หมายถงึ ศลิ ปะการฟอ้ นรา เป็นสง่ิ ทมี่ นษุ ย์ ประดษิ ฐ์ขนึ้ ดว้ ยความประณตี งดงาม ให้ความ บนั เทงิ อนั โนม้ นา้ วอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ของผชู้ มใหค้ ลอ้ ยตาม ศลิ ปะประเภทนตี้ อ้ งอาศยั การบรรเลงดนตรี และการขบั รอ้ งเขา้ รว่ มดว้ ย เพือ่ สง่ เสรมิ ให้เกดิ คณุ คา่ ยงิ่ ขน้ึ หรือเรยี กวา่ ศลิ ปะของการรอ้ งราทาเพลง
รา-ระบา โขน ประเภทของ นาฏศลิ ปไ์ ทย ละคร การแสดงพ้นื เมอื ง
รา - ระบา เป็นศลิ ปะแหง่ การร่ายราประกอบเพลงดนตรแี ละบทขบั รอ้ ง โดย ไมเ่ ลน่ เป็นเรื่องราว ในท่นี หี้ มายถงึ ราและระบาที่มีลกั ษณะเปน็ การแสดงแบบมาตรฐาน รา ศลิ ปะแห่งการรา่ ยราทีม่ ผี แู้ สดงตงั้ แต่ 1-2 คน มีลักษณะการแต่งกายตามรูปแบบ ของการแสดง ไม่เลน่ เปน็ เรอ่ื งราว อาจมบี ท ขบั ร้องประกอบการราเข้าทานองเพลงดนตรี มีกระบวนทา่ รา โดยเฉพาะการราคูจ่ ะตา่ งกับระบา เนื่องจากท่าราจะมีความเชอื่ มโยงสอดคลอ้ ง ต่อเนอ่ื งกนั และเปน็ บทเฉพาะสาหรบั ผแู้ สดงนัน้ ๆ
ระบา ศลิ ปะแห่งการรา่ ยราท่ีมีผแู้ สดงตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มลี กั ษณะการแตง่ กาย คลา้ ยคลงึ กนั กระบวนท่ารา่ ยราคล้ายคลงึ กัน ไมเ่ ล่นเป็นเรอ่ื งราว อาจมีบทขบั รอ้ งประกอบการราเข้า ทานองเพลงดนตรี ซึ่งระบาแบบมาตรฐานมักบรรเลงด้วยวงปพ่ี าทย์ การแตง่ กายนิยมแต่งกายยนื เครือ่ งพระ – นางหรอื แตง่ แบบนางในราชสานกั
โขน เป็นนาฏศิลปช์ นั้ สูงที่เก่าแกข่ องไทย มมี านานตั้งแตส่ มัยกรุงศรีอยธุ ยา ตามหลกั ฐานจากจดหมายเหตุ ของลา ลแู บร์ ราชทูตฝรง่ั เศส สมัยสมเด็จพระนารายณม์ หาราช ได้กล่าวถึงการเลน่ โขนว่า เปน็ การเตน้ ออกท่าทางเขา้ กบั เสียงซอและเครอ่ื งดนตรอี นื่ ๆ ผ้เู ต้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ โขนเปน็ ทร่ี วมของ ศิลปะหลายแขนงคือ โขนนาวธิ เี ลน่ และวธิ ีแตง่ ตวั บางอยา่ งมาจากการเล่น ชักนาคดกึ ดาบรรพ์ โขนนาท่าต่อสู้โลดโผน ท่าราท่าเต้นมาจากกระบีก่ ระบอง และโขนนาศิลปะการพากย์ การเจรจา หนา้ พาทยเ์ พลงดนตรี การแสดงโขน ผู้แสดงสวมศีรษะคือหวั โขน ปดิ หน้าหมด ยกเวน้ เทวดา มนษุ ย์ และมเหสี ธิดาพระยายกั ษ์ มีตน้ เสยี งและลูกครู่ ้องบทให้และมคี นพากย์และเจรจาให้ เรอ่ื งท่แี สดงนิยมแสดงเร่อื งรามเกยี รตแ์ิ ละอุณรุฑ ดนตรีท่ใี ชป้ ระกอบการแสดงโขนใชว้ งป่ีพาทย์
ละคร เป็นศลิ ปะการร่ายราท่เี ล่นเปน็ เร่อื งราว มีพฒั นาการมาจากการเล่านิทาน ละครมเี อกลกั ษณใ์ นการแสดง และการดาเนนิ เรอื่ งดว้ ยกระบวนลลี าทา่ รา เขา้ บทร้อง ทานองเพลงและเพลงหน้าพาทย์ทีบ่ รรเลงดว้ ย วงปพี่ าทย์ มีแบบแผนการเล่นท่เี ป็นท้งั ของชาวบ้านและของหลวงท่เี รยี กวา่ ละครโนราชาตรี ละครนอก ละครใน เรื่องท่นี ิยมนามาแสดงคอื พระสุธน สังขท์ อง คาวี อิเหนา อณุ รุท นอกจากน้ียงั มีละคร ทีป่ รับปรุงข้ึนใหมอ่ กี หลายชนิด การแตง่ กายของละครจะเลยี นแบบเคร่อื งทรงของพระมหากษัตรยิ ์ เรียกวา่ การแต่งการแบบยนื เครือ่ ง นยิ มเลน่ ในงานพธิ ีสาคญั และงานพระราชพิธีของพระมหากษตั รยิ ์
การแสดงพื้นเมือง เปน็ ศิลปะแห่งการรา่ ยราท่มี ีทง้ั รา ระบา หรือการละเล่นทเ่ี ปน็ เอกลักษณข์ องกล่มุ ชนตามวัฒนธรรมในแต่ ละภูมภิ าค ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็นภูมภิ าคได้ 4 ภาค ได้แก่ เหนือ กลาง อสี าน (ตะวันออก) และใต้
เหนอื ราพนื้ บา้ นภาคเหนือ เปน็ ศิลปะการรา และการละเล่น หรือที่นิยมเรยี กกนั ท่วั ไป วา่ “ฟ้อน” การฟอ้ นเป็นวัฒนธรรมของชาวลา้ นนา และกลุม่ ชนเผา่ ต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลือ้ ชาวยอง ชาวเขนิ เปน็ ต้น ลกั ษณะของการฟ้อน แบ่งเปน็ 2 แบบ คือ แบบดงั้ เดมิ และแบบที่ปรบั ปรุงขึ้นใหม่ แตย่ งั คงมกี ารรักษาเอกลักษณ์ ทางการแสดงไว้คอื มลี ลี าท่าราที่แช่มช้า อ่อนช้อยมกี ารแต่งกายตามวฒั นธรรม ท้องถน่ิ ท่สี วยงามประกอบกบั การบรรเลงและขบั ร้องดว้ ยวงดนตรพี นื้ บา้ น เชน่ วงสะล้อ ซอ ซงึ วงปูเจ่ วงกลองแอว เป็นต้น โอกาสทีแ่ สดงมกั เล่นกนั ในงาน ประเพณหี รือตน้ รับแขกบา้ นแขกเมือง
กลาง รากลองยาวเปน็ ศลิ ปะการร่ายราและการละเล่นของชนชาวพน้ื บ้านภาคกลาง ซ่งึ สว่ นใหญม่ อี าชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมคี วามสอดคล้องกบั วถิ ชี วี ิตและพื่อความบนั เทิงสนุกสนาน เปน็ การพักผ่อนหยอ่ นใจจากการทางาน หรอื เมือ่ เสรจ็ จากเทศการฤดเู กบ็ เกบ็ เก่ียว เช่น การเลน่ เพลงเก่ยี วข้าว เต้นการาเคยี ว ราโทนหรอื ราวง ราเถดิ เทอง รากลองยาว เปน็ ต้น มีการแต่งกาย ตามวฒั นธรรมของทอ้ งถน่ิ และใช้เคร่ืองดนตรีพื้นบา้ น เช่น กลองยาว กลองโทน ฉงิ่ ฉาบ กรับ และโหม่ง
อสี าน ราพ้นื บา้ นเป็นศิลปะการราและการเล่นของชาวพ้นื บ้านภาคอีสาน หรอื ภาคตะวนออกเฉยี งเหนือของไทย แบ่งได้เป็น 2 กลุม่ วัฒนธรรมใหญ่ ๆ คอื กลมุ่ อีสานเหนอื มวี ัฒนธรรมไทยลาวซงึ่ มกั เรยี กการละเลน่ วา่ “เซ้ิง ฟ้อน และ หมอลา” เชน่ เซิง้ บังไฟ เซิ้งสวิง ฟอ้ นภูไท ลากลอนเก้ียว ลาเตย้ ซึ่งใชเ้ ครอ่ื ง ดนตรีพนื้ บ้านประกอบ ได้แก่ แคน พิณ ซอ กลองยาว อสี าน ฉ่งิ ฉาบ ฆอ้ ง และกรบั ภายหลงั เพิม่ เติมโปงลางและโหวดเข้ามาดว้ ย ส่วนกลมุ่ อสี านใตไ้ ด้รับ อทิ ธิพลไทยเขมร มีการละเลน่ ที่เรยี กวา่ เรอื ม หรอื เร็อม วงดนตรี ท่ีใช้บรรเลง คอื วงมโหรอี ีสานใต้ มเี ครื่องดนตรี คอื ซอดว้ ง ซอดว้ ง ซอครัวเอก กลอง กนั ตรึม พณิ ระนาด เอกไม้ ปีส่ ไล กลองรามะนาและเครอื่ งประกอบจงั หวะ การแตง่ กายประกอบการแสดงเป็นไปตามวฒั นธรรมของพนื้ บ้าน ลกั ษณะท่ารา และทว่ งทานองดนตรีในการแสดงค่อนขา้ งกระชับ รวดเร็ว และสนุกสนาน
ใต้ โนราเปน็ ศิลปะการราและการละเลน่ ของชาวพ้นื บา้ นภาคใตอ้ าจแบ่งตามกลมุ่ วัฒนธรรมได้ 2 กล่มุ คอื วฒั นธรรมไทยพทุ ธ ได้แก่ การแสดงโนรา หนังตะลงุ เพลงบอก เพลงนา และวัฒนธรรมไทยมุสลิม ไดแ้ ก่ รองเงง็ ซาแปง มะโยง่ (การแสดงละคร) ลเิ กฮูลู (คล้ายลเิ กภาคกลาง) และซลิ ะ มเี ครือ่ งดนตรีประกอบ ท่ีสาคัญ เชน่ กลองโนรา กลองโพน กลองปืด โทน ทบั กรับพวง โหม่ง ป่ีกาหลอ ปไ่ี หน รามะนา ไวโอลิน อคั คอรเ์ ดียน ภายหลังไดม้ ีระบาท่ปี รบั ปรงุ จากกจิ กรรม ในวถิ ชี วี ติ ศลิ ปาต่างๆ เขน่ ระบารอ่ นแต่ การดี ยาง ปาเตต๊ะ เปน็ ตน้
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: