วิ ท ย า ศ า ส ต ร์เ พื่ อ พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ชี วิ ต หน่วยที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ จุฑามาศ โสมสุวรรณ
แผนการจัดการเรยี นรูม้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยที่ ๔ ชือ่ หน่วย สอนคร้ังท่ี ๖-๗ แรงและการเคลอื่ นท่ี ชัว่ โมงรวม ๖ ช่ัวโมง จำนวน ๖ ชั่วโมง ๑. สาระสำคญั แรง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัตถุเปลี่ยนขนาดของความเร็ว เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ และทำให้วัตถุมี การเปล่ียนรูปรา่ ง หนว่ ยวัดของแรงในระบบ SI คือ นิวตนั แรงท่เี กิดขึน้ ในธรรมชาติมหี ลายชนดิ ได้แก่ แรงโน้มถว่ ง แรงแม่เหลก็ แรงไฟฟา้ แรงนวิ เคลยี ร์ มนษุ ย์ได้นำความรู้เก่ียวกบั แรงมาใช้ ประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ เช่น ด้านอตุ สาหกรรม ด้านเกษตรกรรม แรงมีผลทำให้วัตถุเกิดการเคลอ่ื นท่แี บบเลือ่ นตำแหน่ง แบบหมนุ และแบบสนั่ ๒. สมรรถนะหลัก (สมรรถนะประจำหน่วย) ๒.๑ แสดงความรู้เก่ยี วกับแรงและการเคลอื่ นท่ี ๒.๒ ปฏิบตั ิเก่ยี วกบั แรงและการเคล่ือนที่ ๒.๓ แสดงพฤตกิ รรมการมวี ินยั ใฝร่ ู้ มคี วามรับผิดชอบ มีจติ สาธารณะ ๓. สมรรถนะย่อย (สมรรถนะการเรียนร)ู้ 3.1 สมรรถนะทพ่ี ึงประสงค์ (ทฤษฏี) ๓.๑.๑ .อธบิ ายความหมายของแรงและผลของแรงได้ถูกต้อง ๓.๑.๒ อธิบายลกั ษณะและชนิดของแรงพร้อมทั้งยกตวั อย่างได้ถูกต้อง ๓.๑.๓ อธบิ ายและคำนวณตวั แปรพื้นฐานที่เกย่ี วข้องกับการเคลอ่ื นท่ีได้ถูกตอ้ ง ๓.๒ สมรรถนะท่พี ึงประสงค์ (ปฏบิ ตั )ิ ๓.๒.๑ คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้องกับการเคลื่อนทีข่ องวัตถุได้ถูกต้อง ๓.๓ ด้านคณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ ๓.๓.๑ ตระหนกั ถงึ การมวี นิ ยั ใฝร่ ู้ มีความรบั ผิดชอบ มจี ติ สาธารณะ ๔. เนอื้ หาสาระการเรียนรู้ ๔.๑ ความหมายของแรง ๔.๒ ชนดิ ของแรง ๔.๓ การหาแรงลัพธ์ ๔.๔ แรงในธรรมชาติ ๔.๕ แรงเสยี ดทานและการใชป้ ระโยชน์ ๔.๖ การเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุ ๕. กิจกรรมการเรียนรู้ ในการจดั การเรยี นการสอนรายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาทักษะชวี ิต ได้กำหนดกิจกรรมการเรยี นการสอน ใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการเรยี นรโู้ ดยใช้วิธีการจดั การเรยี นร้รู ปู แบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ ๕E ของสถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท., ๒๕๔๖)
แผนการจดั การเรยี นรู้ม่งุ เนน้ สมรรถนะ หน่วยที่ ๔ ชอ่ื หน่วย สอนคร้งั ที่ ๖-๗ แรงและการเคล่อื นที่ ชัว่ โมงรวม ๖ ชว่ั โมง จำนวน ๖ ช่ัวโมง ๕.๑ ข้ันนำเขา้ สู่กิจกรรมการเรียนรู้ ๑. ให้นักเรียนดูภาพรถยนต์ที่อยู่ในสภาพปกติกับภาพรถยนต์ที่ถกู ชนพังยับทั้งคัน แล้วถามนักเรียนว่าภาพ ทั้งสองต่างกันอย่างไรและร่วมกันอภิปรายจนได้ข้อสรุปว่ารถยนต์คันที่พังยับทั้งคันเนื่องจากมีแรงมากระทำจาก การชนกัน ๒. ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หน่วยที่ ๔ แรงและการเคลอ่ื นท่ี โดยเน้นใหท้ ำดว้ ยความซือ่ สัตย์ ไม่ ลอกคำตอบของผู้อื่น ๕.๒ ขัน้ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ๑. แบ่งกลมุ่ นกั เรยี นเปน็ กลมุ่ กลุม่ ละ ๕ คน ตามความสมัครใจ ๒. ให้นกั เรยี นคน้ หาและอภปิ รายภายในกลุ่ม ในหัวขอ้ ความหมายของแรง และชนิดของแรง ๒. นกั เรียนส่งตวั แทนกลมุ่ มาอภปิ รายผลสรปุ การค้นหาและอภปิ รายจากภายในกลุ่ม ๓. ครสู รุปความรู้เร่ือง ความหมายของแรง และชนดิ ของแรง และให้ความรูเ้ พมิ่ เติมเรื่องปรมิ าณเวกเตอร์ ๔. ครอู ธบิ ายวิธีการหาแรงลัพธ์โดยวธิ กี ารสร้างรูป ๕. ครสู าธติ วิธกี ารหาแรงลพั ธ์โดยวธิ กี ารสร้างรูป ๖. ครูอธบิ ายวธิ ีการหาแรงลพั ธโ์ ดยวิธีการคำนวณ ๗. ครูสาธติ วิธกี ารหาแรงลพั ธโ์ ดยวธิ ีการคำนวณ ๘. ให้นกั เรยี นปฏิบัติกิจกรรมตามใบงานท่ี ๔.๑ การคำนวณหาแรงลพั ธ์ ๙. ขณะผู้เรียนศึกษาบทเรียนและปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ตามใบงาน คอยชว่ ยเหลอื ใหค้ ำแนะนำ ๑๐. ใหน้ ักเรียนค้นหาและอภปิ ราย ในหัวขอ้ แรงโนม้ ถ่วง แรงแม่เหลก็ แรงไฟฟา้ สถิต แรงนวิ เคลยี ร์ และ แรงเสยี ดทาน คืออะไร มีลักษณะแบบใด และนำไปใช้ประโยชน์ไดอ้ ยา่ งไร ๑๑. ใหน้ กั เรยี นมาอภปิ รายหน้าชน้ั เรียนเพ่อื สรุปความรูจ้ ากการคน้ หาและอภิปรายภายในกลมุ่ ๑๒. ครูสรุปและเพมิ่ เติมความรู้จากทน่ี ักเรยี นการคน้ หาและอภิปราย ๑๓. ครอู ธบิ ายลักษณะการเคลอื่ นทีข่ องวตั ถุและปรมิ าณที่เก่ียวขอ้ งกบั การเคลื่อนทข่ี องวัตถุ ๑๔. ครูสาธิตการคำนวณเพื่อปรมิ าณทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั การเคลื่อนที่ของวัตถุ ๑๕. ใหน้ ักเรยี นปฏิบตั กิ จิ กรรมตามใบงานท่ี ๔.๒ การคำนวณหาการเคล่ือนที่ของวตั ถุ
แผนการจัดการเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยที่ ๔ ช่อื หน่วย สอนครงั้ ที่ ๖-๗ แรงและการเคล่อื นที่ ชวั่ โมงรวม ๖ ช่ัวโมง จำนวน ๖ ชว่ั โมง ๕.๓ ขนั้ สรปุ ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ๑. ตรวจสอบผลการเรยี นรู้โดยการซกั ถามเปน็ ระยะและตรวจสอบผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ตามใบงาน ๒. สังเกตและบันทึกพฤติกรรมผู้เรียนเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม ขณะผู้เรียนศึกษาบทเรียนและปฏิบัติ กจิ กรรม ตามใบงาน ๓.ร่วมกบั ผู้เรียนประเมนิ ผลการปฏบิ ัตงิ าน ตามแบบประเมิน ๔. ร่วมกับผ้เู รยี นประเมนิ ผลการเรยี นรู้และผลการปฏิบตั ิงาน ๕.๔ การวดั และประเมินผล ๑. ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัด เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ เสร็จแล้วตรวจสอบคำตอบตามใบเฉลยโดยสลับกัน ตรวจและใหค้ ะแนน ๒. ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ เสร็จแล้วตรวจสอบคำตอบตามใบเฉลย โดยสลับกันตรวจและให้คะแนน ๓. ใหผ้ เู้ รียนทบทวนความรูเ้ ก่ียวกบั แรงและการเคลื่อนที่เพื่อแก้ไขส่วนที่ผดิ ๔. ครูเน้นยำ้ ให้ผูเ้ รียนตระหนกั ถงึ การมีวนิ ัย ใฝ่รู้ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มจี ติ สาธารณะ ในการเรยี น เร่ืองกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๖. ส่ือการเรียนรู้ สื่อสง่ิ พมิ พ์ ๑. ตำราเกยี่ วกบั แรงและการเคลอ่ื นที่ ๒. ใบงาน การคำนวณหาแรงลพั ธ์ ๓.ใบงาน การคำนวณหาการเคลอ่ื นทข่ี องวัตถุ ๔. แบบฝกึ หัดเรอ่ื งแรงและการเคลือ่ นท่ี ๔. แบบทดสอบเรอื่ งแรงและการเคลอ่ื นท่ี ๕. แบบประเมินผล สือ่ โสตทศั น์ ๑. มลั ติมีเดยี ประกอบการสอน เร่ือง “แรงและการเคล่ือนท่ี” ครุภัณฑ์/เคร่ืองมอื /วัสดุ-อปุ กรณ์ ๑. ดินน้ำมนั ๒. ดินน้ำมัน ๓. แม่เหล็ก ๗. เอกสารประกอบการเรยี นรู้ - ใบงาน เร่ือง “แรงและการเคล่อื นที่”
แผนการจดั การเรยี นรูม้ ุ่งเนน้ สมรรถนะ หน่วยท่ี ๔ ชื่อหน่วย สอนคร้ังที่ ๖-๗ แรงและการเคลอื่ นที่ ช่วั โมงรวม ๖ ชว่ั โมง จำนวน ๖ ชัว่ โมง ๘. การบูรณาการ/ความสัมพนั ธก์ ับวิชาอืน่ บูรณาการกบั หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งเก่ียวกบั - นักเรียนมีความพอประมาณในการอยู่อยา่ งพอเพยี ง - นักเรียนมภี มู คิ มุ้ กันเก่ยี วกับการมีวินัย ใฝ่รู้ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มีจิตสาธารณะ ๙. การวดั ผลและประเมนิ ผล ๑. วิธีวดั ผลและประเมินผล ๑. แบบทดสอบหลังเรยี น ๒. การสงั เกตพฤติกรรมระหวา่ งเรยี น ๓.การปฏิบัตกิ ิจกรรมตามใบงาน ๔. การทำแบบฝกึ หดั /แบบทดสอบ ๒. เครอ่ื งมือวดั และประเมนิ ผล ๑. แบบทดสอบหลงั เรียน ๒. แบบสังเกตพฤติกรรมระหวา่ งเรยี น ๓. แบประเมนิ การปฏิบตั ิกจิ กรรมตามใบงาน ๔. แบบบนั ทกึ คะแนนแบบฝึกหัด/แบบทดสอบ ๓. เกณฑ์การประเมนิ ๑. ประเมินจากการทำทดสอบ หลังเรยี น จำนวน ๑๕ ข้อ เกณฑ์ผ่าน ๗ คะแนน จาก ๑๕ คะแนน ๒. ประเมนิ จากพฤติกรรมระหวา่ งเรยี นรู้ เกณฑผ์ ่าน ๗ คะแนน จาก ๑๐ คะแนน ๓. ประเมินจากผลการปฏิบตั กิ จิ กรรมตามใบงาน เกณฑผ์ ่าน ๗ คะแนน จาก ๑๐ คะแนน ๔. ประเมนิ จากคะแนนการทำแบบฝึกหัด/แบบทดสอบ เกณฑผ์ ่าน ๗ คะแนน จาก ๑๐ คะแนน ๑๐. บนั ทกึ หลงั การสอน
แผนการจดั การเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะ หนว่ ยที่ ๔ สอนครั้งที่ ๖-๗ ชื่อหน่วย ชวั่ โมงรวม ๖ ช่ัวโมง แรงและการเคลือ่ นท่ี จำนวน ๖ ช่ัวโมง บันทกึ หลังสอน สปั ดาห์ที่ ช่อื วชิ า รหัสวิชา หน่วยที่ แผนกวชิ า วันทีส่ อน จำนวน รายการสอน จำนวน คน เขา้ เรยี น ชว่ั โมง จำนวน คน เข้าเรยี น ภาคเรยี นที่ ปกี ารศกึ ษา คน ขาดเรยี น คน ขาดเรียน จำนวนผู้เรยี น ชั้น กลุ่ม คน คน ช้ัน กลมุ่ ๑.เนือ้ หาที่สอน (สาระสำคญั ) ๒.ผลการสอน ๓.ปญั หา อุปสรรค ท่เี กดิ ข้ึนในระหวา่ งการเรยี นการสอน ๔.แนวทางการแกป้ ญั หาของครูผู้สอน (แนวทางการทำวิจยั ) ลงชือ่ ผสู้ อน (นางสาวจุฑามาศ โสมสวุ รรณ) // ลงชอ่ื หัวหน้าแผนก ลงชอื่ หวั หนา้ งานหลักสตู รฯ (นางกศุ ล พรผดุงธรรม) (นายสมศกั ดิ์ หลวงนา) // // ลงชื่อ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ (นายประเสรฐิ ถึงวสิ ยั ) //
แบบทดสอบหลงั เรยี นหน่วยที่ 4 แรงและการเคลอ่ื นท่ี คำส่งั จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว แล้วกาเครื่องหมายกากบาท (X) ลงในช่อง ในกระดาษคำตอบ จดุ ประสงค์ อธบิ ายความหมายของแรงและผลของแรง 1. ข้อใด ไมใ่ ช่ ความหมายของแรง ก. อำนาจอยา่ งหนงึ่ ทีท่ ำให้วตั ถุมีความเรง่ ข. เป็นปรมิ าณทมี่ ที งั้ ขนาดและทิศทาง ค. ทำใหว้ ัตถุเปลยี่ นทิศทางการเคล่อื นที่ หรอื เปลยี่ นรูปร่าง ง. ส่งิ ท่ีทำใหว้ ตั ถุมวล 1 กิโลกรัม เคลอื่ นที่ด้วยความเรว็ 1 เมตร/วนิ าที 2. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ผลทเ่ี กดิ จากการกระทำของแรง ก. มะมว่ งหล่นจากตน้ ข. สมพงษถ์ ูกมดี บาดมือ ค. รถยนตม์ ีความเรว็ ลดลง ง. รถยนตม์ ีความเรว็ คงท่ี จดุ ประสงค์ อธิบายลักษณะและชนดิ ของแรง 3. แรงใดท่ีตน้ กำเนิดของแรงไม่จำเป็นต้องสัมผัสกบั วตั ถุแต่ทำให้วตั ถุเคล่ือนทไ่ี ด้ ก. แรงดึง ข. แรงผลกั ค. แรงโน้มถ่วง ง. แรงลม 4. การกระทำในข้อใดทำใหเ้ กิดแรงอัด ก. แดงนั่งบนเกา้ อี้ ข. ดำใชก้ รรไกรตัดแผน่ เหล็ก ค. เขียวบิดผ้าเมือ่ ซักเสร็จแล้ว ง. สม้ ขงึ ลวดราวตากผ้า 5. วตั ถุทีข่ ีดเสน้ ใตข้ อ้ ใดได้รบั แรงดึง ก. การตอกเสาเข็ม ข. การตดั เหลก็ ค. การเคลือ่ นท่ีของเพลาในเครอ่ื งจกั ร ง. ลวดสลิงยดึ เสาไฟฟ้า
จดุ ประสงค์ หาแรงลัพธโ์ ดยวธิ กี ารเขยี นรูปและคำนวณ 6. จากรปู การรวมแรงตอ่ ไปนี้ ขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง F2 F3 FFFF1112 FFFF3323 ++==FF23FF21==00 F1 ก. + ข. + ค. + ง. + 7. แรง 2 แรงทามุมกัน 90 องศา แรง F1 มีขนาด 10 นิวตัน แรง F2 มขี นาด 5 นวิ ตนั แรงลพั ธ์ของแรงทั้งสอง มคี ่าเท่าไร ก. 10.25 นวิ ตัน ข. 11.18 นิวตนั ค. 12.50 นวิ ตนั ง. 12.78 นวิ ตัน 8. ข้อใด ไมใ่ ช่ แรงพื้นฐานในธรรมชาติ ก. แรงโนม้ ถว่ ง ข. แรงดงึ เชอื ก ค. แรงนิวเคลียร์ ง. แรงแม่เหลก็ จุดประสงค์ อธิบายลกั ษณะการเคลอ่ื นท่ขี องวตั ถุแบบต่าง ๆ 9. การเคล่ือนท่ใี นข้อใดเปน็ การเคลอื่ นที่แบบมีคาบ ก. เดินจากบ้านไปโรงเรยี นเสน้ ทางเดมิ ทุกวัน ข. การเคลื่อนทขี่ องลกู ต้มุ นาฬกิ า ค. การเคล่อื นท่ขี องรถไฟ ง. การเคล่ือนทข่ี องลกู ปิงปอง 10. ข้อใดเป็นการเคลือ่ นทีแ่ บบหมุนและเลอ่ื นตำแหน่งพร้อมกัน ก. การเคล่อื นทีข่ องชิงชา้ ข. การเคล่ือนท่ีของล้อรถยนต์ ค. การเคลื่อนท่ีของใบพัดของพดั ลมโคจร ง. การเตะลูกฟตุ บอลให้โดง่
จุดประสงค์ อธบิ ายและคำนวณตัวแปรพน้ื ฐานทเี่ กยี่ วกับการเคล่ือนท่ี 11. การเคล่อื นทใี่ นขอ้ ใดท่ที ำให้การกระจดั มีค่าเป็นศนู ย์ ก. การเคลอ่ื นทีข่ องลมพายุผา่ นเสน้ ศูนย์สูตร ข. การเคล่อื นทขี่ องบงั้ ไฟพญานาค ค. การโยนก้อนหินข้ึนไปในอากาศและตกกลับสู่จดุ เดิม ง. การหลน่ ของลกู มะพรา้ วลงสู่พื้นดนิ 12. ชายคนหนึ่งเดินวนไปตามขอบสนามจากจุด A ผ่านจุด B ไปถึงจุด C ดังรูป ใช้เวลา 1 นาที อัตราเร็ว เฉลยี่ ในการเคลื่อนท่ีมีคา่ เทา่ ไร ก. 6.0 m/s ข. 6.5 m/s ค. 7.2 m/s ง. 7.5 m/s 13. ความเรง่ ในการเคลอื่ นทข่ี องชายคนนี้ มคี า่ เทา่ ไร ก. 3. 56 m/s2 ข. 4.15 m/s2 ค. 4.26 m/s2 ง. 5.85 m/s2 จดุ ประสงค์ นำความร้เู รื่องแรงและการเคล่ือนที่ของวตั ถุไปใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจำวนั 14. ข้อใดเปน็ การนำความรู้เรอ่ื งแรงนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ ก. ใช้ผลติ กระแสไฟฟา้ ข. ใชเ้ ป็นระบบนำรอ่ งในการบิน ค. ใช้ผลติ หลอดภาพอิเล็กตรอน ง. ขับเคล่อื นเครอ่ื งบนิ ความเรว็ สูง 15. การคมนาคมขนส่งในปจั จบุ ันเปน็ การใช้ประโยชนจ์ ากการเคลื่อนท่ีแบบใดมากท่สี ุด ก. การเคลื่อนทแ่ี บบมีคาบ ข. การเคลอ่ื นทแ่ี บบเล่อื นตำแหนง่ ค. การเคลอ่ื นท่ีแบบหมนุ ง. การเคล่ือนทแี่ บบส่ัน
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียนหนว่ ยที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ คำสั่ง จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว แล้วกาเครื่องหมายกากบาท (X) ลงในช่อง ในกระดาษคำตอบ จุดประสงค์ อธบิ ายความหมายของแรงและผลของแรง 1. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ความหมายของแรง ก. อำนาจอยา่ งหน่ึงท่ที ำใหว้ ัตถุมีความเรง่ ข. เป็นปริมาณท่มี ที งั้ ขนาดและทศิ ทาง ค. ทำใหว้ ตั ถเุ ปลี่ยนทิศทางการเคลอื่ นที่ หรือเปลี่ยนรูปรา่ ง ง. สิ่งทท่ี ำให้วตั ถุมวล 1 กโิ ลกรมั เคล่ือนทด่ี ้วยความเรว็ 1 เมตร/วินาที 2. ข้อใด ไมใ่ ช่ ผลทีเ่ กิดจากการกระทำของแรง ก. มะม่วงหล่นจากตน้ ข. สมพงษ์ถูกมีดบาดมือ ค. รถยนตม์ ีความเร็วลดลง ง. รถยนต์มคี วามเรว็ คงท่ี จดุ ประสงค์ อธบิ ายลกั ษณะและชนดิ ของแรง 3. แรงใดทตี่ น้ กำเนดิ ของแรงไม่จำเปน็ ต้องสัมผัสกบั วตั ถุแต่ทำใหว้ ัตถุเคล่อื นที่ได้ ก. แรงดงึ ข. แรงผลกั ค. แรงโนม้ ถว่ ง ง. แรงลม 4. การกระทำในขอ้ ใดทำให้เกิดแรงอัด ก. แดงนัง่ บนเก้าอี้ ข. ดำใช้กรรไกรตัดแผน่ เหล็ก ค. เขียวบิดผา้ เมอ่ื ซักเสรจ็ แล้ว ง. สม้ ขงึ ลวดราวตากผา้ 5. วัตถุที่ขีดเส้นใตข้ ้อใดไดร้ บั แรงดึง ก. การตอกเสาเข็ม ข. การตัดเหลก็ ค. การเคลอื่ นทขี่ องเพลาในเครอื่ งจักร ง. ลวดสลิงยดึ เสาไฟฟา้
จดุ ประสงค์ หาแรงลพั ธ์โดยวิธีการเขยี นรูปและคำนวณ 6. จากรปู การรวมแรงต่อไปน้ี ข้อใดกล่าวถกู ต้อง F2 F3 FFFF1112 FFFF3323 ++==FF23FF21== F1 ก. + 0 ข. + 0 ค. + ง. + 7. แรง 2 แรงทามุมกัน 90 องศา แรง F1 มีขนาด 10 นวิ ตนั แรง F2 มขี นาด 5 นวิ ตัน แรงลัพธข์ องแรงทั้งสอง มคี ่าเท่าไร ก. 10.25 นวิ ตัน ข. 11.18 นวิ ตัน ค. 12.50 นิวตัน ง. 12.78 นิวตนั 8. ข้อใด ไม่ใช่ แรงพื้นฐานในธรรมชาติ ก. แรงโนม้ ถ่วง ข. แรงดึงเชือก ค. แรงนวิ เคลยี ร์ ง. แรงแมเ่ หลก็ จุดประสงค์ อธบิ ายลกั ษณะการเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุแบบต่าง ๆ 9. การเคล่ือนทใี่ นขอ้ ใดเป็นการเคลือ่ นท่ีแบบมคี าบ ก. เดินจากบ้านไปโรงเรยี นเสน้ ทางเดมิ ทุกวัน ข. การเคล่ือนท่ขี องลูกตุม้ นาฬกิ า ค. การเคลอื่ นท่ีของรถไฟ ง. การเคลอื่ นทีข่ องลูกปิงปอง 10. ข้อใดเป็นการเคล่ือนท่ีแบบหมนุ และเลอ่ื นตำแหน่งพร้อมกนั ก. การเคลื่อนที่ของชิงชา้ ข. การเคล่ือนท่ีของล้อรถยนต์ ค. การเคล่อื นทข่ี องใบพดั ของพดั ลมโคจร ง. การเตะลกู ฟตุ บอลใหโ้ ดง่
จุดประสงค์ อธิบายและคำนวณตวั แปรพนื้ ฐานท่ีเกี่ยวกบั การเคลือ่ นที่ 11. การเคลอ่ื นท่ีในข้อใดทท่ี ำให้การกระจดั มีค่าเป็นศนู ย์ ก. การเคลื่อนทีข่ องลมพายผุ ่านเสน้ ศนู ยส์ ูตร ข. การเคลอ่ื นที่ของบงั้ ไฟพญานาค ค. การโยนก้อนหินขน้ึ ไปในอากาศและตกกลบั สจู่ ดุ เดมิ ง. การหล่นของลูกมะพร้าวลงสู่พน้ื ดนิ 12. ชายคนหนึ่งเดินวนไปตามขอบสนามจากจุด A ผ่านจุด B ไปถึงจุด C ดังรูป ใช้เวลา 1 นาที อัตราเร็ว เฉลยี่ ในการเคลือ่ นท่ีมีค่าเท่าไร ก. 6.0 m/s ข. 6.5 m/s ค. 7.2 m/s ง. 7.5 m/s 13. ความเรง่ ในการเคล่ือนที่ของชายคนน้ี มีค่าเทา่ ไร ก. 3. 56 m/s2 ข. 4.15 m/s2 ค. 4.26 m/s2 ง. 5.85 m/s2 จดุ ประสงค์ นำความรูเ้ รอ่ื งแรงและการเคลือ่ นท่ีของวัตถุไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจำวัน 14. ขอ้ ใดเปน็ การนำความรูเ้ รอ่ื งแรงนวิ เคลยี ร์มาใช้ประโยชน์ ก. ใช้ผลติ กระแสไฟฟ้า ข. ใช้เป็นระบบนำร่องในการบิน ค. ใช้ผลิตหลอดภาพอิเล็กตรอน ง. ขับเคลอ่ื นเครื่องบนิ ความเร็วสูง 15. การคมนาคมขนส่งในปัจจบุ ันเปน็ การใช้ประโยชน์จากการเคลอ่ื นที่แบบใดมากทสี่ ุด ก. การเคลื่อนทีแ่ บบมีคาบ ข. การเคลื่อนที่แบบเล่อื นตำแหน่ง ค. การเคลื่อนที่แบบหมนุ ง. การเคล่ือนที่แบบสั่น
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: