Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการสื่อสาร จิรศักดิ์

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการสื่อสาร จิรศักดิ์

Published by นภัส แก้มแกมเพ็ชร, 2023-04-19 14:30:17

Description: หนังสืออเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เป็นส่วนหนึ่งของวิชา การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ โดยมีจุดประสงค์ทำขึ้นเพื่อการศึกษาการทำงานและการสื่อสารอย่างถูกต้อง ซึ่งมีเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับการสื่อสาร ในเรื่อง ความหมายของการสื่อสาร บริบททางการสื่อสาร ความสำคัญของการสื่อสาร องค์ประกอบที่สำคัญของการสื่อสาร คุณสมบัติของผู้ส่งสาร หลักการสื่อสาร ประเภทการสื่อสาร ปัญหาและอุปสรรคในการสื่อสาร การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการสื่อสาร

Keywords: การสื่อสาร

Search

Read the Text Version

การสอ่ื สาร จดั ท�ำ โดย นายจริ ศักด์ิ เงินครบุรี

คำ�นำ� หนังสอื อเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เปน็ สว่ นหนึ่งของ วชิ า การผลิตสือ่ ส่ิงพิมพ์ โดยมจี ดุ ประสงค์ท�ำ ข้นึ เพื่อการ ศกึ ษาการท�ำ งานและการสือ่ สารอยา่ งถูกต้อง ซึง่ มีเนอื้ หา ความร้เู กย่ี วกับการสื่อสาร ในเร่ือง ความหมายของการ สือ่ สาร บรบิ ททางการสือ่ สาร ความสำ�คัญของการสื่อสาร องคป์ ระกอบทสี่ �ำ คัญของการส่อื สาร คุณสมบัติของผู้ส่งสาร หลกั การสอื่ สาร ประเภทการส่อื สาร ปัญหาและอปุ สรรคใน การสื่อสาร การแกไ้ ขปญั หาและอุปสรรคในการสอ่ื สาร คณะผู้จัดทำ�หวังเป็นอย่างยง่ิ ว่าหนังสือเลม่ น ้ี จะ เปน็ เอกสารประกอบการเรียนทเ่ี ป็นประโยชน์ตอ่ นักเรยี น นกั ศกึ ษา ท่ีกำ�ลังหาข้อมูลเรยี นนอี้ ยู่ หากผิดพลาดประการ ใด ทางคณะผ้จู ัดทำ�ก็ขออภัยไว้ ณ ท่นี ้ดี ้วย จดั ทำ�โดย นายจิรศักด์ิ เงินครบรุ ี

สารบัญ เร่อื ง หน้าที่ การสอ่ื สาร 1 ความหมายของการส่อื สาร 1 บรบิ ททางการสอ่ื สาร 2 ความสำ�คญั ของการส่อื สาร 2 องค์ประกอบของการสอื่ สาร 3 คณุ สมบัตขิ องผู้ส่อื สาร 1123 หลักการส่อื สาร ระดบั การสอื่ สาร 14 การเเกไ้ ขปัญหาเเละอุปสรรในการสือ่ สาร 16

1 การสื่อสาร ปัจจัยสำ�คัญในการดำ�รงชีวิต มนุษย์จำ�เป็นต้องติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา การสื่อสารจึง เป็นปัจจัยสำ�คัญอย่างหนึ่งนอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานในการดำ�รงชีวิตของมนุษย์ การสื่อสารมีบทบาท สำ�คัญต่อการดำ�เนินชีวิตของมนุษย์มาก การสื่อสารมีความสำ�คัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารมีประโยชน์ทั้งในแง่บุคคลและสังคม การสื่อสาร ทำ�ให้คนมีความรู้และโลกทัศน์ที่กว้างขวางขึ้น การสื่อสารเป็นกระบวนการที่ทำ�ให้สังคม เจริญก้าวหน้า อย่างไม่หยุดยั้ง ทำ�ให้มนุษย์สามารถสืบทอดพัฒนา เรียนรู้ และรับรู้วัฒนธรรมของตนเองและสังคม ได้ การสื่อสารเป็นปัจจัยสำ�คัญในการพัฒนาประเทศ สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าแก่ชุมชน และ สคังวคามมในหทมุกดา้ายนของการสื่อสาร คำ�ว่า การสื่อสาร (communications) มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาลาตินว่า commu- nisหมายถึง ความเหมือนกันหรือร่วมกัน การสื่อสาร (communication) หมายถึงกระบวนการ ถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสาร โดยผ่านสื่อต่าง ๆ ที่อาจเป็นการพูด การเขียน สัญลักษณ์อื่นใด การแสดงหรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ไปยังผู้รับสาร ซึ่งอาจจะใช้กระบวนการสื่อสารที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม หรือความจำ�เป็น ของตนเองและคู่สื่อสาร โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกัน บริบททางการสื่อสารที่เหมาะสมเป็น ปัจจัยสำ�คัญที่จะช่วยให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล

2 บรบิ ททางการสือ่ สาร ความสำ�คญั ของการส่อื สาร การสอื่ สารมคี วามสำ�คญั ดังนี้ 1. การส่อื สารเป็นปจั จัยสำ�คญั ในการดำ�รงชีวติ ของมนษุ ยท์ ุกเพศ ทุกวัย ไม่มีใครทจี่ ะ ดำ�รงชีวิตได้ โดยปราศจากการสือ่ สาร ทุกสาขาอาชีพก็ตอ้ งใช้การสือ่ สารในการปฏบิ ตั งิ าน การ ท�ำ ธุรกจิ ต่าง ๆ โดยเฉพาะสังคมมนษุ ย์ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงและพฒั นาตลอดเวลา พฒั นาการ ทางสงั คม จงึ ดำ�เนนิ ไปพร้อม ๆ กับพฒั นาการทางการสือ่ สาร 2. การสอื่ สารก่อให้เกิดการประสานสัมพันธก์ ันระหวา่ งบุคคลและสังคม ช่วยเสริมสรา้ ง ความเขา้ ใจอันดรี ะหวา่ งคนในสังคม ชว่ ยสบื ทอดวัฒนธรรมประเพณี สะท้อนใหเ้ ห็นภาพความ เจริญรงุ่ เรอื ง วถิ ชี วี ติ ของผู้คน ชว่ ยธ�ำ รงสงั คมใหอ้ ยู่ร่วมกันเปน็ ปกตสิ ขุ และอยู่ร่วมกันอยา่ ง สันติ 3. การสือ่ สารเป็นปจั จัยสำ�คัญในการพัฒนาความเจรญิ กา้ วหน้าทง้ั ตวั บคุ คลและสงั คม การพฒั นาทางสงั คมในด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ฯลฯ รวมทง้ั ศาสตรใ์ นการส่ือสาร จำ�เปน็ ต้องพฒั นาอยา่ งไมห่ ยดุ ยัง้ การสือ่ สารเปน็ เคร่ืองมอื ในการพัฒนา คุณภาพชีวติ ของมนุษยแ์ ละพฒั นาความเจริญก้าวหนา้ ในดา้ นตา่ ง ๆ

3 องคป์ ระกอบของการส่ือสาร สำ�หรบั องคป์ ระกอบของการสอื่ สารโดยทวั่ ไปมี 4 ประการ คือ 1. ผู้ส่งสาร (Sender) 2. สาร (Message) 3. ชอ่ งทางการส่ือสารหรือสื่อ (Channel) 4. ผรู้ บั สาร (Receiver) ผสู้ ง่ สาร คือ ผูเ้ รมิ่ ต้นการส่อื สาร (เริ่มต้นสรา้ งและส่งสารไปยงั ผู้อ่ืน) ในการส่อื สารคร้ัง หนงึ่ ๆ นัน้ ผ้สู ง่ สารจะท�ำ หน้าที่เข้ารหัส (Encoding) อนั เป็นการแปรสารใหอ้ ยู่ในรปู ของ สัญลกั ษณ์ทีม่ นุษยค์ ดิ สร้างขนึ้ แทนความคิด ได้แก่ ภาษา (ภาษาพดู ,ภาษาเขยี นหรือวัจนภาษา) และอากปั กริ ิยาทา่ ทางตา่ ง ๆ (อวจั นภาษา) สารท่ีถูกเขา้ รหสั แล้วน้ีจะถกู ผ้สู ง่ สารไปยังผู้รบั สาร โดยผ่านทางตดิ ตอ่ ทางใดทางหนึ่ง เช่น ถา้ ผ้สู ง่ สารตอ้ งการส่งสาร ก. ไปถงึ ผู้รับสารท่ีอยู่หา่ ง ไกลจากตนอย่างรวดเรว็ ผสู้ ง่ สารกอ็ าจเลอื กใช้ วธิ ีโทรเลข โทรศพั ท์ จดหมาย ถา้ เปน็ ปัจจุบนั ก็ อาจใช้โทรสาร ( Facsimile (FAX) ) หรอื E-mail (การสื่อสารผ่านทางจอคอมพวิ เตอร์) ซึ่ง สะดวกและรวดเรว็ เปน็ เทคโนโลยกี ารสือ่ สารใหม่ ดังนัน้ โดยทัว่ ไปแลว้ ในสถานการณก์ าร สอื่ สารหนง่ึ ๆ น้นั ผู้ส่งสารจะเปน็ บคุ คลหนง่ึ ทมี่ คี วามส�ำ คญั ในการที่จะเปน็ ผเู้ ร่มิ ตน้ สอ่ื สาร ถือ เป็นบคุ คลแรกทจี่ ะท�ำ ให้กระบวนการในการสือ่ สารเกดิ ขึ้น แต่เนอื่ งจากการสื่อสารของมนุษย์ มีหลายประเภทและหลายระดับ เพราะฉะน้ันจ�ำ นวนของผสู้ ง่ สารจึงอาจจะแตกต่างกนั ไป เชน่ การสอื่ สารสาธารณะรูปแบบหนง่ึ คือ การอภปิ ราย ผู้ส่งสาร อาจมีจ�ำ นวนมากกว่า 1 คน และ ผ้สู ่งสารอาจมิไดส้ ่งสารในฐานะทเี่ ปน็ ตวั ของตวั เอง แต่อาจจะสง่ สารในฐานะทีเ่ ป็นตัวแทนของ หนว่ ยงาน หรือ สถาบันใดสถาบนั หนง่ึ ส่วนในกระบวนการส่อื สารมวลชนผู้สง่ สารกค็ อื ตวั แทน ขององคก์ รเกย่ี วกบั การสอ่ื สารมวลชน ซึง่ นอกจากจะส่งสารในฐานะที่เปน็ ตัวของตัวเองแลว้ ก็ ยังต้องมีความรับผดิ ชอบในฐานะที่เป็นตวั แทนของสถาบันการส่อื สารมวลชนนัน้ ๆ ดว้ ย

4 แต่การเป็นผูส้ ่งสารไมว่ า่ จะในการสอ่ื สารประเภทและระดับใดก็ตาม ยอ่ มตอ้ งมบี ทบาทและ หนา้ ท่ใี นการส่ือสารทสี่ ำ�คัญ คือ 1. การมวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการสื่อสารทแี่ จ่มชัด 2. การเป็นผมู้ คี วามร้คู วามเขา้ ใจเพียงพอในเน้อื หาของเรือ่ งราวที่ตนจะสื่อสารกับผอู้ น่ื 3.การเป็นผู้มีความพยายามทจ่ี ะเข้าใจความสามารถและความพรอ้ มในการรบั สารของผทู้ ี่ตน สอ่ื สารดว้ ย 4. การเป็นผู้ร้จู กั เลือกใช้วธิ ีการในการส่ือสารใหเ้ หมาะสมกบั เร่ือง โอกาสและผู้รับสารของตน สาร (Message) คือ เร่อื งราวอนั มีความหมายและแสดงออกมาโดยอาศัยภาษา หรือ สญั ลักษณ์ใด ๆ กต็ ามที่สามารถท�ำ ใหเ้ กิดการรับรรู้ ่วมกนั ได้ สาร จะเกิดข้นึ ไดก้ ต็ ่อเม่ือผู้ส่งสาร เกดิ ความคิดข้ึน และตอ้ งการจะส่งหรือถ่ายทอดความคดิ นนั้ ไปส่กู ารรบั ร้ขู องผอู้ น่ื (ผรู้ บั สาร) การสง่ สารนน้ั ก็โดยการทีผ่ สู้ ง่ สารแสดงพฤติกรรมอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ หรือหลายอย่างเพื่อแทน ความคิดทเ่ี กดิ ข้ึน พฤตกิ รรมทีว่ า่ นี้กเ็ ชน่ การพูด การเขยี น การวาดการแสดงอาการหรือกริ ยิ า อยา่ งใดอย่างหนึ่งก็ได้ และพฤติกรรมในการแสดงออกซง่ึ ความคิดนไี้ ม่วา่ จะด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม ยอ่ มขนึ้ อย่กู ับทักษะของผู้กระทำ�ท้ังสน้ิ ความส�ำ คัญของสารที่ถกู ส่งมาจากผูส้ ง่ สาร ก็คอื การท�ำ หน้าทเ่ี รา้ ใหผ้ ้รู บั สารเกดิ การรบั รู้ ความหมายและมีปฏิกิรยิ าตอบสนอง การทีผ่ ู้รบั สารจะรบั สารท่ถี กู ส่งมาในรูปของสญั ลักษณไ์ ด้ หรอื ไม่นั้น ขน้ึ อยู่กับวา่ ผู้รับสารมที ักษะในการรบั สารมากหรือนอ้ ย ซึ่งทักษะในการรับสารไดแ้ ก่ ความสามารถในการคิด พจิ ารณา ความเขา้ ใจท้ังภาษาพูดและภาษาเขยี น หากผรู้ ับสารแสดง พฤตกิ รรมการรบั สาร ตรงกบั พฤติกรรมของผูส้ ่งสาร เช่น ฟงั อ่าน ดู สังเกต แสดงว่าผรู้ บั สารมี ทักษะในการรบั สารน้นั โดยทั่วไปประกอบดว้ ยสว่ นส�ำ คัญ 3 ประการ คือ 1. รหสั ของสาร (message codes) 2. เนื้อหาของสาร (message content) 3. การจดั สาร (message treatment)

5 1) รหัสของสาร คอื ภาษา (Language) หรือสัญลกั ษณ์ (symbolic) หรือสญั ญาณ (sig- nal) ทมี่ นษุ ยค์ ดิ ขึ้นเพือ่ ใช้แสดงออกแทนความคดิ เก่ยี วกับบคุ คลและสรรพสิง่ ต่าง ๆ เราสามารถแบง่ รหสั ของสารออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. รหัสของสาร ท่ีใช้ค�ำ พดู (verbal message codes) 2. รหัสของสารทไี่ มใ่ ช้คำ�พดู (nonverbal message codes) รหสั ของสารที่ใชค้ �ำ พดู ได้แก่ ภาษาอันเป็นระบบสัญลกั ษณ์ทมี่ นษุ ย์ ได้พัฒนาข้ึนอยา่ งมี ประสิทธภิ าพ ภาษาทุกภาษาของมนษุ ย์มีการสรา้ งข้นึ และถกู พัฒนาสืบทอดมาโดยลำ�ดบั เป็น ระบบสญั ลักษณท์ ่ที ำ�ใหส้ ารปรากฎข้ึนได้ สว่ นรหสั ของสารทไ่ี มใ่ ชค้ �ำ พูด ได้แก่ ระบบสัญลกั ษณ์ สญั ญาณ หรอื เครอ่ื งหมายใด ๆ กต็ ามทไี่ ม่ เก่ียวข้องกับการใช้ถ้อยค�ำ เชน่ อากัปกริ ิยา ธง ไฟ เปน็ ต้น ซึ่งมนษุ ยใ์ นแต่ละสังคมแตล่ ะวฒั นธรรมพฒั นาขึน้ และรับรูค้ วามหมายรว่ มกนั เช่น การพยกั หนา้ แสดงอาการตอบรบั หรอื แสดงความเขา้ ใจหรอื เห็นด้วย แม้แตธ่ งหรือไฟสญั ญาณต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เป็นรหัสของสารที่ไม่ใช้คำ�พูดทำ�หน้าท่ีเป็นการบอกเร่ืองราวท่ีมนุษย์ตกลงรับรู้ความ หมายร่วมกัน 2) เนอื้ หาของสาร ที่มนษุ ย์สื่อสารกันนัน้ ครอบคลุมถงึ ความรู้และประสบการณข์ องมนุษย์ ท่ี มนษุ ย์ตอ้ งการทจี่ ะถา่ ยทอดแลกเปลย่ี นเพือ่ ความเขา้ ใจร่วมกนั ดงั น้ัน เมอ่ื พดู ถงึ เนอ้ื หาของสาร แลว้ จะมีขอบเขตกวา้ งขวางไมม่ ที สี่ ิน้ สุด ซึง่ เราอาจแบ่งเนื้อหาของสารไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คอื 1. สารประเภทขอ้ เท็จจรงิ ไดแ้ ก่ สารทร่ี ายงานใหท้ ราบถงึ ความจริงตา่ ง ๆ ท่ีมอี ย่ใู นโลกทาง กายภาพ และอยใู่ นวิสยั ทม่ี นุษย์จะตรวจสอบได้ถงึ ความแน่นอนถูกตอ้ งของสารน้นั ถ้าพสิ จู น์ ตรวจสอบแลว้ สารนน้ั เปน็ จรงิ สารนน้ั ก็จดั ไดว้ ่าเป็นสารทีม่ คี ณุ ภาพควรแกก่ ารเชอื่ ถอื

6 2. สารประเภทข้อคดิ เห็น ได้แก่ สารซึ่งเก่ียวกบั ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในจติ ใจจากการ ประเมินของผสู้ ่งสาร อาจเป็นความรสู้ ึก แนวคิด ความเชือ่ ที่บคุ คลมีตอ่ ตนเองตอ่ บคุ คลอนื่ ตอ่ วตั ถุ หรอื ตอ่ เหตุการณใ์ ด กต็ าม สารประเภทน้ีเป็นสารที่ไม่อยใู่ นวิสยั ที่จะถูกตรวจสอบได้ว่าเป็น จรงิ หรอื ไม่ อาจท�ำ ได้เพยี งแคก่ ารประเมนิ ความน่ารบั ฟัง ความสมเหตสุ มผล ตลอดจนความเปน็ ไปไดข้ องสารน้นั เทา่ น้นั เพราะตา่ งคนตา่ งกม็ คี วามคิด มีความรสู้ กึ อารมณ์ ต่อวัตถุ เรื่องราว หรือ เหตุการณต์ า่ ง ๆ ที่แตกต่างกนั ออกไป สารประเภทนี้มกั พบเหน็ ตามสอื่ มวลชนประเภท ต่าง ๆ เพราะเปน็ เรือ่ งงา่ ยส�ำ หรบั ผู้สอ่ื ข่าว หรือผูท้ �ำ ขา่ ว ทแี่ ค่เพียงเอาไมโครโฟนไปจ่อปากผู้ ใหส้ มั ภาษณแ์ ลว้ ถามความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั เหตุการณ์ เกย่ี วกับคำ�พดู หรอื ความคิดเรอ่ื งนั้นเรอื่ ง น้ีทกี่ �ำ ลังอยูใ่ นความสนใจของประชาชน เปน็ ตน้ ซง่ึ สารประเภทน้ีเปน็ ส่งิ ที่ท�ำ ใหป้ ระชาชนผู้รับ สารเกดิ ความสับสนได้ง่าย วา่ เหตุการณ์จริง ๆ หรือเร่ืองราวจริง ๆ เปน็ อยา่ งไรกันแน่เพราะ บางทีเราอา่ นขา่ ว ฟงั ข่าว ดูข่าว เราก็อยากรู้เรอ่ื งไปเลย วา่ ขอ้ เทจ็ จริงเป็นอยา่ งไร เราไมอ่ ยาก ไปเสียเวลาคดิ พจิ ารณา ใคร่ครวญหรือวิเคราะห์หาหลักฐานหรือเหตผุ ลอน่ื ๆ มาสนบั สนนุ วา่ ท่ีเราอา่ นมา ฟังมา หรอื ดูมาน้นั จริงหรอื ไม่จริงอยา่ งไร ปัจจบุ ันเราจะเห็นว่าขา่ วทม่ี ีเน้ือหา ประเภทความคดิ เห็นมาก ตามหนา้ สือ่ มวลชนทัง้ หลาย (อาจเพราะวา่ ท�ำ ง่าย ไมต่ อ้ งศึกษาหรือ ทำ�การบ้านมากนัก

7 แมส้ ื่อมวลชนทงั้ หลายจะพยายามเสนอสารประเภทข้อเทจ็ จริง หรอื Fact (พดู อะไรมา ก็เสนอหรอื ลงตามทเ่ี ค้าพดู เรอ่ื งทพี่ ดู จริงหรอื ไมเ่ ราไมร่ ู้) หรือส่ิงที่เกดิ ขนึ้ จรงิ ๆ แต่บางที รายงานเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นจริงแต่ละครั้งก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำ�ให้ประชาชนเกิดความเช่ือถือ ได้ มหิ นำ�ซ้�ำ ยังอาจท�ำ ใหป้ ระชาชนเกดิ ความสบั สนไดเ้ หมือนกนั ว่าความจรงิ คืออะไรกนั แน่ เชน่ กรณกี ารฆาตรกรรมผูอ้ �ำ นวยการองคก์ ารสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) - ผอ.แสง ชัย สนุ ทรวัฒน์ ทีส่ อ่ื มวลชนประโคมขา่ วหรือลงข่าวกันแทบทุกวนั ในระยะหนง่ึ นั้น ส่อื มวลชน ก็พยายามรายงานความคืบหน้าของข่าวดงั กล่าววา่ จบั มอื ปนื ยิง ผอ.แสงชยั ไดแ้ ลว้ ซึง่ ความ จรงิ อาจเป็นแคก่ ารจบั ไดเ้ พียงผตู้ ้องสงสัยแต่ยังไมใ่ ช่ตวั มอื ปืน ก็เปน็ ได้ แตพ่ อต�ำ รวจจับมาสอบ สวน สื่อมวลชนกน็ �ำ มาลงหรอื นำ�มาเสนอตอ่ ประชาชนผู้อ่าน ผฟู้ งั ว่าจับมือปืนได้แลว้ พอเรา รบั ฟังข่าวหรอื อา่ นข่าว เรากต็ อ้ งตรวจสอบ จากส่อื มวลชนฉบบั อ่ืน ๆ หรอื สถานีอืน่ ๆ วา่ จบั ได้จริงหรอื เปลา่ เพราะฉะน้นั การทสี่ ่ือมวลชนจะเสนอขา่ วสารให้สมบูรณจ์ ริง ๆ จึงนา่ จะเสนอ เนื้อหาของข่าวสารในลกั ษณะท่ีเปน็ truth (สิง่ ที่เป็นจริงหรือความจรงิ แทแ้ นน่ อน) ด้วย เพราะ truth (เบ้ืองลึกขอ้ เทจ็ จริงทีแ่ ทจ้ ริง แกน่ จรงิ ๆ ของเรื่อง) น้ี โดยสว่ นใหญม่ กั จะเปน็ ขอ้ มูลหรือ รายละเอียดท่ีได้ผ่านการตรวจสอบ หรือการตดั สินกนั แล้วอยา่ งแน่ชดั ว่าความจรงิ คอื อะไร (ผู้ ลงมอื ฆ่าเป็นใครกนั แน่) โดยมากทพ่ี บเห็นมักจะเป็นประเภทขา่ วสบื สวนสอบสวนทม่ี ีการหา ขอ้ มูล หรือหลกั ฐานมาอ้างองิ ถึงความถูกตอ้ งแล้วนั่นเอง ดังนั้น หากเปน็ เพียงขอ้ สงสัย เป็น เพยี งการกลา่ วหา การน�ำ ข้อมลู เหล่านน้ั มาเสนอสปู่ ระชาชน จะตอ้ งระมัดระวังเรอื่ งการพาดหัว ขา่ วดว้ ย เพราะประชาชนอาจเข้าใจผิดพลาดหรอื เกิดความสบั สนเกดิ ข้ึนได้

8 ดงั นนั้ การเสนอขา่ วสารต่าง ๆ ของสือ่ มวลชนควรเสนอ Truth ใหม้ ากที่ผา่ นมามักเสนอเพียง Fact ข่าวสารปจั จบุ ันนม้ี แี ตค่ วามคดิ เหน็ ทำ�ให้คนดู คนฟงั ไมร่ วู้ า่ จริง ๆ แลว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ คืออะไร ประชาชนอยากทราบว่าความจริงคืออะไร สอ่ื มวลชนจึงควรแสวงหาความจริงมาเสนอด้วย มิใช่ เสนอเพยี งข้อคิดเหน็ ของตน ควรจะใหภ้ ูมิหลังของเรื่องนนั้ เพอื่ ให้ผรู้ ับได้ทราบว่า จรงิ ๆ แล้วข้อ เทจ็ จริงคอื อะไร ไมใ่ ช่ให้ประชาชนฟงั คนน้ันพดู ที คนนพี้ ูดที แตไ่ มไ่ ด้เสนอมุมมองท่เี ปน็ ข้อเท็จ จริงแก่ประชาชนเลย ยง่ิ โดยเฉพาะการเสนอขา่ วสารในยุคปจั จบุ ันกา้ วหนา้ ไปมาก ท�ำ ใหค้ นรู้เหน็ เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ มากข้นึ ได้ทราบความเปน็ ไปในสังคมมากข้ึน สอ่ื มวลชนกย็ ง่ิ ควรตระหนักถึง เร่ืองเนื้อหาของสารให้มากขึน้ ดว้ ย 3. สารประเภทความรสู้ กึ ได้แก่พวกโคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน นวนยิ าย เรื่องสั้นทั้งหลาย แหล่ ท่เี ปน็ การเขยี นจากจนิ ตนาการ จากการเพ้อฝนั จากอารมณ์ศิลปนิ ยากทีจ่ ะตรวจสอบความ จริงแท้แน่นอนของขอ้ มลู หรอื ตัวสารเหมอื นกนั ปัจจบุ นั สอื่ มวลชนในกระบวนการสอื่ สารมวลชนโดยสว่ นใหญ่แล้ว จะมเี น้อื หาของสารทั้ง 3 ประเภทนป้ี รากฎอยู่ ไมว่ า่ จะเป็นสอ่ื หนังสอื พิมพ์ วิทยุ หรอื โทรทศั น์ เช่น นวนยิ าย ที่ลงตพี ิมพ์ ในหนงั สอื พิมพ์ ละครทางโทรทศั น์ ละครทางวิทยุ แตท่ ั้งนีจ้ ะมากจะน้อยกข็ ้ึนอยกู่ ับนโยบายการ บริหารงานของสื่อแตล่ ะประเภท และก็ขนึ้ อย่กู บั จรยิ ธรรม จรรยาบรรณและความรบั ผิดชอบทีม่ ี ต่อสังคมทส่ี อื่ มวลชนนั้น ๆ ด�ำ เนินการอยูด่ ้วย การจดั แบง่ ประเภทของส่ือท่ีมนุษย์ใช้ในการส่อื สารนนั้ อาจแบ่งไดห้ ลายแบบไมม่ ขี ้อกำ�หนด ทแ่ี น่นอนตายตัว เชน่ อาจแบง่ โดยใช้ลักษณะของส่อื เปน็ เกณฑ์ หรอื อาจแบ่งโดยใช้จ�ำ นวนและ ลกั ษณะของการเขา้ ถงึ ผรู้ บั สารเป็นเกณฑ์ก็ได้

9 การแบ่งแบบใช้ลักษณะของสื่อเปน็ เกณฑ์ มี 5 ประเภท คอื 1. สอ่ื ธรรมชาติ ไดแ้ ก่ บรรยากาศท่อี ยู่รอบตวั มนุษย์อนั มอี ยูต่ ามธรรมชาติ ท�ำ หนา้ ท่ีเปน็ ทาง ติดตอ่ ของการสือ่ สารระหวา่ งบุคคลแบบเผชญิ หนา้ 2. สอ่ื มนุษย์ ไดแ้ ก่ บคุ คลท่ีท�ำ หน้าที่เป็นส่ือนำ�สารไปสู่ผ้รู บั เชน่ คนน�ำ สาร นักเลา่ นิทาน โฆษก พอ่ สอ่ื แมส่ ือ่ ตวั แทนการเจรจาปัญหาต่าง ๆ เป็นตน้ 3. สือ่ สงิ่ พิมพ์ ไดแ้ ก่ สอ่ื ทกุ ชนดิ ทอ่ี าศยั เทคนคิ การพมิ พ์ เชน่ หนงั สือ หนงั สือพิมพ์ ใบปลวิ แผน่ พับ วารสาร นติ ยสาร ใบประกาศหรือแจง้ ความ โปสเตอร์ ภาพ เปน็ ตน้ 4. สื่ออิเล็กทรอนกิ ส์ ได้แก่ สื่อทพ่ี ฒั นาขึ้นโดยใชร้ ะบบเคร่อื งกลไกไฟฟา้ เป็นหลัก เชน่ วิทยุ โทรทัศน์ โทรพิมพ์ เทปเสียง วีดีโอเทป เครอ่ื งฉายภาพ เครอื่ งฉายภาพยนตร์ แม้กระทงั่ คอมพวิ เตอรก์ ็ใช่ เปน็ ต้น 5. ส่อื ระคน ไดแ้ ก่ สอ่ื ทีท่ �ำ หนา้ ทน่ี ำ�สารได้แตไ่ ม่อาจจัดไว้ใน 4 ประเภท ข้างต้น เช่น หนังสอื พิมพ์ ก�ำ แพง วัตถุจารึก สอื่ พืน้ บ้าน เปน็ ต้น

10 การแบง่ แบบใชจ้ �ำ นวนและลักษณะของการเข้าถงึ ผรู้ บั สาร มี 4 ประเภท คือ 1. ส่ือระหวา่ งบุคคล เป็นสอื่ ท่ีมนษุ ยใ์ ชส้ �ำ หรับการติดตอ่ สอื่ สารระหวา่ งบคุ คลทอ่ี ยู่ห่างไกล กนั จนไมอ่ าจจะตดิ ตอ่ กนั โดยไมผ่ า่ นส่ือหรือไมม่ สี ่ือได้ เป็นสอ่ื ที่ใชเ้ ฉพาะบคุ คล มลี กั ษณะเปน็ สว่ นตวั ไม่เกีย่ วกบั ผู้อ่ืนทไ่ี มไ่ ด้เกยี่ วขอ้ งกับการสือ่ สารในขณะนัน้ ๆ เช่น จดหมาย โทรเลข โทรศัพท์ ภาพถ่ายในครอบครัว บันทกึ ช่วยจำ� อนุทิน เปน็ ตน้ สง่ิ เหล่าน้ี ทำ�หน้าทชี่ ว่ ยให้การสง่ สารระหวา่ งผ้สู ง่ ถึงผ้รู บั ท่ีอยู่ห่างไกลกันมคี วามเป็นไปได้ นอกจากน้ัน กย็ ังมเี ครื่องมอื อปุ กรณ์ บางชนดิ ทีจ่ ดั วา่ เป็นส่ือทีใ่ ช้ในการสื่อสารระหว่างบคุ คล เช่น การประชุมกลุ่มย่อย การเรียน การ สอน ซึ่งจำ�เป็นจะตอ้ งใช้สือ่ ต่าง ๆ เข้ามาเกีย่ วขอ้ งด้วยเชน่ กระดานด�ำ หนงั สือ เอกสาร เปน็ ตน้ 2. ส่อื มวลชน มนุษย์คดิ ส่อื มวลชนขึ้น เพอ่ื ที่จะตดิ ตอ่ กบั ผู้รบั สาร เปน็ จำ�นวนมากใน เวลาเดียวกันได้ โดยทว่ั ไปแล้วสอ่ื มวลชน ได้แกห่ นงั สอื พมิ พ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทศั น์ ภาพยนตร์ ส่ือมวลชนนี้มีประโยชน์ในแง่ของการเผยแพร่ขา่ วสารไปยงั มวลชน ได้ ภายในเวลา อันรวดเร็ว 3. สือ่ เฉพาะกจิ คอื สอื่ ซึ่งถูกพฒั นาขึน้ เพือ่ ใชส้ ำ�หรบั การส่ือสารท่ีสนบั สนนุ กจิ กรรมอยา่ ง ใดอยา่ งหนง่ึ โดยเฉพาะ จ�ำ นวนและกลุม่ ผรู้ ับสารมีลักษณะทแี่ น่นอน เมอื่ เทียบกับส่ือมวลชน แลว้ ส่อื เฉพาะกจิ จะแคบกวา่ ในแงข่ องการเขา้ ถึงผูร้ บั สาร เชน่ การจดั ทำ�นิตยสารเพื่อการ ประชาสัมพันธ์ภายในหน่วยงาน การท�ำ วดี โี อเทปแนะน�ำ การใช้ผลติ ภัณฑข์ องบริษัทใดบรษิ ัท หน่งึ เป็นตน้ 4. สื่อประสม ไดแ้ ก่ การนำ�สอ่ื ประเภทตา่ ง ๆ ทงั้ 3 ประเภท ข้างตน้ ไปใช้ในการสือ่ สาร อันจะท�ำ ใหก้ ารสือ่ สารในครงั้ นน้ั ๆ มปี ระสทิ ธิผลเพม่ิ มากขึน้ ในกรณขี องสือ่ นี้ หากมีการใชโ้ ดย รจู้ กั ขอ้ ดีและข้อเสียของส่ือแตล่ ะชนิด เขา้ ใจ ถงึ อิทธิพลของสื่อท่ีมตี ่อพฤติกรรมการรบั สาร มีการ เลือกใช้สอ่ื ใหเ้ หมาะแกว่ ัตถุประสงคใ์ นการส่ือสารแลว้ ประสทิ ธิผลของการสอ่ื สารครั้ง ๆ นั้น ก็ จะเพมิ่ มากข้ึนด้วย

11 ผูร้ บั สาร เป็นองค์ประกอบประการสุดท้ายในกระบวนการของการสื่อสารและเป็นองค์ ประกอบสำ�คัญ ไม่ยิง่ หยอ่ นกว่าองค์ประกอบอนื่ ๆ ทง้ั นี้เพราะการส่อื สารใด ๆ ก็ตามจะไมป่ ระสบ ผลสำ�เร็จได้เลยหรืออาจประสบผลสำ�เร็จไม่เต็มที่ถ้าผู้รับสารไม่เข้าใจหน้าที่และบทบาทของ ตนเองที่มตี อ่ การสอ่ื สาร ในกระบวนการสอ่ื สารนน้ั ผ้รู บั สารมีบทบาทขนั้ พนื้ ฐาน 2 ประการ คอื 1. การรู้ความหมายตามเรือ่ งราวท่ผี สู้ ่งสาร สง่ ผ่านสอ่ื อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ มาถึงตน 2. การแสดงปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองตอ่ ผสู้ ่งสาร ดงั น้นั ในกระบวนการส่อื สารใด ๆ กต็ าม การสื่อสารจะเกิดประสทิ ธิผลได้ก็ตอ่ เมอ่ื ผรู้ บั สารได้ พฒั นาตนเองใหเ้ ปน็ ผู้ที่มที กั ษะในการสื่อสาร ไดแ้ ก่ การเป็นผฟู้ ัง ผู้อ่าน ตลอดจนการเป็นผทู้ ่ี สามารถคดิ และรับรู้ความหมายได้ การมีทัศนคตทิ ี่ดีต่อผ้สู ่งสาร ตอ่ เร่ืองท่สี ่อื สารตลอดจนการ เป็นผู้มีความพยายามในการรับสารและสามารถแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อผู้ส่งสารท้ังนี้เพื่อ ให้การส่ือสารบรรลุเปา้ หมายน่นั เอง ในการพิจารณาองคป์ ระกอบทางด้านผ้สู ง่ สารและผรู้ บั สารนั้น ในความเปน็ จรงิ แล้วทงั้ ผู้สง่ สาร และผู้รบั สาร ก็คือ บคุ คลอยา่ งน้อย 2 คน ทม่ี ีบทบาทรว่ มกนั อยใู่ นกระบวนการสื่อสาร ถ้าไม่มีผู้ ส่งสาร และผู้รบั สารแล้ว การส่ือสารกจ็ ะเกิดขน้ึ ไม่ได้ หรือถา้ มแี ตฝ่ า่ ยหนึ่งฝา่ ยใดเพียงฝ่ายเดียวก็ เชน่ กัน การส่ือสารก็จะไม่เกิดขน้ึ ขอ้ สำ�คัญ กค็ อื ในกระบวนการสอ่ื สารระหว่างบุคคลน้ัน เราไมอ่ าจชี้ใหต้ ายตัวลงไปไดว้ ่า ใครเป็น ผ้สู ่งสาร และใครเปน็ ผรู้ ับสาร เพราะจรงิ ๆ แล้ว บคุ คลที่ทำ�การสื่อสารโดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ใน การสอื่ สารแบบเผชญิ หน้า (Face to Face) ระหวา่ งบุคคล 2 คน ทั้งสองคนตา่ งกม็ ีบทบาทเปน็ ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร เกอื บจะในเวลาเดียวกัน ซ่งึ เราอาจเรยี กไดว้ ่าท้ัง 2 คน แสดงบทบาทใน ฐานะที่เป็นคู่ของการสอื่ สาร ตา่ งก็ท�ำ หน้าทใ่ี นการเขา้ รหัส ตคี วาม และถอดรหสั โดยสลบั เปล่ยี น

12 คณุ สมบตั ขิ องผ้สู อ่ื สาร ทง้ั นผี้ ลการดำ�เนนิ งานจะขึ้นอยูก่ ับคณุ สมบัติพื้นฐาน 3 ประการดว้ ยกนั คอื 1.การส่งมอบ (Delivery) ระบบจะสง่ มอบข้อมูลไปยังจุดหมายปรายทางไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ข้อมูลที่ส่งไปจะต้องไปยงั อุปกรณต์ ามจดุ ม่งุ หมายท่ตี ้องการ 2.ความถูกตอ้ งแนน่ อน (Accuracy) ระบบสอ่ื สารจะต้องส่งมอบข้อมูลได้อย่างเทย่ี วตรง ส�ำ หรับระบบการสอ่ื สารทด่ี ี ควรมีการ ส่งสญั ญาณเตือนไปยงั ผู้สง่ /ผูร้ บั ได้รับทราบ กรณที ่กี รสง่ ข้อมูลในขณะนั้นล้มเหลวหรอื ขอ้ มลู สญู หาย 3.ระยะเวลา (Timeliness) ระบบจะตอ้ งสง่ มอบข้อมูลไปยงั ปลายทางภายในระยะเวลาทเี่ หมาะสม โดยค�ำ ว่าระยะ เวลาที่เหมาะสมนั้นหมายถึง ทันต่อเหตุการณใ์ นการน�ำ ไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน ์ ทงั้ นี้แตร่ ะบบจะ ตอบสนองเวลาทเ่ี หมาะสมแตกต่างกนั ไป ตัวอยา่ งเช่น ระบบเรยี ลไทม์ (Real-Time Trans- mission) เป็นระบบท่ตี ้องตอบสนองแบบทันทีทนั ใดจงึ จำ�เป็นต้องใช้สายส่ือสารและอุปกรณร์ ับ สง่ ขอ้ มลู ความเรว็ สงู ในขณะทีก่ ารรับส่งอีเมล์ ระยะเวลาตอบสนองฉันพลันนน้ั ไมใ่ ช่ส่งิ ส�ำ คัญ

13 หลกั การสื่อสาร 1. ผูท้ จี่ ะส่อื สารให้ไดผ้ ลและเกิดประโยชน์ จะตอ้ งทำ�ความเข้าใจเร่อื งองค์ประกอบในการ สื่อสาร และปจั จยั ทางจติ วิทยาที่เก่ยี วข้องกับระบบการรบั รู้ การคดิ การเรยี นรู้ การจ�ำ ซ่งึ มีผลตอ่ ประสิทธภิ าพ ในการสือ่ สาร 2. ผทู้ ี่จะส่ือสารต้องค�ำ นึงถึงบรบิ ทในการสอ่ื สาร บริบทในการส่ือสาร หมายถึง สง่ิ ทีอ่ ยู่ แวดล้อมท่มี ีสว่ นในการก�ำ หนดรู้ความหมายหรอื ความเขา้ ใจในการสอ่ื สาร 3. คำ�นึงถงึ กรอบแหง่ การอา้ งองิ (frame of reference) มนุษย์ทกุ คนจะมพี น้ื ความ รู้ทักษะ เจตคติ ค่านิยม สงั คม ประสบการณ์ ฯลฯ เรยี กวา่ ภมู หิ ลงั แตกต่างกนั ถา้ คูส่ ่ือสารใดมี กรอบแห่ง การอ้างอิงคลา้ ยกัน ใกลเ้ คียงกนั จะทำ�ใหก้ ารสอื่ สารงา่ ยขน้ึ 4. การส่อื สารจะมปี ระสทิ ธผิ ล เม่อื ผสู้ ่งสารส่งสารอยา่ งมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ผ่านสื่อหรือ ชอ่ งทาง ท่ีเหมาะสม ถงึ ผูร้ บั สารทีม่ ีทกั ษะในการสอ่ื สารและมวี ัตถุประสงค์สอดคลอ้ งกัน 5. ผ้สู ่งสารและผรู้ บั สาร ควรเตรยี มตัวและเตรียมการล่วงหน้า เพราะจะท�ำ ใหก้ าร สื่อสารราบร่ืน สะดวก รวดเร็ว เป็นไปตามวตั ถุประสงค์และสามารถแกไ้ ขได้ทนั ท่วงที หากจะเกดิ อุปสรรค ท่ีจดุ ใดจดุ หนึง่ 6. ค�ำ นงึ ถงึ การใชท้ กั ษะ เพราะภาษาเป็นสญั ลกั ษณท์ มี่ นษุ ย์ตกลงใชร้ ่วมกนั ในการสอ่ื ความหมาย ซงึ่ ถือได้ว่าเป็นหัวใจในการส่อื สาร คูส่ ่ือสารต้องศกึ ษาเรื่องการใช้ภาษา และสามารถ ใชภ้ าษาให้เหมาะสมกบั กาลเทศะ บุคคล เนอื้ หาของสาร และชอ่ งทางหรอื สือ่ ทใ่ี ชใ้ นการส่อื สาร 7. คำ�นงึ ถึงปฏกิ ิริยาตอบกลบั ตลอดเวลา ถอื เป็นการประเมนิ ผลการสือ่ สาร ทีจ่ ะท�ำ ใหค้ ู่ ส่อื สารรบั รผู้ ลของการสื่อสารว่าประสบผลดีตรงตามวตั ถุหรือไม่ ควรปรับปรุง เปลย่ี นแปลงหรือ แกไ้ ขข้อบกพร่องใด เพือ่ ทีจ่ ะทำ�ให้การส่ือสารเกิดผลตามท่ีต้องการ

14 ระดับการส่ือสาร หากมองเชงิ วิชาการตามแนวคิดเก่ียวกับระดบั การส่ือสารนัน้ ก็ได้มกี ารแบง่ ออกเปน็ 6 ระดับ ด้วยกัน คอื 1. การส่อื สารระดบั ตัวเอง (Intrapersonal Communication) การส่อื สารท่ีเกดิ ขึ้นกับตัวเองหรือการพูดคยุ กบั ตัวเอง ซ่ึงอาจเป็นไปไดท้ ้งั การคิด การวเิ คราะห์ การตัดสินใจทำ�อะไรบางอย่าง โดยทัง้ หมดจะเป็นการตัดสนิ ใจและตคี วามหมายด้วยตัวเองทง้ั สิ้น 2. การสื่อสารระดับบุคคล (Interpersonal Communication) การสอื่ สารทีเ่ กดิ ขน้ึ ระหว่างคนสองคนขึน้ ไปหรืออาจเรียกวา่ การส่อื สารระหวา่ งบคุ คล มกี าร แลกเปลยี่ นขอ้ มลู ข่าวสาร การตัง้ คำ�ถาม การแบ่งปันแนวคดิ ปรึกษาหารือประเด็นต่างๆ ซ่งึ ในการสอื่ สารระดับนจ้ี ะทำ�ให้เกิดการไวเ้ น้อื เช่อื ใจกัน สามารถนำ�ประเดน็ การส่ือสารไป สนบั สนุนแนวคิดของตนเอง และอาจลดความกงั วลในเรอ่ื งบางอยา่ งได้ เช่นกนั

15 3. การสื่อสารระดับกลุ่มย่อย การสอ่ื สารในระดบั นี้จะมีประสิทธิภาพคอ่ นขา้ งมากทเ่ี นน้ ความสัมพันธ์ในการท�ำ งาน เนน้ การ ปรกึ ษาเสนอความคดิ เห็นเพือ่ หาทางออกที่ดีท่ีสุด ซ่ึงสง่ ผลตอ่ ทั้งความสำ�เร็จและความล้มเหลว ต่อกจิ กรรมตา่ งๆทเ่ี กดิ ขึ้น บรรยากาศในการท�ำ งานเนน้ การทำ�งานในรูปแบบเสมอภาคเท่า เทียมกนั 4. การสื่อสารระดบั เทคโนโลยี การสื่อสารท่ีนำ�เอาเครื่องมือต่างๆเข้ามาใช้เพ่ือให้การส่ือสารง่ายและสะดวกรวดเร็วมากยิ่งข้ึน โดยผใู้ ช้เทคโนโลยีนั้นตอ้ งมีความเข้าใจในเคร่ืองมือต่างๆเป็นอยา่ งดี และรู้วา่ เทคโนโลยีไหน เหมาะกับอะไรและควรสอ่ื สารในรปู แบบใดกับคนกลมุ่ ใด เชน่ การใชโ้ ทรศัพท์ อเี มล์ แชท เป็นตน้ 5. การสือ่ สารระดบั ชุมชน (Public Communication) การสอ่ื สารท่มี ีผรู้ บั ข้อมูลข่าวสารเปน็ จำ�นวนมาก ซึ่งแน่นอนว่ามจี ำ�นวนคนทม่ี ากกวา่ การสอ่ื สาร กลมุ่ ย่อยโดยอาจเปน็ ไดใ้ นรูปแบบกล่มุ คนในหมู่บา้ น ชมุ ชนในพน้ื ที่ กลุม่ คนในต�ำ บล หรอื ท้อง ถนิ่ ตา่ งๆ และมักจะเกดิ ข้ึนเน่อื งในโอกาสพิเศษทไ่ี มไ่ ดเ้ กิดข้นึ อยา่ งบ่อยครง้ั นัก อาจเปน็ การแจ้ง ประกาศตา่ งๆหรอื เหตุการณ์พิเศษเฉพาะกจิ บางอยา่ ง เพ่อื ส่งผลใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงความ เช่ือ ทัศนคติ และพฤตกิ รรมใหค้ ลอ้ ยตามกนั 6. การสอ่ื สารระดบั มวลชน (Mass Communication) การสื่อสารที่อาศัยส่ือกลางเป็นจำ�นวนมากในการเป็นตัวกลางเพื่อส่งข้อมูลข่าวสารไปยังกลุ่ม เป้าหมาย โดยเปา้ หมายของการส่ือสารน้ันถึงขั้นระดับประเทศแบบไม่จำ�กดั เลยกว็ า่ ได้ โดยส่วน ใหญจ่ ะสือ่ สารผา่ นทางโทรทศั น์ วทิ ยุ หนงั สือพมิ พ์ หรอื ในปจั จุบนั กเ็ ปน็ ช่องทางออนไลนร์ ปู แบบ ตา่ งๆ

16 การแกไ้ ขปัญหาและอปุ สรรคในการสอ่ื สาร 1. การเป็นผูฟ้ งั ท่ีดแี ละตัง้ ใจ ตอ้ งแยกระหว่างการเปน็ ผฟู้ ังธรรมดากบั ผฟู้ งั ที่ดใี หอ้ อกจากกันก่อนครบั เพราะผู้ฟังทั้ง 2 ประเภทนั้นจะเลือกฟงั ไม่เหมือนกัน หากเปน็ ผฟู้ งั แบบธรรมดานนั้ กจ็ ะฟงั แล้วตีความหมาย จากสิง่ ทไี่ ด้ยนิ เพยี งเท่านัน้ แตก่ ารเปน็ ผฟู้ ังทีด่ ีและตั้งใจจะให้ความส�ำ คญั กับเนือ้ หาท่ีผ้สู ่งสาร ถ่ายทอดออกมาแล้วคิดตามรวมไปถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่ตลอดเวลาด้วยการรับฟังอย่าง ตง้ั ใจและกระตอื รอื ร้นนน้ั ถือว่าจำ�เปน็ ตอ่ การแก้ไขขอ้ ขัดแย้ง เพราะเม่อื คณุ ใหค้ วามสนใจฟัง คนอื่นๆอย่างต้งั ใจกจ็ ะสามารถช่วยหาแนวทางการแก้ปัญหาได้ดมี ากขึน้ เท่านั้น 2. เขยี นรายละเอยี ดขอ้ ขัดแย้งให้ชัดเจน หลายๆคร้ังเรามักจะพูดหรือส่ือสารกันอยู่หลากหลายประเด็นแต่ก็อาจมีบางประเด็นท่ีตกหล่น ไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างย่ิงหากเปน็ เรือ่ งสำ�คัญๆกค็ งจะท�ำ ใหก้ ารสอื่ สารน้ันขาดประสิทธิภาพ ได้ ดังนน้ั การเขียนประเด็นต่างๆลงไปเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษรจึงมคี วามส�ำ คญั มาก และย่ิงเปน็ เร่ืองหรือประเดน็ ทเ่ี ปน็ ปญั หาทีอ่ าจสรา้ งความขดั แย้ง ก็ยิง่ จ�ำ เป็นต้องมีรายละเอียดทช่ี ดั เจน เพราะคุณสามารถนำ�เอาไปแตกประเด็นความคิดได้มากข้ึนทำ�ให้คุณเข้าใจความรู้สึกนึกคิด รวมถงึ น�ำ ไปหาทางแกไ้ ขเพ่อื ให้เกิดความเข้าใจกบั คนอน่ื ๆไดด้ มี ากยิ่งขน้ึ 3. การแสดงบทบาทสมมติ หน่งึ ในวิธที ชี่ ่วยนำ�ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิไดเ้ หน็ ภาพมากท่สี ดุ คือ การแสดงละครหรอื บทบาทสมมติ น่ันก็คอื การจำ�ลองสถานการณท์ ี่เกดิ ความขัดแย้งละการนำ�เสนอเร่ืองราวท่ีจะแก้ไขข้อขัด แย้งดังกล่าว มนั จะทำ�ให้คณุ เหน็ และเขา้ ใจสถานการณต์ ่างๆที่เกดิ ข้ึนได้อย่างชัดเจนมาก และ คณุ จะไดร้ ูส้ ึกถงึ อารมณ์ร่วมในการเข้าใจและหาวธิ กี ารแกป้ ญั หาความขดั แย้งได้ดกี ว่าเดิม