Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมไฟล อ.สุริยา

รวมไฟล อ.สุริยา

Published by Change idea, 2020-09-15 00:17:25

Description: รวมไฟล อ.สุริยา

Search

Read the Text Version

กรณีท่ีเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาในคดีอ่ืนได้มีการยึดทรัพย์สินหรือายัดสิทธิ เรียกร้องอ่ืนใดของผอู้ ยู่ในบงั คับของมาตรการบังคับทางปกครองเพ่ือนจําเงินมาชําระตามคําพิพากษา ให้หนว่ ยงานของรัฐทอี่ อกคําสั่งใหช้ ําระเงนิ มีสิทธิขอเข้าเฉลี่ยได้เช่นเดียวกับเจ้าหน้ีตามคําพิพากษา ตามมาตรา 63/14 6) การใช้สทิ ธทิ างศาลเกี่ยวกับการบังคับทางปกครอง ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองและบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้ เสียเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกยึดหรืออายัด มีสิทธิโต้แย้งหรือใช้สิทธิทางศาลเก่ียวกับการยึด การอายัด และการขายทอดตลาดทรพั ย์สินดงั กลา่ วไดโ้ ดยเสนอคดตี ่อศาล สว่ นผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับ ทางปกครองและบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียนั้นจะต้องเสนอต่อศาลใดย่อมขึ้นอยู่กับคําสั่ง ทางปกครองอนั เป็นทีม่ าของการบังคบั ทางปกครอง 11.3.1.2 การบังคับโดยเจ้าพนกั งานบังคบั คดี 1) การขอออกหมายบงั คับคดี ในกรณีที่มีการบังคับให้ชําระเงินและคําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ชําระเงิน เป็นท่ีสุดแล้ว หากหน่วยงานของรัฐท่ีออกคําสั่งให้ชําระเงินประสงค์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัด กรมบังคับคดดี าํ เนินการบังคบั ใหเ้ ป็นไปตามคําส่ังทางปกครองดังกล่าว ให้ยื่นคําขอฝ่ายเดยี วต่อศาล ที่มีอํานาจบังคับคดีตามมาตรา 63/15 วรรคส่ี ภายใน 10 ปี นับแต่วันท่ีคําส่ังทางปกครอง ท่ีกําหนดให้ชําระเงินเป็นท่ีสุด เพ่ือให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคําสั่ง ทางปกครองนั้น โดยคําขอต้องระบุจํานวนเงนิ ที่ผอู้ ยู่ในบงั คบั ของมาตรการบังคับทางปกครองยังมิได้ ชําระตามคําส่ังทางปกครอง ท้ังนี้ ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้บังคับทางปกครองหรือได้ดําเนินการ บังคบั ทางปกครองแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชําระเงินหรือได้รับชําระเงินไม่ครบถ้วนตามาตรา 63/15 วรรคหน่ึง หากศาลพิจารณาคําขอแล้วเห็นว่าคําส่ังทางปกครองท่ีกําหนดให้ชําระเงินเป็นที่สุดแล้วตามมาตรา 63/8 วรรคสอง ใหศ้ าลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและแจง้ ให้เจ้าพนักงานบงั คับ คดีทราบเพื่อดําเนินการต่อไป โดยให้ถือว่าหน่วยงานของรัฐท่ีออกคําสั่งให้ชําระเงินเป็นเจ้าหน้ีตาม คําพิพากษา และให้ถือว่าผู้เอยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองเป็นลูกหนี้ตาม คําพพิ ากษาตามมาตรา 63/15 วรรคสอง เ มื่ อ ศ า ล อ อ ก ห ม า ย บั ง คั บ ค ด แ ล ะ แ ต่ ง ตั้ ง เ จ้ า พ นั ก ง า น บั ง คั บ ค ดี แ ล้ ว การดําเนินการบังคับให้เป็นไปตามคําสั่งทางปกครองท่ีกําหนดให้ชําระเงินให้เป็นเป็นไปตาม ป.วิ.พ. ตามมาตรา63/19 และให้หน่วยงานของรัฐติดต่อกรมบังคับคดี พร้อมท้ังมีหนังสือแจ้งให้ผู้อยู่

ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองทราบว่าศาลได้ต้ังเจ่าพนักงานบังคับคดีเพื่อดําเนินการ บังคดั คดีแลว้ ตามมาตรา 63/15 วรรคสอง 2) ศาลท่ีมีอาํ นาจบงั คับคดี ศาลท่ีมีอํานาจในการบังคับคดีและมีอํานาจวินิจฉัยช้ีขาดหรือทําคําส่ังใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีดังกล่าว ได้แก่ ศาลท่ีผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครอง มีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาลหรือที่ทรัพย์สินท่ีถูกบังคับทางปกครองนั้นต้ังอยู่ในเขตศาลตามมาตรา 63/15 วรรคส่ี ท้ังนี้ กรณีคําขอซ่ึงอาจยื่นต่อศาลได้มากกว่าหน่ึงศาล ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลําเนา ของผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองเพราะท่ีต้ังของทรัพย์สินที่ถูกบังคับ หรือมีผู้อยู่ ในบังคับของมาตรการทางปกครองหลายคนในมูลหน้ีเกี่ยวข้องกัน หน่วยงานของรัฐจะยืนคําขอ ตอ่ ศาลใดศาลหนง่ึ เช่นวา่ น้นั กไ็ ด้มาตาม 63/15 วรรคหา้ 3) การงดการบงั คบั คดี กรณีท่ีคําส่ังทางปกครองท่ีกําหนดให้ชําระเงินเป็นท่ีสุดแล้ว ต่อมาผู้อยู่ ในบังคับของคําส่ังทางปกครองขอให้พิจารณาคําสั่งทางปกครองที่เป็นท่ีสุดแล้วน้ันใหม่ หรือฟ้องคดี ต่อศาลเพ่ือให้พิจารณาเก่ียวกับคําส่ังทางปกครองท่ีเป็นที่สุดแล้วนั้นใหม่ หรือขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ และหน่วยงานของรัฐที่ออกคําส่ังให้ชําระเงินหรือศาลมีคําส่ังให้รับคําขอหรือได้รับคําฟ้องไว้พิจารณา ผู้อยู่ในบังคับของคําสั่งทางปกครองอาจย่ืนคําร้องต่อศาลท่ีมีอํานาจในการออกหมายบังคับคดี ตามมาตรา 63/15 เพอื่ ขอใหส้ งั่ ใหง้ ดการบังคบั คดไี วก้ อ่ นก็ได้ 4) การถอนการบังคับคดี หากศาลได้มีคําส่ังให้ทบทวนคําสั่งทางปกครองท่ี เปน็ ทสี่ ุดน้นั ใหม่ 5) อาํ นาจของหน่วยงานขอรฐั ในการสืบทรัพย์ มาตรา 63817 ใหน้ ําความในมาตรา 63/10 และมาตรา 63/13 มาใชบ้ ังคบั 11.3.2 การบงั คับทางปกครองของคาํ สง่ั ทางปกครองท่ีกาํ หนดให้กระทําการหรือละเว้นการทําการ 11.3.2.1 คําเตอื นก่อนใช้มาตรการบงั คบั ทางปกครอง ม.63/21 11.3.2.2 การใชม้ าตรการบังคับทางปกครอง ม.63/21 1)การเข้าดําเนนิ การแทนตอ้ งชดใชค้ า่ ใช้จ่ายและเงนิ เพ่มิ รายวันในอตั รารอ้ ยละ25ตอ่ ปี 2) การเรียกให้ชําระค่าปรับบังคับการ การกําหนดค่าปรับบังคับการต้อง กระทําโดยสมควรแกเ่ หตุ แตต่ ้องไม่เกนิ 50,000 บาทต่อวนั ตามมาตรา 63/21 วรรคหนึง่ (2) 11.3.2.3 การใช้สิทธิทางศาลเก่ยี วกับการบงั คับทางปกครอง ม.63/25

บทที่ 5 เขตอํานาจของศาลปกครอง ตอนที่ 1 คดีทอ่ี ยูใ่ นเขตอํานาจของศาลปกครอง 1. ข้อความเบอื้ งตน้ มาตรา 9 ศาลปกครองมีอาํ นาจพิจารณาพพิ ากษาหรือมคี าํ สั่งในเรอ่ื งดังตอ่ ไปน้ี (1) คดีพิพาทเก่ียวกับการท่ีหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คําส่ังหรือการกระทําอื่นใดเน่ืองจากกระทําโดยไม่มีอํานาจหรือ นอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบข้ันตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญท่ีกําหนดไว้สําหรับการกระทํานั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะ เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือสร้างภาระ ใหเ้ กิดกบั ประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใชด้ ุลพินิจโดยมิชอบ (2) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐละเลยต่อหน้าท่ี ตามทีก่ ฎหมายกําหนดใหต้ อ้ งปฏิบัติ หรอื ปฏบิ ัตหิ น้าทด่ี งั กลา่ วลา่ ชา้ เกินสมควร (3) คดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิดหรือความรับผิดอย่างอ่ืนของหน่วยงาน ทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คําส่ัง ทางปกครอง หรือคําสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าท่ีตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ หรอื ปฏิบตั หิ นา้ ทด่ี งั กลา่ วลา่ ช้าเกนิ สมควร (4) คดีพพิ าทเกยี่ วกบั สัญญาทางปกครอง (5) คดีท่ีมีกฎหมายกําหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐฟ้องคดีต่อศาล เพอื่ บงั คบั ใหบ้ คุ คลต้องกระทาํ หรือละเวน้ กระทาํ อย่างหนึง่ อยา่ งใด (6) คดพี พิ าทเกยี่ วกบั เรอ่ื งทม่ี ีกฎหมายกําหนดใหอ้ ยใู่ นเขตอาํ นาจศาลปกครอง เรือ่ งดงั ตอ่ ไปน้ไี ม่อยู่ในอาํ นาจศาลปกครอง (1) การดาํ เนนิ การเกย่ี วกับวินยั ทหาร (2) การดําเนินการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ ฝา่ ยตลุ าการ (3) คดีที่อยู่ในอํานาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพยส์ นิ ทางปัญญาและการค้าระหวา่ งประเทศ ศาลลม้ ละลาย หรือศาลชํานัญพิเศษอื่น 1.1 ลักษณะของคกู่ รณี (1) ฝา่ ยปกครองกบั เอกชน (2) ฝ่ายปกครองด้วยกนั 1.2 ลักษณะของขอ้ พิพาท (1) เน่ืองจากการใช้อํานาจทางปกครองตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจา้ หน้าท่ีของรัฐ ตาม ม. 9 วรรคหนง่ึ (1) แหง่ พ.ร.บ จดั ต้งั ศาลปกครองฯ

(2) เนื่องจากมาจากการดําเนินกิจการทางปกครองของหน่วยงานทางปกครอง หรอื เจ้าหนา้ ทีข่ องรัฐ ตาม ม.9 วรรคหนึง่ (2) (3) และ (4) แห่ง พ.ร.บ จัดตงั้ ศาลปกครองฯ (3) เกย่ี วกับเร่อื งทก่ี ฎมายกาํ หนดให้อยูใ่ นเขตอํานาจของศาลปกครอง ตาม ม. 9 วรรคหน่ึง (5) และ (6) แหง่ พ.ร.บ จัดตง้ั ศาลปกครองฯ 2. ขอ้ พจิ ารณาเกีย่ วกับลกั ษณะของคู่กรณี ม.3 แหง่ พ.ร.บ จดั ตัง้ ศาลปกครองฯ ม.3 2.1 “หน่วยงานทางปกครอง” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการท่ีเรียกชื่อ อย่างอ่ืนและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้น โดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอ่ืนของรัฐ และให้หมายความรวมถึง หน่วยงานท่ีไดร้ บั มอบหมายให้ใช้อาํ นาจทางปกครองหรือให้ดาํ เนนิ กจิ การทางปกครอง 2.1.1 ราชการสว่ นกลาง 2.1.2 ราชการสว่ นภมู ิภาค 2.1.3 ราชการส่วนท้องถ่ิน 2.1.4 รัฐวสิ าหกจิ ทต่ี ้งั ขึ้นโดยพระราชบัญญตั ิหรือพระราชกฤษฎีกา 2.1.5 หน่วยงานอืน่ ของรบั (1) องค์กรมหาชน (2) หนว่ ยงานอสิ ระของรฐั 2.1.6 หน่วยงานท่ไี ด้รบั มอบหมายให้ใช้อาํ นาจทางปกครองหรือให้ดําเนินกจิ การทางปกครอง 2.2 เจ้าหนา้ ท่ีของรฐั ม.3 2.2.1 ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง คณะบุคคล ผู้ท่ีปฏิบัติงานในหน่วยงาน ทางปกครอง ข้าราชการ หมายถึงบุคคลท่ีได้รับการบรรจุและแต่งต้ังตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ ข้าราชการฝ่ายน้ันๆ พนักงาน ลูกจ้าง หมายถึง บุคคลซึ่งได้รับการทําสัญญาจ้างให้ปฏิบัติงาน เป็นพนักงานในหน่วยงานทางปกครอง ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างประจําหรือลูกจ้างช่ัวคราว คณะบุคคล หรอื ผทู้ ่ปี ฏบิ ัตงิ านในหนว่ ยงานทางปกครอง 2.2.2 คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท คณะกรรมการ หรือบุคคลซ่ึงกฎหมาย ใหอ้ าํ นาจในการออกกฎ คําสัง่ มตใิ ดๆ ทมี่ ีผลกระทบต่อบคุ คล 2.2.3 บุคคลทีอ่ ย่ใู นบังคบั บัญชาหรือในกํากับดูแลของหนว่ ยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ี ของรฐั 3. ขอ้ พิจารณาเกีย่ วกบั ลักษณะของขอ้ พิพาท 3.1 คดพี ิพาทเกย่ี วกับการกระทาํ โดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

3.1.1 การกระทําอันเป็นวตั ถแุ ห่งคดี 3.1.1.1 กฎ กฎมีผลบังคับเป็นการท่ัวไป เฉพาะกฎท่ีเป็นผลผลิตจากการใช้อํานาจ ปกครองเท่านั้น กฎที่นํามาฟ้องต่อคดีต่อศาลปกครองได้ตาม ม.9 วรรคหน่ึง (1) จะต้องเป็นการใช้ อํานาจรัฐตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีมีลักษณะเป็นนิติกรรม ทางปกครองในลักษณะเดียวกับคําสั่งทางปกครอง เพียงแต่มีข้อแตกต่างในส่วนของผลบังคับ และต้องเป็น กฎทีอ่ อกโดยอาศยั อาํ นาจรัฐตามกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ส่วนระเบียบ ข้อบังคับ หนังสือเวียน หรือหนังสือส่ังการที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกําหนดขึ้นเองโดยอาศัยอํานาจทางการ บริหารหรืออํานาจทั่วไปของผู้บังคับบัญชา เป็นเร่ืองความสัมพันธ์ภายในฝ่ายบริหารระหว่าง ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา และการกระทําดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดสิทธิหรือหน้าท่ีหรือ มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าท่ีของประชาชน จึงไม่อาจนํามาฟ้องเป็นคดีต่อศาล ปกครองได้ 3.1.1.2 คําส่ัง 1) คาํ สัง่ ทางปกครอง “คําสงั่ ทางปกครอง” หมายความว่า (1) การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้น ระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปล่ียนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิ หรือหน้าท่ีของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การส่ังการ การอนุญาต การอนุมัติ การวนิ ิจฉัยอทุ ธรณ์ การรับรอง และการรบั จดทะเบยี น แตไ่ ม่หมายความรวมถงึ การออกกฎ (2) การอืน่ ทีก่ าํ หนดในกฎกระทรวง กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2543 เพื่อกําหนดให้การดําเนินการใด หรือคําส่ังลักษณะใดเป็นคําส่ังทางปกครอง โดยกําหนดว่า ให้การดําเนินการของเจ้าหน้าท่ีดังต่อไปน้ี เป็นคาํ ส่ังทางปกครอง 1. การดําเนนิ การเก่ยี วกับการจัดหาหรอื ใหส้ ทิ ธิประโยชนใ์ นกรณีดงั ตอ่ ไปน้ี (1) การส่งั รบั หรือไมร่ บั คําเสนอขาย รับจ้าง แลกเปล่ียน ให้เช่า ซื้อ เช่า หรอื ใหส้ ทิ ธปิ ระโยชน์ (2) การอนุมัติส่ังซ้ือ จ้าง แลกเปลี่ยน เช่า ขาย ให้เช่า หรือให้สิทธิ ประโยชน์ (3) การส่ังยกเลิกกระบวนการพิจารณาคําเสนอหรือการดําเนินการอ่ืน ใดในลกั ษณะเดยี วกนั (4) การสัง่ ให้เป็นผูท้ ิง้ งาน 2. การให้หรือไมใ่ หท้ ุนการศึกษา

2) คําสั่งทางปกครองทั่วไป เป็นคําสั่งท่ีมิได้มีผลใช้บังคับกับบุคคลใดบุคคลหน่ึง เปน็ การเฉพาะ แต่มีผลใช้บงั คบั กับบคุ คลไม่จาํ กดั จาํ นวน 3) คําสั่งฝ่ายในปกครอง 3.1.1.3 การกระทําอ่ืนใด ต้องมีลักษณะเป็นการกระทําฝ่ายเดียวแต่มิใช่กฎ หรือคําสง่ั เชน่ การกาํ หนดจุดสร้างสะพานลอยบริเวณหน้าอาคารของผูฟ้ ้องคดี 3.1.2 เหตุท่ใี หก้ ารกระทาํ ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ม.9 วรรคหนง่ึ (1) 3.1.2.1 กระทําโดยไม่มีอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจหน้าท่ีหรือไม่ถูกต้อง ตามกฎหมาย 3.1.2.2 กระทําไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ข้ันตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญ ท่ีกําหนดไว้สําหรับการกระทํานั้น เช่นการให้คู่กรณีมีโอกาสได้ทราบข้อเท็จจริงอย่าเพียงพอและ มีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนก่อนออกคําส่ังทางปกครองท่ีอาจกระทบถึงสิทธิ ของคู่กรณีตาม ม.30 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏบิ ตั ิฯ 3.1.2.3 กระทําโดยไม่สุจริต เป็นกรณีท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทําไปโดยไม่คํานึงถึง วตั ถปุ ระสงคข์ องกฎหมาย แต่หากกระทําไปโดยใชเ้ หตผุ ลสว่ นตัวหรอื โดยกล่ันแกลง้ ผูอ้ ืน่ 3.1.2.4 กระทําโดยมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติท่ีไม่เป็นธรรม เป็นกรณีท่ี เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการขัดต่อหลักความเสมอภาค กล่าวคือ เจ้าหน้าท่ีของรัฐปฏิบัติต่อส่ิงท่ีมี สาระสําคัญเหมือนกันให้ต่างกัน และปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสําคัญแตกต่างกันให้เหมือนกัน การที่จะ กลา่ วอ้างว่าเป็นการเลือกปฏิบัติท่ีไม่เป็นธรรมได้ต้องเป็นกรณีท่ีผู้กล่าวอ้างมีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับ สทิ ธินนั้ ๆ แต่ไม่ไดร้ ับสทิ ธิน้นั เพราะการเลือกปฏิบตั ทิ ่ีไม่เป็นธรรม 3.1.2.5 กระทําโดยมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็นหรือสร้างภาระ ให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร เป็นกรณีที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทําการขัดต่อหลักความได้สัดส่วน กล่าวคือ มาตรการที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทําเป็นมาตรการท่ีไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมาย หรือไม่ไดเ้ ป็นมาตรการที่กระทบสิทธิประชาชนน้อยท่ีสุด หรือเป็นมาตรการท่ีก่อให้เกิดความเสียหาย แกป่ ระชาชนมากกวา่ ประโยชนท์ ่สี ังคมโดยรวมได้รับจากมาตรการดงั กลา่ ว 3.1.2.6 กระทําโดยใช้ดุลพินิจโดยมิชอบกรณีท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ดุลพินิจ โดยบิดเบือนวัตถุประสงค์ของกฎหมาย หรือใช้ดุลพินิจโดยไม่มีเหตุผล หรือใช้ดุลพินิจโดยเลือก มาตรการท่ไี มไ่ ด้สดั สว่ นกบั ขอ้ เทจ็ จริงที่เกดิ ข้ึน

3.2 คดพี ิพาทเก่ียวกับการที่ละเลยต่อหน้าท่ีท่ีกฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าท่ี ดังกล่าวลา่ ช้าเกินสมควร ม.9 วรรคหน่ึง (2) ละเลยต่อหน้าที่ท่ีกฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ หมายถึง การท่ีหน่วยงานทางปกครองหรือ เจา้ หนา้ ทข่ี องรัฐไม่ดาํ เนนิ การตามทีก่ ฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติโดยปราศจากเหตุผลท่ีจะกล่าวอ้าง ได้ ไม่ว่าการไม่ดาํ เนินการดังกลา่ วจะเกิดข้ึนโดยเจตนาหรอื ประมาทเลนิ เลอ่ กต็ าม ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร เป็นกรณีที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐได้เร่ิมต้นดําเนินการ ตามหน้าที่นั้นแล้วแต่ดําเนินการล่าช้าไม่แล้วเสร็จจนล่วงเลยระยะเวลาอันสมควรจนก่อให้เกิด ผลกระทบต่อผู้ฟ้องคดี 3.3 คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดหรือความรับผิดอย่างอ่ืนของหน่วยงานทางปกครอง หรอื เจ้าหน้าที่ของรฐั ม.9 วรรคหนึง่ (3) 3.3.1 การกระทําละเมิดทางปกครอง เป็นคดีท่ีผู้กระทําละเมิดเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐและต้องเป็นการกระทําละเมิดอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย หรือ กฎ คาํ สัง่ ทางปกครอง หรือคําสงั่ อนื่ หรือจากการละเลยตอ่ หนา้ ท่ตี ามท่กี ฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ หรอื ปฏบิ ตั ิหน้าที่ดงั กล่าวลา่ ชา้ เกินสมควร 3.3.2 ความรับผิดอย่างอื่นของฝ่ายปกครอง เป็นคดีพิพาทเก่ียวกับความรับผิดอย่างอ่ืน ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย หรือกฎ คําส่ัง ทางปกครอง หรือคําส่ังอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าท่ีตามท่ีกฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติหรือ ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร แต่ทั้งน้ีต้องไม่ใช่ความรับผิดอันเกิดจากการกระทําละเมิด ทางปกครองหรอื สัญญาทางปกครองซึง่ กฎหมายบญั ญตั ไิ ว้โดยเฉพาะแลว้ 3.4 คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ม.9 วรรคหน่ึง (4) หมายถึงคดีพิพาทเก่ียวกับ สัญญาทางปกครองในการตีความสัญญา การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา การเลิกสัญญา ตลอดจนการเรียก คา่ เสียหายอันเกดิ จากการปฏบิ ตั ผิ ิดสญั ญา ตาม ม.3 แหง่ พ.ร.บ. จัดต้งั ศาลปกครอง “สญั ญาทางปกครอง” หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเป็นบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทําบริการ สาธารณะ หรอื จดั ให้มสี ิ่งสาธารณปู โภคหรือแสวงประโยชน์จากทรพั ยากรธรรมชาติ การพิจารณาว่าสัญญาใดเป็นสญั ญาทางปกครอง ดังน้ี ประการท่ี 1 สัญญาท่ีคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรอื เป็นบุคคลทไี่ ด้รับมอบหมายใหก้ ระทําการแทนรฐั (เกณฑท์ างองคก์ ร)

ประการที่ 2 สัญญานั้นมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทําบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีส่ิงสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญา ที่หน่วยงานทางปกครองหรือบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐตกลงให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเข้าดําเนินการ หรือเข้าร่วมดําเนินการบริการสาธารณะโดยตรง หรือเป็นสัญญาท่ีมีข้อกําหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะ พิเศษท่ีแสดงถึงเอกสิทธิของรัฐ ทั้งน้ี เพ่ือให้การใช้อํานาจทางปกครองหรือการดําเนินกิจการ ทางปกครองซึ่งก็คือบรกิ ารสาธารณะบรรลุผล 3.4.1 สญั ญาทางปกครอง 3.4.1.1 สัญญาสัมปทาน หมายถึง สัญญาท่ีหน่วยงานทางปกครองอนุญาตให้เอกชน ลงทุนในกิจการทางด้านสาธารณูปโภคอย่างใดอย่างหน่ึงด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง และให้เอกชน คู่สัญญามสี ิทธเิ รียกเกบ็ ค่าบริการจากประชาชนทม่ี าใชบ้ รกิ ารน้ันเปน็ การตอบแทน 3.4.1.2 สัญญาที่ให้จัดทําบริการสาธารณะ หมายถึง สัญญาที่หน่วยงานทางปกครอง ให้เอกชนเขา้ ทําภารกิจท่ีโดยปกตแิ ล้วอยู่ในอํานาจหนา้ ที่ของตนโดยตรงและมีลักษณะเป็นการบริการ สาธารณะโดยไม่เกี่ยวข้อกบั การใช้อาํ นาจปกครอง 1) สญั ญาจ้างก่อสร้างหรอื ซอ่ มแซมอาคารของหน่วยงานทางปกครอง 2) สญั ญาจดั หาเครื่องมอื สําคัญในการจดั ทาํ บริการสาธารณะ 3) สญั ญามอบให้เอกชนจัดทําบรกิ ารสาธารณะ 4) สัญญากู้ยืมเงนิ เพื่อใหบ้ รกิ ารสาธารณะบรรลุผล 5) สญั ญาฝากเก็บ แปรสภาพ จัดจาํ หน่วยสินค้าเกษตร 6) สญั ญารบั ทุนการศึกษาและสัญญาลาศึกษาต่อ 7) สัญญาจ้างบุคลากรในหนว่ ยงานทางปกครอง 3.4.1.3 สัญญาท่ีจัดให้มีส่ิงสาธารณูปโภค หมายถึง สัญญาที่หน่วยงานทางปกครอง ว่าจ้างให้เอกชนจัดให้มีหรือก่อสร้างถาวรวัตถุท่ีประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้โดยตรง หรือเปน็ สง่ิ ทจี่ ดั ทาํ ข้นึ เนือ่ งจากเปน็ สงิ่ จาํ เป็นต่อการดาํ เนนิ ชีวติ ของประชาชน 3.4.1.4 สัญญาที่ให้แสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สัญญา ท่ีหน่วยงานทางปกครองอนุญาตให้เอกชนแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยเอกชนยินยอม จ่ายคา่ ตอบแทนให้แก่รัฐ 3.4.1.5 สัญญาที่แสดงถึงเอกสิทธิของรัฐ ต้องเป็นเอกสิทธิที่กําหนดข้ึนเพื่อให้การ ดําเนนิ กจิ การทางปกครองหรือการจัดทําบริการสาธารณะบรรลุผล และเป็นข้อกําหนดพิเศษท่ีให้เอกสิทธ์ิ

แก่คู่สัญญาท่ีเป็นฝ่ายปกครองเป็นอย่างมาก โดยเป็นสัญญาท่ีไม่ได้กระทําข้ึนโดยมุ่งผูกพันด้วยใจ สมัครบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมเช่นเดียวสัญญาทางแพ่ง สัญญาพิพาทน้ีจึงเป็นสัญญา ทางปกครองตาม ม.3 แหง่ พ.ร.บ.จดั ตัง้ ศาลปกครองฯ 3.4.2 สญั ญาทางแพง่ ทอ่ี ย่ใู นเขตอาํ นาจของศาลปกครอง 3.4.2.1 สญั ญาอุปกรณ์ของสญั ญาทางปกครอง 3.4.2.2 สัญญาโอนสทิ ธิเรยี กรอ้ งที่มีสทิ ธไิ ดร้ ับตามสญั ญาทางปกครอง 3.4.3 สญั ญาทางแพง่ ทีอ่ ยู่ในเขตอาํ นาจของศาลยุตธิ รรม (ที่ไมใ่ ช่สัญญาทางปกครอง) 3.4.3.1 สญั ญาซื้อขาย 3.4.3.2 สัญญาให้ 3.4.3.3 สญั ญาเชา่ ทรพั ย์ 3.4.3.4 สญั ญาจ้างทําของ 3.4.3.5 สัญญารับขน 3.4.3.6 สัญญาก้ยู ืมเงิน 3.4.3.7 สัญญาต่างตอบแทน 3.4.3.8 สัญญาจ้างแรงงานตามกฎหมายเอกชน 3.4.3.9 สญั ญาทางแพ่งประเภทอ่นื 3.5 คดีท่ีกฎหมายกําหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐฟ้องคดีต่อศาล เพือ่ บงั คบั ให้บคุ คลตอ้ งกระทําหรือละเว้นกระทาํ อยา่ งหนึ่งอย่างใด ม.9 วรรคหน่ึง (5) เป็นการบัญญัติ ยกเว้นหลักการทั่วไปท่ีฝ่ายปกครองสามารถใช้มาตรการบังคับทางปกครองเพื่อให้เป็นไปตามคําส่ัง ทางศาลปกครองได้ด้วยตนเองตาม ม.63/2 วรรคหน่ึง แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติฯ โดยไม่จําต้องอาศัย อํานาจของศาลเพอื่ ออกคําบงั คับตามคําสง่ั ทางปกครองนน้ั 3.6 คดีพิพาทเกย่ี วกับเรื่องท่มี กี ฎหมายกาํ หนดให้อยใู่ นเขตอํานาจของศาลปกครอง ม.9 วรรค หน่งึ (6)

ตอนที่ 2 คดีทไ่ี ม่อยใู่ นเขตอาํ นาจของศาลปกครอง 1. ขอ้ ความเบอื้ งต้น คดที ่ีไม่อยใู่ นเขตอาํ นาจของศาลปกครอง แบ่งได้ 2 ประเภท ดงั น้ี 1) คดพี ิพาทท่ไี มไดเ้ กดิ จากการใชอ้ าํ นาจปกครอง 2) คดพี พิ าทที่เกดิ จากการใช้อาํ นาจปกครองแต่มลี กั ษณะพิเศษ 2. คดีทไ่ี ม่ได้เกดิ จากการใชอ้ ํานาจปกครอง 2.1 การกระทําทางนติ ิบัญญตั ิ 2.2 การกระทาํ ทางตลุ าการ 2.3 การกระทําทางรฐั บาล 2.4 คดีแพง่ 2.4.1 คดีพิพาทเกยี่ วกบั สญั ญาทางแพง่ 2.4.2 คดพี ิพาทเกย่ี วกบั สทิ ธหิ รอื หน้าทีข่ องบคุ คลในทางแพ่ง 2.5 คดีอาญา 3. คดพี ิพาทท่ีเกดิ จากการใชอ้ ํานาจปกครองแต่มีลักษณะพเิ ศษ 3.1 ข้อยกเว้นตามมาตรา 9 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.จดั ตง้ั ศาลปกครองฯ 3.1.1 การดําเนินการเก่ียวกับวินัยทหาร หมายถึง การท่ีทหารต้องประพฤติตามแบบธรรม เนยี มของทหาร 3.1.2 การดําเนินการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ ฝ่ายตุลาการ ข้อยกเว้นตาม ม.9 วรรคสอง (2) ไม่รวมถึงการดําเนินการของคณะกรรมการบริหาร ศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) คณะกรรมการบริหารศาลปกครอง (ก.บ.ศป.) คณะกรรมการอยั การ (ก.อ.) 3.1.3 คดที ่ีอยใู่ นเขตอาํ นาจของศาลชาํ นญั พเิ ศษ 3.2 ข้อยกเวน้ ตามกฎหมายเฉพาะ 3.2.1 รัฐธรรมนูญ มาตรา 226 (1) รัฐธรรมนูญ ม.226 วรรคหนึ่ง กําหนดให้ศาลฎีกาซ่ึงเป็นศาลยุติธรรมช้ันสูงสุด มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกต้ังหรือสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกต้ัง สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรือเลือกสมาชิกวุฒสิ ภาพ

(2) รัฐธรรมนูญ ม226 วรรคหก กําหนดให้ศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมช้ันท่ี 2 มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกต้ังของผู้สมัครของผู้รับ สมคั รเลอื กตั้งสมาชกิ สภาท้องถ่นิ หรอื ผูบ้ รหิ ารท้องถิน่ ข้อสังเกต คดีเกี่ยวกับการเลือกผู้ใหญ่บ้านและการคัดเลือกกํานันไม่ใช่คดีเกี่ยวกับ การเลือกตั้งและการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถ่ิน จงึ อยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองตามหลกั ทว่ั ไป 3.2.2 พ.ร.ก บรรษัทบรหิ ารสินทรพั ยไ์ ทย พ.ศ. 2544 3.2.3 พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉกุ เฉิน พ.ศ. 2548 3.2.4 พ.ร.บ. การรักษาความมนั่ คงภายในราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2551 3.3 ข้อยกเว้นตามหลกั กฎหมายท่ัวไป 3.3.1 คดีพิพาทเก่ียวกับการดําเนินงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ท่ีประชุมใหญ่ ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมีมติในการประชุมคร้ังที่ 7/2544 ว่า “ถ้าข้ันตอนการดําเนินการ ของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ. ขั้นตอนใด เป็นการกระทําที่ ป.วิ.อ. กําหนด ให้อํานาจไว้เป็นการเฉพาะโดยตรง การกระทําดังกล่าวจะอยู่ในอํานาจการควบคุมตรวจสอบของศาลยุติธรรม ตาม ป.วิ.อ. แต่ถ้าการกระทําใดที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการกระทํานอกเหนือหรือ มไิ ดก้ ระทําตามทกี่ าํ หนดไว้ใน ป.วิ.อ. และเป็นการกระทําที่เข้าเกณฑ์ท่ีเป็นกรณีพิพาทตาม ม.9 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. จัดตงั้ ศาลปกครองฯ ศาลปกครองย่อมมีอาํ นาจควบคมุ ตรวจสอบได้” 3.3.2 คดพี พิ าทเกยี่ วกบั การดําเนนิ งานในกระบวนการยุตธิ รรมทางแพ่ง 3.3.3 คดีพพิ าทเกีย่ วกับการดําเนินกิจการขององคก์ ารทางศาสนา 3.3.4 คดีพิพาทเก่ียวกับสิทธิในที่ดิน พิจารณาในรายละเอียดของคําฟ้องว่าผู้ฟ้องคดี ประสงค์ท่ีจะโต้แย้งในประเด็นใด ถ้าประเด็นหลักการโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธ์ิหรือสิทธิครอบครอง ในท่ีดินทีขอออกโฉนด ศาลที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาในคดีคือ ศาลยุติธรรม แต่ถ้าเป็นการโต้แย้ง ในประเด็นหลักว่าการสั่งการของเจ้าพนักงานท่ีดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลท่ีมีอํานาจพิจารณา พิพากษา คอื ศาลปกครอง

บทที่ 6 เงอ่ื นไขการฟ้องคดีปกครอง 1. ข้อความทัว่ ไป ม.9 วรรคหน่งึ มาตรา 9 ศาลปกครองมอี าํ นาจพิจารณาพพิ ากษาหรอื มีคําสง่ั ในเรอื่ งดังตอ่ ไปนี้ (1) คดีพิพาทเกีย่ วกบั การที่หน่วยงานทางปกครองหรอื เจ้าหน้าทขี่ องรัฐกระทาํ การโดยไมช่ อบ ดว้ ยกฎหมายไมว่ ่าจะเปน็ การออกกฎ คาํ สงั่ หรอื การกระทาํ อืน่ ใด เนอ่ื งจาก 1) กระทําโดยไม่มีอาํ นาจ หรือ 2) กระทาํ นอกเหนอื อาํ นาจหนา้ ที่ หรือ 3) กระทําไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือ 4) กระทําโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน อันเป็นสาระสําคัญท่ีกําหนดไว้สําหรับ การกระทาํ นนั้ หรอื 5) กระทาํ โดยไมถ่ กู ตอ้ งตามวิธกี ารอนั เป็นสาระสาํ คัญท่ีกําหนดไวส้ ําหรับการกระทาํ นั้น หรือ 6) กระทาํ โดยไมส่ ุจรติ หรือ 7) กระทําโดยมลี กั ษณะเป็นการเลอื กปฏิบตั ิที่ไมเ่ ป็นธรรม หรือ 8) กระทําโดยมีลกั ษณะเปน็ การสร้างขน้ั ตอนโดยไมจ่ ําเปน็ หรือ 9) กระทําโดยเปน็ การสร้างภาระใหเ้ กิดกบั ประชาชนเกนิ สมควร หรอื 10) กระทาํ โดยเป็นการใช้ดลุ พนิ จิ โดยมิชอบ (2) คดพี พิ าทเกยี่ วกบั การท่หี น่วยงานทางปกครองหรอื เจา้ หน้าที่ของรัฐ 1) ละเลยตอ่ หน้าท่ีตามท่ีกฎหมายกําหนดใหต้ อ้ งปฏบิ ตั ิ หรือ 2) ปฏิบตั ิหน้าท่ดี ังกลา่ วล่าช้าเกนิ สมควร (3) คดพี ิพาทเก่ยี วกบั 1) การกระทาํ ละเมดิ หรือความรับผิดอย่างอน่ื 2) ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ทขี่ องรัฐ 3) อนั เกดิ จากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐ กระทําการ ดงั น้ี 3.1) การใช้อํานาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คําส่ังทางปกครอง หรอื คําสัง่ อื่น หรือ 3.2) การละเลยต่อหน้าท่ตี ามทกี่ ฎหมายกาํ หนดใหต้ อ้ งปฏบิ ตั ิ หรอื 3.3) ปฏิบตั หิ น้าที่ตามที่กฎหมายกาํ หนดให้ต้องปฏบิ ตั ิล่าชา้ เกนิ สมควร (4) คดีพิพาทเก่ยี วกบั สญั ญาทางปกครอง (5) คดีท่ีมีกฎหมายกําหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐฟ้องคดีต่อศาล เพือ่ บงั คบั ใหบ้ คุ คลต้องกระทาํ หรือละเว้นกระทาํ อย่างหนึง่ อยา่ งใด

(6) คดพี ิพาทเกยี่ วกับเรื่องท่ีมกี ฎหมายกาํ หนดใหอ้ ยู่ในเขตอาํ นาจศาลปกครอง 2. เงอ่ื นไขเกีย่ วกับศาลปกครองทมี่ เี ขตอาํ นาจ 2.1 เขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้น ม.10 ศาลปกครองชั้นต้นมีอํานาจพิจารณาพิพากษา คดีที่อยู่ในอํานาจศาลปกครอง เว้นแต่คดีที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด (คดตี าม ม.9 วรรคหน่งึ ) 2.2 เขตอํานาจของศาลปกครองสงู สุด ม.11 ศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี ดงั ต่อไปนี้ (1) คดีพิพาทเก่ียวกับคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทตามที่ท่ีประชุมใหญ่ ตุลาการในศาลปกครองสงู สดุ ประกาศกําหนด (2) คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา หรือกฎท่ีออกโดย คณะรฐั มนตรี หรอื โดยความเหน็ ชอบของคณะรฐั มนตรี (3) คดที มี่ ีกฎหมายกาํ หนดให้อยใู่ นอํานาจศาลปกครองสูงสุด (4) คดที ่อี ทุ ธรณ์คาํ พพิ ากษาหรือคาํ สง่ั ของศาลปกครองชน้ั ตน้ 3. เงื่อนไขเกี่ยวกับผู้มสี ิทธิฟ้องคดี มี 2 ประเภท ประการท่ี 1 จะต้องเป็น 1) ผู้ท่ีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจ หลีกเลี่ยงได้ อันเนื่องจากการกระทําหรือการงดเว้นการกระทําอย่างหนึ่งอย่างใดของหน่วยงาน ทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ขี องรัฐ หรอื 2) มีขอ้ โต้แย้งเกย่ี วกบั สัญญาทางปกครอง หรือ 3) กรณอี น่ื ใดทอี่ ยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.จดั ตัง้ ศาลปกครองและ ประการท่ี 2 การแก้ไขหรือบรรเทาความเดือนร้อนหรือความเสียหายหรือยุติข้อโต้แย้งนั้น ต้องมคี าํ บงั คับตามที่กําหนดไวใ้ นมาตรา 72 แพง่ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง 3.1 ผู้ฟ้องคดีจะต้องเป็นผู้ท่ีได้รับความเดือนร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือ เสยี หายโดยมอิ าจหลีกเลี่ยงได้ พจิ ารณาจากลักษณะของคดีปกครองเป็นสาํ คัญ 3.1.1 คดีเกี่ยวกับการฟ้องเพิกถอนกฎ คําส่ัง หรือการกระทําอ่ืนใด และคดีเก่ียวกับการ ละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ม.9 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) แพ่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง เป็นคดีเก่ียวกับการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําทางปกครองต้องพิจารณา จาก “ประโยชน์ท่ีเกี่ยวข้อง” ถ้าการกระทําทางปกครองใดส่งผลกระทบทางกฎหมายต่อประโยชน์

ท่ีเกี่ยวข้องและเป็นการกระทําทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยประโยชน์ที่เกี่ยวข้องต้องมี ลักษณะโดยตรงและเฉพาะเจาะจงและต้องเกิดข้ึนหรืออาจเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและดํารงอยู่ โดยชอบด้วยกฎหมาย การพิจารณาว่าเป็นผู้ที่ได้รับความเดือนร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะ เดอื ดร้อนหรอื เสยี หายโดยมอิ าจหลกี เลย่ี งได้ จะใช้หลักผู้เสียหายอย่างกว้าง คือเพียงแต่ได้รับความ กระทบกระเทือนจากการกระทําน้ัน ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ได้รับความเดือนร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะ เดอื ดร้อนหรือเสียหายโดยมอิ าจหลกี เลย่ี งได้แล้ว โดยไมจ่ าํ ตอ้ งถกู โต้แย้งสทิ ธิจากการกระทําน้ันกไ็ ด้ ข้อสังเกต การที่บุคคลใดจะเป็นผู้ที่ได้รับความเดือนร้อนหรือเสียหายในคดีเกี่ยวกับการเพิกถอน กฎ คําสั่ง หรือกระทําการอื่นใดตาม ม.9 วรรคหน่ึง (1) ได้นั้น จะต้องได้ความว่ามีกฎ คําสั่ง หรือ การกระทําอื่นใดในเรื่องที่จะมีการฟ้องคดีนั้นเสียก่อน หากเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในข้ันตระเตรียมการ ของฝ่ายปกครองโดยยังไม่มีการออกกฎ คําสั่ง หรือกระทําอ่ืนใดมาแต่อย่างใด หรือกรณีท่ียังคงเป็น เพียงบันทึกเสนอความเห็น ร่างคําสั่งร่างระเบียบ หรือความเห็นของฝ่ายปกครองที่ไม่มีลักษณะ เป็นกฎ คาํ สง่ั หรอื การกระทําอ่ืนใด หรือเป็นการกลา่ วให้สมั ภาษณ์ว่าควรออกคาํ สัง่ กรณีเหล่านี้ถือว่า บคุ คลนน้ั ยงั ไม่เปน็ ผู้ไดร้ บั ความเดือนรอ้ นหรอื เสยี หาย 3.1.2 คดีเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของฝ่ายปกครองหรือ คดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ม.9 วรรคหน่ึง (3) และ (4) การพิจารณาว่าเป็นผู้ท่ีได้รับความ เดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ใช้หลักผู้เสียหาย อย่างแคบ กล่าวถือ ต้องถูกโต้แย้งสิทธิในเรื่องนั้น เป็นผู้ท่ีถูก “โต้แย้งสิทธิ” เท่านั้น เพราะต้องเป็น “ผู้ทรงสิทธิ” ต้องพิจารณาว่าโดยสภาพและสิทธิถูกโต้แย้งด้วยการกระทําละเมิดหรือการไม่ปฏิบัติ ตามสัญญาหรอื จากความรับผิดอยา่ งอืน่ ของฝ่ายปกครอง 3.2 การแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายหรือยุติข้อโต้แย้งนั้นต้องมี คําบงั คับตามท่ีกําหนดไวใ้ นมาตรา 72 3.2.1 คําขอของผู้ฟ้องคดีต้องเป็นคําขอที่จําเป็นต้องมีคําบังคับของศาล หมายถึง คําขอ ที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐไม่สามารถบังคับได้ด้วยตนเอง หรือคําขอท่ีเหตุ แหง่ การฟ้องคดียงั ไมไ่ ด้หมดสิน้ ไป หรือคาํ ขอทีย่ งั ไมม่ ผี ลบงั คับเป็นไปตามกฎหมายในเรื่องนัน้ 3.2.2 คาํ ขอของผฟู้ อ้ งคดตี ้องเป็นคําขอท่ศี าลสามารถกําหนดคาํ บังคับให้ได้ คําบังคับท่ีศาล ปกครองจะมีอํานาจกําหนดในการพิพากษาคดีย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะของคดีปกครองตาม ม.9 วรรคหนึ่ง มรี ายละเอียดดงั น้ี

3.2.2.1 คําขอที่ศาลสามารถกําหนดคําบังคบั ให้ได้ 1) ในคดีพาทเก่ียวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทําการโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คําส่ัง หรือกระทําการอื่นใด ศาลปกครองมีอํานาจกําหนด คําบังคับอย่างหน่ึงอย่างใด ตาม ม.72 วรรคหน่ึง (1) สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคําสั่งหรือสั่งห้าม การกระทําทั้งหมดหรือบางส่วน ใน โดยศาลปกครองมีอํานาจกําหนดว่าจะให้มีผลย้อนหลังหรือ ไม่ย้อนหลังหรือมีผลไปในอนาคตถึงขณะใดขณะหนึ่งได้ หรือจะกําหนดให้มีเงื่อนไขอย่างใดก็ได้ ทั้งน้ี ตามความเป็นธรรมแห่งกรณีตาม ม.72 วรรคสอง และในกรณีท่ีศาลปกครองมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้ เพิกถอนกฎ ให้มีการประกาศผลแห่งคําพิพากษาดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา และให้การประกาศ ดังกล่าวมีผลเป็นการเพิกถอนกฎน้ันตาม ม.72 วรรคสาม 2) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกําหนด ให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรตาม ม.9 วรรคหนึ่ง (2) ศาลปกครองมีอํานาจกําหนดคําบังคับสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งปฏิบัติตามหนา้ ที่ภายในเวลาทศ่ี าลปกครองกําหนด ตาม ม.72 วรรคหนึ่ง (2) 3) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดหรือความรับผิดอย่างอ่ืนของหน่วยงาน ทางปกครองหรือเจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐ หรอื ในคดพี ิพาทเกยี่ วกับสัญญาทางปกครอง ศาลปกครองมีอํานาจ กําหนดคําบังคับ ส่ังให้ใช้เงินหรือให้ส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ โดยจะ กําหนดระยะเวลาและเง่อื นไขอ่นื ๆ ไว้ด้วยกไ็ ด้ ตาม ม.72 วรรคหนง่ึ (3) 4) ในคดีพิพาทเก่ียวกับการท่ีหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐฟ้องต่อศาล ปกครองเพอื่ บังคบั ใหบ้ ุคคลกระทําหรือละเว้นกระทําอย่างหนึ่งอย่างใด ศาลปกครองมีอํานาจกําหนด คําบังคับสั่งให้บุคคลกระทําหรือละเว้นกระทําอย่างหน่ึงอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายได้ ตาม ม.72 วรรคหน่งึ (5) 5) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของสิทธิหรือหน้าท่ีของบุคคลศาลปกครอง มีอํานาจกําหนดคําบังคับ สั่งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐถือปฏิบัติต่อสิทธิ หรือหน้าที่ของบุคคลท่ีเกี่ยวข้องได้ ตาม ม.72 วรรคหนึ่ง (4) 3.2.2.2 คาํ ขอทศ่ี าลไม่สามารถกําหนดคาํ บงั คับใหไ้ ด้ 1) คาํ ขอทใ่ี ห้ดําเนินการทางวินยั หรอื ลงโทษทางอาญา 2) คําขอใหม้ ีคาํ ส่งั เก่ยี วกบั การบริหารงานบุคคล 3) คําขอทใี่ หแ้ ก้ไขสญั ญาซ่งึ อยู่นอกเหนอื ไปจากข้อสัญญา

4) คําขอให้ชดใชค้ า่ ธรรมเนียมศาลและคา่ ใชจ้ ่ายในการดําเนินคดี 5) คําขอให้นาํ กฎฉบับเดมิ มาใช้บงั คับ 6) คําขอให้ออกใบอนญุ าต 7) คําขอใหม้ ีคําสง่ั เก่ียวงานเชงิ นโยบาย 4. เงือ่ นไขเกย่ี วกบั การดาํ เนนิ การเพื่อแกไ้ ขความเดือนรอ้ นหรือเสยี หาย 4.1 การฟอ้ งคดีเกีย่ วกบั ความชอบดว้ ยกฎหมายของกฎ ไม่มีกฎหมายกําหนดข้ันตอนหรือวิธีการแก้ไขความเดือนร้อนหรือเสียหายไว้โดยเฉพาะ ผู้ฟ้องคดี จึงไม่ต้องดําเนินการใดๆ เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายตาม ม.42 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. จัดต่งั ศาลปกครองฯ “ม.42 วรรคสอง ในกรณีที่มีกฎหมายกําหนดข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับการแก้ไขความ เดือดรอ้ นหรือเสียหายในเร่อื งใดไว้โดยเฉพาะ การฟ้องคดีปกครองในเรอื่ งน้ันจะกระทําได้ต่อเมื่อมีการ ดําเนินการตามข้ันตอนและวธิ กี ารดังกล่าว และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้น หรือมิได้มีการส่ังการ ภายในเวลาอันสมควร หรือภายในเวลาท่ีกฎหมายนน้ั กาํ หนด” 4.2 การฟอ้ งคดีเกย่ี วกบั ความชอบด้วยกฎหมายของคําสง่ั ทางปกครองท่ัวไป ไม่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการแก้ไขความเดือนร้อนหรือเสียหายไว้โดยเฉพาะและ โดยลักษณะของคําส่ังทางปกครองโดยทั่วไปมิได้กําหนดตัวผู้รับคําสั่งไว้โดยเฉพาะเจาะจง ผู้ฟ้องคดี จงึ ไมอ่ าจเปน็ คกู่ รณีทีจ่ ะใชส้ ทิ ธิอุทธรณค์ าํ สั่งได้ตาม ม.44 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏบิ ตั ฯิ 4.3 การฟอ้ งคดีเกย่ี วกบั ความชอบด้วยกฎหมายของคาํ สงั่ ทางปกครอง 4.3.1 กฎหมายท่กี ําหนดข้นั ตอนหรอื วธิ กี ารอทุ ธรณ์คาํ สัง่ ทางปกครอง มาตรา 44 แหง่ พ.ร.บ. วธิ ีปฏิบัติฯ ภายใต้บังคบั มาตรา 48 ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองใด ไมไ่ ดอ้ อกโดยรฐั มนตรี และไม่มกี ฎหมายกําหนดข้ันตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ใหค้ กู่ รณีอทุ ธรณ์คาํ สั่งทางปกครองน้นั โดยยน่ื ตอ่ เจา้ หนา้ ที่ผูท้ ําคาํ สั่งทางปกครองภายใน 15 วันนับแต่ วันท่ีตนได้รบั แจง้ คาํ สงั่ ดังกลา่ ว 4.3.2 คาํ ส่งั ทางปกครองทไี่ มต่ อ้ งอทุ ธรณ์กอ่ นฟ้องคดี ไดแ้ ก่ 1) คาํ ส่งั ทางปกครองทีอ่ อกโดยรฐั มนตรี มาตรา 44 วรรคหนึง่ แห่ง พ.ร.บ. วธิ ปี ฏิบัตฯิ 2) คําส่งั ทางปกครองท่อี อกโดยคณะกรรมการ ม.44 วรรคหน่ึงประกอบ ม.87 แห่ง พ.ร.บ. วธิ ีปฏบิ ตั ิฯ

มาตรา 48 คําสั่งทางปกครองของบรรดาคณะกรรมการต่าง ๆ ไม่ว่าจะจัดตั้งข้ึน ตามกฎหมายหรือไม่ ให้คู่กรณีมีสิทธิโต้แย้งต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามกฎหมายว่าด้วย คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับ แจ้งคําสั่งนั้น แต่ถ้าคณะกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท สิทธิการอุทธรณ์และ กําหนดเวลาอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามทบ่ี ัญญัตใิ นกฎหมายวา่ ด้วยคณะกรรมการกฤษฎกี า 3) คําสั่งทางปกครองทีผ่ ู้ฟ้องคดีไม่ใช่คู่กรณีในการออกคําสั่งทางปกครองตาม ม.5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบตั ิ ฯ ม.5 “คู่กรณี” หมายความว่า ผู้ย่ืนคําขอหรือผู้คัดค้านคําขอ ผู้อยู่ในบังคับหรือจะอยู่ ในบังคับของคําส่ังทางปกครอง และผู้ซึ่งได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองเน่ืองจากสิทธิ ของผู้นนั้ จะถกู กระทบกระเทอื นจากผลของคาํ ส่งั ทางปกครอง 4) คาํ สงั่ ทางปกครองทีม่ ีกฎหมายเฉพาะกําหนดให้เปน็ ทสี่ ดุ 5) คําสงั่ ทางปกครองท่มี ีกฎหมายเฉพาะกาํ หนดใหฟ้ ้องศาลได้ทนั ที 4.3.3 กรณที ย่ี งั มิไดด้ ําเนินการแกไ้ ขความเดอื นร้อนเสยี หายก่อนฟ้องคดี มาตรา 42 วรรคสอง ในกรณีท่ีมีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแก้ไข ความเดือดรอ้ นหรือเสียหายในเรอ่ื งใดไวโ้ ดยเฉพาะ การฟ้องคดปี กครองในเรื่องนนั้ จะกระทําได้ต่อเมื่อ มีการดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว และได้มีการส่ังการตามกฎหมายนั้น หรือมิได้มีการ สง่ั การภายในเวลาอนั สมควร หรือภายในเวลาทก่ี ฎหมายน้นั กําหนด 4.3.4 กรณีที่ได้ดําเนินการแก้ไขความเดือดร้อนเสียหายก่อนฟ้องคดีแล้ว เช่น ในกรณี ผู้ฟ้องคดีได้ดําเนินการคลาดเคล่ือนไปจากข้ันตอนหรือวิธีการที่กฎหมายกําหนดไว้บ้าง ก็อาจถือได้ว่า ผูฟ้ อ้ งคดไี ดด้ าํ เนินการแกไ้ ขความเดือนรอ้ นเสยี หายก่อนฟ้องคดแี ล้ว 4.4 การฟ้องคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิดทางปกครอง โดยหลักการฟ้องคดีเกี่ยวกับ การกระทําละเมิดทางปกครองเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแก้ไข ความเดือดร้อนหรือเสียหายไว้โดยเฉพาะ ดังน้ันผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการกระทํา ละเมิดทางปกครองจงึ ฟ้องคดพี ิพาทเกีย่ วการกระทําละเมิดทางปกครองได้ทันทีโดยไม่ต้องดําเนินการ ใดๆ เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายก่อน ตาม ม.42 วรรคสอง แต่การฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับ การกระทาํ ทางปกครองอนั เกดิ จากคาํ สั่งทางปกครองไมว่ ่าจะมีคําขอให้เพิกถอนคําสั่งทางปกครองน้ัน ด้วยหรือไมก่ ็ตาม จะกระทําไดก้ ็ต่อเมื่อผู้ฟอ้ งคดีได้อุทธรณค์ ําส่ังทางปกครองน้ันแล้ว เว้นแต่เป็นคําส่ัง ทางปกครองท่ไี ม่ต้องอทุ ธรณ์ก่อนฟ้องคดี

4.5 การฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง เป็นกรณีท่ีไม่มีกฎหมายกําหนดข้ันตอน หรือวิธีการสําหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายไว้โดยเฉพาะ ผู้ฟ้องคดีสามารารถฟ้องคดี ต่อศาลปกครองได้ทันทีโดยไม่ต้องดําเนินการใดๆ เพ่ือแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายก่อน ตาม ม.42 วรรคสองกอ่ น 5. เง่อื นไขเกยี่ วกับความสามารถของผูฟ้ ้องคดี โดยหลกั ผ้ฟู ้องคดีปกครองต้องเป็นบุคคลที่มี ความสามารถในการทาํ นติ ิกรรมตามที่ ป.พ.พ.ว่าด้วยความสามารถบัญญตั ิไว้ 6. เงอ่ื นไขเกี่ยวกับคาํ ฟอ้ ง มาตรา 45 คําฟอ้ งใหใ้ ช้ถอ้ ยคําสุภาพและต้องมี (1) ชอื่ และทอ่ี ยขู่ องผฟู้ อ้ งคดี (2) ช่ือหนว่ ยงานทางปกครองหรือเจา้ หน้าทีข่ องรัฐที่เกีย่ วขอ้ งอนั เปน็ เหตแุ ห่งการฟอ้ งคดี (3) การกระทําท้ังหลายที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี พร้อมท้ังข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ ตามสมควรเก่ยี วกบั การกระทําดงั กลา่ ว (4) คําขอของผูฟ้ ้องคดี (5) ลายมือช่ือของผู้ฟ้องคดี ถ้าเป็นการยื่นฟ้องคดีแทนผู้อ่ืนจะต้องแนบใบมอบฉันทะ ให้ฟ้องคดมี าดว้ ย คําฟ้องใดมีรายการไม่ครบตามวรรคหนึ่ง หรือไม่ชัดเจน หรือไม่อาจเข้าใจได้ ให้สํานักงานศาลปกครองให้คําแนะนําแก่ผู้ฟ้องคดีเพ่ือดําเนินการแก้ไขเพิ่มเติมคําฟ้องน้ันให้ถูกต้อง ในการนใ้ี หถ้ ือวนั ทีย่ ่ืนฟอ้ งครง้ั แรกเป็นหลกั ในการนับอายคุ วาม ในกรณีที่มีผู้ประสงค์จะฟ้องคดีปกครองหลายคนในเหตุเดียวกัน บุคคลเหล่านั้นอาจยื่น คําฟ้องร่วมกันเป็นฉบับเดียว โดยจะมอบหมายให้ผู้ฟ้องคดีคนใดเป็นผู้แทนของผู้ฟ้องคดีทุกคน ในการดําเนินคดีต่อไปก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ให้ถือว่าการกระทําของผู้แทนผู้ฟ้องคดีในกระบวน พิจารณาผูกพันผู้ฟ้องคดีทุกคน การฟ้องคดีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล เว้นแต่การฟ้องคดีขอให้สั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบ ทรัพย์สินอันสืบเนื่องจากคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) หรือ (4) ให้เสียค่าธรรมเนียมศาลตาม ทุนทรัพย์ในอัตราตามที่ระบุไว้ในตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สําหรับคดี ที่มีคาํ ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคาํ นวณเป็นราคาเงินได้ ในการดําเนินกระบวนพิจารณา คู่กรณีจะดําเนินการทั้งปวงด้วยตนเองหรือจะมอบอํานาจ ให้ทนายความหรือบุคคลอ่ืน ซ่ึงมีคุณสมบัติตามระเบียบของท่ีประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครอง สูงสุดกําหนดเพื่อฟอ้ งคดหี รอื ดําเนินการแทนได้

7. เงอ่ื นไขเก่ยี วกับระยะเวลาการฟอ้ งคดี มาตรา 49 การฟ้องคดีปกครองจะต้องย่ืนฟ้องภายใน 90 วันนับแต่วันท่ีรู้หรือควรรู้ถึงเหตุ แห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกําหนด 90 วันนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอ ต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดและไม่ได้ รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือได้รับแต่เป็นคําชี้แจงที่ผู้ฟ้อง คดีเห็นว่าไม่มีเหตุผล แล้วแต่กรณี เว้นแต่จะมีบทกฎหมายเฉพาะกาํ หนดไว้เป็นอย่างอ่ืน 7.1 ระยะเวลาการฟอ้ งคดีปกครองตาม ม.9 วรรคหนึ่ง (1) ภายใน 90 วนั 7.1.1 วันท่ีรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีขอให้เพิกถอนกฎ ต้องถือวันท่ีกฎประกาศ ในราชกจิ จานุเบกษา สําหรับกฎที่ไมได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วนั ท่รี หู้ รือควรรู้เหตุแห่งการฟ้อง คดีขอใหเ้ พกิ ถอนกฎต้องถอื วนั ท่ีมีการประกาศกฎน้ันตามกฎหมายกําหนดหรือวันท่ีผู้อยู่ภายใต้บังคับ ของกฎได้รู้หรือควรรู้ถึงกฎน้ันตามความเป็นจรงิ 7.1.2 วันท่ีรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีขอให้เพิกถอนคําสั่ง ต้องถือวันท่ีผู้ฟ้องคดี ไดร้ ับแจง้ ให้ทราบถงึ คาํ สั่งโดยชอบแลว้ 7.2 ระยะเวลาการฟ้องคดปี กครองตาม ม.9 วรรคหนงึ่ (2) ภายใน 90 วัน 7.3 ระยะเวลาการฟ้องคดีปกครองตาม ม.9 วรรคหน่งึ (3) ภายใน 1 ปแี ต่ไมเ่ กิน 10 ปี 7.4 ระยะเวลาการฟอ้ งคดปี กครองตาม ม.9 วรรคหนึ่ง (4) ภายใน 5 ปแี ต่ไม่เกิน 10 ปี หมายเหตุ ข้อ 7.3 และข้อ 7.4 ตามมาตรา 51 การฟ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหน่ึง (3) ใหย้ ื่นฟ้องภายใน 1 ปี และการฟ้องคดตี ามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) ให้ยื่นฟ้องภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ ร้หู รอื ควรรถู้ ึงเหตุแหง่ การฟ้องคดี แต่ไมเ่ กนิ 10 ปีนับแต่วนั ท่มี เี หตุแหง่ การฟ้องคดี 7.5 ระยะเวลาการฟ้องคดีปกครองเกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณาหรือสถานะ ของบคุ คล จะย่นื ฟอ้ งเมอ่ื ใดกไ็ ดต้ ามมาตรา 52 วรรคหน่งึ มาตรา 52 วรรคหน่ึง การฟ้องคดีปกครองท่ีเก่ียวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือ สถานะของบคุ คลจะย่นื ฟ้องคดเี มือ่ ใดก็ได้ “ลักษณะของการฟ้องคดีเก่ียวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ” น้ันต้องปรากฏว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองประโยชน์ท่ีมีลักษณะเป็นการตอบสนองความต้องการของประชาชน สว่ นใหญ่ในสังคมและยังผลให้เกิดความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม มิได้มีลักษณะท่ีให้ประโยชน์ เป็นการเฉพาะตัวต่อบุคคลใดหรือตัวบุคคลท่ีดําเนินการเองหรือกลุ่มสมาชิกใดในสังคมที่เป็นการ เฉพาะเจาะจง

“สถานะของบุคคล” หมายถึง สถานะตามกฎหมายที่ได้รับความคุ้มครองสิทธิในการเป็น บุคคลและสทิ ธิท่ีจะได้รับความคุ้มครองเก่ียวเน่ืองกับการเป็นบุคคล โดยสถานะเป็นเคร่ืองชี้ให้เห็นถึง สิทธแิ ละหน้าท่ีของบคุ คล 7.6 การฟอ้ งคดีปกครองเมอ่ื พน้ กําหนดระยะเวลาการฟอ้ งคดี มาตรา 52 วรรคสอง การฟ้องคดีปกครองท่ีย่ืนเม่ือพ้นกําหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ว ถ้าศาล ปกครองเห็นว่าคดีที่ย่ืนฟ้องน้ันจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจําเป็นอ่ืนโดยศาลเห็นเองหรือ คกู่ รณมี ีคาํ ขอ ศาลปกครองจะรับไวพ้ จิ ารณาก็ได้ 7.6.1 การฟ้องคดีปกครองท่ีเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ม.3 แห่ง พ.ร.บ. จัดต้ังศาล ปกครองฯ “ประโยชน์แก่ส่วนรวม” หมายความว่า ประโยชน์ต่อสาธารณะหรือประโยชน์อันเกิด แก่การจัดทาํ บริการสาธารณะหรือการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือประโยชน์อื่นใดที่เกิดจากการ ดําเนินการหรือการกระทําที่มีลักษณะเป็นการส่งเสริม หรือสนับสนุนแก่ประชาชนเป็นส่วนรวม หรือประชาชนส่วนรวมจะได้รับประโยชน์จากการดําเนินการหรือการกระทํานั้น 7.6.2 การฟอ้ งคดีทม่ี ีเหตุจาํ เป็นอนื่ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวางหลักไว้ว่า “แม้เหตุจําเป็นอื่นจะมิใช่เหตุสุดวิสัยตาม ม.8 ประกอบกับ ม.193/19 แห่ง ป.พ.พ. แต่ก็ย่อมหมายความถึงเหตุท่ีเป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้ผู้ฟ้องคดี สามารถย่ืนคําฟ้องภายในระยะเวลาการฟ้องคดีที่กฎหมายกําหนดได้เป็นสําคัญ โดยจะต้องพิจารณา จากเหตุผลอ่ืนท่ีทําให้ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถนําคดีมาฟ้องภายในกําหนดเวลา ซึ่งจะต้องมิใช่เหตุอันจะ โทษผู้ฟ้องคดไี ด้” 8. เงอ่ื นไขเกยี่ วกับการชาํ ระค่าธรรมเนียมศาล การฟ้องคดีไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล เว้นแต่การฟ้องคดีขอให้สั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบ ทรัพย์สินอันสืบเนื่องจากคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) หรือ (4) ให้เสียค่าธรรมเนียมศาลตาม ทุนทรัพย์ในอัตราตามที่ระบุไว้ในตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สําหรับคดี ท่ีมีคําขอให้ปลดเปล้ืองทุกข์อันอาจคาํ นวณเป็นราคาเงินได้ 8.1 คดีปกครองทตี่ ้องเสยี ค่าธรรมเนียมศาล ม.45 อัตราตามที่ระบุไว้ในตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1) ต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 2 ของทุนทรัพย์แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท สําหรับทุนทรัพย์ไม่เกิน 50 ลา้ นบาท

2) ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในอัตราร้อยละ 0.1 ของทุนทรัพย์ สําหรับทุนทรัพย์ที่เกิน 50 ล้านบาท 8.2 การขอยกเว้นค่าธรรมเนยี ม ม.45/1 มาตรา 45/1 การฟ้องคดที ่ีต้องเสยี คา่ ธรรมเนียมศาลตามมาตรา 45 วรรคสี่ หากคู่กรณีใดยื่น คําขอต่อศาลโดยอ้างว่า ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอท่ีจะเสียค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะของผู้ขอถ้า ไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ถ้าศาลเห็นว่ามีข้อเท็จจริงเพียง พอที่จะรับฟ้องไว้พิจารณา หรือในกรณีอุทธรณ์ซ่ึงศาลเห็นว่ามีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ได้ แล้วแต่กรณี และศาลได้แสวงหาข้อเท็จจริงโดยการไต่สวนหรือโดยวิธีอื่นแล้วเห็นว่ามีเหตุตามคําขอ จริง ให้ศาลอนุญาตใหค้ ู่กรณนี ้ันดาํ เนนิ คดี โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือเฉพาะบางส่วนได้ คําสงั่ ให้ยกเวน้ คา่ ธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้เป็นทีส่ ดุ ในกรณีทศ่ี าลมคี ําสง่ั ให้ยกเวน้ ค่าธรรมเนยี มศาลเฉพาะบางสว่ น หรือมคี าํ สั่งใหย้ กคําขอ ผู้ย่ืนคําขอมี สทิ ธดิ าํ เนนิ การอยา่ งใดอย่างหนงึ่ ดงั ตอ่ ไปนี้ ภายในสิบหา้ วนั นับแตว่ ันท่ีได้รับแจง้ คําสง่ั (1) ย่ืนคําร้องขอให้พิจารณาคําขอนั้นใหม่ เพ่ืออนุญาตให้ตนนําพยานหลักฐานมาแสดง เพม่ิ เตมิ ว่าไมม่ ีทรัพย์สนิ เพยี งพอทจี่ ะเสียคา่ ธรรมเนยี มศาลได้จริง หรือโดยสถานะของผู้ขอ ถ้าไม่ได้รับ ยกเว้นคา่ ธรรมเนยี มศาลจะไดร้ บั ความเดือดรอ้ นเกนิ สมควร (2) ย่ืนอุทธรณ์คาํ สง่ั นัน้ ตอ่ ศาลปกครองสูงสุด ในกรณที คี่ ู่กรณีใช้สทิ ธติ าม (1) หรอื (2) อยา่ งใดอย่างหน่งึ แล้ว จะใช้สทิ ธอิ ีกประการหนง่ึ มไิ ด้ การย่ืนคําขอ การพิจารณาคําขอ การขอให้พิจารณาใหม่ การอุทธรณ์และการดําเนิน กระบวนพิจารณาอ่ืนใดที่เก่ียวกับการขอดําเนินคดีตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไป ตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารท่ีกาํ หนดโดยระเบียบของท่ปี ระชมุ ใหญ่ตลุ าการในศาลปกครองสูงสุดท่ีออก ตามมาตรา 44 8.2.1 คําสั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลท้ังหมด ให้คําสั่งนั้นเป็นท่ีสุด ตาม มาตรา 45/1 วรรคหนงึ่ 8.2.2 คาํ สัง่ ใหย้ กเว้นค่าธรรมเนยี มบางส่วนหรือยกคําขอ มาตรา 45/1 วรรคสอง ในกรณีที่ศาลมคี ําสง่ั ให้ยกเว้นคา่ ธรรมเนียมศาลเฉพาะบางสว่ น หรอื มีคําสั่งให้ยกคําขอ ผู้ย่ืนคําขอ มีสทิ ธดิ ําเนนิ การอย่างใดอย่างหนงึ่ ดงั ต่อไปนี้ ภายในสิบห้าวันนับแตว่ นั ที่ไดร้ ับแจ้งคําส่ัง (1) ยื่นคําร้องขอให้พิจารณาคําขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้ตนนําพยานหลักฐาน มาแสดงเพิ่มเติมว่าไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้จริง หรือโดยสถานะของผู้ขอ ถ้าไมไ่ ดร้ บั ยกเวน้ คา่ ธรรมเนียมศาลจะไดร้ บั ความเดอื ดร้อนเกินสมควร (2) ย่นื อุทธรณค์ ําสง่ั นน้ั ตอ่ ศาลปกครองสงู สุด ในกรณที คี่ ู่กรณีใช้สิทธติ าม (1) หรอื (2) อยา่ งใดอย่างหนึ่งแล้ว จะใชส้ ทิ ธิอีกประการหนึง่ มไิ ด้

8.3 ผลของการไม่ชําระค่าธรรมเนียมศาลหรือชําระไม่ครบถ้วน สําหรับการฟ้องคดีปกครอง ตาม ม.9 วรรคหนึ่ง (3) และ (4) (ศาลไม่รับคําฟ้องและสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความตาม ขอ้ 37 วรรคสอง แห่ง ระเบยี บฯ ว่าด้วยวธิ ีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543) 9. เง่ือนไขเก่ยี วกับการฟอ้ งซ้อน การฟ้องซํา้ และการดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณาซ้ํา 9.1 การฟอ้ งซํ้า ระเบยี บฯ ขอ้ 36/1 ข้อ 36 นบั แตเ่ วลาท่ีได้ย่นื คาํ ฟ้องต่อศาลแล้ว คดีนัน้ อย่ใู นระหวา่ งการพจิ ารณา และผลแหง่ การนี้ (1) ห้ามมใิ หผ้ ูฟ้ ้องคดยี นื่ คําฟ้องเร่อื งเดียวกันนน้ั ตอ่ ศาลเดยี วกันหรือตอ่ ศาลอนื่ อกี และ 9.2 การฟ้องซาํ้ ระเบยี บฯ ขอ้ 97 ข้อ 97 คดีท่ีได้มีคําพิพากษาหรือคําส่ังชี้ขาดคดีถึงท่ีสุดแล้ว ห้ามมิให้คู่กรณีเดียวกันฟ้องกัน อีกในประเด็นทีไ่ ดว้ นิ ิจฉยั โดยอาศยั เหตุอย่างเดยี วกัน 9.3 การดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณาซา้ํ ระเบยี บฯ ขอ้ 96 ข้อ 96 เม่ือศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังชี้ขาดคดีหรือประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว ห้ามมิให้ ดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเก่ียวกับคดหี รอื ประเด็นที่ได้วนิ จิ ฉยั ชขี้ าดแล้วนั้น เว้นแต่ (1) การแก้ไขขอ้ ผิดพลาดหรอื ผิดหลงเล็กนอ้ ยตามขอ้ 95 (2) การพิจารณาพพิ ากษาหรือมีคําส่ังชข้ี าดคดใี หม่ตามมาตรา 75 (3) การพิจารณาใหม่แห่งคดีท่ีสํานวนคดีหรือเอกสารในสํานวนคดีสูญหายหรือบุบสลาย ตามขอ้ 21 (4) การยื่น การรับ หรือไม่รับอทุ ธรณ์ตามมาตรา 73 (5) การดําเนินการเก่ียวกับการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวในระหว่างการย่ืนอุทธรณ์ ซ่ึงคํา อทุ ธรณอ์ ยรู่ ะหว่างการพจิ ารณาของศาลปกครองชน้ั ต้นตามข้อ 104 หรือข้อ 106 (6) การทีศ่ าลปกครองสูงสุดส่งคดีคืนไปยังศาลปกครองชั้นต้นท่ีได้พิจารณาและพิพากษา หรือมีคาํ สงั่ คดนี นั้ เพ่อื ใหพ้ พิ ากษาหรอื มคี าํ สั่งใหมห่ รือพิจารณาและพพิ ากษาหรอื มีคาํ ส่งั ใหม่ตามขอ้ 112 (7) การบังคับคดตี ามคาํ พพิ ากษาหรือคาํ ส่ัง

บทท่ี 3 กฎหมายว่าดว้ ยความรบั ผดิ ทางละเมิดของเจ้าหนา้ ท่ี 1. ความเป็นมาของกฎหมาย 2. สภาพปญั หาและแนวทางการแกป้ ญั หาของระบบความรบั ผดิ ทางละเมิดของเจา้ หนา้ ที่ 2.1 ผู้ต้องรับผิดชดใช้คา่ สินไหมทดแทนแกผ่ ้เู สยี หาย 2.1.1 ผู้ต้องรบั ผิดชดใช้คา่ สนิ ไหมทดแทนตาม ป.พ.พ. 2.1.1.1 เจา้ หนา้ ทกี่ ระทําละเมดิ ตอ่ บุคคลภายนอก 1) หากไม่ใช่ในการปฏบิ ตั ิหน้าที่ ต้องรับผิดในผลน้ันเป็นแห่งละเมิดน้ันเป็น การเฉพาะตัว ตาม ป.พ.พ. ม.420 2) เป็นการกระทําในการปฏิบัติหน้าท่ี ต้องรับผิดในผลน้ันเป็นแห่งละเมิด นน้ั เป็นการเฉพาะตัว ตาม ป.พ.พ. ม.420 หรอื ม.425 2.1.1.2 เจ้าหนา้ ทกี่ ระทาํ ละเมิดตอ่ หน่วยงานของรฐั (ไม่ว่าจะกระทําในการปฏิบัติ หน้าที่หรอื ไม่หนว่ ยงานของรฐั ฟอ้ งเรยี กคา่ สนิ ไหมทดแทนไดต้ ามป.พ.พ. ม.420 ) 2.1.2 ผ้ตู ้องรบั ผดิ ชดใช้คา่ สนิ ไหมทดแทนตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ 2.1.2.1 เจ้าหน้าที่กระทาํ ละเมิดตอ่ บุคคลภายนอก 1) หากไม่ใช่ในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องรับผิดในผลนั้นเป็นแห่งละเมิดนั้นเป็น การเฉพาะตัว 2) หากเป็นการกระทําในการปฏบิ ัติหน้าที่ ผเู้ สยี หายตอ้ งฟ้องหน่วยงานของ รัฐโดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ตาม ม.5วรรคหน่ึง และหน่วยงานของรัฐจะมาไล่เบ้ีย จากเจ้าหน้าท่ีไม่ได้ เว้นแต่การกระทําละเมิดน้ันจะเกิดข้ึนด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่าง ร้ายแรงตาม ม.8 วรรคหนงึ่ 2.1.2.2 เจา้ หนา้ ทีก่ ระทําละเมดิ ตอ่ หน่วยงานของรัฐ 1) หากไม่ใช่ในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องรับผิดในผลน้ันเป็นแห่งละเมิดนั้น เป็นการเฉพาะตัว โดยหน่วยงานของรัฐอาจฟ้องให้เจ้าหน้าที่รับผิดตาม ป.พ.พ ประกอบ ม.10 ตอนทา้ ย แห่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมดิ ฯ 2) หากเป็นการกระทําในการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐจะเรียกร้อง ใหเ้ จา้ หนา้ ทีร่ บั ผิดไม่ได้ เว้นแต่การกระทําละเมิดน้ันจะได้เกิดข้ึนด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อ




















Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook