรวจขอบเขตข้อมูลถูกต้อง กดปุ่ม Enter ท่แี ป้นพมิ พ์
16 ปรากฏผลคะแนนรวมของนักเรยี นคนที่ 1 ในชอ่ ง V3 หาคะแนนรวมของนกั เรียนคนอน่ื ๆ โดยวางเมาส์ไปทีม่ ุมขวาล่างของชอ่ ง V2 ใหเ้ ปน็ เครื่องหมาย + แลว้ กด เมาส์ค้าง พร้อมลากลงมาจนถงึ ช่อง V31 จะปรากฏคะแนนรวมของนักเรียนทุกคน
17 จากน้ัน หาคา่ ความแปรปรวน (S2) ของคะแนนรวม โดยการคลิกเมาสท์ ี่ช่อง V32 แลว้ แทรกฟังกช์ นั ƒx จากหนา้ ตา่ งแทรกฟงั กช์ นั เลือก VAR.S แล้วคลิก ปุม่ ตกลง
18 ปรากฏหนา้ ตา่ งอารก์ วิ เมนต์ของฟังก์ชนั เลือกขอบเขตขอ้ มูลเพอ่ื หาคา่ ความแปรปรวนโดยการกดเมาส์คา้ งตั่งแตช่ อ่ ง V2-V31 จะปรากฏขอบเขตของข้อมลู V2:V31 ในชอ่ ง Number1 จากน้นั เลอื กปมุ่ ตกลง ปรากฏคา่ ความแปรปรวน (S2) ในชอ่ ง V32
19 หาค่า p โดยคลกิ เมาสท์ ช่ี ่อง B32 ซ่งึ ตรงกับคะแนนข้อ 1 แล้ว คลิกปมุ่ แทรกฟงั ก์ชนั ƒx ในหน้าตา่ งแทรกฟังก์ชนั เลือก เมนู AVERAGE แล้วคลกิ ตกลง
20 เลือกขอบเขตข้อมลู ท่ีต้องการวิเคราะห์ คือคะแนนข้อ1 ของนักเรียนคนท่ี 1 ถงึ คนที่ 30 จะปรากฏ ขอบเขต ขอ้ มูล B2:B31 ในชอ่ ง Number1 จากนน้ั คลกิ ตกลง จะปรากฏค่า p ของคะแนนข้อที่ 1 จากน้ัน ทาการ copy สูตร โดยการวางเมาส์ไปที่มมุ ดา้ นล่างขวาของช่อง B32 แลว้ กดเมาสค์ า้ งพรอ้ มลากไปจนถงึ ข้อท่ี 20 คือ ช่อง U32
21 จะปรากฏค่า p ของข้อสอบทุกขอ้ หาคา่ q จากสตู ร 1-p โดยคลิกเมาสท์ ่ชี อ่ ง B33 เป็นคา่ q ข้องคะแนนขอ้ ท่ี 1 จากนน้ั พิมพ์สตู ร =1-B32 หรอื พมิ พ์ =1-แลว้ คลิกเมาสท์ ่ชี ่อง B32 ซ่งึ เปน็ คา่ p ของคะแนนข้อท่ี 1 จากนนั้ ทาการ Copy สตู รโดยการวางเมาสไ์ ปท่มี มุ ด้านล่างขวาของช่อง B33 แล้วกดเมาสค์ า้ งพร้อมลากไปจนถงึ ข้อที่ 20 คือ ช่อง U33 ปรากฏค่า q ของคะแนนขอ้ ท่ี 1 ถึง ข้อท่ี 20 หาค่า pq โดยการนาค่า p และ q มาคณู กัน โดยการพิมพ์สูตร =B3*B33 แล้ว Enter
22 จากน้ันทาการ Copy สูตร หาคา่ pq ของข้ออื่นๆ หาคา่ ผลรวมของ pq โดยคลิกปุ่ม จะปรากฏขอบเขตข้อมูล ตรวจสอบขอบเขตขอ้ มูล ถูกต้อง กดปุ่ม Enter ท่แี ปน้ พมิ พ์ ปรากฏค่า ผลรวม pq เท่ากบั 4.30 หาค่าความเชื่อม่ัน จากสตู ร KR20 = K 1 pq โดยพิมพ์ =(20/19)*(1-(V34/V32)) จากน้นั กด K 1 s 2 ปุ่ม Enter ทแี่ ปน้ พิมพ์ ปรากฏคา่ ความเชื่อมน่ั เทา่ กับ 0.837
23 3. การหาคา่ ความยากง่ายและอานาจจาแนก จากข้อมลู คะแนนสอบของนักเรียน 30 คน ขอ้ สอบ 30 ข้อ ทาการรวมคะแนนของนักเรียนทกุ คน จากน้นั เรียงลาดบั คะแนนของนกั เรียนจากคะแนนมากไปท่ีคะแนนน้อย โดยวางเมาส์ที่ช่อง X แลว้ เลอื กเมนู เรียงลาดบั และ กรอง แล้วเลือก เรยี งลาดบั จาก ฮ ถงึ ก คะแนนรวมของนักเรยี นจะถูกเรียงลาดับจากคะแนนมากไปหาคะแนนน้อย แลว้ กาหนดจานวนนักเรียนกลุ่มสงู กลุ่มตา่ โดยใช้เทคนิค 27% ได้นกั เรียนกลมุ่ สูงและกลุ่มตา่ จานวน 8 คน จากนนั้ เลือกข้อมูลโดยการลากเมาส์คา้ งแต่ แต่นกั เรยี นคนแรกซ่งึ ได้คะแนนสงู สดุ จนถงึ นักเรยี นคนท่ี 8 แล้วทาการใสสพี ้นื หลังให้กับขอ้ มลู ของนักเรยี นกลุม่ สูง
24 เลอื กข้อมูลของนักเรยี นกลมุ่ ต่า โดยการลากเมาสค์ ้างแตแ่ ต่นกั เรียนคนสดุ ท้ายซึ่งได้คะแนนต่าสุด ขึน้ มาจนถงึ นกั เรียนคนที่ 8 นบั จากล่าง แลว้ ทาการใสสพี นื้ หลังให้กับข้อมูลของนกั เรยี นกลุ่มต่า เลอื กข้อมลู ของนักเรียนท่ีอย่ใู นกลุม่ ปานกลางโดยการเลอื กทั้งแถว จากนน้ั คลิกขวา พร้อม เลอื กเมนู ซ่อน ขอ้ มูลของนักเรยี นในกลมุ่ ปานกลางจะถูกซ่อนไว้
25 หาผลรวมของจานวนนกั เรียนที่ตอบถูกในกลุ่มสูง โดยการคลิกเมาสท์ ช่ี อ่ ง B32 แลว้ เลอื ก เมนู จากน้ันเลือกขอบเขตข้อมูลของคะแนนขอ้ 1 ของนักเรียนในกลุ่มสงู แล้วกด Enter จะปรากฏ ข้อมูลจานวนคนที่ตอบถูกในกลมุ่ สูง
26 Copy สตู ร หาจานวนคนในกล่มุ สงู ท่ีตอบถูกในแตล่ ะขอ้ หาผลรวมของจานวนนกั เรียนทีต่ อบถกู ในกลุ่มต่า โดยการคลิกเมาสท์ ชี่ ่อง B33 แล้วเลือก เมนู จากนน้ั เลือกขอบเขตข้อมูลของคะแนนข้อ 1 ของนักเรยี นในกลมุ่ ตา่ แล้วกด Enter จะปรากฏ ขอ้ มลู จานวนคนที่ตอบถกู ในกลุ่มตา่
27 Copy สูตร หาจานวนคนในกลมุ่ ตา่ ที่ตอบถกู ในแต่ละข้อ หาคา่ ความยากง่ายของขอ้ สอบแต่ละข้อ โดยการพิมพ์สตู ร =(B32+B33)/16 แลว้ กดปุ่ม Enter เมื่อ B32 คือ จานวนคนกลุ่มสูงท่ีตอบถูกในข้อ 1 B33 คือจานวนคนกล่มุ ตา่ ทีต่ อบถูกในขอ้ 1 และ 16 คอื จานวนคนทั้งหมดของ กล่มุ สงู และกล่มุ ตา่
28 เมอื่ กดปมุ่ Enter แล้ว Copy สตู ร จาไดค้ า่ ความยากง่ายของข้อสอบทง้ั 20 ข้อ หาคา่ ความอานาจจาแนกของข้อสอบแต่ละขอ้ โดยการพิมพ์สูตร =(B32-B33)/8 แลว้ กดปุ่ม Enter เมื่อ B32 คอื จานวนคนกลมุ่ สงู ที่ตอบถูกในข้อ 1 B33 คอื จานวนคนกล่มุ ตา่ ทตี่ อบถูกในข้อ 1 และ 8 คือ จานวนคนทงั้ หมด ของกล่มุ สูงหรอื กล่มุ ตา่ เมือ่ กดป่มุ Enter แลว้ Copy สตู ร จาไดค้ า่ อานาจจาแนกของข้อสอบท้ัง 20 ขอ้ จากผลการวเิ คราะห์ค่าความยากง่ายและค่าอานาจจาแนกปรากฏวา่ ข้อสอบข้อที่ 2 มีค่าอานาจจาแนกไม่ผ่าน เกณฑ์ (r=0.13)
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: