บทที่ 3 เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 3.1 ความหมายและประเภทของเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ 3.2โพรโตคอล (Protocol) 3.3รูปร่างเครือข่าย 3.4อุปกรณเ์ ครอื ขา่ ยจุดประสงคก์ ารเรียนรู้1.อธิบายความหมายของเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ได้2.จําแนกเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์แตล่ ะชนดิ ได้3.อธิบายลักษณะการทาํ งานของเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์แบบตา่ งๆ ได้4.อธบิ ายความหมายและความสาํ คัญของโพรโตคอลได้5.ยกตวั อยา่ งโพรโตคอลทใี่ ชใ้ นปัจจุบันได้6.อธบิ ายความหมายของรปู ร่างเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ (Network Topology) ได้7.จําแนกและเปรยี บเทียบรปู ร่างเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรแ์ ต่ละแบบได้8.อธิบายหนา้ ท่ีและการทาํ งานของอุปกรณเ์ ครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์แตล่ ะประเภทได้
3.1 ความหมายและประเภทของเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ หรือคอมพิวเตอร์เน็ตเวริ ์ก คอื กลุม่ ของคอมพิวเตอร์จํานวนตั้งแต่สองเครื่องข้ึนไปและอุปกรณ์ต่างๆ ท่ีถูกนํามาเชื่อมต่อกันเพ่ือให้ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลยี่ นขอ้ มูล และใชอ้ ุปกรณต์ ่างๆ ในเครอื ขา่ ยรว่ มกันได้ เครือข่ายน้นั มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กทเี่ ชอื่ มต่อกนั ด้วยคอมพิวเตอรเ์ พียงสองสามเคร่อื ง เพอื่ ใช้งานในบ้านหรอื ในบรษิ ทั เล็กๆ ไปจนถึงเครือข่ายขนาดใหญท่ ีเ่ ชือ่ มต่อกนั ทวั่ โลก เราเรียกว่า เครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต การแบ่งประเภทของเครือข่ายสามารถแบ่งได้หลายแบบด้วยกัน ซ่ึงส่วนใหญ่นิยมแบ่งตามขนาดของเครือข่าย โดยสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ LAN (Local Area Network), MAN(Metropolitan Area Network) และ WAN (Wide Area Network) 3.1.1 LAN (Local Area Network) ระบบเคร่ืองข่ายท้องถ่ิน เป็นเน็ตเวิร์กในระยะทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร ไม่ต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ เป็นระบบเครือข่ายที่อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรือต่างอาคารในระยะใกลๆ้ 3.1.2 MAN (Metropolitan Area Network) ระบบเครือข่ายเมือง เป็นเน็ตเวิร์กท่ีจะต้องใช้โครงข่ายการส่ือสารขององค์การโทรศัพท์หรอื การส่อื สารแห่งประเทศไทย เปน็ การติดต่อกันในเมือง เช่น เครอื่ งเวริ ก์ สเตชน่ั อยู่ท่ีสุขุมวิท มีการติดตอ่ สอ่ื สารกบั เครื่องเวริ ก์ สเตช่นั ทีบ่ างรัก 3.1.3 WAN (Wide Area Network) ระบบเครือข่ายกว้างไกล หรือเรียกได้ว่าเป็น World Wide ของระบบเน็ตเวิร์ก โดยจะเป็นการสื่อสารในระดบั ประเทศ ขา้ มทวีปหรือท่วั โลก จะต้องใชโ้ ครงข่ายการสอื่ สารขององคก์ ารโทรศัพท์หรือการสือ่ สารแห่งประเทศไทย (คู่สายโทรศัพท์ dial-up / คูส่ ายเชา่ Leased line / ISDN) 2
3.2โพรโตคอล(Protocol) โพรโทคอล คือ ข้อกําหนดหรือข้อตกลงท่ีใช้ควบคุมการสื่อสารข้อมูลในเครือข่าย ไม่ว่าจะเปน็ การสื่อสารข้อมลู ระหว่างเครือ่ งคอมพวิ เตอร์หรือระหว่างคอมพวิ เตอร์กับอุปกรณอ์ ่นื ๆ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้โพรโทคอลชนิดเดียวกันเท่านั้นจึงจะสามารถติดต่อและส่งข้อมูลระหว่างกันได้ โพรโทคอลมีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาท่ีใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ซ่ึงต้องใช้ภาษาเดียวกันจึงจะสามารถส่ือสารกันได้เข้าใจองค์ประกอบหลักของโพรโตคอล จะประกอบด้วย 3ส่วนหลกั ๆ คอื - Syntax หมายถึงรูปแบบ(Format) หรือโครงสร้าง(Structure) ของข้อมูล เช่น กําหนด ว่าใน 8 บิตแรกจะหมายถึงแอดเดรส(address) ของผู้ส่ง อีก 8 บิตถัดมาหมายถึง แอดเดรสของผู้รับ ส่วนที่เหลือจึงจะเป็นข้อมูลจริงๆ ถ้าไม่มีการกําหนด syntax แล้ว แอนติตจ้ี ะไมส่ ามารถทราบได้เลยวา่ บิตแตล่ ะบิตที่ได้รบั มานนั้ คอื อะไร - Semantics หมายถึง ความหมายของข้อมูลทีไ่ ดร้ บั มา เช่น เม่ือได้รับข้อมูลแล้ว เอนติตี้ รู้ syntax แล้ว แต่จะยังไม่รู้ว่าบิตแต่ละบิตน้ันทําอะไรได้บ้าง ดังนั้นจึงต้องมาทําการ แปลความหมายของบิตเหล่านั้นเสียก่อน เช่น เม่ือทราบแอดเดรสของผู้รับแล้ว เอนติต้ี จะสามารถทําการหาเสน้ ทาง - Timing เป็นข้อกําหนดของเวลาในการรับส่งข้อมูล เน่ืองจากเอนติต้ีแต่ละตัวนั้นมา ความเร็วในการรับส่งท่ีไม่เท่ากัน เช่น ตัวหนึ่งมีความเร็วของการส่ง 100 Mbps แต่อีก ตัวมคี วามเรว็ ในการรับแค่ 1 Mbps ถา้ ไมม่ ีโพรโตคอลแลว้ ขอ้ มลู โดยส่วนใหญจ่ ะหายไป เนอื่ งจากเอนตติ ท้ี ีท่ ํางานชา้ กวา่ จะไมส่ ามารถรับข้อมูลได้ทัน โพรโทคอลเป็นองค์ประกอบที่สําคัญของการสื่อสารข้อมูล ดังนั้นจึงจําเป็นต้องมีมาตรฐาน(Standard) เพื่อให้เกิดความเป็นสากล และเน่ืองจากมีการใช้อุปกรณ์มากมายหลากหลายชนิดสาํ หรับการสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อีกทั้งยังมีผู้ผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวกระจายอยู่ทั่วโลก ดังนั้นจึงต้องมีการกําหนดมาตรฐานเอาไว้ เพื่อให้อุปกรณ์ทุกช้ินสามารถทํางานร่วมกันได้สาํ หรับมาตรฐานการสื่อสารขอ้ มูลเราสามารถแบง่ มาตรฐานออกได้ 2 ประเภท คือ de facto เป็นมาตรฐานที่เกิดข้ึนจากการยอมรับของคนท่ัวไป ไม่ต้องมีองค์กรใดๆ ทําหน้าท่ีในการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ผลิตจะเป็นผู้กําหนดไว้ ถ้าผู้ใช้ยอมรบั และมีการใช้งานกันอย่างกวา้ งขวาง กจ็ ะถอื เป็นมาตรฐานได้ de jureเป็นมาตรฐานที่ได้ผ่านการรับรองอย่างถูกกฏหมายแล้ว ซ่ึงท่ัวโลกมีองค์กรท่ีทําหน้าที่ในการกําหนดมาตรฐานอยู่หลายองค์กร เช่น International Organization forStandardization (ISO) เป็นองค์กรท่ีสมาชิกจากท่ัวโลกมาช่วยกันกําหนดมาตรฐานข้ึนโดยจะเน้นกําหนดมาตรฐานทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ เป็นต้น ตัวอย่างของมาตรฐานการส่ือสามารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ที่กําหนดโดย InternationalOrganization for Standardization (ISO) มีดังนี้ การส่ือสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะประกอบด้วยฝ่ายผู้ส่งและผู้รับ และจะเริ่มด้วยฝ่ายผู้ส่งตอ้ งการสง่ ขอ้ มลู โดยผ่านชนั้ มาตรฐาน 7 ชนั้ เรียงลาํ ดับดังน้ี 3
1. ช้ันกายภาพ (physical layer)ทําหน้าท่ีแปลงข้อมูลในรูปของสัญญาณดิจทิ ัลใหผ้ า่ นตวั กลางแตล่ ะชนิดได้ 2. ชั้นเช่ือมโยงข้อมูล(data link layer)ทําหน้าท่ีเสมือนเป็นผู้บริการส่งข้อมูล คือ ส่งข้อมูลผ่านทางสายส่งโดยมีกระบวนการตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูลอันเนื่องมาจากสัญญาณรบกวนท่ีเกิดในสายส่ง รวมท้ังมีการแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าวด้วย เป็นช้ันท่ีควบคุมความถกู ต้องระหวา่ งการสง่ ข้อมลู ระหวา่ งจดุ (node) 2 จดุ ท่อี ยตู่ ดิ กนั ในเครอื ข่าย 3. ชั้นเครือข่าย(network layer)ทําหน้าที่ควบคุมการส่งผ่านข้อมูลระหว่างต้นางและปลายทางโดยผ่านจุดต่างๆ บนเครือข่ายให้เป็นไปตามเส้นทางท่ีกําหนด รวบรวมและแยกแยะข้อมลู เพ่อื หาเสน้ ทางในการส่งข้อมูลทเี่ หมาะสม 4. ชนั้ ขนสง่ (transport layer)เป็นชั้นของการตรวจสอบและควบคมุ การส่งขอ้ มลู ระหว่างเครื่องต้นทางและเครือ่ งปลายทางให้ถูกต้อง 5. ช้ันส่วนงาน(session layer)ทําหน้าที่สร้างการติดต่อระหว่างเครื่องต้นทางและปลายทาง ตลอดจนดูแลการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องทั้งสองให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพโดยกาํ หนดขอบเขตการรับ-ส่ง คือกําหนดจุดผู้รับและผู้ส่งโดยจะเพ่ิมเติมรูปแบบการรับ-ส่ง ข้อมูลว่าเป็นแบบขอ้ มลู ชุดเดยี ว หรอื หลายชุดพร้อมๆ กนั เช่น โมดลู (module) ของการนาํ เสนอผ่านเว็บ 6. ชั้นการนําเสนอข้อมูล (presentation layer)จะแปลงข้อมูลท่ีส่งมาให้อยูใ่ นรูปแบบท่ีโปรแกรมของเครื่องผู้รับเข้าใจ รวมท้ังการจัดรูปแบบและนําเสนอข้อมูลโดยกําหนดรูปแบบภาษา ชนิด และวิธีการเข้าถึงข้อมูลของเครื่องผู้ส่งให้เครื่องผู้รับเข้าใจ เช่น การนําเสนอผ่านเว็บ การเขา้ รหสั และถอดรหัสขอ้ มลู 7. ชั้นการประยุกต์ (application layer)เป็นส่วนติดต่อระหว่างโปรแกรมประยุกต์ของเครือข่ายผู้ใช้ โดยคอมพิวเตอร์จะแปลงข้อมูลที่ได้รับเข้าสู่ระบบ เช่น การเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ทอ่ี ย่ใู นเครือขา่ ย การถ่ายโอนขอ้ มูลและไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ สําหรับโพรโทคอลการสื่อสารข้อมูลในปัจจุบันมีอยู่มากมาย แต่ในท่ีนี้เราจะมาทําความรู้จักกับโพรโทคอลที่มกี ารใช้งานอยา่ งกวา้ งขวางคือ TCP/IP, FTP, HTTP และ HTTPs 3.3.1 โพรโตคอลTCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)น้ีได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งถูกใช้เป็นครั้งแรกในเครือข่าย ARPANET ซ่ึงต่อมาได้ขยายการ 4
เช่ือมต่อไปทั่วโลกเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทําให้ TCP/IP เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบันเป็นชุดของโพรโตคอลท่ีถูกใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้สามารถใช้ส่ือสารจากต้นทางข้ามเครือข่ายไปยังปลายทางได้ และสามารถหาเส้นทางท่ีจะส่งขอ้ มลู ไปได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้วา่ ในระหวา่ งทางอาจจะผา่ นเครือข่ายท่ีมีปัญหา โพรโตคอลก็ยังคงหาเส้นทางอืน่ ในการส่งผา่ นขอ้ มูลไปใหถ้ งึ ปลายทางได้โดยมีจุดประสงค์ของการส่ือสารตามมาตรฐานสามประการคอื เพอ่ื ใชต้ ดิ ต่อสอ่ื สารระหวา่ งระบบทม่ี ีความแตกตา่ งกนั ความสามารถในการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนในระบบเครือข่าย เช่นในกรณีท่ีผู้ ส่งและผู้รับยังคงมีการติดต่อกันอยู่ แต่โหนดกลางทีใช้เป็นผู้ช่วยรับ-ส่งเกิด เสียหายใช้การไม่ได้ หรือสายสื่อสารบางช่วงถูกตัดขาด กฎการสื่อสารน้ี จะต้องสามารถจัดหาทางเลือกอ่ืนเพ่ือทําให้การส่ือสารดําเนินต่อไปได้โดย อัตโนมตั ิ มีความคลอ่ งตัวตอ่ การสื่อสารข้อมูลได้หลายชนิดท้ังแบบที่ไม่มีความเร่งด่วน เช่น การจัดส่งแฟ้มข้อมูล และแบบที่ต้องการรับประกันความเร่งด่วนของ ข้อมูล เช่น การส่ือสารแบบ real-time และท้ังการสื่อสารแบบเสียง (Voice) และข้อมูล (data) การสง่ ขอ้ มลู โดยใช้โพรโตคอลTCP/IP จะเปน็ การสง่ ข้อมูลผ่านในแต่ละเลเยอร์ โดยแต่ละเลเยอร์จะทําการประกอบข้อมูลที่ได้รับมา กับข้อมูลส่วนควบคุมซ่ึงถูกนํามาไว้ในส่วนหัวของข้อมูลเรียกว่า Header ภายใน Header จะบรรจุข้อมูลที่สําคัญของโพรโตคอลที่ทําการ Encapsulateเม่ือผู้รับได้รับข้อมูล ก็จะเกิดกระบวนการทํางานย้อนกลับคือ โพรโตคอลเดียวกัน ทางฝั่งผู้รับก็จะได้รบั ข้อมลู ส่วนท่เี ปน็ Header ก่อนและนาํ ไปประมวลและทราบว่าข้อมูลที่ตามมามีลักษณะอย่างไรซ่งึ กระบวนการยอ้ นกลบั นเี้ รยี กวา่ Demultiplexing สําหรับการ Encapsulation/Demultiplexing ของโพรโตคอล TCP/IP จะมีขั้นตอนการ ทํางานอยู่ 4 ข้ันตอนดงั นี้ 5
1. ช้ันโฮสต์-เครือข่าย (Host-to-network)โพรโตคอลสําหรับการควบคุมการส่ือสารในชั้นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีการกําหนดรายละเอียดอย่างเป็นทางการหน้าท่ีหลักคือการรับข้อมูลจากชั้น สอ่ื สาร IP มาแลว้ ส่งไปยังโหนดทรี่ ะบไุ วใ้ นเสน้ ทางเดินข้อมูลทางด้านผู้รับก็จะทํางานในทาง กลับกนั คอื รบั ขอ้ มูลจากสายส่ือสารแลว้ นําส่งใหก้ บั โปรแกรมในชนั้ ส่อื สาร2. ชั้นส่ือสารอินเตอร์เน็ต (The Internet Layer)ใช้ประเภทของระบบการส่ือสารที่เรียกว่า ระบบเครือข่ายแบบสลับช่องส่ือสารระดับแพ็กเก็ต (packet-switching network) ซ่ึงเป็น การติดต่อแบบไม่ต่อเนื่อง (Connectionless) หลักการทํางานคือการปล่อยให้ข้อมูลขนาด เล็กที่เรียกว่า แพ็กเก็ต (Packet) สามารถไหลจากโหนดผู้ส่งไปตามโหนดต่างๆ ในระบบ จนถึงจุดหมายปลายทางได้โดยอิสระหากว่ามีการส่งแพ็กเก็ตออกมาเป็นชุดโดยมีจุดหมาย ปลายทางเดยี วกันในระหวา่ งการเดนิ ทางในเครอื ข่ายแพ็กเก็ตแต่ละตัวในชุดน้ีก็จะเป็นอิสระ แก่กันและกัน ดงั นน้ั แพก็ เกต็ ทสี่ ง่ ไปถงึ ปลายทางอาจจะไม่เป็นไปตามลาํ ดบั กไ็ ด้3. ช้ันส่ือสารนําส่งข้อมูล (Transport Layer)แบ่งเป็นโพรโตคอล 2 ชนิดตามลักษณะ ลักษณะ แรกเรียกว่า Transmission Control Protocol (TCP) เป็นแบบที่มีการกําหนดช่วงการ ส่ือสารตลอดระยะเวลาการสื่อสาร (connection-oriented) ซึ่งจะยอมให้มีการส่งข้อมูล เป็นแบบ Byte stream ท่ีไว้ใจได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด ข้อมูลที่มีปริมาณมากจะถูกแบ่ง ออกเป็นส่วนเล็กๆเรียกว่า message ซึ่งจะถูกส่งไปยังผู้รับผ่านทางช้ันสื่อสารของ อินเทอร์เน็ตทางฝ่ายผู้รับจะนํา message มาเรียงต่อกันตามลําดับเป็นข้อมูลตัวเดิม TCP ยังมคี วามสามารถในการควบคมุ การไหลของข้อมลู เพ่ือปอ้ งกันไม่ให้ผู้ส่งส่งข้อมูลเร็วเกินกว่า ท่ีผู้รับจะทํางานได้ทันอีกด้วยโพรโตคอลการนําส่งข้อมูลแบบท่ีสองเรียกว่า UDP (User Datagram Protocol) เป็นการติดต่อแบบไม่ต่อเน่ือง (connectionless) มีการตรวจสอบ ความถูกต้องของข้อมูลแต่จะไม่มีการแจ้งกลับไปยังผู้ส่งจึงถือได้ว่าไม่มีการตรวจสอบความ ถกู ต้องของขอ้ มลู อย่างไรก็ตามวิธีการนี้มีข้อดีในด้านความรวดเร็วในการส่งข้อมูลจึงนิยมใช้ ในระบบผู้ให้และผู้ใช้บริการ (client/server system) ซึ่งมีการสื่อสารแบบถาม/ตอบ (request/reply) นอกจากน้ันยังใช้ในการส่งข้อมูลประเภทภาพเคลื่อนไหวหรือการส่งเสียง (voice) ทางอินเทอร์เน็ต4. ช้ันส่ือสารการประยุกต์ (Application Layer)มีโพรโตคอลสําหรับสร้างจอเทอร์มินัลเสมือน เรียกว่า TELNET โพรโตคอลสําหรับการจัดการแฟ้มข้อมูล เรียกว่า FTP และโพรโตคอล 6
สําหรบั การให้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า SMTP โดยโพรโตคอลสําหรับสร้างจอ เทอร์มินัลเสมือนช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อกับเคร่ืองโฮสต์ที่อยู่ไกลออกไปโดยผ่าน อินเทอร์เน็ตและสามารถทํางานได้เสมือนกับว่ากําลังนั่งทํางานอยู่ที่เครื่องโฮสต์นั้น โพรโตคอลสําหรับการจัดการแฟ้มข้อมูลช่วยในการคัดลอกแฟ้มข้อมูลมาจากเคร่ืองอื่นท่ีอยู่ ในระบบเครือข่ายหรือส่งสําเนาแฟ้มข้อมูลไปยังเครื่องใดๆก็ได้โพรโตคอลสําหรับให้บริการ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ช่วยในการจัดส่งข้อความไปยังผู้ใช้ในระบบหรือรับข้อความท่ีมีผู้ส่ง เขา้ มา3.3.2 โพรโตคอล FTP (File Transfer Protocal) การถ่ายโอนไฟล์ หรือเรียกได้อีกอย่างว่า การคัดลอกแฟ้มข้อมูลบนเครือข่าย คือ การโอนย้ายแฟ้มข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบหน่ึงมายังอีกระบบหนึ่งผ่านเครือข่าย ซึ่งทําได้หลายรูปแบบ เช่น การโอนจากแม่ข่ายมายังเครื่องพีซี หรือเครื่องพีซีไปแม่ข่ายหรือระหว่างแม่ข่ายด้วยกันเอง การถ่ายโอนแฟ้มข้อมูลหรือการโอนย้ายแฟ้มข้อมูลอาศัยโปรแกรมหน่ึงท่ีมีการใช้งานกันมาก และมีบริการอยู่ในโฮสต์แทบทุกเคร่ือง คือโปรแกรม FTP จากรูปแสดงถึงองค์ประกอบและกลไกการทํางานของโปรโตคอล FTP จะเริ่มจากผู้ใช้(USER) เรียกใช้โปรแกรมผ่าน User Interface และ เม่ือเป็นโปรแกรม FTP พร้อมใช้งานแล้วถ้ามีการใช้คําสั่งต่างๆของFTP จะเป็นหน้าท่ีของ PI (Protocol Interpreter module) ทําหน้าท่ีแปลคําส่ังและทํางานตามคําส่ัง ในกรณีที่มีการส่งรับข้อมูลก็จะเป็นหน้าที่ของ DT (Data Transfermodule) ซึ่งโมดูล PI และDTนี้จะอยู่ทัง้ ดา้ นของไคลเอนตแ์ ละเซริ ์ฟเวอร์ 3.3.2.1 ประเภทของการล็อกอินในบริการ FTP ล็อกอินดว้ ยผู้ใชท้ ม่ี ีอยู่ในระบบ (Real FTP) ผู้ใชบ้ รกิ ารจะตอ้ งมบี ญั ชีผใู้ ช้อยจู่ ริงบน เซริ ฟ์ เวอรส์ ามารถเปลี่ยนไดเร็คทอรไี่ ปที่อน่ื ได้ ลอ็ กอินดว้ ยผู้ใชท้ ่มี อี ยู่ในระบบแต่จํากดั ขอบเขต (Guest FTP) คล้ายกบั Real FTP ต่าง ตรงที่ ไม่สามารถเปล่ยี นไดเรค็ ทอรไี ปไหนได้เกินขอบเขตที่เซิร์ฟเวอรก์ ําหนด ลอ็ กอินดว้ ยผู้ใช้ทไี่ มม่ ีอยูร่ ะบบ (Anonymous FTP) การบรกิ าร FTP แบบทีเ่ ปดิ เสรใี ห้ คนท่วั โลกมาใชบ้ ริการคงเปน็ ไปไมไ่ ดท้ จี่ ะมานั่งสรา้ งบญั ชผี ูใ้ ช้ใหร้ อบรับคนท่ัวโลกแบบน้ี จงึ กาํ หนดให้ลอ็ กอนิ โดยใชช้ ือ่ anonymous สว่ นรหัสผ่าน E-Mail Address 3.3.2.2 การสรา้ งส่วนเชอื่ มโยงขอ้ มูล 1. FTP ใช้ port TCP 21 ในการสง่ ผ่านคาํ ส่งั ควบคมุ และใชพ้ อรต์ TCP 20 ส่งข้อมลู 7
2. สมมุติพอร์ตประจําส่วนเช่ือมโยงควบคุมของ Client คือ 1124 และเตรียมพอร์ต 125 รอไว้ สําหรบั ส่วนเช่ือมโยงขอ้ มูล 3. Client จะขอเปิดส่วนเชื่อมโยงข้อมูลตามตําแหน่ง (1) โดยส่งรหัสคําส่ัง Port ตามด้วย IP Address (158.108.33.1) และหมายเลขพอร์ต 4, 101 ซึ่งแสดงถึงพอร์ต 1125 (เลขพอร์ตเป็นรหัส 16 บิต สองชุดตดิ กัน ดังนัน้ ตัวเลข 4, 101 คือ 4 * 256 + 101 = 1125) 4.ตอ่ จากนั้น Server จะสง่ TCP จากพอร์ต 20 ไปยงั client ท่ีพอรต์ 1125 ตามตาํ แหนง่ ที่ 23.3.3โพรโตคอล HTTP(Hyper Text Transport Protocol) คือโพรโทคอลในระดับชั้นโปรแกรมประยุกตเ์ พ่อื การแจกจ่ายและการทํางานร่วมกันกับสารสนเทศของสือ่ ผสมใช้สาํ หรับการรับทรัพยากรท่ีเช่ือมโยงกับภายนอก ซึ่งนําไปสู่การจัดต้ังเวิลด์ไวด์เว็บการพัฒนา HTTP เป็นการทํางานรว่ มกันของเวลิ ดไ์ วด์เว็บคอนซอร์เทียม (W3C) และคณะทํางานเฉพาะกิจด้านวิศวกรรมอินเทอร์เน็ต(IETF) ซึ่งมีผลงานเด่นในการเผยแพร่เอกสารขอความเห็น (RFC) หลายชุด เอกสารที่สําคัญที่สุดคือRFC 2616 (เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542) ได้กําหนดHTTP/1.1 ซ่ึงเปน็ รนุ่ ทใี่ ชก้ นั อย่างกวา้ งขวางในปจั จุบนั HTTP เป็นมาตรฐานในการร้องขอและการ ตอบรับระหว่างเครื่องลูกข่ายกับเครื่องแม่ข่าย ซ่ึง เคร่ืองลูกข่ายคือผู้ใช้ปลายทาง (end-user) และ เคร่ืองแม่ข่ายคือเว็บไซต์ เครื่องลูกข่ายจะสร้างการ ร้องขอเอชทีทีพีผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์ เว็บครอว์ เลอร์ หรือเคร่ืองมืออ่ืน ๆ ที่จัดว่าเป็น ตัวแทนผู้ใช้ 8
(user agent) ส่วนเคร่อื งแม่ข่ายท่ีตอบรับ ซ่ึงเก็บบันทึกหรือสร้าง ทรัพยากร (resource) อย่างเช่นไฟล์เอชทีเอม็ แอลหรอื รูปภาพ จะเรียกวา่ เคร่ืองให้บรกิ ารตน้ ทาง (origin server) ในระหว่างตัวแทนผู้ใช้กับเคร่ืองให้บริการต้นทางอาจมีส่ือกลางหลายชนิด อาทิพร็อกซี เกตเวย์ และทุนเนล เอชทีทีพีไม่ได้จํากัดว่าจะต้องใช้ชุดเกณฑ์วิธีอินเทอร์เน็ต (TCP/IP) เท่านั้น แม้ว่าจะเป็นการใช้งานที่นิยมมากท่ีสุดบนอินเทอร์เน็ตก็ตาม โดยแท้จริงแล้วเอชทีทีพีสามารถ \"นําไปใช้ได้บนโพรโทคอลอินเทอร์เน็ตอ่ืน ๆ หรือบนเครือข่ายอ่ืนก็ได้\" เอชทีทีพีคาดหวังเพียงแค่การส่ือสารที่เชื่อถือได้ นั่นคือโพรโทคอลที่มีการรับรองเชน่ น้นั ก็สามารถใช้งานได้ ปกติเคร่ืองลูกข่ายเอชทีทีพีจะเป็นผู้เริ่มสร้างการร้องขอก่อน โดยเปิดการเชื่อมต่อด้วยเกณฑ์วิธีควบคมุ การขนส่งขอ้ มลู (TCP) ไปยงั พอรต์ เฉพาะของเคร่ืองแม่ขา่ ย (พอร์ต 80 เป็นค่าปรยิ าย) เคร่ืองแม่ข่ายเอชทที พี ีท่เี ปิดรอรบั อยทู่ ่ีพอรต์ นนั้ จะเปดิ รอให้เครื่องลกู ขา่ ยสง่ ข้อความร้องขอเข้ามา เม่ือได้รับการร้องขอแล้ว เครื่องแม่ข่ายจะตอบรับด้วยข้อความสถานะอันหนึ่ง ตัวอย่างเช่น \"HTTP/1.1 200 OK\"ตามด้วยเนื้อหาของมันเองส่งไปด้วย เน้ือหาน้ันอาจเป็นแฟ้มข้อมูลท่ีร้องขอ ข้อความแสดงข้อผิดพลาดหรือขอ้ มูลอย่างอนื่ เป็นตน้ ทรัพยากรที่ถูกเข้าถึงด้วยเอชทีทีพีจะถูกระบุโดยใช้ตัวระบุแหล่งทรัพยากรสากล (URI) (หรือเจาะจงลงไปก็คอื ตัวช้แี หล่งในอนิ เทอร์เนต็ (URL)) โดยใช้ http: หรอื https: เป็นแผนของตัวระบุ (URIscheme)3.3.4 โพรโตคอล HTTPsหรือ Hypertext Transfer Protocol Security คือ ระบบความปลอดภัยของHTTP protocol สําหรับการแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างเคร่อื ง server และ client ท่ีคดิ ค้นข้ึนโดยบริษัทNetscape เม่ือปลายปี ค.ศ. 1994 โดยมีจุดประสงค์เพ่ือรักษาความลับของข้อมูลขณะรับ-ส่ง และเพื่อให้แน่ใจว่า ข้อมูลน้ันถูกรับ-ส่งระหว่างผู้รับและผู้ส่งตามท่ีระบุไว้จริงคะ โดยที่ข้อมูลจะต้องไม่ถูกเปล่ียนแปลงแก้ไขไปจากเดิมด้วย HTTPS จะทํางานอยู่บนพอร์ต 443 (ค่าปกติ) ด้วยการเพ่ิมข้อมูลในส่วนการระบุตัวผู้ส่ง (Authentication) และการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ภายใน HTTP กับ TCPเวบไซต์ที่ ระบุถึงการเชื่อมต่อแบบ Secure HTTP จะขึ้นต้นด้วย https:// และตรงโปรแกรมเว็บบราวเซอร์จะมีรูปกุญแจเป็นตัวบ่งบอกสถานะว่า ในขณะที่เราใช้บราวเซอร์เรียกดูเว็บเพจใดๆ ก็ตามเว็บเพจน้นั ใชร้ ะบบรักษาความปลอดภยั ในการรับ-ส่งหรอื ไม่สัญลักษณ์รูปกุญแจแสดงถึงการทํางานของระบบรักษาความปลอดภัยที่เรียกกันว่า SSL ย่อมาจากคําว่า SecureSockets Layer เป็นโปรโตคอลท่ีเพิ่มความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย ทําให้เราสามารถส่งข้อมูลที่เป็นความลับเช่น รหัสผ่าน หรือ 9
หมายเลขบัตรเครดิตผ่านระบบเครือข่ายได้ด้วยความปลอดภัย นอกจากผู้ส่งและผู้รับข้อมูลแล้วไม่มีใครในระบบเครือขา่ ยสามารถดึงขอ้ มูลทีเ่ ป็นความลับไปใชไ้ ดห้ ลกั การทํางานSSL จัดเป็นโปรโตคอลที่อยู่ระหว่าง application layer และ transport layer SSL สามารถรองรับการทาํ งานกับ application โปรโตคอลต่างๆ เช่น HTTP (Hypertext Transfer Protocol), FTP (FileTransfer Protocol), Telnet หรืออ่ืนๆ ได้ SSL ทํางานโดยอาศัยหลักการของการเข้ารหัสข้อมูล(encryption), Message Digests และลายเซ็นอิเลกทรอนิกส์ (digital signature) การเข้ารหัสข้อมูลคือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบข้อมูลให้แตกต่างไปจากต้นฉบันจนทําให้ผู้อื่นไม่สามารถอ่านและเข้าใจข้อมูลได้ ถ้าไม่ใช้กลไกในการแปลงข้อมูลกลับมาอยู่ในรูปแบบเดิมก่อนซ่ึงเรียกว่าการถอดรหัส(decryption) กระบวนการเข้ารหัสและการถอดรหัสข้อมูลที่สําคัญที่ใช้ในปัจจุบันจะใช้ key เป็นกลไกในการทํางาน โดยผู้ส่งและผู้รับข้อมูลจะมี key ท่ีจะสามารถเขียนหรืออ่านข้อมูลนี้ได้ ผู้อื่นซึ่งไม่มี keyจะไม่สามารถทําได้ การเข้ารหัสโดยใช้ key สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือSymmetric key และAsymmetric key Symmetric keyท้ังผู้ส่งและผู้รับจะใช้ key อันเดียวกันในการเข้ารหัสและถอดรหัส และจะเรียก key อันนี้ว่า secret key ดังแสดงในรูป Alice ต้องการส่งข้อความ \"hello Bob\" ไปให้ Bob โดยผ่านทาง Internet ซ่ึงอาจจะมีคนแอบดักข้อมูลอยู่ Alice สามารถป้องกันไม่ให้eavesdropperสามารถอ่านข้อมูลเข้าใจได้ด้วยการเข้ารหัสโดยใช้ secret key ส่วน Bob ซ่ึงมี key อันเดียวกันกับAlice สามารถถอดรหสั และอ่านข้อความ \"hello Bob\" ได้ Asymmetrickey ผู้ส่งและผู้รับจะถือ key คนละอันที่เป็นคู่กันอันแรกเรียก public key ซึ่งจะแจกจ่ายให้ใครถือก็ได้ อีกอันเรียกว่า private key ซ่ึงผู้รับจะต้องเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีไม่ให้รั่วไหลผู้ส่งจะใช้ public key เป็นตัวเข้ารหัสและผู้รับจะใช้ private key เป็นตัวถอดรหัสจึงจะสามารถอ่านขอ้ มลู ได้ key ทงั้ สองตัวจะตอ้ งเป็นคู่กนั ไม่สามารถสลบั กับค่อู ื่นได้ ดังแสดงในรูป Alice ถือ public keyของ Bob ไว้สามารถส่งข้อความไปให้ Bob ได้โดยปลอดภัย แม้ว่า eavesdropper จะมี public key 10
ของ Bob หรือไม่ก็ตามก็ไม่สามารถอ่านข้อมูลได้ ขณะที่ Bob ซ่ึงถือ private key ไว้จะถอดรหัสได้เพียงผเู้ ดียว3.4 รปู รา่ งเครือข่าย คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลท่ีประกอบกันเป็นเครือข่าย มีการเช่ือมโยงถึงกันในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสม เทคโนโลยีการออกแบบเช่ือมโยงนี้เรียกว่า รูปร่างเครือข่าย(Network Topology) โทโปโลยีคือลักษณะทางกายภาพ (ภายนอก) ของเครือข่าย ซ่ึงก็หมายถึงลักษณะของการเช่ือมโยง สายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ภายในเครือข่ายเข้าด้วยกันนั่นเอง โทโปโลยีของเครือข่ายแต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน จึงมีความจําเป็นท่ีเราจะต้องทําการศึกษาลักษณะคุณ สมบัติ ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแต่ละแบบเพ่อื นาํ ไปใช้ในการออกแบบพิจารณาเครอื ขา่ ยให้เหมาะสมกบั การใช้งาน ปัญหาของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ของสถานีปลายทางหลายๆ สถานีคือจํานวนสายท่ีใช้เชื่อมโยงระหว่างสถานีเพ่ิมมากข้ึน และระบบการสลับสายเพื่อโยงข้อมูลถึงกันในการส่ือสารระหว่างสถานี ถ้ามีการเพิ่มสถานีมากข้ึนค่าใช้จ่ายในการเดินสายก็มากตามไปด้วย และในขณะท่ีสถานีหน่ึงสื่อสารกับสถานีหนึ่งก็จะถือครองการใช้สายเชื่อมโยงระหว่างสถานีน้ัน ทําให้การใช้สายเช่ือมโยงไมเ่ ตม็ ประสิทธิภาพ ดงั น้ันถา้ เราควรมีความรู้และเขา้ ใจถึงการเชอ่ื มต่อเครอ่ื ข่ายทางกายภาพซึ่งจะแบง่ ออกเป็น2 ประเภท คือ เชอ่ื มตอ่ แบบจุดต่อจุด(point-to-pointConnection)และเชอ่ื มตอ่ แบบหลายจดุ(multipoint Connection) 3.4.1 การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด(point-to-point)เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ส่ือสารสองเคร่ือง โดยใช้สื่อกลางหรือช่องทางในการส่ือสารช่องทางเดียวเป็นการจองสายในการส่งข้อมูลระหว่างกันโดยไม่มีการใช้งานส่ือกลางน้ันร่วมกับอุปกรณ์ชิ้นอ่ืนๆ การเชื่อมต่อลักษณะนี้เป็นการเช่ือมต่อท่ีทําให้ส้นิ เปลอื งชอ่ งทางการส่อื สาร 11
3.4.2 การเชื่อมต่อแบบหลายจุด(multipoint)เป็นการใชง้ านช่องทางการสื่อสารเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการเชื่อมต่อลักษณะนี้จะใช้ช่องทางการส่ือสารหน่ึงช่องทางเช่ือมต่อเข้ากับเคร่ืองคอมพิวเตอร์หรืออปุ กรณ์สอื่ สารหลายชน้ิ โดยมีจุดเชอ่ื มแยกออกมาจากสายหลกั ดังตอ่ ไปนี้ 3.4.2.1) โทโปโลยีแบบ BUSในระบบเครือข่าย โทโปโลยีแบบ BUS นับว่าเป็นโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากในอดีต คือการนําอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่ายเชื่อมต่อกับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า \"บัส\" (BUS) เม่ือโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปยังอีกโหนดหนึ่งภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่งจะถูกส่งเข้าสู่สายบัสในรูปแบบของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจจะประกอบด้วยตาํ แหน่งของผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูล การสื่อสารภายในบัสจะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง2 ด้านของบัส โดยตรงปลายท้ัง 2 ด้านของบัสจะมีเทอร์มิเนเตอร์(Terminator) ทําหน้าที่ดูดกลืนสัญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับเข้ามายังบัส อีกทั้งเป็นการป้องกันการชนของสัญญาณข้อมูลอื่นที่เดินทางอยู่ใน BUS สัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่งเมื่อ เข้าสู่บัสจะไหลผ่านยังปลายท้ัง 2 ข้างของบัส แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อเข้ากับบัสจะคอยตรวจดูว่าตําแหน่งปลายทางท่ีมากับแพ็กเกจข้อมลู นั้นตรงกบั ตาํ แหนง่ ของตนหรอื ไม่ ถา้ ใช่กจ็ ะรบั ขอ้ มูลนน้ั เขา้ มาสโู่ หนดตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลผ่านไป จะเห็นได้ว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถรับรู้สัญญาณขอ้ มลู ได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียงโหนดเดียวเท่าน้ันท่ีจะรับข้อมูลนั้นไปได้การควบคมุ การสอื่ สารภายในเครอื ขา่ ยแบบ BUS มี 2 แบบคอื แบบ ควบคุมด้วยศูนย์กลาง (Centralized) ซึ่งจะมีโหนดหน่ึงท่ีทําหน้าท่ีเป็นศูนย์กลาง ควบคุมการ สอ่ื สารภายในเครอื ข่ายซ่ึงสว่ นใหญจ่ ะ เปน็ ไฟลเ์ ซริ ฟ์ เวอร์ ควบคุมแบบกระจาย (Distributed) ทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายจะมีสิทธิในการ ควบคุมการสื่อสารแทนท่ีจะเป็นศูนย์กลางควบคุมเพียงโหนดเดียว ซ่ึงโดยท่ัวไปคู่ โหนดที่กําลังทําการส่ือสารส่ง-รับข้อมูลกันอยู่จะเป็นผู้ควบคุมการสื่อสารในเวลา นัน้สายแกน การเชื่อมตอ กับสายแกน รูปโทโปโลยแี บบ BUS 12
ตารางเปรียบเทยี บข้อดแี ละขอ้ เสยี ของโทโปโลยแี บบ BUS ขอ้ ดี ขอ้ เสีย1. เป็นโครงสร้างทีไ่ มซ่ ับซอ้ น และตดิ ต้ังง่าย 1. หากสายเคเบิลที่เป็นสายแกนหลักขาด จะ2. ง่ายต่อการเพ่ิมจํานวนโหนด โดยสามารถ สง่ ผลใหเ้ ครอื ข่ายต้องหยดุ ชะงกั ในทนั ทีเช่อื มตอ่ เขา้ กบั สายแกนหลักได้ทนั ที 2. กรณีระบบเกิดข้อผิดพลาดใดๆ จะหา3. ประหยัดสายส่งข้อมูล เน่ืองจากใช้สายแกน ขอ้ ผิดพลาดได้ยากหลักเพยี งเส้นเดียว 3. ร ะ ห ว่ า ง โ ห น ด แ ต่ ล ะ โ ห น ด จ ะ ต้ อ ง มี ระยะห่างตามขอ้ กําหนด3.4.2.2)โทโปโลยีแบบ RINGเหตุที่เรียกการส่ือสารแบบน้ีว่าเป็นแบบ RING เพราะข่าวสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่ายจะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปในทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน หรือ RING นั่นเอง โดยไม่มีจดุ ปลายหรือเทอร์มิเนเตอรแ์ บบ BUS ในแต่ละโหนดจะมรี พี ีตเตอร์ประจําโหนด 1 เครื่อง ซ่ึงจะทําหน้าท่เี พมิ่ เติมขา่ วสารท่ีจําเป็นต่อการส่ือสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจ ข้อมูลสําหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูลท่ีไหลผ่านมา จากสายสื่อสารเพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลท่ีส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถา้ ใช่กจ็ ะคดั ลอกข้อมูลทั้งหมดนั้นส่งต่อไป ให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปลอ่ ยขอ้ มูลนั้นไปยงั รพี ีตเตอร์ของโหนดถัดไป รูปโทโปโลยีแบบ RINGตารางเปรียบเทียบขอ้ ดแี ละข้อเสยี ของโทโปโลยีแบบ RING ขอ้ ดี ข้อเสีย1. แต่ละโหนดในวงแหวนมโี อกาสทจ่ี ะสง่ ขอ้ มลู ได้ 1. หากวงแหวนเกิดขาดหรอื เสียหาย จะเทา่ เทยี มกัน สง่ ผลตอ่ ระบบท้ังหมด2. ประหยัดสายสญั ญาณ โดยจะใชส้ ายสญั ญาณ 2. ยากต่อการตรวจสอบ ในกรณที ีม่ โี หนดเทา่ กบั จาํ นวนโหนดท่ีเชอ่ื มต่อ ใดโหนดหนึง่ เกิดขัดข้อง เนื่องจากตอ้ ง3. ง่ายตอ่ การติดตง้ั และการเพม่ิ /ลบจํานวนโหนด ตรวจสอบทีละจดุ วา่ เกิดขอ้ ขัดข้อง อย่างไร 13
3.4.2.3) โทโปโลยีแบบ STARจากการเชื่อมโยงติดต่อส่ือสารท่ีมีลักษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR)หลายแฉกโดยมีศูนย์กลางของดาว หรือฮับเป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่ายศูนย์กลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการส่ือสารท้ังหมดท้ังภายใน และภายนอกเครือข่ายนอกจากน้ศี นู ย์กลางยังทาํ หน้าทเ่ี ป็นศูนยก์ ลางข้อมลู อีกดว้ ย โดยเชอื่ มตอ่ เข้ากับไฟลเ์ ซิรฟ์ เวอรอ์ กี ที การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ STAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทางโดยอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่าน้ันที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล (แต่ในอุปกรณ์รุ่นใหม่สามารถทําการสลับการทํางานและยอมให้ทํางานได้พร้อมกันคือ Switch HUB) โทโปโลยีแบบ STAR เป็นท่ีนิยมใช้กันมากท่ีสุดในปัจจุบันเพราะติดต้ังง่ายและดแู ลรักษางา่ ย หากมโี หนดใดเกิดความเสียหายกต็ รวจสอบได้งา่ ย และศนู ยก์ ลางสามารถตัดโหนดน้ันออกจากการสอื่ สารในเครอื ข่ายได้ รปู โทโปโลยีแบบ STARตารางเปรยี บเทียบขอ้ ดีและขอ้ เสียของโทโปโลยีแบบ STAR ข้อดี ข้อเสยี1. มีความคงทนสูง คือหากสายเคเบิลของบาง 1. ใช้สายเคเบิลมากเท่ากับจํานวนเครื่องที่โหนดเกิดขาดก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบ เช่ือมต่อ ซ่ึงหมายถึงค่าใช้จ่ายท่ีสูงขึ้นโดยรวม โดยโหนดอื่นๆ ก็ยังสามารถใช้งานได้ ด้วย แต่ก็ใช้สายเคเบิลมากกว่าแบบตามปกติ BUS กบั แบบ RING2. เนื่องจากมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ฮับ ดังน้ันการ 2. การเพ่ิมโหนดใดๆ จะต้องมีพอร์ตจัดการและการบรกิ ารจะงา่ ยและสะดวก เพียงพอต่อการเชื่อมโหนดใหม่ และ จะต้องโยงสายจากพอร์ตของฮับมายัง สถานท่ีทต่ี ั้งเคร่อื ง 3. เน่ืองจากมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ฮับ หากฮับ เกิดข้อขัดข้องหรือเสียหายใช้งานไม่ได้ คอมพิวเตอร์ต่างๆ ท่ีเช่ือมต่อเข้ากับฮับ ดงั กล่าวกจ็ ะใชง้ านไมไ่ ดท้ ั้งหมด 14
3.5 อปุ กรณเ์ ครอื ข่าย 3.5.1 การ์ดเครือข่าย (Network Interface Card) หรือการ์ดแลน หรืออีเธอร์เน็ตการ์ด ทําหน้าที่ในการเช่ือมคอมพิวเตอรท์ ่ใี ชง้ านอยู่นั้นเขา้ กบั ระบบเครือข่ายได้ เช่น ในระบบ แลน เคร่ืองคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองในเครือข่ายจะต้องมีการ์ดเครือข่ายที่เชื่อมโยงด้วย สายเคเบิลจึงสามารถทําให้เครื่องติดต่อกับเครือข่ายได้ ส่วนในกรณีเป็นระบบแลนไร้ สาย ก็จะต้องใช้การ์ดแลนแบบไร้สาย (Wireless PCI/PCMCIA Card) ร่วมกับอุปกรณ์ ท่ีเรียกว่าแอกเซสพอยต์ (Wireless Access Point)การด แลน การดแลนแบบไรส าย การด แลนแบบไรส าย3.5.2 ฮับ (Hub)คืออุปกรณ์ที่รวมสัญญาณที่มาจาก สําหรับ Notebook อุปกรณ์รับส่งหลายๆ สถานีเข้าด้วยกัน ฮับ เปรียบเสมือนเป็นบัสที่รวมอยู่ท่ีจุดเดียวกัน ฮับท่ีใช้งานอยู่ภายใต้มาตรฐานการรับส่งแบบอีเทอร์เน็ต หรือ IEEE802.3 ข้อมูลท่ีรับส่งผ่านฮับจากเคร่ืองหนึ่งจะกระจายไปยังทุกสถานีท่ีติดต่อยู่บนฮับน้ัน ดังน้ันทุกสถานีจะรับสัญญาณข้อมูลที่กระจายมาได้ท้ังหมด แต่จะเลือกคัดลอกเฉพาะข้อมูลที่ส่งมาถึงตนเท่าน้ัน การตรวจสอบข้อมูลจึงตอ้ งดูทีแ่ อดเดรส(address) ทก่ี ํากบั มาในกลุ่มของขอ้ มูลหรือแพก็ เกต็ รูปฮบั 15
3.5.3 สวิตช์ (Switch)คืออุปกรณ์รวมสัญญาณท่ีมาจากอุปกรณ์รับส่งหลายสถานี เช่นเดียวกับฮับ แต่มีข้อแตกต่างจากฮับ คือ การรับส่งข้อมูลจากสถานีหรืออุปกรณ์ตัว หนึ่ง จะไม่กระจายไปยังทุกสถานีเหมือนฮับ ท้ังน้ีเพราะสวิตช์จะรับกลุ่มข้อมูลหรือแพ็ก เก็ตมาตรวจสอบก่อน แล้วดูว่าแอดเดรสของสถานีหลายทางไปท่ีใด สวิตช์จะลดปัญหา การชนกันของข้อมูลเพราะไม่ต้องกระจายข้อมูลไปทุกสถานี และยังมีข้อดีในเรื่องการ ปอ้ งกันการดกั จบั ข้อมูลที่กระจายไปในเครือข่าย รปู สวิตซ 16
3.5.4 บริดจ์ (Bridge)เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะกับเครือข่ายหลายๆ กลุ่มที่เช่ือมต่อกัน เน่ืองจาก สามารถแบ่งเครือข่ายท่ีเช่ือมต่อ กันหลายๆ เซกเมนต์แยกออก จากกันได้ ทําให้ข้อมูลในแต่ละ เ ซ ก เ ม น ต์ ไ ม่ ต้ อ ง ว่ิ ง ไ ป ทั่ ว ทั้ ง รูปบริดจ เครอื ขา่ ย กล่าวคอื บริดจ์สามารถ อ่านเฟรมข้อมูลที่ส่งมาได้ว่ามา จ า ก เ ค รื่ อ ง ใ น เ ซ ก เ ม น ต์ ใ ด จากนั้นจะทําการสง่ ข้อมูลไปยังเคร่ืองซ่ึงอาจอยู่ในเซกเมนต์เดียวกันหรือต่างเซกเมนต์ก็ ได้ ซงึ่ ความสามารถดังกลา่ วทาํ ใหช้ ว่ ยลดปญั หาความคบั คงั่ ของขอ้ มลู ในระบบได้3.5.5 รีพีตเตอร์ (Repeater) เป็นอุปกรณ์ทวนสัญญาณเพื่อให้สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้ ระยะไกลข้ึน คือ รีพีตเตอร์จะปรับปรุงสัญญาณท่ีอ่อนตัวให้กลับมาเป็นรูปแบบเดิม เพ่ือให้สัญญาณสามารถส่งต่อไปได้อีก เช่น การเช่ือมต่อเครือข่ายแลนหลายๆ เซกเมนต์ ซึ่งความยาวของแตล่ ะเซกเมนต์นั้นจะมีระยะทางท่ีจํากัด ดังน้ันอุปกรณ์อย่างรีพีตเตอร์ก็ จะชว่ ยแก้ปญั หาเหล่านี้ได้ รปู รพี ตี เตอร 17
3.5.5 โมเด็ม (Modem) เป็นอุปกรณ์ท่ีทําหน้าท่ีแปลงสัญญาณคอมพิวเตอร์ให้สามารถ เชื่อมคอมพิวเตอร์ท่ีอยู่ระยะไกลเข้าหากันได้ด้วยการผ่านสายโทรศัพท์ โดยโมเด็ม จะทําหนา้ ท่ีแปลงสญั ญาณ ซึ่งแบ่งออกเป็นท้ังภาคส่งและภาครับ โดยภาคส่งจะทํา การแปลงสัญญาณคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณโทรศัพท์ (Digital to Analog) ในขณะที่ภาครับนั้นจะทําการแปลงสัญญาณโทรศัพท์กลับมาเป็นสัญญาณ คอมพิวเตอร์ (Analog to Digital) ดังนั้นในการเช่ือมต่อเครือข่ายระยะไกลๆ เช่น อินเทอร์เน็ต จึงจําเป็นต้องใช้โมเด็ม โดยโมเด็มมีท้ังแบบภายใน(Internal Modem) ท่ีมีลักษณะเป็นการ์ด โมเด็มภายนอก(External Modem) ท่ีมี ลักษณะเป็นกล่องแยกออกต่างหาก และรวมถึงโมเด็มที่เป็น PCMCIA ท่ีมักใช้กับ เครอื่ งคอมพิวเตอรโ์ น้ตบ๊คุรปู โมเดม็ แบบภายนอก รูปโมเดม็ แบบภายใน รูปโมเด็มแบบ PCMCIA3.5.6 เร้าเตอร์ (Router) ในการเช่ือมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีการเชื่อมโยง หลายๆ เครือข่าย หรืออุปกรณ์หลายอย่างเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงมีเส้นทางการเข้า ออกของข้อมูลได้หลายเส้นทาง และแต่ละเส้นทางอาจใช้เทคโนโลยีเครือข่ายท่ี ต่างกัน อุปกรณ์จัดเส้นทางจะทําหน้าที่หาเส้นทางท่ีเหมาะสมเพ่ือให้การส่งข้อมูล เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การที่อุปกรณ์จัดหาเส้นทางเลือกเส้นทางได้ถูกต้อง เพราะแต่ละสถานีภายในเครือข่ายมีแอดเดรสกํากับ อุปกรณ์จัดเส้นทางต้องรับรู้ ตําแหน่งและสามารถนําข้อมูล ออกทางเส้นทางได้ถูกต้องตาม ตําแหน่งแอดเดรสท่ีกํากับอยู่ ในเสน้ ทางน้นั 18
3.5.7 ตัวอย่างอุปกรณอ์ น่ื ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง รปู CABLE TESTER รปู เราเตอร รปู คมี เขา หัวเชือ่ มตอ แบบ RJ-45 รูปPort Cat.6 RJ-45 UTP Rack Mount Patch Panels รปู Cat.5e RJ-45 Modular Jacks รูป43RJ-45 Modular Plug Boots19
รปู Face Platesรปู POP UP Floor Mount รปู Wall Rack 19” 20
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: