กระบวนวิชา 100501 การวิจัยทางการศกึ ษา นายธรี วัฒน์ ศรีบรุ มย์ 580210102 4. กิจกรรมสบื ค้นแนวทางแก้ปัญหา 4.1 บรรยายคณุ ลกั ษณะงานวจิ ยั 4.1.1 งานวิจัยและคณุ ลกั ษณะงานวิจยั งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับปัญหาพฤติกรรมการมีสมาธิของผู้เรียนต่อสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอก หอ้ งเรียน จานวน 20 เรื่องดังตอ่ ไปน้ี 1) ผลของการควบคุมบทเรียนในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกม ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และความคงทนในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนกั เรียนทมี่ ีสมาธิส้นั และมี พฤตกิ รรมอยไู่ ม่นิง่ ระดับชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 2 - เนตร หงษไ์ กรเลิศ 2) ผลของการใช้โปรแกรมการปรับพฤติกรรมโดยการช้ีแนะด้วยภาพเพ่ือลดพฤติกรรมไม่ ต้ังใจเรยี นของเด็กสมาธสิ น้ั - รดาธร นลิ ละออ 3) ผลของการใช้กิจกรรมศิลปะประกอบบทเรียนเพื่อเพิ่มความใส่ใจต่อการเรียนของเด็ก สมาธสิ น้ั - พีรวัส นาคประสงค์ 4) การใช้คอนทัวร์ดรออิงเพื่อเสริมสร้างสมาธิของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 - สิทธิพร นนั ทขว้าง 5) การศึกษารายกรณีเรื่องผลการใช้นิทานเพ่ือปรับพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กสมาธิส้ันของ โรงเรยี นบา้ นใหม่ (วนั ครู 2503) อาเภอเบตง จงั หวัดยะลา - ลกั ษมี ศิลากุล 6) การพัฒนาการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพ่ือเสริมสร้างสมาธิ สาหรับเด็กปฐมวยั ชั้นปที ี่ 3 - สการนิ ทร์ บุตรโพธ์ิ 7) ผลของการเสริมแรงทางบวกต่อพฤติกรรมก่อกวนในชั้นเรียนของเด็กสมาธิส้ัน - สุชาดา กลางสอน 8) ผลของการใช้เกมจิกซอว์ในการฝึกฝนสมาธิเพ่ือปรับพฤติกรรมสมาธิสั้นสาหรับนักเรียน ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 - อคั รเบศร์ หลาวทอง 9) การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนโดยใช้การเสรมิ แรงแบบดีอาร์โอ เรื่อง การวาด ภาพด้วยโปรแกรม Paint Brush เพ่ือลดสภาวะสมาธิสั้นของนักเรียนท่ีมีความบกพร่อง ทางสติปญั ญา - ณัฐกฤตา มะโนสวุ รรณ 10) ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามแนวคิดของ Alban-Metealfe เพอื่ เพ่ิมความใส่ใจตอ่ การเรยี นของเดก็ สมาธสิ นั้ - เมริสา นาคะเสง่ียม 11) การศึกษาผลการปรับพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งของเด็กสมาธิสั้นท่ีได้รับการปรับพฤติกรรมโดย โปรแกรมการปรับพฤติกรรมแบบควบคมุ ตนเอง - ปยิ ะนชุ ภมรกุล 12) รปู แบบการให้ความชว่ ยเหลือเดก็ ไทยทม่ี ีภาวะสมาธิสน้ั โดยใช้บ้านและโรงเรียนเปน็ ฐาน - สุวรี ฤกษจ์ ารี
กิจกรรมสบื ค้นแนวทางแกป้ ญั หา 2 13) การปรบั พฤตกิ รรมภาวะไม่อย่นู ่ิงและสมาธสิ ้ันของเดก็ ออทิสตกิ ในหอ้ งเรียนเรยี นรว่ มโดย ใชเ้ ทคนิคเพ่ือนสอนเพอ่ื นโรงเรียนวดั ช่างเคีย่ น อาเภอเมืองเชยี งใหม่ - ศวิ าณา พนั ธรุ ัตน์ 14) ผลของการแต่งพฤตกิ รรมทีม่ ีตอ่ พฤตกิ รรมการตัง้ ใจทางาน และความถกู ตอ้ งของงานของ นัเรียนอายุ 7 ถึง 10 ปี ที่มสี มาธบิ กพรอ่ งและมพี ฤตกิ รรมไม่อยนู่ ่งิ - มณฑริ า ศรีชยั 15) ผลของการใช้รปู แบบการเสรมิ แรงทางบวกในการเรียนร้โู ดยใช้เกมเป็นฐานบนเว็บทีม่ ตี อ่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ของนักเรยี นประถมศึกษาปีที่ 2 ท่มี สี มาธสิ ัน้ และ มีพฤติกรรมอยู่ไมน่ ง่ิ - ปิยนันท์ ปานน่ิม 16) ผลของการใช้โปรแกรมการปรับพฤติกรรมทางปัญญา เพื่อพัฒนาพฤติกรรมการเรียนท่ี เหมาะสมของนักเรียนสมาธิส้ัน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ศนู ย์วจิ ัยและพัฒนาการศกึ ษา - ประภาวดี สุมามาลย์ 17) ผลของการใช้เทคนิคการเสริมแรงด้วยกิจกรรมต่อพฤติกรรมความไม่ใส่ใจการเรียน - อิชยา จีนะกาญจน์ 18) ผลของการใหเ้ บ้ียอรรถกรกับการปรับสนิ ไหมที่มตี ่อพฤตกิ รรมไมต่ ้ังใจเรยี น : ศึกษาเฉพาะ กรณี โรงเรียนโพนงามพทิ ยานุกลู จงั หวดั มหาสารคาม - อนุสรา ศรีทาบุญ 19) ผลของการใช้การเรียนรู้แบบรว่ มมือควบคู่กบั การให้เวลานอก และการเรียนรแู้ บบร่วมมอื ควบคูก่ บั การปรบั สินไหมท่ีมตี ่อพฤตกิ รรมไมต่ ้ังใจเรียน - กนกวรรณ เลือ่ ยคลงั 20) ผลของการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขันควบคู่กับการควบคุมตนเองและการเรียนรู้ แบบร่วมมอื แข่งขันควบคู่กับการปรบั สินไหมทม่ี ีตอ่ พฤติกรรมไม่ตง้ั ใจเรยี นของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรยี นไทยรัฐวิทยา 21 อาเภอบ่อพลอย จงั หวัดกาญจนบรุ ี - มงคล รตั น์ สิมพา
กจิ กรรมสบื ค้นแนวทางแกป้ ญั หา 3 เร่ืองท่ี 1 ผลของการควบคุมบทเรียนในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกม ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน และความคงทนในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนท่ีมีสมาธิสั้นและมี ผู้วิจัย พฤตกิ รรมอย่ไู มน่ ิง่ ระดับชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2 สาขาวิชา เนตร หงษไ์ กรเลศิ ปริญญา เทคโนโลยีทางการศึกษา หนว่ ยงาน ครศุ าสตรดุษฎีบัณฑติ ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2545 เนตร หงษไ์ กรเลศิ (2545)ทาการวจิ ยั เรื่องผลของการควบคมุ บทเรียนในบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน แบบเกม ท่ีมตี อ่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น และความคงทนในการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ ของนกั เรียนท่มี สี มาธสิ ้ัน และมีพฤติกรรมอยู่ไมน่ ่ิง ระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการควบคุมบทเรียนใน การเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกม 3 แบบ ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และความคงทนในการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่มีสมาธิส้ัน และมีพฤติกรรมอยู่ไม่น่ิงระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 การควบคุม บทเรยนในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกม 3 แบบ ได้แก่แบบท่ีผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมบทเรียน แบบ โปรแกรมควบคุมบทเรยี น และการควบคุมบทเรียนแบบผสมผสานระหว่างผู้เรยี นและโปรแกรม รูปแบบของ การวิจัยเป็นแบบ Pretest-Posttest Control Group Design กลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนใน โรงเรยี นสังกัดกรุงเทพมหานคร ทไ่ี ด้รับการระบุลกั ษณะของนกั เรียนเปน็ เด็กสมาธิส้ัน และมีพฤตกิ รรมอยไู่ ม่นิ่ง ด้วยแบบสังเกตพฤติกรรมและแบบวัดสมาธิต่อเน่อื ง ท่ีแปลและเรียบเรียงโดยแพทย์หญิงฐิตวี แก้วพรสวรรค์ และจากการสุ่มเลือก จานวน 120 คน แบ่งกลุ่มตัวอย่างเข้ารับการทดลองใน 3 กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม 1 กลุ่มๆ ละ 30 คน ด้วยวิธีการสุ่มเคร่ืองมือในการวิจัยได้แก่ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกม 3 แบบ และแบบผูช้ ่วยสอน มปี ระสิทธภิ าพที่ 85/85 แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน มคี ่าความเทย่ี ง 0.88 และ ความเช่อื ม่ันที่ 0.93 ข้อมูลทีร่ วบรวมได้นาไปวิเคราะห์ ดว้ ยสถติ กิ ารวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One- Way ANOVA) ทร่ี ะดับนยั สาคญั ทางสถติ ิ .05 ผลการวจิ ัยพบว่า 1) ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนใน การเรียน ของกลุ่มตัวอยา่ งทั้ง 4 กลุ่ม ไม่แตกต่างอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ 2) ระยะเวลาในการเรียนพบว่า มี ความแตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05
กิจกรรมสืบคน้ แนวทางแก้ปัญหา 4 เรอ่ื งที่ 2 ผลของการใช้โปรแกรมการปรับพฤติกรรมโดยการช้ีแนะด้วยภาพเพื่อลดพฤติกรรมไม่ต้ังใจ เรยี นของเดก็ สมาธิสั้น ผวู้ ิจัย รดาธร นิลละออ สาขาวิชา จิตวทิ ยาการศึกษาพเิ ศษ ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต หน่วยงาน มหาวทิ ยาลัยศิลปากร ปี 2548 รดาธร นิลละออ(2548)ทาการวิจัยเร่ือง ผลของการใช้โปรแกรมการปรับพฤติกรรมโดยการ ชีแ้ นะด้วยภาพเพอ่ื ลดพฤติกรรมไม่ต้งั ใจเรียนของเด็กสมาธสิ ้นั การวิจัยครั้งน้ีมวี ัตถุประสงค์ 2 ประการ 1) เพอื่ ศึกษาผลของโปรแกรมการปรับพฤติกรรมโดยการชี้แนะด้วยภาพ 2) เพ่ือลดพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียนของเด็ก สมาธิส้ัน กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กสมาธิสั้นท่ีมีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียน กาลังศึกษาอยู่ระดบั ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 โรงเรียนมารีย์อุปถัมภ์ อาเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จานวน 1 คน เปน็ นกั เรียนที่ได้รับการวินจิ ฉัยว่าเปน็ เด็กสมาธิสนั้ จากโรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร โดยใช้เกณฑ์การ วินิจฉัยของสมาคมจิตแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาและครูประจาชนรายงานว่ามีพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียน ทาการ ทดลองโดยใช้วิธีสลับกลับ (Reversal Single Subject Intra Replication or ABAB Design) ซ่ึงประกอบไป ด้วยขั้นตอนในการทดลอง 4 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้ 1. ระยะเส้นฐาน (Baseline Phase หรอ A1 Phase) 2. ระยะใช้วิธีการปรับพฤติกรรม (Treatment Phase B1 Phase) 3. ระยะหยุดยั้งหรอสลับกลับ (Reversal Phase หรอ A2 Phase) 4. ระยะใช้วิธีการปรับพฤติกรรมอีกคร้ัง (Treatment Phase หรอ B2 Phase) เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย 1. ชุดการสังเกตและแบบบันทึกพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียน แบบ ช่วงเวลา 2. โปรแกรมการปรับพฤติกรรมโดยการช้ีแนะด้วยภาพและเสริมแรงดวยเบี้ยอรรถกร การวิเคราะห์ ข้อมูล ใช้การหาค่าความถี่และค่าเฉล่ียความถี่ของพฤตกรรมไม่ตั้งใจเรียนของเด็กสมาธิส้ันตลอดระยะการ ทดลอง 4 ระยะ และเปรียบเทียบค่าเฉ่ีลยความถ่ีของพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียนโดยใช้กราฟ ประกอบด้วย 32 แผน แต่ละแผนใช้เวลาในการทดลองแผนละ 60 นาที รวมระยะเวลาในการใช้นวัตกรรมทั้งส้ิน 32 คร้ัง 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าความถี่และค่าความถี่เฉลี่ย ผลการศึกษาพบว่าหลังการใช้โปรแกรมการ ปรับพฤติกรรมโดยการชี้แนะด้วยภาพทาให้ลดพฤติกรรมไมต่ ั้งใจเรียนของเด็กสมาธิสั้นลดลงอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติ
กจิ กรรมสืบคน้ แนวทางแกป้ ญั หา 5 เร่อื งท่ี 3 ผลของการใช้กิจกรรมศิลปะประกอบบทเรียนเพ่ือเพ่มิ ความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิ ส้ัน ผ้วู ิจยั พีรวสั นาคประสงค์ สาขาวชิ า จติ วิทยาการศึกษาพิเศษ ปรญิ ญา ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต หน่วยงาน มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ปี 2548 พีรวัส นาคประสงค์(2548)ทาการวิจัยเรื่อง ผลของการใช้กิจกรรมศิลปะประกอบบทเรียน เพื่อเพิ่มความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิส้ัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กิจกรรมศิลปะ ประกอบบทเรยี นเพื่อเพ่ิมความใสใ่ จตอ่ การเรียนของเด็กสมาธสิ น้ั ในการศึกษาครัง้ นี้ศกึ ษากับปญั หาด้านสมาธิ ส้ัน เพศชาย อายุ 6 ขวบ ท่ีเข้ารับบริการเตรียมความพรอ้ ม ศูนย์การศึกษาพเิ ศษส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2548 เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบบันทึกพฤติกรรมความใส่ใจต่อการ เรียน 2) แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ศิลปะประกอบบทเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ ระดบั เตรียมความพรอ้ ม โดย บันทึกเวลาเกิดพฤติกรรม ประกอบด้วย 32 แผน แต่ละแผนใช้เวลาในการทดลองแผนละ 32 นาที รวม ระยะเวลาในการใช้นวัตกรรมทัง้ สน้ิ 32 คร้งั 8 สปั ดาห์ เคร่ืองมอื ในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แบบ บันทึกพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียน 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ศิลปะประกอบบทเรียนวิชา คณิตศาสตร์ และนาข้อมูล หาค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ และนาเสนอข้อมูลในรูปตารางและแผนภูมิแท่งและ กราฟเส้นประกอบการบรรยาย ผลการวิจัยพบว่า มีความใส่ใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์เพิ่มข้ึนเมื่อมีการใช้ กิจกรรมศิลปะประกอบบทเรียน และเม่ือมีการถอดถอนกิจกรรมศิลปะประกอบบทเรียน พบว่าพฤติกรรม ความใส่ใจตอ่ การเรยี นมคี วามคงทนอยู่
กจิ กรรมสืบคน้ แนวทางแก้ปญั หา 6 เรอื่ งที่ 4 การใช้คอนทวั ร์ดรออิงเพ่ือเสริมสร้างสมาธิของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 ผวู้ จิ ยั สิทธิพร นันทขว้าง สาขาวชิ า ประถมศึกษา ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ หน่วยงาน มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ปี 2547 สิทธิพร นันทขว้าง(2547)ทาการวิจัยเร่ือง การใช้คอนทัวร์ดรออิงเพื่อเสริมสร้างสมาธิของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โดยวัตถุประสงค์ 2 ประการ 1) เพื่อศึกษาผลของการใช้คอนทัวร์ดรออิงกับ สมาธิของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา และ 2) เพ่ือศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนในขณะวาดภาพโดยใช้คอนทัวร์ ดรออิง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศกึ ษาครง้ั นเี้ ป็นนักเรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3 ที่กาลงั ศึกษาในภาคเรียน 2547 โรงเรียนบ้านรมิ ใต้ อาเภอแม่ริม จงั หวดั เชยี งใหม่ จานวนทงั้ หมด 30 คน โดยเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็น กลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการศึกษาประกอบด้วย 1) แผนการเรยี นรกู้ ารวาดภาพคอนทัวร์ ดรออิงจานวน 6 แผน แตล่ ะแผนใช้เวลาในการทดลองแผนละ 50 นาที 2) แบบประเมนิ ภาพวาดของนกั เรียน และแบบสังเกตพฤติกรรมในขณะวาดภาพโดยใช้คอทัวร์ดรออิง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การหาค่าความถี่ ค่า เฉลี่ยน ส่วนเบีย่ นเบนมาตรฐาน และการทดสอบคา่ ที เครื่องมอื ในการรวบรวมขอ้ มูล คอื แบบประเมินการวาด ภาพ ผลการศึกษาพบว่า 1) หลังจากการเรียนด้วยการคอนทัวร์ทรอองิ นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลีย่ นข องภาพวาดท่ีเชื่อมโยงกับความมีสมาธิ สูงกว่านักเรียนกลุ่มที่ควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) นักเรียนกลมุ่ ทดลองมีพฒั นาการของกล่มุ ทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ การมีสมาธิในการเรยี นโดยใช้คอนทัวร์ดรออิงในการ เรียนการสอนแต่ละครงั้
กจิ กรรมสบื ค้นแนวทางแกป้ ัญหา 7 เรื่องที่ 5 การศึกษารายกรณีเร่ืองผลการใช้นิทานเพื่อปรับพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กสมาธิส้ันของ โรงเรยี นบา้ นใหม่ (วันครู 2503) อาเภอเบตง จังหวัดยะลา ผูว้ จิ ัย ลักษมี ศลิ ากุล สาขาวชิ า หลกั สตู รและการสอน ปริญญา ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ หน่วยงาน มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช ปี 2553 ลักษมี ศิลากุล(2553)ทาการวิจัยเรื่อง การศึกษารายกรณีเร่ืองผลการใช้นิทานเพื่อปรับ พฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กสมาธิสั้นโรงเรียนบ้านใหม่ (วันครู 2503) อาเภอเบตง จังหวัดยะลา มีวัตถุประสงค์ เพอื่ ศึกษาผลการปรับลดพฤตกิ รรมก้าวรา้ วของเด็กสมาธิสัน้ ก่อนและหลังการใชก้ ิจกรรมนิทานในการปรับลด พฤติกรรมก้าวร้าว กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนที่มีอาการสมาธิส้ันและมีพฤติกรรมก้าวร้าว อายุ 10 ปี ชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านใหม่ (วันครู2503) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 จานวน 1 คน ซ่ึงได้มา จากการเลือกแบบเจาะจง ระยะเวลาที่ใช้ในการทาลองแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังน้ี การสังเกตพฤติกรรมกอ่ น ทดลอง จานวน 7 ชว่ั โมง เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ัยครั้งน้ี คอื 1) แผนการจดั การเรียนรู้โดยใช้กจิ กรรมเลา่ นิทาน ประกอบด้วย 12 แผน แต่ละแผนใช้เวลาในการทดลองแผนละ 60 นาที รวมระยะเวลาในการใช้นวัตกรรม ท้ังส้ิน 12 คร้ัง 2 สัปดาห์ 2) แบบสังเกตพฤติกรรมก้าวร้าว เคร่ืองมือในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเล่านิทาน และ 2) แบบสังเกตพฤติกรรมก้าวร้าว รวบรวมข้อมูลตั้งแต่ วันท่ี 23 สิงหาคม – 27 กันยายน 2553 สถิติใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์ ขอ้ มลู เชงิ เน้ือหา ผลการวจิ ยั พบว่า พฤตกิ รรมก้าวรา้ วของเด็กสมาธสิ ั้นเฉล่ียนลดลงหลงั จากการใชก้ ิจกรรมเล่า นิทานโดยก่อนทดลอง 39 คร้ังต่อระยะเวลา 7 ช่ัวโมงและหลังทดลองเฉล่ีย 21 ครั้ง ต่อระยะเวลา 7 ชั่วโมง จากการวิเคราะห์ขอ้ มลู เชิงเน้อื หาพบว่า การเลือกเน้อื หาของนทิ านเน้นใหเ้ ห็นผลของการกระทาอย่างชัดเจน แบะการมสี ว่ นรว่ มในการทากจิ กรรมมสี ่วนลดพฤติกรรมก้าวร้าวลงได้
กิจกรรมสบื คน้ แนวทางแก้ปญั หา 8 เรอ่ื งที่ 6 การพัฒนาการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพอื่ เสริมสร้างสมาธิ สาหรับ เด็กปฐมวยั ช้ันปที ี่ 3 ผวู้ ิจัย สการินทร์ บุตรโพธ์ิ สาขาวิชา หลกั สตู รการเรยี นและการสอน ปริญญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต หนว่ ยงาน มหาวิทยาลัยราชภฎั มหาสารคาม ปี 2556 สการินทร์ บุตรโพธ์ิ(2556)ทาการวิจัยเร่ือง การพัฒนาการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรม ศลิ ปะสรา้ งสรรคเ์ พือ่ เสริมสรา้ งสมาธิ สาหรับเดก็ ปฐมวัยชน้ั ปที ่ี 3 การวิจยั ครั้งน้ี มีวัตถุประสงคเ์ พือ่ พฒั นาการ จัดประสบการณ์โดยใชก้ ิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์เพ่อื เสริมสร้างสมาธิ สาหรับเด็กปฐมวัยชน้ั ปที ่ี 3 ทไี่ ด้รบั จาก การจัดกิจกรรมตามพฤติกรรม จาแนกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านความสนใจ ต้านความกระตือรือรน้ ด้านความ อดทน ด้านความพยายาม และด้านความมีวินัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นเด็กปฐมวัย ที่กาลัง ศึกษาอยู่ในช้ันอนุบาล 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร อาเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จานวน 24 คน เครื่องมือท่ีใช้คือ 1) แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เพ่อื เสริมสรา้ งสมาธิ 5 ดา้ น จานวน 30 แผน แตล่ ะแผนใช้เวลาในการทดลองแผนละ 60 นาที รวมระยะเวลา ในการใช้นวตั กรรมทัง้ ส้นิ 30 ครัง้ 6 สัปดาห์ 2) บันทึกภาพการสังเกตพฤติกรรมแบบประเมนิ พฤตกิ รรมการมี สมาธิ เคร่ืองมอื ในการรวบรวมข้อมลู ประกอบดว้ ย 1)แผนการจดั ประสบการณ์กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ และ 2) แบบสังเกตพฤตกิ รรมการมีสมาธิของเด็กปฐมวยั โดยการจัดกิจกรรม ตามแผนการจัดประสบการณ์โดยใช้ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อ เสริมสร้างสมาธิ 5 ด้าน โดยบันทึกภาพระหว่างจัดกิจกรรม แฟ้มสะสมผลงาน เด็ก วิเคราะห์ ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการจัดประสบการณ์ตามแผนการจดั ประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมศลิ ปะ สร้างสรรคเ์ พอื่ เสรมิ สร้างสมาธิ สถติ ิทีใ่ ช้คอื คา่ เฉลยี่ และรอ้ ยละ ผลการวิจัยพบว่า 1) การจดั ประสบการณ์โดย ใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้างสมาธิ สาหรับเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.98/87.23 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ท่ี กาหนดไว้ 2)การจัดประสบการณ์กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพ่ือ เสรมิ สรา้ งสมาธิเด็ก ปฐมวัยชนั้ ปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร ทาให้เดก็ มีสมาธิเพ่มิ ข้นึ 3)เด็กปฐมวัย ชั้นปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร พฤติกรรมการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อเสริมสร้างสมาธิ เด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 โดยรวมและรายด้านท้ัง 5 ด้าน อยู่ในระดับดี การพัฒนาการจัดประสบการณ์โดยใช้ กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ เพื่อเสริมสร้างสมาธิ สาหรับเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเหมาะสมสามารถ นาไปจัดการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างสมาธิให้ดีข้ึน ดังนัน้ จึงควรสนับสนนุ และสง่ เสริมให้ครนู าไปใช้ในการ เรยี นการสอนตอ่ ไป
กิจกรรมสบื ค้นแนวทางแก้ปญั หา 9 เรือ่ งท่ี 7 ผลของการเสรมิ แรงทางบวกต่อพฤตกิ รรมก่อกวนในช้ันเรยี นของเดก็ สมาธสิ นั้ ผู้วจิ ยั สุชาดา กลางสอน สาขาวชิ า วิชาจิตวทิ ยาการศึกษาและการใหค้ าปรกึ ษา ปริญญา ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต หน่วยงาน มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ปี 2557 สุชาดา กลางสอน(2557)ทาการวิจัยเร่ือง ผลของการเสริมแรงทางบวกต่อพฤติกรรมก่อกวน ในชั้นเรียนของเด็กสมาธิสั้น เป็นการวิจัยเชิงทดลองเฉพาะราย (Single-subject Experimental Design) แบบสลับกลับ (ABAB Reversal Design) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ 1) เพ่ือศึกษาพฤติกรรมก่อกวนในช้ัน เรียนของเดก็ สมาธิส้นั โดยใช้การเสริมแรงทางบวก และ 2) เพ่อื เปรยี บเทียบพฤตกิ รรมกอ่ กวนในชัน้ เรยี นของ เด็กสมาธสิ ้นั กลุ่มเปา้ หมายในการวจิ ัยครงั้ น้ีคือนักเรียนที่ได้รบั การคดั กรองจากทางโรงเรียนว่ามภี าวะสมาธิสั้น เพศชาย จานวน 4 คน และกาลังศึกษาอยู่ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 โรงเรียนแห่งหน่งึ ในจังหวัดนครราชสีมา ปี การศึกษา 2556 เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการวิจยั คือ แบบสารวจตัวเสริมแรงและแบบบนั ทกึ พฤติกรรมก่อกวนในช้ัน เรียนแบบช่วงเวลา และเสริมแรงทางบวกด้วยเทคนิคการเสริมแรงด้วยเบ้ียอรรถกรและเทคนิคการเสริมแรง ทางสังคม การทดลองประกอบด้วย 4 ข้ันตอน ดังน้ี ระยะท่ี 1 A(1) ระยะเส้นฐาน ระยะที่ 2 B(1) ระยะปรับ พฤติกรรมระยะที่ 3 A(2) ระยะหยุดยงั้ และระยะท่ี 4 B(2) ระยะปรบั พฤตกิ รรมอกี ครง้ั วเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยใช้ การหาค่าความถ่ีและค่าเฉล่ียความถ่ีของพฤติกรรมก่อกวนในชั้นเรียน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความถี่ของ พฤตกิ รรมก่อกวนในชน้ั เรียนดว้ ยกราฟ ผลการวิจยั พบว่า การเสริมแรงทางบวกโดยการเสริมแรงดว้ ยเบ้ียอรรถ กร และการเสริมแรงทางสงั คม สามารถลดพฤติกรรมกอ่ กวนในชน้ั เรยี นของนกั เรยี นกลมุ่ เป้าหมายท้ัง 4 คนได้ และจากการเปรียบเทียบพฤติกรรมก่อกวนในช้ันเรียนของนักเรียนกลุ่มเป้าหมายท้ัง 4 คน แต่ละระยะการ ทดลอง 4 ระยะ พบว่า ในระยะที่ 2 B(1) และระยะที่ 4 B(2) ซึ่งได้รับการเสริมแรงทางบวกมีความถี่และ ค่าเฉล่ียความถ่ีของพฤติกรรมกอ่ กวนในช้ันเรียนลดลงกวา่ ระยะที่ 1 A(1) และระยะที่ 3 A(2) ซึ่งไม่ได้รับการ เสรมิ แรงทางบวก
กิจกรรมสบื ค้นแนวทางแก้ปัญหา 10 เร่ืองท่ี 8 ผลของการใช้เกมจิกซอว์ในการฝึกฝนสมาธิเพื่อปรับพฤติกรรมสมาธิส้ันสาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจยั อคั รเบศร์ หลาวทอง สาขาวชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศและส่อื สารเพื่อการศึกษา ปรญิ ญา ครุศาสตรมหาบณั ฑิต หน่วยงาน มหาวทิ ยาลันราชภฏั สรุ นิ ทร์ ปี 2557 อัครเบศร์ หลาวทอง(2557)ทาการวิจัยเร่อื ง ผลของการใช้เกมจิกซอว์ในการฝึกฝนสมาธิเพื่อ ปรับพฤติกรรมสมาธิสั้นสาหรับนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพือ่ ศึกษาผลของ การใช้เกมจิกซอว์ในการฝึกฝนสมาธิเพ่ือปรับพฤติกรรมสมาธิสั้น สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่ม ตัวอยา่ งที่ใช้ เป็นนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นอนุบาลหว้ ยทับทนั ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2556 ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย 1 ช้ันเรียน ได้ห้อง ป.5/1 จานวน 23 คน และทาการคัดเลือกจากนักเรียนกลุ่ม ตัวอย่างที่มี คะแนนพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่งหรือสมาธิสั้นท่ีมีคะแนนถึงเกณฑ์เสี่ยงหรือมีปัญหา ได้นักเรียนกลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองจานวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เกมจิกซอว์ พัซเซิลมา เนียร์ 2) บทความประเพณีบุญบั้งไฟ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมทางด้านสมาธิ เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันท่ี 7 พฤศจกิ ายน 2556 และ 26 – 29 พฤศจกิ ายน 2556 สถิตทิ ใี่ ช้ คอื ค่าเฉล่ียค่าร้อยละ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนการเล่นเกมจิกซอว์แต่ละครั้งเพิ่มขึ้น ตามลาดับ โดยท่ีนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมี คะแนนเพิ่มขึ้นโดยรวมเฉล่ียเท่ากับ 278,089.3333 คะแนน และ คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ของ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างโดยรวมพฒั นาการ ได้ร้อยละ 56.65 ซึ่งอยู่ในระดับดี 2) นกั เรียนกลมุ่ ตวั อย่างมคี ะแนนการคัดบทความหลังการทดลองสูงกว่าคะแนนการคัด บทความก่อนการทดลอง อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ .05 และมจี านวนนกั เรยี นคดั บทความ เสรจ็ ตามระยะเวลาท่ีกาหนดหลังการ ทดลองคิดเป็นร้อยละ 66.66 ซ่ึงอยู่ในระดับดีมาก และก่อน การทดลองคิดเป็นร้อยละ 26.66 ซึ่งอยู่ในระดับ ปานกลาง 3) พฤติกรรมสมาธิสั้นลดลงจากระดับเสียงสู่ระดับปกติ โดยท่ี พฤติกรรมส่งเสียงดัง ภายใน ห้องเรียนเท่ากบั ร้อยละ 49.26 อยู่ในระดับปกติ ส่วนพฤติกรรมเดินไปเดินมาภายใน ห้องเรียนเท่ากับรอ้ ยละ 43.70 อยู่ในระดับปกติ และพฤติกรรมไม่สนใจปฏิบัติกิจกรรมตามคาสั่ง เท่ากับร้อยละ 36.28 อยู่ในระดับ ปกติ
กจิ กรรมสบื คน้ แนวทางแกป้ ญั หา 11 เรือ่ งที่ 9 การพัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนโดยใชก้ ารเสรมิ แรงแบบดอี าร์โอ เรื่อง การวาดภาพ ด้วยโปรแกรม Paint Brush เพื่อลดสภาวะสมาธิสั้นของนักเรียนท่ีมีความบกพร่องทาง ผวู้ จิ ยั สตปิ ญั ญา สาขาวชิ า ณัฐกฤตา มะโนสุวรรณ ปริญญา เทคโนลยี ีและส่ือสารการศกึ ษา หน่วยงาน ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต ปี มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ 2557 ณฐั กฤตา มะโนสุวรรณ(2557) ทาการวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนโดย ใช้การเสริมแรงแบบดีอาร์โอ เรื่อง การวาดภาพด้วยโปรแกรม Paint Brush เพ่ือลดสภาวะสมาธิส้ันของ นักเรียนท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียน คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนโดยใช้การเสริมแรงแบบดีอาร์โอ เรอ่ื ง การวาดภาพด้วยโปรแกรม Paint Brush เพ่ือลด สภาวะสมาธสิ น้ั ของนักเรียนทมี่ ีความบกพร่องทางสติปัญญาทีม่ ีคุณภาพ 2) เพ่ือประเมนิ ทกั ษะในการวาดภาพ ด้วยโปรแกรม Paint Brush ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 3) เพื่อเปรียบเทียบสมาธิของ นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และ 4) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของอาจารย์ผู้สอนที่มตี ่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มตัวอย่างท่ีใช๎ในการวจิ ัย ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 1 ที่มีระดับเชาว์ปัญญาระหว่าง 50-70 มีสมาธิสั้น รวมจานวน 8 คน โดย เลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติ เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้การ เสริมแรงแบบดีอาร์โอ เร่ืองการวาดภาพด้วยโปรแกรม Paint Brush 2) แบบประเมินคุณภาพบทเรียน คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน 3) แบบประเมินทักษะในการวาดภาพด้วยโปรแกรม Paint Brush 4) แบบสังเกต และ 5) แบบสอบถามความพงึ พอใจของอาจารย์ผู้สอนที่มีต่อบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ประกอบดว้ ย 24 แผน แต่ละแผนใช้เวลาในการทดลองแผนละ 30 นาที รวมระยะเวลาในการใช้นวัตกรรมท้ังสิ้น 30 ครั้ง รวม 6 สัปดาห์ การรวบรวมข้อมูลมี 2 ขั้นตอน คือ 1) ข้ันเตรียมการทดลอง และ 2) ขั้นดาเนินการทดลอง สถิติท่ีใช้ ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ผลการวิจยั พบว่า 1) คณุ ภาพของบทเรยี นคอมพิวเตอร์ ชว่ ยสอนเรือ่ ง การวาดภาพด้วยโปรแกรม Paint Brush มคี ุณภาพอยู่ในระดบั ดี คาเฉลย่ี เท่ากบั 4.40 2) ทกั ษะ ในการวาดภาพด้วยโปรแกรม Paint Brush ของนักเรยี นทม่ี ีความบกพร่องทางสตปิ ญั ญาอํยูในระดับดี ค่าเฉลี่ย เท่ากับ1.25 3) นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีสมาธิเพิ่มข้ึนกว่าก่อนเรียนหลังจากเรียนด้วย บทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และ 4) อาจารย์ผู้สอนมคี วามพงึ พอใจท่ีมีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอยู่ ในระดบั มาก คาเฉลี่ยเท่ากับ 4.38
กจิ กรรมสืบคน้ แนวทางแกป้ ญั หา 12 เรอื่ งที่ 10 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามแนวคิดของ Alban-Metealfe เพ่ือ เพม่ิ ความใส่ใจต่อการเรียนของเดก็ สมาธิสน้ั ผู้วิจยั เมรสิ า นาคะเสงยี่ ม สาขาวชิ า จิตวทยาการศกึ ษาและการให้คาปรกึ ษา ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ หนว่ ยงาน มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ปี 2552 เมรสิ า นาคะเสงี่ยม(2552)ทาการวิจัยเรอ่ื ง ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษ ตามแนวคิดของ Alban-Metealfe เพื่อเพ่ิมความใสใ่ จต่อการเรยี นของเดก็ สมาธิสนั้ การวิจัยครงั้ นีเ้ ปน็ การวิจัย เชิงทดลองเฉพาะราย (single-subject experimental design) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามแนวคิดของ ALBAN-METEALFE ในการ เพ่ิมความใส่ใจต่อการ เรียนของเด็กสมาธิส้ัน กลมุ่ เป้าหมายในการวจิ ัยครัง้ น้ีคือนกั เรียนสมาธิส้นั ช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ สอง ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนเทศบาลคุ้มหนองคู จังหวัดขอนแกน่ เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบ ประเมินพฤติกรรมนักเรียนโดยอาจารย์ประจาช้ัน Conners'Teacher Rating Scale 2) แบบประเมิน พฤติกรรมความใส่ใจของนกั เรียน ด้านสมาธิการฟัง การตอบคาถาม การทากิจกรรมกลุ่ม การส่งการบ้าน 3) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษประกอบกิจกรรมตาม แนวคิดของ Alban- Metcalfe ประกอบด้วย 27 แผน แต่ละแผนใช้เวลาในการทดลองแผนละ 60 นาที รวมระยะเวลาในการใช้นวัตกรรมทั้งส้ิน 27 ครั้ง 9 สัปดาห์ การรวบรวมข้อมูลมี 2 ข้นั ตอน คือ 1) ขั้นเตรยี มการทดลอง และ 2) ขน้ั ดาเนนิ การทดลอง วเิ คราะห์ ข้อมลู โดย หาค่าเฉลี่ย และคา่ รอ้ ยละนาเสนอข้อมูลในรูปแบบตารางและแผนภมู แิ ทง่ และกราฟเสน้ ประกอบคา บรรยาย ผลการวิจัยพบว่า ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษตามแนวคิดของ Alban- Metealfe ท้ัง 3 ระยะ พบว่าในระยะทดลองซึ่งใช้กจิ กรรมตามแนวคดิ ของ Alban-Metealfe เด็กมีความใส่ใจ ตอ่ การเรยี นเพิ่มขนึ้ มากกว่าทั้งระยะเสน้ ฐานและระยะถอดถอนซ่ึงใชแ้ บบเรยี นปกติ
กิจกรรมสืบคน้ แนวทางแกป้ ญั หา 13 เรื่องที่ 11 การศึกษาผลการปรับพฤติกรรมอยู่ไม่น่ิงของเด็กสมาธิสั้นที่ได้รับการปรับพฤติกรรมโดย โปรแกรมการปรับพฤติกรรมแบบควบคุมตนเอง ผูว้ ิจยั ปิยะนชุ ภมรกุล สาขาวชิ า การศกึ ษาพเิ ศษ ปริญญา การศกึ ษามหาบณั ฑิต หนว่ ยงาน มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ ปี 2550 ปิยะนุช ภมรกุล(2550)ทาการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการปรับพฤติกรรมอยู่ไม่น่ิงของเด็ก สมาธิส้ันท่ีได้รับการปรับพฤติกรรมโดยโปรแกรมการปรับพฤติกรรมแบบควบคุมตนเอง การวิจัยคร้ังนี้มี จุดมุ่งหมายเพ่ือศึกษาและเปรียบเทียบผลการปรับพฤติกรรมอยู่ไม่น่ิงของเด็กสมาธิส้ันที่ได้รับการปรับ พฤติกรรม โดยโปรแกรมการปรับพฤตกิ รรมแบบควบคุมตนเอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นเด็กอายุ 9 – 12 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นโดย DSM-IV จากโรงพยาบาลพระพทุ ธชินราช อาเภอเมืองพิษณุโลก จงั หวัดพษิ ณุโลก จานวน 3 คน เลือกโดยวิธเี จาะจง เคร่อื งมือท่ใี ช้ในการวจิ ัย คอื 1) แบบบันทกึ พฤตกิ รรมอยู่ ไม่น่ิงของเด็กสมาธสิ ั้น 2)แบบสารวจตัวเสรอมแรง และโปรแกรมปรับพฤตกิ รรมควบคุมตนเอง แบบแผนการ วิจัยเป็น Single Subject Design รูปแบบ A – B – A – B แบบสลับกลับ 4 ระยะ สัปดาห์ละ 2 คร้ัง ครั้งละ 40 นาที ซึง่ แบ่งการทดลองเป็น 4 ระยะ ระยะท่ี 1 เป็นระยะเสน้ ฐาน ระยะที่ 2 เป็นระยะการจดั กระทา เปน็ การฝึกโปรแกรมการปรับพฤติกรรมการควบคุมตนเอง ระยะท่ี 3 เปน็ ระยะถอดถอน คอื หยดุ การฝึกโปรแกรม ปรบั พฤติกรรมแบบควบคุมตนเอง ระยะที่ 4 เปน็ ระยะจัดกระทา ซง่ึ เป็นการฝกึ โปรแกรมปรบั พฤตกิ รรมแบบ ควบคุมตนเองอกี ครง้ั สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู คือ ค่าความถ่ี ค่าเฉล่ียน และร้อยละ และแสดงผลวจิ ยั ด้วยกราฟ ผลวิจัยพบว่า เด็กสมาธิสั้นท้ัง 3 คน ท่ีได้รับการปรับพฤติกรรมโดยโปรแกรมควบคุมคนเอง มี พฤตกิ รรมอยไู่ มน่ ิ่งลดลง
กจิ กรรมสบื คน้ แนวทางแก้ปัญหา 14 เรอ่ื งท่ี 12 รปู แบบการใหค้ วามช่วยเหลือเด็กไทยทมี่ ภี าวะสมาธิส้นั โดยใชบ้ ้านและโรงเรียนเปน็ ฐาน ผวู้ ิจัย สวุ รี ฤกษจ์ ารี สาขาวิชา จติ วทิ ยาให้คาปรกึ ษา ปริญญา ปรัชญาดุษฎบี ณั ฑิต หน่วยงาน มหาวิทยาลัยรามคาแหง ปี 2553 สุวรี ฤกษ์จารี(2553)ทาการวิจยั เรอ่ื ง รูปแบบการให้ความชว่ ยเหลือเด็กไทยทมี่ ีภาวะสมาธิสั้น โดยใช้บ้านและโรงเรียนเป็นฐาน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ 1) เพื่อ พัฒนารูปแบบการให้ความช่วยเหลือเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นโดยใช้บ้านและโรงเรียนเป็นฐาน 2) เพ่ือหา ประสิทธิผลของรูปแบบด้วยการทาการทดลองเปรียบเทียบพฤติกรรมของเด็กที่มีภาวะสมาธิส้ันระหว่างกล่มุ ทดลองและกลุ่มเปรยี บเทียบในด้านการทางานสาเรจ็ การควบคุมตน และทักษะทางสังคม กลุ่มตัวอย่าง เป็น นักเรียนที่มีภาวะสมาธิสั้นที่กาลังศึกษาระดับ ช้ันประถมปีท่ี 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) ปีการศึกษา 2551 จานวน 16 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างละ 8 คน โดยใช้วิธีการสุ่ม แบบกลุ่ม เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยมี 2 ประเภท คือ 1) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมิน ประสิทธิผลของรูปแบบ 4 ฉบับ ได้แก่ แบบประเมินพฤติกรรมการทางานสาเร็จ แบบประเมินพฤติกรรมการ ควบคุมตน แบบประเมนิ ทกั ษะทางสังคม และแบบสังเกต และบันทึกพฤติกรรมการควบคมุ ตน 2) เครอ่ื งมอื ท่ี ใช้ในการทดลองมี 3 ชดุ ไดแ้ ก่ โปรแกรมการฝึกอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ ารสาหรับผู้ปกครอง โปรแกรมการฝกึ อบรม เชงิ ปฏิบตั ิ การสาหรับครู และโปรแกรมการใหค้ าปรกึ ษาแบบกลุ่มเดก็ ที่มภี าวะสมาธิสน้ั การรวบรวมข้อมูลระ หวา่ งัวนที่ 21-23 มถิ ุนายน 2551 และ 14 – 22 มถิ ุนายน 2552 วธิ ีดาเนนิ การวิจยั แบง่ เป็น 2 สว่ น คอื สว่ นที่ 1 การสร้างและพัฒนารูปแบบการให้ความ ช่วยเหลือเด็กไทยท่ีมีภาวะสมาธิสั้นโดยใช้บ้านและโรงเรียนเป็น ฐาน ส่วนที่ 2 การประเมนิ ประสิทธผิ ลของรูปแบบ การใหค้ วามช่วยเหลอื เด็กไทยทม่ี ีภาวะสมาธิสน้ั โดยใช้บ้าน และโรงเรียนเป็นฐาน โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบ nonequivalent group design วิเคราะห์ข้อมูลด้วย สถิติพน้ื ฐาน และการเปรยี บเทยี บความแตกต่างระหว่างกลมุ่ ด้วย Mann-Whitney U test และความแตกต่าง ภายในกลุ่มด้วย Wilcoxon signed rank test โดยทดลองจานวน 10 ครั้ง เป็นเวลา 10 สัปดาห์ ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการให้ความช่วยเหลือเด็กไทยท่ีมีภาวะสมาธิสั้น โดยใช้บ้าน และโรงเรียนเป็นฐาน ประกอบด้วย ความร่วมมือระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียน โดยผู้ปกครองมีบทบาทในการอบรมเล้ียงดู ส่วน โรงเรียนมบี ทบาท 2 ดา้ น คือ การให้ คาปรกึ ษากลุ่ม และการใหค้ วามชว่ ยเหลือด้านการเรยี น 2) ประสิทธิผล ของรูปแบบการให้ความช่วยเหลือเด็กไทยท่ีมีภาวะสมาธิส้ัน โดยใช้บ้านและโรงเรียนเป็นฐานพบว่า เด็กท่ีมี ภาวะสมาธิสั้น กลุ่มทดลอง มีพฤติกรรม ด้านการทางานสาเร็จ การควบคุมตน หลังการทดลองสูงกว่ากลุ่ม เปรยี บเทยี บ อย่างมี นยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั 0.05 สว่ นทักษะทางสงั คมไมแ่ ตกตา่ งกนั เดก็ ท่มี ภี าวะสมาธิสั้น กลุ่มทดลอง มีพฤติกรรม ด้านการทางานสาเร็จ การควบคุมตนสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสาคัญทาง สถติ ทิ รี่ ะดับ 0.05 ส่วนทกั ษะทางสงั คมไมแ่ ตกต่างกนั
กจิ กรรมสืบค้นแนวทางแก้ปญั หา 15 เรือ่ งที่ 13 การปรับพฤติกรรมภาวะไม่อยู่น่ิงและสมาธิสน้ั ของเด็กออทิสตกิ ในห้องเรยี นเรยี นรว่ มโดยใช้ เทคนคิ เพ่อื นสอนเพือ่ นโรงเรียนวดั ช่างเคี่ยน อาเภอเมอื งเชียงใหม่ ผูว้ ิจัย ศวิ าณา พนั ธรุ ตั น์ สาขาวิชา การศึกษาพิเศษ ปริญญา ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต หน่วยงาน มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ปี 2549 ศวิ าณา พนั ธุรตั น์(2549)ทาการวิจัยเรอื่ ง การปรับพฤติกรรมภาวะไมอ่ ยู่นงิ่ และสมาธิส้นั ของ เด็กออทิสติก ในห้องเรียนเรียนร่วมโดยใช้เทคนิคเพ่ือนสอนเพ่ือนโรงเรียนวัดช่างเคี่ยน อาเภอเมืองเชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับพฤติกรรมภาวะไม่อยู่น่ิงและสมาธิสั้นของเด็กออทิสติกในห้องเรียนเรียนร่วม โดยใช้ เทคนิคเพื่อนสอนเพ่ือน ตัวอย่างที่นามาศึกษาคร้ังน้ี คือเด็กชายท่ีเป็นออทิสติก อายุ 7 ปี ท่ีกาลังศึกษาในช้นั ประถมปีที่ 1 โรงเรียนวัดช่างเคี่ยน อาเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ศึกษาใช้เทคนิคเพื่อนสอนเพ่ือนที่อยู่ต่าง ระดับชัน้ (Cross-Age Tutoring) ในการปรับพฤติกรรม แบบแผนการศกึ ษาเปน็ แบบ Single Subject Design รูปแบบ ABA เครื่องมือที่ใช้ คือ 1) แผนการฝึกทักษะการเข้าร่วมกิจกรรมเข้าแถวเคารพธงชาติ การร่วม รับประทานอาหาร และการจดั กิจกรรมเสรมิ เพื่อลดภาวะไม่อยู่นิง่ และสมาธิสัน้ ประกอบด้วย 14 แผน แต่ละ แผนใช้เวลาในการทดลองแผนละ 40 – 60 นาที รวมระยะเวลาในการใชน้ วัตกรรมทั้งส้นิ 18 คร้ัง 6 สัปดาห์ 2) แบบสังเกต พฤติกรรมช่วงระยะเวลา และ 3) การบันทึกวีดีทัศน์ โดยผู้ศึกษาใช้เวลาในการสังเกตและ บันทึก วีดีทัศน์เป็น 3 ระยะ รวม 6 สัปดาห์ คือ ระยะแรกเป็นเส้นฐาน โดยสังเกตพฤติกรรมก่อนทดลอง 1 สัปดาห์ ระยะที่สอง เป็นการทดลองติดต่อกัน 4 สัปดาห์ และระยะสุดท้าย เป็นการถอดถอน อีก 1 สัปดาห์ สถิติทีใ่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู คอื คา่ รอ้ ยละ คา่ เฉลย่ี สว่ นการนาเสนอผลการ ทดลองใช้ตาราง และแผนสถิติ ประกอบความเรียง ส่วนข้อมูลท่ีได้จากแบบประเมินพฤติกรรม และการบันทึกวีดีทัศน์ ผู้ศึกษานามาจัดเป็น หมวดหมแู่ ละนาเสนอในรปู แบบความเรียงเชงิ พรรณนา ผลการศกึ ษาสรปุ ได้ดงั นี้หลังจากใช้เทคนิคเพอื่ นสอน เพ่ือนแล้ว กรณีศึกษามีพฤติกรรมเข้าร่วมกิจกรรมเข้าแถว เคารพธงชาติ น่ังร่วมรับประทานอาหาร และนั่ง เรียนในห้องเรียนได้ดีข้ึน กล่าวคือ กรณีศึกษา มีพฤติกรรม 1) ว่ิงออกนอกแถวหลังทาการทดลองคิดเป็น ค่าเฉลี่ยร้อยละ 9 จากเดิมท่ีค่าเฉล่ีย ร้อยละ 90 2) วิ่งออกจากห้องเรียนคิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 6 จากเดิมท่ี ค่าเฉล่ียร้อยละ 92 3) สุกจากโต๊ะอาหาร คิดเป็นค่าเฉลี่ยรอ้ ยละ 2 จากเดิมที่ค่าเฉลี่ยรอ้ ยละ 97 แสดงให้เหน็ ว่า การทดลองประสบผลสาเร็จเป็นที่น่าพึงพอใจ เพราะเด็กมีพฤติกรรมท่ีดีขึ้น โดยมีความสนใจ ในส่ิงต่าง ๆ และสามารถเข้ารว่ มกิจกรรมตา่ ง ๆ ไดน้ านขน้ึ กว่าเดิม
กิจกรรมสืบคน้ แนวทางแก้ปัญหา 16 เร่อื งที่ 14 ผลของการแต่งพฤติกรรมท่ีมีต่อพฤติกรรมการตั้งใจทางาน และความถูกต้องของงานของ นักเรยี นอายุ 7 ถงึ 10 ปี ทีมีสมาธิบกพรอ่ งและมีพฤติกรรมไมอ่ ยนู่ งิ่ ผูว้ ิจยั มณฑริ า ศรชี ัย สาขาวิชา จติ วทิ ยาพฒั นาการ ปรญิ ญา ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ หนว่ ยงาน จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ปี 2541 มณฑิรา ศรีชัย(2541)ทาการวิจัยเร่ือง ผลของการแต่งพฤติกรรมท่ีมีต่อพฤติกรรมการตั้งใจ ทางาน และความถูกต้องของงานของนักเรียนอายุ 7 ถึง 10 ปี ทีมสี มาธิบกพร่องและมพี ฤตกิ รรมไม่อยนู่ ่ิง การ วจิ ัยคร้ังน้มี วี ัตถปุ ระสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพอื่ ศึกษาผลของการใช้รูปแบบการเสริมแรงทางบวกในการเรียนรู้ โดยใชเ้ กมเปน็ ฐานบนเวบ็ ท่มี ีตอ่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ของนกั เรียนระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปี ที่ 2 ที่มีสมาธิสั้นและมีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง และ 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนขณะเล่นเกมจากการ สงั เกตของครแู ละผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างเป็นนกั เรียนที่กาลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ท่ีไดร้ ับการ ประเมินจากโรงเรียนว่าเป็นนักเรียนที่มีอาการสมาธิส้ันและมีพฤติกรรมอยู่ไม่น่ิง ของโรงเรียนสาธิตแห่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาจานวน 24 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงแบ่งเข้า กลุ่มทดลองโดยวิธีจับคู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉล่ียเท่ากัน แล้วจัดนักเรียนเข้ากลุ่มทดลอง กลุ่มละ 12 คน กลุ่มทดลองท่ี 1 เรียนด้วยเกมบนเว็บแบบการเสรมิ แรงทางสังคม กลุ่มทดลองที่ 2 เรียนด้วยเกมบนเว็บแบบ การเสริมแรงด้วยเบี้ยอรรถกร เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมเกมบนเว็บแผนการจัดการ เรียนรู้ 2) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น และ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมของผ้เู รยี น การรวบรวมข้อมลู สถติ ิท่ใี ช้วิเคราะห์ขอ้ มลู คือ รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวจิ ัย พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างที่มีการใช้รปู แบบการเสรมิ แรงทางบวกต่างกันมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่แตกต่างกัน อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 2) จากการสงั เกตของครูและผูป้ กครองถึงพฤติกรรมของผเู้ รียนขณะเล่น เกมบนเวบ็ ของกลุม่ ทดลองท้ัง 2 กลุ่ม พบวา่ ผู้เรียนมากกวา่ 50% ขนึ้ ไปไมม่ พี ฤติกรรม อาการบดิ ตัวไปมายุก ยิก ไม่อย่เู ฉย, วอกแวกงา่ ย, ไมร่ อฟังคาส่งั ในเกม, และเลน่ เกมโดยไม่คิดไตร่ตรองขาดความยับยงั้ ชง่ั ใจ ผูเ้ รียน มากกวา่ 80% ขึน้ ไปไมม่ ีพฤตกิ รรม อาการระเบดิ อารมณ์โกรธเมื่อเสยี คะแนนหรอื ทาผิด และมพี ฤตกิ รรมการ เล่นเกมอย่างต้ังใจ และผูเ้ รียนทงั้ หมดไม่มีพฤติกรรม อาการลกุ ขน้ึ เดนิ เม่ือเบื่อ หยุดเลน่ เกมช่วั ขณะปรากฏให้ เห็นขณะเล่นเกม และมพี ฤตกิ รรมการเลน่ เกมอยา่ งสนุกสนาน และเล่นเกมจนจบโดยไม่ยอมหยดุ พกั
กจิ กรรมสบื คน้ แนวทางแก้ปญั หา 17 เรอ่ื งท่ี 15 ผลของการใช้รูปแบบการเสริมแรงทางบวกในการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานบนเว็บท่ีมีต่อ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 2 ที่มีสมาธิสั้นและมี ผู้วจิ ยั พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง สาขาวิชา ปิยนันท์ ปานน่ิม ปริญญา โสตทัศนศึกษา หน่วยงาน ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต ปี จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั 2549 ปิยนันท์ ปานนิ่ม(2549)ทาการวิจัยเรื่อง ผลของการใช้รูปแบบการเสริมแรงทางบวกในการ เรียนรูโ้ ดยใช้เกมเปน็ ฐานบนเว็บทีม่ ีตอ่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีสมาธิสั้นและมีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง วัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพ่ือศึกษาผลของการใช้รูปแบบการ เสริมแรงทางบวกในการเรยี นรู้โดยใช้ เกมเป็นฐานบนเวบ็ ท่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตรข์ อง นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีสมาธิสั้นและมีพฤติกรรมอยู่ไม่น่ิง และ 2) เพ่ือศึกษาพฤติกรรมของ นักเรียนขณะเล่นเกมจากการสังเกตของครแู ละผู้ปกครอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนที่กาลังศึกษาในระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการประเมินจากโรงเรียนวา่ เปน็ นักเรียนท่ีมี อาการสมาธิส้ันและมีพฤตกิ รรมอยไู่ ม่ นิ่ง ของโรงเรียนสาธิตแหง่ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ศนู ย์วจิ ัยและพัฒนาการศึกษา จานวน 24 คน โดยการ เลอื กแบบเจาะจงแบ่งเข้ากลุ่มทดลองโดยวิธจี ับคู่ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเฉล่ยี เทา่ กนั แลว้ จัด นักเรยี นเขา้ กลุ่ม ทดลอง กลุ่มละ 12 คน กลุ่มทดลองท่ี 1 เรียนด้วยเกมบนเว็บแบบการเสริมแรงทางสังคม กลุ่มทดลอง ที่ 2 เรียนด้วยเกมบนเว็บแบบการเสริมแรงด้วยเบ้ียอรรถกร เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรม เกมบนเว็บ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน และ 4) แผนการ จัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 แผน แต่ละแผนใช้เวลาในการทดลองแผนละ 50 นาที รวมระยะเวลาในการใช้ นวัตกรรมท้ังส้ิน 5 คร้ัง ระยะเวลา 5 สัปดาห์ สถิติท่ีใช้วิเคราะห์ ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างท่ีมีการใช้รูปแบบการเสริมแรง ทางบวกต่างกันมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 2) จากการ สังเกตของครูและผู้ปกครองถึงพฤติกรรมของผู้เรียนขณะเล่นเกมบนเว็บของกลุ่มทดลองท้ัง 2 กลุ่ม พบว่า ผเู้ รียนมากกว่า 500 ข้นึ ไปไมม่ พี ฤตกิ รรม อาการบิดตวั ไปมายกุ ยิก ไม่อยู่เฉย วอกแวกง่าย ไม่รอฟงั คาสง่ั ในเกม และเลน่ เกมโดยไม่คิดไตร่ตรองขาดความยับยง้ั ชงั่ ใจ ผูเ้ รียนมากกวา่ 80% ขึ้นไปไม่มพี ฤตกิ รรม อาการระเบิด อารมณ์ โกรธเมื่อเสียคะแนนหรือทาผิด และมีพฤติกรรมการเล่นเกมอย่างตั้งใจ และผู้เรียนท้ังหมดไม่มี พฤติกรรม อาการลุกข้นึ เดินเมือ่ เบ่อื หยดุ เลน่ เกมชว่ั ขณะปรากฏให้เห็นขณะเล่นเกม และมีพฤติกรรมการเล่น เกมอย่างสนกุ สนาน และเล่นเกม จนจบโดยไม่ยอมหยุดพัก
กจิ กรรมสืบคน้ แนวทางแก้ปญั หา 18 เรอื่ งที่ 16 ผลของการใช้โปรแกรมการปรับพฤติกรรมทางปัญญาเพื่อพัฒนาพฤติกรรมการเรียนท่ี เหมาะสมของนักเรียนสมาธิส้ัน ระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนสาธิตแห่ง ผวู้ ิจัย มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจยั และพัฒนาการศึกษา สาขาวชิ า ประภาวดี สุมามาลย์ ปริญญา จิตวทยาแนะแนว หน่วยงาน ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ ปี มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ 2549 ประภาวดี สุมามาลย์(2549)ทาการวิจัยเรอ่ื ง ผลของการใช้โปรแกรมการปรับพฤตกิ รรมทาง ปัญญาเพื่อพฒั นาพฤติกรรมการเรยี นที่เหมาะสมของนักเรียนสมาธสิ ้ัน ระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี น สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้มี 2 ประการ 1) เพ่ือสร้างและศึกษาผลของโปรแกรมการปรับพฤติกรรมทางปัญญาโดยใช้เทคนิคการต้ังเป้าหมาย การฝกึ ผอ่ นคลายโดยการใช้การจินตนาการ การให้ขอ้ มลู ป้อนกลบั ทางชีวภาพ และการพูดกับตนเองเชิงบวก 2) เพือ่ พฒั นาพฤติกรรมการเรียนทเี่ หมาะสมของนกั เรียนสมาธิสน้ั ระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนสาธิต แห่งมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ศนู ย์วจิ ัยและพัฒนาการศกึ ษา กลุ่มตัวอยา่ งทใี่ ช้ในการวจิ ัย คือ นกั เรียนสมาธิ สน้ั ทไี่ ดร้ ับการรกั ษาดว้ ยยา จานวน 10 คน กาลังศึกษาในระดับชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคปลาย ปกี ารศกึ ษา 2547 รูปแบบการวิจัยแบบก่ึงทดลอง (Quasi Experimental Research) ที่มีกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว เก็บ คะแนนก่อนและหลังการทดลอง (One - Group - Pre test - Post test Design) กลุ่มตัวอย่างได้รับการฝึก ตามโปรแกรมการปรับพฤติกรรมทางปัญญาจานวน 16 คร้ัง คร้ังละประมาณ 30 นาที 4 วันต่อสัปดาห์ เป็น เวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยและรวบรวมข้อมูล คือ 1) แบบประเมินพฤติกรรมนกั เรียน โดยอาจารย์ประจาชั้น 2) แบบประเมินพฤติกรรมการเรียนโดยอาจารย์ประจาวชิ าทักษะ วิเคราะห์ข้อมูลโดย การวิเคราะหเ์ ชิงเนอื้ หาและด้วยสถติ ิ signed Test ผลการวจิ ยั พบว่า หลังการทดลองนกั เรยี นมสี มาธใิ นการฟัง มีพฤติกรรมการตอบคาถาม การส่ง งาน และการทางานกลุม่ สูงกวา่ กอ่ นการทดลองอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ ทรี่ ะดับ 10
กิจกรรมสืบคน้ แนวทางแกป้ ัญหา 19 เรือ่ งที่ 17 ผลของการใชเ้ ทคนิคการเสริมแรงด้วยกิจกรรมต่อพฤติกรรมความไม่ใส่ใจการเรยี น ผูว้ จิ ัย อิชยา จีนะกาญจน์ สาขาวิชา จติ วทิ ยาการศกึ ษาและการให้คาปรึกษา ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ หน่วยงาน มหาาวิทยาลยั ขอนแก่น ปี 2554 อชิ ยา จนี ะกาญจน์(2554)ทาการวจิ ยั เรอ่ื ง ผลของการใชเ้ ทคนิคการเสริมแรงดว้ ยกิจกรรมต่อ พฤติกรรมความไม่ใส่ใจการเรียน การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบ Time Series Design เปน็ การทดลองกับกลุ่มตัวอย่างเพี่ยงกลุ่มเดียวและมีการวัดซ้า มวี ัตถุประสงค์เพ่ือ ศึกษาผลของการใช้เทคนิคการเสริมแรงด้วยกิจกรรมต่อพฤติกรรมความไม่ใส่ใจการเรียน กลุ่มเปา้ หมายในการ วิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนท่ีมีพฤติกรรมความไม่ใสใจการเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนบานกุรุคุ จังหวัดนครพนม จานวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบการสังเกตและ บันทึกพฤติกรรมความไม่ใสใจการเรียนแบบช่วงเวลา และการเสริมแรงด้วยกิจกรรม ซึ่งประกอบไปด้วย ขั้นตอนในการทดลอง 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ระยะเส้นฐาน 2) ระยะเสริมแรงด้วยกิจกรรม 3) ระยะหยุดยั้ง 4) ระยะกลับไปใช้กระบวนการเช่นเดียวกับระยะที่ 2 เครื่องมือท่ีใช้ในการรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แบบ การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมความไม่ใส่ใจการเรียนแบบช่วงเวลา 2) กิจกรรมที่ใช้เสรมิ แรง การทดลองจะ เลือกวันและเวลาในการทดลองเป็นช่วงเวลา คือ วันอังคาร (09.00-10.00 น.) วันพุธ (10.00-11.00 น.) วัน พฤหสั บดี (09.00-10.00 น.) และวันศุกร์ (11.00-12.00 น.) เพราะวนั และเวลาดังกล่าวนเ้ี ปน็ วันและเวลาที่มี เรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาค่าความถ่ีและค่าเฉล่ียความถ่ีของพฤติกรรม ความไม่ใส่ใจการเรียน และเปรียบเทียบค่าเฉล่ียความถข่ี องพฤติกรรมไม่ใส่ใจการเรียนโดยใช้กราฟผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมความไม่ใสใจการเรียนของนักเรียนกลุ่มเป้าหมายทั้ง 3 คน ลดลง โดยมีค่าเฉลี่ยความถี่ พฤติกรรมความไม่ใส่ใจการเร่ียนในระยะที่ 2 B(1) และระยะที่ 4 B(2) ต่ากว่าระยะท่ี 1 A (1) และระยะท่ี 3 A(2)
กิจกรรมสบื ค้นแนวทางแก้ปญั หา 20 เรอ่ื งท่ี 18 ผลของการให้เบ้ียอรรถกรกับการปรับสินไหมที่มีต่อพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียน : ศึกษาเฉพาะ กรณี โรงเรียนโพนงามพิทยานกุ ลู จังหวดั มหาสารคาม ผู้วิจยั อนสุ รา ศรที าบุญ สาขาวชิ า จิตวทิ ยาการศกึ ษา ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ หนว่ ยงาน มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ปี 2543 อนสุ รา ศรที าบญุ (2543)ทาการวจิ ยั เร่ือง ผลของการใหเ้ บยี้ อรรถกรกบั การปรบั สินไหมที่มีต่อ พฤติกรรมไม่ตั้งใจเรยี น : ศึกษาเฉพาะกรณี โรงเรียนโพนงามพิทยานุกลู จังหวัดมหาสารคาม เป็นการทดลอง แบบกลุ่มโดยการเปรยี บเทียบระหว่างกลมุ่ ดว้ ยวิธีสลับกลับ (ABA Reversal Design) มวี ตั ถุประสงคเ์ พือ่ ศึกษา ผลของการใหเ้ บี้ยอรรถกรกับการปรับสินไหมท่ีมีต่อพฤติกรรมไมต่ ้ัง ใจเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโพนงามพิทยานุกูล จังหวัดมหาสารคาม ปีการศึกษา 2542 ที่มีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนสูงและมี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่าในวิชาคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างจานวน 4 คน ได้สุ่มเข้าเป็นกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคุม กลุ่มละ 2 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยและรวบรวมข้อมูล คือ 1) โปรแกรมปรับพฤติกรรมไม่ต้ังใจ เรียน โดยวิธีการให้เบ้ียอรรถกรและการปรบั สินไหม 2) แบบบันทึกพฤติกรรมไม่ตงั้ ใจเรยี น 3) แบบสารวจตัว เสรมิ แรงทีช่ อบ และ 4) แบบสารวจพฤติกรรมนักเรยี นที่ไม่ต้งั ใจเรียน โดยผวู้ จิ ยั และผ้ชู ว่ ยวจิ ยั เปน็ ผสู้ ังเกตและ บันทึกพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียน กลุ่มควบคุมไม่ได้รับการเสริมแรงใด ๆ ส่วนกลุ่มทดลองใน ระยะเส้นฐาน พฤติกรรม (A) จะได้รับการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมในสภาพการเรียนการสอนปกติ ใช้เวลา 1 สัปดาห์ สัปดาหล์ ะ 3 ครง้ั คร้ังละ 20 นาที ระยะทดลอง (B) ใชเ้ วลา 3 สปั ดาห์ สปั ดาห์ละ 3 ครงั้ คร้งั ละ 20 นาที โดย ในแต่ละสัปดาห์ ผู้วิจัยให้อรรถกรแก่กลุ่มทดลองถ้ากลุ่มทดลองมีพฤติกรรมต้ังใจเรียนทุกช่วงเวลา ทุก 2 ช่วงเวลา และทุก 3 ช่วงเวลาตามลาดับ และปรับสินไหมถ้ามีพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียนทุก 2 ช่วงเวลา ทุก 3 ชว่ งเวลา และทกุ 4 ช่วงเวลาตามลาดบั ระยะหลงั การทดลอง (A) ใชเ้ วลา 3 สัปดาห์ สปั ดาหล์ ะ 2 ครง้ั คร้งั ละ 12 นาที ผู้วิจัยงดใหเ้ บียอรรถกรกบั การปรบั สนิ ไหมแกก่ ลมุ่ ทดลอง แต่ครผู รู้ ว่ มการทดลองเปน็ ผูใ้ หต้ ัวเสริมแรง ทางสังคมแทน โดยในแต่ละสัปดาห์ให้ตัวเสริมแรงทางสังคมถ้ากลุ่มทดลองมีพฤติกรรมตั้งใจเรียนทุกชว่ งเวลา ทุก 2 ช่วงเวลา ทุก 3 ช่วงเวลาตามลาดับการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การทดสอบของแมนวิทนีย์ (The Mann- Whitney U Test) กับการทดสอบของ วิลดอกซัน (The Wilcoxon Matched Pairs Signed-Ranks Test) ผลการวิจัยปรากฎว่า 1) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองแสดงพฤติกรรมไมต่ ั้งใจเรียนต่ากว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี นัยสาคัญ ทางสถิติท่ีระดับ .05 2) การทดสอบภายในกลุ่มทดลอง ช่วงก่อนการทดลอง กลุ่มทดลองทั้ง 2 คน แสดงพฤติกรรมไม่ ต้ังใจเรียนสูงเหมือนกัน ช่วงหลังการทดลอง กลุ่มทดลองท้ัง 2 คน แสดงพฤติกรรมไม่ตงั้ เรยี นต่าลงเหมือนกัน
กจิ กรรมสบื ค้นแนวทางแก้ปัญหา 21 เร่อื งที่ 19 ผลของการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือควบคู่กับการให้เวลานอก และการเรียนรู้แบบร่วมมือ ควบคกู่ บั การปรบั สินไหมทีม่ ตี อ่ พฤตกิ รรมไม่ต้งั ใจเรยี น ผูว้ จิ ยั กนกวรรณ เล่ือยคลัง สาขาวิชา จิตวทิ ยาการศึกษา ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต หนว่ ยงาน มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโรฒ ปี 2546 กนกวรรณ เล่ือยคลัง( 2546)ทาการวิจัยเร่อื ง ผลของการใช้การเรียนรแู้ บบร่วมมือควบคกู่ บั การให้เวลานอก และการเรียนรู้แบบร่วมมือควบคู่กับการปรับสินไหมท่ีมีต่อพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียน วตั ถปุ ระสงค์เพ่อื เปรยี บเทียบผลของการใช้การเรียนรูแ้ บบร่วมมอื ควบคกู่ ับการใหเ้ วลานอกและการเรียนรู้แบบ ร่วมมือควบคู่กับการปรับสินไหมท่ีมีต่อพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียน มักกะสันพิทยา เขตราชเทวี กรุงเพทมหานคร กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ปีการศึกษา 2545 ที่มพี ฤติกรรมไมต่ ้ังใจเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ จานวน 18 คนซึง่ ได้มาจากการสมุ่ อย่างง่ายจากประชากร แล้วสุ่มอย่างง่ายอีกคร้ังหนึ่งเป็นกลุ่มทดลองท่ี 1 และกลุ่มทดลองที่ 2 กลุ่มละ 9 คน กลุ่มทดลองที่ 1 ได้รับ การเรียนรู้แบบร่วมมือควบคู่กบั การใช้เวลานอก และกลุ่มที่ 2 ได้รับการเรียนรูแ้ บบร่วมมือควบคู่กับการปรบั สินไหม แบบแผนการทดลองคือ แบบสลับกลับ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ 1) โปรแกรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมอื ควบคกู่ บั การใช้เวลานอก 2) โปรแกรมการเรยี นรู้แบบรว่ มมือควบคู่กับการปรับสินไหม 3) แบบประเมนิ พฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียน และ4) แบบบันทึกพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การ ทดสอบของวิกคอกซัน และการทดสอบของแมน – วิทนีย์ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีพฤติกรรมไม่ตั้งใจ เรียนลดลง หลงั จากไดร้ ับการเรยี นรู้แบบร่วมมือควบคู่กบั การให้เวลานอกอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .01 2) นักเรียนมีพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียนลดลง หลังได้รับการเรียนรู้แบบรว่ มมอื ควบคู่กับการปรับสินไหม อย่างมี นยั สาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 3)นกั เรียนทีไ่ ดร้ บั การเรียนรู้แบบรว่ มมือควบค่กู ับการใหเ้ วลานอก และนักเรยี น ท่ีได้รับการเรียนรู้แบบร่วมมือควบคู่กับการปรับสินไหมมีพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียนลดลงไม่แตกต่างกัน อย่างมี นัยสาคญั ทางสถติ ิ
กจิ กรรมสบื คน้ แนวทางแก้ปญั หา 22 เร่อื งท่ี 20 ผลของการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขันควบคู่กบั การควบคุมตนเองและการเรียนร้แู บบ ร่วมมือแข่งขันควบคู่กับการปรับสินไหมที่มีต่อพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนของนักเรียนชั้น ผวู้ ิจยั ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นไทยรัฐวทิ ยา 21 อาเภอบ่อพลอย จงั หวดั กาญจนบรุ ี สาขาวชิ า มงคลรัตน์ สิมพา ปริญญา จติ วทิ ยาการศึกษา หน่วยงาน การศึกษามหาบณั ฑติ ปี มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ 2547 มงคลรัตน์ สิมพา(2547)ทาการวิจัยเรื่อง ผลของการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขันควบคู่ กบั การควบคุมตนเองและการเรียนร้แู บบรว่ มมือแขง่ ขันควบคู่กบั การปรบั สนิ ไหมทมี่ ีตอ่ พฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 21 อาเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี การวิจัยใน คร้ังน้ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเปรียบเทียบผลของการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขันควบคู่กับการควบคุมตนเอง และการเรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขันควบคู่กับการปรับสินไหมท่ีมีต่อพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 21 อาเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ปีการศึกษา 2547 ท่ีมี พฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียนวิชาคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง จานวน 16 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองท่ี 1 ใช้การเรียนรู้ แบบร่วมมอื แข่งขันควบค่กู บั การควบคมุ ตนเอง และกลุม่ ทดลองที่ 2 ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขนั ควบคู่กับ การปรบั สนิ ไหม แบบแผนการทดลองคร้งั น้เี ป็นแบบสลบั กลบั เครือ่ งมอื ทีใ่ ช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ 1) โปรแกรมการ เรยี นรแู้ บบรว่ มมอื แขง่ ขันควบคู่กับการควบคุมตนเอง 2) โปรแกรมการเรียนรแู้ บบร่วมมือแขง่ ขันควบคู่กับการ ปรับสินไหม 3) แบบประเมินพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียน และ4) แบบบันทึกพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียน สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล คือ การทดสอบของวิลคอกซันและแมน – วิทนีย์ ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมี พฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียนลดลง หลังจากได้รับการเรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขันควบคู่กับการควบคุมตนเองอยา่ งมี นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 2) นักเรียนมีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนลดลง หลังได้รับการเรียนรู้แบบร่วมมือ แข่งขันควบคู่กับการปรับสินไหมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนท่ีได้รับการเรียนรู้แบบ ร่วมมือควบคู่กับการให้เวลานอก และนักเรียนท่ีได้รับการเรียนรู้แบบร่วมมือควบคู่กับการปรับสินไหมมี พฤตกิ รรมไมต่ ั้งใจเรียนลดลงไมแ่ ตกต่างกัน อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติท่ีระดบั .01
กิจกรรมสบื ค้นแนวทางแกป้ ญั หา 23 4.2 การจดั กลมุ่ นวัตกรรม การจัดกลุ่มนวัตกรรมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาพฤติกรรมการมีสมาธิของผู้เรียนต่อสิ่งแวดล้อม ภายในและภายนอกห้องเรียน จานวน 20 เร่ือง จัดกลุ่มตามคุณลักษณะอย่างคร่าว ๆ สามารถจัดได้ 7 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลมุ่ ที่ 1 บทเรยี นคอมพิวเตอร์ กลุ่มท่ี 2 โปรแกรมการปรับพฤตกิ รรม กลมุ่ ที่ 3 กจิ กรรมทางศิลปะ กลุม่ ที่ 4 เบีย้ อรรถกรและการปรับสินไหม กล่มุ ที่ 5 การเสริมแรง กลมุ่ ที่ 6 แนวคดิ และกลุ่มที่ 7 อน่ื ๆ 4.2.1 ผลการจัดกล่มุ นวตั กรรม กลมุ่ ที่ 1 บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ จานวน 2 ชนิด 1) บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนแบบเกม 3 แบบ ผลของการควบคุมบทเรียนในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกม ที่มี ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความคงทนในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของ นักเรียนท่ีมีสมาธิส้ันและมีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 - เนตร หงษ์ไกรเลิศ 2) บทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนโดยใช้การเสรมิ แรงแบบดอี ารโ์ อ การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้การเสริมแรงแบบดีอารโ์ อ เร่ือง การวาดภาพด้วยโปรแกรม Paint Brush เพ่ือลดสภาวะสมาธิส้ันของ นกั เรยี นท่ีมีความบกพรอ่ งทางสติปญั ญา - ณฐั กฤตา มะโนสุวรรณ กล่มุ ที่ 2 โปรแกรมการปรบั พฤติกรรม จานวน 3 ชนดิ 1) โปรแกรมการปรบั พฤติกรรมโดยการช้ีแนะดว้ ยภาพ ผลของการใช้โปรแกรมการปรับพฤติกรรมโดยการชี้แนะด้วยภาพเพ่ือลด พฤตกิ รรมไม่ตัง้ ใจเรยี นของเด็กสมาธสิ ้นั - รดาธร นิลละออ 2) โปรแกรมการปรบั พฤตกิ รรมแบบควบคุมตนเอง การศึกษาผลการปรับพฤติกรรมอยู่ไม่น่ิงของเด็กสมาธิสั้นท่ีได้รับการปรับ พฤตกิ รรมโดยโปรแกรมการปรับพฤตกิ รรมแบบควบคมุ ตนเอง - ปยิ ะนชุ ภมรกลุ 3) โปรแกรมการปรับพฤตกิ รรมทางปญั ญา ผลของการใช้โปรแกรมการปรบั พฤตกิ รรมทางปัญญา เพ่ือพฒั นาพฤติกรรม การเรียนทเี่ หมาะสมของนกั เรยี นสมาธิส้นั ระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี น สาธติ แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วจิ ัยและพฒั นาการศกึ ษา - ประภาวดี สมุ ามาลย์ กลุม่ ท่ี 3 กิจกรรมทางศิลปะ จานวน 3 ชนดิ 1) กิจกรรมศลิ ปะประกอบบทเรยี น ผลของการใช้กิจกรรมศิลปะประกอบบทเรียนเพ่ือเพ่ิมความใส่ใจต่อการ เรียนของเด็กสมาธิสน้ั - พีรวัส นาคประสงค์
กิจกรรมสืบคน้ แนวทางแก้ปญั หา 24 2) คอนทัวร์ดรอองิ การใชค้ อนทัวร์ดรออิงเพอ่ื เสริมสร้างสมาธิของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 - สิทธพิ ร นันทขว้าง 3) กจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ การพัฒนาการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพ่ือ เสรมิ สร้างสมาธิ สาหรบั เด็กปฐมวัยชน้ั ปีที่ 3 - สการนิ ทร์ บุตรโพธ์ิ กลุ่มที่ 4 เบีย้ อรรถกรและการปรับสินไหม จานวน 4 ชนดิ 1) การแต่งพฤตกิ รรม (เกมเป็นฐาน และเบี้ยอรรถกร) ผลของการแต่งพฤติกรรมท่ีมีต่อพฤติกรรมการต้ังใจทางาน และความถูก ตอ้ งของงานของนเั รยี นอายุ 7 ถึง 10 ปี ทมี ีสมาธบิ กพรอ่ งและมีพฤตกิ รรมไม่อยู่ นง่ิ - มณฑริ า ศรีชยั 2) การให้เบ้ียอรรถกรกบั การปรับสินไหม ผลของการใหเ้ บยี้ อรรถกรกับการปรับสนิ ไหมที่มีต่อพฤตกิ รรมไม่ตั้งใจเรียน : ศึกษาเฉพาะกรณี โรงเรียนโพนงามพิทยานุกูล จังหวัดมหาสารคาม - อนุสรา ศรที าบุญ 3) การใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือควบคู่กับการให้เวลานอก และการเรียนรู้แบบ รว่ มมือควบคู่กับการปรับสนิ ไหม ผลของการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือควบคู่กับการให้เวลานอก และการ เรียนรู้แบบร่วมมือควบคู่กับการปรับสินไหมท่ีมีต่อพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียน - กนกวรรณ เลอ่ื ยคลัง 4) การเรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขันควบคู่กับการควบคุมตนเองและการเรียนรู้แบบ ร่วมมือแข่งขันควบคู่กับการปรับสินไหม ผลของการใช้การเรียนรูแ้ บบร่วมมือแข่งขันควบคู่กบั การควบคมุ ตนเองและ การเรียนรแู้ บบร่วมมือแข่งขันควบคู่กับการปรับสินไหมท่ีมตี ่อพฤติกรรมไม่ตัง้ ใจ เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 21 อาเภอบ่อ พลอย จังหวดั กาญจนบรุ ี - มงคลรตั น์ สมิ พา กลุ่มที่ 5 การเสรมิ แรง จานวน 3 ชนิด 1) การเสรมิ แรงทางบวก ผลของการเสรมิ แรงทางบวกตอ่ พฤตกิ รรมก่อกวนในชน้ั เรียนของเด็กสมาธิ สนั้ - สชุ าดา กลางสอน 2) การเสรมิ แรงทางบวกในการเรียนรูโ้ ดยใช้เกมเป็นฐานบนเว็บ
กจิ กรรมสบื คน้ แนวทางแกป้ ัญหา 25 ผลของการใช้รปู แบบการเสริมแรงทางบวกในการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน บนเว็บท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนประถมศึกษา ปีที่ 2 ที่มีสมาธสิ ัน้ และมีพฤติกรรมอยไู่ ม่นิ่ง - ปิยนนั ท์ ปานนม่ิ 3) เทคนคิ การเสรมิ แรงดว้ ยกจิ กรรม ผลของการใช้เทคนิคการเสริมแรงด้วยกิจกรรมต่อพฤติกรรมความไม่ใส่ใจ การเรยี น - อชิ ยา จนี ะกาญจน์ กลมุ่ ที่ 6 แนวคดิ จานวน 1 ชนิด 1) กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามแนวคดิ ของ Alban-Metealfe ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนภาษาองั กฤษตามแนวคิดของ Alban- Metealfe เพ่ือเพ่ิมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น - เมริสา นาคะ เสงีย่ ม กล่มุ ที่ 7 อ่นื ๆ จานวน 4 ชนดิ 1) นิทาน การศึกษารายกรณีเรื่องผลการใช้นิทานเพื่อปรับพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็ก สมาธิสัน้ ของโรงเรยี นบ้านใหม่ (วนั ครู 2503) อาเภอเบตง จงั หวดั ยะลา - ลักษมี ศิลากลุ 2) เกมจิกซอว์ ผลของการใช้เกมจิกซอว์ในการฝึกฝนสมาธิเพื่อปรับพฤติกรรมสมาธิสั้น สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 - อคั รเบศร์ หลาวทอง 3) บา้ นและโรงเรยี นเป็นฐาน รูปแบบการให้ความช่วยเหลือเด็กไทยท่ีมีภาวะสมาธิส้ันโดยใช้บ้านและ โรงเรียนเป็นฐาน - สวุ รี ฤกษจ์ ารี 4) เทคนิคเพื่อนสอนเพือ่ น การปรับพฤติกรรมภาวะไม่อยู่น่ิงและสมาธิสั้นของเด็กออทิสติก ใน ห้องเรียนเรียนร่วมโดยใช้เทคนิคเพ่ือนสอนเพ่ือนโรงเรียนวัดช่างเคี่ยน อาเภอ เมืองเชียงใหม่ - ศวิ าณา พนั ธุรัตน์
กิจกรรมสืบค้นแนวทางแก้ปัญหา 26 4.2.2 ตารางแสดงการจดั กลมุ่ นวัตกรรม กลุ่มที่ กลุ่มนวตั กรรม จานวน นวัตกรรม 1 บทเรียนคอมพวิ เตอร์ 2 1) บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนแบบเกม 3 แบบ 2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้การเสริมแรงแบบดี อารโ์ อ 2 โ ป ร แ ก ร ม ก า รป รับ 3 1) โปรแกรมการปรบั พฤตกิ รรมโดยการชี้แนะด้วยภาพ พฤตกิ รรม 2) โปรแกรมการปรับพฤตกิ รรมแบบควบคมุ ตนเอง 3) โปรแกรมการปรบั พฤตกิ รรมทางปัญญา 3 กิจกรรมทางศลิ ปะ 3 1) กจิ กรรมศลิ ปะประกอบบทเรียน 2) คอนทัวรด์ รออิง 3) กิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ 4 เบ้ียอรรถกรและการ 4 1) การแต่งพฤตกิ รรม (เกมเป็นฐาน และเบย้ี อรรถกร) ปรบั สินไหม 2) การให้เบยี้ อรรถกรกบั การปรับสินไหม 3) การใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือควบคู่กับการให้เวลานอก และการเรยี นรู้แบบร่วมมือควบคกู่ บั การปรบั สินไหม 4) การเรยี นรูแ้ บบร่วมมือแข่งขันควบคู่กบั การควบคุมตนเอง และการเรยี นรแู้ บบร่วมมือแขง่ ขนั ควบคกู่ ับการปรบั สินไหม 5 การเสริมแรง 3 1) การเสริมแรงทางบวก 2) การเสริมแรงทางบวกในการเรยี นรู้โดยใช้เกมเป็นฐานบน เวบ็ 3) เทคนิคการเสรมิ แรงดว้ ยกจิ กรรม 6 แนวคิด 1 1) กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตามแนวคิดของ Alban-Metealfe 7 อืน่ ๆ 4 1) นิทาน 2) เกมจกิ ซอว์ 3) บา้ นและโรงเรยี นเป็นฐาน 4) เทคนคิ เพ่อื นสอนเพ่ือน 4.2.3 อันดับนวัตกรรมท่เี หมาะสมนามาใช้แกป้ ญั หามากท่สี ุด 5 อันดบั (เรียงจากมากมากไปนอ้ ย) 1) คอนทัวร์ดรออิง 2) การเรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขันควบคู่กับการควบคุมตนเองและการ เรียนรู้แบบร่วมมือแข่งขันควบค่กู ับการปรบั สนิ ไหม 3) โปรแกรมการปรับพฤติกรรมแบบควบคุมตนเอง 4) การ ใหเ้ บย้ี อรรถกรกบั การปรับสนิ ไหม 5) การเสริมแรงทางบวกในการเรียนรู้โดยใชเ้ กมเปน็ ฐานบนเว็บ
กจิ กรรมสืบคน้ แนวทางแกป้ ัญหา 27 4.3 หลักการ ขั้นตอนการพฒั นา ขนั้ ตอนการใช้ ผลทเ่ี กิดจากการใชน้ วตั กรรมแตล่ ะกล่มุ 4.3.1 นักศึกษาคิดว่านวัตกรรมใด เหมาะสมกับการนามาใช้แก้ปัญหาที่คัดเลือกไว้มากท่ีสุด เพราะ เหตใุ ด คอนทวั รด์ รอองิ : การใช้คอนทัวร์ดรอองิ เพื่อเสริมสร้างสมาธขิ องนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3 ของ สิทธิพร นันทขว้าง เป็นการใช้คอนทัวร์ดรออิงกับสมาธิของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาและศึกษาพฤติกรรมของ นักเรียนในขณะวาดภาพโดยใช้คอนทวั ร์ดรอองิ ซง่ึ มีขั้นตอนการใชน้ วตั กรรมทีเ่ ขา้ ใจง่าย กระชบั ใชเ้ วลาอย่าง เหมาะสมไม่นานจนเกนิ ไป สามารถนาไปปรับใช้ทุกกลุ่มสาระการเรยี นรู้ เช่น วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย สังคม ศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ฯลฯ และปรบั ใชก้ บั ผเู้ รยี นในทกุ ระดบั ชน้ั ได้ ท้ังยังประเมนิ พฤตกิ รรมของผ้เู รยี น ไดอ้ ยา่ งถูกต้องเป็นรปู ธรรม 4.3.2 นักศึกษาคิดว่านวัตกรรมน้ัน มีข้ันตอนการสร้างอย่างไรเพ่ือให้มั่นใจว่านวัตกรรมพร้อมใช้ แกป้ ัญหานักเรียน 1) หลักการของนวัตกรรม เทคนิคการวาดภาพโดยการมองเพ่งเล็งไปที่วัตถุหรือสิ่งที่ต้องการจะวาด การวาด เส้นโดยประสาทสัมผัส ใช้ตามองทํ่ีส่งของท่ีเรานามาเปน็ แบบวาดตลอดเวลา ไมช่ าเลืองหรอื มองทกี่ ระดาษท่ี เรากาลังจรดดนิ สอลงไป คอ่ ยๆ วาดภาพตามทเ่ี ห็นออกมาอยา่ งละเอยี ดท่สี ุดเทา่ ท่ที าได้ และควรวาดต่อไปจน จบ โดยไมม่ ีการยกดินสอขน้ึ แลว้ เขยี นเสน้ ใหมโ่ ดยไม่จาเปน็ สายตาจะสังเกตแต่สง่ิ ท่เี ราต้องการจะวาดเท่านั้น และจะไม่มองมือของตนเองขณะทว่ี าดภาพ ภาพจะถูกลากเส้นตามสายตายของเราโดยปากกาหรือวัสดุอน่ื ๆ ท่ีใชใ้ นการวาดเส้น เม่ืองมองสงั เกตจนหมดจึงเสร็จสน้ิ การวาด 1 ครัง้ ภาพท่ี 1 หลกั การวาดภาพคอนทัวรด์ รออิง
กจิ กรรมสบื คน้ แนวทางแกป้ ญั หา 28 ภาพท่ี 2 ภาพวตั ถุและภาพจากการวาดโดยใช้เทคนคิ คอนทัวร์ดรอองิ (ท่มี า : https://www.dek-d.com/education/36745/) ภาพที่ 3 ภาพวัตถุและภาพจากการวาดโดยใช้เทคนคิ คอนทัวรด์ รอองิ (ท่มี า : https://www.dek-d.com/education/36745/)
กิจกรรมสบื คน้ แนวทางแก้ปัญหา 29 2) ข้ันตอนการพัฒนานวัตกรรม ผู้วิจัยได้ศึกษารูปแบบ ขั้นตอน ระยะเวลา ความพอดี รูปแบบท่ีจะใช้สาหรับวาด ภาพ และอุปกรณท์ จี่ ะใช้ในการวาดภาพคอนทัวร์ดรออิง จากน้นั ไดศ้ ึกษาการประเมินภาพวาดโดยการใช้คอน ทวั ร์ดรอองิ โดยการปรึกษาผู้เชยี่ วชาญทางด้านศลิ ปะ ศึกษาข้อมูลการทาแบบสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นเพ่ือ นาไปบันทึกลงในแบบสังเกต แล้วดาเนินการสรา้ งเครื่องมือตามแผนการเรยี นรู้ท้ัง 6 แผน สร้างแบบประเมนิ การวาดภาพใหม้ ีลกั ษณะเปน็ การใหค้ ะแนนตามเกณฑ์การวาดเส้น 3 เสน้ คอื วาดเสน้ อยา่ งเปน็ ระบบ วาดเส้น ที่สามารถควบคุมได้ วาดเส้นที่ให้ความหมายของภาพได้ สร้างแบบสังเกตพฤติกรรมเป็นแบบตรวจสอบ นา เคร่ืองมือทุกช้ินให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบเครื่องมือพร้อมให้ข้อเสนอแนะเพ่ือปรับปรุง ศึกษาทาการปรับปรุง แก้ไขเครื่องมือตามข้อเสนอแนะ จากน้ันทดลองใช้เครื่องมือที่สร้างขึ้นมาทดลองใช้กับนักเรียน โดยไม่มีการ กาหนดเวลา เพ่อื ตรวจสอบความเชื่อมั่นของเครือ่ งมือ รวมถงึ ดูปญั หาต่าง ๆ ทเี่ กดิ ขึ้นเพือ่ นาไปปรับปรุงอีกครง้ั หนึ่งกอ่ นนาไปใชจ้ รงิ แผนผังแสดงข้ันตอนการพัฒนานวตั กรรม 1) ้ัขนศึกษาแนวทางการส ้รางน ัวตกรรม ศึกษาการสร้างแผนการเรียนรูโ้ ดยใช้การคอนทวั ร์ดรออิง รปู แบบและขั้นตอน ศึกษาการประเมินภาพวาดโดยใช้การคอนทวั ร์ดรออิง ระยะเวลาและความพอดี ศึกษาข้อมลู การทาแบบสงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี น รปู แบบทจี่ ะใช้ อุปกรณ์ 2) ้ัขนดาเนินการส ้รางและพัฒนาน ัวตกรรม สร้างเครื่องมือตามทีก่ าหนดไว้ แผนการเรียนร้จู านวน 6 แผน นาเครอ่ื งมอื ให้คณะกรรมที่ปรกึ ษาตรวจสอบ แบบประเมนิ การวาดภาพ นาเครื่องมอื ใหค้ ณะกรรมการและผู้เชย่ี วชาญตรวจสอบ ปรับปรุงแกไ้ ขเครอื่ งมอื ตามขอ้ เสนอแนะ ทดลองใช้
กจิ กรรมสบื ค้นแนวทางแก้ปญั หา 30 3) ขนั้ ตอนการใชน้ วัตกรรม ข้ันตอนการใช้นวัตกรรมคอนทัวร์ดรออิงเร่ิมจากผู้วิจัยนาส่งหนังไปยังหน่วยงานท่ี เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งให้ทราบถึงวตั ถุประสงค์และขอความอนุเคราะห์ให้ผู้ศึกษาเข้าทาการเกบ็ ข้อมูลการศึกษาใน นักเรียนกลุ่มตวั อย่าง โดยข้ันตอนการใช้นวัตกรรมมขี ั้นตอนหลกั อยู่ 7 ข้ันตอน คอื 1) เลือกกลมุ่ ตัวอย่างแบบ เจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม 2) ให้นักเรียนทั้งสองกลุ่มวาดภาพก่อนการใช้แผนก่อนการใช้แผนการ เรียนรู้ที่สร้างข้ึนโดยที่ภาพวาดจะมีองค์ประกอบในเร่ืองของ รูปเรขาคณิต วัตถุท่ีอยู่รอบตัว รูปทรงจาก ธรรมชาติ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของคนนามารวมกัน โดยมีผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านให้คะแนนตามเกณฑ์ที่ตกลง กันไว้ 3)ทาการสอนกลุ่มทดลองโดยใช้แผนการเรียนรู้ศิลปะที่ใช้การคอนทัวร์ดรออิง ส่วนกลุ่มควบคุมใช้ แผนการสอนแบบปกติ 4)ทาการสังเกตพฤติกรรมและบนั ทกึ ลงในแบบสงั เกตพฤตกิ รรม โดยผู้สงั เกตพฤตกิ รรม 3 ท่านที่ผ่านการทาความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะพฤติกรรมในแบบสังเกตแล้ว โดยแบ่งนักเรียน 5 คนต่อผู้ สังเกต 1 คน 5) เมื่อจบการทดลองให้นักเรียนท้ังสองกลุ่มวาดภาพเดิม 6) ตรวจให้คะแนนภาพวาดโดย ผเู้ ชี่ยวชาญ 3 คนตามเกณฑ์ทไ่ี ด้ตกลงกนั ไว้ และ 7) นาคะแนนและข้อมูลจากการสังเกตไปวิเคราะห์ แผนผงั แสดงข้ันตอนการใช้นวตั กรรม กลุม่ ตัวอย่าง *ใหค้ ะแนนตามเกณฑ์ วาดภาพก่อนใชแ้ ผน กลมุ่ ทดลอง กลมุ่ ควบคุม แผนศลิ ปะ แผนปกติ *ใหค้ ะแนนตามเกณฑ์ วาดภาพเดิม ตรวจให้คะแนน นาข้อมูลไปวิเคราะห์
กิจกรรมสบื คน้ แนวทางแกป้ ัญหา 31 4) ผลท่ีเกิดจากการใชน้ วตั กรรม ผลท่ี เ กิ ด จา ก ก า ร ใ ช้ น วั ตก ร ร ม คอ น ทั ว ร์ ดร อ อิ ง เ พื่ อ เ สริ ม สร้ าง สม าธิ ข อ ง นั ก เ รี ย น ชั้ น ประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า 1) คะแนนการวาดภาพของนักเรียนช้ันประถมศึกษาในกลุ่มทดลองก่อนและหลัง การเรียน โดยใช้การคอนทัวร์ครออิง พบว่า ผลคะแนนหลังการใช้คอนทัวร์ดรอองิ สูงกว่าก่อนใช้คอนทัวรด์ รอ อิง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ส่วนในกลุ่มควบคุม พบว่า คะแนนการวาดภาพก่อนและหลัง การ ทดลองไมม่ คี วามแตกต่างกนั ทางสถิติ และเมือ่ เปรียบเทยี บคะแนนการวาดภาพของนักเรียน ช้ันประถมศึกษา ในกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคุม พบวา่ ผลคะแนนหลังการใชค้ อนทวั รค์ รอองิ ใน กล่มุ ทดลองสูงกว่ากลมุ่ ควบคุม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .01 2) พฤตกิ รรมของนักเรยี นขณะทาการวาดภาพออนทวั ร์ดรอองิ ตามแผน ท่ีสร้างขึ้นนั้น พบว่า นักเรียนส่วนใหญพ่ ฒั นาการความมีสมาธิในการวาดภาพมากข้ึนในการเรียนการสอนแต่ ละครั้ง สังเกตจากมีการเปล่ียนแปลงทางด้านพฤติกรรมในแต่ละคร้ังในการทาคอนทัวร์ครออิง เช่น นักเรียน ทุกคนวาดไดอ้ ยา่ งอสิ ระโดยไมข่ อความช่วยเหลือจากผู้อนื่ และสว่ นใหญ่ มใี จจดจ่อกับการคอนทัวร์ ครอถงึ ดขี ึ้น มาก มีสมาธิดีข้ึน และสามารถบังคับมือของตนเองให้ลากตามสายตาที่มองแบบได้ดีมี ความมั่นใจในการวาด ภาพมากขนึ้ และใชเ้ วลาในการวาดนอ้ ยลง
Search
Read the Text Version
- 1 - 31
Pages: