Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาการเกษตรผสมผสาน 2565

วิชาการเกษตรผสมผสาน 2565

Published by สิรวิชญ์ เฉียบแหลม, 2022-05-21 09:08:34

Description: วิชาการเกษตรผสมผสาน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565
โรงเรียนบ้านบางสาน สพป.สุราษฎร์ธานีเขต 2

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า การเกษตรผสมผสาน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ปกี ารศึกษา 2565 โรงเรียนบา้ นบางสาน

สารบัญ เรอ่ื ง หนา้ บทที่ 1 ความรู้เบ้ืองตน้ เกีย่ วกบั การเกษตรผสมผสาน.................................................................. 1 ความหมายและความสำคญั ของการเกษตรผสมผสาน................................................................. 1 การทำการเกษตรแบบผสมผสานลกั ษณะต่าง ๆ........................................................................... 4 รปู แบบของการทำเกษตรยง่ั ยืน.................................................................................................... 5 บทที่ 2 หลักการและรปู แบบของการเกษตรผสมผสาน................................................................ 6 หลักการของการเกษตรแบบผสมผสาน........................................................................................ 6 ปัจจยั สำคญั ของการทำการเกษตรแบบผสมผสาน........................................................................ 6 รูปแบบของการเกษตรแบบผสมผสาน.......................................................................................... 7 บทท่ี 3 การสำรวจ วิเคราะหพ์ ืน้ ท่ี และความต้องการผลิตผลการเกษตร..................................... 9 การสำรวจพน้ื ท่ีการทำเกษตรแบบผสมผสาน............................................................................... 9 การสำรวจความต้องการผลผลิตทางการเกษตร............................................................................ 12 การวิเคราะห์พืน้ ที่ และกิจกรรมการผลติ ในระบบเกษตรผสมผสานโดยใช้ SWOT analysis..... 12 บทที่ 4 การวางแผน และการเตรยี มการทำการเกษตรแบบผสมผสาน......................................... 16 การวางแผนการทำการเกษตรแบบผสมผสาน.............................................................................. 16 การวางแผนการผลิตในแต่ละกิจกรรมการผลติ ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน...................... 17 การเตรียมการผลติ ในแต่ละกจิ กรรมการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน........................ 20 บทที่ 5 การจัดการฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน........................................................................... 22 ความรเู้ ก่ยี วกับการจดั การฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน................................................................ 22 การจัดการกจิ กรรมการเกษตร...................................................................................................... 23 การผสมผสานกจิ กรรมการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน............................................. 29 บทที่ 6 เร่ือง การประยุกตใ์ ช้หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในการทำการเกษตรผสมผสาน.. 32 เกษตรทฤษฎีใหม.่ ......................................................................................................................... 32 เศรษฐกิจพอเพยี ง......................................................................................................................... 33 การทำการเกษตรโดยประยุกต์ใช้หลกั การเกษตรทฤษฎใี หม่ และหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง............................................................................................................................. ............ 36 บทท่ี 7 บุคคลตน้ แบบหรือแหลง่ เรยี นรู้ด้านการเกษตรผสมผสานในทอ้ งถน่ิ ................................. 37 อ้างอิง.......................................................................................................................................... 38

บทท่ี 1 เรอื่ ง ความรเู้ บือ้ งตน้ เก่ยี วกบั การเกษตรผสมผสาน 1. ความหมายและความสำคญั ของการเกษตรผสมผสาน 1.1 ความหมายของการเกษตรแบบผสมผสาน เกษตรผสมผสาน (Integrated Farming System) เป็นระบบเกษตรท่ีมีการเพาะปลูกพืชหรือเลี้ยง สตั ว์ต่าง ๆ หลายชนิดอยู่ในพ้ืนท่เี ดียวกัน ภายใต้การเก้ือกูลประโยชน์ต่อกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยอาศัยหลักการอยู่ร่วมกันระหว่างพืช สัตว์ และส่ิงแวดล้อม และต้องมีการวางรูปแบบดาเนินการให้ ความสำคัญต่อกิจกรรมแต่ละชนิดอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม มีการใช้แรงงาน เงินทนุ ท่ดี นิ ปจั จัยการผลติ และทรพั ยากรธรรมชาติอย่างมปี ระสิทธภิ าพและเกดิ ประโยชน์สงู สดุ เกษตรผสมผสาน จัดเป็นเกษตรทางเลือกท่ีเป็นรูปแบบทางการเกษตรท่ีมีกิจกรรมตั้งแต่สองชนิดข้ึน ไปในช่วงเวลา และพืน้ ที่เดียวกัน เช่น การปลูกพืชและมีการเลี้ยงสัตว์หลายชนิดในพ้ืนที่เดียวกัน มีการเกื้อกูล กันอย่างต่อเน่ืองระหว่างกิจกรรม เช่น ระหว่างพืชกับพืช พืชกับปลา สัตว์กับปลา พืชกับสัตว์ สัตว์กับสัตว์ ลักษณะการเก้ือกูลกันของระบบเกษตรผสมผสานจึงทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและลดการพึ่งพิงปัจจัย ภายนอกซง่ึ เป็นการเพิม่ ประสทิ ธิภาพการใช้ที่ดนิ และทรัพยากรที่มอี ยใู่ นพื้นทีอ่ ยา่ งเหมาะสมและเกิดประโยชน์ สงู สดุ การทำการเกษตรผสมผสานต้องมีกิจกรรมการเกษตรตั้งแต่ 2 กิจกรรมขึ้นไป จึงจะถือว่าเป็นการ ผสมผสานท่ีดี โดยการทำการเกษตรทั้งสองกิจกรรมน้ัน ต้องทำในพื้นที่และระยะเวลาเดียวกัน กิจกรรม การเกษตรควรประกอบไปด้วยการปลูกพืชและการเลี้ยงสตั ว์ อย่างไรก็ตามอาจสามารถผสมผสานระหว่างการ ปลูกพืชต่างชนิด หรือการเลี้ยงสัตว์ต่างชนิดกันก็ได้ ในการจัดการกิจกรรมการผลิตทางการเกษตร ให้มีการ ผสมผสานเก้ือกูลกัน อย่างได้ประโยชน์สูงสุดนั้นควรจะมีกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรจะมี การปลูกพืชและเล้ียงสัตว์ร่วมกันไปด้วย เนื่องจากพืชและสัตว์ มีการใช้ทรัพยากรที่แตกต่างกัน และมีห่วงโซ่ ความสัมพันธท์ ่ีตอ่ เนื่องกันอยู่ พืชโดยทวั่ ไปมีหนา้ ที่และบทบาทในการดึงเอาแร่ธาตุในดิน อากาศ และพลังงาน จากแสงแดดมาสังเคราะห์ให้อยู่ในรูปของอาหารพวกแป้ง น้ำตาล โปรตีน และแรธ่ าตตุ ่าง ๆ ท่ีสัตว์สามารถใช้ ประโยชน์ได้ สำหรับสัตว์น้ัน สัตว์ไม่สามารถบริโภคอากาศและแร่ธาตุท่ีจำเป็นโดยตรง แต่จะต้องบริโภค อาหารจากพืชอีกต่อหนึ่ง เม่ือสัตว์นั้นขับถ่ายของเสีย หรอื ตายลงกจ็ ะเน่าเปื่อยย่อยสลายกลายเป็นแรธ่ าตุต่าง ๆ ท่ีจะเป็นประโยชน์กับพืช วงจรความสัมพันธ์เช่นน้ี จะหมุนเวียนไปรอบแล้วรอบเล่า จนกลายเป็นห่างโซ่ ความสัมพันธ์ของสัตว์ ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ระบบกิจกรรมปัจจุบันท่ีเลีย้ งสัตว์ หรือปลูกพืชอย่างใด อย่างหน่ึง แต่เพียงอย่างเดียวในพ้ืนท่ีกวา้ งขวาง จึงสร้างผลกระทบต่อสมดุลระหว่างพืชกับสัตว์ และก่อให้เกิด ปัญหาต่อระบบนิเวศในทส่ี ุด เอกสารประกอบการเรียนการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หนา้ 1

1.2 ความสำคญั ของการเกษตรแบบผสมผสาน มดี งั นี้ 1) เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาลงทุน เมื่อสภาวะ ราคาพืชผลผันแปร เกิดหน้ีสิน เกษตรกรสามารถนำเอาปัจจัยการผลิตท่ีมีอยู่ในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดโดยไม่เสียเงิน ทองซื้อมา เมื่อลดรายจ่าย เพ่ิมรายได้ เกษตรกรก็สามารถอยู่ได้ ยืนอยู่บนขาของตัวเองโดยมีปัจจัยพื้นฐาน สำหรับดำรงชีพทีผ่ ลติ ไดเ้ อง ก็สามารถมีความสขุ ได้อย่าง ยัง่ ยืน 2) เพ่ือเพ่ิมผลผลิตต่อพ้ืนท่ีโดยมีการจัดการเรื่องทุน ที่ดิน และแรงงานอย่าง มีประสิทธิภาพ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลผลิตต่อหน่วยการผลิตสงู เชน่ การเล้ียงปลาในนาขา้ ว ทำให้ได้ทัง้ พืช ผลผลติ ขา้ วและปลา ในพ้นื ที่ เดียวกัน 3) สร้างเสถียรภาพและความย่ังยืน ท้ังทางเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมให้ เกิดขึ้นในไร่นา และ ครอบครวั การเกษตร 4) เกษตรแบบผสมผสานลดความเส่ียงในการผลิต ในด้านการผลิตท่ีอาจ เสียหาย หรือความไม่ แน่นอนและเสียเปรยี บเรอ่ื งราคา ตลอดจนไมแ่ นน่ อนของดนิ ฟา้ อากาศ 5) ปรับปรุงสภาพแวดล้อมท่ีเสื่อมโทรมให้กลับคืนสู่สภาพที่อุดมสมบูรณ์ได้ เพราะการปลูกไม้ยืน ตน้ ไม่ว่าจะเปน็ ไม้ผลหรือไม้ใช้สอยในระบบเกษตรแบบผสมผสานจะชว่ ยใหเ้ กิด ความร่มเยน็ มูลสัตวจ์ ะเปน็ ปุ๋ย แกพ่ ชื เศษพชื เปน็ อาหารสัตว์และทำป๋ยุ อนิ ทรยี ์ 6) เกษตรกรมีงานทำตลอดปี จะช่วยแกป้ ัญหาการอพยพแรงงานจากชนบท เข้าสู่เมือง ตัดปัญหา การขายแรงงาน การกอ่ อาชญากรรม การค้ามนุษย์ เปน็ ตน้ 7) ลดการใชพ้ ลังงานในการเกษตรลง เพราะปัจจัยการใช้พลังงานสามารถ จดั หาได้จากผลพลอย ได้จากผลผลิตในไร่นา เช่น ก๊าซชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมักและไม้ใช้สอยท่ี เกิดจากไม้โตเร็วต่าง ๆ แรงงาน จากสตั ว์เลีย้ ง เช่น ววั ควาย 8) รักษาสภาพทางนิเวศวิทยา การทำเกษตรแบบผสมผสานเป็นการเพ่ิมพูน ความอุดมสมบูรณ์ ให้กับคน รักษาความสมดุลให้กับสภาพแวดล้อมซ่ึงความสมดุลยจะเกิดข้ึนเอง ตามธรรมชาติ เช่น ก๊าซ ไนโตรเจนในธรรมชาติจะถูกเปลยี่ นเป็นอินทรียวตั ถโุ ดยจุลนิ ทรีย์ ที่อาศัยอยู่ ในรากพชื ตระกลู ถวั่ และสาหรา่ ย สีเขียวแกมน้ำเงิน จนทำให้ไนโตรเจนที่อยู่ในรูปที่พืชจะสามารถ นำไปใช้ประโยชน์ได้ ส่วนธาตุอาหารอื่น ๆ พชื สามารถสะสมพลังงานแสงแดดในรูปของเนื้อไม้ อาหาร และโปรตีน เศษซากพืชท่ีรว่ งหลน่ บนพื้นดินจะเน่า กลายเป็นอาหารพชื 1.3 ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับจากการเกษตรแบบผสมผสาน การเกษตรแบบผสมผสานเป็นรูปแบบหนง่ึ ของระบบเกษตรกรรมท่มี กี จิ กรรมต้ังแต่ 2กิจกรรมข้นึ ไปใน พ้ืนที่เดียวกัน และกิจกรรมเหลานี้จะมีการเกื้อกูลประโยชนซ่ึงกันและกันไม่ทางใดก็ทางหน่ึง ดังนั้น จึงเป็น ระบบท่ีนำไปสู่การเกษตรแบบยั่งยืน (Sustainable Agriculture) จึงก่อให้เกิดผลดี และประโยชนในดานต่าง ๆ ดงั ตอไปน้ี เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบางสาน หน้า 2

1) เพื่อเพิ่มรายได้ภาคเกษตรจากกิจกรรมการเกษตรหลายๆชนิด ท้ังกิจกรรมพืช สัตว์ ประมง และกิจกรรมการเกษตรอ่ืน ๆ เป็นการลดความเส่ียงจากกิจกรรมการผลิตเพียง 1-2 ชนิด อีกท้ังเป็นการเพิ่ม รายได้จากกจิ กรรมหลายชนิด 2) ลดต้นทุนการผลิต โดยการใชท้ รพั ยากรในฟาร์มและปัจจัยการผลิตร่วมกนั ในการผลติ กิจกรรม การเกษตร 3) เป็นการกระจายการใช้ท่ีดิน ทุน และแรงงานของครัวเรือนเกษตรกรได้อย่างต่อเน่ืองตลอดปี 18 4) เปน็ การชว่ ยรกั ษาและอนรุ กั ษ์สภาพแวดล้อม สภาพธรรมชาติ ให้มีสภาพสมดุล 5) ลดความเส่ยี งจากความแปรปรวนของสภาพลม ฟ้า อากาศ 6) ลดความเส่ยี งจากความผันแปรของราคาผลผลติ 7) ลดความเสย่ี งจากการระบาดของศัตรพู ืช 8) ช่วยเพ่มิ รายไดแ้ ละกระจายรายไดต้ ลอดปี 9) อาหารเพยี งพอบริโภคในครวั เรอื น 10) ช่วยส่งเสรมิ คุณภาพชีวติ ท่ดี ใี นกลุม่ เกษตรกร 1.4 ข้อได้เปรียบของการทำระบบเกษตรผสมผสาน มีดงั น้ี 1) ลดความเส่ียงเนื่องจากความแปรปรวนของสภาพลมฟ้าอากาศ ราคาผลผลิตท่ีไม่แน่นอนและ การระบาดของศตั รู พชื 2) ลดต้นทุนการผลิต เพ่ิมประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรภายในฟาร์ม ได้แก่ ที่ดิน แรงงานและ เงินทุน 3) มีอาหารเพียงพอแก่การบริโภคภายในครัวเรอื น และมรี ายได้อยา่ งต่อเนอื งตลอดปี 4) การใช้แรงงานสม่ำเสมอตลอดปี จึงทำให้ลดปัญหาการเคล่ือนย้ายแรงงานจากภาคการเกษตร ไปสูภ่ าคอ่ืน ๆ 5) เกษตรกรจะมีเศรษฐกจิ ท่ีพอเพียง จึงเปน็ ผลให้มสี ภาพความเป็นอยแู่ ละมคี ณุ ภาพชวี ติ ท่ีดีขึ้น 6) เปน็ ระบบการเกษตรทีเ่ หมาะสมกับเกษตรกรรายย่อย 1.5 ขอ้ จำกดั ของการทำระบบเกษตรผสมผสาน มีดงั นี้ 1). เกษตรกรจะตอ้ งมีทดี่ ิน ทนุ แรงงาน ท่เี หมาะสม 2) เกษตรกรจะต้องมีความมานะ อดทน และขยันขนั แข็ง 3) ระบบการตลาดในท้องถิ่นและในระดบั ภูมภิ าค 4) มกี ารวางแผนจัดการทรพั ยากรที่เหมาะสม เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านบางสาน หน้า 3

2. การทำการเกษตรแบบผสมผสานลกั ษณะตา่ ง ๆ 2.1 การทำการเกษตรแบบผสมผสานในท้องถิน่ การทำการเกษตรในระดบั ท้องถนิ่ ซึง่ เปน็ การหมนุ เวยี นการผลติ และการบรโิ ภคภายในท้องถิ่นเอง สามารถทำไดท้ ่สี วนหลังบ้าน หรอื แปลงเกษตรของชุมชน เกดิ ประโยชนท์ างดา้ นเศรษฐกิจตอ่ ชุมชน ชมุ ชนที่น่าอยู่อาศยั และเปน็ มิตรต่อสภาพแวดล้อม ควรส่งเสริมการทำเกษตรชมุ ชน ซึ่งมีหลักการปฏบิ ตั ิ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) จัดให้มีพ้ืนท่ีการทำเกษตรชุมชนภายในชุมชนการทำการเกษตรชุมชน ควรปฏิบัติโดย ประชากรภายในชุมชนเอง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ท่ีดีของคนในชุมชน ทางเลือกอีกประการหนึ่ง คือ การที่ชุมชนทำการว่าจ้างเกษตรกรมาทำการเกษตรภายในพื้นที่ ผลผลิตที่ได้จะกลับคืนสู่ชุชมชนเอง หรือนำ ออกขายในตลาดภายนอกชมุ ชน เพ่อื เป็นรายไดก้ ลับคนื ส่ชู มุ ชน 2) อนุญาตให้มีการทำการเกษตรในย่านท่ีพักอาศัยในบางชุมชนมีกฎห้ามทำการเกษตรในย่านท่ี พกั อาศยั ซึง่ เปน็ การจำกดั ขอบเขตในการสง่ เสริมการทำเกษตรชมุ ชน 2.2 การทำการเกษตรแบบผสมผสานในประเทศ ในระดับประเทศผู้บริหารประเทศจำเป็นต้องคำนึงถึงปริมาณอาหารท่ีเพียงพอใน การเล้ียงประชากร ของประเทศ (Self-sufficiency) การทำเกษตรกรรายหน่ึง ๆ อยู่รอดได้อาจนั้นต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์ ส่ิงแวดล้อม และทรัพยากร ตลอดจนการควบคุมมลภาวะ ฯลฯ ในระดับประเทศนั้นอาจคำนึงถึงการส่งเป็น สินค้าออก เพื่อให้ได้เงินตราต่างประเทศสำหรับซื้อสินค้าอย่างอื่นท่ีจำเป็นแก่ส่วนรวมมาใช้อีกด้วย (Self- reliance) 2.3 การทำการเกษตรแบบผสมผสานในตา่ งประเทศ ในระดับนานาชาตินั้น มองกว้างออกไปอีกถึงเร่ืองสภาวะส่ิงแวดล้อม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ มลภาวะ สวสั ดภิ าพของมนุษยโลก ตลอดจนการพฒั นา นานาชาติ เป็นต้น ตวั อย่างการทำเกษตรผสมผสานในต่างประเทศ การเลีย้ งปลาในนาข้าวในประเทศญป่ี ุ่น ในประเทศจีนน้นั มีการพัฒนารปู แบบเกษตรผสมผสานด้วย การเลี้ยงสกุ ร ปลา และปลกู พืชผักรว่ มกัน เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนบ้านบางสาน หนา้ 4

3. รปู แบบของการทำเกษตรยั่งยนื มีหลายระบบดังน้ี 1. การเกษตรกรรมอินทรีย์ (Organic Farming) “เกษตรกรรมอินทรีย์” ในคำจำกัดความของ สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) คือ ระบบการเกษตรที่ผลิตอาหารและเส้นใย ด้วยความยั่งยืนทางส่ิงแวดล้อม สังคม และ เศรษฐกิจ โดยเน้นที่หลักการปรับปรุง บำรุงดิน การเคารพต่อศักยภาพทางธรรมชาติของพืช สัตว์ และนิเวศ การเกษตร เกษตรอินทรีย์จึงลด การใชป้ จั จยั การผลิตจากภายนอก และหลีกเลย่ี งการใช้สารเคมสี งั เคราะห์ 2. เกษตรกรรมธรรมชาติ (Natural Farming) เกษตรกรรมธรรมชาติเป็นคำเรียกท่ีใช้แทนระบบการ เกษตรกรรมตามแนวของ มาซาโนบุ ฟูกูโอก 1) ไม่มกี ารไถพรวนดิน เนือ่ งจากในธรรมชาตินนั้ พืน้ ดนิ มกี ารไถพรวนโดยตัวของมันเองอยแู่ ล้ว 2) งดเว้นการใส่ปุ๋ย เน่ืองจากการใส่ปุ๋ยเป็นการเร่งการเจรญิ เติบโตของพืชแบบชั่วคราวพืชท่ีใส่ปุ๋ย จึงมักอ่อนแอ ส่งผลให้เกิดโรคและแมลงไดง้ ่ายขึ้น ดินท่ีใส่ปุ๋ยเคมตี ิดต่อกันนานจะมีสภาพเป็นกรดและเนื้อดิน เหนียวไม่รว่ นซุย 3) ไม่กำจัดวัชพืช เน่ืองจากการกำจัดวัชพืชเป็นงานหนักและไม่สามารถทำให้วัชพืชหมดส้ินไปได้ ดงั นน้ั เกษตรกรรมธรรมชาติจงึ ตอ้ งคดิ คน้ กฎเกณฑ์ท่วี ัชพืชจะควบคุมกันเอง 4) ไมใ่ ช้สารเคมีกำจดั ศตั รูพชื 3. เกษตรชีวพลวัตร (Biodynamic Agriculture) การเกษตรที่สร้างความสมดุลของระบบนิเวศน์โดย ไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก และไม่พยายามแทรกแซงธรรมชาติ อาทิ การให้ความสำคัญต่อดิน โดยการปลูก พืชและเลี้ยงสัตว์แบบหมุนเวียนในช่วงจังหวะเวลาท่ีถูกต้อง ถือเป็นวิธีปฏิบัติทางการเกษตรแบบองค์รวมซ่ึง เชื่อมโยงทุกสว่ นของท้งั โลก คอื ผนื ดิน พชื สัตว์ มนุษย์เขา้ ไว้ดว้ ยกนั เอกสารประกอบการเรียนการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หน้า 5

บทท่ี 2 เรื่อง หลกั การและรปู แบบของการเกษตรผสมผสาน 1. หลักการของการเกษตรแบบผสมผสาน 1.1 หลกั การสำคญั ของการเกษตรแบบผสมผสาน หลักการพืน้ ฐานของระบบเกษตรกรรมแบบผสมผสานมีอยู่อยา่ งน้อย 2 ประการสำคญั ๆ คอื 1) ตอ้ งมีกจิ กรรมการเกษตรต้งั แต่ 2 กิจกรรมเป็นต้นไป โดยการทำการเกษตรทง้ั สองกจิ กรรมน้ัน ต้องทำในพ้ืนท่ีและระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งกิจกรรมเหล่าน้ันควรประกอบไปด้วยการปลูกพืชและการเล้ียงสัตว์ และสามารถผสมผสานระหวา่ งการปลูกพืชต่างชนดิ หรอื การเลย้ี งสัตวต์ า่ งชนดิ กันได้ 2) การเกื้อกูลประโยชน์ระหว่างกิจกรรมเกษตรต่าง ๆ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรใน ระบบเกษตรแบบผสมผสานน้ัน เกิดข้ึนท้ังจากวงจรการใช้แร่ธาตุอาหารรวมท้ังอากาศ และพลังงาน เช่น การ หมุนเวียนใช้ประโยชน์จากมูลสัตวใ์ ห้เปน็ ประโยชนก์ ับพชื และให้เศษพืชเป็นอาหารสัตว์ โดยท่ีกระบวนการใช้ ประโยชน์จะเป็นไปท้ังโดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น ผา่ นการหมักของจลุ ินทรยี ์เสียก่อน 2 ปจั จยั สำคญั ของการทำการเกษตรแบบผสมผสาน ปัจจัยสำคญั ในการทำเกษตรผสมผสานประกอบด้วย 3 ปจั จยั หลกั คอื 2.1 ปจั จัยทางกายภาพ 1) ที่ดิน ดินเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการทำการเกษตร เพราะเป็นแหล่งอาหารของพืชท่ี ยึดเกาะของรากพืชเป็นท่ีเก็บน้ำเพ่ือการเจริญเติบโตของพืช ให้อาหารแก่รากพืชเป็นอาหารข้ันต้นในระบบ นิเวศน์ ผลผลิตจะสูง หรือต่ำขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และลักษณะของที่ดินของเกษตรกรน้ันมี ลกั ษณะของพืน้ ทท่ี ีต่ า่ งกัน 2) แหล่งน้ำ น้ำเป็นส่วนประกอบท่ีสำคัญของทั้งพืชและสัตว์ น้ำช่วยละลายธาตุอาหารในดิน น้ำมีส่วนช่วยลำเลียงธาตุอาหารจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ ของต้นพืช แหล่งน้ำที่นำมาใช้ในการเกษตรนั้น มี นำ้ ฝน นา้ ในหว้ ย หนอง อ่างเกบ็ นำ้ การชลประทาน บาดาล เป็นตน้ 3) สภาพลมฟ้าอากาศ สภาพลมฟ้าอากาศ ได้แก่ อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และแสงแดด ส่ิง เหล่านี้ล้วนมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ กลา่ วคือ พืชและสัตว์ต่างชนิดกันย่อมต้องการน้ำแสงแดด อุณหภูมิท่ตี า่ งกนั เชน่ พชื เมืองหนาวควรปลูกทางภาคเหนือ พืชท่ีตอ้ งการความช้ืนสูงกค็ วรปลูกทางใต้ 2.2 ปจั จัยทางชวี ภาพ 1) ชนิดพันธุ์พืช ชนิดพันธุพ์ ชื เป็นผลมาจากสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ เช่น ในภาคใตท้ ่ีมีฝน ตกชุกเกือบทั้งปี และดินค่อนข้างดีเกษตรกรจึงควรปลูกยางพาราเป็นพืชหลัก ขณะที่ยางต้นยังเล็กเกษตรกร ควรปลกู พืชอายุสั้นแซมระหวา่ งตน้ ยางเปน็ การเสริมรายได้ เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หน้า 6

2) ชนิดพันธุ์สัตว์ มีการเปล่ียนแปลงเช่นเดียวกับพืช และพืชท่ีปลูกยังมีอิทธิพลต่อการ เปลี่ยนแปลงพันธ์สุ ัตว์ด้วย นอกจากนี้สภาพท่ีตง้ั ของพน้ื ที่ เช่น เขตชายทะเล เกษตรกรสามารถเลย้ี งกงุ้ ทะเลได้ 2.3 ปัจจยั ทางเศรษฐกจิ และสงั คม 1) แรงงาน หมายถึง การใช้กำลงั กายเพ่ือแลกกับเงินหรอื ส่วนสินคา้ อยา่ งอื่น แล้วแตจ่ ะตกลง กัน ระหว่างผู้จ้างและผู้ถูกจ้างแรงงานในระบบการเกษตรมีหลายประเภท คือ แรงงานที่ไม่ได้จ่ายเป็นตัวเงิน เชน่ แรงงานในครัวเรอื น แรงงานจ้างยังจา้ งไดท้ ้ังปี หรอื ตามฤดูกาล 2) ทนุ ท่ีใชใ้ นการผลิต ทนุ มีทงั้ ปจั จัยทีเ่ ปน็ ทงั้ เงนิ และไมใ่ ชเ่ งิน มี 2 ประเภท คอื 1) ทนุ ประเภทคงทนถาวร เชน่ อาคาร โรงเรือน เครื่องจกั รกลต่าง ๆ เป็นตน้ 2) ทุนประเภทหมุนเวยี น เชน่ พันธุ์พืช พันธส์ุ ัตว์ ยาฆา่ แมลง เปน็ ต้น ในการทำการเกษตรเกษตรกรควรหลีกเล่ียงการกู้ยืมเงินมาลงทุน หากเป็นไปได้ควรใช้ เคร่ืองจักรท่ีจำเปน็ เท่าน้ัน ลดตน้ ทนุ การผลติ ในส่วนของแรงงานโดยใช้แรงงานท่ีมีในครัวเรอื น ลดการใช้ปุ๋ยยา ด้วยการใชห้ ลกั การเกื้อกูลกันของระบบ 3) ด้านศาสนาและวัฒนธรรม เกษตรกรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และบางส่วนนับถือ ศาสนาอนื่ กรณี 4 จงั หวัดชายแดนภาคใต้ จะไปสง่ เสรมิ การเล้ียงหมูบนบ่อปลาคงเป็นไปไม่ได้ 4) การหาตลาด การผลิตพืชในระบบเกษตรผสมผสาน เกษตรกรจะผลิตพืชหลายชนิด บาง ชนิดผลิตออกมาจนเหลือ จำเป็นท่ีเกษตรกรจะต้องหาตลาดในท้องถิ่นจำหน่ายอย่างเหมาะสม หากไม่ มีตลาดเกษตรกรจะไม่มรี ายได้ 5) สิ่งอานวยความสะดวกของรัฐบาล ถนน ไฟฟ้า ไร่นาที่มีถนนมีไฟฟ้าผ่าน เกษตรกรจะ ไดร้ บั ความสะดวกสบายในการขนสง่ จดั จำหนา่ ยผลิต 3. รูปแบบของการเกษตรแบบผสมผสาน ระบบการเกษตรแบบผสมผสานนั้น ถึงแม้ว่าเกษตรจะมีการดำเนินการกันมาช้านานแล้วก็ตามแต่ ลักษณะของการดำเนินการ ยังมีความแตกต่างกันไป แล้วแต่การจะนำองค์ประกอบต่าง ๆ มาผสมผสานกัน มากน้อยแค่ไหน และผสมผสานในรูปแบบใด อย่างไรก็ตามยงั มคี วามหมายหลากหลาย การศึกษารายละเอียด เชิงวิชาการในด้านนี้ก็ยังมีไม่มาก เม่ือเปรียบเทียบกับการศึกษาในด้านกิจกรรมเด่ียว ๆ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือประมงก็ตาม ฉะน้ันการกำหนดรูปแบบดำเนินการเกษตรผสมผสานก็จะมีหลายแบบเช่นกัน ท้ังนี้อาจจะ ยึดการแบง่ ตามวิธีการดำเนินการ ลกั ษณะพืน้ ที่ กจิ กรรมท่ีดำเนนิ ทรัพยากร เปน็ ตน้ ซ่งึ พอท่จี ะกล่าวไดด้ ังน้ี การเกษตรแบบผสมผสานรูปแบบตา่ ง ๆ 1. การเกษตรแบบผสมผสานแบง่ ตามกจิ กรรมทด่ี ำเนินการอยู่เปน็ หลัก 1) ระบบเกษตรผสมผสานท่ียึดกิจกรรมพืชเป็นหลัก ซึ่งกิจกรรมที่ดำเนินการน้ีจะมีพืชเป็น รายไดห้ ลัก 2) ระบบเกษตรผสมผสานท่ียึดกจิ กรรมเลี้ยงสัตวเ์ ป็นหลัก ซ่ึงการดำเนนิ การเลีย้ งสัตว์จะเป็น รายได้หลัก เอกสารประกอบการเรียนการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หน้า 7

3) ระบบเกษตรผสมผสานท่ียึดกิจกรรมประมงเป็นหลัก ซ่ึงจะมีกิจกรรมเลี้ยงสัตว์น้ำเป็น รายไดห้ ลกั 4) ระบบเกษตรผสมผสานแบบไรน่ าป่าผสมหรือวนเกษตรเปน็ ระบบทม่ี กี ารจัดการปา่ ไม้ เป็น หลักร่วมกับการเกษตร ทุกแขนง อาจประกอบด้วยการปลูกพืชเกษตรในสวนป่า การปลูกพืชเกษตรร่วมกับ การเล้ียงสัตว์ในสวนป่าระบบน้ีมุ่ง หวังท่ีจะให้เป็นตัวกลางเพื่อผ่อนคลายความต้องการท่ีดินเพ่ือการ เกษตรกรรม กบั ความตอ้ งการปา่ ไม้ 2. การเกษตรแบบผสมผสานแบง่ ตามวิธกี ารดำเนนิ การ 1) ระบบเกษตรผสมผสานที่มีการใช้สารเคมี ในระบบการผลิตจะมีการใช้สารเคมีในกิจกรรม ต่าง ๆ เพือ่ จุดประสงค์ ให้ไดผ้ ลผลิตและรายไดส้ ูงสดุ 2) ระบบการเกษตรอินทรีย์หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ฮอร์โมน สารเคมีในอาหาร สัตว์ คำนึงถึงการสงวนรักษาอินทรียวตั ถุในดินด้วยการปลูกพืชหมุนเวียนการปลูก พชื คลุมดนิ ใช้ปุ๋ยคอกปยุ๋ หมัก ใช้ เศษอินทรียวัตถจุ ากไร่นา มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่พืชด้วยการบำรุงดิน ให้อุดมสมบรู ณ์ ผลผลิตท่ีได้กจ็ ะอยใู่ นรูป ปลอดสารพษิ 3) ระบบการเกษตรธรรมชาติ เป็นระบบการเกษตรท่ีใช้หลักการจัดระบบการปลูกพืชและ เลี้ยงสัตว์ที่ประสาน ความ ร่วมมือกับธรรมชาติอย่างสอดคล้องและเก้ือกูลซ่ึงกันและกัน งดเว้นกิจกรรมท่ีไม่ จำเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้แก่ ไม่มีการ พรวนดิน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่กำจัดวัชพืช ไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทั้งน้ีจะมี การปลูกพืชตระกูลถ่ัวคลุมดิน ใช้วัสดุเศษ พืชคลุมดิน อาศัยการควบคุมโรคแมลงศัตรูด้วยกลไกการควบคุม กนั เองของส่ิงมชี ีวติ ตาม ธรรมชาติ การปลูกพืชใน ในสภาพแวดล้อมทม่ี คี วามสมดุลยทางนเิ วศวิทยา 3. การเกษตรแบบผสมผสานแบง่ ตามประเภทของพืชสำคญั เป็นหลกั 1) ระบบเกษตรผสมผสานทม่ี ีขา้ วเป็นพืชหลัก พืน้ ทีส่ ่วนใหญ่จะเปน็ ท่ีนาทำการปลูกข้าวนาปี เป็นพืชหลักการผสม ผสานกิจกรรมเข้าไปให้เก้ือกูลอาจทำได้ท้ังในรูปแบบของพืช-พืช สวนปลูกไม้ผลเล้ียง ปลาในร่องสวน เล้ียงสัตว์ปกี โค โดยใช้เศษอาหารจากพชื ตา่ ง ๆ ในฟารม์ ใหเ้ ป็นอาหารสัตวไ์ ดด้ ้วย 2) ระบบเกษตรผสมผสานทม่ี ีพืชไรเ่ ป็นพชื หลกั การผสมผสานกิจกรรม พืช-พชื เช่น ลักษณะ การปลกู พืชตระกูลถว่ั แซมในแถวพืชหลัก 3) ระบบเกษตรผสมผสานทม่ี ีไมผ้ ล ไม้ยนื ตน้ เปน็ พืชหลกั การผสมผสานกจิ กรรม พืช-พชื เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หน้า 8

บทท่ี 3 เร่อื ง การสำรวจ วเิ คราะห์พื้นท่ี และความตอ้ งการผลิตผลการเกษตร 1. การสำรวจพ้ืนท่กี ารทำเกษตรแบบผสมผสาน สภาพดิน การสำรวจสภาพดินทำให้ทราบสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ทราบคุณสมบัติทาง กายภาพของดินว่าเหนียวหรือดินร่วน หรือดินทราย เพ่ือจะได้หาหนทางปรบั ปรุงแก้ไขสภาพดินให้พร้อมที่จะ ปลกู พนั ธุ์ไมไ้ ด้อย่างถูกตอ้ ง ลักษณะพื้นท่ี การสำรวจลักษณะพ้ืนท่ีทำให้ทราบสภาพความสูงต่ำของพ้ืนที่ ทราบความลาดเอียง ของพื้นท่ี ทราบความจำเป็นในการถมดินเพ่ิม หรือขุดดินบริเวณหน่ึงบริเวณใดออกทราบความจำเป็นในการ แกไ้ ขระบบระบายน้ำ เป็นต้น 1.1 การสำรวจสภาพภูมปิ ระเทศของพนื้ ท่ี (ความสูง-ตำ่ ความลาดเท แหลง่ น้ำเพ่ือการเกษตร) ภูมิประเทศ นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรที่ดินที่มีความสำคัญ และจำเป็นในการท่ีจะ ทำการศึกษา การศึกษาสภาพภูมิประเทศหลักใหญ่ ๆ ประกอบด้วย ที่ราบ (plain) ที่ราบสูง (plateau) เนิน เขา (hill) และภูเขา (mountain) ซ่ึงลักษณะภูมิประเทศหลักเหล่านี้ต่างก็มีลักษณะแตกต่างกันและมีการแบ่ง ออกเป็นลักษณะต่าง ๆ มากมาย วิธีการสำรวจ และศึกษาลักษณะภูมิประเทศต่าง ๆ ก็สามารถกระทำได้โดย ใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม และการสำรวจในภาคสนาม เพื่อตรวจวัดองค์ประกอบภูมิประเทศ ต่าง ๆ การสำรวจโดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายดาวเทียมนับว่ากระทำได้รวดเร็ว ประหยัด และมี ความถูกต้องแม่นยำ แผนที่ที่แสดงลักษณะภูมิประเทศต่าง ๆ นับว่ามีประโยชน์อย่างมาก และใช้เป็นแผนท่ี พนื้ ฐานในการสำรวจทรัพยากรท่ีดนิ อนื่ ๆ เช่น การสำรวจดิน ธรณวี ทิ ยา อทุ กวิทยา และอ่ืน ๆ ไดเ้ ป็นอย่างดี 1. การสำรวจความสงู – ต่ำของพ้นื ที่ ภาพที่ 3.1 การสำรวจความสงู -ตำ่ ของพื้นที่โดยใช้เลเซอรใ์ นการปรับระดับดิน เอกสารประกอบการเรียนการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนบา้ นบางสาน หนา้ 9

2. การสำรวจความลาดเท ของพ้ืนที่ ความลาดเทของพื้นที่สง่ ผลให้เกดิ การพังทลายของดิน ของดนิ มากหรือน้อย สมบตั ติ า่ ง ๆ ทม่ี ผี ลตอ่ การพังทลายของดินอันเนือ่ งมาจากสภาพภูมปิ ระเทศ ไดแ้ ก่ 3. การสำรวจแหลง่ น้ำเพ่ือการเกษตร 1) ประเภทของแหล่งน้ำเกษตรเพ่ือการเกษตร 1. ปริมาณนำ้ ฝน 2. แหล่งน้ำทางธรรมชาติ 3. แหล่งนำ้ ทมี่ นุษยส์ ร้างข้นึ 2) ความพอเพยี งของปริมาณน้ำ การศึกษาน้ำผิวดิน น้ำผิวดินเป็นน้ำท่ีเก็บกักไว้บนพ้ืนท่ีผิวดินตามแม่น้ำ ลำธาร ห้วยหนอง คลองบึง และทะเลสาบต่าง ๆ การศึกษาแหล่งน้ำเหล่านี้เพื่อให้ทราบถึงการเกิด การผันแปร การเคล่ื อนที่ หมุนเวียน และการแผ่กระจายของแหล่งน้ำต่าง ๆ และทำให้ทราบถึงศักยภาพในการที่จะพัฒนานำไปใช้เป็น ประโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆ ในแงข่ องทรัพยากรที่ดินจะพิจารณาถงึ ลุ่มนำ้ หน่ึง ๆ ซ่ึงเป็นพ้ืนท่ีที่ล้อมรอบด้วยสันปัน น้ำ (divides) อาจจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับขนาดของแม่น้ำลำธารที่ต้องการศึกษาในลุ่มน้ำน้ัน ๆ และ ศึกษาแหล่งน้ำว่ามีพอสำหรับการทำการเกษตรในฤดูต่าง ๆ เพ่ือจะได้มีการวางแผ่นการใช้น้ำในการทำ การเกษตร 1.2 การสำรวจลักษณะดินในพื้นที่ (เนื้อดิน หน้าดิน ความเป็นกรด-ด่าง ความอุดมสมบูรณ์ของ ดิน) การสำรวจดิน (Soil Survey) เป็นการสำรวจเก็บตัวอย่างชนิดของดิน เพอื่ การเกษตร เพ่ือใช้วางแผน ปรับปรุงบำรุงดิน ในการเก็บตัวอย่างก็จะต้องหาพิกัดมาด้วย ซึ่งอาศัยเคร่ือง GPS receiver ปัจจุบันสามารถ ใช้ดาวเทียมถ่ายภาพเพื่อหาชนิดของดินได้ หรือการใช้วิธีการศึกษาทางสนาม และข้อสนเทศจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อจำแนกชนิดต่าง ๆ ของดิน และการสำรวจดินท่ีสมบูรณ์จะต้องประกอบด้วยแผนท่ีดิน และรายงานการ สำรวจดินท่ีมีรายละเอียดเกี่ยวกับชนิด ลักษณะของดิน และการแปลความหมายหน่วยพื้นท่ีต่าง ๆ ที่ปรากฏ อยู่บนแผนท่ีดนิ 1. เนื้อดิน แบ่งออกเป็น ดินเหนียว ดินร่วน ดินทราย และดินตะกอน ในบริเวณท่ีเป็นดิน ตะกอนมักเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ ดินร่วนนอกจากมีความอุดมสมบูรณ์สูงแล้วยังสามารถระบายน้ำได้ดีกว่าดิน เหนียวอีกด้วย ดินทรายเป็นดินเนื้อหยาบ มีธาตุอาหารต่ำ และถูกชะล้างได้ง่ายจึงไม่เหมาะสำหรับการ เพาะปลูก 2. หน้าดิน การเพาะปลูกพืชจะได้ผลดีต้องมีหน้าดินลึก 100 เซนติเมตรเป็นอย่างน้อย เพื่อให้รากพชื สามารถหย่งั ลงได้ลึก และหาอาหารได้ดีขนึ้ 3. ความเป็นกรด-ด่าง ดินท่ีมีค่า pH ใกล้เคียงกับความเป็นกลางหรือประมาณ 6.5 จะ สามารถปลูกต้นไม้ได้ดที ีส่ ุด แต่พชื บางชนิดกส็ ามารถเจริญเตบิ โตไดด้ ีในดินทมี่ ีคา่ pH ระหวา่ ง 4.5-5.5 ซง่ึ มีค่า ของความเป็นกรด เช่นพืชจำพวก บลูเบอร์ร่ี ชวนชม พุด เป็นต้น ดังน้ันจึงควรมีการศึกษาค่า pH ของดิน ก่อนท่ีจะลงมอื ปลูกพชื เพอื่ ใหพ้ ชื สามารถเจรญิ เติบโตไดด้ ี และมีคณุ ภาพ เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนบา้ นบางสาน หน้า 10

4. ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เน่ืองจากใช้เพาะปลูกพืชมา นานจำเป็นต้อง ปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะในการเพาะปลูกพืช หรืออย่างน้อยควร รักษาระดับ ความอุดมสมบูรณ์ของดินไม่ให้เส่ือมลง วธิ ีการปรับปรงุ บำรงุ ดินทำได้ หลายวธิ ี การใช้ปุ๋ย เปน็ วธิ ีหนึ่งท่ีจะช่วย ยกระดับผลผลิตให้สูงขึ้น ปุ๋ยท่ีใช้มี 2 ชนิด ชนิดแรกคือ ปุ๋ยเคมี ท่ีมีส่วนประกอบสำคัญ ของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม หรืออาจมีธาตุรองอ่ืน ๆ รวมอยู่ด้วยก็ได้ความต้องการปุ๋ยน้ันข้ึนอยู่กับ ชนิด และระยะการเจริญเติบโตของพืช ปุ๋ยเคมเี ป็นธาตุอาหารที่พชื นำไปใชป้ ระโยชน์ได้ อยา่ งรวดเรว็ และเกษตรกร ใช้ได้สะดวก ปุ๋ยชนิดที่ 2 คือ ปุ๋ยอินทรีย์ ได้จากปุ๋ย หมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชนิดดังกล่าวนอกจากจะ เพ่ิมธาตุอาหารในดินแล้ว ยังช่วยปรับปรุงดินให้ร่วนซุย ไถพรวนง่ายดูดซับน้ำ ได้ดีท้ังน้ีเกษตรกรสามารถใช้ วัสดุเหลือใช้ในไร่นามาใช้ประโยชน์ได้การปลูกพืชหมุนเวียนนิยมปลูกพืชตระกูลถ่ัว ร่วมอยู่ด้วย เนื่องจากพืช ตระกูลถั่วมีแบคทีเรยี อาศัยอยู่ทปี่ มรากสามารถตรงึ ไนโตรเจนใหเ้ ป็นประโยชน์ต่อพืชได้ และการปลกู พืชคลุม ดนิ จะชว่ ยไม่ใหห้ น้าดนิ ถูก ชะลา้ งไดง้ ่ายโดยเฉพาะในพน้ื ท่ีลาดชัน 1.3 การสำรวจสภาพภูมิอากาศของพ้นื ท่ี (อณุ หภูมิ ความชืน้ ปริมาณนำ้ ฝน) สภาพภูมิอากาศนับว่าเป็นส่วนหน่ึงของทรัพยากรที่ดินที่จำเป็นต้องมีการสำรวจหรือศึกษา เพื่อ นำไปใช้เป็นประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น การใช้ที่ดินเพ่ือการเกษตร วิศวกรรม การชลประทาน และอ่ืน ๆ การศึกษาสภาพภูมิอากาศกระทำได้โดยอาศัยสถานีตรวจวัดอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา หรือจากสถานี ทดลองที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงบริเวณน้ัน เพื่อนำข้อมูลภูมิอากาศมาวิเคราะห์สำหรับใช้ประโยชน์และเป็น ตัวแทนของพื้นท่ีท่ีทำการสำรวจ ผลของการศึกษาหรือสำรวจสภาพภูมิอากาศอาจจะออกมาในรูปของข้อมูล และแผนที่ภูมิอากาศ (climatological map) หรืออ่ืน ๆ ก็ได้ ข้อมูลภูมิอากาศควรจะอยู่ในรูปที่นำไปใช้เป็น ประโยชน์ในการวางแผนการใช้ท่ีดนิ ดา้ นตา่ ง ๆ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ทิศทางลม การสำรวจทิศทางลม จะทำให้ทราบถึงทิศทางและความรุนแรงของลมท่ีพัดผ่านพ้ืนที่ เพ่ือที่จะได้ป้องกัน และหาทางแก้ไขมิให้เกิดความกระทบกระเทือนแก่พืชได้ เช่น การปลูกไม้ใหญ่บังลม เป็น ตน้ ปริมาณแสงสว่าง พันธ์ุไม้แต่ละชนิดต้องการแสงสว่างไม่เท่าเทียมกัน บางชนิดต้องปลูกอยู่กลางแจ้ง บางชนิดต้องข้นึ ในทีร่ ่มเงา การสำรวจจะทำใหท้ ราบบริเวณร่มเงา บริเวณกลางแจ้ง ตำแหน่งที่ถกู แสงแดดชว่ ง เชา้ ช่วงบา่ ย ซึ่งส่ิงเหล่านี้จะเป็นตวั กำหนดในการเลอื กใชต้ น้ ไมใ้ ห้เหมาะสม ปริมาณฝน ปริมาณฝนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ในการเลือกใช้พันธ์ุเช่นกัน ถ้าสภาพพื้นท่ีนั้น ค่อนข้างแห้งแล้ง ก็ต้องเลือกใช้พันธุ์ไม้ที่ขึ้นได้ดีในที่แห้งแล้ง หรือถ้าสภาพพ้ืนท่ีน้ันมีฝนตกชุกก็ต้องคำนึงถึง เรอื่ งพันธุไ์ ม้การใชไ้ ม้คลมุ ดิน ควบคไู่ ปกบั การระบายนำ้ ออกจากพืน้ ที่ อุณหภูมิ เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งในการเลือกใช้พันธ์ุไม้ พ้ืนที่ที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นก็ต้องเลือกใช้พันธ์ุ ไม้อยา่ งหนง่ึ พ้ืนที่ทม่ี อี ณุ หภูมสิ งู หรือรอ้ นก็ตอ้ งใชพ้ ันธ์ุไม้อีกอย่างหน่ึง เปน็ ตน้ เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนบา้ นบางสาน หน้า 11

2. การสำรวจความต้องการผลผลติ ทางการเกษตร การสำรวจชนดิ และปริมาณผลผลติ ทางการเกษตรท่ีตลาด สำรวจสภาวะความต้องการของตลาดในท้องถนิ่ ปฏิบัติได้โดยการออกสำรวจหาข้อมูล ความต้องการ ของตลาดในท้องถ่ินเกี่ยวกับการผลิตพืช ว่าช่วงไหนต้องการพืชชนิดใด พืชชนิดใดมีช่วงราคาสูงในเดือนอะไร ตลาดต้องการพืชชนิดใดประมาณวันละกี่กิโลกรัม ในตลาดมีผู้ผลิตรายอ่ืนอยู่หรือไม่ มีผู้ผลิตพืชชนิดน้ีใน ท้องถนิ่ จำนวนก่ีราย สภาพปัญหาของผผู้ ลติ รายอืน่ ๆ มอี ยา่ งไร เป็นตน้ นอกจากสำรวจสภาวะการทางตลาดแล้ว ผู้เริ่มลงมือผลิตรายใหม่ควรสำรวจและสังเกตสภาพ สิ่งแวดล้อมท่ีเป็นปัจจัย และผลกระทบต่อการปลูกพืชชนิดนั้น ๆ ด้วย เช่น สภาพดิน อุณหภูมิ แสงสว่าง แหล่งน้ำที่ใช้ปลูกพืช เมื่อสำรวจได้ข้อมูลมาแล้วจึงวางแผนการผลิตพืชให้เหมาะสมกับปัจจัยต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ ต่อไป 3. การวเิ คราะหพ์ นื้ ที่ และกจิ กรรมการผลติ ในระบบเกษตรผสมผสานโดยใช้ SWOT analysis 3.1 ความหมายของ SWOT analysis คำว่า \"สวอต\" หรือ \"SWOT\" น้นั มาจากตวั ย่อภาษาอังกฤษ 4 ตัว ไดแ้ ก่ ปัจจัยภายใน S มาจาก Strengths หมายถึง จุดแข็ง ความสามารถและสถานการณ์ภายในองค์กรที่เป็นบวก ซึ่งองค์กรนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง การดำเนินงานภายในท่ี องคก์ รทำได้ดี W มาจาก Weaknesses หมายถึง จุดอ่อน สถานการณ์ภายในองค์กรท่ีเป็นลบและด้อย ความสามารถ ซ่ึงองค์กรไม่สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการทำงานเพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์ หรือหมายถึง การดำเนนิ งานภายในทอ่ี งค์กรทำไดไ้ ม่ดี ปัจจยั ภายนอก O มาจาก Opportunities หมายถึง โอกาส ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกท่ีเอ้ืออำนวยให้การ ทำงานขององค์กรบรรลุวตั ถุประสงค์ หรือหมายถึง สภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการ ขององคก์ ร T มาจาก Threats หมายถึง อุปสรรค ปัจจัยและสถานการณ์ภายนอกที่ขดั ขวางการทำงานของ องคก์ รไมใ่ ห้บรรลวุ ตั ถุประสงค์ หรอื หมายถึงสภาพแวดล้อมภายนอกทเ่ี ป็นปัญหาตอ่ องค์กร 3.2 วิธีการทำ SWOT analysis การวเิ คราะห์ SWOT จะครอบคลมุ ขอบเขตของปจั จยั ที่กวา้ งด้วยการระบุจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและ อุปสรรคขององคก์ ร ทำให้มขี อ้ มูล ในการกำหนดทศิ ทางหรอื เปา้ หมายท่ีจะถูกสร้างข้ึนมาบนจดุ แขง็ ขององคก์ ร และแสวงหาประโยชน์จากโอกาสทางสภาพแวดล้อม และสามารถ กำหนดกลยุทธ์ท่ีมุ่งเอาชนะอุปสรรคทาง เอกสารประกอบการเรียนการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หน้า 12

สภาพแวดล้อมหรือลดจุดออ่ นขององค์กรให้มีนอ้ ยท่สี ุดได้ ภายใต้การวิเคราะห์ SWOT น้นั จะต้องวิเคราะหท์ ้ัง สภาพแวดล้อมภายใน และภายนอก องค์กร โดยมขี นั้ ตอนดังนี้ 1) การประเมินสภาพแวดล้อมภายในองค์กร การประเมินสภาพแวดล้อมภายในองค์กร จะเกี่ยวกับการวิเคราะห์และพิจารณาทรัพยากร และความสามารถภายในองค์กร ทุก ๆ ด้าน เพ่ือท่ีจะระบุจุดแข็งและจุดอ่อนขององค์กรแหล่งที่มาเบื้องต้น ของข้อมูลเพ่ือการประเมินสภาพแวดล้อมภายใน คือระบบข้อมูลเพื่อ การบริหารท่ีครอบคลุมทุกด้าน ทั้งใน ด้านโครงสร้าง ระบบ ระเบียบ วิธีปฏิบัติงาน บรรยากาศในการทำงานและทรัพยากรในการบริหาร (คน เงิน วัสดุ การจัดการ) รวมถึงการพิจารณาผลการดำเนินงานที่ผ่านมาขององคก์ รเพ่ือที่จะเข้าใจสถานการณ์ และผล กลยุทธ์ก่อนหนา้ นดี้ ้วย - จุดแข็งขององค์กร (S-Strengths) เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายในจากมุมมองของผู้ที่อยู่ภายใน องค์กรนั้นเองว่า ปัจจัยใดภายในองค์กรท่ีเป็นข้อได้เปรียบหรือจุดเด่นขององค์กรท่ีองค์กรควรนำมาใช้ในการ พฒั นาองค์กรได้ และควรดำรงไวเ้ พือ่ การ เสรมิ สร้างความเขม็ แข็งขององคก์ ร - จุดอ่อนขององค์กร (W-Weaknesses) เป็นการวิเคราะห์ ปัจจัยภายในจากมุมมองของผู้ท่ีอยู่ ภายในจากมุมมอง ของผู้ที่อยู่ภายในองค์กรนั้น ๆ เองว่าปัจจัยภายในองค์กรที่เป็นจุดด้อย ข้อเสียเปรียบของ องคก์ รท่คี วรปรบั ปรุงใหด้ ขี น้ึ หรือขจดั ให้หมดไป อันจะเปน็ ประโยชน์ตอ่ องค์กร 2) การประเมนิ สภาพแวดล้อมภายนอก ภายใต้การประเมนิ สภาพแวดลอ้ มภายนอกองคก์ รน้ัน สามารถค้นหาโอกาสและอุปสรรคทางการ ดำเนินงานขององค์กรที่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งในและระหว่างประเทศท่ีเกี่ยวกับ การดำเนินงานขององค์กร เช่น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นโยบาย การเงิน การงบประมาณ สภาพแวดล้อมทางสังคม เช่น ระดับการศึกษาและอตั ราร้หู นังสือของประชาชน การตั้งถิ่นฐาน และการอพยพ ของประชาชน ลักษณะชุมชน ขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยม ความเช่ือและวัฒนธรรม สภาพแวดล้อมทาง การเมือง เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา มติคณะรัฐมนตรี และสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยี หมายถึงกรรมวิธีใหม่ ๆ และพัฒนาการทางด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ท่ีจะช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการผลิต และ ใหบ้ ริการ - โอกาสทางสภาพแวดล้อม (O-Opportunities) เป็นการวิเคราะห์ว่าปัจจัยภายนอกองค์กร ปัจจัยใดที่สามารถส่งผลกระทบประโยชน์ ท้ังทางตรงและทางอ้อมต่อการดำเนินการขององค์กรในระดับมหา ภาค และองค์กรสามารถฉกฉวยขอ้ ดีเหล่านม้ี าเสรมิ สรา้ งให้ หน่วยงานเขม็ แข็งข้ึนได้ - อปุ สรรคทางสภาพแวดล้อม (T-Threats) เป็นการวเิ คราะหว์ ่าปัจจัยภายนอกองค์กรปัจจัยใดท่ี สามารถส่งผลกระทบในระดับมหภาคในทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งองค์กร จำตอ้ งหลกี เลย่ี ง หรือปรับสภาพองคก์ รให้มี ความแขง็ แกรง่ พรอ้ มทจี่ ะเผชิญแรงกระทบดงั กล่าวได้ เอกสารประกอบการเรียนการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หนา้ 13

3.3 การวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนท่ี และกิจกรรมการผลิตผลการเกษตรแบบผสมผสานด้วย SWOT analysis เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หน้า 14

ตารางที่ 3.3 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นท่ี และกิจกรรมการผลิตข้าว ในสำนักงานเกษตรอำเภอบ่อพลอย จังหวดั กาญจนบุรี 3.4 การแปลผลวเิ คราะห์พน้ื ที่ และกจิ กรรมการผลติ ผลในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 3.4.1. ให้ความรู้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน (IPM) เพ่ือลดต้นทุนการผลิต และ อนรุ กั ษส์ ิ่งแวดล้อม 3.4.2. จัดทำศนู ยข์ ้าวชุมชน และโรงเรียนชาวนา 3.4.3. น้อมนำหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาใช้เพ่ือพร้อมรบั กบั การเปลย่ี นแปลง 3.4.4. สง่ เสรมิ การรวมกลุ่มอาชีพในทอ้ งถนิ่ และการสรา้ งเครอื ข่ายเพอ่ื แลกเปลีย่ นเรียนรู้ เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบา้ นบางสาน หน้า 15

บทท่ี 4 เร่ือง การวางแผน และการเตรียมการทำการเกษตรแบบผสมผสาน 1. การวางแผนการทำการเกษตรแบบผสมผสาน การทำการเกษตรไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืช หรือการเล้ียงสัตว์จะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องมีการ วางแผนการปฏิบัติงาน หรือทำโครงการก่อนการลงมือปฏิบัติจริง การวางแผนเป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติ งานไปลวงหนาว่าจะปฏิบัติงานอย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร มีการกำหนดกิจกรรมเป็นข้ันเป็นตอน จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ไวลวงหนา เพ่ือใหการทำงานได้รับความสำเร็จ และช่วยใหการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใชใหเกิดประโย ชน สูงสุด การวางแผนก่อนการทำงานนั้น จะช่วยใหปญหาข้อผิดพลาดน้อยลง หรือสามารถแกไขได้ทันทวงที ผู้ปลูกจะต้องศึกษาหาข้อมูลในด้านต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องให้เข้าใจอย่างแท้จริง เพ่ือนำข้อมูลท่ีได้มาวางแผนและ ดำเนินการผลติ พชื ได้อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมกบั สภาพท้องถิน่ ของตนเอง 1.1 ความสำคญั ของการวางแผนระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1) เลือกชนิดพืชท่ีมีความเหมาะสมกับสภาพพ้ืนที่ เช่น ทนทานต่อโรคแมลงรบกวน ทนทานต่อ ความแหง้ แลง้ เติบโตเร็ว ผลผลติ สูง ดูแลรกั ษางา่ ย เป็นตน้ 2) เลือกชนิดพืชจากความต้องการของพ่อค้า หรือผู้บริโภค โดยต้องคำนึงว่าพืชผลท่ีจะปลูกเพื่อ ขาย ควรมีตลาดรองรับ ซึง่ อยใู่ นละแวกใกล้เคียงกับแหล่งเพาะปลูก และสามารถปลกู ได้ในช่วงเวลาท่ีผ้ซู ้ือหรือ ผบู้ ริโภคต้องการ 3) เลือกพืชที่จะเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ เช่น ปริมาณน้ำฝน การกระจายน้ำ ของวันฝนตกในรอบปี อุณหภูมิหนาวเย็นแต่ละช่วงเวลา ความชื้น กระแสลม ตลอดจนความสูงต่ำของภูมิ ประเทศ และต้องคำนึงถงึ ธรรมชาติและอากาศ เช่น ไม่ควรปลูกพชื เมืองหนาวในเขตร้อน หรือปลกู ไม้ผลไม้ยืน ตน้ ในพื้นทีร่ าบล่มุ เปน็ ตน้ 4) เลือกพืชท่ีปลูกตามความรู้ และประสบการณ์ของตนเอง โดยเริ่มต้นจากการปลูกน้อย ๆ แล้ว ขยายมากขนึ้ เมื่อประสบผลสำเรจ็ 1.2 หลกั การวางแผนระบบการเกษตรแบบผสมผสาน เกษตรกรต้องสามารถวางแผนการผลิต ภายในฟาร์มของตัวเองไดอ้ ย่างถูกต้องในทำนองทีเ่ รยี กวา่ ต้อง มีภาย ในฟาร์มของตัวเองได้อย่างถูกต้องในทำนองที่เรียกว่าต้องมีความรู้เขารู้เราจึงจะสามารถทำให้มีการ วางแผนได้อย่าง ถกู ตอ้ ง โดยองคป์ ระกอบความรู้เขา และรเู้ ราทสี่ ำคญั ในการวางแผน ไดแ้ ก่ 1) ต้องมีพ้ืนที่ถือครองของตนเอง การเช่าที่ดินจากผู้อื่นมาดำเนินการ เกษตรกรจะได้กล้าท่ีจะ วางแผนลงทนุ อยา่ ง ถาวร เพราะเกรงวา่ เมอื่ ดำเนนิ การไประยะหน่ึงแลว้ อาจจะถูกบอกเลิกเชา่ ได้ 2) ต้องทราบข้อมูลพื้นฐานภายในฟาร์มของตัวเองเป็นอย่างดี ข้อมูลดังกล่าว ได้แก่ ข้อมูล ทางด้านลักษณะพื้นที่ ดิน แหลง่ น้ำ ซึ่งนับว่ามีความสำคัญ จะสามารถชว่ ยในการวางแผนภายในฟาร์มได้อย่าง ถกู ต้อง เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนบา้ นบางสาน หนา้ 16

3) ต้องมีความรู้ และประสบการณ์ในดา้ นเทคโนโลยีการผลิตพืชหลายชนดิ เช่น ข้าว พชื ไร่ ไม้ผล ไม้ยืนตน้ พืชผัก การเพาะเหด็ เศรษฐกิจ การปศุสัตว์ และการประมง ถา้ ขาดความรู้ในกจิ กรรมใดกิจกรรมหนึ่ง จำเป็นต้องไปขวนขวาย หาความรู้ โดยการไปศึกษาดูงาน รวมท้ังเข้ารบั การฝึกอบรมจากหน่วยงานท่ีสามารถ ใหค้ วามรู้น้ันได้ 4) ต้องมีทุนเริม่ ต้น และทุนหมุนเวียนภายในฟาร์มพอสมควร ซึ่งการมีทุนสำรองไว้จะสามารถให้ การวางแผนดำเนนิ กิจกรรมทีผ่ สมผสานกนั เปน็ ไปอยา่ งเหมาะสม 5) ต้องเป็นผู้มีความมานะอดทน ขยันขันแข็ง และมีแรงงานที่พอเพียง เหมาะสมกับกิจกรรม ภายในฟาร์ม ท้ังน้ีเพราะ การทำการเกษตรจะเห็นผลสำเร็จได้ต้องใช้เวลา และประสบการณ์ในการแก้ปัญหา ซึ่งจะมอี ยตู่ ลอดเวลา และสามารถปรับเปล่ยี นแผนไดต้ ลอดเวลา เพื่อใหแ้ ก้ปัญหาไดท้ นั เหตกุ ารณ์ 2. การวางแผนการผลิตในแตล่ ะกจิ กรรมการผลติ ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน เกษตรกรผู้ทด่ี ำเนินการระบบเกษตรผสมผสานจะประสบความสำเร็จได้ ควรจะต้องมีการวางแผนการ ผลิตในแตล่ ะกิจกรรมการผลติ ในระบบการเกษตรแบบผสมผสานทีเ่ หมาะสมในดา้ นตา่ ง ๆ ดังนี้ 2.1 ปจั จัยการผลิตท่ีจำเปน็ แตล่ ะกจิ กรรมการผลิตของระบบการเกษตรแบบผสมผสาน ปัจจัยการผลิต หมายถึง ปัจจัยท่ีผู้ผลิตนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าและบริการ สำหรบั ปัจจัยการผลิตในภาคเกษตรมีอยูห่ ลายชนิดไดแ้ ก่ ท่ีดนิ น้ำ เครอ่ื งจกั รกล พนั ธุพ์ ืช ปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ ซ่ึง แตล่ ะชนิดมลี ักษณะและความสำคัญดงั นี้ 1) ที่ดิน ถอื ว่าเป็นปัจจัยการผลิตพื้นฐานท่ีสำคัญ มีลักษณะพิเศษเพราะเปน็ ทรพั ยากรท่ีมีปริมาณ จำกัด แต่ละแห่งมีคุณสมบัติหรือคุณภาพต่างกัน ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ในการผลิต มากกวา่ ดินท่ีมีคุณภาพด้อยกว่า ประเทศไทยส่วนใหญ่ใช้ที่ดินเพื่อการทำนามากท่ีสดุ รองลงมาเป็นท่ีปลูกพืช ไร่ ไมผ้ ล ไม้ยืนตน้ สวนผัก ไม้ดอก และท่งุ หญา้ เลย้ี งสัตว์ตามลำดับ 2) น้ำ ความต้องการใช้น้ำเพ่ือการเกษตรมีวัตถุประสงค์หลายประการได้แก่ ความต้องการใช้น้ำ เพ่ือการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ เล้ียงปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ในปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมิใช่เพื่อกิจกรรม การเกษตรที่เพิ่มข้ึนเท่านั้น แต่ยังมีการใช้น้ำเพ่ือการอุตสาหกรรม การขยายการบริการสาธารณูปโภคในเขต เมืองต่าง ๆ มากข้ึนซ่ึงทำให้ปัญหาการจัดสรรน้ำเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มข้ึน และมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็น ข้อจำกัดทางด้านการเกษตร และในระยะยาวถ้าเกิดปัญหากับแหล่งต้นน้ำลำธาร แนวโน้มของปัญหาขาด แคลนน้ำจะรุนแรงข้ึน การบริการการใชน้ ้ำในอนาคตจงึ มคี วามสำคัญมาก 3) แรงงาน ในภาคเกษตรจัดเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ และมีจำนวนมาก เน่ืองจากยังมีการใช้ เครื่องจักรทุ่นแรงไม่มากนัก ในด้านแรงงานของภาคเกษตรก็มีทิศทางคล้ายกับประชากรภาคการเกษตรคือ จำนวนแรงงานในภาคเกษตรมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่สัดส่วนของแรงงานเมื่อเปรียบเทียบกับแรงงานท้ังหมดมี แนวโน้มลดลงเร่อื ย ๆ ปัญหาสำคัญด้านแรงงานเกษตรกรคือ อัตราค่าจ้างของแรงงานในภาคเกษตรมีแนวโน้ม เพิ่มข้ึน และจะขาดแคลนในฤดูกาลเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว แต่จะมีการว่างงานระหว่างฤดูกาลสูงมากในช่วง นอกฤดูกาลเพาะปลูกและเก็บเกยี่ ว ทำให้มีแรงงานส่วนหนง่ึ อพยพเขา้ ไปทำงานในเมืองเพิ่มสงู ข้นึ เรื่อย ๆ เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หนา้ 17

4) เคร่ืองจักรกลการเกษตร มีบทบาทสำคัญต่อภาคเกษตรของไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจาก เกษตรกรนำมาใชเ้ พอื่ เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการผลติ ใช้แทนแรงงานที่เรมิ่ ขาดแคลนในบางฤดกู าล และใชใ้ นการ เตรยี มดนิ เพ่ือประหยัดเวลาทนั ต่อเหตุการณ์ รักษาคุณภาพ และไม่ใหเ้ กิดการสญู เสียผลผลติ มากเกินไป ซ่งึ จะ มที ัง้ ทน่ี ำเขา้ และผลติ ขึ้นใชเ้ องในประเทศไทย 5) พันธุ์พืช และสัตว์ เป็นปัจจัยที่สำคัญประเภทหนึ่งถ้ามีการใช้พ่อพันธุ์และแม่พันธ์ุที่ดีก็จะช่วย ใหผ้ ลผลติ จากการเพาะปลูกหรอื ปศุสัตว์เพ่มิ ข้ึนคุ้มกบั การลงทนุ 6) ปุ๋ย จำแนกไดเ้ ป็น 2 ประเภทได้แก่ ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี เน่ืองจากตลาดสินค้าเกษตรหลักมี การขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรเร่งขยายผลผลิต ปุ๋ยเคมีจึงถูกเลือกใช้มากข้ึนเพื่อเป็นการ เพ่มิ ประสทิ ธิภาพในการผลติ แม้ว่าตน้ ทนุ การผลิตจะสูงขน้ึ กต็ าม 7) สารเคมี เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการป้องกันกำจัด ศตั รูพชื ซง่ึ เกษตรกรมแี นวโน้มการใช้สารเคมีมากในการปลูกพืชเศรษฐกิจทรี่ าคาสูงหรือใหผ้ ลตอบแทนสูง 2.2 การเก้ือกูลกนั ระหวา่ งกจิ กรรมการผลติ 1. การเก้อื กลู กนั ระหวา่ งกิจกรรมการผลติ การปลกู พชื กับการปลกู พืช มดี งั นี้ กิจกรรมพืช-พืช เกษตรผสมผสานพืชต่อพืชอาศัยการคัดเลือกพืชตามความต้องการแสงของพืช หรือความลึกของราก ความช้ืนที่ต่างกัน ที่เรียกว่า การปลูกพืชความสูงต่างระดับ (Multistoried cropping system) หลักการ คือ พืชต่างชนิดกันหาอาหารต่างกัน มีการอยู่ร่วมกันได้ จะมีระบบที่สามารถพบเห็นได้ใน ลกั ษณะต่อไปน้ี 1) ระบบการปลูกพืชไมย้ ืนต้น และไม้ผลหลายชนดิ ในพ้ืนทป่ี ่า ซ่งึ ระบบน้นี อกจากจะได้ผลใน ด้านเศรษฐกิจแลว้ ยงั สมารถอนุรกั ษป์ ่าไม้ และระบบนิเวศนไ์ วไ้ ด้อยา่ งดี 2) ระบบที่เลียนแบบมาจากระบบแรก คือ เป็นระบบที่ปลูกไม้ต่างระดับร่วมกันระบบน้ีจะมี การปลูกท้ังไม้ยืนต้น ไม้ผล และพืชล้มลุกต่าง ๆ ร่วมกันไป โดยพืชในแต่ละระดับความสูงจะมีความเหมาะสม และเก้อื กลู ประโยชนต์ อ่ กนั ในดา้ นความต้องการแสงแดด ธาตอุ าหาร ความชุ่มชน้ื เป็นตน้ 3) ระบบการปลูกพืชแซมในสวนมะพร้าว ซ่ึงจะพบเห็นได้ในภาคใต้ เช่น โกโก้ไปปลูกแซมใน สวนมะพร้าว 4) ระบบการปลูกพืชไร่ตระกูลถว่ั แซมในระหวา่ งพชื ไรห่ ลกั 5) พืชตระกลู ถัว่ ช่วยตรึงธาตไุ นโตรเจนให้กบั พชื ชนิดอื่น 6) พืชยนื ตน้ ใหร้ ม่ เงากบั พืชทตี่ ้องการแสงแดดน้อย เช่น กาแฟ โกโก้ ชา สมุนไพร ฯลฯ 7) พืชเป็นอาหารและที่อยู่อาศัยให้กับแมลงศัตรูธรรมชาติ เพ่ือช่วยกำจัดศัตรูพืชไม่ให้เกิด ระบาดกับพืชชนิดอ่ืน ๆ เชน่ การปลูกถวั่ ลสิ งระหวา่ งแถวในแปลงขา้ วโพด จะช่วยให้แมลงศตั รธู รรมชาติได้มา อาศัยอยู่ในถั่วลสิ งมาก และจะช่วยกำจัดแมลงศตั รูของข้าวโพด 8) พืชที่ปลูกแซมระหว่างแถวพืชหลักจะช่วยป้องกันไม่ให้วัชพืชข้ึนแย่งอาหารกับพืชหลักที่ ปลกู เชน่ การปลกู พชื ตระกูลถ่วั เศรษฐกิจในแถวข้าวโพด มันสำปะหลัง ฝา้ ย เปน็ ต้น เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หน้า 18

9) พืชแซมระหว่างแถวไม้ยืนตน้ ในระยะเริ่มปลูกจะช่วยบังลมบังแดด และเก็บความชืน้ ในดิน ใหก้ ับพชื ยนื ต้น เชน่ การปลูกกล้วยแซมในแถวไมผ้ ลต่าง ๆ ในแถวยางพารา เปน็ ตน้ 10) พืชช่วยไล่และทำลายแมลงศัตรูพืชไม่ให้เข้ามาทำลายพืชที่ต้องการอารักขา เช่น ตะไคร้ หอม ถั่วลสิ ง ดาวเรอื ง แมงลัก โหระพา หมอ้ ข้าวหม้อแกงลิง ฯลฯ 2. การเกือ้ กูลกนั ระหว่างกจิ กรรมการผลิตการปลกู พืชกับการเลี้ยงสัตว์ กิจกรรมพืช-สัตว์ การเกษตรผสมผสานแบบนี้เกษตรกรนิยมทากันมาก เนื่องจากเกษตรกรจะได้ ใช้ปัจจัยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ การเกษตรผสมผสานรปู แบบนี้ เช่น การปลูกพืชควบคู่กับการเล้ียงสัตว์ เป็นระบบการเกษตรผสมผสานอีกชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้ เช่น ระบบการปลูกข้าวโพดฝักอ่อนกับการเลี้ยงโค ระบบการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะโคในพ้ืนท่ีสวนป่าพื้นท่ีสวนมะพร้าว สวนยางพารา ระบบการเลี้ยงสัตว์น้ำใน พนื้ ที่ปา่ ชายเลน 1) เศษเหลือของพชื จากการบริโภคของมนุษยใ์ ชเ้ ป็นอาหารสัตว์ และปลา 2) พืชยืนต้นช่วยบงั ลม บังแดด บงั ฝน ให้กับสตั ว์ 3) พชื สมุนไพรเป็นยารักษาโรคใหก้ บั สตั ว์ 4) ปลาชว่ ยกนิ แมลงศตั รูพชื วชั พืช ใหก้ บั พชื ทปี่ ลูกในสภาพน้ำทว่ มขงั เชน่ ข้าว 5) ปลาช่วยให้อินทรีย์วัตถุกับพืช จากการถ่ายมูลตกตะกอนในบ่อเล้ียงปลา ซ่ึงสามารถ นำมาใชเ้ ป็นปุ๋ยกับพืชได้ 6) ห่าน เปด็ แพะ ววั ควาย ฯลฯ ชว่ ยกำจัดวัชพืชในสวนไม้ผล ไม้ยืนตน้ 7) มูลสัตวท์ กุ ชนดิ ใชเ้ ปน็ ปุ๋ยกบั พืช 8) ผึ้งชว่ ยผสมเกสรในการตดิ ผลของพชื 9) จลุ ินทรยี ช์ ่วยยอ่ ยสลายซากพืชและสตั วใ์ ห้กลับกลายเป็นปุย๋ 10) แมลงศัตรูธรรมชาติหลายชนิด ช่วยควบคุมประชากรแมลงศัตรูพืชไม่ให้ขยายพันธ์ุมาก จนเกิดการแพร่ระบาด ต่อพชื ที่ปลูก 3. การเก้อื กลู กนั ระหวา่ งกิจกรรมการผลิตการเลยี้ งสัตว์กบั การเล้ยี งสัตว์ เป็นหลักการผสมผสานเช่นเดียวกับการผสมผสานระหว่างพืช เนื่องจากสัตว์ชนิดหนึ่งจะมี ความสัมพันธก์ บั สัตว์อกี ชนิดหนึ่ง และเกย่ี วขอ้ งกบั สง่ิ มีชีวิตอื่น ๆ เช่น พชื และจลุ นิ ทรีย์ ตวั อย่างของระบบการ ผสมผสานการเลี้ยงสัตว์ เช่น การเล้ียงหมูควบคู่กับปลา การเลี้ยงเป็ด หรือไก่ร่วมกับปลา การเลี้ยงปลาแบบ ผสมผสาน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การผสมผสานการเล้ียงสัตว์เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถสร้างระบบท่ี สมบรู ณ์ ได้เหมอื นกับการผสมผสานการปลูกพชื และเล้ียงสัตว์ เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หนา้ 19

3. การเตรยี มการผลิตในแตล่ ะกจิ กรรมการผลติ ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน ก่อนอ่ืนต้องดูสภาพดินก่อน ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร สภาพดินเหมาะกับการปลูกพืชอะไรได้บ้างการ เล้ียงสัตว์ต่าง ๆ เม่ือรู้แล้วว่าจะปลูกพืชอะไร ก็ดูว่า สัตว์ที่จะเล้ียงน้ัน เอ้ือประโยชน์กับพืชที่ปลูกอย่างไรบ้าง ใชเ้ ป็นอาหารหรือใชป้ ระโยชนอ์ ะไรจากพชื และสตั ว์ มกี ารเออื้ ประโยชนต์ อ่ กนั อย่างไร 3.1 การกำหนดชนิด และปริมาณของปัจจัยการผลิตที่ต้องใช้ในการระบบการเกษตรแบบ ผสมผสาน กำหนดชนิดพืช และแนวทางการใช้ประโยชน์ หลังการทำการสำรวจสภาวะความต้องการของตลาด ในท้องถ่ินและค้นคว้าหาข้อมูลพืชท่ีจะผลิตแล้ว จึงถึงข้ันตอนการตัดสินใจกำหนดชนิดพืชที่จะปลูก ซ่ึงควร คำนึงถึงฤดูกาลและสภาพพื้นที่ว่าเหมาะสมกับลักษณะนิสัยของพืชหรือไม่ มสี ภาพปัจจัยต่าง ๆ เหมาะแก่การ เจริญเติบโต มีปัญหาจากแมลงศัตรูพืชน้อยจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติบำรุงรักษา เพื่อลดต้นทุน การผลิต ส่วนการใช้ประโยชน์ของผลผลิตพืช ผู้ปลูกควรกำหนดวัตถุประสงค์การผลิตก่อน ว่าเม่ือผลิตแล้ว นำไปบริโภคในครัวเรือนหรือผลิตเพ่ือการจำหน่ายและมีช่องทางการตลาดมากน้อยเพียงใด ผู้ผลิตคว รตอบ คำถามเหล่านี้ให้ได้ เชน่ ผลิตพืชชนิดนแ้ี ล้วจะขายใหใ้ คร ขายท่ีไหน ขายเมื่อไหร่ ผลิตที่ขายมีจำนวนเทา่ ใด ถ้า เรากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ผลผลิตพืชที่ปลูกชัดเจนแลว้ ทำให้ผลิตสามารถวางแผนเตรียมการผลิตไว้ ลว่ งหน้า ลดความเส่ยี งต่อภาวะขาดทนุ ได้เปน็ อย่างมาก 3.2 รูปแบบการทำแผนผังการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน ภาพท่ี 4.1 แผนผงั รูปแบบแปลงเกษตรผสมผสาน เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนบ้านบางสาน หนา้ 20

ภาพที่ 4.2 แผนผงั รูปแบบแปลงเกษตรผสมผสาน เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หนา้ 21

บทที่ 5 เรอ่ื ง การจัดการฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน 1. ความร้เู กยี่ วกบั การจดั การฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน 1.1 ความหมายของการจัดการฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน การจัดการฟาร์ม (Farm Management) หมายถึง การจัดการทรัพยากรของหน่วยธุรกิจฟาร์มที่มีอยู่ จำนวนจำกัด (ทดี่ ิน แรงงาน ทุน) ในการผลิตพืช และสตั ว์ เพ่อื ให้ได้มาซ่ึงวตั ถุประสงค์ท่ีฟารม์ ต้องการ ภายใต้ ความเสี่ยง และความไมแ่ นน่ อน โดยการจัดการอย่างมีประสทิ ธภิ าพ เพือ่ ให้มรี ายไดต้ ่อเนอ่ื ง และกำไรสงู สดุ 1.2 ความสำคัญของการจัดการฟาร์มเกษตรแบบผสมผสาน 1) บริหาร และจัดการทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจำกัด และเป็นแนวทางแก้ปัญหา กิจกรรมภายใน ฟารม์ 2) การใช้ปจั จยั การผลติ ในฟารม์ ใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพสูงสดุ 3) การคดั เลือกกจิ กรรมการผลิตให้สอดคล้องกับทรัพยากรท่ีมอี ยู่ ตลอดจน ความร้คู วามสามารถ และทักษะของเจ้าของฟารม์ 4) การจัดการด้านแรงงาน และเงินทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด เน่ืองจากสภาพ ปัจจุบันแรงงาน ครัวเรือนและแรงงานจ้างค่อนข้างจำกัด ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาจึงจำเป็นต้องใชเ้ งินทุนเข้ามาช่วย สนบั สนุน ดังนนั้ การจัดการจงึ เน้นการควบคุมดูแลและการกำกบั ใช้ปจั จยั แรงงานและเงนิ ทุน 5) พ้ืนท่ีการเกษตรเร่ิมมีขนาดเล็กลง และทรัพยากรเร่ิมจำกัดไม่ว่าพ้ืนท่ีหรือ แรงงาน จึง จำเป็นต้องเพ่ิมธุรกิจภายในฟาร์มท่ีมีขนาดเท่าเดิมให้มากขึ้น โดยอาศัยการจัดการฟาร์ม ที่ถูกต้องและ เหมาะสม 6) การวางแผน และการวิเคราะห์ฟาร์ม เพื่อจะได้กำหนดทิศทางการผลิตให้ สอดคล้องกับ ทรพั ยากร และความต้องการของตลาด สิง่ สำคญั ให้เกิดความเสีย่ งน้อยท่ีสดุ 7) เน่ืองจากการตลาดนำหน้าการผลิต ดังน้ันการจัดการฟาร์มนำหน้าการผลิต การจัดการฟาร์ม จึงต้องตระหนกั ถึงระบบการตลาด การซื้อขายผลผลติ ช่วงระยะเวลา และคุณภาพของผลผลติ 1.3 หลกั การการจดั การฟารม์ เกษตรแบบผสมผสาน 1) เกษตรกรต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ ระหว่างรายรบั -รายจ่าย โดยรายรับขึ้นอยกู่ ับการวางแผน จะผลิตอะไร จำนวนเท่าใด ผลิตเมื่อไร เลือกใช้วิธีการผลิตแบบใด และการคาดคะเนผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับ จากการผลิตแตล่ ะกจิ กรรม ซงึ่ มมี ากกวา่ จะต้องให้มตี ้นทุนทตี่ ่ำสดุ มีความเส่ยี งน้อยทส่ี ดุ และมกี ำไรสูงสุด 2) เกษตรกรต้องเตรียมความพร้อมกับสถานการณ์ความเส่ียงท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต ในด้านของ สภาพดินฟ้า อากาศ ปริมาณน้ำฝน ความแห้งแล้ง โรค และแมลง สภาวะการตลาดของผลผลิต มีความสำคัญ และ มีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบข้ันตอนการผลิตทางการเกษตร มีการหมุนเวียนนำสิ่งเหลือใช้ภายในฟาร์ม มาใชป้ ระโยชน์ทก่ี ่อใหเ้ กิดการสนับสนนุ เกอ้ื กูลประโยชน์ซึง่ กันและกนั โดยจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง ลด เอกสารประกอบการเรียนการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หนา้ 22

การใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ได้ผลิตผลที่ปลอดภัย จากสารพิษ ซงึ่ จะนำไปสู่ระบบการเกษตรทยี่ ง่ั ยืน 2. การจัดการกิจกรรมการเกษตร 2.1 การจัดการกจิ กรรมการปลูกพืช การปลูก และการบำรุงรักษา การผลิตพืชโดยทั่วไป ต้องให้พืชเจริญเติบโตและให้ผลผลิตสูงสุดเท่าที่ สามารถ ทำไดโ้ ดยหลักการพน้ื ฐานการเจริญเตบิ โตและการใหผ้ ลผลติ ของพชื ซ่งึ เกย่ี วข้องกับพันธุกรรมของพืช และส่ิงแวดล้อม ต่าง ๆ ที่พืชได้รับ พันธุกรรมของพืชเป็นปัจจัยภายในพืช ซ่ึงอาจเปล่ียนแปลงให้ดีข้ึนกว่าเดิม ได้โดยการปรับปรุง พันธุกรรม ส่วนสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยภายนอกพืช สามารถจัดการให้เหมาะสมกับความ ต้องการในการเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตของพืชได้หลายทาง ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะการ เจริญเติบโต การให้ผลผลิต และการตอบสนองของ พืชต่อปัจจัยต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ช่วยให้ผู้ผลิตพืชสามารถ เลือกวธิ ีการจดั การดูแลรักษาได้ดีย่ิงขึ้น ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูล ลักษณะความต้องการของพืช ข้อจำกัดของพืช หลกั การปลกู พชื การบำรุงรกั ษาพืช และการอารักขาพืช การเก็บเก่ียว และการปฏิบัติการหลังการเก็บเก่ียว เป็นขั้นตอนท่ีสำคัญอีกขั้นตอนหน่ึง ซึ่งต้อง พิจารณา ปจั จัยต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ปัจจยั ภายในตัวพืชและสิง่ แวดลอ้ ม หลักการเกบ็ เก่ียวและการปฏิบัติการหลงั การ เก็บเกี่ยวผลผลิต อาทกิ ารเก็บเก่ียวผลผลิตในช่วงเวลา และวิธที ่ีเหมาะสม เพอ่ื ให้ผลผลิตมีคุณภาพคงเดิมและ บอบช้าน้อยทีส่ ุด 1. การปฏิบตั ิดแู ลรักษาพชื ท่ปี ลูก การปฏิบัติดแู ลรักษา หมายถึง การดำเนนิ งานปฏิบตั ิดแู ล บำรงุ รักษาพืชที่ปลูกงานสำคัญไดแ้ ก่ การใหน้ ำ้ การพรวนดินใสป่ ุย๋ และการป้องกนั และกำจัดศัตรูพชื 1) การให้น้ำ การให้น้ำแก่พืชต้องให้ในปริมาณที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช การให้น้ำแก่พืชมากเกินไปหรอื น้อยเกนิ ไปอาจทำให้พชื ตายได้ 2) การพรวนดิน การพรวนดนิ ใสป่ ยุ๋ ช่วยใหพ้ ืชเจริญเตบิ โตได้เร็ว เพราะทำใหด้ นิ รว่ น โปรง่ และพชื ดดู ปุ๋ยไปใช้ไดส้ ะดวก 3) วิธใี ส่ปุ๋ย - ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เป็นปุ๋ยที่ได้จากปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำชีวภาพ การใส่ปุ๋ย อินทรีย์ควรใส่ในขณะพรวนดิน แล้วคลุกเคล้าดินกับปุ๋ยอินทรีย์ให้เข้ากัน สำหรับปุ๋ยน้ำชีวภาพใช้อัตราปุ๋ยน้ำ ชวี ภาพประมาณ 30 ซีซี ตอ่ น้ำ 20 ลิตร รดทกุ 5-7 วัน - ปุ๋ยเคมี เป็นปุ๋ยที่ใส่ให้กับพืช แล้วทำให้พืชแตกกิ่งก้านสาขาเร็วกว่าใช้ปุ๋ยอินทรีย์ แต่ปุ๋ยเคมีมีราคาแพง และมผี ลกระทบตอ่ ดนิ ปลูกทำให้ดนิ แข็งต้องปรบั ปรุงดินอยู่เสมอ ปุ๋ยเคมที ่ีใช้ส่วนมากใช้ สูตรผสม และใหก้ ับพชื แตล่ ะชนิดตามความต้องการของพชื 4) การปอ้ งกนั และกำจัดศตั รูพืช - ทำให้พืชแข็งแรงเจริญเติบโตเร็ว โดยการใส่ปุ๋ย ซ่ึงช่วยต้านทานต่อโรค และแมลง ไดด้ ี เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หน้า 23

- ควรปลูกพชื หมนุ เวยี น โดยการสลบั ปลูกพชื ชนดิ อน่ื บ้างในฤดกู าลต่อไป - ควรปลูกพชื ท่ีเจรญิ เติบโตได้ดี และเหมาะสมกับท้องถ่นิ นัน้ ๆ 2. การปลกู พืชผกั ไมผ้ ล ไม้ยนื ต้น พชื ไร่ และพืชสมุนไพร 1) การปลูกพืชผักสวนครัว ยังเป็นลักษณะไร่นาสวนผสม ตามแนวพระราชดำริ ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั อกี ดว้ ย ร้ัวรอบบา้ น คือ กระถนิ นอกจากนี้ยังมีชะอม มะนาว มะกรดู แคต้นเตี้ย ดอกดกตลอดปี ใกลบ้ ันไดบ้าน วางกระถางล้างเท้ารปู ส่ีเหลี่ยม ถัดไปเป็นมะละกอใหญ่ หลังบ้านมีบึงเล็ก เต็ม ไปด้วย กอบัวแดง พอสายหน่อยแดดจัด มันซ้อนกลีบกันกลายเป็นดอกตูม สายบัวน่ีกินได้แกงอร่อย ต้มกะทิก็ เยี่ยม เดินลงไปหน่อยก็เป็นบึง เด็ดยอดผักบุ้ง ผักกระเฉดมาต้มจ้ิมน้ำพริกสบายไม่ต้องเสียเงินไปซื้อผักปลาท่ี ไหน ขา้ งบ้านก็มีกล้วยหลากหลายพันธุข์ ึ้นกันดาษด่ืน ปะปนกับกระจับ กระเจี๊ยบ โหระพา กะเพรา ตะใคร้ ที่ ปลูกใกล้ๆ กับบ่อเลี้ยงปลานิล ช่อน ยี่สก ปลาดุก อยู่รวมกันได้ท้ังน้ัน เพียงแต่ต้องแบ่งเนื้อท่ีไว้ให้สำหรับ อนุบาลลูกปลาซักหน่อยไม่ตอ้ งใหญ่มากนัก ผักบุ้ง กระเฉดชว่ ยเปน็ ทหี่ ลบซอ่ นจากปลาใหญไ่ ดเ้ ปน็ อย่างดี 2) การปลูกไม้ผล ลักษณะการปลูก คือ ปลูกในสวนผลไม้ หรือพ้ืนท่ีท่ีมีบริเวณกวา้ งขวาง เพราะต้นไม้จะเป็นไม้ยืนต้น อายุการให้ผลยาวนาน วิธีการดูแลรักษาพิเศษกว่าปกติ ต้องใส่ปุ๋ยบำรุงดิน ตกแต่งกง่ิ และตรวจสอบดหู นอน แมลง ศัตรพู ืช ไมผ้ ล เชน่ มะมว่ ง เงาะ ทเุ รียน มังคุด ลำไย ฯลฯ 3) พืชไร่ หมายถงึ พืชที่ปลูกโดยใช้เนื้อที่มาก มีการเจริญเติบโตเร็ว ไม่ต้องการดูแลรักษา มากเหมือนพืชสวน ส่วนใหญ่เป็นพืชล้มลุก มีอายุตั้งแต่ 2 เดือน ถึง 1 ปี หรือมากกว่า ผลผลิตของพืชไร่มี ความสำคัญทางเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของคนไทย โดยใช้บริโภคเป็นอาหารหลัก และส่งเป็นสินค้าออก จัดเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ ซ่ึงสามารถนำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมากเช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย ถั่ว ต่าง ๆ ยาสูบ ฝา้ ย มันสำปะหลัง เปน็ ต้น 4) การปลูกไม้ยืนต้นชนิดใดชนิดหนึ่งมักมุ่งหวังในด้านใดด้านหน่ึงเฉพาะ แต่ก็มักมี ผลประโยชนพ์ ลอยได้อยา่ งอ่ืนตามมาด้วย เชน่ - ต้นไม้ท่ีสามารถนำไม้มาแปรรูปเป็นแผ่น และท่อนไม้ เช่น ต้นสัก ต้นพยุง ต้น ชิงชัน ต้นประดู่ ต้นตะเคียน ต้นกระถินเทพา ต้นมะค่า ต้นเต็ง ต้นสะเดา ต้นจามจุรี ต้นจำปาป่า ต้น มะฮอกกานี - ตน้ ไมท้ ี่นิยมนำมาสกดั ยาง และนำ้ มันหอมระเหย เช่น ตน้ ยางพารา ตน้ กฤษณา - ต้นไม้ท่ีนิยมนำมาไม้มาทำเป็นกระดาษ ได้แก่ ไม้ยูคาลิปตัส ไม้กระถิน ไม้กระถิน เทพา ไม้สะเดา เปน็ ต้น เป็นลกั ษณะของไมโ้ ตเรว็ ทมี่ เี นือ้ เยื่อ และแก่นไมแ่ ข็งมากนกั 5) สมุนไพร และเคร่ืองเทศ เป็นกลุ่มของพืชผักท่ีสามารถใช้ทั้งในการประกอบอาหาร เพ่ือให้อาหารมีสี รสชาติ กล่ินตามต้องการ รวมถึงการเพิ่มสรรพคุณทางยาของอาหาร มักเป็นพืชท่ีให้ กล่ิน แรง มีรสเผ็ดร้อน โดยส่วนมากจะใช้ส่วนผล หัว และรากมาใช้ประโยชน์ และเป็นพืชในท้องถิ่น เช่น ขิง พริก ไท ดีปลี กระชาย ขา่ ตะไคร้ ขมิ้น ฯลฯ เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หน้า 24

3. การใช้ประโยชน์ และการจัดจำหน่ายพืชท่ีปลูก 1) การใชป้ ระโยชนจ์ ากพชื ท่ีปลูก ไดแ้ ก่ อาหาร ยารกั ษาโรค สรา้ งบา้ น เปน็ ปยุ๋ บำรงุ ดิน ช่วย ป้องกนั หนา้ ดนิ พงั ทลาย ฯลฯ 2) การส่งจำหน่ายผัก มักส่งจำหน่ายในพ้ืนที่ตัวเมืองของจังหวัด บางส่วนท่ีเป็นแปลงขนาด ใหญม่ ักมพี อ่ คา้ คนกลางเขา้ รับถึงพ้ืนที่ เพ่ือสง่ จำหน่ายยังตัวเมืองในจังหวัดต่าง ๆ รวมถึงกรงุ เทพฯ และภาคใต้ ซึ่งมีพน้ื ทน่ี อ้ ยในการปลูกผัก 2.2 การจัดการกจิ กรรมการเล้ยี งสัตว์ การเล้ียงสัตว์ ห มายถึง การป ฏิ บั ติเก่ียวกับ การเลี้ยงดู การให้ อาห าร การท ำ ความสะอาดท่ีอยู่อาศัย การป้องกันและรักษาโรคของสัตว์ เพื่อให้สัตว์เจริญเติบโต สมบูรณ์แข็งแรง และให้ผลผลติ ตอบแทนสูงสุด 1. การปฏิบตั กิ ารเลย้ี งสตั ว์ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1) การใหอาหาร ตองใหอาหารแกสัตวเลยี้ งอยางถกู ตองและเหมาะสม 2) มนี ้ำสะอาดไวใหสตั วดม่ื กนิ อยางเพียงพอตลอดเวลา 3) หม่ันทำความสะอาดคอกสัตว อุปกรณตาง ๆ อยาใหสกปรก รกรุงรังหรือมีกล่ินเหม็น รบกวนสตั วและผูอยูขางเคียง 4) ทำความสะอาดตัวสัตวตามชนิดของสัตว เชน การอาบน้ำ การตัดขน ตัดเล็บ หรือตัดกีบ สัตว เป็นต้น 5) การปองกนั กำจดั ศตั รตู าง ๆ เชน 1 ไมปลอยใหสตั วอื่นมารบกวนสัตวท่เี ลีย้ งไว 2 กำจัดศตั รูภายนอก พวกเหา เหบ็ ไร ไมใหรบกวนสัตวเลีย้ ง 3 การใหวัคซนี ตามชนดิ ของสัตวเลี้ยง 4 การใหยารกั ษาโรคตาง ๆ และการรกั ษาบาดแผล 5 การปองกนั โรคจากที่อ่ืนเขามาในทเ่ี ลี้ยงสตั ว เชน มที ล่ี างเทาหนาคอกสตั วเปน็ ต้น 6 สัตวที่เจ็บปวยใหแยกเลีย้ งตางหาก รีบรักษา หรอื ปรกึ ษาสัตวแพทย 7 สัตวทีต่ ายดวยโรคอยานำมาบริโภคเพราะจะทำใหเชื้อโรคแพรระบาด และอาจเป นอันตรายตอผูบรโิ ภคได 6) การปองกนั ลมฝน เพราะเปนอนั ตรายตอสัตวเล้ียงบางชนดิ 7) อยาใหสัตวเลี้ยงอยูอยางเบยี ดเสยี ดมากจะเกดิ ความเครียด และทำรายกนั เอง 8) ปองกนั อยาใหสัตวตกใจ แตกตน่ื จะเปนอันตรายหรือใหผลติ ผลนอยลง 9) ตรวจตราโรงเรือนและอุปกรณตาง ๆ อยูเสมอ หากชำรุดตองรีบซอมแซม เพื่อไมใหเกิด อันตรายตอสตั วเล้ยี ง เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หนา้ 25

2. การใชป้ ระโยชน์ และการจัดจำหนา่ ยการเล้ยี งสัตว์ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1) ช่วยให้ผู้เล้ียงมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี เพราะการเลี้ยงสัตว์เป็นการ ฝกึ ฝนให้ผู้เลยี้ งเป็นผู้ท่ีมีความเมตตากรุณาต่อสตั ว์ ทำให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียด และมีสุขภาพจิตท่ีดี ใน ขณะเดียวกันการเล้ียงสัตว์ยังเป็นการออกกำลังกายในการปฏิบัติดูแลรักษาสัตว์เลย้ี งทำให้ผเู้ ลย้ี งมีสุขภาพกาย ท่ดี ีอีกด้วย เช่น การพาสุนัขเดนิ เล่น การล้างและการจัดแต่งตูป้ ลา การทำความสะอาดกรงนก เป็นต้น 2) ช่วยให้ผู้เลี้ยงมีอาหารไว้รับประทานภายในครอบครัว ในกรณีที่เล้ียงสัตว์เพ่ือเป็นอาหาร เชน่ การเลย้ี งไกเ่ พอ่ื นำเนอ้ื และไขม่ าเป็นอาหาร 3) ช่วยให้ผู้เลี้ยงมีแรงงานจากสัตว์ไว้ช่วยในการทำงาน เพราะการทำการเกษตรบางอย่างยัง ตอ้ งอาศัยแรงงานจากสัตว์ เชน่ การใช้แรงงานจากควายในการไถพรวนดนิ เพื่อปลูกพืช การใช้แรงงานจากช้าง ในการลากท่อนซุง 4) ช่วยให้มีปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์มาใช้ในการปลูกพืช เช่น มูลวัว มูลควาย มูลเป็ด-ไก่ มูล คา้ งคาว 5) การเลี้ยงสัตวท์ กุ ประเภทผู้เล้ียงสามารถยึดเป็นอาชพี ได้ เชน่ การสตั ว์เพ่ือจำหน่าย 6) การจำหน่ายมีพ่อคา้ คนกลางมารบั ซอื้ ถงึ ฟาร์ม จัดจำหนา่ ยไดใ้ นตลาดในเมอื ง จัดจำหนา่ ย ในตลาดท้องถิน่ เปน็ ต้น 2.3 การจัดการกิจกรรมการเล้ียงสัตว์นำ้ การเล้ียงปลาร่วมกับการเล้ียงสัตว์ และปลูกพืชในพ้ืนที่ใดพื้นที่หน่ึงเป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นดิน และน้ำที่มีอยู่ให้มากที่สุดแลให้กิจกรรมนั้น ๆ สามารถใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ อย่างเต็มที่ ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นนั้น เพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้นและพยายามลด ตน้ ทุนในการผลิตให้มากทีส่ ดุ เท่าทจ่ี ะทำได้ รวมท้ังไม่กอ่ ให้เกิดผลเสยี ตอ่ สภาวะ แวดลอ้ ม และคงดำรงผลผลิต อย่ไู ดย้ าวนาน การปฏิบัติการเลี้ยงสัตว์น้ำในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน บ่อที่เล้ียงปลาท่ีกินอาหารไม่ เลือก กินพืช และกินแพลงตอน ควรเติมน้ำให้ได้ระดับ 1-2.50 เมตรอยู่เสมอ หากมปี ลาตัวใดที่กินอาหารได้ น้อยลงหรือลอยหัวควรจะถา่ ยน้ำ เปลี่ยนน้ำอย่างน้อยเดือนละ 1-2 คร้ัง อาจสามารถสังเกตได้จากสีของน้ำ และการลอยหวั ของปลา การระบายน้ำของบ่อควรระบายส่วนล่างของก้นบ่อซึ่งจะเป็นส่วนทีเ่ น่าเสยี มากกว่าบนผิวน้ำ ในกรณี ที่บ่อปลาไม่สามารถระบายน้ำได้เลยจะต้องระมัดระวังในการให้อาหารในปริมาณที่พอเหมาะ น้ำจะได้ไม่เน่า เสียเร็ว บางคร้ังเราอาจสามารถใส่เกลือแกงลงไปเพื่อช่วยปรับสภาพของน้ำ ในอัตราส่วนประมาณ200- 300 กก./ไร่ 1 การเลี้ยงปลาแบบผสมผสานร่วมกับการเลีย้ งสัตว์และปลูกพชื 1) การเลี้ยงปลาร่วมกับการปลูกพืช เนื่องจากการเลี้ยงปลาเป็นเวลานาน ๆ บ่อจะเสื่อม โทรมจากโคลนเลน ซ่ึงสะสมอาหารที่เหลือจากปลา โคลนเลนในบ่อจึงเกิดการอุดมสมบูรณ์ทีจ่ ะเป็นประโยชน์ เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนบ้านบางสาน หนา้ 26

ตอ่ พืชผักต่าง ๆ และสามารถกลับไปเป็นอาหารของปลาต่อไป ปุ๋ยโคลนเหลา่ น้จี ะชว่ ยเพม่ิ ความหนาของดนิ ใน การปลกู พชื ชว่ ยปรับโครงสรา้ งส่วนประกอบของดนิ ท่ดี ูดซับ NPK และยังทำให้ดนิ อมุ้ น้ำได้ดขี น้ึ 2) การเลี้ยงปลาร่วมกับการเล้ยี งเป็ด มูลเป็ดเปน็ ปุ๋ยซึ่งจะช่วยให้เพิ่มผลผลิตทางชีววิทยา และชว่ ยเพม่ิ อาหารธรรมชาติใหก้ บั ปลาหรอื เปน็ อาหารโดยตรง กล่าวคอื มูลเป็ดกอ่ ใหเ้ กิดแพลงค์ตอนพชื และ แพลงค์ตอนสัตว์ตลอดจนสัตว์หน้าดิน การว่ายน้ำและการใช้อาหารของเป็ด ช่วยเพ่ิมอกซิเจนในน้ำ และช่วย ให้ธาตุอาหารในดินกระจาย ละลายน้ำเป็นประโยชน์ในการผลิตอาหารธรรมชาติ อาหาร และเศษอาหารที่ใช้ เล้ียงเปด็ ยังเป็นอาหารปลาหรอื บางสว่ นจะกลายเปน็ ปยุ๋ พนั ธ์ุปลาท่ีเหมาะสมในการเลี้ยงรว่ มกับเป็ด ควรเป็นพันธ์ุที่กินอาหารไม่เลือก หรือกินแพลงค์ตอน เช่น ปลานิล นวลจันทร์เทศ และ ปลาซ่ง โดยใช้ปลานิลเป็นหลัก ลูกปลาควรมีขนาด 5-7 ซ.ม. อัตรา 3,000 ตัว/ไร่/เป็ดไข่ 240 ตัว การเลี้ยง เป็ดกับปลาสวายนั้นควรปล่อยเป็ดลงในบ่อ หลังจากเลี้ยงปลาสวาย 2 เดือน ปลาจะมีขนาดพอท่ีเป็นไม่ สามารถกนิ เปน็ อาหารได้อาหารทใ่ี ช้เล้ยี งเป็นมสี ว่ นผสมคอื ปลายข้าว 50% รำละเอยี ด 30% หัวอาหาร 20% 3) การเล้ียงปลาร่วมกับการเลี้ยงไก่ จุดประสงค์ของการเล้ียงคล้ายคลึงกับการเล้ียงปลา รว่ มกับเป็ด คือใช้มูลเพ่ือเป็นอาหารปลาและเป็นปุ๋ยช่วยก่อให้เกิดอาหารธรรมชาติ ที่จะใช้เป็นอาหารปลาอีก ทอดหน่ึง มูลไก่ท่ีขับถ่ายต่อวันจะมีประมาณ 24-106 กิโลกรัม/ไก่ 1,000 ตัว บ่อที่ใช้เล้ียงปลาร่วมกับไก่ ควร เป็นบอ่ ดนิ ที่สามารถเกบ็ กักนำ้ ไดโ้ ดยเฉล่ีย 1-1.50 เมตร ในชว่ งของการเลี้ยงร่วมกบั ไก่ เล้าไกค่ วรสร้างครอ่ ม บ่อปลา เพื่อประโยชน์ในการใช้พ้ืนที่ และการใช้มูลไกห่ รือเศษอาหารในการเล้ียงปลาโดยตรง การนำลูกไก่มา เล้ยี งควรเริ่มหลงั จากการเตรียมบ่อปลาและน้ำมีสเี ขียวดีแล้ว ทั้งนเี้ พอื่ ให้มลู ไก่ตกลงส่บู ่อปลา ลูกปลาจะได้กิน อาหารอยา่ งต่อเน่ือง ควรเลือกลูกปลาท่ีมีลกั ษณะแข็งแรงขนาดไลเ่ ล่ียกัน ขนาดลูกปลากินพืช และกินไม่เลือก ควรเปน็ 2 นวิ้ และลูกปลาดกุ ควรมขี นาด 1 น้ิว ตารางท่ี 5.3 พนั ธ์ุปลา และอัตราส่วนในการเลยี้ งปลาร่วมกบั ไก่ ชนิดไก่ จำนวน(ตวั /บ่อ 1 ไร่) ชนิดของปลา ขนาด (ซ.ม.) จำนวน (ตัว/ไร่) ไก่พนั ธุเ์ น้อื 1,000 นลิ 3-5 3,000 3-5 1,500+1,500 ไกพ่ นั ธุไ์ ข่ 200 นิล,สวาย 3-5 3,000 นลิ +สวาย+ตะเพียน+ ยี่สก+นวลจนั ทร+์ จนี ดกุ บ้กิ อุย 3-5 40,000 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนบา้ นบางสาน หนา้ 27

หลงั จากการเริม่ การเลีย้ งแลว้ ควรมกี ารควบคุมปริมาณมูลไก่ทป่ี ลอ่ ยลงบ่อปลาเพื่อลดการเน่าเสียของ น้ำ การดูดน้ำและเลนก้นบ่อออกหลังการเล้ียงผ่านไประยะหนึ่ง แล้วเพิ่มน้ำในระดับเดิม จะช่วยให้สภาพน้ำ ในบอ่ เหมาะแกก่ ารเจรญิ เตบิ โตของปลาย่ิงข้ึน 4) การเล้ียงปลารว่ มกับการเล้ียงสกุ ร ประโยชนข์ องการใชม้ ูลสกุ รในบ่อปลา มูลของสุกร จะเป็นอาหารของปลาสวายโดยตรง ลดต้นทุนการผลิตปลาสวายอย่างมากช่วยให้เพ่ิมอาหารธรรมชาติให้แก่ ปลา ชว่ ยลดมลู สุกรทตี่ กค้างอันจะก่อให้เกิดการแพร่กระจายของเช้อื โรคและพยาธิ ส่คู นและสกุ รที่เลี้ยง ตารางท่ี 5.4 พันธ์ุปลาและอตั ราสว่ นในการเลีย้ งรว่ มกบั สกุ ร จำนวนสุกร ชนดิ ปลา ขนาด (ซ.ม.) จำนวน (ตัว/ไร่) หมายเหตุ 3-5 3,200 เล้ยี งชนดิ เดียว 8-16 ตวั นลิ 3-5 3,200 เลี้ยงชนิดเดียว สวาย 5) การเล้ียงปลาร่วมกับการเล้ียงวัว มูลวัวจะมีความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุต่าง ๆ คุณค่าสารอาหารจะต่ำกว่ามูลหมูเล็กน้อย ค่าเฉลี่ยของจำนวนพืชน้ำ และไรน้ำที่เป็นอาหารธรรมชาติของ ปลา ในบ่อที่มีการใส่มูลวัวจะมีค่าสูงกว่าที่บ่อไม่ได้ใส่ปุ๋ย ทำให้ปลาท่ีกินอาหารทุกอย่างและปลาที่กินแพลงค์ ตอนเจรญิ เติบโตได้อยา่ งรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าซ้ือปุย๋ และอาหารปลารวมทัง้ เป็นการประหยัดพลังงาน และรักษาส่ิงแวดล้อม พันธุ์ปลาท่ีเล้ียงในบ่อท่ีใช้มูลวัวควรแยกเป็น ปลากินพืช เช่น ปลาเฉา ปลาตะเพียน ฯลฯ 10% เล้ียงรวมกับปลากินแพลงค์ตอน เช่น ปลาถ่ิน,ปลาซ่ง และปลาที่กินได้หลายอย่าง เช่น ปลา ไน 90% โดยอตั ราการใช้มูลววั ไม่เกนิ 300-450 กิโลกรมั /ไร่/เดือน ตารางที่ 5.5 การปล่อยปลาในอตั ราการปล่อยทเ่ี หมาะสมต่อสัตวเ์ ลี้ยง ชนดิ สัตว์ ขนาด (นวิ้ ) จำนวน (ตวั /ไร่) ปลานลิ 1 นวิ้ – 2 นิ้ว 3,000 ปลาตะเพียน 1 นิ้ว – 2 นิ้ว 3,000 ปลาสวาย 1 น้ิว – 2 นว้ิ 3,000 เป็ด 300-500 ไก่ไข่ 200-300 ไก่พนั ธ์ุเนือ้ 1,000 สุกร 8-16 เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หน้า 28

2 การใช้ประโยชน์ และการจัดจำหน่ายการเล้ียงสตั วน์ ้ำในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1) สามารถใช้ประโยชน์ของดินได้เต็มท่ี ดินรอบ ๆ บ่อใช้ปลูกพืชผัก และใช้เป็นท่ีสร้างคอก สตั ว์ สว่ นน้ำในบ่อนอกจากใชเ้ ลย้ี งปลาแล้วยังปลูกพชื อ่ืน ๆ ไดอ้ ีก เชน่ ผกั บงุ้ ฯ 2) เศษเหลอื ของพชื และสัตว์สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก เช่น มูลสัตว์ เศษอาหารสัตว์ เศษผัก หญ้าต่าง ๆ ซึ่งถ้าตกลงไปในบ่อก็จะกลายเป็นอาหารปลาและเป็นปุ๋ยสำหรับเติมบ่อปลา ขณะเดียวกันโคลน เลนกน้ บอ่ กส็ ามารถนำมาปลูกพืชต่าง ๆ ได้ดี การนำของเศษเหลอื ของเสียต่าง ๆ กลับมาใชอ้ ีกนี้เปน็ การกำจัด ของเสียและช่วยลดค่าใช้จ่ายตา่ ง ๆ เช่น ค่าอาหารปลา ค่าอาหารสตั ว์ คา่ ปุ๋ย 3) เป็นการเพ่ิมผลผลิตและเพิ่มรายได้ สามารถใช้บริโภคภายในครอบครัว ถ้าเหลือก็สมารถ นำออกขายเกิดเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินการต่อไป และเป็นการใช้แรงงานภายในครอบครัวให้เป็ น ประโยชน์ 4) ลดอัตราการเส่ียงต่อการขาดทุนได้ดีกว่าการเลี้ยงปลา เล้ียงสัตว์ หรือปลูกพืชอย่างเดียว และเป็นการลดตน้ ทนุ เพราะกิจกรรมแตล่ ะอยา่ งต้องพ่ึงพากัน 5) ก่อใหเ้ กิดรายไดห้ มุนเวยี นจากการจำหนา่ ยผลผลติจากฟาร์มตลอดปี 6) ไม่มีผลกระทบด้านลบต่อระบบนิเวศน์ วิทยา และระบบการผลิต การบริโภค-การใช้ ทรัพยากรในท้องถ่ินมีความสมดุลทำให้ระบบการทำฟาร์มดำเนินต่อเน่ืองได้นานที่สุดโดยไม่เกิดปัญหา จึงอา จะเรียกอีกอยา่ งหนงึ่ ว่า ระบบเกษตรกรรมทีย่ ่ังยืน 7) การจำหน่ายได้ในตลาดในเมือง ตามภัตตาคาร ส่วนสัตว์น้ำขนาดเล็กคุณภาพต่ำจัด จำหน่ายในตลาดท้องถิน่ และมีพ่อค้ามาซ้อื ถึงทีฟ่ าร์ม เป็นตน้ 3. การผสมผสานกิจกรรมการผลิตในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 3.1 ปฏิสมั พนั ธก์ ิจกรรมการผลติ ในระบบการเกษตรแบบผสมผสาน 1. การเกษตรผสมผสานท่ีมีปฏิสมั พนั ธเ์ ชิงเก้ือกลู 1. เกอ้ื กลู กันระหว่างพืชกบั พืช 1) พชื ตระกูลถัว่ ช่วยตรงึ ธาตุไนโตรเจนใหก้ บั พชื ชนิดอืน่ 2) พชื ยนื ตน้ ให้ร่มเงากับพืชท่ีตอ้ งการแสงแดดน้อย เช่น กาแฟ โกโก้ ชา สมนุ ไพร ฯลฯ 3) พืชเป็นอาหารและท่ีอยู่อาศัยให้กับแมลงศัตรูธรรมชาติ เพ่ือช่วยกำจัดศัตรูพืชไม่ให้ เกิดระบาดกับพืชชนิดอื่น ๆ เช่น การปลูกถั่วลิสงระหว่างแถวในแปลงข้าวโพดจะช่วยให้แมลงศัตรูธรรมชาติ ไดม้ าอาศยั อยูใ่ นถว่ั ลิสงมาก และจะช่วยกำจดั แมลงศัตรขู องข้าวโพด 4) พืชยืนต้นเป็นท่ีอยู่อาศัยและอาหารแก่พืชประเภทเถา และกาฝาก เช่น พรกิ ไทย พลู ดปี ลี กล้วยไม้ ฯลฯ 5) พืชที่ปลูกแซมระหว่างแถวพืชหลัก จะช่วยป้องกันไม่ให้วัชพืชขึ้นแย่งอาหารกับพืช หลักที่ปลูก เชน่ การปลกู พชื ตระกลู ถั่วเศรษฐกิจในแถวข้าวโพด มันสำปะหลัง ฝ้าย เป็นต้น เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หนา้ 29

6) พืชแซมระหว่างแถวไม้ยืนต้นในระยะเริ่มปลูกจะช่วยบังลมบังแดด และเก็บความช้ืน ในดินให้กับพืชยนื ต้น เชน่ การปลกู กล้วยแซมในแถวไม้ผลตา่ ง ๆ ในแถวยางพารา เป็นต้น 7) พืชช่วยไล่และทำลายแมลงศัตรูพืชไม่ให้เข้ามาทำลายพืชที่ต้องการอารักขา เช่น ตะไคร้หอม ถั่วลสิ ง ดาวเรือง แมงลัก โหระพา หม้อขา้ วหมอ้ แกงลิง ฯลฯ 2. เกือ้ กูลกันระหว่างพืช สัตว์ ประมง 1) เศษเหลือของพืชจากการบรโิ ภคของมนุษยใ์ ช้เปน็ อาหารสตั ว์และปลา 2) พืชยนื ตน้ ช่วยบังลม บงั แดด บังฝน ให้กับสัตว์ 3) พชื สมนุ ไพรเปน็ ยารกั ษาโรคให้กับสัตว์ 4) ปลาช่วยกนิ แมลงศตั รพู ชื วัชพืช ให้กบั พชื ทปี่ ลูกในสภาพนำ้ ทว่ มขัง เช่น ขา้ ว 5) ปลาช่วยให้อินทรียวัตถุกับพืช จากการถ่ายมูลตกตะกอนในบ่อเลี้ยงปลา ซ่ึงสามารถ นำมาใช้เป็นป๋ยุ กับพชื ได้ 6) หา่ น เปด็ แพะ วัว ควาย ฯลฯ ช่วยกำจัดวชั พืชในสวนไม้ผล ไมย้ ืนต้น 7) มลู สตั วท์ ุกชนดิ ใชเ้ ปน็ ปยุ๋ กบั พชื 8) ผง้ึ ชว่ ยผสมเกสรในการติดผลของพืช 9) แมลงทีเ่ ปน็ ประโยชนห์ ลายชนิดไดอ้ าศยั พืชเป็นอาหารและท่ีอยู่อาศยั 10) จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายซากพืชและสตั ว์ให้กลับกลายเป็นป๋ยุ 11) แมลงศัตรูธรรมชาติหลายชนิด ช่วยควบคุมประชากรแมลงศัตรูพืชไม่ให้ขยายพันธ์ุ มากจนเกิดการแพร่ระบาด ตอ่ พชื ทป่ี ลกู 2. การเกษตรผสมผสานที่มีปฏิสัมพนั ธ์เชงิ แข่งขนั ทำลาย 1. แขง่ ขันทำลายระหว่างพืชกบั พชื 1) พืชแย่งอาหาร น้ำและแสงแดด กับพืชอ่ืน เช่น การปลูกยูคาลิปตัสร่วมกับพืชไร่และ ข้าว ซึ่งมีการศึกษาพบว่า ยูคาลิปตัสแย่งน้ำธาตุอาหารจากต้นปอและข้าว เป็นต้น มีผลทำให้พืชเหล่าน้ันได้ ผลผลติ ลดลง 2) พืชเป็นอาหารและทอี่ ยู่อาศัยอย่างต่อเน่ืองของศตั รูพืชและพืชในนิเวศน์เดียวกัน เช่น ขา้ วโพดเปน็ พืชอาศัยของ หนอนเจาะสมออเมริกนั และเพลีย้ อ่อนของฝา้ ย 2 แขง่ ขันทำลายระหวา่ งพืช สตั ว์ ประมง 1) การเล้ียงสัตว์จำนวนมากเกินไป จะให้ปริมาณพืชทั้งในสภาพท่ีปลูกไว้และในสภาพ ธรรมชาติไม่เพยี งพอ เกดิ ความไม่สมดุล ซ่ึงจะมีผลตอ่ สภาพแวดล้อมเส่อื มลงได้ 2) มูลสัตว์จากการเลี้ยงสัตว์มีจำนวนมากเกินไป เช่น การเล้ียงหมูมากเกินไปมีการ จัดการไม่ดีพอ จะเกิดมลพิษต่อ ทรัพยากรธรรมชาติรอบด้านท้ังในเร่ืองของน้ำเสีย อากาศเป็นพิษหรือการ เล้ียงกุ้งกลุ าดำในหลายท้องทีก่ ป็ ระสบ ปญั หาเกิดภาวะนำ้ เนา่ เสีย เป็นตน้ 3) การใชส้ ารเคมกี ำจัดศัตรูพืชจะเกิดพิษตกค้างในน้ำ และผลติ ผลที่เป็นพิษต่อสัตว์ และ ปลา เอกสารประกอบการเรียนการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หน้า 30

4) การปลูกพืชเพื่อให้ผลผลิตอย่างใดอย่างหน่ึงสูงสุด กำไรสูงสุด โดยมีการใช้ปัจจัยการ ผลติ หลายด้านรวมทงั้ สารเคมีตา่ ง ๆ จะมีผลทำใหส้ ภาพแวดล้อมของสตั ว์ท่ีเปน็ ประโยชน์ เช่น แมลงศัตรูธรรมชาติลดจำนวนลง เปิด โอกาสให้ศัตรูพืชเพิ่มปริมาณขึ้น และจะทำความเสยี หายใหแ้ ก่พชื ปลกู เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบางสาน หนา้ 31

บทท่ี 6 เรือ่ ง การประยุกตใ์ ชห้ ลกั การเกษตรทฤษฎใี หม่ และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในการทำการเกษตรผสมผสาน 1. เกษตรทฤษฎีใหม่ 1.1 หลกั การของเกษตรทฤษฎีใหม่ 1. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเล้ียงตัวเองได้ในระดับ ที ประหยัดก่อน ท้ังน้ี ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบด้ังเดมิ เพอ่ื ลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการจา้ งแรงงานด้วย 2. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังน้ัน จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่ง ทำนาประมาณ 5 ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซ้ือหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่าง มีอสิ รภาพ 3. ต้องมีน้ำเพ่ือการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนท้ิงช่วงได้อย่างพอเพียง ดังน้ัน จึงจำเป็นต้องกันท่ีดินส่วนหน่ึงไว้ขุดสระน้ำ โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ท้ังน้ี ได้ พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ 1000 ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก 1 ไร่ โดยประมาณ ฉะนน้ั เมื่อทำนา 5 ไร่ ทำพืชไร่ หรือไม้ผลอีก 5 ไร่ (รวมเป็น 10 ไร)่ จะตอ้ งมนี ้ำ 10,000 ลูกบาศกเ์ มตรต่อปี ดังนั้น หากตั้งสมมติฐานว่า มีพื้นที่ 5 ไร่ ก็จะสามารถกำหนดสูตรคร่าว ๆ ว่า แต่ละแปลง ประกอบดว้ ย 1) นาขา้ ว 5 ไร่ 2) พชื ไร่ พชื สวน 5 ไร่ 3) สระน้ำ 3 ไร่ ขุดลึก 4 เมตร จุน้ำได้ประมาณ 19,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่ เพียงพอท่จี ะสำรองไวใ้ ชย้ ามฤดูแลง้ 4) ท่ีอยู่อาศัยและอื่น ๆ 2 ไร่ รวมทั้งหมด 15 ไร่ แต่ท้ังน้ี ขนาดของสระเก็บน้ำขึ้นอยู่กับ สภาพภูมิประเทศและสภาพแวดลอ้ ม ดังน้ี 5) ถา้ เปน็ พืน้ ท่ีทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน สระน้ำควรมีลักษณะลึก เพ่ือป้องกันไม่ให้น้ำระเหย ไดม้ ากเกินไป ซงึ่ จะทำใหม้ นี ้ำใช้ตลอดท้งั ปี 6) ถ้าเป็นพ้ืนท่ีทำการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้ำอาจมีลักษณะลึก หรือตื้น และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพจิ ารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมนี ้ำมาเตมิ อยู่เร่อื ย ๆ การมีสระเกบ็ น้ำก็เพ่ือให้ เกษตรกรมนี ำ้ ใช้อยา่ งสม่ำเสมอท้ังปี (ทรงเรียกวา่ Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดี มรี ะบบนำ้ หมุนเวียนใช้ เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเน่ือง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้ หมายความว่า เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้ำในสระเก็บน้ำไม่พอ ในกรณีมีเข่ือนอยู่ บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเข่ือน ซ่ึงจะทำให้น้ำในเขื่อนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้า เอกสารประกอบการเรียนการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนบ้านบางสาน หน้า 32

ฝน และเม่อื ถึงฤดูแลง้ หรือฝนทิง้ ช่วงใหเ้ กษตรกรใชน้ ้ำทีเ่ ก็บตนุ นั้น ให้เกดิ ประโยชน์ทางการเกษตรอยา่ งสงู สุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เพอื่ จะได้มผี ลผลิตอื่น ๆ ไวบ้ รโิ ภคและสามารถนำไปขายได้ตลอด ท้ังปี 4. การจัดแบ่งแปลงท่ีดินเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณ และคำนึงจากอัตราการถือครองท่ีดินถัว เฉลี่ยครัวเรือนละ 15 ไร่ อย่างไรกต็ าม หากเกษตรกรมีพ้ืนที่ถือครอง น้อยกวา่ นี้ หรอื มากกวา่ นี้ กส็ ามารถใชอ้ ัตราสว่ น 30:30:30:10 เปน็ เกณฑป์ รบั ใช้ได้ กลา่ วคือ ร้อยละ 30 ส่วนแรก ขุดสระนำ้ (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ ดว้ ย) บนสระอาจสรา้ งเล้าไกแ่ ละบนขอบสระน้ำอาจปลูกไมย้ นื ตน้ ทีไ่ ม่ใช้น้ำมากโดยรอบ ได้ ร้อยละ 30 ส่วนที่สอง ทำนา ร้อยละ 30 ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเช้ือฟืน ไม้ สรา้ งบา้ น พชื ไร่ พืชผัก สมุนไพร เปน็ ตน้ ) ร้อยละ 10 สุดท้าย เป็นท่ีอยู่อาศัยและอื่น ๆ (ทางเดิน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรอื น โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไมด้ อกไมป้ ระดบั พชื สวนครวั หลังบา้ น เป็นต้น) อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่าน้ัน สามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพ้ืนท่ีดิน ปริมาณน้ำฝน และสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ท่ีมีฝนตกชกุ หรอื พ้นื ที่ทม่ี ีแหล่งนำ้ มาเติมสระได้ต่อเน่อื ง ก็อาจลดขนาดของบ่อ หรือสระเกบ็ น้ำ ใหเ้ ล็กลง เพื่อเกบ็ พื้นทไ่ี วใ้ ช้ประโชน์อื่นต่อไปได้ 1.2 ประโยชน์ของการเกษตรทฤษฎีใหม่ จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ นั้นพอจะ สรุปถงึ ประโยชน์ของทฤษฎใี หมไ่ ด้ ดังนี้ 1. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับท่ีประหยัด ไม่อดอยาก และเลย้ี งตนเองได้ ตามหลกั ปรัชญาของ “เศรษฐกจิ พอเพยี ง” 2. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่าง ๆ ท่ีใช้น้ำน้อยได้ โดย ไม่ต้องเบยี ดเบยี นชลประทาน 3. ในปีทฝ่ี นตกตามฤดูกาลโดยมนี ้ำดตี ลอดปี ทฤษฎใี หม่นกี้ ส็ ามารถสรา้ งรายได้ใหร้ ำ่ รวยขน้ึ ได้ 4. ในกรณีที่เกิดอุทกภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหน่ึงโดยทางราชการไม่ ตอ้ งชว่ ยเหลือมากเกนิ ไป อนั เปน็ การประหยดั งบประมาณด้วย 2. เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจที่สามารถอุ้มชูตัวเองได้ให้มีความพอเพียงกับตัวเองอยู่ได้โดยไม่ต้องเดือดร้อน โดยสร้าง พ้ืนฐานเศรษฐกิจของตนให้ดีเสียก่อนคือ ต้ังตัวให้ความพอกินพอใช้ เพ่ือที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้า เพอื่ ทีจ่ ะสร้างความเจรญิ กา้ วหน้า และฐานะทางเศรษฐกจิ สูงขึน้ ไปตามลำดับได้ เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบา้ นบางสาน หน้า 33

2.1 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ ระดับครอบครัวระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบรหิ ารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกจิ เพื่อใหก้ ้าวทนั ต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นท่ีจะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงท้ังภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความ ระมัดระวังอย่างย่ิงในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และ ขณะเดียวกันจะต้องเสรมิ สร้างพื้นฐานจติ ใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจา้ หน้าท่ีของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจ ในทกุ ระดับใหม้ ีสำนกึ ในคุณธรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ท่ีเหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพ่ือให้สมดลุ และพร้อมต่อการรองรับการเปลยี่ นแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทง้ั ดา้ นวัตถุ สงั คม สิ่งแวดล้อม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ป็นอยา่ งดี 2.2 หลกั พิจารณาปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถงึ ระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนนิ ไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกิจ เพือ่ ใหก้ ้าวทนั ต่อโลกยคุ โลกาภิวตั น์ โดยมีหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มี หลกั พิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้ ภาพท่ี 6.1 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง สว่ นท่ี 1 กรอบแนวความคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพ้ืนฐานมาจาก วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สมารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพ่ือความมั่นคง และความย่ังยืน ของการ พัฒนา เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวชิ าการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นบางสาน หนา้ 34

ส่วนที่ 2 คุณลกั ษณะ เศรษฐกจิ พอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดบั โดยเน้นการปฏิบัติบน ทางสายกลาง และการพัฒนาอยา่ งเปน็ ข้นั ตอน ส่วนที่ 3 คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลกั ษณะ พรอ้ ม ๆ กัน ดังนี้ ความพอประมาณ: หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียน ตนเองและผู้อืน่ เชน่ การผลติ และการบริโภคทอ่ี ยใู่ นระดบั พอประมาณ ความมีเหตุผล: หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงน้ัน จะต้องเป็นไปอย่างมี เหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยท่ีเก่ียวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำน้ัน ๆ อย่างรอบคอบ การมีภูมคิ ุ้มกันท่ดี ีในตัว: หมายถึง การเตรียมตัวให้พรอ้ มรบั ผลกระทบและการเปลีย่ นแปลงด้าน ตา่ ง ๆ ท่ีจะเกิดข้ึนโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดข้ึนในอนาคตท้ังใกล้และ ไกล สว่ นท่ี 4 เงอื่ นไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้ และ คณุ ธรรมเปน็ พน้ื ฐาน กล่าวคือ เงื่อนไขความรู้: ประกอบด้วย ความรอบรู้เก่ียวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความ ระมดั ระวงั ในขั้นปฏิบัติ เง่ือนไขคุณธรรม: ท่ีจะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซ่ือสัตย์ สจุ รติ และมีความอดทน มีความเพยี ร ใชส้ ติปญั ญาในการดำเนนิ ชวี ิต ส่วนท่ี 5 แนวทางปฏบิ ัต/ิ ผลทค่ี าดว่าจะได้รับ ผลจากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาท่ีสมดุลและย่ังยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกดา้ น ทงั้ ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม สิง่ แวดล้อม ความรแู้ ละเทคโนโลยี 2.3 ประโยชนข์ องการทำการเกษตรตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 1) ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเอง ไดต้ ามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง 2) ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำท่ีเก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่าง ๆ ท่ีใช้น้ำน้อยได้ โดย ไม่ต้องเบยี ดเบียนชลประทาน 3) ในปีท่ีฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้สามารถสรา้ งรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ โดยไมเ่ ดือดร้อนในเร่ืองค่าใช้จ่ายต่าง ๆ 4) ในกรณีที่เกิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทาง ราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากนกั ซ่ึงเปน็ การประหยัดงบประมาณดว้ ยทฤษฎีใหมท่ ีส่ มบรู ณ์ เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นบ้านบางสาน หน้า 35

3. การทำการเกษตรโดยประยกุ ต์ใชห้ ลกั การเกษตรทฤษฎีใหม่ และหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง และแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนาท่ีนำไปสู่ ความสามารถในการพ่ึงตนเอง ในระดับต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสี่ยงเก่ียวกับความผันแปรของ ธรรมชาติ หรือการเปล่ียนแปลงจากปัจจัยต่าง ๆ โดยอาศัยความพอประมาณ และความมีเหตุผล การสร้าง ภูมิคุ้มกันท่ีดี มีความรู้ ความเพียร และความอดทน สติและปัญญา การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และความ สามคั คี 3.1 การแบ่งพ้นื ท่ฟี ารม์ เกษตรผสมผสานตามหลักการเกษตรทฤษฎใี หม่ 30:30:30:10 ภาพท่ี 6.2 การแบ่งพ้ืนท่ีฟาร์มเกษตรผสมผสานตามหลักการเกษตรทฤษฎีใหม่ 30:30:30:10 การจดั สรรพ้นื ท่อี ยู่อาศยั และทท่ี ำกินให้แบ่งพ้ืนทอี่ อกเป็น 4 สว่ น ตามอัตราส่วน 30:30:30:10 : ดงั นี้ พ้ืนที่ส่วนที่หน่ึง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพ่ือใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการ ปลกู พืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตวน์ ำ้ และพชื ตา่ ง ๆ พื้นท่ีส่วนที่สอง ประมาณ 30% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝน เพ่ือใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัว ใหเ้ พยี งพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึง่ ตนเองได้ พื้นท่ีส่วนที่สาม ประมาณ 30% ให้ปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็น อาหารประจำวันหากเหลือบรโิ ภคก็นำไปจำหนา่ ย พื้นทสี่ ว่ นท่ีสี่ ประมาณ 10% เป็นท่ีอยอู่ าศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรอื นอื่น ๆ 3.2 การดำเนนิ การผลติ ในฟาร์มเกษตรแบบผสมผสานตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง 1). กิจกรรมด้านแหล่งน้ำ ได้แก่ การใช้น้ำเพื่อการเกษตร อุปโภคและบริโภคในครัวเรือน ตลอดจนเล้ียงปลาและสตั ว์นำ้ อื่น ๆ ควรมแี หล่งนำ้ ขนาดใหญ่ไว้รองรบั ในฤดแู ล้ง 2) กิจกรรมด้านอาหาร ได้แก่ การมีผลผลิตเพื่อใช้เป็นอาหารของเกษตรกรและสัตว์เลี้ยง เช่น ขา้ ว พืชไร่ พชื ผกั สวนครวั สัตวน์ ำ้ 3) กิจกรรมด้านรายได้ ได้แก่ กิจกรรมในมิติด้านเศรษฐกิจที่พิจารณารายได้ที่เกิดข้ึนจากระบบ เกษตรทฤษฎีใหม่ เชน่ รายได้รายวนั รายได้รายสัปดาห์ รายได้รายเดือน รายได้รายปี 4) กิจกรรมพื้นที่บริเวณบ้าน ได้แก่ กิจกรรมในพ้ืนท่ีบ้าน มีท้ังการปลูกพืชผักสวนครัว พืช สมนุ ไพร ไมผ้ ลไมย้ นื ตน้ การเลย้ี งสัตวแ์ ละการเพาะเห็ด เป็นตน้ เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนบา้ นบางสาน หน้า 36

บทที่ 7 เร่อื ง บุคคลต้นแบบด้านการเกษตรผสมผสานในท้องถ่ิน เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนบ้านบางสาน หนา้ 37

เอกสารอ้างอิง การเกษตรแบบผสมผสาน. แหล่งที่มา : http://www.kasetorganic.com. สืบค้นเม่ือ : 2 ตุลาคม 2560. ปัจจัยและความสำเร็จของระบบเศรษฐกิจแบบผสมผสาน. แหล่งที่มา : https://sunisa.wikispac es.com. สืบคน้ เมอื่ : 1 ตุลาคม 2560. รูปแบบการทำการเกษตรแบบผสมผสาน. แหล่งท่ีมา : https://jchoompolblog.word press.com. สืบคน้ เม่ือ : 2 ตุลาคม 2560. ยพุ าพร สาลีพชั ราภรณ์. 2558. เอกสารประกอบการสอน.วชิ าการเกษตรผสมผสาน : กรุงเทพ ฯ. 71 น. เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเกษตรผสมผสาน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนบ้านบางสาน หนา้ 38


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook