Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ไทยสกลรวมเผ่า รากเหง้าเดียวกัน

ไทยสกลรวมเผ่า รากเหง้าเดียวกัน

Published by phanu.nova, 2020-07-03 00:36:32

Description: ไทยสกลรวมเผ่า รากเหง้าเดียวกัน : สพสันต์ เพชรคำ
อภินันทนาการโดย องค์การบริหารส่วนท้องจังหวัดสกลนคร
ออกแบบจัดรูปเล่ม : ภาณุพันธ์ โนวยุทธ

Keywords: ชาติพันธุ์,ไทสกล,สกลนคร,หนองหาร,ภูผายนต์,ไทลาว,ภูไท

Search

Read the Text Version

ไทสกลรวมเผ่า ร า ก เ ห ง ้ า เ ดี ย ว กั น ภาพ 78 ศาลากลางจังหวดั สกลนคร หลังที่ 2 สร้างเม่อื ปีพุทธศกั ราช 2506 ต่อมาทางราชการยกทด่ี นิ และสิ่งปลกู สรา้ ง ใหจ้ ัดต้งั เปน็ โรงเรยี นฝกึ หดั ครสู กลนคร หรอื มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนครในปัจจุบนั ที่มา : พพิ ธิ ภณั ฑ์เมืองสกลนคร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร ภาพ 79 เหตุการณไ์ ฟไหมค้ รั้งใหญ่ ในเทศบาลเมืองสกลนคร เม่อื ปีพุทธศักราช 2516 ท่ีมา : นายประสาท ตงศริ ิ ภาพ 80 เหตุการณไ์ ฟไหมต้ อ่ เน่อื ง อกี หลายครง้ั ในเทศบาลเมอื งสกลนคร ระหว่างปพี ทุ ธศกั ราช 2516-2518 ท่ีมา : ประสาท ตงศิริ ภาพ 81 บ้านเรือนคุ้มวดั พระธาตเุ ชิงชมุ ถ่ายเมอื่ ปีพุทธศักราช 2500 ทม่ี า : ประสาท ตงศริ ิ 50

4 ไทสกลนครรวมเผา่ รากเหง้าเดยี วกัน 4. ไทสกลรวมเผ่า รากเหง้าเดยี วกัน “ ไทสกล” เป็นคำ� ประสม 2 คำ� คอื คำ� ว่า “ไท” หมายถงึ คน, มนษุ ย,์ ผู้คน40 กบั คำ� ว่า “สกล” หมายถึง เมอื งสกลนคร ดงั น้นั “ไทสกล” จงึ หมายถงึ “คนเมอื งสกลนคร” หรือคนทม่ี ีถน่ิ ฐานอาศัยอยู่ ในจังหวัดสกลนคร เช่นเดียวกันกบั คำ� ว่า “ไทอดุ ร” หมายถงึ คนจากอุดรธานี หรือ “ไทสว่าง” หมายถึง คนจากอ�ำเภอสว่างแดนดิน เป็นต้น อย่างไรก็ตามการเรียกช่ือว่า “ไทสกล” ไม่ใช่การเรียกชื่อตามกลุ่ม “ชาติพันธ”ุ์ (Ethnics) เพราะค�ำว่า ชาตพิ นั ธใุ์ ช้เรยี กกล่มุ คนที่มภี าษา วถิ ชี ีวิต จารีตประเพณีคลา้ ยคลึงกนั รวมทั้งมีความส�ำนึกร่วมว่า เป็นคนที่มีสายโลหิตเดียวกัน เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันในทางวัฒนธรรม ดังน้ัน ค�ำว่า “ไทสกล” จึงประกอบด้วยคนมาหลากหลายถิ่นก�ำเนิด และมาจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ไทญ้อ (คนญ้อ), ไทลาว (คนลาว), ภูไท (คนภูไท), ไทโส้ (คนบรู), ไทโย้ย, ไทกะเลิง, คนไทยเชือ้ สายจีน, และคนไทยเชื้อสายเวียดนาม เป็นต้น กลุ่มชาติพันธุ์เหล่าน้ีได้อพยพเข้ามาตั้งถ่ินฐาน แล้วกระจายตัวกัน ออกไปอยู่ตามอ�ำเภอต่าง ๆ อยู่อาศัยในลักษณะ “ปะปนกัน” จนเกิดการผสมผสานใน “วิถีวัฒนธรรม” เปรียบเสมือนของการธำ� รงอยแู่ บบ “ไทสกลรวมเผา่ รากเหง้าเดียวกนั ” อกี ดว้ ย ภาพ 82 ผ้คู นหลายกล่มุ ชาตพิ ันธุ์ในมณฑลอดุ ร รอรับเสด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหลวงดำ� รงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ถา่ ยเมื่อ พ.ศ. 2449 ที่มา : ส�ำนกั หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ กรมศลิ ปากร 40 พจนานุกรม ฉบับมตชิ น. กรุงเทพฯ : สำ� นักพมิ พม์ ตชิ น. 2547, หนา้ 443 51

ไทสกลรวมเผ่า ร า ก เ ห ง ้ า เ ดี ย ว กั น การอพยพเคล่ือนยา้ ยและการตงั้ ถิน่ ฐานของกลุม่ ชาตพิ ันธ์ุ บรเิ วณเมอื งสกลนคร นอกจากความอุดมสมบูรณ์บรเิ วณ “แอ่งสกลนคร” (Sakon Nakhon Basin) มีเหมาะสมต่อการ ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์แล้ว การอพยพเคล่ือนย้ายผู้คนยังเกิดผลมาจาก “สงคราม” อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลกั ฐานของ “จารกึ วดั ธาตรุ า้ งบา้ นแร”่ 41 ต�ำบลแร่ อ�ำเภอพังโคน พบวา่ มีการต้ังถน่ิ ฐานของกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ ไทลาว เมอื่ ประมาณป ี พ.ศ. 189342 ตอ่ มาภายหลงั จากสงครามเจา้ อนวุ งศส์ น้ิ สดุ ลง กองทพั สยามกวาดตอ้ น ประชากรไปไว้ยังหัวเมืองช้ันในของสยามเป็นจ�ำนวนมาก ท�ำให้เมืองในแอ่งสกลนครมีพลเมืองลดน้อยลง คงมีบางเมืองท่คี งสภาพเมอื งไวไ้ ด้ เช่น นครพนม สกลนคร มุกดาหาร เป็นตน้ การกวาดต้อนผู้คนในช่วงสงครามระหว่างสยามกับเวียงจันทน์คร้ังส�ำคัญแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ คร้ังแรกเมอื่ ปี พ.ศ. 2376 ในรัชสมัยรชั กาลท่ี 3 กองทัพสยามแบง่ ออกเป็น 3 กองทัพ โดยกองทัพแรกเขา้ ตีเมืองแถง แควน้ สิบสองจไุ ท แคว้นหวั พันทง้ั หา้ ท้ังหกและเมอื งพวน กวาดตอ้ นผคู้ นชาวไทดำ� และไทพวนไป อยู่ท่ีเมอื งเพชรบรุ ี ลพบรุ ี รวมกับชาวไทด�ำกลุ่มเดิมท่อี พยพมากอ่ น กองทัพทสี่ องสยามได้ร่วมมอื กับเจา้ เมอื ง หนองหานและเมืองหนองคาย เข้าตีเมืองเชียงขวางของไทลาวพวน ส่วนกองทัพท่ีสาม เข้าตีเมืองมะหาไซ กองแก้ว เมอื งพอ้ ง เมืองละพานและเมอื งชมุ พร กวาดตอ้ นผู้คนประมาณ 6,000 คน ส่วนการกวาดต้อนผคู้ น ครงั้ ที่ 2 เมือ่ ปี พ.ศ. 2384 โดยกวาดตอ้ นผู้คนจากเมืองอา่ งค�ำ เมืองกะปอง เมืองพนิ เมืองพอ้ ง เมือง ละพาน เมืองเชียงฮ่ม และเมืองผาบัง แต่กวาดต้อนผู้คนได้เพียง 1,117 คนเท่านั้น เน่ืองจากส่วนใหญ่ หลบภัยหนีเขา้ ไปซอ่ นตวั ในปา่ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2385 เกดิ การเกลยี้ กลอ่ มผคู้ นทางฝง่ั ซา้ ยแมน่ ำ�้ โขงใหอ้ พยพเขา้ มามากขน้ึ เนอ่ื งจาก การกวาดต้อนจากสงครามหรอื การใช้กำ� ลังบังคบั ตามรูปแบบเดิมใช้ไม่ได้ผล รชั กาลท่ี 3 จึงทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ “ราชวงศ์จนั ทร”์ 43 (อนิ ทร)์ นอ้ งชายพระยาประเทศธานี (ค�ำ) เจ้าเมืองสกลนครทีอ่ พยพมาจากเมืองมหา ไซกองแก้ว แล้วเข้าสวามิภักด์ิต่อกองทัพสยาม โดยราชวงศ์จันทร์ (อินทร์)44 เป็นผู้มีความคุ้นเคยกับกลุ่ม ชาวเผ่าต่างๆ ในฝงั่ ซา้ ยแม่นำ้� โขงเปน็ อยา่ งดี จงึ อาสาเข้าไป “เกล้ียกล่อม” ชนเผา่ ให้ย้ายถ่ินฐานมาอยูท่ าง ฝ่งั สยาม การเกลย้ี กลอ่ มตอ้ งใชก้ ารพูดจาหว่านลอ้ มใหเ้ หน็ วา่ หากอยู่ต่อไปจะลำ� บาก และเปรียบใหเ้ หน็ บารมี ของกษัตรยิ ์สยามว่า “เปรยี บประดุจทะเลมหาสมทุ ร” แลว้ ยงั ให้การรบั รองอีกว่า เมื่อพาไพร่พลอพยพมาแลว้ จะไดร้ บั ทด่ี นิ ท�ำมาหากนิ ตงั้ เป็นบา้ นเมือง ท�ำให้บรรดาอุปราช ราชวงศข์ องเมืองต่าง ๆ ทางฝ่ังซ้ายไดอ้ พยพ ผู้คนมายงั เมืองสกลนครจ�ำนวนมาก ดังน4ี้ 5 1) กลมุ่ ผไู้ ท หรอื “ภูไท”46 เมืองพรรณานิคม อพยพมาจากเมืองวัง โดยมที า้ วโฮงกลางเปน็ หวั หน้า มาตงั้ บ้านเรอื นอยู่ทบี่ ้านปะขาว บา้ นพนั นา ต่อมาย้ายไปทบ่ี ้านพนั พรา้ วหรอื พรรณานิคม 2) กลมุ่ ผไู้ ท เมอื งวารชิ ภมู ิ เปน็ กลมุ่ ทอี่ พยพมาจากเมอื งกะปองในเขตเมอื งเซโปนปจั จบุ นั โดยอพยพ มาประมาณ 2,000 คนเขา้ สเู่ มอื งสกลนคร แต่เจ้าเมอื งสกลนครไม่ยนิ ยอมให้ต้ังเป็นเมือง จึงไป อยู่ที่บ้านหนองหอยในเขตเมอื งหนองหาน (อุดรธานี) และยกเปน็ เมอื งวาริชภมู ิในเวลาตอ่ มา 41 เปน็ จารึกอกั ษรไทยน้อยท่ีมีอายเุ ก่าแก่ทส่ี ดุ ในขณะนี้ 42 ตรงกบั ปพี ระเจ้าอทู่ องสถาปนากรุงศรีอยธุ ยา 43 เติม วิภาคยพ์ จนกิจ. ประวตั ศิ าสตรอ์ ีสาน. กรุงเทพฯ : สำ� นักพมิ พม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ 2557, หน้า 261 44 เอกสารบางฉบับเขยี น “ราชวงศ์อนิ ” (จนั ) หมายถงึ คนเดยี วกนั 45 สรุ ัตน์ วรางค์รัตน.์ ประวตั ิศาสตรส์ กลนคร. สกลนคร : วิทยาลัยครสู กลนคร. 2537, หน้า 10-14 46 นยิ มใช้กันอยู่ 2 แบบ คอื คำ� วา่ “ผู้ไท” (แต่ออกเสียงวา่ พู-ไท) หมายถึง กลุ่มชาตพิ ันธุ์พูดภาษาตระกูลไท มถี นิ่ ฐานเดิมอยู่ท่ี แคว้นสิบสองจุไท ส่วนค�ำว่า “ภูไท” (ออกเสียงตรงว่า พู-ไท) หมายถึง กลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทกลุ่มเดียวกัน แต่มี ความหมายทางนิเวศวัฒนธรรมของกลุ่ม มีวถิ ีวัฒนธรรมทำ� ไรส่ วนและต้ังถิ่นฐานอยู่ตามบริเวณเชงิ เขาเป็นสว่ นใหญ่ 52

4 ไทสกลนครรวมเผา่ รากเหง้าเดยี วกนั 3) กล่มุ ผไู้ ท เมืองจ�ำปาชนบท เปน็ กลมุ่ ท่มี าจากเมอื งกะปองเชน่ เดยี วกนั กับกลุ่มวาริชภมู แิ ตผ่ ู้นำ� เปน็ คนละกลมุ่ จงึ ไปตั้งบ้านเมอื งท่บี า้ นนาเหมืองและบ้านพงั โคน 4) กลุม่ ชาวกระโส้ เมอื งกสุ มุ าลย์ อพยพมาจากเมืองมหาไซ (ปัจจุบันอยูแ่ ขวงคำ� มว่ น) 5) กลุ่มชาวโย้ย เมืองอากาศอ�ำนวย เป็นกลุ่มท่ีมาจากเมืองหอมท้าวมีประมาณ 2,339 คน มี ท้าวติซอยเป็นหัวหน้า ไปต้ังบ้านเมืองที่บ้านม่วงริมห้วยยาม ต่อมาได้ยกบ้านม่วงเป็นเมือง อากาศอำ� นวยในปี พ.ศ. 2390 6) กลุ่มชาวโย้ย เมืองวานรนิวาส เป็นกลุ่มท่ีติดตามพระสุนทรราชวงศาไปอยู่เมืองยโสธรใน พ.ศ. 2396 โดยมีจานโสมเป็นหัวหน้า ต่อมาได้ย้ายมาบ้านกุดลิงในท้องท่ีอ�ำเภอเสลภูมิและ ย้ายมาท่ีบ้านกุดแฮ่ชุมภู (บ้านแร่ อ.พังโคน) และย้ายต่อมาที่บ้านชุมแสงหัวนาที่ตั้งเป็นอ�ำเภอ วานรนวิ าสในปจั จบุ นั 7) กลุ่มชาวโย้ย เมืองสว่างแดนดิน อพยพมาจากเมืองภูวาใกล้กับเมืองมหาไซยกองแก้ว มาตั้ง บ้านเรอื นทบี่ ้านโพธสิ วา่ งริมหว้ ยปลาหาง ต่อมาย้ายไปทีบ่ า้ นหันซ่งึ เปน็ ท่ีตัง้ อำ� เภอสว่างแดนดนิ ในปัจจุบัน ภาพ 83 แสดงการอพยพย้ายถิน่ ฐานของกล่มุ ชาติพันธ์จุ ากฝง่ั ซ้ายแมน่ ำ้� โขงเขา้ มาในเมืองสกลนคร ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2385 เป็นตน้ มา ทมี่ า : อนุวฒั น์ การถกั 53

ไทสกลรวมเผ่า ร า ก เ ห ง ้ า เ ดี ย ว กั น ความหลากหลายของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ “ไทสกล” ปัจจบุ ันคน “ไทสกล” มีความหลายหลากทางกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ใุ นทอ้ งถนิ่ 6 กลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ได้แก่ กลมุ่ ชาวไทญอ้ , กลุ่มชาวไทลาว, กลุ่มชาวผู้ไท, กลุ่มชาวไทโส้, กลุ่มชาวไทโยย้ , และกลมุ่ ชาวไทกะเลิง นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยกลุ่มชาตพิ ันธเ์ุ ขา้ มาสมทบภายหลังและอาศัยอยปู่ ะปนกบั กลุ่มเดิมอีก 2 กลมุ่ คอื กลุ่มชาวไทย เชอ้ื สายจีน และกลมุ่ ชาวไทยเชอ้ื สายเวียดนาม ดงั นี้ 1. กลมุ่ ชาตพิ นั ธไุ์ ทลาว กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ไทลาว ปจั จบุ นั นยิ มเรียกวา่ “ไทอีสาน” อย่ใู นกลุม่ ตระกลู ภาษาไท-กะได (Tai–Kadai Languages Family) พบวา่ ตง้ั ถนิ่ ฐานอยูใ่ นพ้ืนท่ีลมุ่ น�้ำโขงก่อนพุทธศตวรรษท่ี 22 และกลมุ่ ไทลาวในจงั หวดั สกลนคร สว่ นใหญ่อาศยั อยกู่ ระจายทว่ั ไปในพ้นื ท่ีอำ� เภอสว่างแดนดิน อ�ำเภอสอ่ งดาว อำ� เภอเจรญิ ศิลป์และ อ�ำเภอพังโคน เป็นต้น นอกจากนีย้ ังมีบางสว่ นอพยพเขา้ มาอยู่เพ่ิมเติมในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี 25 จากจงั หวัด อุบลราชธานี จังหวัดกาฬสินธ์ุ จังหวัดรอ้ ยเอด็ และจงั หวดั มหาสารคาม คนถนิ่ เดิมเรยี กกลุ่มท่ีเข้ามาอยู่ใหม่ นี้ว่า “ไทครัว” ทำ� ใหก้ ล่มุ ชาติพันธ์ไุ ทลาวเปน็ กลมุ่ ใหญ่ทส่ี ุดท่อี าศยั อยใู่ นบริเวณสกลนคร ภาพ 84 สตรกี ลุ่มชาตพิ นั ธุไ์ ทลาวในมณฑลอดุ ร เมอื่ พ.ศ. 2449 ทีม่ า : ส�ำนกั หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ กรมศิลปากร 2. กลมุ่ ชาติพันธผ์ุ ู้ไทหรือ “ภไู ท” กลมุ่ ชาตพิ นั ธุผ์ ู้ไท จัดอย่ใู นกลุ่มภาษาไท-กะได (Tai-Kadai Languages Family) เดิมมถี นิ่ ฐานอาศัย อยู่บริเวณแคว้นสบิ สองจไุ ททางตอนเหนอื ของลาวและเวียดนาม ทางภาคใต้ของจีน โดยเฉพาะแถบบรเิ วณลมุ่ แมน่ �้ำด�ำกบั แมน่ ้�ำแดง ชาวผูไ้ ทบริเวณนแ้ี บ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คอื กล่มุ แรกคือ ผไู้ ทบรเิ วณเมืองไล (ไลเจา) ประกอบด้วย ชาวผไู้ ทอาศัยอยู่ใน 4 เมือง คือ เมอื งเจยี น เมืองมนุ เมืองบางและเมอื งไล บางคร้งั เรยี กวา่ “กลมุ่ ผ้ไู ทขาวและผ้ไู ทแดง” กลุ่มทสี่ องคือ ผู้ไทบรเิ วณเมืองแถง (เดยี นเบยี นฟ)ู ประกอบดว้ ยชาวผู้ไทอาศยั อยู่ใน 8 เมือง คือ เมืองควาย เมอื งคงุ เมืองม่วย เมอื งลวย เมืองโมะ เมอื งหวดั เมืองซาง และเมืองแถง 54

4 ไทสกลนครรวมเผ่า รากเหงา้ เดยี วกนั โดยท่ัวไปเรียกว่า “กลุ่มผู้ไทด�ำ” นอกจากนี้มีบางกลุ่มอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนในพ้ืนที่ตอนกลางของลาว ขึน้ ต่อเวียงจนั ทน์เรยี กว่า ผู้ไทวงั ผู้ไทกะปอง ผู้ไทกะตาก ก่อนอพยพเขา้ มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยในระยะ ต่อมา กลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทเข้ามาตั้งถิ่นฐานใน สกลนครหลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงปี พ.ศ. 2385 เป็นต้นมา มีการอพยพเข้ามามากที่สุดในบริเวณ ต่าง ๆ ของแอ่งสกลนคร อาทิ นครพนม มกุ ดาหาร กาฬสินธุ์ ระยะต่อมาชุมชนชาวผู้ไทได้รับการยก ข้ึนเป็นบ้านเมืองหลายแห่งด้วยกัน ประกอบด้วย เมืองเรณูนคร (เมืองเว) เมืองพรรณานิคม เมือง ภูแล่นช้าง (เมืองภูแดนช้าง) เมืองหนองสูง เมือง เสนานิคม เมืองค�ำเขื่อนแก้วและเมืองวาริชภูมิ เปน็ ต้น สว่ นกลุม่ ผ้ไู ทในสกลนครสว่ นมากตงั้ ถ่ินฐาน อาศยั อยเู่ ปน็ หลกั แหลง่ กระจายอยตู่ ามหมบู่ า้ นบรเิ วณ เชงิ เขาภูพาน บริเวณพ้นื ทอ่ี �ำเภอวารชิ ภมู ิและอำ� เภอ พรรณานิคม แต่มีบางส่วนอยู่ในแถบอ�ำเภอพังโคน อ�ำเภอวานรนิวาส อ�ำเภอบ้านม่วง และอ�ำเภอ ค�ำตากล้า ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทในเขตจังหวัด สกลนคร ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาพ 85 สตรกี ลมุ่ ชาติพนั ธผุ์ ู้ไทหรอื ภูไท “ผู้ไทวัง” ต้ังถ่ินฐานอยู่ในแถบอ�ำเภอพรรณานิคม ในมณฑลอุดร เมอ่ื พ.ศ. 2449 “ผู้ไทกะป๋อง” ต้ังถิ่นฐานอยู่ในแถบอ�ำเภอวาริชภูมิ “ผู้ไทกะตาก” ต้ังถิ่นฐานในเขตต�ำบลโนนหอม ท่ีมา : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ กรมศลิ ปากร อ�ำเภอเมืองสกลนคร และชาว “ผไู้ ทนามาง” อาศยั อยู่บา้ นค�ำบ่อ บา้ นหนองกุง อ�ำเภอวารชิ ภมู ิ และ บา้ นตาลเนิง้ อ�ำเภอสวา่ งแดนดนิ เป็นตน้ ภาพ 86 สตรกี ลุ่มชาติพันธผุ์ ูไ้ ทหรือภูไท ในมณฑลอุดร เมอ่ื พ.ศ. 2449 ทีม่ า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร 55

ไทสกลรวมเผ่า ร า ก เ ห ง ้ า เ ดี ย ว กั น 3. กลุ่มชาติพันธ์ุไทญอ้ กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทญอ้ อยใู่ นกลมุ่ ภาษาไท-กะได (Tai-Kadai Languages Family) อพยพมาจากตอนกลาง ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แถบเมืองมะหาไซกองแก้ว เมืองค�ำเกิด เมืองค�ำม่วน นอกจากนยี้ งั มบี างสว่ นระบวุ า่ อพยพจากเมอื งหงสา แขวงไชยบลุ ี สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว47 โดยเขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐานในแถบอำ� เภอทา่ อเุ ทน จงั หวดั นครพนม สว่ นชาวไทญอ้ ในเขตตวั เมอื งสกลนครอพยพมา จากฝง่ั ซา้ ยแมน่ ำ�้ โขง จากเมอื งมะหาไซกองแกว้ เมอื งโพวา (ภวู ดลสอางค)์ เมอื งคำ� เกดิ เมอื งคำ� มว่ น ปรากฏ หลกั ฐานระบวุ า่ เมอื่ พ.ศ. 2387 อปุ ฮาด (คำ� สาย) ราชวงศ์ (คำ� ) และทา้ วอนิ เมอื งมะหาไซกองแกว้ ถกู กวาดตอ้ นใหม้ าตงั้ บา้ นเรอื นอยทู่ เี่ มอื งสกลทวาปี ตอ่ มาราชวงศ์ (คำ� ) ไดร้ บั การโปรดเกลา้ ตงั้ เปน็ เจา้ เมอื ง พรอ้ มกบั การเปลยี่ นนามเมอื งจาก “สกลทวาป”ี เปน็ “สกลนคร” กลมุ่ ไทญอ้ เมอื งสกลนครสว่ นใหญอ่ าศยั อยู่ อำ� เภอเมอื งสกลนคร อำ� เภอโพนนาแกว้ อำ� เภอโคกศรสี พุ รรณ อำ� เภอเตา่ งอย และบรเิ วณชมุ ชนรอบหนองหาน ภาพ 87 ขบวนแหพ่ านบายศรขี องชาวไทญอ้ ภาพ 89 สตรกี ลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทญอ้ ในหนองหาน เมอื งสกลนคร เมอื่ พ.ศ. 2449 มณฑลอดุ ร เมอ่ื พ.ศ. 2449 ทมี่ า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร ทม่ี า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร ภาพ 88 สตรกี ลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทญอ้ กบั อปุ กรณจ์ บั ปลา ภาพ 90 การเลน่ ฟอ้ นกลองตมุ้ ฟอ้ นผา้ หาง ในหนองหาน เมอื งสกลนคร มณฑลอดุ ร ของไทญอ้ เมอื งสกลนคร ในโอกาสสำ� คญั เมอื่ ปี พ.ศ. 2496 เมอ่ื ปี พ.ศ. 2449 ทมี่ า : สำ� นกั งานเจา้ คณะจงั หวดั สกลนคร วดั พระธาตเุ ชงิ ชมุ ทมี่ า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร วรวหิ าร อำ� เภอเมอื งสกลนคร จงั หวดั สกลนคร 47 เมธี ดวงสงคภ์ มู .ิ ประวตั ศิ าสตรท์ า่ อเุ ทน ประวัติทา่ นพระอาจารยศ์ รีทัตถแ์ ละประวตั ิพระธาตทุ ่าอเุ ทน นครพนม : โรงพิมพ์ ส.วฒั นา 2514, หน้า 22 56

4 ไทสกลนครรวมเผา่ รากเหง้าเดียวกัน 4. กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทโส ้ กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทโส้ หรอื “กะโส”้ หรอื เรยี กตนเองวา่ “บร”ู จดั อยใู่ นกลมุ่ ภาษาออสโตรเอเชยี ตคิ (Austro Asiatic Languages Family) หรอื มอญ–เขมร (Mon–Khmer Languages Family) เดมิ อาศยั อยู่ ในบรเิ วณตอนกลางของประเทศลาวใกลเ้ มอื งมะหาไซกองแกว้ นอกจากนยี้ งั อาศยั อยแู่ ถบเมอื งพณิ เมอื งนอง เมอื งวงั อา่ งคำ� และเมอื งตะโปน ทงั้ นน้ี กั ภาษาศาสตรจ์ ำ� แนกออกเปน็ 3 กลมุ่ ประกอบดว้ ย “ไทโส”้ “โสท้ ะวงื ” สองกลมุ่ นอี้ าศยั ในจงั หวดั นครพนม สกลนคร มกุ ดาหาร และจงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ สว่ นอกี กลมุ่ เรยี กวา่ “บร”ู อาศยั อยใู่ นจงั หวดั อบุ ลราชธานี ชาวไทโสใ้ นสกลนครสว่ นใหญม่ ถี นิ่ ฐานเดมิ อยใู่ นเขตเมอื งมะหาไซกองแกว้ 48 แขวงคำ� มว่ น สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว เขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐานอาศยั ในสกลนครเมอ่ื ประมาณปี พ.ศ. 2362 โดยการนำ� ของ เพย้ี เมอื งสงู มาตง้ั บา้ นเรอื นอยทู่ รี่ มิ หว้ ย “กดุ ขมาน” กอ่ นโปรดเกลา้ ฯ ยกขนึ้ เปน็ “เมอื งกสุ มุ าลยม์ ณฑล” และ ภายหลังแยกออกไปตั้งอีกเมืองหนึ่งคือ “เมืองโพธิไพศาล” ปัจจุบันชาวไทโส้เมืองสกลนครส่วนใหญ่อยู่ใน พนื้ ทอี่ ำ� เภอกสุ มุ าลย์ นอกจากนยี้ งั มกี ลมุ่ “โสท้ ะวงึ ” อยใู่ กลก้ บั เชงิ เขาภพู านทบี่ า้ นปทมุ วาปี ตำ� บลปทมุ วาปี อำ� เภอสอ่ งดาว จงั หวดั สกนคร ภาพ 91 สตรกี ลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทโส้ ในมณฑลอดุ ร เมอ่ื พ.ศ. 2465 ทม่ี า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร ภาพ 92 การเลน่ “สะโลออ๊ ” หรอื “สะลา” ตามความเชอื่ ภาพ 93 ชายกลมุ่ ชาตพิ นั ธโ์ุ สห้ รอื กระโส้ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธโ์ุ ส้ ในมณฑลอดุ ร เมอ่ื พ.ศ. 2449 ในมณฑลอดุ ร เมอ่ื พ.ศ. 2449 ทมี่ า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร ทมี่ า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร 48 ประเวท แดงดา. นิทานโบราณคดี พระนิพนธ์ : สมเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ นนทบุรี : ส�ำนกั พิมพ์ดอกหญ้า2000, 2559 หน้า 275 57

ไทสกลรวมเผ่า ร า ก เ ห ง ้ า เ ดี ย ว กั น 5. กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทโยย้ กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทโยย้ จดั อยใู่ นกลมุ่ ภาษาไท-กะได (Tai–Kadai Languages Family) เดมิ ตงั้ ถน่ิ ฐาน อาศยั ในแถบเมอื งฮอ่ มทา้ วฮเู ซ49 หรอื เมอื งหอมทา้ ว เมอื งหลวงปงุ เลง และเมอื งตะโปน บรเิ วณตอนกลางของ ประเทศลาว แตใ่ นนทิ านโบราณคดี พระนพิ นธข์ องสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ เมอื่ ครง้ั เสดจ็ ตรวจ ราชการมณฑลอดุ รและมณฑลอสี าน พ.ศ. 2449 กลา่ ววา่ “พวกโยย้ อยทู่ เี่ มอื งอากาศอำ� นวยขน้ึ เมอื งสกลนคร ถามไม่ได้ความว่าถิ่นเดิมอยู่ท่ีไหน”50 และกลุ่มชาวไทโย้ยในสกลนครเคยได้รับโปรดเกล้ายกขึ้นเป็นเมือง ในรชั สมยั แผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 3 และรชั กาลท่ี 4 อาทิ เมอื งอากาศอำ� นวย เมอื งสวา่ งแดนดนิ และเมอื งวานรนวิ าส 6. กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทกะเลงิ กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทกะเลงิ เปน็ อกี กลมุ่ หนง่ึ มภี าษาพดู ในกลมุ่ ไท–กะได (Tai–Kadai Languages Family) โดยท่ัวไปมักเข้าใจกันว่า “กะเลิง” มาจากค�ำว่า “ขะเลิง” หรือ “ข่าเลิง” จึงเช่ือมโยงให้กลุ่มชาติพันธุ์ กะเลงิ อยใู่ นภาษาออสโตรเอเชยี ตคิ (Austro Asiatic Languages Family) หรอื มอญ–เขมร (Mon–Khmer Languages Family) แตไ่ ทกะเลงิ ในจงั หวดั สกลนครและอยใู่ นสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวในปจั จบุ นั ตา่ งมภี าษาพดู ในตระกลู ไท–กะได (Tai–Kadai Languages Family) แทบทงั้ สน้ิ และตง้ั ถนิ่ ฐานอาศยั อยใู่ น เขตแขวงเมอื งคำ� เกดิ แขวงเมอื งคำ� มว่ น สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว กอ่ นอพยพเขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐาน ในแถบนครพนมและสกลนคร ภาพ 94 ราษฎรกลมุ่ ชาตพิ นั ธก์ุ ะเลงิ ภาพ 95 ชายกลมุ่ ชาตพิ นั ธก์ุ ะเลงิ ในมณฑลอดุ ร เมอ่ื พ.ศ. 2465 ในมณฑลอดุ ร เมอ่ื พ.ศ. 2450 ทม่ี า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร ทม่ี า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร 49 สำ� นกั งานศึกษาธิการจงั หวดั สกลนคร. ประวัติชนเผา่ พื้นเมอื ง จังหวดั สกลนคร ไม่ระบุสถานที่พิมพ,์ 2545 หนา้ 17 50 ประเวท แดงดา. นิทานโบราณคดี พระนิพนธ์ : สมเด็จฯ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ นนทบุรี : สำ� นักพิมพด์ อกหญ้า 2000, 2559 หนา้ 274 58

4 ไทสกลนครรวมเผา่ รากเหง้าเดยี วกนั กลุ่มชาติพันธุ์กะเลิงอพยพเข้ามาอาศัยใน จังหวัดสกลนครสมัยรัตนโกสินทร์ และส่วนใหญ่ ต้ังถ่ินฐานอาศัยอยู่บริเวณริมหนองหารกับบริเวณ เทอื กเขาภพู านมวี ถิ ชี วี ติ ทผี่ กู พนั กบั ธรรมชาติ ปจั จบุ นั ไทกะเลิงส่วนใหญ่อาศัยยู่ในพื้นที่ของบ้านนายอ บา้ นโพนงาม อำ� เภอเมอื งสกลนคร และมบี างกลมุ่ ทอ่ี พยพขน้ึ ไปตง้ั ถนิ่ ฐานในแถบอำ� เภอกดุ บาก อำ� เภอ ภพู าน เปน็ ตน้ ภาพ 96 สตรกี ลมุ่ ชาตพิ นั ธก์ุ ะเลงิ ในมณฑลอดุ รเมอ่ื พ.ศ. 2465 ทม่ี า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร 7. กลมุ่ ชาวไทยเชอ้ื สายจนี ชาวไทยเชอื้ สายจนี หมายถึง ชาวจนี ทเ่ี กดิ ในประเทศไทยหรอื มีเปน็ เชื้อสายของผอู้ พยพชาวจีนหรอื ชาวจนี โพน้ ทะเล คนไทอสี านและไทลาวสว่ นใหญอ่ าจเรยี กวา่ “เจก๊ ” สว่ นมากมกั เปน็ เชอื้ สายจนี แตจ้ วิ๋ รองลงมา ไดแ้ ก่ จนี แคะ จนี ไหหลำ� จนี กวางตงุ้ จนี ฮกเกย้ี น สำ� หรบั การเขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐานของชาวจนี ในประเทศไทยมี หลกั ฐานเดน่ ชดั ในสมยั อยธุ ยาสบื เนอ่ื งมาจนถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ โดยเขา้ มาตง้ั รกรากทำ� การคา้ ขาย และรบั จา้ ง ทว่ั ไป การทำ� ทางรถไฟสายกรงุ เทพ–นครราชสมี า ในสมยั รชั กาลท่ี 5 เปน็ สว่ นสำ� คญั ทำ� ใหช้ าวจนี ไดเ้ ขา้ สภู่ าคอสี านมากขนึ้ โดยมจี ดุ เรม่ิ ตน้ ทจี่ งั หวดั นครราชสมี า กอ่ นกระจายเขา้ มาตงั้ บา้ นเรอื นทำ� มาหากนิ ในชมุ ชน เมอื งขอนแกน่ อดุ รธานี หนองคาย และอบุ ลราชธานี ชาวจนี ในจงั หวดั สกลนครพบหลกั ฐานวา่ มาเมอ่ื ประมาณ ปี พ.ศ. 243251 สมัยรัชกาลที่ 5 โดยท�ำการค้าขาย ตั้งรกรากท�ำมาหากินและแต่งงานกับคนในพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตอำ� เภอเมอื งสกลนคร อำ� เภอสวา่ งแดนดนิ และอำ� เภอพงั โคน ภาพ 97 การทำ� ทางรถไฟ สายกรงุ เทพ–นครราชสมี า ในสมยั รชั กาลท่ี 5 เปน็ สว่ นสำ� คญั ทำ� ใหช้ าวจนี ไดเ้ ขา้ สภู่ าคอสี าน ทม่ี า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร 51 หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ กรมศลิ ปากร ใบบอกเมอื งสกลนครม. 2.123/1(94) วนั 1710 ค่ำ� ปีฉลเู อกศก ศกั ราช 1251 (2432) 59

ไทสกลรวมเผ่า ร า ก เ ห ง ้ า เ ดี ย ว กั น ภาพ 98 ยา่ นรา้ นคา้ ของชาวไทย เชอื้ สายจนี ในอดตี บรเิ วณถนนเจรญิ เมอื ง ทมี่ า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร 8. กลมุ่ ชาวไทยเชอื้ สายเวยี ดนาม “ชาวญวน” หรอื ชาวไทยเชอื้ สายเวยี ดนามคอื คนเวยี ดนามอพยพเขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐานในประเทศไทยและ ชาวเวยี ดนามทเี่ กดิ ในประเทศไทย มกั เรยี กตนเองวา่ “เหวยี ต” เดมิ ชาวเวยี ดนามกระจายตวั อยทู่ างตอนใตข้ อง ประเทศจนี สำ� หรบั การอพยพเขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐานในประเทศไทยแบง่ ออกเปน็ 2 กลมุ่ คอื “กลมุ่ ญวนเกา่ ” หรอื เวยี ดนามเกา่ เปน็ กลมุ่ เขา้ มาอยใู่ นราชอาณาจกั รไทยกอ่ นปี พ.ศ. 2488 และ “กลมุ่ ญวนใหม”่ เปน็ กลมุ่ เขา้ มา ภายหลงั ปี พ.ศ. 2488 และหลงั สงครามโลกครงั้ ที่ 2 ชาวไทยเชอื้ สายเวยี ดนามสว่ นมากอาศยั อยหู่ นาแนน่ ในจงั หวดั ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ไดแ้ ก่ นครพนม สกลนคร อดุ รธานี หนองคาย มกุ ดาหาร และอบุ ลราชธานี เปน็ ตน้ ภาพ 99 ชาวญวนในมณฑลอดุ ร เมอื่ ปี พ.ศ. 2465 ทมี่ า : สำ� นกั หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ กรมศลิ ปากร 60

4 ไทสกลนครรวมเผา่ รากเหง้าเดยี วกนั วฒั นธรรมการแตง่ กายของกลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นเมอื งสกลนคร ในอดตี แตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นสกลนคร มลี กั ษณะรปู แบบวฒั นธรรมการแตง่ กายแตกตา่ งกนั ไป มบี าง อยา่ งเกย่ี วกบั เครอ่ื งประดบั เลก็ ๆ เทา่ นน้ั ทอี่ าจมคี วามคลา้ ยคลงึ กนั อยบู่ า้ ง ปจั จบุ นั การแตง่ กายของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ เปล่ียนแปลงไปตามกระแสนยิ มในสมยั โลกาภวิ ัตน์ หากแต่ “สำ� นึกทางอัตลกั ษณ”์ ของแตล่ ะกลุม่ ชาติพันธุ์ กำ� ลงั ไดร้ บั การฟน้ื ฟแู ละสง่ เสรมิ วฒั นธรรมของทอ้ งถน่ิ อยา่ งจรงิ จงั ผา่ นเครอื่ งแตง่ กายของแตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ตามภาพจำ� ลองวฒั นธรรมการแตง่ กาย ดงั น้ี ภาพ 100 จำ� ลองการแตง่ กาย ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทลาว ทม่ี า พพิ ธิ ภณั ฑเ์ มอื งสกลนคร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร ภาพ 101 จำ� ลองการแต่งกาย ของกลุ่มชาตพิ นั ธผ์ุ ูไ้ ทหรอื ภูไท ท่มี า : พพิ ิธภัณฑ์เมืองสกลนคร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร 61

ไทสกลรวมเผ่า ร า ก เ ห ง ้ า เ ดี ย ว กั น ภาพ 102 จ�ำลองการแตง่ กาย ของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุไทญ้อ ท่มี า : พพิ ธิ ภัณฑเ์ มืองสกลนคร มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร ภาพ 103 จำ� ลองการแตง่ กาย ของกลุ่มชาตพิ ันธุ์ไทกะเลงิ ทม่ี า : พพิ ธิ ภณั ฑเ์ มอื งสกลนคร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร ภาพ 104 จำ� ลองการแตง่ กาย ของกลมุ่ ชาติพันธไ์ุ ทโส้ ทมี่ า : พพิ ิธภัณฑ์เมืองสกลนคร มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร 62

4 ไทสกลนครรวมเผ่า รากเหงา้ เดียวกัน ภาพ 105 จำ� ลองการแตง่ กาย ของกล่มุ ชาติพนั ธุ์ไทโยย้ ทีม่ า : พพิ ธิ ภณั ฑ์เมืองสกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ภาพ 106 จ�ำลองการแตง่ กาย ของกลมุ่ ชาวไทยเช้ือสายจีน ท่ีมา : พิพธิ ภัณฑเ์ มอื งสกลนคร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร ภาพ 107 จ�ำลองการแตง่ กายพืน้ เมอื ง ของชาวไทยเชื้อสายเวยี ดนาม ทีม่ า : พพิ ธิ ภณั ฑ์เมอื งสกลนคร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร 63

บรรณานุกรม กรมศลิ ปากร. อรุ งั คธาตุ (ต�ำนานพระธาตุพนม). กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร. 2537 กรมศิลปากร.ส�ำนักศิลปากรท่ี 10 รอ้ ยเอ็ด. ร้อยรอยเกา่ สกลนคร. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั รงุ่ ศลิ ป์ การพมิ พ์ (1977) จำ� กัด, 2555. ชนิ อยดู่ .ี สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปากร. 2529 เติม วิภาคยพ์ จนกจิ . ประวัตศิ าสตร์อีสาน. พิมพค์ รัง้ ท่ี 5. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2557. ทิพากรสงศมหาโกษาธิบดี (ข�ำ บนุ นาค), เจา้ พระยา, พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รัชกาลที่ 4, พมิ พ์ครง้ั ท่ี 6. กรงุ เทพ : อมรนิ ทรพ์ ริ้นตง้ิ แอนด์พบั ลชิ ชิง่ , 2548. ประเวท แดงดา. นิทานโบราณคดี พระนพิ นธ์ : สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ นนทบรุ ี : สำ� นักพมิ พ์ดอกหญ้า2000, 2559. พิมพน์ ารา กิจโชติประเสริฐ. โบราณคดีลุ่มน้�ำสงคราม ก�่ำ ชตี อนลา่ ง มลู ตอนกลาง. ขอนแกน่ : บริษัท เพ็ญพรนิ ติง้ จำ� กดั . 2557. สง่า พงษภ์ ู.่ ภูมิศาสตร์กายภาพภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื . สกลนคร : สถาบนั ราชภัฏสกลนคร. 2542 สพสันต์ิ เพชรคำ� . ประวัติศาสตรท์ ้องถ่ินสกลนคร. พิมพค์ ร้ังที่ 2. เชยี งใหม่ : หจก.วนิดาการพมิ พ์. 2560. สพสันติ์ เพชรค�ำ. พระพุทธองค์แสน : สตสหัสสปฏิมานุสรณ.์ จดั พมิ พ์โดยจงั หวัดสกลนคร. เชียงใหม่ : หจก.วนิดาการพิมพ์. 2558. สพสันต์ิ เพชรคำ� . “หนองหานหลวง จากเมอื งขอม...เชียงใหมห่ นองหาน สเู่ มืองสกลนคร”. ใน ทางอศี าน, ปีท่ี 2 ฉบับที่ 19 (พฤศจิกายน 2556) สจุ ิตต์ วงษ์เทศ. เบิ่งสงั คมและวฒั นธรรมอีสาน. กรงุ เทพฯ : ส�ำนักพมิ พ์มตชิ น. 2543 สุรยิ วฒุ ิ สุขสวสั ด,ิ์ มรว. รอยอดตี สกลนคร. ขอนแก่น : โรงพมิ พ์คลงั นานาวิทยา, 2540 ส�ำนกั งานศกึ ษาธกิ ารจงั หวดั สกลนคร. ประวตั ชิ นเผ่าพืน้ เมอื ง จังหวัดสกลนคร. สกลนคร : ไมร่ ะบสุ ถานท่พี มิ พ์, 2545. สรุ ตั น์ วรางคร์ ตั น์. ประวตั ิศาสตร์สกลนคร. สกลนคร : วทิ ยาลัยครูสกลนคร, 2537 ศรีศกั ร วลั ลโิ ภดม. แอง่ อารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ : สำ� นักพมิ พ์มตชิ น. 2546

ไทสกลรวมเผา่ รากเหงา้ เดยี วกัน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook