Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมฟิสิกส์3

(คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมฟิสิกส์3

Published by แชร์งานครู Teachers Sharing, 2021-01-26 05:20:55

Description: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมฟิสิกส์3
คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3
ตามผลเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Keywords: (คู่มือ) หนังสือเรียนสสวท เพิ่มเติมฟิสิกส์3,คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์,กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560),หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

Search

Read the Text Version

ฟสิ กิ ส์ เลม่ 3 บทท่ี 11 | แสงเชิงรงั สี 285 f = 0.20 m f = 0.15 m 0.05 m 0.15 m 0.20 m รปู ประกอบวธิ ที ำ�สำ�หรับปญั หาท้าทายขอ้ 36 ตอบ เลนสท์ ง้ั สองอยูห่ า่ งกันเท่ากบั 0.05 เมตร 37. เลนส์นูนความยาวโฟกัส 24.0 เซนติเมตร อยู่ทางซ้ายของเลนส์เว้าที่มีความยาวโฟกัส 28.0 เซนตเิ มตร โดยเลนสท์ งั้ สองวางหา่ งกนั 56.0 เซนตเิ มตร และมเี สน้ แกนมขุ ส�ำ คญั รว่ มกนั ถา้ วางวตั ถทุ างซา้ ยของเลนสน์ นู และหา่ งจากเลนสน์ นู 12.0 เซนตเิ มตร จงหาต�ำ แหนง่ ของภาพ สุดทา้ ยเทยี บกบั เลนสเ์ ว้า วิธที ำ� เขยี นแผนภาพทางเดนิ ของแสงได้ดังนี้ ภาพจากเลนสนูน ภาพจากเลนสเวา วัตถุ 12.0 cm 20.7 cm f = 24.0 cm f = 24.0 cm f = 28.0 cm f2 = 28.0 cm 1 1 2 56.0 cm รปู ประกอบวธิ ีทำ�สำ�หรบั ปัญหาทา้ ทายขอ้ 37 จากสมการเลนสบ์ าง 1 1 1 f s sc หาต�ำ แหน่งของภาพแรกทเี่ กดิ จากเลนสน์ ูน ในทนี่ ี้ s = +12.0 cm และ f = +24.0 cm แทนค่า 1 1 1 24.0 cm 12.0 cm sc จะได ้ sc 24.0 cm สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

286 บทท่ี 11 | แสงเชิงรงั สี ฟสิ กิ ส์ เล่ม 3 หาตำ�แหน่งของภาพที่สองที่เกดิ จากเลนส์เวา้ ในทีน่ ้ี s = (+56.0 cm) + (+24.0 cm) = +80.0 cm และ f = -28.0 cm แทนคา่ 1 cm = 1 cm + 1 −28.0 +80.0 s′ จะได้ s′ = −20.7 cm ตอบ ภาพสดุ ท้ายอยู่หน้าเลนส์เว้าโดยมรี ะยะห่างเทา่ กบั 20.7 เซนติเมตร 38. เลนส์เว้าความยาวโฟกัส 9.0 เซนติเมตร ท่ีมีลักษณะเหมือนกันสองอันวางห่างกัน 16.0 เซนติเมตร และมีเส้นแกนมุขสำ�คัญร่วมกัน ถ้าวางวัตถุทางซ้ายห่างจากเลนส์ที่อยู่ทาง ซ้ายเท่ากับ 4.0 เซนตเิ มตร จงหาระยะภาพสุดท้ายเทยี บกบั เลนส์ทอี่ ยทู่ างขวา วิธที �ำ เขยี นแผนภาพทางเดนิ ของแสงได้ดงั นี้ วัตถุ ภาพแรก ภาพสุดท�าย 4.0 cm 16.0 cm รูป ประกอบวิธที �ำ ส�ำ หรับปญั หาท้าทายขอ้ 38 จากสมการเลนส์บาง 1 = 1 + 1 f s s′ หาตำ�แหน่งของภาพแรกท่ีเกิดจากเลนส์เว้าทางซ้าย ในที่น้ี s = +4.0 cm และ f = -9.0 cm 1 11 แทนคา่ −9.0 cm = +4.0 cm + s′ จะได้ s′ = − 36 cm 13 หาต�ำ แหนง่ ของภาพสดุ ทา้ ยที่เกดิ จากเลนสเ์ วา้ ทางขวา ในท่ีน้ี s = +16.0 cm + 36 cm = + 244 cm และ f = -9.0 cm 13 13 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟิสิกส์ เลม่ 3 บทท่ี 11 | แสงเชงิ รังสี 287 แทนค่า 1 = 1 +1 จะได้ −9.0cm (+244 /13) cm s′ s′ = − 6.08cm ตอบ ภาพสดุ ทา้ ยอยูห่ น้าเลนส์เว้าอนั ทีอ่ ยทู่ างขวาโดยมรี ะยะห่างเท่ากบั 5.6 เซนติเมตร 39. เลนส์เว้าความยาวโฟกัส 10.0 เซนติเมตร อยู่ทางซ้ายของเลนส์นูนความยาวโฟกัส 30.0 เซนติเมตร เป็นระยะ 20.0 เซนติเมตร ถ้าวางวัตถุสูง 3.0 เซนติเมตรอยู่ทางซ้ายของ เลนสเ์ วา้ ท่ีโฟกสั พอด ี จงหาระยะภาพสดุ ท้ายเทียบกับเลนส์นนู และความสงู ของภาพสดุ ท้าย วิธที ำ� จากสมการเลนสบ์ าง 1 = 1 + 1 f s s′ หาตำ�แหน่งของภาพแรกทเ่ี กิดจากเลนส์เว้า ในท่นี ี้ s = +10.0 cm และ f = -10.0 cm แทนคา่ 1 cm = 1 cm + 1 −10.0 +10.0 s′ จะได ้ s′ = −5.0 cm หากำ�ลังขยายจาก M = yy ′ = − s′ s แทนค่า y′ = − −5.0 cm +3.0 cm +10.0 cm จะได้ y′ = 1.5 cm หาต�ำ แหน่งของภาพที่เกิดจากเลนสน์ นู ในที่นี้ s = (+20.0 cm) + (+50.0 cm) = +25.0 cm และ f = +30.0 cm 11 11 11 แทนคา่ ++3300..00 ccmm == ++2255..00 ccmm ++ ss′′ จะได ้ ss′′==−−115500..00ccmm หาก�ำ ลงั ขยายจาก M M = = yy y y′′==−−ssss′′ แทนคา่ yy′′ == −− −−115500..00 ccmm ++11..55 ccmm ++2255..00 ccmm จะได ้ yy ′ ′ = = 9 9 . .0 0 ccmm สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

288 บทที่ 11 | แสงเชงิ รงั สี ฟิสิกส์ เลม่ 3 ตอบ ภาพสดุ ท้ายอยหู่ น้าเลนส์นูนโดยมีระยะห่างเท่ากบั 150.0 เซนตเิ มตร และเปน็ ภาพทมี่ ี ความสูงเท่ากับ 9.0 เซนติเมตร 40. วตั ถหุ นึ่งอยูห่ นา้ กระจกโคง้ นูน 25 เซนตเิ มตร เกิดภาพหลังกระจก 20 เซนตเิ มตร ถ้าวตั ถอุ ยู่ ท่ี 18 เซนติเมตร จะเกดิ ภาพทใี่ ด วิธที ำ� หาโฟสกัสของกระจกโคง้ นนู จากสมการ 1 =1+ 1 f s s′ ในท่ีน้ี s = +25 cm และ s′ = −20 cm แทนค่า 1 = 1 + 1 f +25 cm −20 cm จะได้ f = −100 cm หาระยะภาพ เม่ือ s = +18 cm และ f = -100 cm แทนคา่ 1 cm = 1 + 1 −100 +18 cm s′ จะได้ s′ = −15.25 cm ตอบ เกิดภาพหลงั กระจกโค้งนนู เป็นระยะทางเท่ากบั 15.25 เซนติเมตร 41. วางวัตถุไว้หน้ากระจกโค้งเว้าที่มีความยาวโฟกัสเท่ากับ 10.0 เซนติเมตร ทำ�ให้เกิดภาพจริง ขนาดขยาย 4 เทา่ วตั ถุน้อี ยหู่ า่ งจากกระจกเปน็ ระยะเทา่ ใด วธิ ีท�ำ จากก�ำ ลังขยาย M = − s′ s ในทน่ี ี้ M = -4 แทนค่า −4 = − s′ s จะได้ s′ = +4s จากสมการ 1 11 =+ f s s′ ในทีน่ ้ี s' = +4s และ f = +10.0 cm สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟสิ กิ ส์ เลม่ 3 บทที่ 11 | แสงเชงิ รังสี 289 แทนค่า 1 1 1 10.0 cm s 4s 1 41 10.0 cm 4s s 7.5 cm ตอบ วัตถอุ ย่หู ่างจากกระจกโคง้ เวา้ เปน็ ระยะทางเท่ากบั 7.5 เซนติเมตร 42. ชายคนหนึ่งยืนริมฝั่งแม่นำ้� และฝ่ังตรงข้ามมีต้นไม้ต้นหน่ึง เขาใช้กระจกบานหนึ่งหาความสูง ของตน้ ไม้ และระยะทางระหวา่ งตน้ ไมก้ บั ตวั เขา พบวา่ กระจกเงาท�ำ ใหเ้ กดิ ภาพของดวงอาทติ ย์ ที่ระยะ 0.80 เมตรจากหน้ากระจก เกิดภาพของต้นไม้ที่มีความสูง 0.10 เมตร และอยู่ท่ี 0.81 เมตร จากหน้ากระจก จงหา ก. กระจกเงาท่ใี ชเ้ ปน็ กระจกโคง้ เว้าหรือกระจกโค้งนนู ข. ตน้ ไมอ้ ยหู่ ่างจากชายคนนน้ั ประมาณเท่าใด ค. ต้นไมส้ งู ประมาณเทา่ ใด วธิ ที ำ� ก. เน่ืองจากกระจกเงาทำ�ให้เกิดภาพของดวงอาทิตย์ที่ 0.80 เมตร หน้ากระจกเงา แสดงว่า กระจกเงาทใ่ี ช้เปน็ กระจกเงาโค้งเวา้ มีความยาวโฟกสั f = +0.80 cm ข. กระจกโค้งเวา้ ทำ�ให้เกดิ ภาพจรงิ หนา้ กระจก โดยมีระยะภาพ sc 0.81 m จากสมการ 1 1 1 f s sc ในทน่ี ี้ f = +0.80 cm และ sc 0.81 m แทนค่า 1 1 1 0.80 m s 0.81 m จะได้ s 64.8 m M yc  sc ys 0.10 m  0.81 m y 64.8 m y 8.0 m s 64.8 m สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

290 บทท่ี 11 | แสงเชิงรงั สี ฟสิ ิกส์ เล่ม 3 1 1 1 0.80 m s 0.81 m ค. หาความสงู ของต้นไม้ s 64.8 m จากำ�ลงั ขยาย M yc  sc ys แทนค่า 0.10 m  0.81 m y 64.8 m จะได้ y 8.0 m ตอบ ก. กระจกเงาท่ใี ช้เป็นกระจกโค้งเว้าs 64.8 m ข. ต้นไมอ้ ยหู่ ่างจากชายคนนน้ั ประมาณ 65 เมตร ค. ตน้ ไม้สูงประมาณ 8 เมตร สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟิสกิ ส์ เล่ม 3 ภาคผนวก 291 ภาคผนวก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

292 ภาคผนวก ฟิสกิ ส์ เล่ม 3 ตวั อย่างเครื่องมอื วดั และประเมนิ ผล แบบทดสอบ การประเมินผลด้วยแบบทดสอบเป็นวิธีท่ีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการวัดผลสัมฤทธิ์ใน การเรียนโดยเฉพาะด้านความรู้เเละความสามารถทางสติปัญญา ครูควรมีความเข้าใจในลักษณะของ แบบทดสอบ รวมทัง้ ขอ้ ดแี ละข้อจำ�กัดของแบบทดสอบรปู แบบต่าง ๆ เพ่ือประโยชน์ในการสร้างหรือเลือก ใชแ้ บบทดสอบใหเ้ หมาะสมกับส่งิ ท่ตี ้องการวัด โดยลักษณะของแบบทดสอบ รวมทงั้ ข้อดีและขอ้ จำ�กัดของ แบบทดสอบรปู แบบตา่ ง ๆ เป็นดงั น้ี 1) แบบทดสอบแบบทมี่ ีตัวเลือก แบบทดสอบแบบท่มี ีตัวเลือก ไดแ้ ก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบทดสอบแบบถูกหรอื ผดิ และแบบทดสอบแบบจบั คู่ รายละเอียดของแบบทดสอบแตล่ ะแบบเปน็ ดงั นี้ 1.1) แบบทดสอบแบบเลอื กตอบ เปน็ แบบทดสอบทม่ี ีการก�ำ หนดตัวเลอื กใหห้ ลายตัวเลอื ก โดยมตี วั เลือกที่ถูกเพยี งหนงึ่ ตวั เลอื ก องค์ประกอบหลกั ของแบบทดสอบแบบเลือกตอบมี 2 สว่ น คือ ค�ำ ถามและตัวเลอื ก แต่บางกรณี อาจมีสว่ นของสถานการณ์เพม่ิ ขน้ึ มาด้วย แบบทดสอบแบบเลือกตอบมหี ลายรูปแบบ เชน่ แบบทดสอบ แบบเลือกตอบคำ�ถามเดี่ยว แบบทดสอบแบบเลือกตอบคำ�ถามชุด แบบทดสอบแบบเลือกตอบคำ�ถาม 2 ชน้ั โครงสรา้ งดงั ตัวอย่าง แบบทดสอบแบบเลอื กตอบแบบค�ำ ถามเด่ยี วทไ่ี มม่ สี ถานการณ์ คำ�ถาม............................................................................................... ตวั เลอื ก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟสิ ิกส์ เลม่ 3 ภาคผนวก 293 แบบทดสอบแบบเลอื กตอบแบบคำ�ถามเดยี่ วที่มีสถานการณ์ สถานการณ์....................................................................................... คำ�ถาม............................................................................................... ตัวเลอื ก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. แบบทดสอบแบบเลอื กตอบแบบค�ำ ถามเปน็ ชุด สถานการณ.์ ...................................................................................... คำ�ถามท่ี 1............................................................................................... ตวั เลอื ก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. คำ�ถามท่ี 2............................................................................................... ตวั เลอื ก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

294 ภาคผนวก ฟสิ ิกส์ เลม่ 3 แบบทดสอบแบบเลอื กตอบแบบค�ำ ถาม 2 ชั้น สถานการณ์....................................................................................... ค�ำ ถามท่ี 1......................................................................................... ตัวเลอื ก ก................................................................................. ข................................................................................. ค................................................................................. ง................................................................................. ค�ำ ถามที่ 2...(ถามเหตผุ ลของการตอบค�ำ ถามที่ 1)... ......................................................................................................... ......................................................................................................... แบบทดสอบแบบเลือกตอบมีข้อดีคือ สามารถใช้ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนได้ครอบคลุม เนื้อหาตามจุดประสงค์ สามารถตรวจให้คะแนนและแปลผลคะแนนไดต้ รงกัน แต่มีขอ้ จ�ำ กดั คือ ไม่เปิด โอกาสใหน้ ักเรยี นไดแ้ สดงออกอยา่ งอสิ ระจึงไม่สามารถวัดความคิดระดับสูง เช่น ความคดิ สร้างสรรคไ์ ด้ นอกจากน้ีนกั เรียนที่ไมม่ ีความรู้สามารถเดาค�ำ ตอบได้ 1.2) แบบทดสอบแบบถูกหรอื ผิด เปน็ แบบทดสอบท่ีมีตวั เลือก ถูกและผดิ เทา่ นั้น มอี งคป์ ระกอบ 2 สว่ น คอื คำ�สั่งและ ข้อความใหน้ ักเรียนพจิ ารณาว่าถกู หรอื ผดิ ดังตัวอยา่ ง แบบทดสอบแบบถกู หรือผดิ คำ�สั่ง ใหพ้ จิ ารณาว่าขอ้ ความตอ่ ไปนถี้ ูกหรือผิด เเล้วใสเ่ ครอ่ื งหมาย หรอื หนา้ ข้อความ ................ 1. ข้อความ............................................................................ ................ 2. ขอ้ ความ............................................................................ ................ 3. ขอ้ ความ............................................................................ ................ 4. ข้อความ............................................................................ ................ 5. ข้อความ............................................................................ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟิสิกส์ เลม่ 3 ภาคผนวก 295 แบบทดสอบรปู แบบนส้ี ามารถสรา้ งไดง้ า่ ย รวดเรว็ เเละครอบคลมุ เนอ้ื หา สามารถตรวจ ได้รวดเร็วเเละให้คะเเนนได้ตรงกัน แต่นักเรียนมีโอกาสเดาได้มาก และการสร้างข้อความเป็นจริงหรือ เป็นเทจ็ โดยสมบูรณใ์ นบางเน้ือทำ�ไดย้ าก 1.3) แบบทดสอบแบบจับคู่ ประกอบด้วยส่วนที่เป็นคำ�สั่ง และข้อความสองชุดที่ให้จับคู่กัน โดยข้อความชุดที่ 1 อาจเปน็ คำ�ถาม และข้อความชุดท่ี 2 อาจเปน็ ค�ำ ตอบหรือตวั เลอื ก โดยจ�ำ นวนข้อความในชุดท่ี 2 อาจมี มากกว่าในชดุ ท่ี 1 ดังตัวอย่าง แบบทดสอบแบบจบั คู่ คำ�ส่ัง ให้น�ำ ตัวอกั ษรหน้าข้อความในชุดคำ�ตอบมาเตมิ ในชอ่ งวา่ งหนา้ ขอ้ ความในชดุ ค�ำ ถาม ชดุ ค�ำ ถาม ชุดค�ำ ตอบ ............ 1. ขอ้ ความ.............................. ก. ขอ้ ความ.............................. ............ 2. ข้อความ.............................. ข. ขอ้ ความ.............................. ............ 3. ข้อความ.............................. ค. ข้อความ.............................. ง. ข้อความ.............................. แบบทดสอบรูปแบบน้ีสร้างได้ง่าย ตรวจให้คะแนนได้ตรงกัน และเดาคำ�ตอบได้ยาก เหมาะสำ�หรับวัดความสามารถในการหาความสัมพันธ์ระหวา่ งค�ำ หรอื ข้อความ 2 ชุด แต่ในกรณีท่นี ักเรยี น จับคูผ่ ดิ ไปแลว้ จะทำ�ใหม้ กี ารจบั คู่ผิดในคู่อื่น ๆ ด้วย 2) แบบทดสอบแบบเขยี นตอบ เปน็ แบบทดสอบทใ่ี หน้ ักเรยี นคดิ คำ�ตอบเอง จงึ มีอิสระในการแสดงความคดิ เห็นและสะทอ้ น ความคิดออกมาโดยการเขยี นใหผ้ ูอ้ ่านเข้าใจ โดยทัว่ ไป การเขยี นตอบมี 2 แบบ คอื การเขยี นตอบแบบ เตมิ ค�ำ หรอื การเขยี นตอบอยา่ งสน้ั และการเขยี นตอบแบบอธบิ าย รายละเอยี ดของแบบทดสอบทม่ี กี ารตอบ แต่ละแบบเป็นดังนี้ 2.1) แบบทดสอบเขยี นตอบแบบเติมค�ำ หรอื ตอบอย่างสั้น ประกอบด้วยคำ�ส่ังและขอ้ ความที่ไมส่ มบรู ณ์ ซ่งึ จะมีส่วนทเ่ี วน้ ไว้เพือ่ ให้เตมิ ค�ำ ตอบหรอื ข้อความส้นั ๆ เพ่ือใหเ้ ติมค�ำ ตอบหรอื ขอ้ ความส้ัน ๆ ท่ที �ำ ใหข้ อ้ ความข้างตน้ ถกู ต้องหรอื สมบูรณ์ นอกจากนี้ แบบทดสอบยังอาจประกอบด้วยสถานการณ์และคำ�ถามที่ให้นักเรียนตอบโดยการเขียนอย่างอิสระ แต่สถานการณแ์ ละคำ�ถามจะเปน็ สิ่งทีก่ ำ�หนดค�ำ ตอบใหม้ ีความถกู ตอ้ งและเหมาะสม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

296 ภาคผนวก ฟสิ ิกส์ เลม่ 3 แบบทดสอบรูปแบบน้ีสร้างได้ง่าย มีโอกาสเดาได้ยาก และสามารถวินิจฉัยคำ�ตอบที่ นกั เรียนตอบผดิ เพอื่ ให้ทราบถงึ ขอ้ บกพร่องทางการเรยี นรหู้ รอื ความเข้าใจทค่ี ลาดเคล่ือนได้ แตก่ ารจำ�กดั คำ�ตอบใหน้ ักเรยี นตอบเป็นคำ� วลี หรอื ประโยคได้ยาก ตรวจให้คะแนนไดย้ ากเน่ืองจากบางคร้ังมคี �ำ ตอบ ถกู ต้องหรอื ยอมรบั ไดห้ ลายคำ�ตอบ 2.2) แบบทดสอบเขยี นตอบแบบอธิบาย เป็นแบบทดสอบที่ต้องการให้นักเรียนตอบอย่างอิสระ ประกอบด้วยสถานการณ์และ ค�ำ ถามท่ีสอดคล้องกัน โดยคำ�ถามเป็นคำ�ถามแบบปลายเปิด แบบทดสอบรูปแบบนี้ในการตอบจึงสามารถใช้วัดความคิดระดับสูงได้ แต่เนื่องจาก นกั เรียนตอ้ งใชเ้ วลาในการคิดและเขียนคำ�ตอบมาก ทำ�ใหถ้ ามได้น้อยข้อ จึงอาจทำ�ใหว้ ดั ได้ไม่ครอบคลมุ เนอื้ หาทงั้ หมด รวมทง้ั ตรวจใหค้ ะแนนยาก และการตรวจให้คะแนนอาจไมต่ รงกัน แบบประเมนิ ทกั ษะ เมื่อนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมจริงจะมีหลักฐานร่องรอยที่แสดงไว้ทั้งวิธีการปฏิบัติและผล การปฏิบัติ ซึง่ หลักฐานรอ่ งรอยเหลา่ นัน้ สามารถใช้ในการประเมินความสามารถ ทักษะการคิด และทักษะ ปฏบิ ตั ไิ ดเ้ ป็นอย่างดี การปฏบิ ัตกิ ารทดลองเป็นกิจกรรมที่สำ�คญั ทใี่ ช้ในการจัดการเรยี นรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ โดยทั่วไป ประเมนิ ได้ 2 สว่ น คอื ประเมนิ ทกั ษะการปฏบิ ตั กิ ารทดลองและการเขยี นรายงานการทดลอง โดยเครอื่ งมอื ทีใ่ ช้ประเมนิ ดงั ตวั อยา่ ง ตวั อย่างแบบส�ำ รวจรายการทกั ษะปฏบิ ัตกิ ารทดลอง รายการทตี่ ้องส�ำ รวจ ผลการสำ�รวจ ไมม่ ี มี การวางเเผนการทดลอง (ระบุจำ�นวนครง้ั ) การทดลองตามข้ันตอน การสังเกตการทดลอง การบนั ทึกผล การอภปิ รายผลการทดลองกอ่ นลงขอ้ สรปุ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟิสิกส์ เลม่ 3 ภาคผนวก 297 ตัวอย่างแบบประเมนิ ทกั ษะปฏบิ ัตกิ ารทดลอง ทใี่ ชเ้ กณฑ์การใหค้ ะเเนนเเบบเเยกองค์ประกอบยอ่ ย ทกั ษะปฏบิ ัติการ 3 คะแนน 1 ทดลอง 2 การเลอื กใชอ้ ปุ กรณ์ / เลอื กใช้อุปกรณ์ / เลอื กใช้อปุ กรณ์ / เลอื กใชอ้ ปุ กรณ์ / เคร่อื งมอื ใน เครอ่ื งมอื ในการทดลอง เครอ่ื งมอื ในการทดลอง เครอ่ื งมอื ในการทดลอง การทดลอง ได้ถูกตอ้ งเหมาะสม ไดถ้ กู ตอ้ งเเตไ่ มเ่ หมาะสม ไมถ่ กู ตอ้ ง กับงาน กบั งาน การใช้อุปกรณ์ / เลือกใช้อุปกรณ์ / ใช้อุปกรณ์ /เครอ่ื งมอื ใน ใช้อุปกรณ์ /เครอ่ื งมอื ใน เครื่องมอื ใน เครอ่ื งมอื ในการทดลอง การทดลองไดถ้ กู ตอ้ งตาม การทดลองไมถ่ กู ตอ้ ง การทดลอง ไดอ้ ยา่ งคลอ่ งเเคลว่ หลกั การปฏบิ ติ ิ แตไ่ ม่ และถูกตอ้ งตามหลกั คลอ่ งเเคลว่ การปฏิบตั ิ การทดลองตาม ทดลองตามวธิ ีการเเละ ทดลองตามวิธีการเเละ ทดลองตามวธิ กี ารเเละ เเผนทก่ี ำ�หนด ขั้นตอนท่กี ำ�หนดไว้ ขั้นตอนที่ก�ำ หนดไว้ มี ขนั้ ตอนท่ีก�ำ หนดไวห้ รอื อย่างถกู ตอ้ ง มกี ารปรับ การปรับปรุงเเกไ้ ขบา้ ง ดำ�เนินการขา้ มขน้ั ตอน ปรุงเเก้ไขเปน็ ระยะ ทีก่ �ำ หนดไว้ ไม่มีการ ปรับปรงุ แกไ้ ข สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

298 ภาคผนวก ฟิสกิ ส์ เล่ม 3 ตวั อยา่ งแบบประเมินทกั ษะปฏบิ ัติการทดลอง ที่ใช้เกณฑ์การใหค้ ะเเนนเเบบมาตรประมาณค่า ผลการประเมิน ทักษะทปี่ ระเมิน ระดับ 3 ระดบั 2 ระดบั 1 1.วางแผนการทดลองอยา่ งเป็นข้ันตอน ระดับ 3 ระดับ 2 ระดบั 1 2.ปฏบิ ัตกิ ารทดลองไดอ้ ย่างคลอ่ งเเคลว่ สามารถ หมายถงึ หมายถงึ หมายถึง เลอื กใช้อุปกรณ์ไดถ้ กู ต้อง เหมาะสมเเละจัดวาง ปฏบิ ัติได้ทั้ง ปฏิบตั ไิ ด้ ปฏบิ ัตไิ ด้ อุปกรณเ์ ปน็ ระเบียบ สะดวกต่อการใชง้ าน 3 ข้อ 2 ขอ้ 1 ขอ้ 3.บันทกึ ผลการทดลองได้ถกู ตอ้ งเเละครบถว้ น สมบรู ณ์ ตวั อยา่ งเเนวทางให้คะเเนนการเขียนรายงานการทดลอง 3 คะเเนน 1 2 เขียนรายการตามล�ำ ดบั ขั้นตอน ผลการทดลองตรง เขยี นรายงานการทดลองตาม เขยี นรายงานโดยล�ำ ดับข้ันตอน ตามสภาพจริงเเละส่ือ ล�ำ ดับ เเตไ่ ม่สื่อความหมาย ไมส่ อดคล้องกนั เเละสอ่ื ความหมาย ความหมาย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟสิ ิกส์ เล่ม 3 ภาคผนวก 299 แบบประเมนิ คุณลกั ษณะด้านจิตวิทยาศาสตร์ การประเมินจิตวิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำ�ได้โดยตรง โดยท่ัวไปทำ�โดยการตรวจสอบ พฤติกรรมภายนอกท่ีปรากฏให้เห็นในลักษณะของคำ�พูด  การแสดงความคิดเห็น การปฏิบัติหรือ พฤติกรรมบ่งชี้ท่ีสามารถสังเกตหรือวัดได้ และแปลผลไปถึงจิตวิทยาศาสตร์ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีส่งผลให้เกิด พฤตกิ รรมดังกลา่ ว เครอื่ งมอื ท่ีใช้ประเมินคณุ ลักษณะด้านจติ วิทยาศาสตร์ ดงั ตวั อยา่ ง ตวั อย่างแบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะดา้ นจติ วิทยาศาสตร์ คำ�ชีเ้ เจง จงทำ�เครื่องหมาย ลงในชอ่ งวา่ งทต่ี รงกบั คุณลกั ษณะท่นี กั เรียนเเสดงออก โดยจำ�เเนกระดับ พฤติกรรมการเเสดงออกเป็น 4 ระดบั ดังน้ี มาก หมายถึง นักเรยี นเเสดงออกในพฤติกรรมเหล่านั้นอยา่ งสม�ำ่ เสมอ ปานกลาง หมายถึง นักเรยี นเเสดงออกในพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นครง้ั คราว น้อย หมายถงึ นักเรียนเเสดงออกในพฤติกรรมเหล่าน้ันน้อยคร้ัง ไม่มกี ารเเสดงออก หมายถงึ นกั เรยี นเเสดงออกในพฤติกรรมเหล่านน้ั เลย ระดับพฤตกิ รรมการเเสดงออก รายการพฤตกิ รรมการเเสดงออก มาก ปานกลาง นอ้ ย ไมม่ ีการ เเสดงออก ด้านความอยากรู้อยากเหน็ 1.นกั เรียนสอบถามจากผ้รู ู้หรือไปศกึ ษาคน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ เมอ่ื เกดิ ความสงสยั ในเรอ่ื งราววทิ ยาศาสตร์ 2.นกั เรียนชอบไปงานนทิ รรศการวิทยาศาสตร์ 3.นกั เรยี นน�ำ การทดลองทส่ี นใจไปทดลองตอ่ ทบ่ี า้ น ด้านความซอ่ื สตั ย์ 1.นกั เรยี นรายงานผลการทดลองตามทท่ี ดลองไดจ้ รงิ 2.เมอ่ื ท�ำ งานทดลองผดิ พลาด นักเรยี นจะลอกผล การทดลองของเพื่อนส่งครู 3.เมอื่ ครูมอบหมายให้ท�ำ ช้นิ งานสง่ิ ประดิษฐ์ นกั เรยี นจะประดิษฐ์ตามเเบบทปี่ รากฏอยูใ่ น หนังสอื สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

300 ภาคผนวก ฟิสกิ ส์ เล่ม 3 ระดบั พฤตกิ รรมการเเสดงออก รายการพฤตกิ รรมการเเสดงออก มาก ปานกลาง นอ้ ย ไมม่ ีการ เเสดงออก ด้านความใจกวา้ ง 1.แม้ว่านกั เรียนจะไมเ่ ห็นด้วยกบั การสรปุ ผลการ ทดลองในกลุ่ม แต่กย็ อมรบั ผลสรปุ ของสมาชกิ สว่ นใหญ่ 2.ถ้าเพื่อนแยง่ วธิ ีการทดลองนักเรียนและมเี หตผุ ล ทด่ี กี ว่า นกั เรียนพร้อมที่จะน�ำ ขอ้ เสนอเเนะของ เพือ่ นไปปรบั ปรุงงานของตน 3.เมอ่ื งานท่นี กั เรียนต้ังใจและทมุ่ เททำ�ถกู ตำ�หนิ หรอื โตเ้ เยง้ นักเรยี นจะหมดก�ำ ลังใจ ด้านความรอบคอบ 1.นักเรยี นสรุปผลการทดลองทนั ทเี ม่อื เสรจ็ สิน้ การทดลอง 2.นักเรยี นทำ�การทดลองซ้ำ� ๆ ก่อนท่จี ะสรุปผล การทดลอง 3.นักเรยี นตรวจสอบความพร้อมของอปุ กรณ์กอ่ น ทำ�การทดลอง ด้านความมุ่งมนั่ อดทน 1.ถึงแมว้ ่างานคน้ ควา้ ทท่ี ำ�อยู่มีโอกาสส�ำ เร็จไดย้ าก นกั เรียนจะยังคน้ ควา้ ตอ่ ไป 2.นักเรียนลม้ เลกิ การทดลองทนั ที เมอ่ื ผลการ ทดลองทไ่ี ด้ขดั จากท่เี คยเรียนมา 3.เมือ่ ทราบวา่ ชดุ การทดลองทนี่ กั เรยี นสนใจต้อง ใช้ระยะเวลาในการทดลองนาน นกั เรยี นก็ เปล่ียนไปศึกษาชดุ การทดลองที่ใชเ้ วลาน้อยกวา่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟสิ กิ ส์ เลม่ 3 ภาคผนวก 301 ระดบั พฤตกิ รรมการเเสดงออก รายการพฤตกิ รรมการเเสดงออก มาก ปานกลาง น้อย ไมม่ กี าร เเสดงออก เจตคติที่ดตี อ่ วิทยาศาสตร์ 1.นกั เรยี นนำ�ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ เเกป้ ัญหาในชีวิตประจ�ำ วนั อยู่เสมอ 2.นักเรียนชอบทำ�กิจกรรมท่เี ก่ียวขอ้ งกบั วิทยาศาสตร์ 3.นกั เรยี นสนใจติดตามข่าวสารทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับ วิทยาศาสตร์ วิธีการตรวจให้คะเเนน ตรวจให้คะเเนนตามเกณฑโ์ ดยก�ำ หนดน้ำ�หนกั ของตวั เลขในช่องต่าง ๆ เปน็ 4 3 2 1 ตามล�ำ ดบั ขอ้ ความทม่ี คี วามหมายเปน็ ทางบวก ก�ำ หนดใหค้ ะเเนนเเตล่ ะขอ้ ความดังตอ่ ไปน้ี ระดบั พฤตกิ รรมการเเสดงออก คะเเนน มาก 4 3 ปานกลาง 2 น้อย 1 ไม่มกี ารเเสดงออก สว่ นของขอ้ ความทม่ี คี วามหมายเปน็ ทางลบ ก�ำ หนดใหค้ ะเเนนในแตล่ ะขอ้ ความมลี กั ษณะตรงขา้ ม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

302 ภาคผนวก ฟสิ ิกส์ เลม่ 3 การประเมนิ การน�ำ เสนอผลงาน การประเมินผลและให้คะแนนการนําเสนอผลงานอาจใช้แนวทางการประเมินเช่นเดียวกับ การประเมนิ ภาระงานอืน่ คือ การใช้คะแนนแบบภาพรวม และการใหค้ ะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบยอ่ ย ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 1) การให้คะแนนในภาพรวม เป็นการให้คะแนนที่ต้องการสรุปภาพรวมจึงประเมินเฉพาะ ประเด็นหลกั ที่สําคญั ๆ เชน่ การประเมินความถูกต้องของเนื้อหา ความรแู้ ละการประเมนิ สมรรถภาพ ด้านการเขียน โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบภาพรวม ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้ ตัวอย่างเกณฑ์การประเมนิ ความถูกต้องของเน้อื หาความรู้ (แบบภาพรวม) ระดบั ประเมิน ต้องปรับปรุง รายการประเมิน พอใช้ - เนอ้ื หาไม่ถกู ตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ ดี - เนื้อหาถกู ตอ้ งเเตใ่ หส้ าระส�ำ คัญนอ้ ยมาก เเละระบเุ เหลง่ ทม่ี าของความรู้ ดีมาก - เนื้อหาถกู ต้อง มีสาระส�ำ คญั แตย่ งั ไม่ครบถว้ น มกี ารระบเุ เหล่งทีม่ าของความรู้ ระดบั ประเมิน ต้องปรบั ปรงุ - เนื้อหาถกู ตอ้ ง มสี าระส�ำ คญั ครบถ้วน เเละระบุเเหลง่ ทีม่ าของความรชู้ ดั เจน พอใช้ ตัวอย่างเกณฑก์ ารประเมนิ สมรรถภาพด้านการเขยี น (แบบภาพรวม) ดี รายการประเมิน ดมี าก - เขยี นสับสน ไม่เป็นระบบ ไมบ่ อกปญั หาและจดุ ประสงค์ ขาดการเช่อื มโยง เนื้อหาบางส่วนไม่ถกู ต้องหรือไม่สมบูรณ์ ใชภ้ าษาไมเ่ หมาะสมเเละสะกดค�ำ ไม่ ถกู ตอ้ ง ไม่อ้างองิ เเหลง่ ทมี่ าของความรู้ - เขยี นเปน็ ระบบเเต่ไม่ชดั เจน บอกจดุ ประสงคไ์ ม่ชัดเจน เน้ือหาถกู ต้องเเตม่ ี รายละเอยี ดไมเ่ พยี งพอ เนอ้ื หาบางตอนไมส่ ัมพันธ์กนั การเรียบเรียงเนือ้ หาไม่ ต่อเนื่อง ใชภ้ าษาถกู ต้อง อา้ งองิ แหลง่ ที่มาของความรู้ - เขียนเปน็ ระบบ แสดงให้เห็นโครงสรา้ งของเรอื่ ง บอกความส�ำ คัญเเละทีม่ าของ ปัญหา จุดประสงค์ เเนวคดิ หลกั ไมค่ รอบคมุ ประเด็นสำ�คญั ท้งั หมด เนอ้ื หาบาง ตอนเรียบเรียงไมต่ อ่ เนอ่ื ง ใชภ้ าษาถูกต้อง มกี ารยกตัวอยา่ ง รูปภาพเเผนภาพ ประกอบ อ้างองิ เเหล่งท่มี าของความรู้ - เขยี นเป็นระบบ แสดงใหเ้ ห็นโครงสรา้ งของเรอ่ื ง บอกความส�ำ คญั เเละทม่ี าของ ปญั หา จดุ ประสงค์ เเนวคดิ หลกั ได้ครอบคมุ ประเด็นสำ�คญั ท้งั หมด เรยี บเรยี ง เน้อื หาไดต้ ่อเนอื้ งตอ่ เนอื่ ง ใชภ้ าษาถกู ต้อง ชัดเจนเข้าใจง่าย รูปภาพเเผนภาพ ประกอบ อา้ งองิ เเหล่งท่ีมาของความรู้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟสิ ิกส์ เลม่ 3 ภาคผนวก 303 2) การใหค้ ะแนนแบบแยกองค์ประกอบยอ่ ย เปน็ การประเมินเพ่อื ตอ้ งการนําผลการประเมิน ไปใชพ้ ฒั นางานใหม้ คี ณุ ภาพผา่ นเกณฑ์ และพฒั นาคณุ ภาพใหส้ งู ขน้ึ กวา่ เดมิ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยใชเ้ กณฑย์ อ่ ย ๆ ในการประเมนิ เพ่ือทาํ ให้รู้ทงั้ จดุ เด่นท่ีควรสง่ เสริมและจุดด้อยท่คี วรแก้ไขปรับปรุงการทํางานในสว่ นนั้น ๆ เกณฑก์ ารให้คะแนนแบบแยกองคป์ ระกอบย่อย มตี วั อยา่ งดงั นี้ ตวั อย่างเกณฑก์ ารประเมนิ สมรรถภาพ (แบบแยกองค์ประกอบย่อย) รายการประเมิน ระดับคุณภาพ ดา้ นการวางเเผน - ไมส่ ามารถออกเเบบได้ หรอื ออกเเบบไดเ้ เตไ่ มต่ รงกบั ประเดน็ ปญั หาทต่ี อ้ งการเรยี นรู้ ตอ้ งปรับปรงุ - ออกเเบบการได้ตามประเดน็ ส�ำ คญั ของปญั หาบางส่วน พอใช้ - ออกเเบบครอบคลุมประเด็นส�ำ คญั ของปญั หาเป็นสว่ นใหญ่ เเต่ยงั ไม่ชดั เจน ดี - ออกเเบบไดค้ รอบคลุมประเดน็ ส�ำ คญั ของปญั หาอยา่ งเป็นขน้ั ตอนทช่ี ัดเจน ดมี าก เเละตรงตามจดุ ประสงค์ท่ีต้องการ ต้องปรับปรุง ด้านการด�ำ เนนิ การ - ด�ำ เนนิ การไมเ่ ปน็ ไปตามแผน ใชอ้ ปุ กรณเ์ เละสอ่ื ประกอบถกู ตอ้ งเเตไ่ มค่ ลอ่ งเเคลว่ - ด�ำ เนนิ การตามแผนทว่ี างไว้ ใชอ้ ปุ กรณเื เละสอ่ื ประกอบถกู ตอ้ งเเตไ่ มค่ ลอ่ งเเคลว่ พอใช้ - ด�ำ เนนิ การตามแผนทีว่ างไว้ ใชอ้ ปุ กรณเ์ เละสือ่ ประกอบการสาธติ ได้อยา่ ง ดี คล่องเเคล่วและเสร็จทันเวลา ผลงานในบางขัน้ ตอนไมเ่ ป็นไปตามจุดประสงค์ ดมี าก - ดำ�เนนิ การตามแผนทว่ี างไว้ ใช้อุปกรณ์เเละส่อื ประกอบไดถ้ ูกต้อง คล่องเเคลว่ ต้องปรบั ปรุง เเละเสร็จทันเวลา ผลงานทุกขั้นตอนเป็นไปตามจดุ ประสงค์ พอใช้ ดี ดา้ นการอธิบาย ดีมาก - อธิบายไม่ถูกต้อง ขดั เเย้งกับเเนวคิดหลกั ทางวิทยาศาสตร์ - อธบิ ายโดยอาศัยเเนวคดิ หลักทางวทิ ยาศาสตร์ เเต่การอธบิ ายเปน็ เเนวพรรณนา ทวั่ ไป ซึง่ ไมค่ ำ�นงึ ถงึ การเช่อื มโยงกับปัญหาทำ�ใหเ้ ขา้ ใจยาก - อธบิ ายโดยอาศัยเเนวคดิ หลักทางวทิ ยาศาสตร์ ตรงตามประเดน็ ของปัญหา เเตข่ ้ามไปในบางข้ันตอน ใชภ้ าษาไดถ้ กู ตอ้ ง - อธิบายโดยอาศัยเเนวคดิ หลกั ทางวทิ ยาศาสตร์ ตรงตามประเด็นของปัญหาเเละ จดุ ประสงค์ ใช้ภาษาได้ถูกต้องเข้าใจง่าย ส่ือความหมายให้ชัดเจน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

304 ภาคผนวก ฟสิ ิกส์ เลม่ 3 บรรณานกุ รม สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2559). คมู่ ือครูรายวิชาเพ่มิ เติม ฟสิ ิกส์ เลม่ 1. (พมิ พ์คร้งั ที่ 3). กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี (2557). ค่มู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติม ฟสิ กิ ส์ เล่ม 3. (พมิ พค์ รั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพร้าว. สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2547). คมู่ อื ครสู าระการเรยี นรพู้ น้ื ฐานและเพม่ิ เตมิ ฟิสกิ ส์ เลม่ 2. (พมิ พค์ ร้ังท่ี 1). กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพร้าว. Giancoli, D. C. (2014). Physics: Principles with Applications. (7th ed.). Pearson. Halliday, D., Resnick, R., Walker, J. (2013). Fundamentals of Physics. (10th ed.). John Wiley & Sons, Inc. Serway, R. A., Faughn, J. S. (2009). Holt Physics. Holt, Rinehart and Winston. Serway, R. A., Jewett, Jr., J. W. (2014). Physics for Scientists and Engineers with Modern Physics. (9th ed.). Brooks/Cole. Young, H. D., Freedman, R. A. (2015). Sears and Zemansky’s University Physics with Modern Physics. (14th ed.). Pearson. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟิสกิ ส์ เล่ม 3 ภาคผนวก 305 คณะกรรมการจดั ทำ�คูม่ ือครูรายวิชาเพ่มิ เตมิ วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เล่ม 3 ตามผลการเรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 -------------- คณะทป่ี รกึ ษา 1. ศ.ดร.ชูกจิ ลิมปิจำ�นงค์ ผู้อ�ำ นวยการ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. ดร.วนิดา ธนประโยชน์ศักดิ์ ผู้ช่วยผ้อู �ำ นวยการ สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะผู้จดั ทำ�คมู่ ือครู รายวิชาเพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 เลม่ 3 1. นายรังสรรค์ ศรสี าคร ผเู้ ช่ยี วชาญ สาขาวทิ ยาศาสตร์มัธยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผชู้ ำ�นาญ สาขาวิทยาศาสตรม์ ธั ยมศึกษาตอนปลาย สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. นายบญุ ชยั ตันไถง ผชู้ ำ�นาญ สาขาวิทยาศาสตร์มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ้ชู ำ�นาญ สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศึกษาตอนปลาย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3. นายวฒั นะ มากชืน่ นกั วชิ าการอาวโุ ส สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นกั วชิ าการอาวโุ ส สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. นายโฆสติ สงิ หสุต นกั วิชาการ สาขาวิทยาศาสตรม์ ัธยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นกั วิชาการ สาขาวทิ ยาศาสตร์มัธยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 5. นายรักษพล ธนานวุ งศ ์ นักวิชาการ สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นกั วชิ าการ สาขาวิทยาศาสตร์มัธยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 6. ดร.กวิน เชื่อมกลาง 7. ดร.ปรีดา พชั รมณีปกรณ ์ 8. ดร.จ�ำ เรญิ ตา ปริญญาธารมาศ 9. นายสรจติ ต์ อารรี ตั น์ 10. นายจอมพรรค นวลดี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

306 ภาคผนวก ฟิสกิ ส์ เลม่ 3 11. นายเทพนคร แสงหวั ชา้ ง นักวิชาการ สาขาวทิ ยาศาสตร์มธั ยมศึกษาตอนปลาย สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 12. นายธนะรัชต์ คัณทักษ ์ นักวิชาการ สาขาวทิ ยาศาสตร์มัธยมศึกษาตอนปลาย สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี คณะผ้รู ว่ มพิจารณาคู่มอื ครู รายวิชาเพ่มิ เติมวทิ ยาศาสตร์ ฟิสกิ ส์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เลม่ 3 (ฉบบั ร่าง) 1. ผศ.ดร.บรุ นิ ทร์ อัศวพภิ พ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย สถาบนั นวตั กรรมการเรยี นรู้ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล จ.นครปฐม โรงเรยี นสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2. ผศ.ดร.สุชัย นพรัตน์แจม่ จ�ำ รสั 3. นายสมุ ติ ร สวนสขุ 4. นายประสทิ ธิ์ สลดั ทกุ ข ์ โรงเรยี นยา่ นตาขาวรฐั ชนปู ถัมภ์ จ.ตรัง 5. นายนิกรณ์ นิลพงษ์ โรงเรียนศรีคณู วทิ ยบลั ลังก์ จ.อ�ำ นาจเจริญ 6. นายอดศิ ักด์ิ ยงยุทธ โรงเรยี นมัธยมวัดหนองจอก กรุงเทพมหานคร 7. นางสาวสายชล สขุ โข โรงเรยี นจ่านกรอ้ ง จ.พษิ ณโุ ลก 8. นายชรินทร์ วัฒนธีรางกูร โรงเรยี นพระปฐมวทิ ยาลยั จ.นครปฐม 9. นายบุญโฮม สขุ ลว้ น โรงเรยี นรัตนโกสินทร์สมโภชลาดกระบงั กรงุ เทพมหานคร 10. นายพลพพิ ฒั น์ วฒั นเศรษฐานุกลุ สำ�นกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษามัธยมศึกษาเขต 2 กรุงเทพมหานคร สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ฟิสิกส์ เล่ม 3 ภาคผนวก 307 คณะบรรณาธิการ นักวชิ าการอิสระ 1. นายวศิ าล จติ ตว์ ารนิ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปภมั ภ์ 2. ดร.ศกั ดิ์ สุวรรณฉาย มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ 3. ดร.รังสันต์ จอมทะรกั ษ์ นกั วชิ าการอาวโุ ส สาขาวทิ ยาศาสตรม์ ธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. ดร.กวนิ เชอ่ื มกลาง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

308 ภาคผนวก ฟิสิกส์ เล่ม 3 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คา่ คงตวั และขอ้ มลู ทางกายภาพอน่ื ๆ คา่ คงตัว สญั ลกั ษณ์ ค่าประมาณ ปรมิ าณ c , c0 3.0 × 108 m s-1 G 6.6726 × 10-11 m3 kg-1 s-2 อตั ราเรว็ ของแสง h ค่าคงตัวโนม้ ถ่วง 6.6261 × 10-34 J s ค่าคงตัวพลังค์ e 1.6022 × 10-19 C ประจมุ ลู ฐาน R 1.0974 × 107 m-1 ค่าคงตวั รดิ เบิร์ก a0 5.2918 × 10-11 m รศั มโี บร์ me 9.1094 × 10-31 kg มวลอิเล็กตรอน mp 1.6726 × 10-27 kg มวลโปรตอน mn 1.6749 × 10-27 kg มวลนิวตรอน md 3.3436 × 10-27 kg มวลดิวเทอรอน NA , L 6.0221 × 1023 mol-1 ค่าคงตัวอาโวกาโดร mu 1.6605 × 10-27 kg ค่าคงตัวมวลอะตอม R 8.3145 J mol-1 K-1 ค่าคงตัวแกส๊ kB 1.3807 × 10-23 J K-1 คา่ คงตวั โบลต์ซมันน์ ขอ้ มลู ทางกายภาพอ่ืน ๆ ค่า ปริมาณ 5.97 × 1024 kg 7.36 × 1022 kg มวลของโลก 1.99 × 1030 kg มวลของดวงจนั ทร์ 6.38 × 103 km มวลของดวงอาทิตย์ 1.74 × 103 km รัศมีของโลก (เฉลยี่ ) 6.96 × 105 km รัศมขี องดวงจันทร์ (เฉลย่ี ) 3.84 × 105 km รัศมขี องดวงอาทติ ย์ (เฉลี่ย) 1.496 × 108 km ระยะทางระหว่างโลกและดวงจันทร์ (เฉลี่ย) ระยะทางระหวา่ งโลกและดวงอาทติ ย์ (เฉล่ีย)