Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่อง ระบบย่อยอาหาร

เรื่อง ระบบย่อยอาหาร

Published by sarawutth4, 2017-08-11 00:52:50

Description: เรื่อง ระบบย่อยอาหาร

Search

Read the Text Version

โรงเรียนมหดิ ลวิทยานสุ รณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวชิ าชีววิทยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชวี วิทยา3 62 บทท่ี 3 ระบบการย่อยอาหารการยอ่ ยอาหารของคน อาหารทเ่ี รารับประทานเข้าไปจะผ่านเขา้ ไปในสว่ นตา่ ง ๆ ของทางเดนิ อาหาร (ดงั ภาพท่ี 2.18) ซ่ึงประกอบดว้ ย 1. ส่วนที่เป็นทางเดินอาหาร (Digestive Tract) ประกอบด้วย ปาก(Mouth) คอหอย(Pharynx)หลอดอาหาร (Esophagus) กระเพาะอาหาร (Stomach) ลาไส้เล็ก (Small intestine) ลาไส้ใหญ่ (Largeintestine) และทวารหนกั (Anus) 2. ส่วนท่ีจาเป็นต่อการทางานของระบบทางเดินอาหาร (Associated glandular organs) ได้แก่ตอ่ มน้าลาย (Salivary gland) ตับ (Liver) ถุงนา้ ดี (Gallbladder) และตบั อ่อน (Pancreas) นอกจากนี้ สว่ นต่างๆ ของทางเดินอาหารจะมีกลา้ มเนือ้ หรู ดู (Sphincter) กั้น แบ่งออกเป็นตอน ๆดงั น้ี คือ 1. กล้ามเน้ือหูรูดหลอดอาหารตอนบน (Upper esophageal sphincter) อยู่บนบริเวณหลอดอาหารตอนบน 2. กลา้ มเนื้อหรู ดู หลอดอาหารตอนลา่ ง (Lower esophageal sphincter หรือ Cardiac sphincter)อยู่บนบริเวณหลอดอาหารตอนล่าง 3. กล้ามเน้ือหูรูดไพลอรัส (Pyloric sphincter) อยู่บริเวณตอนปลายของหลอดอาหารติดต่อกับกระเพาะอาหาร 4. กล้ามเนอื้ หูรดู อลิ ีโอซคี ัล (Eleocecal sphincter) อยู่บรเิ วณตอนปลายของลาไสเ้ ลก็ 5. กล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักด้านในและด้านนอก (Internal และ External anal sphincter) อยู่บรเิ วณทวารหนัก ภาพท่ี 2.18 โครงสร้างของทางเดินอาหารเอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบบั น้ยี ังอยู่ระหว่างดาเนนิ การปรบั ปรงุ แก้ไข ใช้สาหรับโรงเรยี นมหิดลวทิ ยานุสรณ์เทา่ น้ัน

โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวชิ าชวี วทิ ยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชีววิทยา3 63 บทที่ 3 ระบบการย่อยอาหาร การยอ่ ยอาหารในปาก1. สว่ นประกอบของปาก (ภาพท่ี 2.19)ไดแ้ ก่ ภาพท่ี 2.19 ส่วนประกอบของปาก 1.1 รมิ ฝปี าก (Lip) เปน็ สว่ นทพ่ี บเฉพาะในสตั วท์ เี่ ลยี้ งลกู ดว้ ยนา้ นม ใช้สาหรบั เปน็ ทอ่ี ยู่ของอาหารตอนท่ีกาลงั เคี้ยวอาหาร รมิ ฝีปากประกอบด้วยกลา้ มเนื้อทเ่ี คลื่อนไหวไปมาได้ 1.2 ช่องแกม้ (Buccal cavity) คือสว่ นท่ีถัดจากริมฝปี าก อยูร่ ะหวา่ งฟันกับแก้มมีตอ่ มท่บี รเิ วณเย่อื บขุ า้ งแก้มเปน็ จานวนมาก และประกอบดว้ ยตอ่ มน้าลาย (Salivary gland) 1.3 โพรงปาก (Oral cavity) อยูภ่ ายในองุ้ ฟันหมดเขตบริเวณลน้ิ ไก่ (Uvula) ส่วนบนตอนหนา้ของโพรงปากเปน็ เพดานแขง็ (Hard palate) และทางส่วนทา้ ยเปน็ เพดานอ่อน (Soft palate) บนเพดานแขง็ จะมสี ันตามขวางหลายอนั ทาให้อาหารทเี่ ขา้ ปากหลดุ ออกมายาก ส่วนเพดานอ่อนห้อยโค้งลงมาใกล้กับโคนลิ้น สว่ นขอบปลายสุดของเพดานออ่ นยังมีตอ่ มน้าเหลอื งอีกคหู่ นงึ่ ซงึ่ อยใู่ นแอ่งเลก็ ๆ มีหนา้ ท่ีสาหรับเปน็ กับดกั แบคท่ีเรยี ในปากไมใ่ หเ้ ขา้ ไปในทางเดนิ อาหรสว่ นอ่นื ๆ ตอ่ มน้าเหลืองนีค้ อื ต่อมทอนซิล(Palatine tonsil) เอกสารประกอบการเรยี นการสอนฉบับนีย้ งั อยรู่ ะหว่างดาเนินการปรับปรงุ แก้ไข ใชส้ าหรับโรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณเ์ ทา่ นนั้

โรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวิชาชีววทิ ยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชวี วิทยา3 64 บทที่ 3 ระบบการยอ่ ยอาหาร1.4 ลิน้ (Tongue) ล้ินของคน สว่ นมากใชเ้ ปน็ อวัยวะในการรับรสประกอบดว้ ยกลา้ มเนือ้ แป็นส่วนใหญ่ จึงเคล่ือนไหวได้หลายอย่างและใช้งานได้ดี เช่น เป็นส่วนสาคัญในการการพูดของคน ช่วยในการตะล่อมอาหารให้คลุกเคล้ากับน้าลายจนท่ัวและช่วยในการกลืน เป็นต้น นอกจากน้ีผิวของล้ินยังประกอบด้วยตุ่มปลายประสาทสาหรับรับรสเป็นจานวนมาก1.5 ฟัน (Tooth) (ภาพท่ี 2.20) เปน็ สว่ นทีท่ าหน้าทบ่ี ดเค้ียวอาหารให้ละเอยี ด ฟันแตล่ ะซจี่ ะมีสว่ นประกอบดงั น้ีภาพท่ี 2.20 โครงสร้างของฟนั กรามบนและฟันเขีย้ วตัดตามยาว 1) ตวั ฟัน (Crown) คือส่วนท่ีโผล่พน้ เหงอื กหรอื โผล่ออกจากกระดูกขากรรไกร เมอ่ื ผ่าตามยาวจะเหน็ สว่ นประกอบของตวั ฟนั ดังน้ี - ชั้นสารเคลือบฟัน(Enamel) อยู่ช้ันนอกสุดเป็นสารสีขาวเนื้อแน่นประกอบด้วยแคลเซียม เป็นส่วนที่แข็งแรงทนทานทาหน้าที่ปกป้องเนื้อฟันไม่ให้ได้รับอันตรายและใช้สาหรับบดเค้ียวอาหาร - ชั้นเนื้อฟัน(Dentin) เป็นส่วนท่ีสารเลือบฟันหุ้มไว้ ซ่ึงเป็นเนื้อเย่ือเกี่ยวพันที่หนามากประกอบด้วยแคลเซียมปรมิ าณมาก เนอ้ื ฟันจะยาวไปถึงรากฟัน ภายในมีโพรงฟัน (Pulp cavity) ซึ่งเป็นเนอ้ื เย่ือเกีย่ วพนั ท่อี อ่ นนุ่ม มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาก เสน้ เลือดและเส้นประสาทจะเข้าสู่ส่วนในของฟนั ทางรากฟนั ซ่ึงมสี ว่ นตดิ ตอ่ กนั เรยี กว่า คลองรากฟนั (Root canal) ส่วนประกอบทางเคมีของสารเคลือบฟัน (Enamel) และเนื้อฟัน (Dentin) ของฟันคนส่วนใหญ่เปน็ แคลเซยี มฟอสเฟตและแคลเซยี มฟลูออไรด์ นอกจากนีก้ ็เปน็ แคลเซียมคารบ์ อเนต แมกนเี ซยี มฟอสเฟต เกลอื อืน่ ๆ และอนิ ทรียวตั ถตุ า่ งๆ ดังตารางตอ่ ไปน้ี เอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบับนย้ี ังอยู่ระหวา่ งดาเนินการปรบั ปรงุ แก้ไข ใชส้ าหรบั โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณ์เทา่ น้ัน

โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณ์ (องคก์ ารมหาชน) สาขาวชิ าชีววทิ ยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชีววิทยา3 65 บทที่ 3 ระบบการย่อยอาหารตารางที่ 2.4 เปรียบเทยี บสว่ นประกอบทางเคมที ่ีสาคญั ของสารเคลือบฟัน (Enamel)และเน้ือฟนั (Dentin) Composition Dentin EnamelCalcium phosphate and fluoride 66.72 89.82Calcium carbonate 3.36 4.37Magnesium phosphate 1.08 1.34Other salt 0.83 0.88Organic matter 28.01 3.59 100.00 100.00 2) รากฟัน (Root) เป็นส่วนท่ีอยู่ในเหงือก และเป็นส่วนของฟันท่ีฝังอยู่ในช่องกระดูกขากรรไกรและยึดติดกบั กระดกู โดยเน้ือเย่ือเกย่ี วฟนั ท่แี ข็งแรง มีจานวน 1-3 รากข้ึนอยกู่ ับชนิดของฟัน รากฟันมีสารที่เรียกวา่ ซเี มนตมั (Cementum) รปู รา่ งและหน้าท่ีของฟนั 1. ฟนั ตัด (Incisor) หรอื ฟันกัด ทาหน้าทีต่ ดั อาหารหรอื กัดอาหาร มีรูปรา่ งบางคล้ายลิ่ม มีอยู่ข้างละ 2 ซ่ี ทัง้ สว่ นบนและสว่ นลา่ ง ในสตั วก์ ินพชื ฟันบนจะหายไป กลายเป็นแผ่นแข็ง สาหรับสัตว์แทะฟันตัดจะเจรญิ ดีทส่ี ดุ 2. ฟันฉีก (Canine) หรือฟันเข้ียว ทาหน้าที่ฉีกอาหารและรักษาทรงมุมปากมิให้ดูบุ๋ม มีรูปร่างแหลม มขี า้ งละ 1 ซี่ ในสตั ว์กินเน้ือฟนั เขีย้ วจะเจริญดที สี่ ุด มีไว้ล่าเหย่ือโดยเฉพาะ ในสัตว์กินเขี้ยวจะไม่มีหน้าทีส่ าคัญ เอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบบั นีย้ ังอยูร่ ะหว่างดาเนนิ การปรบั ปรุงแก้ไข ใช้สาหรบั โรงเรยี นมหิดลวิทยานุสรณเ์ ท่านัน้

โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวิชาชีววิทยาเอกสารประกอบการสอนรายวชิ า ว 40143 ชีววิทยา3 66 บทท่ี 3 ระบบการยอ่ ยอาหาร 3. ฟันกรามหนา้ (Premolar) หรอื ฟนั กรามน้อย ทาหน้าทบี่ ดอาหาร มขี ้างละ 2 ซ่ี ในสตั วก์ ินเนือ้เชน่ สนุ ัข กรามหน้าเจริญดเี ที่ยบเท่ากบั เขีย้ ว 4. ฟนั กรามหลัง (Molar) หรือฟนั กราม ทาหน้าหนา้ ที่บดอาหารให้ละเอยี ด มขี นาดใหญก่ วา่ ฟันกรามหนา้ มีขา้ งละ 3 ซี่ ด้านท่สี บกนั ของฟันมสี ารเคลอื บท่แี ขง็ แรงมาก โดยเฉพาะในสตั ว์กนิ พชื การเขยี นสตู รฟนั สูตรฟัน = I .C. P.M I .C. P.M++ ภาพท่ี 2.21 โครงสร้างของฟนั น้านม ภาพท่ี 2.22 โครงสร้างของฟันแท้หนา้ ท่ขี องฟนั 1. ใชบ้ ดเค้ยี วอาหาร ฟนั จะทาหนา้ ทีบ่ ดอาหารช้ินใหญใ่ หม้ ขี นาดเลก็ ลง ทาให้พน้ื ท่ผี วิ ของอาหารที่สมั ผสั กบั เอนไซม์ทยี่ ่อยมีมากขนึ้ และยอ่ ยไดง้ า่ ยขึ้นดว้ ย 2. ชว่ ยปอ้ งกนั มใิ หอ้ าหารหลุดออกจากปากไดง้ ่าย 3. รกั ษารูปใบหนา้ 4. ชว่ ยในการออกเสียงให้ชดั เจนยง่ิ ขึน้ เอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบับน้ยี ังอยู่ระหวา่ งดาเนินการปรับปรงุ แก้ไข ใชส้ าหรบั โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณ์เทา่ นนั้

โรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวิชาชีววทิ ยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชีววิทยา3 67 บทที่ 3 ระบบการย่อยอาหาร 1.6 ต่อมน้าลาย (Salivary gland) (ภาพท่ี 2.23)ในปากส่วนท่ีปล่อยน้าย่อยออกมา คือ ต่อมน้าลาย (Salivary gland) ซ่ึงมีอยใู่ นตาแหนง่ ต่าง ๆ ของช่องปาก 3 แห่ง แห่งละคู่ ดังรูปท่ี ต่อมท้ังสามคู่นี้คอื ภาพท่ี 2.23 ต่อมน้าลาย 1. ตอ่ มนา้ ลายใต้กกหู (Parotid glands) อยู่ดา้ นหนา้ ของกกหู มขี นาดใหญ่ที่สุด ปล่อยน้าลายออกมาตามทอ่ Stensen’s duct น้าลายมอี งคป์ ระกอบเป็นน้า เกลือ และเอนไซม์อะไมเลสย่อยแป้ง แต่ไม่สร้างมิวซนิ (Mucin) ซงึ่ เปน็ เมอื กน้าลายจึงมีลักษณะใส และมีน้ามาก ต่อมน้าลายใต้กกนี้ถ้าเกิดการติดเช้อื ไวรสั จะทาใหอ้ าการคางทูม (Mumps) ต่อมน้สี ร้างนา้ ลายประมาณ 25% 2. ตอ่ มนา้ ลายใต้ล้ิน (Subligual glands) อยบู่ รเิ วณใตล้ ้นิ เป็นต่อมน้าลายท่ีเล็กที่สุด น้าลายมีลกั ษณะเหนียวมากกว่าใส มีเมือกมาก แตม่ เี อนไซม์อะไมเลสน้อย ตอ่ มนีส้ ร้างนา้ ลายประมาณ 5% 3. ตอ่ มนา้ ลายใตข้ ากรรไกร (submandibular glands) เดิมเรียกว่า Submaxillary glands อยู่ใต้ขากรรไกรล่าง ส่งน้าลายออกมาตามท่อ Wharton’s duct สร้างน้าลายชนิดใสมากกว่าชนิดเหนียวต่อมน้สี รา้ งน้าลายประมาณ 70% เอกสารประกอบการเรยี นการสอนฉบบั นีย้ งั อยู่ระหวา่ งดาเนินการปรับปรงุ แก้ไข ใช้สาหรับโรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณเ์ ท่านน้ั

โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวิชาชีววทิ ยาเอกสารประกอบการสอนรายวชิ า ว 40143 ชวี วิทยา3 68 บทที่ 3 ระบบการย่อยอาหาร2. การยอ่ ยอาหาร อาหารที่เข้ามาอยู่ในปากมีการเปล่ียนสภาพโดยฟันบดเคี้ยว ทาให้มีขนาดเล็กลง กระบวนการเช่นนี้ถือว่าเป็นการย่อยอาหารเชิงกล (Mechanical digestion) ซึ่งรวมทั้งการย่อยโดยการบีบตัวของทางเดินอาหารด้วย การย่อยชนิดน้ีเป็นการเปล่ียนขนาดของช้ินอาหาร แต่โมเลกุลของสารอาหารยังเหมอื นเดิม การเคยี้ วอาหาร (Mastication หรือ Chewing) เกดิ จากการเคลือ่ นไหวของฟนั ลนิ้ แก้มริมฝีปาก ขากรรไกรล่าง เพือ่ ช่วยทาใหอ้ าหารแตกสลายมีขนาดเลก็ ลง และเกิดการคลกุ เคล้ากบั นา้ ลายและปั้นเป็นกอ้ นเล็ก ๆ เปียกช้นื และออ่ นนุม่ ที่เรยี กว่า กอ้ นโบลสั (Bolus) เพ่อื ให้สะดวกในการกลืน การยอ่ ยอาหารอกี ขั้นหน่ึง จะเปน็ การเปลย่ี นขนาดโมเลกลุ อาหารใหเ้ ล็กลงโดยน้า พรอ้ มกบั มีเอนไซมห์ รอื นา้ ย่อยเปน็ ตวั เร่งปฏกิ ิริยา ชว่ งน้ีเรยี กวา่ การยอ่ ยอาหารทางเคมี (Chemical digestion) น้าลายมีน้ายอ่ ยทีส่ ามารถเปล่ียนแปง้ เปน็ น้าตาล ซึง่ เปน็ เอนไซม์ชนดิ หนง่ึ แตเ่ อนไซม์มไิ ด้หมายถงึ เฉพาะน้ายอ่ ยเท่านน้ั ในการย่อยอาหารตัวทาปฏกิ ิรยิ าจริงๆ คอื นา้ เรียกวา่ เกดิ ปฏิกิรยิ าไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) โดยมเี อนไซมเ์ ปน็ ตวั เรง่ ปฏิกิริยา แปง้ จะถูกย่อยใหโ้ มเลกลุ เล็กลง โดยมกั อยู่ในรูปของเด็กซ์ทรนิ (Dextrin) ซง่ึ มีขนาดโมกลุ ใหญ่กว่าน้าตาล แตม่ บี างส่วนทอี่ าจถกู ยอ่ ยเปน็ นา้ ตาลโมเลกลุ คู่ และสว่ นนอ้ ยเป็นโมเลกุลเดยี่ ว แล้วแต่ว่านา้ จะสลายพนั ธะของแป้งบรเิ วณใด เชน่ สลายปลาย ๆ โมเลกลุ แปง้อาจได้น้าตาลโมเลกุลคหู่ รอื โมเลกลุ เดีย่ ว แตถ่ ้าสลายกลางโมเลกุลแปง้ อาจจะได้เดก็ ซท์ รนิ เปน็ ตน้ เมอ่ื อาหารถูกบดเคี้ยวในปากแลว้ อาหารจะผ่านเขา้ สู่หลอดอาหารโดยการกลนื ซึ่งเป็นกระบวนการดังน้ี 1. The oral phase เปน็ การเรม่ิ ตน้ การกลนื ซงึ่อยู่ภายใต้อานาจของจติ ใจ เมื่อหารพรอ้ มทจ่ี ะถกู กลืนก็จะถกู ม้วนเข้าไปในคอหอย(Pharynx) โดยอาศยั การดนัของล้ิน 2. The pharyngeal phase เร่ิมจากท่ีเพดาน เอกสารประกอบการเรยี นการสอนฉบับนย้ี งั อยรู่ ะหว่างดาเนนิ การปรบั ปรงุ แกไ้ ข ใชส้ าหรับโรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณเ์ ทา่ นนั้

โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวชิ าชวี วทิ ยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชวี วิทยา3 69 บทท่ี 3 ระบบการยอ่ ยอาหารอ่อน (Soft palate) จะถกู ดึงปิดทางตดิ ต่อกับโพรงจมูก(Nasal cavity) เพอื่ ไม่ให้อาหารเข้าไปในโพรงจมูกและเปิดทางในโพรงจมกู และเปิดทางใหอ้ าหารเคลื่อนเขา้ ไปคอหอย และฝาปิดกลอ่ งเสียง (Epiglottis) จะยกปิดหลอดลมและช่วยให้กล้ามเน้ือหูรูดตอนบนของหลอดอาหารคลายตัว และขณะที่กล้มเนื้อหูรูดตอนบนคลายตวั เพื่อรบั อาหาร กลา้ มเนื้อทผ่ี นังคอหอยจะหดดนั อาหารเขา้ ไปในหลอดอาหารตอนบน 3. The esophageal phase เมื่ออาหารผ่านเข้าไปในหลอดอาหาร กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารจะปดิ ฝาปิดกลอ่ งเสียงจะเปิด มกี ารบบี ตัวของหลอดอาหารแบบเพอรสิ ตัลซสิ (Peristalsis) ตามปกติอาหารจะเคลื่อนทีผ่ ่านหลอดอาหารถงึ กระเพาะอาหารจะใช้เวลาประมาณ 5-10 วินาที่ถา้ อาหารทกี่ ลืนอยู่ในสภาพของเหลวจะทาใหก้ ารเคลอื่ นทีผ่ ่านหลอดอาหารไดเ้ ร็วข้นึการย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร 1. ส่วนประกอบของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารแบ่งออกเปน็ 4 ส่วน (ภาพท่ี 2.24) คอื ส่วนตน้ เรียกวา่ ส่วนคารด์ แิ อค(Cardiac region) เปน็ สว่ นใกลห้ ัวใจและอย่ตู ดิ อยกู่ ับหลอดอาหาร กระเพาะอาหารสว่ นท่ีสอง เรยี กว่าฟัสดสั (Fundus) มขี นาดเลก็ อยุ่เหนือระดับคารด์ แิ อคสฟงิ เตอร์ ส่วนทส่ี ามคอื บอดี (Body) เป็นพน้ื ทีส่ ว่ นใหญ่ของกระเพาะ และส่วนสดุ ทา้ ย คอื ไพลอรัส (Pylorus) หรือ แอนทรมั (Antrum) สว่ นนอ้ี ยูต่ ิดกบั ลาไส้เลก็ ส่วนตน้ ภาพท่ี 2.24 สว่ นประกอบของกระเพาะอาหาร ผนงั กระเพาะอาหารประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ 3 ชนั้ คอื ช้นั นอกสุดเป็นกล้ามเน้ือเรยี บตามยาว (Longitudinal layer) ซึ่งต่อเนอ่ื งจากกลา้ มเนอื้ ของหลอดอาหาร ช้นั กลางเป็นกลา้ มเนื้อวง(Circular layer) และชั้นในสดุ เปน็ กล้ามเนือ้ ทะแยง (Oblique layer) เอกสารประกอบการเรยี นการสอนฉบับน้ยี ังอยู่ระหวา่ งดาเนินการปรับปรุงแก้ไข ใช้สาหรบั โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณเ์ ทา่ น้นั

โรงเรยี นมหิดลวทิ ยานสุ รณ์ (องคก์ ารมหาชน) สาขาวิชาชวี วิทยาเอกสารประกอบการสอนรายวชิ า ว 40143 ชีววิทยา3 70 บทท่ี 3 ระบบการยอ่ ยอาหารเมอ่ื กระเพาะอาหารยังว่างอยู่ ทช่ี น้ั เยือ่ เมือก (Mucosa) จะพับยน่ ซอ้ นกัน เรยี กวา่ รูกี(Rugae) เพือ่ เพิม่ พน้ื ท่ีผิวในการขยายขนาดกระเพาะอาหารเมือ่ อาหารเขา้ ไป และมตี ่อมสรา้ งน้ายอ่ ยอาหาร (Gastric gland) อยมู่ ากมาย จากต่อมเหลา่ นีจ้ ะมรี ูเปดิ ของท่อเรียกวา่ แกสตรกิ พทิ (Gastric pit)มาเปิดทผ่ี วิ ช้นั เยื่อเมอื กเซลลท์ ่สี ร้างนา้ ย่อยอาหารมีหลายชนิด(ภาพท่ี 2.25) ไดแ้ ก่1. ชฟี เซลล์ (Chief cell) หรือไซโมเจนิกเซลล์ (Zymogenic cell) สร้างเอนไซมใ์ นรปู โพรเอนไซม์ ชือ่ เพปซิโนเจน และโพรเรนนนิ นอกจากนีย้ งั หลง่ั แกสตรกิ ไลเปส2. พารเิ อตลั เซลล์ (Parietal cell) หรอื ออกซินติกเซลล(์ Oxyntic cell) สร้างกรดเกลอื(HCl) ทีช่ ่วยในการเปลี่ยนโพรเอนไซม์ไปเปน็ เอนไซม์ และสรา้ งอินทรนิ ซกิ แฟกเตอร์ (Intrinsic factor) ท่ีจาเปน็ ในการดูดซมึ วิตามนิ B123. มวิ คัสเซลล์ (Mucus cell) ทาหน้าท่ีสรา้ งเมือก (Mucus) มฤี ทธเิ์ ปน็ เบสไปปอ้ งกนั ช้นั เยอื่เมือกของกระเพาะ ไม่ใหเ้ ป็นอันตรายจากกรดและน้ายอ่ ยเพปซนิ4. เอนเทอโรเอนโดไครน์เซลล์ (Enteroendocrine cells) ทาหน้าทห่ี ลง่ั ฮอร์โมนแกสตรนิ(Gastrin) เซโรโทนนิ (Serotonin) ฮสี ตามีน (Histamine) และโซมาโตสเตตนิ (Sematostatin) ภาพที่ 2.25 ลักษณะของเซลลช์ นิดตา่ งๆ ในกระเพาะอาหาร2. หนา้ ทข่ี องกระเพาะอาหาร 1. เปน็ ทเี่ ก็บอาหารจนกว่าจะถงึ เวลาสง่ ตอ่ ไปยังลาไส้เล็ก (Storage) 2. คลุกเคล้าอาหารกบั น้ายอ่ ยจนมลี ักษณะก่ึงของเหลว (Chyme) เอกสารประกอบการเรยี นการสอนฉบับน้ียังอย่รู ะหวา่ งดาเนนิ การปรับปรงุ แกไ้ ข ใช้สาหรับโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์เทา่ นนั้

โรงเรียนมหิดลวทิ ยานสุ รณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวิชาชีววทิ ยาเอกสารประกอบการสอนรายวชิ า ว 40143 ชวี วิทยา3 71 บทที่ 3 ระบบการยอ่ ยอาหาร 3.ค่อย ๆ ปล่อยอาหารไปยังลาไส้ด้วยความเร็วที่พอเหมาะต่อการย่อยและการดูดซึมในลาไสเ้ ลก็3. การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร3.1 การย่อยโปรตีนโปรตนี เรมิ่ ถกู ย่อยทีก่ ระเพาะอาหาร โดยมโี พรเอนไซมท์ ชี่ ่ือวา่ เพปซิโนเจน (Pepsinogen) จากชฟี เซลล์ และมีการหลง่ั กรดเกลอื มาจากพารเิ อตัลเซลล์ กรดเกลอื จะเปล่ียนเพปซโิ นเจน ซง่ึ ไมส่ ามารถทางานไดก้ ลบั มาทางานได้ โดยเปน็ เอนไซม์เพปซนิ (ภาพท่ี 2.26) นอกจากกรดเกลือจะเปล่ยี นเพปซิโนเจนเป็นเพปซินแลว้ เพปซินที่ออกมายังไปเปลยี่ นเพปซินโนเจนใหเ้ ป็นเพปซนิ ได้ด้วย เอนไซมเ์ พปซินจะสลายพนั ธะเฉพาะที่อยูร่ ะหวา่ งกรดอะมโิ น Tyrosine Phenylalanin และTyptophan จนไดโ้ พลเี พปไทดท์ ่เี ลก็ ลง ภาพที่ 2.26 การสร้างเอนไซม์เพปซิน สาหรับทารก เริม่ แรกจะหล่ังออกมาในรปู โพรเรนนนิ (Prorennin) แลว้จึงเปลี่ยนไปเปน็ เรนนินเมื่อถกู กระตนุ้ ด้วยกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) ในกระเพาะอาหาร เรนนินจะทาหน้าทยี่ ่อยเคซนี (Casein) ซ่งึ แป็นโปรตนี ในนา้ นมแลว้ มารวมกับแคลเซยี ม กลายเปน็ พาราเคซนี (Paracasein) ซึง่ ลักษณะเปน็ ล่ิม ๆ ไม่ละลายนา้ จากนน้ั จะถกู เพปซินย่อยต่อไป ดังแผนภาพ เอกสารประกอบการเรยี นการสอนฉบับน้ยี ังอยู่ระหว่างดาเนินการปรบั ปรุงแกไ้ ข ใชส้ าหรับโรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์เทา่ นั้น

โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานุสรณ์ (องคก์ ารมหาชน) สาขาวชิ าชวี วิทยาเอกสารประกอบการสอนรายวชิ า ว 40143 ชวี วิทยา3 72 บทที่ 3 ระบบการย่อยอาหาร เรนนนินา้ นม เคซนีเคซนี + แคลเซียม เพปซนิ พาราเคซนีพาราเคซนี โปรตีนเลก็ ลง ถึงแมเ้ ซลลบ์ ุผิวจะถกู ทาลายไปบ้าง แต่ก็จะมีการสร้างข้ึนทุก 3 วนั ในกรณที ่เี ปน็ แผลในกระเพาะอาหาร (Ulcer) สว่ นใหญม่ ีสาเหตุมาจากแบคท่ีเรยี ทนกรดชนิดหน่งึ ช่ือ Helicobacter pylori และมอี าการมากข้ึนเม่อื กรดและเอนไซมเ์ พปซินทาลายเซลล์เรว็ มากจนสร้างทดแทนไมท่ นั ภาพที่ 2.27 การบีบตวั ของกระเพาะอาหารเพอื่ ไลอ่ าหารไปสู่ลาไส้เล็กการยอ่ ยอาหารของล้าไส้เล็ก อาหารที่ย่อยแล้วบางส่วนและยังไม่ได้ย่อยเคล่ือนผ่านกล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะอาหารเข้าสู่ลาไส้เล็ก ลาไส้เล็กมีลักษณะเป็นท่อยาวประมาณ 6-7 เมตร ขดอยู่ในช่องท้อง แบ่งออกเป็น 3 ส่วนส่วนต้นท่ีต่อจากกระเพาะอาหารเป็นท่อโค้งรูปตัวยู ยาวประมาณ 25 เซนติเมตร เรียกว่า ดูโอดินัม(Duodenum) ส่วนถดั ไป เรยี กวา่ เจจูนัม (Jejunum) ยาวประมาณ 2.50 เมตร และไอเลียม (Ileum) เป็น เอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบบั น้ยี ังอยูร่ ะหวา่ งดาเนนิ การปรบั ปรุงแกไ้ ข ใชส้ าหรบั โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์เท่าน้ัน

โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ์ (องคก์ ารมหาชน) สาขาวชิ าชีววิทยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชีววิทยา3 73 บทที่ 3 ระบบการย่อยอาหารส่วนสดุ ท้ายยาวประมาณ 4 เมตร ดังภาพ 2.28 การยอ่ ยอาหารในลาไส้เล็กเก่ยี วข้องกับการทางานของตับตบั ออ่ น และผนงั ลาไสเ้ ลก็ ซงึ่ หลั่งสารออกมาทางานรว่ มกัน ภาพที่ 2.28 แสดงโครงสร้างของลาไสเ้ ล็ก เม่ืออาหารจากกระเพาะอาหารเข้าสู่ลาไส้เล็กส่วนดูโอดินัม (ภาพที่ 2.29) ดูโอดินัมจะสร้างฮอร์โมนมากระตุ้นตับอ่อนให้สร้างสารโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตซ่ึงมีฤทธืเป็นเบสปล่อยออกมาสู่ดูโอดนิ ัมเพ่อื ลดความเป็นกรดของอาหาร ภาพที่ 2.29 ความสมั พันธ์ระหวา่ งตบั อ่อน และดูโอดินมัเอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบับนยี้ ังอย่รู ะหวา่ งดาเนนิ การปรบั ปรุงแกไ้ ข ใชส้ าหรับโรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์เทา่ น้นั

โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (องคก์ ารมหาชน) สาขาวชิ าชีววิทยาเอกสารประกอบการสอนรายวชิ า ว 40143 ชวี วิทยา3 74 บทที่ 3 ระบบการย่อยอาหารการย่อยโปรตนี ตับอ่อน (Pancreas) ทาหนา้ ทีเ่ ป็นทั้งต่อมไรท้ ่อและตอ่ มมีท่อ ส่วนท่ีเป็นต่อมไร้ท่อทาหน้าที่สร้างฮอร์โมนทเ่ี ก่ียวข้องกับการควบคุมระดับน้าตาลในเลอื ด ส่วนทีเ่ ปน็ ต่อมมีท่อทาหน้าที่สร้างเอนไซม์แล้วส่งให้ลาไส้เล็ก เช่น เอนไซม์ทริปซิโนเจน (Trypsinogen) ไคโมทริปซิน (Chymotrypsinogen) และโพรคารบ์ อกซเิ พปซเิ ดส (Procaboxypeptidase) เพอ่ื ปอ้ งกันการย่อยเซลลข์ องตบั อ่อนเอง เอนไซม์เหล่านี้จะอยู่ในสภาพท่ียังไม่สามารถทางานได้จนเกว่าจะเข้าสู่ลาไส้เล็ก ลาไส้เล็กจะสร้างเอนไซม์เอนเทอโรไคเนส (Enterokinase) เปลีย่ นเปล่ียนทริปซิโนเจนให้เป็นทริปซิน (Trypsin) และทริปซินเองจะเปลี่ยนไคโมทรปิ ซิโนเจนใหเ้ ป็นไคโมทริปซิน(Chymotrypsin) และเปลี่ยนโพรคาร์บอกซิเพปทิเดสให้เป็นคาร์บอกซิเพปซนิ เดส (Carboxypeptidase) ซึง่ พร้อมจะทางานได้ ดังภาพที่ 2.30 ภาพที่ 2.30 การทางานรว่ มกนั ของเอนไซม์จากตบั อ่อนและลาไส้เล็กเอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบับนย้ี ังอยรู่ ะหว่างดาเนนิ การปรบั ปรุงแก้ไข ใชส้ าหรบั โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานุสรณเ์ ทา่ นนั้

โรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวิชาชีววิทยาเอกสารประกอบการสอนรายวชิ า ว 40143 ชวี วิทยา3 75 บทท่ี 3 ระบบการยอ่ ยอาหารทัง้ ทรปิ ซินและไคโมทรปิ ซนิ จะย่อยโปรตีนใหเ้ ปน็ เพปไทด์ ส่วนคารบ์ อกซเิ พปทิเดสจะยอ่ ยโปรตนี และเพปไทด์ใหเ้ ปน็ กรดอะมิโนเซลล์ผนงั ด้านในของลาไส้เลก็ สว่ นดโู อดินัมจะผลติ เอนไซมห์ ลายชนิด ได้แก่ อะมโิ นเพปซเิ ดส ไดเพปซิเดส ไตรเพปซเิ ดส โดยเอนไซมเ์ หล่าน้ีจะย่อยเพปไทด์ใหเ้ ปน็ กรดอะมโิ น การย่อยคาร์โบไฮเดรต ตบั ออ่ นสรา้ งเอนไซม์อะไมเลสแล้วส่งต่อมาที่ลาไส้เล็กเพ่ือย่อยแป้ง ไกลโคเจนและเดกซ์ทรินให้เป็นมอลโทส ส่วนเซลล์ผนังด้านในของส่วนดูโอดินัมจะผลิตเอนไซม์มอลเทสย่อยมอลโทส นอกจากนี้ผนังลาไส้เล็กยังผลิตเอนไซม์ซูเครสย่อยซูโครสให้เป็นกลูโคสและฟรักโทส และเอนไซม์แลกเทสย่อยแลกโทสใหเ้ ป็นกลูโคสและกาแลกโทสการย่อยลิพดิ ตบั สร้างน้าดี (Bile) เกบ็ ไวท้ ่ถี งุ นา้ ดี (Gallblader) จากถงุ นา้ ดจี ะมที ่อนานา้ ดีมาเปดิ เขา้ สู่ดโู อดินัมนา้ ดีมีส่วนประกอบทส่ี าคญั คอื เกลอื น้าดี (Bile salt) ชว่ ยให้ไขมนั แตกตวั เป็นหยดไขมันเล็ก ๆ และแทรกรวมกบั นา้ ไดใ้ นรูปอิมลั ชัน (Emulsion) ตับออ่ นและเซลล์ท่ีผนังลาไส้เล็กจะสร้างเอนไซม์ลิเพส ซ่ึงจะย่อยไขมนั ในรปู อมิ ลั ชนั ให้เป็นกรดไขมันและกลเี ซอรอล เกลือน้าดีจะถูกดูดซึมท่ีลาไส้ใหญ่ เพื่อให้ตับนากลับมาใช้ใหม่ ภาพท่ี 2.31 การย่อยลิพดิเอกสารประกอบการเรยี นการสอนฉบบั นย้ี ังอยู่ระหวา่ งดาเนินการปรับปรงุ แก้ไข ใชส้ าหรับโรงเรยี นมหดิ ลวิทยานสุ รณเ์ ท่าน้นั

โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานสุ รณ์ (องค์การมหาชน) สาขาวิชาชวี วทิ ยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชวี วิทยา3 76 บทท่ี 3 ระบบการยอ่ ยอาหารการดดู ซึมอาหาร ลาไสเ้ ลก็ มกี ารดูดซมึ สารอาหารได้ดี เนอื่ งจากผนงั ด้านในของลาไส้เล็กซ่งึ บุดว้ ย เซลลบ์ ุผิวช้นั เดียวมีส่วนท่ียื่นเล็ก ๆ คล้ายนิ้ว เรียกว่า วิลลัส (Villus) เป็นจานวนมาก ความหนาแน่นของวิลลัสมีประมาณ20 –40 หน่วยต่อพ้ืนท่ี 1 ตารางเซนติเมตร ทาให้มีพ้ืนที่ผิวในการดูดซึมได้มากข้ึน และด้านนอกของเซลล์บุผิวนย้ี ังมีส่วนย่ืนออกไปเรยี กว่า ไมโครวลิ ลัส (Microvillus) ดงั ภาพที่ 2.32 ซ่งึ เปน็ การเพม่ิ พนื้ ที่ผิวในการดูดซึม ภายในวิลลัสมีหลอดเลือดฝอย และท่อน้าเหลือง ซ่ึงจะรับสารอาหารท่ีถูกดูดซึมผ่านเซลล์บผุ วิ ของวิลลสั เขา้ ไป ภาพท่ี 2.32 ลักษณะโครงสร้างภายในของลาไส้เล็ก สารอาหารต่าง ๆ ทย่ี อ่ ยแล้วได้แก่ กรดอะมิโน โมโนแซก็ คาไรด์ จะถกู ดดู ซมึ เขา้ สู่ไมโครวิลลสั ของเซลลบ์ ผุ ิวของลาไส้เล็กแลว้ ลาเลยี งเข้าสู่เสน้ เลอื ดฝอย ดงั ภาพที่ 2.33 ก่อนที่จะถกู ลาเลยี งไปตามเสน้ เลอื ดเวนผา่ นตบั แลว้ จึงเข้าสู่หัวใจ สว่ นสารอาหารจาพวกกรดไขมนั และกลีเซอรอล เมื่อเขา้ สเู่ ซลล์ไมโครวิลลัสของเซลล์บุผวิ แล้ว จะถูกสงั เคราะห์ใหเ้ ปน็ ไตรกลีเซอไรด์ภายในเซลล์บขุ องวิลลสั แลว้ จึงถูกลาเลยี งโดยหลอดนา้ เหลอื งฝอย ดังภาพท่ี 2.34 เข้าสูห่ วั ใจโดยไมผ่ า่ นตับ เลอื ดที่ออกจากหวั ใจจะนาสารอาหารไปเล้ียงสว่ นต่าง ๆ ของร่างกาย เอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบับนี้ยังอย่รู ะหว่างดาเนินการปรับปรงุ แก้ไข ใช้สาหรบั โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณเ์ ทา่ น้นั

โรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องคก์ ารมหาชน) สาขาวิชาชีววทิ ยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชวี วิทยา3 77 บทที่ 3 ระบบการยอ่ ยอาหารภาพท่ี 2.33 การดดู ซึมกรดอมิโนและโมโนแซ็กคาไรด์ ภาพท่ี 2.34 การดดู ซึมกรดไขมันและกลีเซอรอล สารอาหารเกือบทุกชนิดจะถูกดูดซึมท่ีลาไส้เล็ก อาหารที่ย่อยไม่หมดหรือย่อยไม่ได้ เรียกว่ากากอาหาร รวมทง้ั น้า วิตามนิ และแร่ธาตุบางสว่ นที่ไมถ่ กู ดดู ซึมจากลาไสเ้ ลก็ การดดู ซึมอาหารที่ลา้ ไส้ใหญ่ ลาไสใ้ หญข่ องคนยาวประมาณ 1.50 เมตร ประกอบดว้ ยสว่ นทเ่ี รยี กวา่ ซีกัม (Cecum) โคลอน(Colon) ไสต้ รง (Rectum) และ ทวารหนกั (Anus) ดงั ภาพที่ 2.35ภาพท่ี 2.35 โครงสร้างของลาไส้ใหญ่เอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบบั น้ยี งั อยรู่ ะหว่างดาเนนิ การปรับปรงุ แกไ้ ข ใชส้ าหรับโรงเรยี นมหิดลวิทยานสุ รณ์เท่านั้น

โรงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องคก์ ารมหาชน) สาขาวิชาชีววิทยาเอกสารประกอบการสอนรายวิชา ว 40143 ชวี วิทยา3 78 บทท่ี 3 ระบบการยอ่ ยอาหาร เซลล์ท่ผี นงั ดา้ นในของลาไสใ้ หญจ่ ะดูดซึมน้า วติ ามิน และแรธ่ าตุ โดยมีการขบั เมอื กมาหล่อลน่ื เพ่อืชว่ ยในการเคลื่อนท่ขี องกากอาหาร นอกจากนใ้ี นบริเวณลาไส้ใหญ่ยงั มีแบคทเ่ี รยี พวก Escherichia coliส่วนใหญ่ไมเ่ ปน็ อนั ตรายต่อคน ดารงชีวติ โดยอาศัยสารอาหารจากกากอาหาร และยังสงั เคราะหว์ ติ ามนิ เควติ ามนิ บี 12 กรดโฟลิก ไบโอติน ซึ่งถกู ดดู ซึมและลาเลยี งไปใชไ้ ปใชใ้ นร่างกายของคนได้ นอกจากนยี้ ังมีแก๊สท่เี กิดจากกระบวนการยอ่ ยสลายอาหารของแบคที่เรยี คือ มีเทนและไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งบางคร้งั จะถกู ขับออกมาโดยการผายลมเอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบับน้ียังอยูร่ ะหวา่ งดาเนนิ การปรบั ปรุงแก้ไข ใช้สาหรับโรงเรยี นมหดิ ลวิทยานุสรณ์เทา่ นนั้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook