การเรียนกระตุ้นความคดิ ดร.พงศธร มหาวจิ ติ ร • ภาควชิ าการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ • e-mail: [email protected] นวัตกรรมการเรียนร้จู ากฟนิ แลนด์ ท่ามกลางกระแสการตื่นตัวด้านการศึกษา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะข้ามพิสัย (Transversal ผคู้ นทวั่ โลกกำ� ลงั พดู ถงึ การจดั การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 Competencies) ของผเู้ รยี น โดยจดั การเรยี นรใู้ หอ้ ยใู่ นรปู แบบ ของประเทศฟนิ แลนดท์ ไ่ี ดช้ อื่ วา่ มรี ะบบการจดั การศกึ ษา ของคาบเรียนท่ีเน้นการสอนแบบบูรณาการระหว่างวิชา ที่มีคุณภาพเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และไม่ได้ให้ ผ่านการท�ำโครงงาน นักเรียนจะได้ศึกษาปรากฏการณ์ตาม ความส�ำคัญมากในเรื่องการทดสอบเพ่ือจัดอันดับ สภาพจรงิ (Authentic Phenomena) แบบองคร์ วม จงึ เปน็ การท�ำ (Ranking) ใดๆ โดยได้น�ำเสนอแนวความคิดใหม่ทาง ความเข้าใจประเด็นต่างๆ ในชีวิตจริงว่าไม่ได้เก่ียวข้องกับ การศึกษาที่เรียกว่า Phenomenon-based Approach เนอื้ หาวชิ าใดวชิ าหนง่ึ เทา่ นน้ั แตช่ ว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมปี ระสบการณ์ ประเทศไทยในปัจจุบันจึงได้มีการเชิญผู้เช่ียวชาญจาก ท่กี ว้างขวาง มีการกระตนุ้ การเรียนรู้ และสร้างการเรยี นรู้ท่มี ี ประเทศฟินแลนด์มาจัดอบรมเชิงปฏิบัติการหัวข้อ ความหมาย โดยหวงั วา่ ผเู้ รยี นจะไดเ้ รยี นรอู้ ยา่ งนอ้ ยปลี ะ 1 โมดลู ดังกล่าวให้แก่ครูและนักการศึกษาของไทยบ่อยครั้ง Silander (2015b) ได้กลา่ วถงึ คณุ ค่าของการเรยี นรู้ บทความนจี้ ะขอนำ� เสนอแนวคดิ เกย่ี วกบั Phenomenon-Based แบบ PhenoBL วา่ Learning เพอื่ ใหท้ กุ คนเขา้ ใจและสามารถนำ� มาปรบั ใชไ้ ด้ 1. เปน็ การศกึ ษาเรอื่ งราวหรือปรากฏการณต์ า่ งๆ อยา่ งร้เู ท่าทนั ในสภาพความเปน็ จรงิ แบบองคร์ วม (Holistic) โดยใชค้ วามรู้ ข้ามศาสตร์และน�ำสาระวิชาต่างๆ มาบูรณาการเข้ากับ ประเด็นเรื่อง (theme) อย่างเปน็ ธรรมชาติ ความเปน็ มา 2. ควรเร่ิมต้นด้วยการต้ังค�ำถามหรือน�ำเสนอ Phenomenon-Based Learning หรือ PhenoBL ปัญหา (เช่น เหตุใดเคร่ืองบินจึงสามารถบินและลอยอยู่ ได้ผ่านการทดลองและได้รับการพัฒนาต้ังแต่ ค.ศ. 1980 ในอากาศได)้ ซงึ่ วธิ กี ารทดี่ ที สี่ ดุ ส�ำหรบั การเรยี นแบบ PhenoBL จนกระท่ังถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการในหลักสูตรแกน คือ การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based กลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานฉบับใหม่ของฟินแลนด์ใน ค.ศ. Learning) เพ่ือผู้เรียนจะได้ร่วมกันหาค�ำตอบส�ำหรับ 2014 (Zhukov, 2015) โดยไดน้ �ำเสนอโมดูลการเรยี นรู้แบบ ปรากฏการณท์ เี่ ขาสนใจ ปญั หาและค�ำถามทผี่ เู้ รยี นไดร้ ว่ มกนั พหุวิทยาการ (Multidisciplinary Learning modules: MLs) ตง้ั นคี้ อื ส่งิ ท่พี วกเขาสนใจอย่างแทจ้ รงิ นติ ยสาร สสวท 40
3. เป็นการเรียนรู้แบบหย่ังลึก ท้ังน้ีเมื่อผู้เรียนได้ PhenoBL คืออะไร เรียนรู้เรื่องราวหรือปัญหา นับเป็นการหยั่งลึก (Anchore) Silander (2015b) ไดอ้ ธบิ ายว่า การเรยี นร้แู บบ สู่ปรากฏการณ์ในชีวิตจริง โดยการประยุกต์ใช้ข้อมูลความรู้ และทักษะข้ามสาระวิชาให้เช่ือมโยงกับสถานการณ์จริง PhenoBL เป็นการเรียนรู้ที่ใช้ปรากฏการณ์ในชีวิตจริงมา นอกห้องเรยี น เป็นจุดเร่ิมต้นของการเรียนรู้ ซึ่งผู้วิจัยจะท�ำการศึกษา ปรากฏการณด์ งั กลา่ วอยา่ งรอบคอบทกุ แงม่ มุ โดยใชข้ อ้ มลู 4. ในกระบวนการเรยี นรตู้ า่ งๆ ขอ้ มลู ใหมม่ กั จะถกู และทักษะต่างๆ แบบข้ามสาระวิชา ตัวอย่างเช่น หัวข้อ น�ำไปประยุกต์เข้ากับปรากฏการณ์หรือใช้แก้ปัญหา เก่ียวกับมนุษยชาติ (Human) สหภาพยุโรป (European นั่นหมายความว่า ทฤษฎีและข้อมูลความรู้ต่างๆ จะเป็น Union) ส่ือและเทคโนโลยี (Media and Technology) คุณประโยชน์ต่อสถานการณ์การเรียนรู้ดังกล่าว การฝึก น�้ำ (Water) และพลังงาน (Energy) การเรียนรู้แบบน้ี ประยุกต์ใช้ข้อมูลในสถานการณ์มีความส�ำคัญมากท่ีจะช่วย มจี ดุ เรม่ิ ตน้ ทแ่ี ตกตา่ งจากวฒั นธรรมการเรยี นรแู้ บบดงั้ เดมิ ใหน้ กั เรยี นไดซ้ มึ ซบั ขอ้ มลู ความรใู้ หมแ่ ละไดเ้ รยี นรอู้ ยา่ งลกึ ซงึ้ ท่ีแบ่งความรู้ออกเป็นรายวิชา ท�ำให้การเรียนรู้แคบ เพราะเก่ียวกับเรื่องหน่ึงเร่ืองใดที่จะสนใจศึกษาเป็นเพียง 5. PhenoBL ชว่ ยใหเ้ กดิ การเรยี นรทู้ แ่ี ทจ้ รงิ มากขนึ้ บางแง่มุมเท่านั้น หรือศึกษาเน้ือหาแบบแยกส่วน ตามท่ี เพราะผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการทางปัญญา (Cognitive Daehler & Folsom (2016) ไดก้ ลา่ ววา่ Phenomena-Based Processes) หรือกระบวนการคิด (Thinking Processes) Instruction เป็นการสอนท่ีให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ อย่างเต็มท่ีในการแก้สถานการณ์จริง (authenticity) ซึ่ง และความคิดรวบยอดของแต่ละศาสตร์ รวมทั้งการฝึก สถานการณ์จริงนี้เป็นเงื่อนไขหลักส�ำหรับการถ่ายโอนและ ปฏิบัติจริงในการเรียนรู้ปรากฏการณ์ท่ีน่าสนใจอย่างสม น�ำข้อมูลความรู้ไปประยุกต์ใช้จริง ดังค�ำกล่าวท่ีว่า “คนเรา เหตุสมผล ผู้เรียนจะได้รับองค์ความรู้และทักษะใหม่ๆ ไม่สามารถขับรถได้จากการเรียนเพียงภาคทฤษฎี” หรือ และได้ฝึกประยุกต์ใช้กับปรากฏการณ์น้ันๆ ซึ่งจะช่วยให้ “ไม่มีข้อสอบปรนัยในชวี ิตจริงหรือในชีวติ ท�ำงาน” ความรใู้ หมเ่ หลา่ นนั้ มคี ณุ คา่ ตอ่ ผเู้ รยี นในทนั ที เกดิ ความเขา้ ใจ อย่างลึกซ้ึงและมีความหมายมากกว่าแค่มีความรู้ ทมี่ า https://www.satit.pim.ac.th/pages/article แบบผิวเผิน ในการเรียนแบบนี้ผู้เรียนจะท�ำงานคล้าย นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรท่ีไม่ต้องรอครูอธิบายทุกสิ่ง ทกุ อยา่ ง ผเู้ รยี นจะตอ้ งตน่ื ตวั ตลอดเวลาเพอ่ื แสวงหาค�ำตอบ ออกแบบการส�ำรวจ อธิบายสิ่งท่ตี ้องการรู้ และตงั้ ค�ำถาม ใหม่ๆ กับตนเอง ดังน้ันการสอนแบบนี้จึงจ�ำเป็นต้องมี ความเช่ือว่าผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้เอง และ เป็นนกั แกป้ ัญหา PhenoBL จะเรมิ่ ตน้ โดยการสงั เกตปรากฏการณ์ รูปแบบหน่ึง ด้วยมุมมองรอบด้าน โดยสามารถพิจารณา แยกเป็น 5 มิติ คือ ดา้ นความเปน็ องคร์ วม ซง่ึ จะเกยี่ วข้อง กับความเป็นพหุวิทยาการ (Multidisciplinary) ซง่ึ มิใช่เพียง การบูรณาการวิชาต่างๆ ในหลักสูตร แต่มองไกลไปถึง ความเข้าใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ก�ำลังเกิดขึ้นในโลกจริง ด้านความเป็นจริง จะเก่ียวข้องกับการเลือกใช้วิธีการ เครื่องมือ และสื่อที่จ�ำเป็นในการแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับ ชีวิตจริงของผู้เรียนและชุมชน ทฤษฎีและข้อมูลต่างๆ ที่น�ำมาใช้จะท�ำให้เกิดคุณประโยชน์ในทันทีในบริบท 41 ปที ี่ 46 ฉบับที่ 209 พฤศจกิ ายน - ธันวาคม 2560
ของการเรยี นรสู้ ภาพจรงิ ความสอดคลอ้ งกบั บรบิ ท (Contextuality) ที่มา http://www.admissionpremium.com/content/1696 จะช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายในบริบทและสภาพ ปรากฏการณท์ ไี่ มไ่ ดก้ �ำหนดไวล้ ว่ งหนา้ ซงึ่ ยงั มคี วามคลมุ เครอื ทฤษฎรี ากฐานของ PhenoBL และไม่ชัดเจนอื่น จะช่วยให้นักเรียนได้พิจารณาข้อมูลใน แนวคิดท่ีเป็นจุดเร่ิมต้นของ PhenoBL คือ การ บรบิ ททกี่ วา้ งขน้ึ การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะโดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (Problem-Based Inquiry Learning) จะช่วยให้นักเรยี นได้ฝกึ เรียนรู้แบบ constructivism ท่ีมีหลักการว่าผู้เรียนคือผู้สร้าง ต้ังค�ำถามด้วยตนเองและรว่ มมอื กนั สร้างองคค์ วามรรู้ ะหวา่ ง องค์ความรู้ด้วยตัวเองและข้อมูลความรู้คือผลผลิตที่ได้จาก กระบวนการเรียนรู้ (Learning Process) โดยพิจารณาจาก การแก้ปัญหา (Problem-Solving) เมื่อ PhenoBL ถูกน�ำ กระบวนการพฒั นาสมมตฐิ านสรา้ งทฤษฎี ซง่ึ ภาระงานเหลา่ นี้ มาใช้ในบริบทของความร่วมมือโดยผ่านการท�ำงานร่วมกัน จะช่วยให้นักเรียนเอาใจใส่เรื่องการเรียนรู้ของพวกเขา เป็นทีม ก็จะช่วยเสริมแนวคิดคอนสตรัคติวิสท์เชิงสังคม (Know-How) และท้ายท่ีสุดนักเรียนก็จะสามารถวางแผน (Socio-Constructivist) และทฤษฎีการเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม กระบวนการเรียนรู้ของตนเองด้วยการสร้างภาระงานและ สังคม (Socio-Cultural Learning Theories) ท่ีเห็นว่าข้อมูล เครอื่ งมอื การเรยี นรขู้ องตนเอง โดยอาศยั ความชว่ ยเหลอื จาก ความรมู้ ใิ ชเ่ ปน็ เพยี งสนิ ทรพั ยข์ องตวั บคุ คล แตเ่ ปน็ สงิ่ ทจี่ ะชว่ ย ครูบ้าง ด้วยเหตุนี้ PhenoBL จึงต้องเข้ามาพร้อมกับบริบท สรา้ งใหเ้ กดิ บรบิ ทแหง่ สงั คมความรู้ ซง่ึ ประเดน็ หลกั ของทฤษฎี ของการแก้ปัญหา ที่เร่ิมต้นโดยครูเป็นคนต้ังค�ำถามหรือต้ัง การเรยี นรเู้ ชงิ วฒั นธรรมสงั คมนนั้ จะครอบคลมุ ประดษิ ฐก์ รรม ปัญหาให้ผู้เรียนช่วยกันหาค�ำตอบเกี่ยวกับปรากฏการณ์ท่ี ทางวัฒนธรรมทงั้ หลายอนั ได้แก่ ระบบสญั ลักษณ์ เช่น ภาษา พวกเขาสนใจ จุดประสงค์การเรียนรู้จะต้องปรับเปลี่ยนได้ สตู รค�ำนวณทางคณติ ศาสตร์ และเครอื่ งมอื การคดิ รปู แบบตา่ งๆ (Not Imposed) และผู้เรียนต้องประเมินด้วยการวิเคราะห์ โดยไมจ่ �ำเปน็ วา่ ผเู้ รยี นทกุ คนจะตอ้ งสรา้ งขนึ้ ใหม่ แตส่ ามารถ ตนเอง (Self-Analysis) โดยมีการสอนแบบเน้นผู้เรียน ใช้ประโยชน์จากข้อมูลความรู้และเครื่องมือที่มีอยู่แล้วโดย เป็นศูนย์กลางให้เรียนรู้ทฤษฎีโดยผ่านการเช่ือมโยงกับ ผ่านกระบวนการทางวัฒนธรรม (Silander, 2015b) วิธีการ สถานการณ์หรือปรากฏการณ์จริง ซ่ึงครูที่สอนแต่ละวิชา ทงั้ หลายทมี่ รี ากฐานก�ำเนดิ มาจากญาณวทิ ยาแบบConstructivism จะต้องร่วมมือกันวางแผน อ�ำนวยการเรียนรู้ กระตนุ้ สง่ เสริม จึงเอ้ือต่อการเรียนรู้แบบ PhenoBL ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม และแนะแนวทางผเู้ รยี นในการจดั การกบั ปญั หาไดด้ ว้ ยตนเอง การแกป้ ญั หาในชวี ติ จรงิ การเรยี นรแู้ บบโครงงาน การสบื เสาะ (Silander, 2015a; 2015b) ความรู้ และการใหต้ วั ชว่ ยเสรมิ การเรยี นรแู้ กผ่ เู้ รยี น ซง่ึ ตา่ งกม็ ี ลักษณะร่วมกันคือ ผู้เรียนจะเป็นผู้สร้างความรู้เอง เราจึงอาจกล่าวได้ว่า PhenoBL เป็นการเรียนรู้ โดยครูจะแสดงบทบาทเป็นผู้อ�ำนวยความสะดวก ชี้แนะ ในกลุ่มพหุวิทยาการแบบ Topical Learning (Topic-Based และจัดกระบวนการเรียนรู้ มากกว่าท่ีจะเป็นผู้ให้ความรู้ Learning) และ Thematic Learning (Theme-Based Learning) ผเู้ รยี นจะถกู มองวา่ เปน็ ผทู้ ตี่ นื่ ตวั ในการมสี ว่ นรว่ มในการสรา้ ง ทเ่ี นน้ ใหน้ กั เรยี นไดศ้ กึ ษาหวั ขอ้ หรอื ประเดน็ เรอื่ งแบบองคร์ วม สังคมแหง่ ความรู้ (Symeonidis and Schwarz, 2016) มากกวา่ จะแยกเปน็ รายวิชา เพือ่ ให้มีการเรยี นรทู้ สี่ ัมพนั ธก์ บั ชวี ติ จรงิ และเสรมิ สรา้ งทักษะในการเรียนรูแ้ ก่ผู้เรียน นติ ยสาร สสวท 42
PhenoBL มลี กั ษณะการเรียนเปน็ อย่างไร การจัดเน้ือหาในหลักสูตรตามแนวคิด PhenoBL จะเน้นการบูรณาการสาระวิชาต่างๆ และประเด็นเรื่อง 3. วางล�ำดับกิจกรรม (Plan a Sequence of Activities) เรมิ่ ตน้ ด้วยการสังเกตปรากฏการณ์ และสนทนา (Theme) เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบโดยใช้วิธีการสอนที่ อภปิ รายกบั นกั เรยี นเพอื่ ส�ำรวจแนวคดิ และตง้ั ค�ำถาม กระตนุ้ มีความหมาย เช่น การเรียนแบบสืบเสาะความรู้ (Inquiry ใหน้ กั เรยี นมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรยี นรเู้ พอื่ ใหเ้ ขา้ ใจความ Learning) การเรยี นรแู้ บบใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (Problem-Based เป็นไปได้ ส่งเสริมให้นักเรียนระบุสิ่งท่ีอยากเรียนรู้เกี่ยวกับ Learning) การเรยี นรแู้ บบโครงการ (Project Learning) และ ปรากฏการณ์ สนบั สนนุ ใหผ้ เู้ รยี นรว่ มวางแผนกจิ กรรมการเรยี นรู้ การใช้แฟ้มสะสมงานส่วนบุคคล (Portfolio) ซ่ึงวิธีการแบบ และเพิ่มข้ันตอนการสรุปส่ิงท่ีพวกเขาได้เรียนรู้จากกิจกรรม Phenomenon-Based Approach นี้สามารถน�ำไปปรับใช้ใน โดยอาจใชค้ �ำถามวา่ “นกั เรยี นไดเ้ รยี นรอู้ ะไรบา้ งจากกจิ กรรมน”้ี บริบทตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย Daehler & Folsom (2016) ได้เสนอแนะข้ันตอน “นักเรียนมีค�ำถามอะไรใหม่เกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้บ้าง” การน�ำ PhenoBL ไปใชด้ งั น้ี “มอี ะไรทอี่ ยากจะเรยี นเพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจในปรากฏการณน์ ด้ี ยี งิ่ ขนึ้ 1. เลือกปรากฏการณ์ท่ีน่าสนใจ (Select an อกี บา้ ง” 4. วางแผนการตรวจสอบความเขา้ ใจของผเู้ รยี น InterestingPhenomenon)ปรากฏการณท์ เ่ี ลอื กมาควรสอดคลอ้ ง (Make a Plan for How You will Know Students have กับประสบการณ์และระดับช้ันของผู้เรียน มีความน่าสนใจ made Sense of the Phenomenon) โดยให้นักเรียนเขยี น ทงั้ ตอ่ ตวั ครแู ละนกั เรยี น แตใ่ ชว่ า่ ทกุ ปรากฏการณจ์ ะเปน็ สงิ่ ทด่ี เี ลศิ ค�ำอธิบาย ออกแบบสไลด์น�ำเสนอ สรุปในรูปของโปสเตอร์ เสมอไป บางครั้งอาจไม่มีปรากฏการณ์ใดเลยที่เหมาะสม น�ำเสนอปากเปล่า หรือแสดงออกในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง จะเลือกมาใชใ้ นรายวชิ า น่ันก็มิใชเ่ รื่องเสยี หาย และควรมอง เพ่ือสะท้อนว่าพวกเขามีความคิดรวบยอดและสามารถ ปรากฏการณเ์ ป็นเซต (Think about the Phenomena as a ประยุกต์ใชส้ ่งิ ทไ่ี ด้เรยี นรู้ได้ Set) อย่าหลงใหลไปกับการแสวงหาปรากฏการณ์ท่ีสมบูรณ์ นอกจากนี้ Zhukov (2015) ยงั ไดใ้ หแ้ งค่ ดิ ทน่ี า่ สนใจ แบบส�ำหรบั บทเรยี นแตล่ ะหวั ขอ้ เพราะถา้ เลอื กปรากฏการณ์ วา่ PhenoBL ไมไ่ ดท้ �ำใหร้ ายวชิ าตา่ งๆ สญู หายไปจากหลกั สตู ร ทไ่ี มด่ พี อจะมีข้อจ�ำกัดหลายอยา่ งตามมา 2. วิเคราะหค์ ณุ ค่าของบทเรยี นทม่ี ีอยู่ (Analyze แต่จะเป็นส่วนช่วยเสริมรายวิชาให้มีความหมายยิ่งข้ึน the Utility of Your Existing Lessons) ครูควรพิจารณาว่า โดยนักเรียนและครูจะร่วมกันพัฒนาโครงงานโดยอาศัย แหล่งความรู้ต่างๆ และบูรณาการน�ำเทคโนโลยีมาใช้ นักเรียนได้เรียนรู้อะไรจากกิจกรรม และจะประยุกต์สิ่งเหล่า ซง่ึ PhenoBL จะชว่ ยสง่ เสรมิ ทกั ษะการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 นน้ั ไปสูป่ รากฏการณต์ า่ งๆ ได้อยา่ งไร หากบางปรากฏการณ์ เช่น การสื่อสาร ความร่วมแรงร่วมใจ ความคิดสร้างสรรค์ มีประเด็นท่ีไม่สามารถตอบโจทย์ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของ การคิดวิเคราะห์ การพัฒนาอย่างย่ังยืน และความเข้าใจ บทเรียนได้ ครูควรหากิจกรรมหรือวิธีการอื่นท่ีจะช่วยให้ ในความเป็นสากลดว้ ย ผเู้ รยี นไดเ้ รยี นเนอ้ื หาสาระทจี่ �ำเปน็ เชน่ ใชว้ ดี โี อ หรือสไลด์ในการน�ำเสนอ การบรรยาย มอบ หมายเรอื่ งใหไ้ ปอา่ น หรอื ใชผ้ เู้ ชยี่ วชาญภายนอก เพราะใชว่ า่ เนอ้ื หาทกุ เรอ่ื งจะสามารถเรยี นรโู้ ดย ผา่ นการลงมือสบื เสาะรว่ มกันเฉพาะในหอ้ งได้ ท่มี า http://www.admissionpremium.com/content/1696 43 ปที ่ี 46 ฉบับท่ี 209 พฤศจกิ ายน - ธนั วาคม 2560
PhenoBL เหมือนหรอื ต่างจาก Active Learning อย่างไร Active Learning เป็นแนวคดิ การจัดการเรียนรทู้ ม่ี ี Learning, Inquiry-Based Learning, Project-Based Learning พน้ื ฐานจากทฤษฎกี ารสรา้ งความรู้ (Constructivism) ทเ่ี นน้ ให้ (วจิ ารณ์ พานชิ , 2556; Settle, 2011) ซงึ่ จะพบวา่ การเรยี นรแู้ บบ ผู้เรียนมีบทบาทมากและส�ำคัญท่ีสุดในกระบวนการจัด Active Learning และ PhenoBL นั้นมคี วามคลา้ ยคลงึ กนั มาก การเรียนรู้ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ เน่ืองจากมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีการสร้างความรู้เหมือนกัน การรวบรวมข้อมูลและสรุปความเห็น โดยใช้กิจกรรม แตจ่ ะมจี ดุ ทแ่ี ตกตา่ งกนั คอื Active Learning จะใหค้ วามส�ำคญั การจดั การเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลายและน่าสนใจ ซง่ึ จะชว่ ยสง่ เสรมิ ต่อลักษณะของกิจกรรมในกระบวนการเรียนรู้ (Process ให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้และประสบการณ์เดิม of Learning) ในขณะที่ PhenoBL จะเน้นไปท่ีการเลือก ของตนและเช่ือมโยงองค์ความรู้ใหม่จากการมีปฏิสัมพันธ์ ปรากฏการณ์มาใช้เป็นประเด็นเร่ือง (Theme) ส�ำหรับ ในการเรยี นรู้ร่วมกัน เพือ่ สร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยการจดั การศึกษาเรียนรู้ การเรียนรู้แบบ Active Learning นั้นผูส้ อนสามารถเลอื กใช้ ผู้เขียนขอยกประเด็น “สังคมผู้สูงอายุ (Aging วิธีสอนได้หลากหลายรปู แบบ อาทิ Cooperative/Collaborative Society)” มาเปน็ ตวั อยา่ งปรากฏการณใ์ หผ้ เู้รยี นสามารถบรู ณาการ Learning,DiscoveryLearning,ExperientialLearning,Problem-Based ความรมู้ าใชศ้ ึกษาเรียนรู้ (พงศธร มหาวิจติ ร, 2558) ความกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละการแพทยป์ ระกอบกบั การเปลย่ี นแปลงวถิ กี ารด�ำเนนิ ชวี ติ ของประชากร สง่ ผลใหป้ ระเทศไทยก�ำลงั กา้ วเขา้ สสู่ งั คมสงู อายุ (Aging Society) แบบเตม็ ตวั จงึ มปี ระเดน็ แงม่ มุ ทน่ี กั เรยี นสามารถตง้ั ค�ำถาม เพอ่ื การเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งหลากหลาย อาทิ -แนวโนม้ ทเ่ี ปน็ สดั สว่ นของโครงสรา้ งประชากรจะเปน็ อยา่ งไร -จะเกดิ ผลกระทบตอ่ สภาพสงั คมในภาพรวมในประเดน็ ใดบา้ ง -รฐั ควรวางแผนเตรยี มการรบั สถานการณใ์ นระยะยาวอยา่ งไร -เราควรเรยี นรหู้ รอื ปฏบิ ตั ติ วั อยา่ งไร -เทคโนโลยที เ่ี ออ้ื ตอ่ การใชช้ วี ติ ในโลกอนาคตควรเปน็ แบบใด -ลกั ษณะอาชพี ในอนาคตควรเปน็ อยา่ งไร -รปู แบบการเรยี นรใู้ นอนาคตควรเปน็ แบบใด ฯลฯ ในการศึกษาปรากฏการณ์น้ีผู้เรียนจะใช้องค์ความรู้จากศาสตร์ต่างๆ รวมทั้งการน�ำเสนอข้อมูลคณิตศาสตร์ เทคโนโลยกี ารเรยี นรแู้ ละการออกแบบ โครงสรา้ งประชากรและสงั คมศาสตร์ วทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ และงานอาชพี เพอ่ื ท�ำความ เข้าใจรอบด้านอย่างครบทุกแง่มุม (แทนท่ีจะปล่อยให้เป็นหน้าท่ีครูสังคมศึกษาสอนตามล�ำพังเพียงแง่มุมเดียว) ฝึกการใช้ กระบวนการน�ำความคิดและเทคโนโลยีมาเป็นเคร่ืองมือในการศึกษาเรียนรู้ และท้ายที่สุดผู้เรียนจะได้น�ำเสนอองค์ความรู้ หรอื แนวทางการจดั การแก้ปญั หาอันเป็นผลผลติ จากการเรียนในรปู แบบท่สี รา้ งสรรคต์ ่อไป นติ ยสาร สสวท 44
ตวั อย่างปรากฏการณต์ า่ งๆ ท่ีสามารถน�ำมาใชใ้ นการเรยี น โรงงานไฟฟ้านิวเคลยี ร์ นำ�้ แขง็ ข้วั โลกก�ำลงั ละลาย การอพยพของชนกลุม่ นอ้ ย บทส่งท้าย การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่เต็มไปด้วยแนวคิดในการเรียนการสอนมีมากมายท้ัง Problem-based, Project-Based, Inquiry-Based, Issue-Based, Topic-Based, Theme-Based, Context-Based หรอื แมแ้ ต่ Phenomenon-Based Learning ล้วนได้มาจากปรัชญาพื้นฐานแบบพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) ท่ีเช่ือว่าผู้เรียนสามารถผลิตความรู้ใหม่ขึ้น มาได้เองจากการมีประสบการณ์ตรง และการจัดการเรียนรู้จะต้องให้ผู้เรียนมีบทบาทเชิงรุก (Active) ดังนั้นหากจะเลือกน�ำ วิธีการเหล่านี้มาใช้ ครูผู้สอนจ�ำเป็นต้องมีความเช่ือในปรัชญาดังกล่าวก่อน เพราะถ้าหยิบมาใช้โดยครูเองก็ยังเช่ือมั่นใน กระบวนทัศน์แบบเดิมว่า “การเรียนรูค้ ือการบอกความรู”้ ไมว่ า่ จะน�ำนวตั กรรมใดทีเ่ ป็นเลศิ มาสูส่ ังคมไทยก็จะไม่อาจประสบ ความส�ำเร็จได้ เพราะเป็นการน�ำมาใช้โดยปราศจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จนสุดท้ายก็จะกลายเป็นว่า “เจ๋งมาจากไหน ก็ตอ้ งมาจอดท่ไี ทยแลนด์” บรรณานุกรม Daehler, K., & Folsom, J. (2016). Making Sense of SCIENCE: Phenomena-Based Learning. Retrieved May 22, 2017, from http://www.WestEd.org/mss. Phenomenon-Based Learning. Retrieved May 22, 2017, from http://www.phenomenaleducation.info/phenomenon-based-learning.html. Settle, B. (2011). From theories to Queries: Active learning in Practice. Workshop and Conference Proceedings. 16. 1-18. Silander, P. (2015a). “Digital Pedagogy.” How to create the school of the future: Revolutionary thinking and design from Finland. Oulu: University of Oulu, Center for Internet Excellence. Silander, P. (2015b). Phenomenon Based Learning. Retrieved May 22, 2017, from http://www.phenomenoleducation.info/ phenomenon-based-learning.html. Symeonidis, V., & Schwarz, J. F. (2016). Phenomenon-Based Teaching and Learning through the Pedagogical Lenses of Phenomenology: The Recent Curriculum Reform in Finland. Forum Oświatowe. 28(2), 31-47. Zhukov, T. (2015). Phenomenon-Based Learning: What is PBL? Retrieved May 22, 2017, from https://www.noodle.com/articles/phenomenon-based-learning-what-is-pbl. พงศธร มหาวจิ ติ ร. (2558). Theme-based Unit: ความทา้ ทายในการออกแบบการเรยี นร้สู �ำหรับครูยุคใหม่. วารสารศึกษาศาสตรป์ รทิ ศั น,์ 30(2), 93-101. วจิ ารณ์ พานิช. (2556). สนุกกับการเรียนในศตวรรษที่ 21. กรงุ เทพมหานคร: มลู นิธสิ ยามกัมมาจล. 45 ปีที่ 46 ฉบบั ท่ี 209 พฤศจิกายน - ธนั วาคม 2560
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: