2. ถัว่ เขยี วผวิ ด�ำ พันธ์ุอู่ทอง 2 2.1 พันธุ์อทู่ อง 2 อายุประมาณ 90 วนั ผลผลิตเฉล่ยี 180 กิโลกรัมต่อไร่น้�ำหนกั 1,000 เมล็ด ประมาณ 44 กรมั เมลด็ สีนำ้� ตาลหรือสีแดง ขนาดเมลด็ เลก็สมำ�่ เสมอ พันธุพ์ ิษณุโลก 2 2.2 พันธ์ุพษิ ณโุ ลก 2 มที รงพมุ่ เตยี้ แคบและโปร่งกวา่ พันธอ์ุ ทู่ อง 2 อายุประมาณ 77 วนั ผลผลติ เฉลย่ี 190 กิโลกรัมตอ่ ไร่ นำ�้ หนัก 1,000 เมลด็ ประมาณ50 กรมั การปลกู ถัว่ เขยี วในฤดูแล้ง 7
วธิ ปี ลูก การปลกู ถวั่ เขยี วฤดูแลง้ เป็นการปลกู ถัว่ เขยี วหลงั การเก็บเก่ียวข้าวนาปี 1. ช่วงเวลาปลูก การปลกู ถวั่ เขยี วฤดแู ลง้ นยิ มปลกู ในพนื้ ทนี่ าหลงั จากเกบ็ เกยี่ วขาวนาปแี ลวในช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคม ถ้าต้องการผลผลิตสูงไม่ควรปลูกเกินปลายเดอื นมกราคม แตถ่ า้ อากาศหนาวอณุ หภมู ติ ำ�่ กวา่ 15 องศาเซลเซยี ส ควรเลอ่ื นการปลูกออกไปโดยให้เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมก่อนฝนตกชุกควรปลกู ถว่ั เขยี วทนั ทที เ่ี กบ็ เกย่ี วขา้ วแลว เพราะจะไดอ าศยั ปริมาณนาํ้ ในดนิ สําหรบัการเจริญเตบิ โตของถว่ั เขยี วแทนการใหนา้ํ ชลประทาน8 กรมส่งเสริมการเกษตร
การเตรียมดนิ 2. การเตรียมดิน การเตรียมดินให้เหมาะสมในการปลูกถั่วเขียวเป็นส่ิงส�ำคัญมาก วิธีการเตรียมดนิ ขึน้ อยกู่ บั สภาพพื้นท่ี และลกั ษณะดินจะสัมพนั ธก์ ับวธิ กี ารปลูก กรณีที่เป็นดินร่วนปนทรายหลังเก็บเกี่ยวข้าว เกษตรกรตัดตอซังเม่ือดินหมาดหรือความชื้นพอเหมาะจึงหว่านเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว แล้วใช้ผาน 7 ไถกลบในคราวเดียวกัน บางแห่งที่มีปัญหาเรื่องวัชพืชจะไถดะด้วยผาน 3 ตากดินทิ้งไว้และเม่อื เกบ็ เศษวัชพืชออก จึงไถดว้ ยผาน 7 อีกครัง้ กอ่ นหวา่ นเมลด็ ถวั่ เขียว แลว้คราดกลบเมล็ด กรณีเป็นดินเหนียวจัด ให้ท�ำร่องระบายน้�ำรอบแปลง และท�ำการปลูกโดยไมไ่ ถเตรยี มดนิ กลา่ วคอื หลงั เกบ็ เกย่ี วขา้ ว พอดนิ หมาดใหต้ ดั ตอซงั ทำ� รอ่ งระบายนำ�้ รอบกระทงนาแลว้ หวา่ นเมลด็ ถัว่ เขยี ว โดยไม่มีการไถเตรียมดินและไถคราดกลบหลังหว่านเมล็ด วิธีนีเ้ ปน็ การปลูกโดยไม่ให้นำ้� จะท�ำไดใ้ นบรเิ วณทม่ี ีระดบั นำ�้ ใต้ดินคอ่ นข้างสูง แต่การใช้วธิ ีนีใ้ ชอ้ ตั ราเมล็ดพนั ธ์ุปลูก 8 - 10 กิโลกรมั ต่อไร่ (เผื่อเมล็ดไม่งอกและนกมาจิกกินเมล็ดถ่ัวเขยี วหลังปลูก) กรณีปลูกในเขตชลประทานที่เป็นดินเหนียวจัด ต้องท้ิงไว้ให้ดินแห้งกอ่ น แลว้ ปลอ่ ยนำ�้ เขา้ ใหท้ ว่ มแลว้ ระบายนำ้� ออกทนั ที ทงิ้ ใหด้ นิ หมาดจงึ คอ่ ยไถพรวนวิธีนี้ดินจะแตกออกเป็นก้อนเล็กได้ง่าย เพราะหากไถพรวนทันทีหลังเกี่ยวข้าวดนิ ยงั มคี วามชนื้ สงู เมอื่ ไถดนิ จะจบั เปน็ กอ้ นโตทำ� ใหก้ ลบเมลด็ พนั ธไ์ุ มด่ ี ความชมุ่ ชน้ืในดินจะสูญหายไปเร็วมาก การปลูกถ่ัวเขียวฤดูแล้งจะต้องรักษาความช้ืนในดินให้มกี ารสญู เสียน้อยทีส่ ดุ การปลกู ถ่วั เขยี วในฤดูแลง้ 9
3. การคลกุ เมล็ดพนั ธุ์ด้วยเช้ือไรโซเบียม ไรโซเบียมถวั่ เขยี ว ปมรากถ่วั เกษตรกรควรคลุกเชื้อไรโซเบียมกับถ่ัวเขียวกอนปลูก โดยใชเช้ือไรโซเบียมท่ีใชสําหรับคลุกเมล็ดถ่ัวเขียวโดยเฉพาะ เช้ือไรโชเบียม 1 ถุง หนัก 200 กรัมสามารถคลุกกบั เมลด็ ถั่วเขยี วไดพอสําหรบั การปลูก 1 ไร่ ในแปลงท่ีเคยปลูกถั่วเขียวติดตอกันและถั่วเขียวมีการติดปมดีแลวอาจไมจําเปนตองคลุกเชื้อไรโซเบียมอีก มีงานทดลองยืนยันวาถั่วเขียวสามารถเกิดปมกับเชอ้ื ไรโซเบียมหลายชนดิ ในดินได การคลกุ เช้อื ไรโซเบียมจะทําใหถว่ั เขยี วตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศเพอื่ การเจรญิ เตบิ โตของถว่ั เขยี ว ปรมิ าณไนโตรเจนทตี่ รงึ ได้จะเป็นอาหารของต้นถั่วเขียว ท�ำให้ดินอุดมสมบูรณ์ และเปนการประหยัดการใหปุย๋ ไนโตรเจนเปน็ การชว่ ยเพ่ิมผลผลติ ให้สูงขึน้ ข้อควรระวงั ในการคลุกเชือ้ ไรโซเบยี ม คอื v ใช้เช้ือไรโซเบียมสำ� หรบั ถ่ัวเขียวเทา่ น้นั v เมลด็ พันธ์ถุ วั่ เขียวทคี่ ลกุ ไรโซเบียมแลว้ ควรใช้ใหห้ มดทันที v ไม่ควรปลกู ถ่วั เขียวที่คลกุ เชื้อไรโซเบียมในดนิ ทแี่ ห้งมากๆ เพอื่ รอฝน v เมอื่ หยอดเมลด็ พันธุถ์ ว่ั เขยี วแลว้ ควรรีบกลบทันที เพอ่ื ไมใ่ หเ้ มล็ดถูก แดดเผา10 กรมส่งเสรมิ การเกษตร
4. วิธกี ารปลกู และระยะปลกู การปลูกแบบหว่าน 4.1 การปลกู แบบหว่าน การปลูกถ่ัวเขียวหลังนาโดยอาศัยความชื้นในดิน หลังเก็บเก่ียวข้าวแล้วให้ไถดินขณะที่ดินยังมีความช้ืนเพียงพอส�ำหรับการงอกของเมล็ด ควรเตรียมดินให้ละเอียด ให้หว่านเมล็ดถั่วเขียวแล้วพรวนดินกลบทันทีเพื่อปิดผิวหน้าดินกันการระเหยของน�้ำใต้ดิน ในกรณีดินเหนียวที่แห้งเกินไป ความช้ืนไม่เพียงพอส�ำหรับการงอก ควรปล่อยให้ดินแห้งจนแตกระแหงแล้วจึงปล่อยน�้ำเข้าให้ท่วมและระบายออกทนั ที ทง้ิ ไวจ้ นดินหมาดหรือความชนื้ พอเหมาะ แล้วจงึ ไถพรวน การปลูกถ่วั เขยี วในฤดแู ลง้ 11
การปลกู เปน็ แถว 4.2 การปลกู เปน็ แถว ใชเ้ มล็ดพันธ์ุถ่ัวเขยี วอตั รา 4 - 5 กิโลกรัมตอ่ ไร่ ปลูกแบบแถวคบู่ นสันร่อง ระยะระหวา่ งแถว 50 เซนตเิ มตร ระยะระหวา่ งตน้ 10 เซนตเิ มตร จำ� นวน 2 ตน้ ตอ่ หลมุ ไดจ้ �ำนวนตน้ 64,000 ต้นตอ่ ไร่ ปลูกเป็นแถวโดยใช้เคร่อื งปลกู 4.3 การใช้เครือ่ งปลกู ควรเตรียมดินให้ละเอียด และสม่�ำเสมอก่อนปลูก ใช้ระยะระหว่างแถว 50 เซนติเมตร จำ� นวน 20 - 25 ต้น ตอ่ แถวยาว 1 เมตร ได้จำ� นวนต้น 64,000 - 80,000 ต้นตอ่ ไร่12 กรมสง่ เสริมการเกษตร
ตารางท่ี 1 สารปอ้ งกันกำ� จดั วชั พืช (ตอ่ )วชั พืช สารปอ้ งกันก�ำจัด อตั ราการใช้/น้ำ� วธิ กี ารใช/้ ข้อควรระวงั วชั พชื 20 ลติ ร/ พื้นที่ 1 งานวัชพืชฤดูเดียว ฟลูอะซิฟอบ-พี-บิวทิล 40 มิลลลิ ติ ร พน่ คลมุ ไปบนตน้ ถวั่ เขยี ว และทเี่ กดิ จากเมลด็ (15%EC) 50 มิลลิลิตร วชั พชื ระยะทวี่ ชั พชื สว่ นใหญ่และเปน็ วชั พชื มี 3-5 ใบ หรือประมาณใบแคบมาก ควซิ าโลฟอบ-พี-เทฟิวรลิ 15-20 วนั หลงั งอก (25% EC)วัชพืชฤดูเดียว โฟมีซาเฟน (25% EC) 40 มิลลลิ ิตร พ่นคลุมไปบนต้นถ่ัวเขียวท่ีเกิดจากเมล็ด และวัชพืช ระยะท่ีวัชพืชแ ล ะ เ ป ็ น พื ช ส่วนใหญม่ ใี บ 3-5 ใบ หรือใบกว้างมาก ประมาณ15-20วนั หลงั งอก ห้ามใช้เกินอัตราที่ก�ำหนด เพราะอาจเป็นอันตรายต่อ ต้นถ่วั เขยี ววัชพืชฤดูเดียว อะลาคลอร์ (48% EC) 125+75 มิลลิลติ ร พ่นทันทีหลังปลูกก่อนถั่วทเ่ี กดิ จากเมลด็ + พาราควอท 125+100 มลิ ลลิ ติ ร เขียวและวัชพืชงอกขณะและตน้ วชั พชื ที่ (27.6% SL) พ่นดินควรมคี วามช้นื และงอกข้ึนมาก่อน มวี ชั พชื งอกขน้ึ มากอ่ นปลกูปลกู ถว่ั เขยี วทง้ั อะลาคลอร์ (48% EC) ถว่ั เขียววัชพืชใบแคบ + ไกลโฟเสทและใบกว้าง (48% SL)วัชพืชข้ามปีและต้นวัชพืชทง่ี อกขน้ึ มากอ่ นปลกู ถวั่ เขยี วทง้ัวัชพืชใบแคบและใบกวา้ ง1/ ในวงเล็บคอื เปอรเ์ ซน็ ต์สารออกฤทธิ์และรปู แบบของสารป้องกันกำ� จัดวชั พืช การปลกู ถ่ัวเขยี วในฤดแู ล้ง 19
2. โรคทีส่ ำ� คญั และการป้องกนั ก�ำจดั 2.1 โรคราแปง้ สาเหตุ เชอ้ื รา Oidium sp. ลักษณะอาการ พบเส้นใยสีขาวคล้ายผงแป้งโรยอยู่บนใบหรือส่วน ของพืชท่ีถูกเชื้อราเข้าท�ำลาย ต่อมาใบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและแห้งตายไป ถ้าเชื้อราเข้าท�ำลายในระยะกล้าอาจท�ำให้ต้นกล้าตาย แต่ถ้าเชื้อราเข้าท�ำลาย ในระยะออกดอกจะท�ำให้ต้นแคระแกร็น ติดฝักน้อย ฝักและเมล็ดมีขนาดเล็กลง ฝักที่มีเชื้อราสีขาวคล้ายผงแป้งขึ้นคลุม ฝักจะบิดเบ้ียวแคระแกร็น และเมล็ด ไม่สมบรู ณ์ ช่วงเวลาระบาด เป็นโรคท่ีพบระบาดในช่วงอากาศแห้งและเย็น ระหว่างเดือนพฤศจกิ ายน – กุมภาพันธ์ เชือ้ ราแพร่ระบาดโดยลม การป้องกันกำ� จดั • ก�ำจดั วัชพชื ทเี่ ปน็ พืชอาศยั ของโรค • พน่ สารเบโนมิลป้องกนั ก�ำจัดโรคพืช20 กรมส่งเสริมการเกษตร
2.1 โรครากเน่า โคนเนา่ สาเหตุ เชื้อรา Pythium aphanidermatum ลักษณะอาการ ผิวนอกของรากและโคนต้นส่วนท่ีติดดินมีสีน้�ำตาลถ้าในแปลงมีความชื้นสูงอาการของโรคจะลุกลามอย่างรวดเร็วและพบเส้นใยสีขาวละเอียดปกคลุมบริเวณแผล ต้นถ่ัวเขียวท่ีเป็นโรคจะเห่ียวและแห้งตายท�ำความเสียหายให้กับถ่ัวเขียวในทุกแหล่งปลูกในพ้ืนท่ีที่ดินมีน้�ำขัง และการระบายน้�ำไม่ดี เช้ือราสามารถเข้าท�ำลายต้นถั่วเขียวได้ทุกระยะการเจริญเติบโตถา้ เขา้ ทำ� ลายเมลด็ เมลด็ จะเนา่ กอ่ นงอก โดยทว่ั ไป ถา้ ตน้ ถว่ั เขยี ว อายุ 1 - 2 สปั ดาห์จะออ่ นแอต่อการเขา้ ทำ� ลายของเชอื้ รามาก ช่วงเวลาระบาด ช่วงฤดูฝนดินมคี วามชน้ื สงู การป้องกันก�ำจัด • เตรยี มแปลงให้มกี ารระบายน้�ำดีและไม่มีน้�ำขัง • ในแหล่งท่รี ะบาดประจ�ำ คลุกเมลด็ ดว้ ยสารเคมเี มทาแลกซลิกอ่ นปลกู • ถอนและเผาทำ� ลายต้นทเ่ี ปน็ โรค • ปลกู พชื หมนุ เวยี นสลบั กับการปลูกถ่ัวเขียว ไมค่ วรปลกู ถวั่ เขียวซ�้ำทเี่ ดมิ ตดิ ต่อกนั การปลูกถ่วั เขยี วในฤดูแล้ง 21
2.3 โรคใบจุดสนี ำ�้ ตาล สาเหตุ เชือ้ รา Cercospora canescens ลักษณะอาการ มักระบาดในฤดูฝน พบแผลบนใบจุดสีน้�ำตาล คอ่ นขา้ งกลม ขอบแผลไม่สม่ำ� เสมอตรงกลางแผลมสี ีเทา ขนาดแผล 1 - 5 มิลลเิ มตร ถา้ อาการรนุ แรงใบจะเปลย่ี นเปน็ สนี ำ�้ ตาลและแหง้ รว่ งหลน่ โรคนสี้ ามารถเขา้ ทำ� ลาย ได้ทุกระยะการเจริญเติบโต ท�ำให้ผลผลิตเสียหายมาก จะเป็นรุนแรงขึ้นในระยะท่ี ต้นถั่วเขียวแกใ่ กล้เก็บเกี่ยว ทำ� ใหส้ ามารถเกบ็ เกย่ี วผลผลติ ไดเ้ พียงครง้ั เดยี ว ฝักจะ ลีบและขนาดของเมลด็ เล็กลง ช่วงเวลาระบาด ระบาดอยา่ งรนุ แรงในฤดฝู น การปอ้ งกนั ก�ำจดั • ปลกู ถัว่ เขียวพนั ธ์ตุ ้านทานโรค เชน่ พนั ธชุ์ ัยนาท 36 • หลกี เล่ยี งการปลูกถว่ั เขยี วในช่วงท่ีมกี ารระบาดของโรค • กำ� จดั วชั พชื บรเิ วณรอบแปลงปลกู เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ การสะสมของโรค • ถ้าพบระบาดมากควรพ่นสารเบโนมิล หรอื ไทโอฟาเนตเมทิล ปอ้ งกนั ก�ำจัดโรคพืช22 กรมสง่ เสริมการเกษตร
2.4 โรคไวรัสใบดา่ งเหลือง สาเหตุ เช้อื ไวรัส Mungbean Yellow Mosaic Virus (MYMV) ลักษณะอาการ ต้นทเี่ ปน็ โรคใบจะเปน็ จดุ สีเหลืองเลก็ ๆ กระจายอยู่ท่ัวไปบนใบท�ำให้ใบมีสีเหลืองปนเขียว ต่อมาอาการใบจุดสีเหลืองนี้จะกระจายแผ่ออกไปเป็นผืนใหญ่ และในท่ีสุดใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจัด ต่อมาอาการลามข้ึนไปสู่ใบยอด ท�ำใหย้ อดท่ีแตกใหม่มอี าการด่างเหลอื ง ต้นแคระแกรน็ ไมอ่ อกดอกและไม่ตดิ ฝกั แตถ่ ้าโรคน้เี กิดในระยะท่ตี ดิ ฝักแลว้ ฝักจะเปลยี่ นเป็นสีเหลอื งจัด ขนาดเล็กและสนั้ ผิดปกติ สว่ นมากฝกั จะงอข้ึนไม่ติดเมล็ดหรือเมลด็ จะลีบเล็กกว่าตน้ ปกติ ช่วงเวลาระบาด โรคนี้พบระบาดท�ำความเสียหายกับถ่ัวเขียวได้ทุกระยะการเจรญิ เติบโต ตงั้ แต่ถ่วั เขียวอายุประมาณ 2 สัปดาห์ขึ้นไป การป้องกันกำ� จดั • หลกี เลย่ี งการปลกู ถว่ั เขยี วในบรเิ วณทม่ี กี ารระบาดของโรค ถา้ จำ� เปน็ให้ถอนต้นทเ่ี ป็นโรคเผาทำ� ลาย เวน้ ระยะ 2 - 3 เดือนจงึ คอ่ ยปลกู ใหม่ • ก�ำจัดพืชอาศัยท้ังในและนอกแปลงปลูก เช่น พืชตระกูลถั่วและวชั พชื ตา่ งๆ • พ่นสารก�ำจัดแมลงเม่ือพบแมลงหว่ีขาวระบาดมาก เช่นอมิ ดิ าโคลพรดิ 5% EC อตั รา 20 มลิ ลลิ ติ รตอ่ นำ้� 20 ลติ ร หรอื ไตรอะโซฟอส 40% ECอัตรา 40 มลิ ลลิ ิตรต่อนำ้� 20 ลติ ร หรือคาร์โบซลั แฟน 20% EC อัตรา 60 มิลลลิ ิตรตอ่ น้�ำ 20 ลติ ร โดยพน่ 2 - 3 ครัง้ ห่างกัน 7 - 10 วนั การปลูกถว่ั เขยี วในฤดแู ลง้ 23
2.5 อาการทีเ่ กิดจากการขาดธาตเุ หล็ก ลักษณะอาการ ส่วนใหญ่พบในดินดา่ งสีดำ� ชดุ ตาคลี อาการที่พบคือใบยอดท่ีแตกออกมาใหม่มีสีเหลืองซีดแต่เส้นกลางใบยังคงมีสีเขียว ถ้าขาดรุนแรงใบเปลย่ี นเปน็ สเี หลอื งซดี จนเกอื บขาว ตน้ แคระแกรน็ ผลผลติ ลดลงหรอื ไมไ่ ดผ้ ลผลติ การป้องกนั กำ� จดั • ใช้พันธุ์ทนทาน ไดแ้ ก่ พันธช์ุ ยั นาท 84 - 1 ชัยนาท 72 และชัยนาท 36 • พ่นเหล็กซัลเฟต ความเข้มข้น 0.5% อัตรา 3 กิโลกรัมต่อไร่เมอื่ ตน้ ถว่ั เขยี วอายุ 20, 30 และ 40 วนั หลังงอกตารางท่ี 2 สารป้องกนั กำ� จัดโรคถว่ั เขียว โรค สารปอ้ งกนั อตั ราการใช้/นำ�้ วิธีการใช้/ หยุดการใช้ กำ� จดั โรค 20 ลติ ร ขอ้ ควรระวัง สารก่อน 15-20 กรัม เก็บเกีย่ ว (วัน)ราแป้ง เบโนมลิ (50% DS) 5 กรมั /เมล็ดพันธ์ุ พน่ เมอ่ื ถว่ั เขยี วอายุ30วนั 14 1 กโิ ลกรัม และพน่ ซำ�้ อกี ทกุ 10 วนัรากเน่า เมทาแลกซิล 15-20 กรัม รวม 3 ครง้ัโคนเน่า (35% DS) 15-20 กรัมใบจุด เบโนมลิ 20 มิลลลิ ิตร คลกุ เมลด็ พันธ์กุ ่อนปลูก -สนี ำ้� ตาล (50% WP) 40 มลิ ลิลิตร 60 มลิ ลลิ ติ ร พน่ ถว่ั เขยี วเมอ่ื อายุ30วนั 14 ไทโอฟาเนตเมทลิ และพ่นซ้�ำอีก 1-2 ครั้ง - (70% WP) ทกุ ๆ 7-10 วนั ขน้ึ อยู่กับไ ว รั ส ใ บ อิมิดาโคลพริด ความรนุ แรงของโรคดา่ งเหลือง (5% EC) พน่ 2 - 3 ครั้ง ปอ้ งกนั ไตรอะโซฟอส แมลงปากดดู พาหะนำ� โรค (40% EC) หา่ งกัน 7 - 10 วนั คารโ์ บซัลแฟน (20% EC)1/ ในวงเล็บคือ เปอร์เซ็นต์ของสารออกฤทธ์ิและรูปแบบของสารป้องกันและกำ� จดั โรคพชื24 กรมสง่ เสริมการเกษตร
เอกสารคำ� แนะน�ำที่ 6/2560การปลกู ถว่ั เขยี วในฤดแู ล้งทปี่ รึกษา อธิบดกี รมส่งเสรมิ การเกษตร www.doae.go.th รองอธิบดีกรมสง่ เสริมการเกษตรนายสมชาย ชาญณรงค์กลุ รองอธบิ ดีกรมส่งเสริมการเกษตรนายส�ำราญ สาราบรรณ์ ผอู้ ำ� นวยการสำ� นกั สง่ เสริมและจัดการสนิ คา้ เกษตรนายรตั นะ สวามชี ัย ผอู้ ำ� นวยการส�ำนกั พัฒนาการถา่ ยทอดเทคโนโลยีนางวลิ าวลั ย์ วงษ์เกษม ผู้อ�ำนวยการกล่มุ ส่งเสรมิ พชื น�้ำมนั และพชื ตระกลู ถว่ันางอญั ชลี สุวจติ ตานนท์ นางศรสี ุดา เตชะสาน เรียบเรยี งนางสกุ ญั ญา ตู้แกว้ นกั วชิ าการเกษตรชำ� นาญการกลุ่มสง่ เสรมิ พืชนำ�้ มันและพืชตระกลู ถว่ัสำ� นักสง่ เสริมและจดั การสนิ ค้าเกษตรกรมสง่ เสริมการเกษตรจัดทำ�นางอมรทิพย์ ภิรมย์บรู ณ์ ผอู้ �ำนวยการกลุม่ พฒั นาส่ือสง่ เสริมการเกษตรนางสาวอ�ำไพพงษ์ เกาะเทยี น นกั วชิ าการเผยแพรช่ �ำนาญการกลุ่มพัฒนาสื่อสง่ เสรมิ การเกษตรส�ำนกั พฒั นาการถา่ ยทอดเทคโนโลยีกรมสง่ เสรมิ การเกษตร
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: