Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรใหม่ วิทยาศาสตร์

หลักสูตรใหม่ วิทยาศาสตร์

Description: หลักสูตรใหม่ วิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

เอกสาร ่ีทเป็น ูรปเ ่ลมจะจัด ่สงใ ้หโรงเ ีรยน ่ตอไป ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ

ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ พิมพค์ รง้ั ที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวนพมิ พ ์ ๓๕,๐๐๐ เล่ม ISBN จดั พิมพแ์ ละเผยแพร ่ สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั พมิ พ์ท ่ี ๗๙ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตจุ ักร กรงุ เทพมหานคร ๑๐๙๐๐ โทร. ๐-๒๕๖๑-๔๕๖๗ โทรสาร ๐-๒๕๗๙-๕๑๐๑ นายโชคดี ออสวุ รรณ ผู้พิมพ์ผ้โู ฆษณา

คำนำ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไดด้ ำเนนิ การจดั ทำมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชวี้ ดั กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานได้ดำเนินการจัดทำ สาระภมู ศิ าสตรใ์ นกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ พรอ้ มทง้ั จดั ทำสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ของกลุ่มสาระการเรียนรู้และสาระดังกล่าวในแต่ละระดับชั้น เพื่อให้เขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงาน ระดับท้องถิ่น และสถานศึกษาทุกสังกัดท่ีจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทาง ในการพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา และจัดการเรียนการสอน โดยจัดทำเปน็ ๓ เลม่ ดงั น้ี ๑. ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒. ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๓. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ และแนวการจดั กิจกรรมการเรยี นร ู้ สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ขอขอบคณุ ผทู้ มี่ สี ว่ นรว่ มจากทกุ หนว่ ยงาน และทุกภาคส่วนทเ่ี กี่ยวข้อง ทัง้ ในและนอกกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ซึ่งช่วยในการจดั ทำเอกสารดงั กลา่ ว ใหม้ คี วามสมบรู ณแ์ ละเหมาะสมสำหรบั การจดั การเรยี นการสอนในแตล่ ะระดบั ชนั้ สามารถพฒั นาผเู้ รยี น ใหม้ คี ุณภาพตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชีว้ ดั ทีก่ ำหนด (นายการณุ สกลุ ประดษิ ฐ์) เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน



สารบัญ หนา้ ๑ ๓ ๓ ๔ บทนำ ๖ เปา้ หมายของวทิ ยาศาสตร์ ๖ เรยี นรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร ์ ๖ สาระและมาตรฐานการเรียนรู ้ ๘ คุณภาพผเู้ รียน ๙ จบชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๓ ๑๓ จบช้ันประถมศึกษาปีที่ ๖ ๑๓ จบชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ ๓๘ จบชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๖ ๗๙ ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ ๑๐๕ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ ๑๒๗ สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ ๑๓๕ สาระที่ ๔ เทคโนโลยี ๑๖๙ วิทยาศาสตรเ์ พม่ิ เตมิ ๑๙๐ ผลการเรียนรแู้ ละสาระการเรียนร้เู พมิ่ เติม ๒๒๑ สาระชวี วิทยา ๒๓๘ สาระเคม ี ๒๔๕ สาระฟิสิกส์ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ อภิธานศัพท ์ คณะผจู้ ัดทำ



กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ บทนำ ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ น้ี ได้กำหนดสาระ การเรียนรู้ออกเปน็ ๔ สาระ ไดแ้ ก่ สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ และสาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มีสาระเพ่ิมเติม ๔ สาระ ได้แก ่ สาระชวี วทิ ยา สาระเคมี สาระฟสิ กิ ส์ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ซงึ่ องคป์ ระกอบของหลกั สตู ร ท้ังในด้านของเนื้อหา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้น้ัน มีความสำคัญอย่างย่ิงในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับช้ัน ให้ม ี ความต่อเน่อื งเช่ือมโยงกนั ตัง้ แตช่ นั้ ประถมศึกษาปที ี่ ๑ จนถงึ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ สำหรบั กลมุ่ สาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้กำหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องเรียน เป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถนำความรู้น้ีไปใช้ในการดำรงชีวิตหรือศึกษาต่อในวิชาชีพท่ีต้องใช้ วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ โดยจดั เรยี งลำดบั ความยากงา่ ยของเนอ้ื หาแตล่ ะสาระในแตล่ ะระดบั ชนั้ ใหม้ กี ารเชอ่ื มโยง ความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความร ู้ ด้วยกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ สามารถแก้ปญั หาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมลู หลากหลายและประจักษ์พยานท่ตี รวจสอบได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญ ของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธ์ิต่อผู้เรียนมากท่ีสุด จึงได้จัดทำตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ ข้ึน เพ่ือให้สถานศึกษา ครูผู้สอน ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ไดใ้ ชเ้ ปน็ แนวทางในการพฒั นาหนังสือเรียน ค่มู ือครู สอ่ื ประกอบการเรยี น การสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ท่ีจัดทำขึ้นนี้ได้ปรับปรุง เพ่ือให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระ การเรียนรู้เดียวกันและระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตลอดจน การเชื่อมโยงเน้ือหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากน้ียังได้ปรับปรุงเพื่อให้มี ความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับ นานาชาติ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สรุปเปน็ แผนภาพได้ ดงั น้ี สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ -มาตรฐาน ว ๒.๑-ว ๒.๓ สาระท่ี ๑ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ -มาตรฐาน ว ๑.๑-ว ๑.๓ -มาตรฐาน ว ๓.๑-ว ๓.๒ สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี -มาตรฐาน ว ๔.๑ - ว ๔.๒ วิทยาศาสตร์เพ่มิ เติม • สาระชวี วทิ ยา • สาระเคม ี • สาระฟิสกิ ส์ • สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ  ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

เปา้ หมายของวทิ ยาศาสตร์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพอื่ ใหไ้ ดท้ ง้ั กระบวนการและความรู้ จากวธิ กี ารสงั เกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แลว้ นำผลทไี่ ด้ มาจดั ระบบเปน็ หลักการ แนวคดิ และองค์ความรู้ การจดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์จึงมีเป้าหมายที่สำคญั ดงั นี้ ๑. เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจหลักการ ทฤษฎี และกฎทเี่ ป็นพื้นฐานในวชิ าวทิ ยาศาสตร ์ ๒. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจำกัดในการศึกษา วิชาวทิ ยาศาสตร์ ๓. เพ่ือใหม้ ที ักษะที่สำคัญในการศึกษาคน้ ควา้ และคิดค้นทางเทคโนโลย ี ๔. เพ่ือให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และสภาพแวดล้อมในเชิงทมี่ ีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกนั และกัน ๕. เพอ่ื นำความรู้ ความเขา้ ใจ ในวชิ าวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยไี ปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ ตอ่ สงั คมและการดำรงชวี ติ ๖. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และ การจัดการ ทกั ษะในการส่อื สาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจ ๗. เพื่อให้เป็นผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยา่ งสร้างสรรค ์ เรียนรูอ้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ท่ีเน้นการ เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทุกข้ันตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้ัน โดยกำหนดสาระสำคญั ดงั น้ ี ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

✧ วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ เรยี นรเู้ กยี่ วกบั ชวี ติ ในสงิ่ แวดลอ้ ม องคป์ ระกอบของสงิ่ มชี วี ติ การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของส่ิงมชี ีวติ ✧ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ เรยี นรเู้ กย่ี วกบั ธรรมชาตขิ องสาร การเปลย่ี นแปลงของสาร การเคลื่อนท่ี พลงั งาน และคลืน่ ✧ วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ เรยี นรเู้ กย่ี วกบั องคป์ ระกอบของเอกภพ ปฏสิ มั พนั ธ ์ ภายในระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปลย่ี นแปลงลมฟ้าอากาศ และผลตอ่ ส่งิ มีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม ✧ เทคโนโลย ี ● การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เก่ียวกับเทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชีวิต ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวศิ วกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และสง่ิ แวดล้อม ● วทิ ยาการคำนวณ เรยี นรเู้ กยี่ วกบั การคดิ เชงิ คำนวณ การคดิ วเิ คราะห์ แกป้ ญั หา เป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอ่ื สาร ในการแกป้ ญั หาท่พี บในชวี ติ จริงไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิต กบั สงิ่ มชี วี ติ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ กบั สง่ิ มชี วี ติ ตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน ์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่าง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ท่ที ำงานสมั พันธก์ นั ความสมั พันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ ของอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ที ำงานสัมพันธก์ ัน รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน ์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพนั ธกุ รรม การเปลยี่ นแปลงทางพนั ธกุ รรมทม่ี ผี ลตอ่ สงิ่ มชี วี ติ ความหลากหลาย ทางชวี ภาพและวิวัฒนาการของส่ิงมีชวี ิต รวมทงั้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์  ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาต ิ ของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิด ปฏกิ ริ ิยาเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ ลักษณะ การเคล่ือนทแี่ บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมท้งั นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของ คล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้ง นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ทส่ี ่งผลตอ่ ส่ิงมีชวี ติ และการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้า อากาศและภมู ิอากาศโลก รวมท้งั ผลต่อสงิ่ มชี ีวิตและสิง่ แวดลอ้ ม สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถงึ ผลกระทบตอ่ ชีวิต สงั คม และสงิ่ แวดลอ้ ม มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ข้ันตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปัญหาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ร้เู ท่าทัน และมจี ริยธรรม ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

คุณภาพผเู้ รยี น จบชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๓ ❖ เข้าใจลักษณะทวั่ ไปของสง่ิ มชี วี ติ และการดำรงชวี ติ ของสง่ิ มีชีวติ รอบตัว ❖ เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุ และการเปล่ยี นแปลงของวัสดุรอบตวั ❖ เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลง การเคลือ่ นท่ีของวัตถุ พลังงานไฟฟ้า และการผลติ ไฟฟ้า การเกิดเสียง แสงและการมองเห็น ❖ เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตก ของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดิน และการใชป้ ระโยชน์ ลกั ษณะและความสำคัญของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชนแ์ ละโทษของลม ❖ ตงั้ คำถามหรอื กำหนดปญั หาเกย่ี วกบั สงิ่ ทจี่ ะเรยี นรตู้ ามทกี่ ำหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ สังเกต สำรวจตรวจสอบโดยใช้เคร่ืองมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจ ตรวจสอบด้วยการเขียนหรือวาดภาพ และสื่อสารส่ิงที่เรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่อง หรือด้วยการแสดง ทา่ ทางเพอื่ ให้ผอู้ ื่นเข้าใจ ❖ แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลย ี สารสนเทศและการสือ่ สารเบอ้ื งต้น รักษาข้อมลู ส่วนตัว ❖ แสดงความกระตือรือร้น สนใจท่ีจะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับเรื่อง ท่ีจะศึกษาตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และยอมรับฟัง ความคดิ เหน็ ผอู้ ืน่ ❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยดั ซือ่ สัตย์ จนงานลลุ ่วงเปน็ ผลสำเร็จ และทำงานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งมีความสขุ ❖ ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการ ดำรงชวี ิต ศกึ ษาหาความรูเ้ พมิ่ เตมิ ทำโครงงานหรือช้นิ งานตามทกี่ ำหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ จบช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ ❖ เขา้ ใจโครงสรา้ ง ลกั ษณะเฉพาะและการปรบั ตวั ของสงิ่ มชี วี ติ รวมทงั้ ความสมั พนั ธข์ อง สิ่งมีชีวิตในแหล่งท่ีอยู่ การทำหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของพืช และการทำงานของระบบย่อยอาหาร ของมนษุ ย ์ ❖ เขา้ ใจสมบตั แิ ละการจำแนกกลมุ่ ของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย การเปลยี่ นแปลงทางเคมี การเปลยี่ นแปลงทผ่ี นั กลบั ไดแ้ ละผนั กลบั ไมไ่ ด้ และการแยกสาร อยา่ งง่าย  ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

❖ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและ ผลของแรงตา่ งๆ ผลที่เกดิ จากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลักการทม่ี ีตอ่ วตั ถุ วงจรไฟฟา้ อยา่ งง่าย ปรากฏการณ์เบอ้ื งต้นของเสยี ง และแสง ❖ เข้าใจปรากฏการณ์การข้ึนและตก รวมถึงการเปล่ียนแปลงรูปร่างปรากฏ ของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของ ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การข้ึนและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนท่ีดาว การเกิดอุปราคา พฒั นาการและประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ ❖ เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิด ซากดกึ ดำบรรพ์ การเกดิ ลมบก ลมทะเล มรสมุ ลกั ษณะและผลกระทบของภยั ธรรมชาติ ธรณพี บิ ตั ภิ ยั การเกดิ และผลกระทบของปรากฏการณเ์ รือนกระจก ❖ คน้ หาขอ้ มูลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพและประเมินความน่าเช่ือถือ ตดั สนิ ใจเลือกข้อมูล ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการทำงานร่วมกัน เขา้ ใจสิทธิและหนา้ ทขี่ องตน เคารพสิทธขิ องผู้อ่ืน ❖ ต้ังคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับส่ิงท่ีจะเรียนรู้ตามท่ีกำหนดให้หรือตาม ความสนใจ คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสอดคล้องกับคำถามหรือปัญหา ทจ่ี ะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใชเ้ ครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ ท่เี หมาะสม ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลทงั้ เชิงปริมาณและคณุ ภาพ ❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการ สำรวจตรวจสอบในรูปแบบที่เหมาะสม เพ่ือส่ือสารความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบได้อย่างมี เหตผุ ลและหลักฐานอา้ งอิง ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในส่ิงท่ีจะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับ เร่ืองท่ีจะศึกษาตามความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่ม ี หลักฐานอ้างองิ และรับฟังความคดิ เหน็ ผอู้ ื่น ❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยดั ซื่อสัตย์ จนงานลุล่วงเปน็ ผลสำเร็จ และทำงานรว่ มกับผอู้ ืน่ อยา่ งสร้างสรรค์ ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความช่ืนชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงาน ของผ้คู ดิ คน้ และศกึ ษาหาความรู้เพม่ิ เติม ทำโครงงานหรอื ช้ินงานตามท่กี ำหนดให้หรอื ตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเก่ียวกับการใช้ การดูแลรักษา ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มอยา่ งร้คู ณุ ค่า ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

จบช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ ❖ เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบท่ีสำคัญของเซลล์ส่ิงมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการ ทำงานของระบบต่าง ๆ ในรา่ งกายมนษุ ย์ การดำรงชีวิตของพืช การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงของยีนหรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคท่ีเกิดจากการเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบของส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ ขององคป์ ระกอบของระบบนิเวศและการถ่ายทอดพลงั งานในสิง่ มีชีวติ ❖ เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธ์ิ สารผสม หลั กการแยกสาร การเปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลาย และ การเกิดปฏิกิริยาเคมี และสมบัติทางกายภาพ และการใช้ประโยชน์ของวัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรา มกิ ส์ และวสั ดผุ สม ❖ เข้าใจการเคลื่อนท่ี แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงทปี่ รากฏในชวี ติ ประจำวนั สนามของแรง ความสมั พนั ธข์ องงาน พลงั งานจลน์ พลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ ง กฎการอนุรักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า การตอ่ วงจรไฟฟ้าในบา้ น พลังงานไฟฟ้า และหลักการเบือ้ งต้นของวงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ❖ เข้าใจสมบัติของคล่ืน และลักษณะของคลื่นแบบต่าง ๆ แสง การสะท้อน การหกั เหของแสงและทศั นอปุ กรณ ์ ❖ เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคล่ือนท ่ี ปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดข้างข้ึนข้างแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ประโยชนข์ องเทคโนโลยอี วกาศ และความกา้ วหนา้ ของโครงการสำรวจอวกาศ ❖ เข้าใจลักษณะของช้ันบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยท่ีมีผลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิดและผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ ์ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชัน้ หน้าตดั ดนิ กระบวนการเกิดดนิ แหล่งนำ้ ผิวดิน แหล่งน้ำใตด้ ิน กระบวนการเกดิ และผลกระทบของภัยธรรมชาติ และธรณีพบิ ตั ภิ ัย ❖ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปล่ียนแปลง ของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบ ต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพ่ือออกแบบและสร้าง ผลงานสำหรับการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบ เชิงวศิ วกรรม รวมท้งั เลือกใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ และเคร่ืองมอื ได้อย่างถกู ตอ้ ง เหมาะสม ปลอดภัย รวมท้งั คำนึงถึงทรัพยส์ นิ ทางปัญญา  ตัวช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

❖ นำข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมูล และสารสนเทศได้ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร อยา่ งร้เู ท่าทนั และรบั ผดิ ชอบต่อสังคม ❖ ต้ังคำถามหรือกำหนดปัญหาท่ีเชื่อมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทาง วิทยาศาสตร์ที่มีการกำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐาน ท่ีสามารถนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสำรวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเคร่ืองมือ ที่เหมาะสม เลือกใช้เคร่ืองมือและเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล ท้ังใน เชิงปริมาณและคณุ ภาพทไี่ ดผ้ ลเที่ยงตรงและปลอดภยั ❖ วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลท่ีได้จากการสำรวจตรวจสอบ จากพยานหลกั ฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการแปลความหมายและลงข้อสรปุ และสื่อสารความคิด ความรู้ จากผลการสำรวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลย ี สารสนเทศเพ่อื ใหผ้ ู้อ่นื เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในส่ิงท่ีจะเรียนรู ้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับเรื่องท่ีจะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการ ท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของ ตนเอง รับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืน และยอมรับการเปลี่ยนแปลงความรู้ท่ีค้นพบ เม่ือมีข้อมูล และประจกั ษ์พยานใหมเ่ พม่ิ ขึ้นหรอื โต้แยง้ จากเดมิ ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ แสดงความช่ืนชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบทั้งด้านบวกและ ด้านลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ต่อสิ่งแวดล้อมและต่อบริบทอื่น ๆ และศึกษาหาความรู้ เพิม่ เติม ทำโครงงานหรอื สรา้ งชิน้ งานตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุล ของระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ จบชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ ❖ เข้าใจการลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของ มนษุ ย์ ภมู คิ มุ้ กนั ในร่างกายของมนุษยแ์ ละความผดิ ปกตขิ องระบบภมู คิ ุม้ กนั การใช้ประโนชนจ์ ากสาร ตา่ ง ๆ ทพ่ี ชื สรา้ งขนึ้ การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม การเปลย่ี นแปลงทางพนั ธกุ รรม ววิ ฒั นาการ ที่ทำให้เกิดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ความสำคัญและผลของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอต่อมนุษย์ สิ่งมีชวี ิต และส่งิ แวดล้อม ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)  ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

❖ เขา้ ใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภมู ศิ าสตรต์ า่ ง ๆ ของโลก การเปลย่ี นแปลง แทนที่ในระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบทม่ี ีต่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม แนวทางในการ อนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติ และการแกไ้ ขปญั หาสิง่ แวดล้อม ❖ เข้าใจชนิดของอนุภาคสำคัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัต ิ บางประการของธาตุ การจัดเรยี งธาตใุ นตารางธาตุ ชนิดของแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งอนภุ าคและสมบัติ ต่าง ๆ ของสารท่ีมีความสัมพันธ์กับแรงยึดเหนี่ยว พันธะเคมี โครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร ์ การเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี ปจั จัยทีม่ ีผลต่ออัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี และการเขียนสมการเคม ี ❖ เขา้ ใจปรมิ าณทเี่ ก่ยี วกับการเคลื่อนที่ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งแรง มวลและความเร่ง ผลของความเร่งท่ีมีต่อการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ ระหวา่ งสนามแมเ่ หล็กและกระแสไฟฟ้า และแรงภายในนวิ เคลยี ส ❖ เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปลี่ยน พลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบน และการรวมคลื่น การไดย้ นิ ปรากฏการณ์ท่เี ก่ยี วขอ้ งกับเสยี ง สกี บั การมองเหน็ สี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และประโยชน์ของคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า ❖ เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคล่ือนท ่ี ของแผ่นธรณที ่ีสัมพันธก์ ับการเกดิ ลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดนิ ไหว ภเู ขาไฟ ระเบดิ สึนามิ ผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวงั และการปฏิบัตติ นให้ปลอดภยั ❖ เข้าใจผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิส ที่ม ี ต่อการหมุนเวียนของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูด และผลที่มีต่อภูมิอากาศ ความสัมพันธ์ของการหมุนเวียนของอากาศ และการหมุนเวียนของกระแสน้ำผิวหน้าในมหาสมุทร และผลต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ ส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ปัจจัยต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลก และแนวปฏิบัติเพ่ือลดกิจกรรมของมนุษย์ท่ีส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก รวมทง้ั การแปลความหมายสญั ลกั ษณล์ มฟา้ อากาศที่สำคญั จากแผนท่อี ากาศ และขอ้ มลู สารสนเทศ ❖ เข้าใจการกำเนิดและการเปล่ียนแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของ เอกภพ หลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของ กาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิดและการสร้างพลังงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของ ดาวฤกษ์ และความสัมพันธร์ ะหว่างความส่องสว่างกบั โชตมิ าตรของดาวฤกษ์ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสี อุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของ ดาวฤกษ์ กระบวนการเกดิ ระบบสรุ ิยะ การแบง่ เขตบริวารของดวงอาทติ ย์ ลกั ษณะของดาวเคราะหท์ ่ี เอ้ือต่อการดำรงชีวิต การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและผลท่ีมีต่อโลก รวมท้ังการสำรวจอวกาศและ การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ 10 ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

❖ ระบปุ ญั หา ตงั้ คำถามทจี่ ะสำรวจตรวจสอบ โดยมกี ารกำหนดความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ตัวแปรต่าง ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ต้ังสมมติฐานท่ีเป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือก ตรวจสอบสมมตฐิ านทเ่ี ปน็ ไปได้ ❖ ต้ังคำถามหรือกำหนดปัญหาที่อยู่บนพ้ืนฐานของความรู้และความเข้าใจทาง วิทยาศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงท่ีสามารถสำรวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้า ได้อย่างครอบคลุมและเช่ือถือได้ สร้างสมมติฐานท่ีมีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์ส่ิงที่จะพบ เพื่อนำ ไปสกู่ ารสำรวจตรวจสอบ ออกแบบวธิ กี ารสำรวจตรวจสอบตามสมมตฐิ านทก่ี ำหนดไวไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม มีหลักฐานเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมทั้งวิธีการในการสำรวจตรวจสอบอย่างถูกต้อง ทั้งในเชิงปรมิ าณและคุณภาพ และบนั ทึกผลการสำรวจตรวจสอบอยา่ งเปน็ ระบบ ❖ วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุป เพอื่ ตรวจสอบกบั สมมตฐิ านทต่ี ง้ั ไว้ ใหข้ อ้ เสนอแนะเพอื่ ปรบั ปรงุ วธิ กี ารสำรวจตรวจสอบ จดั กระทำขอ้ มลู และนำเสนอข้อมูลด้วยเทคนิควิธีที่เหมาะสม ส่ือสารแนวคิด ความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบ โดยการพูด เขียน จัดแสดงหรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจโดยมีหลักฐานอ้างอิง หรือมีทฤษฎีรองรับ ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในการสืบเสาะ หาความรู้ โดยใช้เครื่องมือและวิธีการท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ ทางวทิ ยาศาสตร์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ❖ แสดงถงึ ความพอใจและเหน็ คณุ คา่ ในการคน้ พบความรู้ พบคำตอบ หรอื แกป้ ญั หาได ้ ทำงานร่วมกับผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบ เก่ียวกับผลของการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม และยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ของผ้อู ่ืน ❖ เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลย ี ประเภทต่าง ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีท่ีส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า ผลของเทคโนโลยตี อ่ ชวี ิต สงั คม และส่งิ แวดลอ้ ม ❖ ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลย ี ท่ีใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ แสดงความช่ืนชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลมาจาก ภูมิปัญญาท้องถ่ิน และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรือ สร้างชิน้ งานตามความสนใจ ❖ แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกับการใช้และรักษาทรัพยากร ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแล ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มของท้องถิน่ ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 11 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

❖ วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีท่ีซับซ้อน การเปลยี่ นแปลงของเทคโนโลยี ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเทคโนโลยกี บั ศาสตรอ์ น่ื โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรอื คณิตศาสตร์ วเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ และตดั สนิ ใจเพื่อเลือกใชเ้ ทคโนโลยี โดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบ ต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และส่ิงแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ ทรัพยากรเพื่อออกแบบ สร้างหรือพัฒนาผลงาน สำหรับแก้ปัญหาท่ีมีผลกระทบต่อสังคม โดยใช้กระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบและนำเสนอผลงาน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และ เคร่อื งมอื ได้อย่างถกู ต้อง เหมาะสม ปลอดภยั รวมทง้ั คำนงึ ถงึ ทรพั ย์สินทางปญั ญา ❖ ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร เพ่ือรวบรวมขอ้ มูลในชีวิตจริงจากแหล่งตา่ ง ๆ และความรูจ้ ากศาสตร์อน่ื มาประยกุ ต์ใช้ สร้างความรู้ใหม่ เข้าใจการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยีท่ีมีผลต่อการดำเนินชีวิต อาชีพ สังคม วัฒนธรรม และใชอ้ ย่างปลอดภัย มีจริยธรรม 12 ตัวชว้ี ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กบั สงิ่ มชี วี ติ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ กบั สงิ่ มชี วี ติ ตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปญั หาและผลกระทบทมี่ ตี อ่ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน ์ ช้ัน ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. ระบชุ ือ่ พชื และสตั ว์ทีอ่ าศัยอยูบ่ รเิ วณตา่ ง ๆ • บริเวณตา่ ง ๆ ในท้องถ่นิ เชน่ สนามหญ้า ใตต้ ้นไม้ จากข้อมูลทีร่ วบรวมได้ สวนหยอ่ ม แหลง่ นำ้ อาจพบพชื และสตั วห์ ลายชนดิ ๒. บอกสภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสมกับการดำรงชีวิต อาศยั อยู ่ ของสัตวใ์ นบรเิ วณท่อี าศยั อยู่ • บรเิ วณทแ่ี ตกตา่ งกนั อาจพบพชื และสตั วแ์ ตกตา่ งกนั เพราะสภาพแวดลอ้ มของแต่ละบรเิ วณจะม ี ความเหมาะสมตอ่ การดำรงชวี ติ ของพืชและสัตว์ ทอี่ าศยั อย่ใู นแตล่ ะบรเิ วณ เชน่ สระนำ้ มนี ้ำเป็น ทีอ่ ยอู่ าศัยของหอย ปลา สาหร่าย เป็นทห่ี ลบภยั และมแี หลง่ อาหารของหอยและปลา บรเิ วณ ตน้ มะมว่ งมตี น้ มะมว่ งเปน็ แหลง่ ทอี่ ยู่ และมอี าหาร สำหรับกระรอกและมด • ถ้าสภาพแวดล้อมในบรเิ วณทพ่ี ชื และสัตวอ์ าศยั อยู่ มกี ารเปลีย่ นแปลง จะมีผลต่อการดำรงชีวติ ของ พืชและสตั ว์ ป.๒ - - ป.๓ - - ป.๔ - - ตวั ช้วี ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 13 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.๕ ๑. บรรยายโครงสรา้ งและลกั ษณะของสิง่ มชี วี ติ • สิ่งมีชีวิตทั้งพชื และสัตว์มีโครงสร้างและลกั ษณะ ทีเ่ หมาะสมกบั การดำรงชวี ิต ซ่งึ เป็นผลมาจาก ทีเ่ หมาะสมในแตล่ ะแหล่งที่อยู่ ซ่ึงเปน็ ผลมาจาก การปรบั ตวั ของส่ิงมีชวี ิตในแต่ละแหล่งท่ีอยู่ การปรับตัวของสิง่ มชี ีวติ เพ่อื ใหด้ ำรงชีวิตและ อยูร่ อดไดใ้ นแต่ละแหล่งทอ่ี ยู่ เชน่ ผักตบชวามี ชอ่ งอากาศในกา้ นใบ ชว่ ยใหล้ อยนำ้ ได้ ตน้ โกงกาง ที่ขน้ึ อย่ใู นป่าชายเลนมีรากคำ้ จุนทำให้ลำตน้ ไม่ลม้ ปลามีครบี ช่วยในการเคลอ่ื นท่ใี นนำ้ ๒. อธิบายความสัมพันธ์ระหวา่ งสง่ิ มีชีวิตกับ • ในแหล่งทอ่ี ย่หู นงึ่ ๆ สิ่งมชี วี ติ จะมีความสมั พนั ธ์ ส่งิ มีชีวิต และความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่งิ มีชวี ิต ซ่ึงกนั และกันและสัมพนั ธก์ ับส่ิงไม่มชี วี ติ เพือ่ กับส่งิ ไมม่ ชี วี ติ เพ่ือประโยชนต์ อ่ การดำรงชีวิต ประโยชน์ต่อการดำรงชีวติ เช่น ความสมั พนั ธ์กนั ๓. เขยี นโซ่อาหารและระบุบทบาทหน้าทข่ี อง ดา้ นการกนิ กนั เป็นอาหาร เป็นแหล่งท่ีอยอู่ าศัย ส่งิ มชี วี ติ ที่เป็นผผู้ ลิตและผู้บรโิ ภคในโซ่อาหาร หลบภยั และเลย้ี งดลู กู ออ่ น ใชอ้ ากาศในการหายใจ ๔. ตระหนักในคณุ ค่าของส่งิ แวดล้อมท่มี ีต่อการ • สงิ่ มชี วี ติ มกี ารกนิ กนั เปน็ อาหาร โดยกนิ ตอ่ กนั ดำรงชีวิตของสง่ิ มีชีวิต โดยมีสว่ นร่วมในการดแู ล เปน็ ทอด ๆ ในรปู แบบของโซอ่ าหาร ทำใหส้ ามารถ รกั ษาสิ่งแวดล้อม ระบบุ ทบาทหน้าท่ขี องสง่ิ มีชีวิตเป็นผ้ผู ลติ และ ผ้บู รโิ ภค ป.๖ - - ม.๑ - - ม.๒ - - ม.๓ ๑. อธิบายปฏสิ ัมพนั ธ์ขององค์ประกอบของ • ระบบนเิ วศประกอบด้วยองค์ประกอบทม่ี ีชีวิต ระบบนเิ วศที่ไดจ้ ากการสำรวจ เช่น พชื สตั ว์ จลุ นิ ทรยี ์ และองคป์ ระกอบท ี่ ไมม่ ีชีวิต เชน่ แสง นำ้ อณุ หภูมิ แร่ธาตุ แกส๊ องค์ประกอบเหลา่ นีม้ ปี ฏิสมั พันธ์กนั เชน่ พืชต้องการแสง น้ำ และแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ในการสรา้ งอาหาร สัตว์ตอ้ งการอาหาร และ สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมในการดำรงชีวติ เชน่ อุณหภูมิ ความชื้น องคป์ ระกอบทง้ั สองส่วนน ี้ จะตอ้ งมคี วามสัมพนั ธก์ นั อย่างเหมาะสม ระบบนิเวศจึงจะสามารถคงอยูต่ อ่ ไปได้ 14 ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๒. อธิบายรูปแบบความสมั พันธ์ระหว่างสิ่งมีชวี ิต • ส่งิ มชี ีวติ กับสง่ิ มชี วี ติ มคี วามสมั พันธก์ ันในรปู แบบ กบั สง่ิ มชี วี ติ รปู แบบตา่ ง ๆ ในแหลง่ ทอ่ี ยเู่ ดยี วกนั ตา่ ง ๆ เชน่ ภาวะพงึ่ พากนั ภาวะองิ อาศัย ท่ไี ดจ้ ากการสำรวจ ภาวะเหยอ่ื กบั ผู้ลา่ ภาวะปรสติ • สงิ่ มีชวี ิตชนดิ เดยี วกนั ท่ีอาศัยอย่รู ่วมกนั ใน แหล่งท่อี ยู่เดยี วกนั ในชว่ งเวลาเดยี วกนั เรียกว่า ประชากร • กลมุ่ สิง่ มชี วี ิตประกอบดว้ ยประชากรของส่ิงมชี ีวติ หลาย ๆ ชนดิ อาศัยอยู่รว่ มกนั ในแหล่งที่อยู่ เดียวกนั ๓. สรา้ งแบบจำลองในการอธบิ ายการถา่ ยทอด • กลมุ่ สิ่งมีชีวิตในระบบนเิ วศแบง่ ตามหนา้ ท่ไี ดเ้ ปน็ พลังงานในสายใยอาหาร ๓ กลมุ่ ได้แก่ ผูผ้ ลิต ผ้บู ริโภค และผู้ยอ่ ยสลาย ๔. อธบิ ายความสัมพนั ธ์ของผ้ผู ลติ ผบู้ ริโภค และ สารอินทรยี ์ สิง่ มีชีวิตทัง้ ๓ กลุม่ น้ี มีความ ผยู้ อ่ ยสลายสารอนิ ทรยี ใ์ นระบบนิเวศ สัมพันธ์กนั ผ้ผู ลติ เปน็ สง่ิ มีชวี ติ ทีส่ ร้างอาหาร ๕. อธบิ ายการสะสมสารพิษในสิ่งมชี ีวิตในโซ่อาหาร ไดเ้ อง โดยกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง ๖. ตระหนักถึงความสัมพันธข์ องสิง่ มีชวี ิต และ ผู้บรโิ ภค เป็นสง่ิ มชี ีวติ ทไี่ มส่ ามารถสรา้ งอาหาร สง่ิ แวดล้อมในระบบนเิ วศ โดยไมท่ ำลายสมดลุ ได้เอง และต้องกินผู้ผลติ หรอื สง่ิ มชี ีวิตอื่น ของระบบนเิ วศ เปน็ อาหาร เมื่อผผู้ ลิตและผู้บริโภคตายลง จะถูก ยอ่ ยโดยผยู้ ่อยสลายสารอนิ ทรยี ซ์ ึง่ จะเปลยี่ น สารอนิ ทรยี ์เปน็ สารอนนิ ทรยี ์กลบั คืนส ่ ู สง่ิ แวดลอ้ ม ทำใหเ้ กดิ การหมนุ เวยี นสารเปน็ วฏั จกั ร จำนวนผผู้ ลติ ผบู้ รโิ ภค และผยู้ อ่ ยสลายสารอนิ ทรยี ์ จะตอ้ งมคี วามเหมาะสม จึงทำให้กลุม่ สงิ่ มชี ีวติ อยไู่ ด้อยา่ งสมดลุ • พลังงานถูกถา่ ยทอดจากผผู้ ลติ ไปยังผู้บริโภค ลำดับต่าง ๆ รวมทง้ั ผ้ยู ่อยสลายสารอนิ ทรยี ์ ในรปู แบบสายใยอาหาร ทป่ี ระกอบดว้ ย โซอ่ าหาร หลายโซท่ ส่ี มั พนั ธก์ นั ในการถา่ ยทอดพลังงานใน โซอ่ าหาร พลังงานทถ่ี ูกถ่ายทอดไปจะลดลง เรอื่ ย ๆ ตามลำดับของการบรโิ ภค • การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนเิ วศ อาจทำให้ มีสารพษิ สะสมอย่ใู นสง่ิ มีชีวิตได้ จนอาจก่อให้เกดิ อันตรายต่อสงิ่ มีชีวติ และทำลายสมดุลใน ระบบนิเวศ ดังนน้ั การดูแลรักษาระบบนิเวศ ให้เกดิ ความสมดลุ และคงอยู่ตลอดไปจึงเป็น ส่งิ สำคญั ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 15 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชนั้ ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๔ ๑. สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายความสัมพนั ธ์ของสภาพ • บรเิ วณของโลกแตล่ ะบรเิ วณมสี ภาพทางภมู ศิ าสตร์ ทางภูมิศาสตร์บนโลกกับความหลากหลายของ ทีแ่ ตกตา่ งกัน แบง่ ออกไดเ้ ป็นหลายเขตตาม ไบโอม และยกตวั อยา่ งไบโอมชนดิ ต่าง ๆ สภาพภมู ิอากาศและปริมาณนำ้ ฝน ทำให้ม ี ระบบนิเวศทหี่ ลากหลายซ่งึ สง่ ผลให้เกิด ความหลากหลายของไบโอม ๒. สืบคน้ ข้อมลู อภปิ รายสาเหตุ และยกตัวอยา่ ง • การเปลีย่ นแปลงของระบบนเิ วศเกิดขึน้ ได ้ การเปล่ียนแปลงแทนทีข่ องระบบนเิ วศ ตลอดเวลาท้งั การเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ข้นึ เอง ตามธรรมชาตแิ ละเกดิ จากการกระทำของมนุษย ์ • การเปลยี่ นแปลงแทนทเ่ี ปน็ การเปลยี่ นแปลงของ กล่มุ สง่ิ มชี วี ิตท่เี กดิ ข้นึ อย่างช้า ๆ เปน็ เวลานาน ซงึ่ เป็นผลจากปฏิสมั พันธ์ระหวา่ งองคป์ ระกอบ ทางกายภาพและทางชวี ภาพ ส่งผลให้ระบบนิเวศ เปลี่ยนแปลงไปสสู่ มดลุ จนเกดิ สังคมสมบรู ณไ์ ด้ ๓. สืบคน้ ข้อมูล อธบิ ายและยกตัวอยา่ งเกย่ี วกบั • การเปลีย่ นแปลงขององค์ประกอบในระบบนเิ วศ การเปลย่ี นแปลงขององคป์ ระกอบทางกายภาพ ทั้งทางกายภาพและทางชวี ภาพมีผลต่อการ และทางชวี ภาพที่มผี ลต่อการเปลย่ี นแปลงขนาด เปลี่ยนแปลงขนาดของประชากร ของประชากรสิ่งมีชวี ิตในระบบนิเวศ ๔. สบื ค้นขอ้ มูลและอภิปรายเกี่ยวกับปญั หาและ • มนษุ ย์ใชท้ รัพยากรธรรมชาตโิ ดยปราศจาก ผลกระทบท่ีมตี ่อทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ ความระมดั ระวงั และมกี ารพฒั นาเทคโนโลยใี หม่ ๆ สงิ่ แวดลอ้ ม พรอ้ มทง้ั นำเสนอแนวทางในการ เพือ่ ชว่ ยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แกม่ นษุ ย ์ อนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงทรัพยากรธรรมชาต ิ ส่ิงแวดลอ้ ม และสิ่งแวดลอ้ ม • ปญั หาทเี่ กดิ กบั ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม บางปัญหาส่งผลกระทบในระดับท้องถ่นิ บางปญั หากส็ ง่ ผลกระทบในระดบั ประเทศ และบางปญั หาสง่ ผลกระทบในระดบั โลก • การลดปริมาณการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การกำจดั ของเสยี ทเี่ ปน็ สาเหตขุ องปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม และการวางแผนจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ดี เปน็ ตัวอยา่ งของแนวทางในการอนรุ กั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติ และการลดปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพือ่ ให้เกดิ การใชป้ ระโยชนท์ ย่ี ่ังยนื ม.๕ - - ม.๖ - - 16 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสตั วแ์ ละมนษุ ยท์ ท่ี ำงานสมั พนั ธก์ นั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ที่ ของอวยั วะตา่ ง ๆ ของพชื ทที่ ำงานสมั พนั ธก์ นั รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน ์ ชัน้ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.๑ ๑. ระบชุ ื่อ บรรยายลักษณะและบอกหนา้ ท่ขี อง • มนษุ ยม์ สี ่วนตา่ ง ๆ ทีม่ ลี กั ษณะและหน้าท ่ ี สว่ นต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สตั ว์ และพืช แตกต่างกัน เพื่อใหเ้ หมาะสมในการดำรงชวี ติ รวมทั้งบรรยายการทำหนา้ ทร่ี ่วมกนั ของ เชน่ ตามีหนา้ ทไ่ี ว้มองดู โดยมีหนังตาและขนตา สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายมนษุ ยใ์ นการทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ เพอ่ื ปอ้ งกนั อนั ตรายใหก้ บั ตา หมู หี นา้ ทร่ี บั ฟงั เสยี ง จากข้อมูลท่ีรวบรวมได ้ โดยมใี บหแู ละรหู ู เพื่อเปน็ ทางผ่านของเสียง ๒. ตระหนักถงึ ความสำคญั ของสว่ นตา่ ง ๆ ของ ปากมีหน้าที่พดู กินอาหาร มีชอ่ งปากและม ี รา่ งกายตนเอง โดยการดแู ลสว่ นตา่ ง ๆ อย่าง ริมฝปี ากบนลา่ ง แขนและมอื มีหนา้ ท่ยี ก หยิบ จับ ถกู ตอ้ ง ใหป้ ลอดภยั และรักษาความสะอาด มีทอ่ นแขนและน้ิวมือที่ขยบั ได้ สมองมีหน้าที่ อยูเ่ สมอ ควบคมุ การทำงานของส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย อยูใ่ นกะโหลกศรี ษะ โดยสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย จะทำหน้าทีร่ ่วมกนั ในการทำกิจกรรม ในชีวิตประจำวัน • สัตวม์ หี ลายชนิด แตล่ ะชนดิ มสี ่วนต่าง ๆ ทีม่ ี ลักษณะและหนา้ ท่ีแตกตา่ งกัน เพ่อื ใหเ้ หมาะสม ในการดำรงชีวติ เช่น ปลามคี รีบเป็นแผ่น ส่วนกบ เตา่ แมว มีขา ๔ ขา และมีเทา้ สำหรับใชใ้ นการ เคลอ่ื นท ี่ • พชื มสี ว่ นต่าง ๆ ท่ีมลี กั ษณะและหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกนั เพอื่ ใหเ้ หมาะสมในการดำรงชวี ติ โดยท่ัวไป รากมี ลักษณะเรยี วยาว และแตกแขนงเปน็ รากเลก็ ๆ ทำหนา้ ทด่ี ดู น้ำ ลำตน้ มีลกั ษณะเปน็ ทรงกระบอก ตง้ั ตรงและมกี งิ่ กา้ น ทำหนา้ ท่ชี ูก่งิ ก้าน ใบ และดอก ใบมลี กั ษณะเป็นแผน่ แบน ทำหน้าท่ี สร้างอาหาร นอกจากน้พี ชื หลายชนิด อาจมีดอก ท่มี สี ี รูปร่างตา่ ง ๆ ทำหน้าทส่ี ืบพันธุ์ รวมทงั้ มีผล ที่มีเปลอื ก มเี นอ้ื ห่อหุ้มเมล็ด และมีเมล็ด ซึ่งสามารถงอกเป็นตน้ ใหม่ได ้ ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 17 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ชนั้ ตัวชี้วดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง • มนุษยใ์ ชส้ ว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายในการทำ กจิ กรรมต่าง ๆ เพือ่ การดำรงชวี ติ มนุษยจ์ ึงควร ใชส้ ว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายอย่างถกู ตอ้ ง ปลอดภยั และรักษาความสะอาดอยเู่ สมอ เชน่ ใช้ตามอง ตัวหนงั สอื ในทท่ี ม่ี แี สงสวา่ งเพียงพอ ดูแลตาให้ ปลอดภัยจากอันตราย และรกั ษาความสะอาดตา อย่เู สมอ ป.๒ ๑. ระบุวา่ พืชต้องการแสงและน้ำ เพ่ือการเจรญิ • พชื ต้องการน้ำ แสง เพ่ือการเจรญิ เตบิ โต เติบโต โดยใชข้ อ้ มูลจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ ์ ๒. ตระหนกั ถึงความจำเปน็ ทพ่ี ชื ต้องไดร้ บั นำ้ และ แสงเพอ่ื การเจรญิ เตบิ โต โดยดแู ลพชื ใหไ้ ด้รบั สิ่งดังกล่าวอย่างเหมาะสม ๓. สรา้ งแบบจำลองทีบ่ รรยายวัฏจกั รชวี ิตของ • พชื ดอกเมือ่ เจริญเติบโตและมดี อก ดอกจะมกี าร พืชดอก สบื พันธ์เุ ปล่ยี นแปลงไปเป็นผล ภายในผลมีเมลด็ เมอ่ื เมลด็ งอก ต้นอ่อนท่ีอยูภ่ ายในเมล็ดจะเจริญ เติบโตเป็นพชื ต้นใหม่ พชื ต้นใหมจ่ ะเจรญิ เติบโต ออกดอกเพอื่ สบื พันธม์ุ ีผลต่อไปได้อกี หมนุ เวยี น ต่อเนื่องเป็นวัฏจักรชวี ติ ของพืชดอก ป.๓ ๑. บรรยายสง่ิ ทจ่ี ำเป็นตอ่ การดำรงชวี ิต และการ • มนษุ ยแ์ ละสัตว์ต้องการอาหาร น้ำ และอากาศ เจริญเตบิ โตของมนุษยแ์ ละสัตว์ โดยใช้ข้อมลู เพือ่ การดำรงชวี ิตและการเจริญเตบิ โต ที่รวบรวมได้ • อาหารชว่ ยให้ร่างกายแขง็ แรงและเจริญเติบโต ๒. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องอาหาร นำ้ และอากาศ น้ำชว่ ยใหร้ ่างกายทำงานไดอ้ ยา่ งปกติ อากาศใช้ โดยการดูแลตนเองและสตั ว์ให้ได้รับสงิ่ เหล่าน้ี ในการหายใจ อยา่ งเหมาะสม ๓. สร้างแบบจำลองท่บี รรยายวัฏจักรชีวติ ของสตั ว์ • สตั วเ์ มื่อเปน็ ตวั เตม็ วยั จะสบื พนั ธุม์ ีลูก เมื่อลกู และเปรียบเทยี บวัฏจักรชวี ิตของสตั ว์บางชนิด เจรญิ เตบิ โตเปน็ ตัวเต็มวัยกส็ ืบพันธ์มุ ลี กู ตอ่ ไป ๔. ตระหนักถงึ คณุ ค่าของชวี ติ สัตว์ โดยไมท่ ำให้ ไดอ้ ีก หมุนเวยี นต่อเนือ่ งเปน็ วฏั จกั รชวี ติ ของสัตว ์ วัฏจกั รชีวติ ของสัตวเ์ ปลีย่ นแปลง ซงึ่ สัตวแ์ ต่ละชนิด เช่น ผเี สื้อ กบ ไก่ มนุษย ์ จะมวี ฏั จกั รชวี ิตทเ่ี ฉพาะและแตกตา่ งกนั 18 ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๔ ๑. บรรยายหนา้ ท่ีของราก ลำต้น ใบ และดอก • สว่ นตา่ ง ๆ ของพชื ดอกทำหนา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ของพชื ดอก โดยใชข้ ้อมลู ทรี่ วบรวมได ้ - รากทำหนา้ ทดี่ ดู นำ้ และธาตอุ าหารขน้ึ ไปยงั ลำตน้ - ลำตน้ ทำหน้าท่ลี ำเลียงนำ้ ต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช - ใบทำหน้าทีส่ รา้ งอาหาร อาหารทีพ่ ชื สรา้ งขึน้ คอื นำ้ ตาลซึ่งจะเปลย่ี นเป็นแป้ง - ดอกทำหน้าทีส่ ืบพนั ธุ์ ประกอบด้วย ส่วนประกอบตา่ ง ๆ ได้แก่ กลีบเล้ียง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี ซง่ึ สว่ นประกอบ แตล่ ะส่วนของดอกทำหน้าที่แตกตา่ งกนั ป.๕ - - ป.๖ ๑. ระบุสารอาหารและบอกประโยชนข์ อง • สารอาหารที่อยใู่ นอาหารมี ๖ ประเภท ได้แก่ สารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารที่ตนเอง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลอื แร่ วติ ามนิ รบั ประทาน และนำ้ ๒. บอกแนวทางในการเลือกรับประทานอาหาร • อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารท ี่ ให้ไดส้ ารอาหารครบถว้ น ในสัดสว่ นท่เี หมาะสม แตกตา่ งกนั อาหารบางอยา่ งประกอบดว้ ยสารอาหาร กับเพศและวยั รวมทัง้ ความปลอดภยั ต่อสุขภาพ ประเภทเดยี ว อาหารบางอยา่ งประกอบดว้ ย ๓. ตระหนกั ถึงความสำคญั ของสารอาหาร โดยการ สารอาหารมากกวา่ หน่ึงประเภท เลือกรบั ประทานอาหารท่มี สี ารอาหารครบถ้วน • สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชนต์ ่อรา่ งกาย ในสัดสว่ นทเี่ หมาะสมกบั เพศและวยั รวมทง้ั แตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ปลอดภยั ตอ่ สขุ ภาพ เปน็ สารอาหารทใ่ี หพ้ ลงั งานแกร่ า่ งกาย สว่ นเกลอื แร่ วติ ามนิ และน้ำ เปน็ สารอาหารที่ไมใ่ ห้พลงั งาน แกร่ า่ งกาย แตช่ ่วยให้ร่างกายทำงานไดเ้ ปน็ ปกติ • การรับประทานอาหาร เพอื่ ใหร้ ่างกายเจริญ เตบิ โต มกี ารเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามเพศ และวยั และมสี ขุ ภาพดี จำเปน็ ตอ้ งรับประทาน ใหไ้ ดพ้ ลงั งานเพยี งพอกบั ความตอ้ งการของรา่ งกาย และให้ได้สารอาหารครบถ้วน ในสดั สว่ น ทเ่ี หมาะสมกบั เพศและวยั รวมทั้งตอ้ งคำนึงถงึ ชนดิ และปรมิ าณของวตั ถุเจอื ปนในอาหาร เพื่อความปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 19 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๔. สรา้ งแบบจำลองระบบย่อยอาหาร และบรรยาย • ระบบยอ่ ยอาหารประกอบดว้ ยอวยั วะตา่ ง ๆ ได้แก่ หนา้ ทข่ี องอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหาร รวมทัง้ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไสเ้ ลก็ อธิบายการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร ลำไส้ใหญ่ ทวารหนกั ตบั และตบั อ่อน ซ่ึงทำ ๕. ตระหนกั ถึงความสำคญั ของระบบย่อยอาหาร หน้าท่รี ่วมกันในการยอ่ ยและดูดซมึ สารอาหาร โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวยั วะ - ปากมีฟันชว่ ยบดเคย้ี วอาหารใหม้ ีขนาดเล็กลง ในระบบยอ่ ยอาหารใหท้ ำงานเปน็ ปกต ิ และมลี นิ้ ชว่ ยคลกุ เคลา้ อาหารกับนำ้ ลาย ในน้ำลายมเี อนไซมย์ ่อยแปง้ ให้เปน็ น้ำตาล - หลอดอาหารทำหนา้ ทีล่ ำเลยี งอาหารจากปาก ไปยงั กระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหาร มกี ารยอ่ ยโปรตนี โดยกรดและเอนไซม์ที่สร้าง จากกระเพาะอาหาร - ลำไสเ้ ล็กมีเอนไซม์ท่สี รา้ งจากผนังลำไส้เลก็ เอง และจากตบั ออ่ นทชี่ ว่ ยยอ่ ยโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และไขมนั โดยโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน ทผี่ า่ นการย่อยจนเปน็ สารอาหารขนาดเลก็ พอ ที่จะดูดซึมได้ รวมถงึ น้ำ เกลือแร่ และวิตามิน จะถูกดดู ซมึ ทผี่ นังลำไส้เลก็ เข้าสกู่ ระแสเลือด เพอ่ื ลำเลียงไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย ซ่งึ โปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูกนำไปใช้ เป็นแหล่งพลังงานสำหรับใช้ในกจิ กรรมต่าง ๆ สว่ นน้ำ เกลือแร่ และวติ ามิน จะชว่ ยใหร้ ่างกาย ทำงานได้เปน็ ปกต ิ - ตบั สร้างนำ้ ดีแลว้ ส่งมายังลำไสเ้ ลก็ ชว่ ยให้ไขมนั แตกตวั - ลำไส้ใหญ่ทำหนา้ ทดี่ ูดนำ้ และเกลือแร่ เปน็ บริเวณที่มีอาหารทย่ี อ่ ยไม่ได้หรือย่อยไม่หมด เปน็ กากอาหาร ซง่ึ จะถกู กำจดั ออกทางทวารหนกั • อวยั วะต่าง ๆ ในระบบยอ่ ยอาหารมคี วามสำคญั จงึ ควรปฏิบัตติ น ดูแลรักษาอวัยวะใหท้ ำงาน เป็นปกติ 20 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชนั้ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. เปรียบเทียบรปู รา่ ง ลกั ษณะ และโครงสร้าง • เซลลเ์ ปน็ หนว่ ยพน้ื ฐานของสง่ิ มชี วี ติ สง่ิ มชี วี ติ ของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ รวมทงั้ บรรยายหนา้ ที่ บางชนดิ มเี ซลลเ์ พยี งเซลลเ์ ดยี ว เชน่ อะมบี า ของผนังเซลล์ เยอื่ ห้มุ เซลล์ ไซโทพลาซึม พารามเี ซยี ม ยีสต์ บางชนดิ มีหลายเซลล์ เชน่ นวิ เคลียส แวควิ โอล ไมโทคอนเดรยี พืช สัตว ์ และคลอโรพลาสต ์ • โครงสรา้ งพน้ื ฐานทพ่ี บทง้ั ในเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ ๒. ใช้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงศกึ ษาเซลล์ และสามารถสังเกตไดด้ ว้ ยกลอ้ งจุลทรรศนใ์ ช้แสง และโครงสรา้ งต่าง ๆ ภายในเซลล์ ไดแ้ ก่ เย่อื หุ้มเซลล์ ไซโทพลาซมึ และนิวเคลียส โครงสร้างทพ่ี บในเซลล์พชื แตไ่ มพ่ บในเซลลส์ ตั ว์ ไดแ้ ก่ ผนังเซลลแ์ ละคลอโรพลาสต์ • โครงสรา้ งตา่ ง ๆ ของเซลลม์ หี นา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั - ผนงั เซลล์ ทำหนา้ ทใี่ หค้ วามแขง็ แรงแกเ่ ซลล ์ - เยื่อหุ้มเซลล์ ทำหน้าท่ีห่อหุ้มเซลลแ์ ละควบคมุ การลำเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ - นิวเคลยี ส ทำหนา้ ท่คี วบคมุ การทำงานของเซลล์ - ไซโทพลาซมึ มอี อรแ์ กเนลลท์ ที่ ำหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกนั - แวควิ โอล ทำหนา้ ท่ีเกบ็ นำ้ และสารตา่ ง ๆ - ไมโทคอนเดรยี ทำหนา้ ทเ่ี กย่ี วกบั การสลายสาร อาหารเพ่ือใหไ้ ดพ้ ลงั งานแกเ่ ซลล ์ - คลอโรพลาสต์ เปน็ แหลง่ ท่เี กดิ การสังเคราะห์ ดว้ ยแสง ๓. อธบิ ายความสมั พันธร์ ะหว่างรูปร่าง • เซลล์ของส่ิงมชี ีวิตมรี ูปร่าง ลักษณะ ทห่ี ลากหลาย กบั การทำหน้าทีข่ องเซลล์ และมคี วามเหมาะสมกบั หนา้ ทขี่ องเซลลน์ น้ั เชน่ เซลลป์ ระสาทสว่ นใหญ่ มเี สน้ ใยประสาทเป็น แขนงยาว นำกระแสประสาทไปยงั เซลล์อนื่ ๆ ท่ี อยู่ไกลออกไป เซลล์ขนราก เปน็ เซลล์ผวิ ของราก ทมี่ ผี นังเซลลแ์ ละเย่ือหมุ้ เซลล์ยนื่ ยาวออกมา ลักษณะคลา้ ยขนเส้นเล็ก ๆ เพ่อื เพ่มิ พื้นทผี่ ิวใน การดดู น้ำและธาตุอาหาร ๔. อธบิ ายการจดั ระบบของส่งิ มชี วี ติ โดยเรม่ิ จาก • พืชและสตั วเ์ ปน็ ส่งิ มีชวี ิตหลายเซลล์มีการจดั เซลล์ เนือ้ เยอื่ อวัยวะ ระบบอวยั วะ จนเป็น ระบบ โดยเรม่ิ จากเซลล์ไปเปน็ เนื้อเยอ่ื อวยั วะ สิ่งมีชีวติ ระบบอวยั วะ และสง่ิ มชี วี ติ ตามลำดบั เซลล์หลาย เซลลม์ ารวมกันเป็นเนอ้ื เยอ่ื เน้อื เย่อื หลายชนิดมา รวมกนั และทำงานรว่ มกนั เปน็ อวยั วะ อวยั วะตา่ ง ๆ ทำงานร่วมกันเปน็ ระบบอวยั วะ ระบบอวัยวะ ทกุ ระบบทำงานร่วมกนั เปน็ ส่งิ มชี วี ติ ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 21 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๕. อธิบายกระบวนการแพรแ่ ละออสโมซิสจาก • เซลลม์ กี ารนำสารเขา้ สเู่ ซลล์ เพอื่ ใชใ้ นกระบวนการ หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ และยกตัวอยา่ งการแพร่ ต่าง ๆ ของเซลล์ และมกี ารขจัดสารบางอย่าง และออสโมซสิ ในชวี ติ ประจำวัน ทีเ่ ซลล์ไมต่ อ้ งการออกนอกเซลล์ การนำสารเขา้ และออกจากเซลลม์ หี ลายวธิ ี เช่น การแพร่ เปน็ การเคลอื่ นทข่ี องสารจากบรเิ วณทมี่ คี วาม เขม้ ขน้ ของสารสูงไปสู่บริเวณทีม่ ีความเข้มข้น ของสารตำ่ ส่วนออสโมซิส เปน็ การแพร่ของน้ำ ผา่ นเยอ่ื หุ้มเซลล์ จากดา้ นทม่ี คี วามเข้มขน้ ของ สารละลายตำ่ ไปยังดา้ นที่มคี วามเข้มขน้ ของ สารละลายสงู กว่า ๖. ระบุปัจจัยทจ่ี ำเป็นในการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง • กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื ทีเ่ กดิ ขน้ึ และผลผลติ ทีเ่ กดิ ขึน้ จากการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง ในคลอโรพลาสต์ จำเปน็ ตอ้ งใชแ้ สง แกส๊ คารบ์ อนได- โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ออกไซด์ คลอโรฟิลล์ และนำ้ ผลผลิตทไ่ี ด้จาก การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง ได้แก่ นำ้ ตาลและ แก๊สออกซเิ จน ๗. อธิบายความสำคญั ของการสงั เคราะห์ด้วยแสง • การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง เป็นกระบวนการทสี่ ำคญั ของพชื ต่อส่งิ มชี ีวติ และสง่ิ แวดล้อม ตอ่ สิง่ มชี ีวติ เพราะเป็นกระบวนการเดียว ๘. ตระหนักในคุณคา่ ของพชื ท่มี ตี ่อสง่ิ มีชีวิตและ ที่สามารถนำพลังงานแสงมาเปล่ยี นเป็นพลงั งาน ส่ิงแวดลอ้ ม โดยการรว่ มกนั ปลกู และดูแลรักษา ในรปู สารประกอบอนิ ทรยี แ์ ละเกบ็ สะสมในรปู แบบ ต้นไม้ในโรงเรียนและชุมชน ต่าง ๆ ในโครงสรา้ งของพืช พชื จงึ เป็นแหล่ง อาหารและพลังงานท่ีสำคญั ของส่ิงมชี วี ติ อื่น นอกจากนกี้ ระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงยงั เป็น กระบวนการหลกั ในการสร้างแกส๊ ออกซเิ จนใหก้ ับ บรรยากาศเพ่ือใหส้ ง่ิ มีชวี ติ อน่ื ใช้ในกระบวนการ หายใจ ๙. บรรยายลักษณะและหน้าทีข่ องไซเลม็ และ • พืชมีไซเล็มและโฟลเอม็ ซง่ึ เป็นเน้อื เยอ่ื โฟลเอม็ มลี กั ษณะคลา้ ยทอ่ เรยี งตวั กนั เปน็ กลมุ่ เฉพาะท ่ี โดยไซเล็มทำหน้าทีล่ ำเลยี งน้ำและธาตุอาหาร ๑๐. เขยี นแผนภาพทีบ่ รรยายทศิ ทาง มีทศิ ทางลำเลียงจากรากไปสู่ลำตน้ ใบ และ การลำเลียงสารในไซเลม็ และโฟลเอ็ม สว่ นตา่ ง ๆ ของพชื เพอ่ื ใชใ้ นการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ของพชื รวมถงึ กระบวนการอน่ื ๆ สว่ นโฟลเอ็มทำหน้าท ่ ี ลำเลียงอาหารท่ไี ดจ้ ากการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง มที ศิ ทางลำเลยี งจากบรเิ วณท่ีมีการสงั เคราะห์ด้วย แสงไปสสู่ ว่ นต่าง ๆ ของพืช 22 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑๑. อธิบายการสบื พันธแุ์ บบอาศัยเพศ และ • พืชดอกทกุ ชนดิ สามารถสืบพันธแุ์ บบอาศัยเพศได้ ไมอ่ าศัยเพศของพืชดอก และบางชนิดสามารถสืบพันธแ์ุ บบไม่อาศัยเพศได้ ๑๒. อธบิ ายลักษณะโครงสรา้ งของดอกทีม่ ีส่วน ทำให้เกดิ การถ่ายเรณู รวมท้งั บรรยาย • การสืบพันธ์แุ บบอาศัยเพศเปน็ การสืบพนั ธท์ุ ่มี ีการ การปฏสิ นธิของพชื ดอก การเกดิ ผลและเมลด็ ผสมกันของสเปิร์มกบั เซลล์ไข่ การสบื พนั ธ ์ุ การกระจายเมล็ด และการงอกของเมลด็ แบบอาศยั เพศของพชื ดอกเกดิ ขนึ้ ทด่ี อก โดยภายใน อับเรณขู องสว่ นเกสรเพศผมู้ เี รณู ซงึ่ ทำหนา้ ท ่ี ๑๓. ตระหนักถงึ ความสำคญั ของสตั วท์ ่ชี ว่ ยในการ สรา้ งสเปริ ม์ ภายในออวุลของส่วนเกสรเพศเมีย ถ่ายเรณูของพืชดอก โดยการไมท่ ำลายชวี ิต มีถงุ เอ็มบรโิ อ ทำหนา้ ทสี่ รา้ งเซลล์ไข ่ ของสัตว์ท่ีชว่ ยในการถ่ายเรณู • การสบื พนั ธแุ์ บบไมอ่ าศยั เพศ เปน็ การสบื พนั ธทุ์ ่พี ชื ตน้ ใหม่ไม่ได้เกดิ จากการปฏสิ นธิระหว่างสเปริ ์ม กบั เซลลไ์ ข่ แต่เกดิ จากสว่ นตา่ ง ๆ ของพืช เช่น ราก ลำตน้ ใบ มกี ารเจริญเตบิ โตและพัฒนาขน้ึ มา เป็นตน้ ใหม่ได้ • การถ่ายเรณู คือ การเคล่ือนยา้ ยของเรณูจาก อบั เรณูไปยงั ยอดเกสรเพศเมยี ซ่งึ เก่ียวขอ้ งกับ ลกั ษณะและโครงสร้างของดอก เช่น สขี อง กลีบดอก ตำแหนง่ ของเกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศ เมีย โดยมีสงิ่ ที่ช่วยในการถ่ายเรณู เช่น แมลง ลม • การถ่ายเรณจู ะนำไปสูก่ ารปฏิสนธิ ซึ่งจะเกิดข้ึนที่ ถุงเอ็มบริโอภายในออวุล หลงั การปฏสิ นธิจะได ้ ไซโกต และเอนโดสเปริ ์ม ไซโกตจะพัฒนาตอ่ ไป เป็นเอม็ บรโิ อ ออวุลพฒั นาไปเป็นเมลด็ และรังไข่ พฒั นาไปเปน็ ผล • ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจากตน้ เดิม โดย วิธกี ารตา่ ง ๆ เมอื่ เมลด็ ไปตกในสภาพแวดลอ้ มที่ เหมาะสมจะเกดิ การงอกของเมลด็ โดยเอ็มบริโอ ภายในเมล็ดจะเจรญิ ออกมา โดยระยะแรก จะอาศัยอาหารที่สะสมภายในเมลด็ จนกระท่งั ใบแท้พัฒนา จนสามารถสงั เคราะหด์ ้วยแสงได้ เตม็ ท่ี และสร้างอาหารได้เองตามปกต ิ ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 23 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๑๔. อธบิ ายความสำคญั ของธาตุอาหาร • พชื ต้องการธาตุอาหารทจี่ ำเป็นหลายชนิดในการ บางชนิดที่มีผลต่อการเจรญิ เติบโต เจรญิ เติบโตและการดำรงชวี ติ และการดำรงชวี ติ ของพชื • พชื ตอ้ งการธาตอุ าหารบางชนดิ ในปรมิ าณมาก ไดแ้ ก่ ๑๕. เลอื กใชป้ ยุ๋ ท่ีมีธาตุอาหารเหมาะสมกบั พชื ใน ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซียม แคลเซยี ม สถานการณ์ทกี่ ำหนด แมกนเี ซยี ม และกำมะถนั ซง่ึ ในดนิ อาจมไี มเ่ พยี งพอ สำหรบั การเจริญเตบิ โตของพืช จงึ ตอ้ งมกี ารให้ ๑๖. เลอื กวธิ กี ารขยายพันธพุ์ ชื ให้เหมาะสมกบั ธาตอุ าหารในรูปของปุย๋ กับพชื อยา่ งเหมาะสม ความต้องการของมนุษย์ โดยใช้ความร ู้ เกยี่ วกบั การสืบพันธุข์ องพืช • มนุษยส์ ามารถนำความรเู้ ร่อื งการสบื พนั ธ์ุ แบบอาศยั เพศและไมอ่ าศยั เพศ มาใชใ้ นการ ๑๗. อธิบายความสำคญั ของเทคโนโลย ี ขยายพนั ธุ์เพอ่ื เพิม่ จำนวนพชื เช่น การใช้เมล็ด การเพาะเลยี้ งเนื้อเยอ่ื พืชในการใชป้ ระโยชน์ ทไ่ี ดจ้ ากการสบื พนั ธ์แุ บบอาศัยเพศมาเพาะเลย้ี ง ด้านต่าง ๆ วธิ กี ารนี้จะไดพ้ ชื ในปริมาณมาก แตอ่ าจมลี ักษณะ ทแ่ี ตกตา่ งไปจากพอ่ แม่ สว่ นการตอนกง่ิ การปกั ชำ ๑๘. ตระหนักถึงประโยชน์ของการขยายพันธ์พุ ชื การต่อกิง่ การติดตา การทาบก่ิง การเพาะเลี้ยง โดยการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวนั เนื้อเยือ่ เป็นการนำความรู้เรื่องการสบื พันธุ์แบบ ไมอ่ าศัยเพศของพชื มาใชใ้ นการขยายพันธ ุ์ เพอ่ื ใหไ้ ดพ้ ชื ทม่ี ลี กั ษณะเหมอื นตน้ เดมิ ซงึ่ การขยายพนั ธ ์ุ แตล่ ะวธิ ี มขี ัน้ ตอนแตกต่างกนั จึงควรเลือกให้ เหมาะสมกบั ความต้องการของมนษุ ย์ โดยตอ้ ง คำนงึ ถงึ ชนิดของพืชและลักษณะการสืบพนั ธ ุ์ ของพชื • เทคโนโลยกี ารเพาะเล้ยี งเนื้อเย่อื พืช เปน็ การนำ ความรเู้ กยี่ วกับปจั จยั ท่จี ำเป็นต่อการเจรญิ เติบโต ของพืชมาใช้ในการเพิม่ จำนวนพชื และทำใหพ้ ชื สามารถเจริญเตบิ โตไดใ้ นหลอดทดลอง ซ่งึ จะได้ พืชจำนวนมากในระยะเวลาสน้ั และสามารถนำ เทคโนโลยีการเพาะเลยี้ งเนื้อเย่ือมาประยุกต์ เพอ่ื การอนุรักษ์พันธกุ รรมพชื ปรบั ปรงุ พนั ธพ์ุ ชื ทม่ี คี วามสำคญั ทางเศรษฐกจิ การผลติ ยาและ สารสำคัญในพชื และอนื่ ๆ 24 ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๒ ๑. ระบุอวัยวะและบรรยายหนา้ ท่ีของอวัยวะที่ • ระบบหายใจมีอวัยวะต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ได้แก่ เกยี่ วข้องในระบบหายใจ จมกู ทอ่ ลม ปอด กะบังลม และกระดกู ซโ่ี ครง ๒. อธบิ ายกลไกการหายใจเข้าและออก โดยใช ้ • มนษุ ยห์ ายใจเข้า เพื่อนำแก๊สออกซิเจนเข้าส ู่ แบบจำลอง รวมทง้ั อธิบายกระบวนการ รา่ งกายเพื่อนำไปใช้ในเซลล์ และหายใจออก แลกเปล่ยี นแก๊ส เพ่อื กำจดั แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจาก ๓. ตระหนักถงึ ความสำคัญของระบบหายใจ ร่างกาย โดยการบอกแนวทางในการดแู ลรักษาอวัยวะ • อากาศเคล่อื นท่ีเข้าและออกจากปอดได ้ ในระบบหายใจให้ทำงานเป็นปกติ เนือ่ งจากการเปล่ยี นแปลงปริมาตรและความดนั ของอากาศภายในชอ่ งอกซง่ึ เกี่ยวขอ้ งกบั การทำงานของกะบังลม และกระดกู ซี่โครง • การแลกเปลย่ี นแกส๊ ออกซเิ จนกบั แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นรา่ งกาย เกดิ ขน้ึ บรเิ วณ ถุงลมในปอดกับหลอดเลอื ดฝอยทีถ่ ุงลม และ ระหวา่ งหลอดเลือดฝอยกับเนือ้ เยอ่ื • การสูบบุหรี่ การสดู อากาศท่มี ีสารปนเป้ือน และ การเปน็ โรคเกย่ี วกบั ระบบหายใจบางโรค อาจทำให้เกดิ โรคถุงลมโป่งพอง ซ่ึงมีผลใหค้ วามจุ อากาศของปอดลดลง ดังน้นั จงึ ควรดแู ลรักษา ระบบหายใจ ให้ทำหนา้ ทเี่ ปน็ ปกติ ๔. ระบอุ วัยวะและบรรยายหน้าที่ของอวยั วะ • ระบบขับถา่ ยมีอวัยวะที่เกย่ี วข้อง คอื ไต ทอ่ ไต ในระบบขบั ถา่ ยในการกำจดั ของเสยี ทางไต กระเพาะปสั สาวะ และท่อปัสสาวะ โดยมไี ต ๕. ตระหนักถึงความสำคัญของระบบขบั ถ่าย ทำหน้าท่กี ำจัดของเสยี เช่น ยเู รยี แอมโมเนยี ในการกำจดั ของเสยี ทางไต โดยการบอก กรดยูรกิ รวมทงั้ สารทร่ี า่ งกายไมต่ อ้ งการออกจาก แนวทางในการปฏิบตั ติ นท่ชี ว่ ยให้ระบบขับถ่าย เลอื ด และควบคมุ สารทมี่ มี ากหรอื นอ้ ยเกนิ ไป ทำหนา้ ท่ีไดอ้ ย่างปกต ิ เชน่ น้ำ โดยขับออกมาในรปู ของปสั สาวะ • การเลือกรับประทานอาหารทีเ่ หมาะสม เช่น รบั ประทานอาหารทีไ่ มม่ ีรสเคม็ จัด การด่มื นำ้ สะอาดใหเ้ พยี งพอ เป็นแนวทางหนึง่ ทชี่ ่วยให้ ระบบขับถา่ ยทำหนา้ ทไี่ ด้อย่างปกต ิ ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 25 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๖. บรรยายโครงสร้างและหนา้ ทข่ี องหวั ใจ • ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วย หัวใจ หลอดเลอื ด และเลือด หลอดเลอื ด และเลือด • หัวใจของมนุษย์แบง่ เป็น ๔ หอ้ ง ไดแ้ ก่ หัวใจ ๗. อธิบายการทำงานของระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ห้องบน ๒ ห้อง และหอ้ งล่าง ๒ ห้อง ระหวา่ ง โดยใชแ้ บบจำลอง หวั ใจหอ้ งบนและหวั ใจห้องล่างมีล้ินหวั ใจกัน้ • หลอดเลือด แบง่ เปน็ หลอดเลือดอารเ์ ตอรี หลอดเลอื ดเวน หลอดเลอื ดฝอย ซึ่งมีโครงสรา้ ง ต่างกนั • เลอื ด ประกอบด้วย เซลล์เม็ดเลอื ด เพลตเลต และพลาสมา • การบบี และคลายตวั ของหวั ใจทำใหเ้ ลอื ดหมนุ เวยี น และลำเลียงสารอาหาร แกส๊ ของเสีย และสาร อืน่ ๆ ไปยงั อวัยวะและเซลลต์ ่าง ๆ ทว่ั ร่างกาย • เลอื ดทมี่ ปี รมิ าณแกส๊ ออกซเิ จนสงู จะออกจากหวั ใจ ไปยังเซลล์ตา่ ง ๆ ทวั่ ร่างกาย ขณะเดยี วกนั แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากเซลลจ์ ะแพรเ่ ขา้ สเู่ ลอื ด และลำเลยี งกลับเขา้ สหู่ วั ใจและถูกส่งไป แลกเปล่ยี นแก๊สที่ปอด ๘. ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการ • ชีพจรบอกถึงจังหวะการเตน้ ของหัวใจ เปรียบเทียบอตั ราการเต้นของหวั ใจ ขณะปกต ิ ซ่ึงอัตราการเต้นของหวั ใจในขณะปกติและ และหลงั ทำกจิ กรรม หลังจากทำกิจกรรมตา่ ง ๆ จะแตกตา่ งกนั ๙. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ส่วนความดันเลอื ด ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดเกดิ จาก โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะ การทำงานของหวั ใจและหลอดเลอื ด ในระบบหมุนเวียนเลอื ดให้ทำงานเป็นปกต ิ • อัตราการเต้นของหวั ใจมีความแตกต่างกันใน แตล่ ะบคุ คล คนทเี่ ป็นโรคหวั ใจและหลอดเลือด จะส่งผลทำให้หวั ใจสบู ฉีดเลือดไมเ่ ปน็ ปกต ิ • การออกกำลงั กาย การเลอื กรับประทานอาหาร การพกั ผ่อน และการรกั ษาภาวะอารมณใ์ หเ้ ปน็ ปกติ จึงเปน็ ทางเลือกหนึง่ ในการดแู ลรกั ษาระบบ หมนุ เวียนเลอื ดให้เป็นปกติ 26 ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๑๐. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของอวัยวะใน • ระบบประสาทสว่ นกลาง ประกอบดว้ ยสมอง ระบบประสาทส่วนกลางในการควบคุม และไขสนั หลัง จะทำหน้าทีร่ ่วมกับเสน้ ประสาท การทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย ซ่งึ เปน็ ระบบประสาทรอบนอก ในการควบคมุ ๑๑. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของระบบประสาท การทำงานของอวยั วะต่าง ๆ รวมถึงการแสดง โดยการบอกแนวทางในการดูแลรกั ษา รวมถงึ พฤติกรรม เพอื่ การตอบสนองต่อสิง่ เร้า การปอ้ งกนั การกระทบกระเทอื นและอันตราย • เมื่อมีสิง่ เร้ามากระตุ้นหนว่ ยรับความรูส้ กึ จะเกดิ ตอ่ สมองและไขสนั หลงั กระแสประสาทสง่ ไปตามเซลลป์ ระสาทรบั ความรสู้ กึ ไปยังระบบประสาทส่วนกลาง แล้วส่ง กระแสประสาทมาตามเซลลป์ ระสาทสงั่ การ ไปยงั หนว่ ยปฏบิ ตั งิ าน เช่น กลา้ มเนอ้ื • ระบบประสาทเปน็ ระบบทีม่ คี วามซบั ซ้อนและมี ความสัมพนั ธ์กับทกุ ระบบในร่างกาย ดงั น้นั จงึ ควรปอ้ งกนั การเกดิ อบุ ตั เิ หตทุ กี่ ระทบกระเทอื น ต่อสมอง หลีกเลีย่ งการใชส้ ารเสพตดิ หลีกเลี่ยง ภาวะเครียด และรบั ประทานอาหารทม่ี ีประโยชน ์ เพ่อื ดูแลรักษาระบบประสาทใหท้ ำงานเป็นปกต ิ ๑๒. ระบอุ วัยวะและบรรยายหน้าทขี่ องอวยั วะใน • มนุษยม์ รี ะบบสืบพนั ธุ์ท่ีประกอบดว้ ยอวยั วะ ระบบสบื พันธ์ุของเพศชายและเพศหญิง ต่าง ๆ ทท่ี ำหน้าทเ่ี ฉพาะ โดยรงั ไขใ่ นเพศหญงิ โดยใช้แบบจำลอง จะทำหนา้ ทผี่ ลติ เซลล์ไข่ ส่วนอณั ฑะในเพศชาย ๑๓. อธบิ ายผลของฮอรโ์ มนเพศชายและเพศหญงิ ที่ จะทำหน้าท่ีสรา้ งเซลลอ์ สจุ ิ ควบคุมการเปล่ยี นแปลงของร่างกาย เมอื่ เขา้ สู่ • ฮอรโ์ มนเพศทำหนา้ ทีค่ วบคมุ การแสดงออกของ วัยหนมุ่ สาว ลกั ษณะทางเพศทแี่ ตกตา่ งกนั เมอื่ เขา้ สวู่ ยั หนมุ่ สาว ๑๔. ตระหนักถึงการเปล่ียนแปลงของรา่ งกายเมอ่ื จะมีการสรา้ งเซลลไ์ ขแ่ ละเซลลอ์ สุจิ การตกไข่ เข้าสวู่ ัยหน่มุ สาว โดยการดูแลรกั ษาร่างกาย การมรี อบเดือน และถา้ มกี ารปฏสิ นธขิ องเซลล์ไข่ และจิตใจของตนเองในชว่ งทม่ี ี และเซลล์อสุจิจะทำให้เกิดการตงั้ ครรภ ์ การเปล่ียนแปลง ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 27 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๑๕. อธบิ ายการตกไข่ การมปี ระจำเดอื น • การมีประจำเดือน มีความสัมพนั ธ์กับการตกไข่ การปฏิสนธิ และการพฒั นาของไซโกต โดยเปน็ ผลจากการเปลยี่ นแปลงของระดบั ฮอรโ์ มน จนคลอดเปน็ ทารก เพศหญงิ ๑๖. เลอื กวธิ กี ารคุมกำเนิดทเ่ี หมาะสมกับ • เม่ือเพศหญงิ มกี ารตกไขแ่ ละเซลลไ์ ขไ่ ด้รบั สถานการณ์ทก่ี ำหนด การปฏสิ นธกิ บั เซลลอ์ สจุ จิ ะทำให้ไดไ้ ซโกต ๑๗. ตระหนักถึงผลกระทบของการต้ังครรภ ์ ไซโกตจะเจรญิ เปน็ เอ็มบริโอและฟีตัส กอ่ นวยั อนั ควร โดยการประพฤตติ นใหเ้ หมาะสม จนกระทง่ั คลอดเป็นทารก แต่ถ้าไมม่ กี ารปฏิสนธิ เซลลไ์ ขจ่ ะสลายตัว ผนังด้านในมดลกู รวมท้ัง หลอดเลือดจะสลายตัวและหลุดลอกออก เรยี กว่า ประจำเดอื น • การคมุ กำเนดิ เปน็ วิธีปอ้ งกันไม่ให้เกิดการตงั้ ครรภ์ โดยปอ้ งกันไมใ่ หเ้ กดิ การปฏสิ นธหิ รือไมใ่ ห้มีการ ฝังตวั ของเอม็ บรโิ อ ซึง่ มีหลายวิธี เช่น การใช ้ ถุงยางอนามยั การกินยาคุมกำเนดิ ม.๓ - - ม.๔ ๑. อธบิ ายโครงสรา้ งและสมบตั ขิ องเยอ่ื หมุ้ เซลลท์ ี่ • เยื่อหุ้มเซลลม์ โี ครงสร้างเป็นเยื่อหุม้ สองช้ันทม่ี ี สมั พันธก์ บั การลำเลียงสาร และเปรยี บเทียบ ลิพดิ เป็นองคป์ ระกอบ และมโี ปรตีนแทรกอย ู่ การลำเลยี งสารผ่านเย่อื หุ้มเซลล์แบบต่าง ๆ • สารท่ลี ะลายไดใ้ นลพิ ดิ และสารที่มีขนาดเลก็ สามารถแพรผ่ ่านเย่ือหุ้มเซลลไ์ ด้โดยตรง ส่วนสาร ขนาดเล็กท่ีมปี ระจุตอ้ งลำเลียงผา่ นโปรตีนที่แทรก อย่ทู ่ีเยื่อหุ้มเซลล์ ซึง่ มี ๒ แบบ คอื การแพรแ่ บบ ฟาซิลเิ ทต และแอกทฟี ทรานสปอรต์ ในกรณสี าร ขนาดใหญ่ เช่น โปรตนี จะลำเลียงเขา้ โดย กระบวนการเอนโดไซโทซสิ หรือลำเลยี งออกโดย กระบวนการเอกโซไซโทซิส ๒. อธบิ ายการควบคมุ ดลุ ยภาพของนำ้ และสารใน • การรักษาดลุ ยภาพของนำ้ และสารในเลือด เลอื ดโดยการทำงานของไต เกิดจากการทำงานของไต ซึ่งเป็นอวยั วะ ในระบบขบั ถา่ ยทมี่ คี วามสำคญั ในการกำจดั ของ เสยี ที่มีไนโตรเจนเป็นองคป์ ระกอบ รวมทัง้ น้ำและ สารที่มปี ริมาณเกินความต้องการของรา่ งกาย 28 ตัวชี้วดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๓. อธบิ ายการควบคุมดุลยภาพของกรด-เบสของ • การรักษาดลุ ยภาพของกรด-เบสในเลอื ดเกดิ จาก เลือดโดยการทำงานของไตและปอด การทำงานของไตท่ที ำหน้าท่ขี บั หรอื ดูดกลับ ไฮโดรเจนไอออน ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน และแอมโมเนียมไอออน และการทำงานของปอด ทท่ี ำหนา้ ทก่ี ำจัดคาร์บอนไดออกไซด ์ ๔. อธิบายการควบคุมดลุ ยภาพของอุณหภูมิภายใน • การรกั ษาดลุ ยภาพของอณุ หภมู ภิ ายในร่างกาย รา่ งกายโดยระบบหมนุ เวียนเลือด ผวิ หนงั และ เกดิ จากการทำงานของระบบหมนุ เวียนเลอื ดท่ี กล้ามเนือ้ โครงร่าง ควบคุมปรมิ าณเลือดไปที่ผิวหนงั การทำงานของ ตอ่ มเหงือ่ และกลา้ มเนื้อโครงรา่ ง ซึ่งสง่ ผลถงึ ปริมาณความรอ้ นทถี่ ูกเก็บหรือระบายออกจาก รา่ งกาย ๕. อธิบาย และเขียนแผนผังเก่ยี วกบั การตอบสนอง • เม่ือเชื้อโรคหรือสง่ิ แปลกปลอมอืน่ เขา้ สเู่ นื้อเยือ่ ของรา่ งกายแบบไม่จำเพาะ และแบบจำเพาะต่อ ในรา่ งกาย รา่ งกายจะมีกลไกในการต่อตา้ นหรือ สงิ่ แปลกปลอมของรา่ งกาย ทำลายสิ่งแปลกปลอมทงั้ แบบไมจ่ ำเพาะและ แบบจำเพาะ • เซลลเ์ ม็ดเลือดขาวกลมุ่ ฟาโกไซตจ์ ะมกี ลไกในการ ตอ่ ต้านหรอื ทำลายสง่ิ แปลกปลอมแบบไม่จำเพาะ • กลไกในการตอ่ ต้านหรอื ทำลายสิง่ แปลกปลอม แบบจำเพาะเปน็ การทำงานของเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว ลิมโฟไซตช์ นิดบีและชนดิ ที ซึ่งเซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว ท้งั สองชนดิ จะมีตวั รบั แอนติเจน ทำใหเ้ ซลล ์ ทง้ั สองสามารถตอบสนองแบบจำเพาะตอ่ แอนตเิ จน นัน้ ๆ ได้ • เซลลบ์ ีทำหน้าทสี่ รา้ งแอนตบิ อดี ซงึ่ ช่วยในการ จบั กับส่ิงแปลกปลอมต่าง ๆ เพือ่ ทำลายต่อไป โดยระบบภมู ิคมุ้ กัน เซลล์ทีทำหนา้ ที่หลากหลาย เช่น กระตุ้นการทำงานของเซลล์บแี ละเซลลท์ ี ชนดิ อืน่ ทำลายเซลลท์ ่ตี ิดไวรสั และเซลล ์ ท่ีผดิ ปกตอิ ืน่ ๆ ตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 29 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๖. สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบาย และยกตัวอย่างโรคหรอื • บางกรณรี ่างกายอาจเกิดความผดิ ปกติของระบบ อาการทเ่ี กิดจากความผิดปกตขิ องระบบ ภมู คิ มุ้ กนั เชน่ ภูมคิ ุ้มกนั ตอบสนองต่อแอนตเิ จน ภูมิคุม้ กนั บางชนิดอยา่ งรุนแรงมากเกนิ ไป หรือร่างกาย มปี ฏกิ ริ ิยาตอบสนองต่อแอนติเจนของตนเอง อาจทำให้รา่ งกายเกิดอาการผดิ ปกตไิ ด้ ๗. อธิบายภาวะภูมคิ มุ้ กันบกพร่องท่มี สี าเหต ุ • บคุ คลทีไ่ ดร้ ับเลอื ดหรือสารคัดหลัง่ ท่มี ีเชอื้ HIV มาจากการติดเช้ือ HIV ซงึ่ สามารถทำลายเซลลท์ ี ทำใหภ้ มู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง และติดเช้อื ตา่ ง ๆ ได้ง่ายข้ึน ๘. ทดสอบ และบอกชนดิ ของสารอาหาร • กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงเป็นจุดเรม่ิ ต้น ของการสรา้ งนำ้ ตาลในพชื พชื เปล่ยี นน้ำตาลไป ท่พี ืชสังเคราะหไ์ ด้ ๙. สืบคน้ ขอ้ มูล อภปิ ราย และยกตวั อยา่ งเก่ยี วกับ เปน็ สารอาหารและสารอน่ื ๆ เชน่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ที่จำเปน็ ต่อการดำรงชวี ติ ของพชื การใช้ประโยชนจ์ ากสารตา่ ง ๆ ทีพ่ ืชบางชนดิ และสัตว์ สรา้ งข้นึ • มนษุ ยส์ ามารถนำสารตา่ ง ๆ ทพ่ี ชื บางชนดิ สรา้ งขน้ึ ไปใชป้ ระโยชน์ เช่น ใช้เป็นยาหรอื สมนุ ไพร ในการรักษาโรคบางชนิด ใช้ในการไลแ่ มลง กำจัด ศตั รพู ชื และสตั ว์ ใชใ้ นการยบั ยง้ั การเจรญิ เตบิ โต ของแบคทเี รยี และใชเ้ ป็นวตั ถดุ บิ ในอตุ สาหกรรม ๑๐. ออกแบบการทดลอง ทดลอง และอธิบาย • ปัจจัยภายนอกทม่ี ีผลต่อการเจรญิ เตบิ โต เชน่ แสง เกย่ี วกับปัจจยั ภายนอกท่ีมีผลต่อการ นำ้ ธาตอุ าหาร คารบ์ อนไดออกไซด์ และออกซเิ จน เจริญเติบโตของพชื ปจั จยั ภายใน เชน่ ฮอรโ์ มนพชื ซ่ึงพืชมีการ ๑๑. สืบคน้ ข้อมูลเกีย่ วกับสารควบคมุ การ สังเคราะห์ข้ึน เพือ่ ควบคุมการเจริญเติบโตในชว่ ง เจรญิ เตบิ โตของพชื ทม่ี นษุ ยส์ งั เคราะหข์ นึ้ ชวี ติ ตา่ ง ๆ และยกตัวอย่างการนำมาประยกุ ตใ์ ช้ทางดา้ น • มนุษย์มีการสงั เคราะหส์ ารควบคุมการเจรญิ เตบิ โต การเกษตรของพืช ของพชื โดยเลยี นแบบฮอรโ์ มนพชื เพือ่ นำมาใช้ ควบคมุ การเจรญิ เตบิ โตและเพ่ิมผลผลิตของพชื 30 ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๑๒. สังเกต และอธิบายการตอบสนองของพืชตอ่ • การตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้าของพืชแบง่ ตามความ สงิ่ เรา้ ในรูปแบบตา่ ง ๆ ท่ีมผี ลตอ่ การดำรงชีวติ สัมพันธก์ ับทศิ ทางของส่ิงเร้าได้ ไดแ้ ก่ แบบท่มี ี ทศิ ทางสัมพันธ์กบั ทศิ ทางของสิง่ เรา้ เช่น ดอกทานตะวนั หนั เข้าหาแสง ปลายรากเจริญ เข้าหาแรงโน้มถ่วงของโลก และแบบท่ีไมม่ ีทศิ ทาง สัมพนั ธก์ ับทิศทางของสิง่ เรา้ เชน่ การหบุ และบานของดอก หรือการหุบและกางของใบพืช บางชนิด • การตอบสนองตอ่ ส่งิ เร้าของพชื บางอยา่ งส่งผล ตอ่ การเจรญิ เตบิ โต เชน่ การเจรญิ ในทศิ ทางเขา้ หา หรือตรงข้ามกับแรงโนม้ ถว่ งของโลก การเจรญิ ในทศิ ทางเขา้ หาหรือตรงขา้ มกับแสง และการ ตอบสนองต่อการสมั ผสั ส่ิงเร้า ม.๕ - - - ม.๖ - ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 31 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพนั ธกุ รรม การเปลย่ี นแปลงทางพนั ธกุ รรมทม่ี ผี ลตอ่ สงิ่ มชี วี ติ ความหลากหลาย ทางชีวภาพและววิ ัฒนาการของสง่ิ มชี ีวิต รวมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน ์ ชัน้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ - - ป.๒ ๑. เปรยี บเทียบลกั ษณะของสิ่งมชี วี ติ และ • สง่ิ ท่ีอย่รู อบตัวเรามที ง้ั ทีเ่ ปน็ ส่ิงมชี ีวติ และ สงิ่ ไมม่ ีชวี ติ จากข้อมลู ท่รี วบรวมได้ สงิ่ ไมม่ ชี ีวติ สงิ่ มชี วี ติ ตอ้ งการอาหาร มกี ารหายใจ เจรญิ เตบิ โต ขบั ถา่ ย เคลอ่ื นไหว ตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ และสืบพันธไุ์ ด้ลกู ท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกบั พอ่ แม ่ สว่ นสิ่งไมม่ ชี วี ิตจะไม่มีลกั ษณะดังกล่าว ป.๓ - - ป.๔ ๑. จำแนกส่งิ มีชวี ติ โดยใช้ความเหมอื น และ • สิง่ มชี วี ิตมหี ลายชนิด สามารถจัดกลุม่ ได้ โดยใช้ ความแตกต่างของลักษณะของสงิ่ มชี วี ติ ความเหมอื นและความแตกตา่ งของลกั ษณะตา่ ง ๆ ออกเปน็ กลุ่มพชื กลมุ่ สัตว์ และกล่มุ ท่ไี มใ่ ช่พืช เชน่ กล่มุ พืชสรา้ งอาหารเองได้ และเคลือ่ นท่ีดว้ ย และสตั ว ์ ตนเองไม่ได้ กล่มุ สัตวก์ ินสงิ่ มชี ีวิตอ่ืนเป็นอาหาร และเคล่อื นท่ีได้ กลุ่มที่ไมใ่ ช่พชื และสัตว์ เช่น เห็ด รา จุลินทรยี ์ ๒. จำแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพชื ไม่มดี อก • การจำแนกพชื สามารถใชก้ ารมดี อกเป็นเกณฑ ์ โดยใชก้ ารมดี อกเป็นเกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มลู ในการจำแนก ได้เป็นพชื ดอกและพืชไม่มีดอก ที่รวบรวมได ้ ๓. จำแนกสัตวอ์ อกเปน็ สตั ว์มกี ระดกู สนั หลงั และ • การจำแนกสัตว์ สามารถใช้การมกี ระดกู สนั หลัง สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั โดยใชก้ ารมกี ระดกู สนั หลงั เปน็ เกณฑใ์ นการจำแนก ไดเ้ ปน็ สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั เปน็ เกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ และสตั ว์ไม่มีกระดูกสนั หลงั ๔. บรรยายลกั ษณะเฉพาะทส่ี ังเกตได้ของสตั ว ์ • สัตว์มีกระดูกสนั หลงั มีหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปลา มีกระดกู สันหลงั ในกลมุ่ ปลา กลมุ่ สัตวส์ ะเทินน้ำ กลมุ่ สตั วส์ ะเทนิ นำ้ สะเทนิ บก กลมุ่ สตั วเ์ ลอ้ื ยคลาน สะเทินบก กลมุ่ สตั วเ์ ลื้อยคลาน กลุม่ นก และ กลมุ่ นก และกลมุ่ สตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนำ้ นม ซงึ่ แตล่ ะกลมุ่ กลมุ่ สัตว์เลย้ี งลกู ด้วยนำ้ นม และยกตวั อย่าง จะมีลกั ษณะเฉพาะทสี่ งั เกตได ้ ส่งิ มีชีวติ ในแต่ละกลุ่ม 32 ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๕ ๑. อธิบายลักษณะทางพนั ธุกรรมทม่ี ีการถ่ายทอด • สง่ิ มชี ีวิตท้ังพืช สตั ว์ และมนุษย์ เมือ่ โตเตม็ ที่จะมี จากพ่อแมส่ ู่ลูกของพชื สัตว์ และมนุษย ์ การสบื พนั ธุ์เพอ่ื เพ่มิ จำนวนและดำรงพันธุ์ โดยลูก ๒. แสดงความอยากรู้อยากเหน็ โดยการถามคำถาม ทเี่ กดิ มาจะไดร้ บั การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม เกี่ยวกบั ลักษณะท่ีคลา้ ยคลงึ กนั ของตนเองกบั จากพ่อแม่ทำใหม้ ีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะ พ่อแม่ แตกต่างจากสงิ่ มชี ีวิตชนิดอน่ื • พืชมีการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม เชน่ ลักษณะของใบ สดี อก • สัตว์มกี ารถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม เช่น สีขน ลกั ษณะของขน ลักษณะของหู • มนุษยม์ ีการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม เช่น เชงิ ผมทหี่ นา้ ผาก ลกั ยมิ้ ลกั ษณะหนงั ตา การหอ่ ลน้ิ ลกั ษณะของต่ิงหู ป.๖ - - ม.๑ - - ม.๒ - - ม.๓ ๑. อธิบายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ยีน ดเี อน็ เอ และ • ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของสง่ิ มชี วี ติ สามารถ โครโมโซม โดยใช้แบบจำลอง ถ่ายทอดจากร่นุ หน่งึ ไปยังอีกรนุ่ หน่ึงได้ โดยมยี ีน เป็นหน่วยควบคุมลกั ษณะทางพันธกุ รรม • โครโมโซมประกอบดว้ ย ดีเอ็นเอ และโปรตนี ขดอยใู่ นนิวเคลยี ส ยนี ดเี อน็ เอ และโครโมโซม มคี วามสัมพันธก์ นั โดยบางสว่ นของดีเอ็นเอ ทำหนา้ ที่เป็นยนี ทก่ี ำหนดลกั ษณะของสงิ่ มชี ีวิต • สง่ิ มชี ีวิตทมี่ โี ครโมโซม ๒ ชุด โครโมโซมทเี่ ปน็ คกู่ นั มกี ารเรียงลำดับของยนี บนโครโมโซมเหมือนกนั เรยี กวา่ ฮอมอโลกสั โครโมโซม ยีนหนึง่ ท่อี ย ่ ู บนคู่ฮอมอโลกสั โครโมโซม อาจมีรปู แบบ แตกตา่ งกนั เรยี กแตล่ ะรปู แบบของยนี ทต่ี า่ งกนั นวี้ า่ แอลลีล ซ่งึ การเขา้ คูก่ นั ของแอลลีลต่าง ๆ อาจ ส่งผลทำให้สิง่ มีชวี ติ มีลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งกันได ้ ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 33 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง • สงิ่ มีชวี ติ แตล่ ะชนดิ มจี ำนวนโครโมโซมคงที่ มนษุ ย์ มจี ำนวนโครโมโซม ๒๓ คู่ เปน็ ออโตโซม ๒๒ คู่ และ โครโมโซมเพศ ๑ คู่ เพศหญิงมโี ครโมโซมเพศ เปน็ XX เพศชายมีโครโมโซมเพศเป็น XY ๒. อธบิ ายการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมจาก • เมนเดลไดศ้ กึ ษาการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม การผสมโดยพิจารณาลกั ษณะเดียวท่ีแอลลีลเดน่ ของต้นถ่วั ชนดิ หนึ่ง และนำมาสหู่ ลักการพนื้ ฐาน ข่มแอลลีลดอ้ ยอย่างสมบูรณ ์ ของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมของ ๓. อธิบายการเกดิ จีโนไทป์และฟีโนไทปข์ องลกู สงิ่ มีชีวิต และคำนวณอตั ราส่วนการเกิดจโี นไทป์ • สิ่งมีชวี ิตทีม่ ีโครโมโซมเปน็ ๒ ชุด ยนี แต่ละ และฟีโนไทป์ของรุน่ ลูก ตำแหนง่ บนฮอมอโลกัสโครโมโซมมี ๒ แอลลลี โดยแอลลีลหนง่ึ มาจากพอ่ และอีกแอลลีลมาจาก แม่ ซึง่ อาจมีรปู แบบเดียวกัน หรือแตกตา่ งกนั แอลลลี ที่แตกตา่ งกนั นี้ แอลลีลหนงึ่ อาจมีการ แสดงออกขม่ อกี แอลลลี หนงึ่ ได้ เรยี กแอลลลี นั้นวา่ เปน็ แอลลีลเดน่ ส่วนแอลลีลท่ีถูกข่มอยา่ งสมบูรณ์ เรยี กวา่ เป็นแอลลีลดอ้ ย • เมอ่ื มกี ารสร้างเซลล์สืบพนั ธุ์ แอลลลี ทเ่ี ป็นค่กู ัน ในแต่ละฮอมอโลกสั โครโมโซมจะแยกจากกนั ไปสเู่ ซลลส์ บื พนั ธแุ์ ตล่ ะเซลล์ โดยแตล่ ะเซลลส์ บื พนั ธุ์ จะไดร้ บั เพยี ง ๑ แอลลลี และจะมาเขา้ คกู่ บั แอลลลี ทต่ี ำแหนง่ เดยี วกนั ของอกี เซลลส์ บื พนั ธหุ์ นง่ึ เมื่อเกดิ การปฏิสนธิ จนเกิดเปน็ จีโนไทป์และ แสดงฟีโนไทปใ์ นรนุ่ ลูก 34 ตวั ช้วี ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชนั้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๔. อธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลลแ์ บบ • กระบวนการแบง่ เซลลข์ องสงิ่ มชี วี ติ มี ๒ แบบ คอื ไมโทซิสและไมโอซสิ ไมโทซิส และไมโอซิส • ไมโทซสิ เปน็ การแบ่งเซลลเ์ พ่อื เพ่มิ จำนวนเซลล์ รา่ งกาย ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ ๒ เซลล์ ทม่ี ลี กั ษณะและจำนวนโครโมโซมเหมอื นเซลลต์ ง้ั ตน้ • ไมโอซสิ เป็นการแบ่งเซลล์เพ่ือสร้างเซลล์สืบพนั ธ์ุ ผลจากการแบ่งจะได้เซลลใ์ หม่ ๔ เซลล์ ทมี่ ี จำนวนโครโมโซมเป็นครง่ึ หนง่ึ ของเซลล์ต้ังตน้ เม่ือเกดิ การปฏิสนธขิ องเซลล์สืบพันธ์ุ ลูกจะได้รบั การถา่ ยทอดโครโมโซมชดุ หนงึ่ จากพอ่ และอกี ชุดหน่ึงจากแม่ จงึ เป็นผลให้รนุ่ ลูกมจี ำนวน โครโมโซมเทา่ กบั รนุ่ พอ่ แมแ่ ละจะคงทใี่ นทกุ ๆ รนุ่ ๕. บอกได้วา่ การเปลี่ยนแปลงของยนี หรือโครโมโซม • การเปลย่ี นแปลงของยนี หรอื โครโมโซม ส่งผลให้ อาจทำให้เกิดโรคทางพนั ธกุ รรม พร้อมทั้ง เกดิ การเปลี่ยนแปลงลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของ ยกตัวอย่างโรคทางพนั ธุกรรม ส่ิงมชี ีวติ เชน่ โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการ ๖. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องความรู้เร่ืองโรคทาง เปลย่ี นแปลงของยนี กลมุ่ อาการดาวนเ์ กดิ จากการ พนั ธกุ รรม โดยรวู้ า่ กอ่ นแตง่ งานควรปรกึ ษาแพทย์ เปลย่ี นแปลงจำนวนโครโมโซม เพือ่ ตรวจและวินิจฉัยภาวะเสีย่ งของลกู ท่ีอาจ • โรคทางพันธกุ รรมสามารถถา่ ยทอดจากพอ่ แมไ่ ปสู่ เกดิ โรคทางพนั ธกุ รรม ลกู ได้ ดงั นน้ั กอ่ นแตง่ งานและมบี ตุ รจงึ ควรปอ้ งกนั โดยการตรวจและวินจิ ฉัยภาวะเสย่ี งจากการ ถา่ ยทอดโรคทางพนั ธกุ รรม ๗. อธิบายการใชป้ ระโยชน์จากสง่ิ มชี ีวติ ดัดแปร • มนษุ ยเ์ ปล่ียนแปลงพันธุกรรมของสง่ิ มีชีวิตตาม พนั ธกุ รรม และผลกระทบท่ีอาจมีตอ่ มนุษย ์ ธรรมชาติ เพือ่ ใหไ้ ด้ส่งิ มีชีวติ ทมี่ ีลักษณะตาม และส่งิ แวดล้อม โดยใช้ขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ ตอ้ งการ เรยี กสง่ิ มชี วี ติ นว้ี า่ สงิ่ มชี วี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม ๘. ตระหนกั ถงึ ประโยชนแ์ ละผลกระทบของสง่ิ มชี วี ติ • ในปจั จุบันมนุษย์มกี ารใช้ประโยชน์จากสิ่งมชี ีวิต ดดั แปรพนั ธกุ รรมทอี่ าจมตี อ่ มนษุ ยแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ดดั แปรพันธกุ รรมเปน็ จำนวนมาก เช่น การผลิต โดยการเผยแพรค่ วามรทู้ ไี่ ดจ้ ากการโตแ้ ยง้ ทาง อาหาร การผลติ ยารกั ษาโรค การเกษตร อยา่ งไรกด็ ี วทิ ยาศาสตร์ ซึ่งมีขอ้ มลู สนบั สนุน สังคมยังมีความกงั วลเกยี่ วกบั ผลกระทบของ สง่ิ มชี ีวิตดดั แปรพันธกุ รรมท่ีมตี ่อสิ่งมีชีวิตและ ส่ิงแวดล้อม ซึ่งยังทำการตดิ ตามศึกษาผลกระทบ ดงั กล่าว ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 35 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๙. เปรียบเทียบความหลากหลายทางชีวภาพ • ความหลากหลายทางชวี ภาพ มี ๓ ระดบั ได้แก่ ในระดบั ชนดิ ส่ิงมชี วี ิตในระบบนิเวศตา่ ง ๆ ความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความหลาก ๑๐. อธบิ ายความสำคญั ของความหลากหลายทาง หลายของชนิดสิ่งมชี ีวิต และความหลากหลาย ชวี ภาพท่ีมีตอ่ การรักษาสมดลุ ของระบบนิเวศ ทางพันธกุ รรม ความหลากหลายทางชวี ภาพน้ีมี และตอ่ มนษุ ย์ ความสำคัญตอ่ การรักษาสมดุลของระบบนเิ วศ ๑๑. แสดงความตระหนักในคุณค่าและความสำคญั ระบบนเิ วศทม่ี คี วามหลากหลายทางชีวภาพสูง ของความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยมสี ว่ นรว่ ม จะรกั ษาสมดุลได้ดีกว่าระบบนิเวศทม่ี ีความ ในการดแู ลรกั ษาความหลากหลายทางชีวภาพ หลากหลายทางชีวภาพตำ่ กว่า นอกจากน ี ้ ความหลากหลายทางชวี ภาพยงั มคี วามสำคัญ ต่อมนุษยใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ เช่น ใชเ้ ป็นอาหาร ยารกั ษาโรค วัตถุดบิ ในอตุ สาหกรรมต่าง ๆ ดงั นนั้ จงึ เปน็ หนา้ ทีข่ องทุกคนในการดแู ลรกั ษา ความหลากหลายทางชีวภาพให้คงอย ู่ ม.๔ ๑. อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหว่างยนี การสังเคราะห์ • ดีเอน็ เอ มีโครงสรา้ งประกอบด้วยนิวคลโี อไทด ์ โปรตีน และลักษณะทางพนั ธกุ รรม มาเรียงต่อกัน โดยยีนเป็นชว่ งของสายดเี อน็ เอท่มี ี ลำดบั นวิ คลโี อไทดท์ ก่ี ำหนดลักษณะของโปรตีน ท่สี งั เคราะห์ขึน้ ซงึ่ สง่ ผลใหเ้ กดิ ลกั ษณะทาง พนั ธกุ รรมตา่ ง ๆ ๒. อธบิ ายหลกั การถา่ ยทอดลักษณะทถี่ กู ควบคมุ • ลกั ษณะบางลักษณะมโี อกาสพบในเพศชาย ดว้ ยยนี ทอ่ี ยบู่ นโครโมโซมเพศและมลั ตเิ ปลิ แอลลลี และเพศหญงิ ไมเ่ ทา่ กนั เชน่ ตาบอดสี และฮโี มฟเี ลยี ซึ่งควบคมุ โดยยีนบนโครโมโซมเพศ บางลักษณะ มีการควบคุมโดยยีนแบบมลั ตเิ ปลิ แอลลลี เช่น หมู่เลอื ดระบบ ABO ซึง่ การถา่ ยทอดลกั ษณะ ทางพนั ธุกรรมดังกลา่ วจดั เป็นสว่ นขยายของ พนั ธศุ าสตร์เมนเดล ๓. อธบิ ายผลทเ่ี กดิ จากการเปลี่ยนแปลงลำดับ • มิวเทชันทเี่ ปล่ยี นแปลงลำดบั นวิ คลโี อไทด์ หรอื นวิ คลีโอไทดใ์ นดีเอ็นเอต่อการแสดงลักษณะของ เปลีย่ นแปลงโครงสร้างหรอื จำนวนโครโมโซม สง่ิ มีชวี ิต อาจสง่ ผลทำใหล้ ักษณะของสงิ่ มชี ีวิตเปล่ียนแปลง ๔. สบื ค้นข้อมลู และยกตัวอยา่ งการนำมวิ เทชนั ไปจากเดิม ซึ่งอาจมผี ลดีหรอื ผลเสยี ไปใชป้ ระโยชน ์ • มนษุ ยใ์ ชห้ ลกั การของการเกดิ มวิ เทชนั ในการชกั นำ ใหไ้ ดส้ ่ิงมชี ีวิตที่มลี กั ษณะทแี่ ตกตา่ งจากเดมิ โดยการใช้รังสีและสารเคมีต่าง ๆ 36 ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๕. สบื ค้นขอ้ มูล และอภิปรายผลของเทคโนโลย ี • มนุษยน์ ำความร้เู ทคโนโลยีทางดเี อน็ เอ ทางดีเอน็ เอที่มตี ่อมนุษย์และสิง่ แวดลอ้ ม มาประยกุ ต์ใช้ทางดา้ นการแพทย์ และเภสชั กรรม เช่น การสรา้ งส่งิ มีชวี ิตดัดแปรพนั ธกุ รรม เพ่ือผลิต ๖. สืบค้นขอ้ มูล อธิบาย และยกตัวอย่าง ยาและวัคซีน ด้านการเกษตร เชน่ พืชดัดแปร ความหลากหลายของสง่ิ มชี ีวิต ซ่ึงเป็น พนั ธกุ รรมท่ีตา้ นทานโรคหรอื แมลง สตั ว์ดัดแปร ผลมาจากววิ ฒั นาการ พันธกุ รรมที่มีลักษณะตามทตี่ ้องการ และดา้ น นติ ิวทิ ยาศาสตร์ เช่น การตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอ ม.๕ - เพื่อหาความสัมพนั ธ์ทางสายเลือด หรือเพ่อื หา - ผู้กระทำผดิ ม.๖ • การใชเ้ ทคโนโลยที างดเี อน็ เอในดา้ นตา่ ง ๆ ต้อง คำนึงถงึ ความปลอดภยั ทางชีวภาพ ชวี จรยิ ธรรม และผลกระทบทางด้านสังคม • สง่ิ มชี วี ติ ทม่ี อี ยใู่ นปจั จบุ นั มลี กั ษณะทปี่ รากฏให้เห็น แตกตา่ งกนั ซึ่งเป็นผลมาจากความหลากหลาย ของลักษณะทางพันธุกรรม ซึง่ เกดิ จากมวิ เทชัน รว่ มกบั การคดั เลือกโดยธรรมชาต ิ • ผลจากกระบวนการคดั เลอื กโดยธรรมชาติ ทำให้ สิ่งมชี ีวิตท่ีมีลักษณะเหมาะสมในการดำรงชวี ิต สามารถปรบั ตัวให้อยู่รอดได้ในสงิ่ แวดล้อมนัน้ ๆ • กระบวนการคดั เลอื กโดยธรรมชาติเป็นหลกั การ ท่สี ำคัญอยา่ งหนง่ึ ท่ที ำใหเ้ กดิ วิวัฒนาการของ สง่ิ มชี ีวติ - - ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 37 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ ของสสารกับโครงสรา้ งและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาติ ของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคม ี ชนั้ ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. อธิบายสมบัตทิ ส่ี ังเกตได้ของวัสดุท่ีใช้ทำวตั ถ ุ • วัสดุท่ใี ช้ทำวตั ถุทเ่ี ปน็ ของเลน่ ของใช้ มหี ลายชนดิ ซงึ่ ทำจากวสั ดชุ นดิ เดยี วหรอื หลายชนดิ ประกอบกนั เชน่ ผ้า แกว้ พลาสติก ยาง ไม้ อฐิ หิน กระดาษ โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ ์ โลหะ วสั ดแุ ตล่ ะชนดิ มสี มบตั ทิ ่ีสังเกตไดต้ ่าง ๆ ๒. ระบุชนดิ ของวัสดแุ ละจัดกลุ่มวสั ด ุ เชน่ สี น่มุ แขง็ ขรุขระ เรยี บ ใส ขนุ่ ยืดหดได้ ตามสมบตั ิท่สี ังเกตได ้ บิดงอได้ • สมบตั ทิ สี่ งั เกตไดข้ องวสั ดแุ ตล่ ะชนดิ อาจเหมอื นกนั ซง่ึ สามารถนำมาใชเ้ ปน็ เกณฑ์ในการจัดกลมุ่ วสั ดไุ ด้ • วสั ดุบางอย่างสามารถนำมาประกอบกัน เพือ่ ทำเปน็ วตั ถตุ า่ ง ๆ เช่น ผ้าและกระดุม ใช้ทำเส้อื ไม้และโลหะ ใชท้ ำกระทะ ป.๒ ๑. เปรียบเทยี บสมบตั ิการดดู ซบั นำ้ ของวัสดโุ ดยใช้ • วสั ดุแตล่ ะชนิดมีสมบัติการดดู ซบั น้ำแตกตา่ งกนั หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ และระบกุ ารนำสมบตั ิ จงึ นำไปทำวตั ถเุ พอื่ ใชป้ ระโยชนไ์ ดแ้ ตกต่างกัน เชน่ การดดู ซบั นำ้ ของวสั ดไุ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทำวตั ถุ ใช้ผา้ ทด่ี ูดซบั น้ำได้มากทำผา้ เชด็ ตัว ใช้พลาสติก ในชวี ติ ประจำวนั ซึ่งไม่ดดู ซบั น้ำทำร่ม ๒. อธิบายสมบัตทิ ีส่ ังเกตได้ของวัสดุท่ีเกิดจาก • วสั ดุบางอยา่ งสามารถนำมาผสมกนั ซงึ่ ทำใหไ้ ด้ การนำวสั ดมุ าผสมกนั โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ ์ สมบตั ิท่ีเหมาะสม เพื่อนำไปใชป้ ระโยชน์ตาม ตอ้ งการ เช่น แปง้ ผสมน้ำตาลและกะทิ ใชท้ ำ ขนมไทย ปูนปลาสเตอร์ผสมเยื่อกระดาษใชท้ ำ กระปกุ ออมสนิ ปูนผสมหนิ ทราย และนำ้ ใชท้ ำ คอนกรีต 38 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชนั้ ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๓. เปรียบเทยี บสมบตั ิทส่ี ังเกตได้ของวสั ดุ เพ่อื นำ • การนำวัสดมุ าทำเปน็ วตั ถใุ นการใช้งานตาม มาทำเปน็ วัตถใุ นการใช้งานตามวตั ถปุ ระสงค์ วัตถุประสงค์ขน้ึ อยู่กับสมบตั ขิ องวัสดุ วัสดุที่ใช้ และอธบิ ายการนำวัสดุทีใ่ ช้แล้วกลับมาใชใ้ หม่ แลว้ อาจนำกลับมาใช้ใหมไ่ ด้ เชน่ กระดาษใชแ้ ลว้ โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ ์ อาจนำมาทำเป็นจรวดกระดาษ ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ ๔. ตระหนักถึงประโยชนข์ องการนำวัสดทุ ี่ใชแ้ ลว้ ถงุ ใส่ของ กลับมาใชใ้ หม่ โดยการนำวัสดทุ ใ่ี ชแ้ ล้วกลับมา ใช้ใหม่ ป.๓ ๑. อธบิ ายว่าวัตถปุ ระกอบขึ้นจากชิน้ สว่ นยอ่ ย ๆ • วตั ถอุ าจทำจากช้ินสว่ นยอ่ ย ๆ ซง่ึ แตล่ ะช้นิ ซ่งึ สามารถแยกออกจากกนั ได้และประกอบกนั มลี กั ษณะเหมือนกนั มาประกอบเข้าด้วยกนั เม่อื เปน็ วัตถชุ นิ้ ใหม่ได้ โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ ์ แยกชิ้นส่วนยอ่ ย ๆ แต่ละชิน้ ของวตั ถุออกจากกัน สามารถนำช้ินสว่ นเหลา่ นัน้ มาประกอบเป็นวัตถุ ชนิ้ ใหมไ่ ด้ เชน่ กำแพงบา้ นมกี ้อนอิฐหลาย ๆ ก้อนประกอบเขา้ ด้วยกนั และสามารถนำก้อนอฐิ จากกำแพงบา้ นมาประกอบเป็นพนื้ ทางเดนิ ได ้ ๒. อธิบายการเปลีย่ นแปลงของวัสดุเมื่อทำให ้ • เม่ือใหค้ วามร้อนหรือทำให้วัสดรุ ้อนข้นึ และเมอื่ รอ้ นขนึ้ หรอื ทำให้เย็นลง โดยใช้หลกั ฐาน ลดความรอ้ นหรอื ทำให้วัสดุเย็นลง วสั ดจุ ะเกดิ เชงิ ประจกั ษ ์ การเปล่ียนแปลงได้ เช่น สเี ปลยี่ น รูปรา่ งเปล่ียน ป.๔ ๑. เปรียบเทยี บสมบัติทางกายภาพดา้ นความแข็ง • วสั ดแุ ตล่ ะชนดิ มีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกนั สภาพยดื หยนุ่ การนำความรอ้ น และการนำไฟฟา้ วัสดทุ ี่มคี วามแขง็ จะทนต่อแรงขูดขดี วสั ดุทม่ี ี ของวสั ดุโดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์จาก สภาพยืดหยุ่นจะเปล่ียนแปลงรปู รา่ งเมอ่ื มีแรง การทดลองและระบุการนำสมบัตเิ รือ่ งความแขง็ มากระทำและกลับสภาพเดมิ ได้ วสั ดทุ ี่ สภาพยดื หยนุ่ การนำความรอ้ น และการนำไฟฟา้ นำความร้อนจะรอ้ นได้เร็วเม่อื ไดร้ บั ความรอ้ น ของวสั ดุไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันผ่านกระบวนการ และวสั ดทุ นี่ ำไฟฟา้ ได้ จะใหก้ ระแสไฟฟา้ ผา่ นได้ ออกแบบชิน้ งาน ดังนนั้ จงึ อาจนำสมบัติต่าง ๆ มาพจิ ารณาเพอ่ื ใชใ้ น ๒. แลกเปล่ยี นความคดิ กับผอู้ น่ื โดยการอภปิ ราย กระบวนการออกแบบชน้ิ งานเพ่ือใชป้ ระโยชน ์ เก่ียวกบั สมบตั ทิ างกายภาพของวัสดอุ ยา่ งมี ในชวี ิตประจำวนั เหตุผลจากการทดลอง ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 39 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้ัน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๓. เปรยี บเทยี บสมบตั ขิ องสสารทง้ั ๓ สถานะ จาก • วัสดเุ ปน็ สสารเพราะมมี วลและตอ้ งการทอ่ี ยู่ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตมวล การต้องการที่อยู่ สสารมีสถานะเปน็ ของแขง็ ของเหลว หรอื แก๊ส รปู ร่างและปริมาตรของสสาร ของแข็ง มีปรมิ าตรและรปู ร่างคงท่ี ของเหลวมี ๔. ใช้เครือ่ งมอื เพ่อื วดั มวล และปรมิ าตร ปริมาตรคงท่ี แตม่ ีรูปรา่ งเปล่ยี นไปตามภาชนะ ของสสารทัง้ ๓ สถานะ เฉพาะสว่ นทบี่ รรจขุ องเหลว ส่วนแก๊สมีปรมิ าตร และรูปรา่ งเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจ ุ ป.๕ ๑. อธบิ ายการเปลย่ี นสถานะของสสาร เมื่อทำให้ • การเปลย่ี นสถานะของสสารเป็นการเปลี่ยนแปลง สสารร้อนขึ้นหรือเยน็ ลง โดยใช้หลกั ฐาน ทางกายภาพ เม่ือเพ่มิ ความรอ้ นใหก้ บั สสารถงึ เชงิ ประจกั ษ์ ระดบั หนงึ่ จะทำใหส้ สารท่ีเปน็ ของแข็งเปลย่ี น สถานะเป็นของเหลว เรียกวา่ การหลอมเหลว และเมอื่ เพมิ่ ความรอ้ นตอ่ ไปจนถงึ อกี ระดบั หนงึ่ ของเหลวจะเปล่ยี นเปน็ แก๊ส เรียกวา่ การกลายเปน็ ไอ แตเ่ มอ่ื ลดความรอ้ นลงถงึ ระดบั หนงึ่ แก๊สจะเปล่ยี นสถานะเป็นของเหลว เรยี กวา่ การควบแนน่ และถ้าลดความรอ้ นต่อไปอีกจนถึง ระดับหนง่ึ ของเหลวจะเปล่ียนสถานะเป็นของแข็ง เรยี กว่า การแขง็ ตวั สสารบางชนิดสามารถ เปล่ยี นสถานะจากของแขง็ เปน็ แกส๊ โดยไม่ผ่าน การเปน็ ของเหลว เรยี กว่า การระเหิด ส่วนแกส๊ บางชนดิ สามารถเปลยี่ นสถานะเปน็ ของแข็ง โดยไมผ่ า่ นการเปน็ ของเหลว เรยี กวา่ การระเหดิ กลบั ๒. อธบิ ายการละลายของสารในนำ้ โดยใชห้ ลกั ฐาน • เมอ่ื ใสส่ ารลงในนำ้ แลว้ สารน้นั รวมเปน็ เชิงประจักษ ์ เนอ้ื เดียวกนั กบั นำ้ ทัว่ ทุกส่วน แสดงวา่ สารเกิด การละลาย เรียกสารผสมท่ไี ด้วา่ สารละลาย 40 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชน้ั ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๓. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสารเม่ือเกดิ การ • เมื่อผสมสาร ๒ ชนดิ ข้ึนไปแลว้ มสี ารใหม่เกดิ ขึ้น เปล่ยี นแปลงทางเคมี โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ซึง่ มีสมบตั ิตา่ งจากสารเดิมหรือเมื่อสารชนดิ เดียว เกดิ การเปลี่ยนแปลงแลว้ มีสารใหม่เกดิ ข้ึน การเปลย่ี นแปลงนเี้ รียกวา่ การเปลีย่ นแปลง ทางเคมี ซึ่งสังเกตได้จากมสี หี รือกลนิ่ ตา่ งจาก สารเดมิ หรอื มีฟองแก๊ส หรอื มตี ะกอนเกิดขึ้น หรอื มกี ารเพิม่ ขน้ึ หรอื ลดลงของอุณหภมู ิ ๔. วิเคราะหแ์ ละระบกุ ารเปลี่ยนแปลงท่ผี ันกลบั ได้ • เม่ือสารเกดิ การเปล่ยี นแปลงแลว้ สารสามารถ และการเปล่ียนแปลงท่ผี นั กลับไมไ่ ด้ เปล่ยี นกลับเปน็ สารเดมิ ได้ เปน็ การเปล่ียนแปลง ทผี่ นั กลบั ได้ เชน่ การหลอมเหลว การกลายเปน็ ไอ การละลาย แตส่ ารบางอยา่ งเกิดการเปล่ยี นแปลง แล้วไม่สามารถเปล่ียนกลับเป็นสารเดิมได้ เปน็ การเปลีย่ นแปลงทผี่ ันกลบั ไมไ่ ด้ เช่น การเผาไหม้ การเกิดสนมิ ป.๖ ๑. อธบิ ายและเปรยี บเทยี บการแยกสารผสม • สารผสมประกอบดว้ ยสารตงั้ แต่ ๒ ชนดิ ขนึ้ ไปผสมกนั โดยการหยบิ ออก การรอ่ น การใชแ้ มเ่ หล็กดงึ ดูด เชน่ น้ำมนั ผสมนำ้ ข้าวสารปนกรวดทราย วธิ กี าร การรนิ ออก การกรอง และการตกตะกอน ที่เหมาะสมในการแยกสารผสมขึน้ อยกู่ ับลักษณะ โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ รวมท้ังระบุวธิ ี และสมบัติของสารทีผ่ สมกนั ถ้าองค์ประกอบของ แกป้ ัญหาในชีวติ ประจำวันเกี่ยวกับการแยกสาร สารผสมเปน็ ของแข็งกบั ของแขง็ ทมี่ ขี นาด แตกตา่ งกนั อย่างชัดเจน อาจใช้วธิ ีการหยบิ ออก หรือการร่อนผ่านวสั ดุท่มี ีรู ถา้ มสี ารใดสารหนึ่ง เปน็ สารแม่เหลก็ อาจใช้วธิ กี ารใช้แม่เหล็กดึงดูด ถา้ องคป์ ระกอบเปน็ ของแขง็ ที่ไมล่ ะลายใน ของเหลว อาจใชว้ ธิ กี ารรนิ ออก การกรอง หรอื การตกตะกอน ซึง่ วธิ ีการแยกสารสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวนั ได้ ตวั ช้วี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) 41 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๑ ๑. อธบิ ายสมบตั ทิ างกายภาพบางประการของ • ธาตแุ ตล่ ะชนดิ มสี มบัติเฉพาะตัวและมสี มบตั ิ ธาตโุ ลหะ อโลหะ และกึง่ โลหะ โดยใชห้ ลักฐาน ทางกายภาพบางประการเหมือนกนั และ เชิงประจกั ษท์ ่ไี ดจ้ ากการสงั เกตและการทดสอบ บางประการต่างกัน ซ่งึ สามารถนำมาจดั กลุ่มธาตุ และใชส้ ารสนเทศที่ได้จากแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ เปน็ โลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ ธาตโุ ลหะมจี ดุ เดอื ด รวมทงั้ จัดกลุ่มธาตเุ ปน็ โลหะ อโลหะ และ จดุ หลอมเหลวสงู มผี วิ มนั วาว นำความร้อน กึ่งโลหะ นำไฟฟา้ ดงึ เปน็ เสน้ หรอื ตเี ปน็ แผน่ บาง ๆ ได้ และ มีความหนาแน่นทง้ั สูงและตำ่ ธาตุอโลหะ มจี ุดเดอื ด จดุ หลอมเหลวต่ำ มผี วิ ไม่มนั วาว ไม่นำความร้อน ไม่นำไฟฟา้ เปราะ แตกหกั งา่ ย และมีความหนาแน่นตำ่ ธาตุกึ่งโลหะมสี มบตั ิ บางประการเหมอื นโลหะ และสมบัตบิ างประการ เหมือนอโลหะ ๒. วเิ คราะหผ์ ลจากการใชธ้ าตโุ ลหะ อโลหะ กง่ึ โลหะ • ธาตโุ ลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ ทส่ี ามารถแผร่ งั สไี ด้ และธาตุกัมมันตรังสี ทมี่ ตี อ่ สง่ิ มีชวี ิต สง่ิ แวดลอ้ ม จัดเป็นธาตกุ ัมมันตรงั สี เศรษฐกจิ และสงั คม จากข้อมลู ทีร่ วบรวมได ้ • ธาตมุ ีท้ังประโยชนแ์ ละโทษ การใช้ธาตโุ ลหะ ๓. ตระหนักถึงคณุ คา่ ของการใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ ธาตุกัมมันตรงั สี ควรคำนึงถึง กึง่ โลหะ ธาตกุ ัมมนั ตรงั สี โดยเสนอแนวทาง ผลกระทบตอ่ สง่ิ มีชีวิต สงิ่ แวดล้อม เศรษฐกจิ การใชธ้ าตุอยา่ งปลอดภยั ค้มุ คา่ และสังคม ๔. เปรยี บเทยี บจดุ เดอื ด จดุ หลอมเหลวของสารบรสิ ทุ ธ์ิ • สารบรสิ ุทธิป์ ระกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียว และสารผสม โดยการวัดอณุ หภูมิ เขยี นกราฟ ส่วนสารผสมประกอบดว้ ยสารต้ังแต่ ๒ ชนดิ แปลความหมายขอ้ มลู จากกราฟ หรอื สารสนเทศ ขนึ้ ไป สารบรสิ ทุ ธแ์ิ ตล่ ะชนดิ มสี มบตั บิ างประการ ท่ีเป็นคา่ เฉพาะตัว เชน่ จดุ เดอื ดและ จุดหลอมเหลวคงท่ี แตส่ ารผสมมจี ุดเดอื ด และจุดหลอมเหลวไม่คงที่ ขึ้นอยูก่ บั ชนดิ และ สัดส่วนของสารทผ่ี สมอยดู่ ว้ ยกนั 42 ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๕. อธิบายและเปรียบเทยี บความหนาแนน่ ของ • สารบรสิ ุทธ์แิ ต่ละชนดิ มีความหนาแน่น หรือ สารบรสิ ุทธแ์ิ ละสารผสม มวลต่อหน่งึ หน่วยปรมิ าตรคงที่ เปน็ คา่ เฉพาะ ๖. ใช้เครอ่ื งมือเพือ่ วดั มวลและปรมิ าตรของ ของสารน้นั ณ สถานะและอุณหภมู หิ นึง่ แต่สารผสมมีความหนาแนน่ ไม่คงทข่ี ึ้นอยู่กับชนดิ สารบรสิ ทุ ธ์ิและสารผสม และสดั สว่ นของสารทผี่ สมอยู่ด้วยกัน ๗. อธิบายเก่ยี วกับความสมั พันธร์ ะหวา่ งอะตอม • สารบรสิ ทุ ธิ์แบง่ ออกเปน็ ธาตแุ ละสารประกอบ ธาตุ และสารประกอบ โดยใชแ้ บบจำลอง ธาตปุ ระกอบด้วยอนภุ าคทีเ่ ลก็ ท่ีสดุ ทยี่ ังแสดง และสารสนเทศ สมบัติของธาตนุ น้ั เรยี กว่า อะตอม ธาตแุ ต่ละชนิด ประกอบดว้ ยอะตอมเพียงชนิดเดียวและไม่ ๘. อธิบายโครงสรา้ งอะตอมทปี่ ระกอบด้วย สามารถแยกสลายเปน็ สารอน่ื ไดด้ ว้ ยวธิ ีทางเคมี โปรตอน นวิ ตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช ้ ธาตเุ ขียนแทนด้วยสัญลักษณธ์ าตุ สารประกอบ แบบจำลอง เกดิ จากอะตอมของธาตตุ งั้ แต่ ๒ ชนดิ ขึน้ ไป รวมตวั กนั ทางเคมใี นอตั ราสว่ นคงท่ี มสี มบตั ิ แตกตา่ งจากธาตทุ เ่ี ปน็ องคป์ ระกอบ สามารถ แยกเปน็ ธาตุได้ด้วยวิธที างเคมี ธาตุและ สารประกอบสามารถเขยี นแทนไดด้ ว้ ยสตู รเคมี • อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอน นวิ ตรอน และ อิเลก็ ตรอน โปรตอนมีประจุไฟฟา้ บวก ธาต ุ ชนดิ เดยี วกันมจี ำนวนโปรตอนเท่ากันและเปน็ คา่ เฉพาะของธาตนุ น้ั นวิ ตรอนเปน็ กลางทางไฟฟา้ สว่ นอเิ ลก็ ตรอนมปี ระจไุ ฟฟ้าลบ เมือ่ อะตอม มจี ำนวนโปรตอนเทา่ กบั จำนวนอเิ ลก็ ตรอน จะเป็นกลางทางไฟฟ้า โปรตอนและนวิ ตรอน รวมกนั ตรงกลางอะตอมเรียกวา่ นวิ เคลยี ส ส่วนอเิ ล็กตรอนเคลอ่ื นท่อี ยู่ในทวี่ ่างรอบนวิ เคลียส ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) 43 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๙. อธบิ ายและเปรียบเทียบการจดั เรยี งอนภุ าค • สสารทุกชนิดประกอบด้วยอนุภาค โดยสาร แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาค และการเคลอ่ื นที่ ชนิดเดยี วกนั ทม่ี สี ถานะของแข็ง ของเหลว แก๊ส ของอนภุ าคของสสารชนิดเดียวกันในสถานะ จะมีการจัดเรียงอนุภาค แรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ ง ของแขง็ ของเหลว และแกส๊ โดยใช้แบบจำลอง อนภุ าค การเคลอื่ นทข่ี องอนภุ าคแตกต่างกัน ซ่ึงมีผลตอ่ รูปร่างและปรมิ าตรของสสาร • อนภุ าคของของแข็งเรยี งชดิ กัน มแี รงยึดเหน่ยี ว ระหวา่ งอนุภาคมากท่สี ดุ อนุภาคส่นั อยกู่ บั ท่ี ทำใหม้ ีรูปรา่ งและปริมาตรคงที่ • อนุภาคของของเหลวอยใู่ กลก้ ัน มแี รงยดึ เหนย่ี ว ระหวา่ งอนภุ าคนอ้ ยกวา่ ของแขง็ แตม่ ากกวา่ แกส๊ อนุภาคเคลือ่ นทีไ่ ดแ้ ต่ไม่เป็นอสิ ระเท่าแกส๊ ทำให้ มรี ปู รา่ งไม่คงที่ แต่ปริมาตรคงท ี่ • อนุภาคของแกส๊ อยหู่ ่างกันมาก มีแรงยึดเหน่ียว ระหวา่ งอนุภาคนอ้ ยท่ีสุด อนภุ าคเคล่ือนที่ได้ อยา่ งอสิ ระทุกทศิ ทาง ทำให้มรี ปู รา่ งและปรมิ าตร ไม่คงท่ี ๑๐. อธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่าง • ความร้อนมผี ลตอ่ การเปล่ยี นสถานะของสสาร พลังงานความร้อนกับการเปลย่ี นสถานะ เมอ่ื ให้ความรอ้ นแก่ของแขง็ อนุภาคของของแขง็ ของสสาร โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษแ์ ละ จะมีพลังงานและอณุ หภมู เิ พมิ่ ขน้ึ จนถงึ ระดบั หนงึ่ แบบจำลอง ซงึ่ ของแขง็ จะใชค้ วามรอ้ นในการเปลีย่ นสถานะ เป็นของเหลว เรียกความรอ้ นท่ีใช้ในการเปล่ยี น สถานะจากของแขง็ เปน็ ของเหลววา่ ความรอ้ นแฝง ของการหลอมเหลว และอุณหภูมขิ ณะ เปลีย่ นสถานะจะคงที่ เรียกอณุ หภูมิน้ีว่า จุดหลอมเหลว 44 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook