Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อนวัตกรรม

สื่อนวัตกรรม

Published by Sirinya Maingam, 2021-06-24 15:44:29

Description: สื่อนวัตกรรม

Search

Read the Text Version

ประเภท ของนาฏศิลป์ ไทย ครูกีรติ จุลเนตร



สารบัญ โขน หน้า ละคร ๑ ระบำ รำ ฟ้อน ๕ กำรละเลน่ พนื ้ เมือง ๑๑ ๑๗ โขน ทศกัณฐ์

โขน โขน เป็นมหรสพช้นั สูงท่ีใช้ แสดงในงานสาคญั ๆ มาต้ังแต่คร้ัง กรุงศรีอยุธยาเช่นเดียวกบั หนังใหญ่ เช่ือกนั ว่ามีมาต้งั แต่โบราณประมาณ ก่อน พุทธศตวรรษท่ี ๑๖ โขนไดร้ ับการข้นึ ทะเบียนจาก ยเู นสโก วา่ “ เป็ นมรดกทางวัฒนธรรมท่ีจบั ต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ” จดหมายเหตลุ าลแู บร์ เม่ือวนั ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๑ ตามหลกั ฐานจากจดหมายเหตขุ องลาลูแบร์ ราชทูตฝร่ังเศสสมยั สมเด็จพระ ๑ นารายณ์มหาราช ไดก้ ล่าวถึงการเล่นโขนว่า เป็นการเตน้ ออกท่าทางเขา้ กบั เสียง ซอและดนตรีอื่น ๆ ผูเ้ ตน้ สวมหน้ากากและถืออาวุธ โขนเป็ นที่รวมของศิลปะ หลายแขนง คือ โขนนาวิธีเล่นและวิธีแต่งตัวบางอย่างมาจากการเล่นชักน าค ดึกดาบรรพ์ โขนนาท่าทางต่อสู้โลดโผน ทา่ ราทา่ เตน้ มาจากการเล่นกระบี่กระบอง และโขนนาศลิ ปะการพากยก์ ารเจรจา หนา้ พาทยเ์ พลงดนตรี การแสดงโขนผแู้ สดง สวมศีรษะคือหวั โขน ปิ ดหนา้ หมด ยกเวน้ เทวดา มนุษย์ และมเหสี

ประเภทของ โขน โขนแบ่งออกเป็ น ๕ ประเภท ดังนี้ ๑. โขนกลางแปลง คือ การแสดงโขนบนพ้ืนดิน ไมม่ กี ารสร้างโรง ผูแ้ สดงเล่นกลางสนาม คลา้ ยเช่นชกั นาค ดึกดาบรรพท์ บ่ี นั ทึกไวใ้ นกฎมณเฑียรบาล การเล่นชกั นาคดึกดาบรรพเ์ ป็นการเล่นตานานกวนเกษยี รสมุทรของ พราหมณ์ เล่นในพิธีอินทราภิเษก โขนกลางแปลงส่วนใหญ่เล่นเก่ียวกบั การยกทพั และการรบระหว่างฝ่ าย พระรามและฝ่ ายทศกณั ฐ์ ดนตรีที่ใช้ประกอบเป็นวงป่ี พาทยอ์ ยา่ งนอ้ ย ๒ วง บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ บทท่ีเล่น ส่วนมาก มีแคค่ าพากยแ์ ละบทเจรจา ๒. โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว คือ การแสดงโชนท่ีแสดงบนโรงมีหลงั คา มีราวพาดตามส่วนยาวของ โรงสาหรบั ใหต้ วั ละครนง่ั แทนเตียงซ่ึงเพิง่ มีภายหลงั ตวั ละครท่ีจะนง่ั ราวไดจ้ ะตอ้ งเป็นตวั สูงศกั ด์ิ เช่น พระราม พระลกั ษณ์ สุครีพ ทศกณั ฐ์ ตวั ละครฝ่ ายหญิง จะมีเตียงให้น่ังต่างหาก ดนตรีประกอบเหมือนโขนกลางแปลง และมเี พียงคาพากยแ์ ละบทเจรจาเช่นเดียวกนั ๒

๓. โขนหน้าจอ มีการปล่อยตวั โขนออกมาเล่นสลบั กบั การเชิดหนงั ใหญ่ เรียกกนั ว่า “หนงั ติดหวั โขน” ต่อมา เมอ่ื คนไม่นิยมดหู นงั ใหญ่จะดโู ขนมากกว่าจงั ปลอ่ ยโขนออกมาเล่นหนา้ จอหนงั ต้งั แตเ่ ยน็ จนเลิกจอทขี่ ึงอยูย่ งั คง ขึงไวเ้ ป็นพธิ ี ๔. โขนโรงใน คอื โขนท่ีนาเอาศลิ ปะของละครในมาผสม มกี ารเตน้ บทพากย์ บทเจรจา และเพลงหนา้ พาทย์ แบบโขนที่มที ม่ี าแตเ่ ดิม แต่เพิม่ เพลงร้องและมีระบาราฟ้อนแบบละครใน โขนโรงในเวลาแสดงจะมเี ตียงให้ตวั ละครนงั่ โดยวางอยู่ ๒ ขา้ งหนั หนา้ ๓

๕. โขนฉาก เร่ิมมีข้ึนในสมยั รัชกาลที่ ๕ โดยมีผูค้ ิดสร้างฉากประกอบการแสดงโขบทเวทีข้ึน มีการเปล่ียน ฉากตามทอ้ งเรื่อง บทที่แสดงมีการปรบั ปรุงใหก้ ระชบั รวดเร็วทนั ใจ คลา้ ยกบั ละครดึกดาบรรพ์ วิธีแสดงเหมือน โขนโรงในทุกอยา่ ง มกี ารขบั ร้อง มีกระบวนการรา มีท่าเตน้ มีเพลงหนา้ พาทยต์ ามแบบละครในและโขนโรงใน ดว้ ยเหตุน้ีจึงมชี ่ือเรียกศลิ ปะการแสดงโขนชนิดน้ีว่า “โขนฉาก” คณะโขน ละคร ในสมัยโบราณ ๔

ละคร ความหมายของคาวา่ “ละคร” ละคร หมายถึง การแสดงประเภทหน่ึงซ่ึงแสดงเร่ืองราวความเป็นไปของชีวิตท่ีปรากฏในวรรณกรรม มี ศิลปะการแสดงและดนตรีเป็นส่ือสาคญั ละคร ตามความหมายน้ีหมายถึงละครรา เพราะวา่ เป็นการแสดงออกทาง ความคิดโดยมุง่ เนน้ ถงึ ลกั ษณะท่าทางอิริยาบถในขณะเคลอื่ นไหวตวั ในระหว่างการรา ๕

ละครราแบบด้งั เดมิ ❖ ละครชาตรี เป็ นละครราท่ีเก่าแก่ที่สุด มีมาต้งั แต่สมยั อยุธยา นับเป็ นละครชนิด แรก ถือวา่ เป็นตน้ แบบของละครรา นิยมใชผ้ ชู้ ายแสดง มตี วั ละครเพียง ๓ ตวั คอื ตวั พระ ตวั นาง และเบ็ดเตล็ด ( เป็นตลก , ฤษี ฯลฯ ) เรื่องท่ีเล่นคือ “ มโนห์รา ” ตอน จบั นางมโนห์รา มาถวายพระสุธน การแสดงเริ่มด้วยการบูชาครูเบิกโรง ผูแ้ สดงออกมาราซัดไหว้ครู โดยร้องเอง ราเอง ตวั ตลกท่ีนง่ั อยเู่ ป็นลูกคู่เมื่อร้องจบจะมบี ทเจรจาต่อ ❖ ละครนอก ดดั แปลง มาจากละคร ชาตรี เป็นละคร ท่ีเกิดข้ึนนอกพระราชฐาน เป็ นละครท่ีคนธรรมดาสามัญ นิยมเล่นกนั ผแู้ สดงเป็นชายลว้ น ไม่มฉี ากประกอบ นิยมเล่น กนั ตามชนบทท่าราและเครื่องแตง่ กายไม่คอ่ ยพิถีพถิ นั เร่ืองที่ ใชแ้ สดงละครนอกเป็นเร่ืองจกั ร ๆ วงศ์ ๆ เช่น สังข์ทอง มณี พชิ ยั ไกรทอง สังขศ์ ิลป์ ชยั โมง่ ป่ า พกิ ุลทอง การะเกด เงาะป่ า ฯลฯ การแสดงดาเนินเร่ืองรวดเร็วโลดโผน ในบางคร้ังจะพูด หยาบโลน มุ่งแสดงตลก ใชภ้ าษา ตลาด และไม่คานึงถงึ ขนบธรรมเนียมประเพณี ❖ ละครใน เป็นละครไทย ท่ีพระมหากษตั ริยท์ รงดดั แปลงมาจากละครนอก ใช้ผหู้ ญงิ แสดงลว้ น และแสดงในพระราชฐานเท่าน้ัน การแสดงละครไทยในมีความประณีตวิจิตร งดงาม ท่าราตอ้ งพิถีพิถันให้มีความอ่อนช้อย เคร่ืองแต่งกายสวยงาม บทกลอนไหเราะ สานวนสละสลวยเหมาะสมกบั ท่ารา เพลงที่ใชข้ บั ร้องและบรรเลงตอ้ งไพเราะ ชา้ ไม่ลุกลน เรื่องท่ีใชแ้ สดงมี 3 เรื่อง คือ อเิ หนา รามเกียรต์ิ และอณุ รุท (และดาหลงั ) ๖

ละครราแบบปรับปรุงใหม่ ❖ ละครดึกดาบรรพ์ เป็นละครท่ีเกิดข้ึนในสมยั รัชกาลที่ ๕ เกิดข้ึนจากการท่ีเจา้ พระยา เทเวศร์วงศว์ วิ ฒั นม์ ีโอกาสเดินทางไปยโุ รป ไดด้ ูละครโอเปร่าที่ฝรั่งเล่นกต็ ิดใจ เมือ่ กลบั มาเล่าถวาย สมเดจ็ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศจ์ ึงไดป้ รึกษากนั ท่ีจะจดั การแสดงละครอย่างละครโอเปร่า ของฝรั่ง เจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ ิวฒั น์เป็นผูส้ ร้างโรงละครและสร้างเครื่องแต่งกาย ส่วนเจา้ ฟ้ากรม พระยานริศรานุวดั ติวงศเ์ ป็นผทู้ รงคิดบทและวิธีการแสดง เม่อื เจา้ ฟ้าเทเวศสร้างโรงละครแลว้ จึงต้งั ช่ือว่า “ โรงละครดึกดาบรรพ์ ” และเน่ืองจากไดน้ าละครท่ีท่านและเจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติ วงศร์ ่วมกนั คิดข้ึนมาจดั แสดงท่ีโรงละครแห่งน้ีเป็นคร้ังแรกจึงทาให้มีละครรูปแบบใหม่น้ีมีช่ือว่า ละคร “ ดึกดาบรรพ์ ” ❖ ละครพนั ทาง คือ ละครท่ีมีลกั ษณะผสมละครราและการใชท้ ่าทางอย่างสามญั ชน เกิดข้ึนในสมยั รัชกาลที่ ๕ ละครพนั ทางเป็นละครท่ีเกิดข้ึนจากแนวคิดของเจา้ พระยามหินทรศกั ด์ิ ธารงไดน้ าเอาเรื่องพงศาวดารของชาติต่างๆ มาแสดงละครโดยใชท้ ่าราของชาติน้นั ๆมาผสมกบั ทา่ ราของไทย ในข้นั ตน้ ยงั ไม่มีการเรียกชื่อละครท่ีแสดง ว่าละครพนั ทาง ต่อมาพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ์ไดป้ รับปรุงรูปแบบของละคร โดยแบง่ วธิ ีการแสดงออกเป็นฉากตาม สถานที่ปรากฏในทอ้ งเร่ืองนอกจากน้ีได้นาเอาท่าราจากชาติอื่นๆมาดดั แปลงผสมกบั ท่าราที่เป็ น แบบแผนของไทยและท่าทางธรรมชาติของสามญั ชนท่ีใชใ้ นชีวิตประจาวนั เขา้ มาผสมด้วยและ บัญญัติแบบแผนของก ารแสดงละครประเภทน้ี จึ งทาให้ละครประเภทน้ี ได้รับก ารเรี ยก ชื่ อ ว่า “ ละครพนั ทาง ” ❖ ละครเสภา เกิดในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว เป็นละครที่พระ เจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ์ได้ทรงปรับปรุงข้ึนใหม่ โดยทรงนาเอาเสภารามา ผสมกบั ละครพนั ทางและยึดรูปแบบของการแสดงละครพนั ทางเป็นหลกั ดาเนินเรื่องดว้ ยการขบั เสภา โดยมีตน้ เสียงกบั ลกู คเู่ ป็นผขู้ บั เสภา ส่วนถอ้ ยคาที่เป็นบทขบั เสภาหรือบทขบั ร้องของผูแ้ สดง ผแู้ สดงจะตอ้ งขบั เสภาหรือร้องเอง ๗

ละครท่ีไม่ใช่ละครรา ❖ ละครสังคตี คาว่า “สงั คีต” หมายถึง การรวมเอาการฟ้อนราและการละคร พร้อมท้งั ดนตรีทางขบั ร้อง และดนตรีทางเคร่ืองดว้ ย ละครสังคีต หมายถึง ละครท่ีมีท้งั บทพูดและบทร้อง เป็นส่วนสาคญั เสมอ จะตดั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงออกไมไ่ ด้ ละครสังคีตเป็นละครท่ีพระบาทสมเดจ็ พระ มงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงริเริ่มข้ึน โดยมีวิวฒั นาการจากละครพูดสลบั ลา ต่างกนั ท่ีละครสังคีตมีบท สาหรับพดู และบทสาหรับตวั ละครร้องในการดาเนินเร่ืองเทา่ ๆ กนั ❖ ละครร้อง ละครร้องเป็นศลิ ปะการแสดงแบบใหม่ท่ีกาเนิดข้นึ ตอนปลายสมยั รัชกาล ท่ี ๕ ไดป้ รับปรุงข้ึนโดยไดร้ ับอิทธิพลจากละครต่างประเทศ ตน้ กาเนิดละครร้องมาจากการแสดง ของชาวมลายู เรียกวา่ “บงั สาวนั ” ไดเ้ คยเล่นถวายรัชกาลท่ี ๕ ทอดพระเนตรคร้ังแรกท่ีเมอื งไทรบุรี และต่อมาละครบงั สาวนั ได้เขา้ มาแสดงในกรุงเทพฯ กรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ์ส่งแก้ไข ปรับปรุงเป็นละครร้องเล่นท่ีโรงละครปรีดาลยั ต่อมาเกิดคณะละครร้องแบบปรีดาลยั ข้ึนมากมาย นิยมกนั มาจนถึงรัชกาลท่ี ๖ และรัชกาลท่ี ๗ ละครร้องแบง่ ออกเป็น ๒ ชนิดคอื ๑. ละครร้องสลบั พูด ๒. ละครร้องลว้ น ๆ ❖ ละครพูด เร่ิมข้นึ ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ ให้มีการแสดงละครพูดสมคั รเล่นเป็นคร้ังแรก เน้ือเรื่องละครพูดท่ีใชแ้ สดงในสมยั น้ี ดัดแ ปล งมาจาก บทล ะ ค รราท่ี รู้ จักกันอย่างแ พร่ ห ลายใ นสมัยพระ บาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้า เจา้ อยูห่ วั เป็นยุคทองของละครพูด ประชาชนให้ความสนใจต่อละครประเภทน้ีมาก เพราะเห็นว่า เป็นของแปลกและแสดงได้ง่าย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยูห่ ัวทรงสนับสนุนละครพูด อย่างดีย่ิง ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดที่ดีเด่นเป็ นจานวนมาก และทรงร่วมในการแสดงดว้ ย หลายคร้ัง ละครพูดแบ่งไดเ้ ป็นประเภทใหญ่ๆคอื ๑. ละครพดู ลว้ น ๆ (ละครพูดแบบร้อยแกว้ ) ๒. ละครพูดแบบร้อยกรอง ๓. ละครพดู สลบั ลา ๘

❖ ละครเพลง เป็ นละครของเอกชนท่ีเกิดข้ึนภายหลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ละครท่ีมีช่ือเสียงน้ีคือ ละครจนั ทโรภาส เป็ นละครของนายจวงจนั ทร์ จนั ทร์คณา (พรานบรู ณ)์ สิ่งหน่ึงที่พรานบูรณ์ทาเป็นหลกั คือ ปรับปรุงจากเพลงไทยเดิมท่ีมีทานองเอ้ือน มาเป็น เพลงไทยสากลที่ไม่มีทานองเอ้ือน นับเป็ นหัวเล้ียวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงเพลงไทยเดิมมาก ทีเดียว ❖ ละครหลวงวิจิตรวาทการ หลงั จากการเปลีย่ นแปลง การปกครองใน พ.ศ.๒๔๗๕ กรมศิลปากรไดร้ วบรวมศิลปิ น โขน ละคร และนกั ดนตรี ข้ึนมารวมกนั ใหม่อีกคร้ังหน่ึงต้งั เป็นกองข้ึนใน กรมศิลปากร ท้ังได้ต้ังโรงเรียนนาฏดุริ ยางคศาสตร์ข้ึน ฝึ กฝน นกั เรียนดว้ ยเพื่อรักษาศิลปะของชาติไมใ่ ห้เส่ือมสูญ ในระยะน้ีหลวง วิจิตรวาทการดารงตาแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร เป็ นท้งั นักการทูต และนักประวตั ิศาสตร์ ท่านจึงมองเห็นคุณค่าทางการละครที่จะใช้ เป็ นสื่อปลุกใจให้ประชาชนเกิดความรักชาติ เน้ือหาจะนามาจาก ประวตั ิศาสตร์ตอนใดตอนหน่ึง บทละครจะมีท้ังรัก รบ อารมณ์ สะเทือนใจ ความรักท่ีมีต่อคู่รัก ถึงแมจ้ ะมากมายเพียงไรก็ไม่เท่ากบั ความรักชาติ ตวั เอกของเร่ืองเสียสละชีวิตพลีชีพเพื่อชาติดว้ ยเหตุที่ ละครของท่านไม่เหมือนการแสดงละครท่ีมีอยูก่ ่อน คนท้งั หลายจึง เรียกละครของท่านว่า “ละครหลวงวจิ ิตรวาทการ” ๙

๑๐

ระบา รา ฟอ้ น ระบา เป็ นคากริยา หมายถึง การแสดงที่ตอ้ งใชจ้ านวน มากกว่า ๒ คนข้ึนไป ซ่ึงการแสดงน้ัน ๆ จะใช้เพลง บรรเลงโดยมีเน้ือร้องหรือไม่มีเน้ือร้องก็ได้ ระบาน้นั เป็ น ศิลปะของการร่ายราท่ีเป็นชุด ไม่ดาเนินเป็นเรื่องราว ผูร้ า แต่งกายยืนเครื่องพระนาง จุดมุ่งหมายเพ่ือแสดงความ งดงามของศิลปะการร่ายรา ระบา แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ ระบาด้งั เดิมหรือระบามาตรฐาน และระบาปรับปรุงหรือระบาเบ็ดเตลด็ ๑. ระบำดั้งเดิมหรือระบำมำตรฐำน หมายถึง การแสดงท่ีปรมาจารยไ์ ดก้ าหนดเน้ือร้อง ทานองเพลง ลีลาท่าราและการแต่งกาย(แต่งกายแบบยืนเคร่ืองตวั พระ-ตวั นาง) ตลอดถึงกระบวนการแสดงไว้ อยา่ งแน่นอนตายตวั และไดส้ ่ังสอน ฝึกหัด ถ่ายทอดต่อ ๆ กนั มาเป็นเวลานาน จนนบั ถือเป็นแบบ ฉบบั จดั เป็นระบามาตรฐาน เป็นแม่บทที่ควรธารงรักษาไว้ ซ่ึงใครจะเปล่ียนแปลงลลี าท่าราไม่ได้ เช่นระบาดาวดึงส์ ระบากฤดาภินิหาร ระบาเทพบนั เทิง ฯลฯ ระบำดำวดึงส์ ๑๑

๒. ระบำปรับปรุงหรือระบำเบ็ดเตล็ด หมายถึง การแสดงท่ีประดิษฐ์ข้ึนใหม่ตามประสงค์ ตาม เหตุการณ์ ตามสมยั นิยม และตามเน้ือเร่ืองท่ีผปู้ ระพนั ธ์ตอ้ งการ สามารถแยกออกไดด้ งั น้ี - ปรับปรุงจากแบบมาตรฐาน หมายถึง ระบาที่คิดประดิษฐ์ข้ึนโดยยึดแบบและลีลา ตลอดจนความ สวยงามในดา้ นระบาไว้ ลีลาท่าทางท่ีสาคญั ยงั คงไว้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางส่ิงบางอยา่ งเพ่ือให้ดู งดงามข้นึ หรือเปลยี่ นแปลงเพ่อื ความเหมาะสมกบั สถานที่ที่จะนาไปแสดง - ปรับปรุงจากพื้นบ้าน หมายถึง ระบาที่คิดประดิษฐ์สร้างสรรคข์ ้นึ จากแนวทางความเป็นอยู่ของคน พ้ืนบา้ น การทามาหากิน อุตสาหกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีในแต่ละทอ้ งถิ่นมาแสดงออกเป็ น รูประบา เพือ่ เป็นเอกลกั ษณ์ประจาทอ้ งถิน่ เช่น เซ้ิงบ้งั ไฟ ระบากะลา เตน้ การาเคียว ฯลฯ - ปรับปรุงจากท่าทางของสัตว์ หมายถึง ระบาท่ีประดิษฐ์ข้ึนใหม่ ตามลกั ษณะลีลาท่าทางของสัตว์ ชนิดต่าง ๆ เช่น ระบานกเขา ระบานกยงู ระบาตก๊ั แตน ระบามา้ เป็นตน้ - ปรับปรุงจากตามเหตุการณ์ หมายถงึ ระบาที่คดิ ประดิษฐ์ข้นึ ใชต้ ามโอกาสท่ีเหมาะสม เช่น ระบา โคมไฟ ระบาพระประทีป ระบาท่ีประดิษฐข์ ้ึนราในวนั นกั ขตั ฤกษ์ ลอยกระทงในเดือนสิบ สอง ระบาที่ประดิษฐ์ข้นึ เพ่อื ตอ้ นรับหรือแสดงความยินดีอวยพรวนั เกิด เป็นตน้ - ปรับปรุงจากสื่อการสอน หมายถึง เป็นระบาประดิษฐ์และสร้างสรรคข์ ้ึนเพื่อเป็นแนวทางส่ือนาสู่ บทเรียนเหมาะสาหรับเด็ก ๆ เป็นระบาง่ายๆเพื่อความสนใจประกอบบทเรียนต่าง ๆ เช่นระบาสูตร คูณ ระบาวรรณยกุ ต์ เป็นตน้ ๑๒

รา หมายถึง การแสดงท่ีมุ่งเมน้ ความงามของการร่ายรา เป็นการแสดงท่าทางลลี าของผูร้ า โดยใชม้ ือใช้แขน เป็นหลกั แบง่ ออกเป็น การราเด่ียว และการราคู่ ราเดย่ี ว คือ การราท่ีใชผ้ แู้ สดงเพยี งคน ราคู่ คือ การราท่ีใชผ้ ูแ้ สดง ๒ คน ลกั ษณะ เดียว จุดมุง่ หมายของการรา คอื การราคู่มี ๒ ประเภทคือ การราคู่เชิงศิลปะการ - ตอ้ งการอวดฝีมอื ในการรา ตอ่ สู้ และการราคู่ชุดสวยงาม - ตอ้ งการแสดงศิลปะการร่ายราและเคร่ืองแตง่ กาย - การราคู่เชิงศิลปะการต่อสู้ เป็ นการราที่ไม่มีบท การราเดี่ยว เช่น การราฉุยฉายต่าง ๆ รามโนราห์ ร้อง ผู้นาท้ังคู่ต้องมีท่าราที่สัมพันธ์กันดีในเชิง บูชายญั ราพลายชุมพล ฯลฯ ศิ ล ป ะ ก าร ต่ อ สู้ ท่ี ห ว า ด เ สี ย ว กับ ค ว าม ส ว ย ง า ม ในทางนาฏศิลป์ เป็นการอวดลีลาท่าราเพราะการ ต่อสู้มีท้ังรุกและรับ เช่น การรากระบ่ีกระบอง ราดาบสองมือ รากริช เป็นตน้ - การราคู่ชุดสวยงาม คนมกั นิยมดูกนั มากเพราะ เป็ นการร่ายราตามบทร้อง หรือท่ีเรียกว่า “ราทา บท” หมายถึง การใชล้ ีลาท่าราตามบทท่ีวางไว้ ทา ให้ท่ารามีความหมายตามบท ในการแสดงราคู่ผู้ แสดงจะราคนละบทและมีลีลาท่าราแตกต่างกนั มุ่งเน้นแสดงลีลาการร่ายราอยา่ งสวยงามตลอดท้งั ชุด เช่น พระรามตามกวาง ราหนุมานจบั สุพรรณ มจั ฉา รจนาเสี่ยงพวงมาลยั เป็นตน้ ๑๓

ฟ้อน มีควำมหมำยใกล้เคยี งกบั คำว่ำ เต้น ระบำ รำ เซิง้ ซง่ึ เป็นท่วงลีลำแห่งนำฏศิลป์ ไทย คำว่ำ “ฟ้อน” มกั จะมีขอบเขตของกำรใช้เรียกศิลปะกำรแสดงลลี ำ ประเภทของกำรฟอ้ นในลำนนำ ศิลปะการแสดง “ ฟ้อน ” ในลานนาน้นั มีลกั ษณะเป็นศิลปะท่ีผสมกนั โดยสืบทอดมา จากศิลปะของชนชาติ ๆ ท่ีมีการก่อต้ังชุมชนอาศัยอยู่ในอาณาเขตลานนาน้ีมาช้านาน นอกจากน้ียงั มีลกั ษณะของการรับอิทธิพลจากศิลปะของชนชาติที่อย่ใู กลเ้ คียงกนั ด้วย จาก การพจิ ารณาศิลปะการฟ้อนที่ปรากฏในลานนายคุ ปัจจุบนั การฟ้อนแบง่ ออกเป็น ๕ ประเภท ๒. ฟ้อนทสี่ ืบเนื่องมาจากการนับถือผี เป็นกำรฟ้อนท่ีเก่ียวเนื่องกับควำมเชื่อ และพิธีกรรม ได้แก่ ฟ้อนผีมด ผีเม็ง ฟ้อนผีบ้ำนผีเมอื ง เป็นต้น ๑. ฟ้อนแบบเมือง หมำยถึง ศิลปะกำรฟ้อน ท่ีมีลีลำแสดงลกั ษณะเป็นแบบฉบับของ “คนเมือง” หรือ “ชำวไทยยวน” ซึ่งเป็นกล่มุ ใหญ่ที่อำศัยอยู่เป็นปึกแผ่นในแว่นแคว้น “ลำนนำ” นี ้กำรฟ้อนประเภทนี ้ได้แก่ ฟ้อนเล็บ ฟ้อนสำวไหม ฟอ้ นดำบ เป็นต้น ๑๔

๔. ฟ้อนแบบม่าน คำวำ่ ‘มำ่ น’ ในภำษำลำนนำ หมำยถงึ “พมำ่ ” กำรฟอ้ นประเภทนีเ้ ป็นกำรผสมผสำน กนั ระหว่ำงศลิ ปะกำรฟ้อนของพมำ่ กบั ชองไทยลำนนำ ได้แก่ ฟอ้ นมำ่ นม้ยุ เซยี งตำ ๓. ฟ้อนแบบเงีย้ ว หรือ ไทยใหญ่ หมำยถงึ กำรฟอ้ นทไี่ ด้รับอทิ ธิพลมำจำกศิลปะกำรแสดงของชำวไทยใหญ่ คนไทยลำนนำ มักเรียกชำวไทยใหญ่ว่ำ “เงีย้ ว” ในขณะท่ีชำวไทยใหญ่มักเรี ยกตนเองว่ำ “ไต” ได้แก่ กำรฟ้อนไต ฟ้อนเงยี ้ ว เป็นต้น ๕. ฟ้อนท่ปี รากฎในการแสดงละคร กำรฟ้อนประเภทนีเ้ ป็นกำรฟ้อนท่ีมีผ้คู ิดสร้ำงสรรค์ขึน้ ในกำรแสดงละครพนั ทำง ซึง่ นิยม กันในรำวสมยั รัชกำลท่ี ๕ ได้แก่ ฟ้อนลำวแพน (ประกอบละครพนั ทำงเรื่อง พระลอ) ฟ้อนม่ำน มงคล (ประกอบละครพนั ทำง เร่ือง รำชำธิรำช) เป็นต้น ๑๕

ราคู่ “พระรามตามกวาง” ราเดี่ยว “ฉุยฉายพราหมณ์” ๑๖

การละเล่นพน้ื เมอื ง การละเล่น หมำยถึง กำรเล่นดนตรี กำรเล่นเพลง กำรเล่นรำ กำรเล่นที่ต้องร่วมกัน ตงั้ แต่ ๒ คนขนึ ้ ไป เรียกวำ่ มหรสพหรือศลิ ปะกำรแสดงพนื ้ เมอื ง หมำยถงึ ส่งิ ท่ีอยใู่ นท้องถิน่ นนั้ การละเล่นพืน้ เมือง หมำยถึง กำรแสดงใด ๆ อนั เป็นประเพณีนิยมในท้องถ่ินและแล่น กันในระหว่ำงประชำชน เพื่อควำมสนุกสนำน รื่นเริงตำมฤดูกำล กำรแสดงต้องเป็นไปอย่ำงมี วัฒนธรรม มีควำมเรียบร้ อย ใช้ถ้อยคำสุภำพ แต่งกำยสุภำพถูกต้องตำมควำมนิยมและ วฒั นธรรม เหมำะสมกบั สภำพท้องถ่ิน สถำนที่ก็ต้องจดั ให้เหมำะสมกับโอกำสท่ีจะแสดง ซ่งึ กำรละเลน่ พนื ้ เมือง จะไม่เป็นอำชพี หรือเพ่อื หำรำยได้ จะมดี นตรีหรือกำรขบั ร้อง หรือกำรฟ้อน รำประกอบก็ได้ การละเล่นพืน้ เมือง แบ่งเป็ น ๒ รูปแบบ คือ ❖ การแสดงพืน้ บ้าน หมำยถึง กำรละเล่นที่มีกำรแสดง กำรร่ำยรำ มีเพลงดนตรี ประกอบ ท่ีได้วำงเป็นแบบแผน และนิยมเล่นหรือถ่ำยทอดสืบต่อกันมำจนแพร่หลำย การแสดงพื้นบ้าน อำจเกิดจำกกำรบูชำบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น ขอให้สิ่งท่ีตนนับถือ ประทำนส่ิงที่ตนปรำรถนำ หรือขจดั ปัดเป่ ำสิ่งที่ไท่ปรำรถนำ นอกจำกนี ้ก็เป็นกำรแสดง เพ่อื ควำมบนั เทงิ รื่นเริง ๑๗

❖ เพลงพืน้ บ้าน หมำยถึง เพลงท่ีชำวบ้ำนในท้องถิ่นนัน้ ๆ ประดิษฐ์แบบแผนกำร ร้องเพลง ไปตำมควำมนิยม และสำเนียงภำษำพูดในท้องถ่ินของตน นิยมร้องเล่นกันใน เทศกำลหรืองำนท่มี ีกำรชมุ นมุ ร่ืนเริง เชน่ สงกรำนต์ ขนึ ้ ปีใหม่ ทอดกฐิน และในกำรลงแขก เก่ียวข้ำว นวดข้ำว เป็นกำรเลน่ ท่ีสบื ตอ่ กนั มำ เนือ้ ควำมของเพลงพืน้ บ้ำนที่นิยมร้ องกัน มักจะเป็นกำรเกีย้ วพำรำสีระหว่ำงชำย หญิง ปะทะคำรมกนั ในด้ำนสำนวนโวหำร สิ่งสำคญั ของกำรร้องคือ กำรด้นกลอนสด ร้อง แก้กนั ด้วยปฏิภำณไหวพริบ ทำให้เกิดควำมสนกุ สนำนทงั้ สองฝ่ำย ๑๘

THANK YOU


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook