แผนการจัดการเรยี นรู้มุ่งเน้นสมรรถนะ ๑ ชอ่ื หน่วย หนว่ ยที่ ๑ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สอนคร้งั ที่ ๑-๒ ชัว่ โมงรวม ๖ ชัว่ โมง จำนวน ๖ ชัว่ โมง ๑. สาระสำคัญ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วย วิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย ๕ ข้ันตอน คือ การระบุปัญหา การต้ังสมมติฐาน การทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผลการทดลอง ส่วนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะสำคัญในกระบวนการศึกษาหาความรู้ หรือค้นหาคำตอบของ ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็นทักษะขั้นพื้นฐาน ๘ ทักษะ ทักษะขั้นบูรณาการ ๕ ทักษะ การฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้เกิดความชำนาญ จะทำให้สามารถศึกษาปัญหาต่าง ๆ เพ่ือค้นหาคำตอบได้อย่างมี เหตุผล ผลการศึกษาเป็นท่ีเชื่อถือได้ ตัวอย่างเช่น การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ซ่ึงมีอยู่ ๔ ประเภท ได้แก่ โครงงาน ประเภททดลอง โครงงานประเภทส่ิงประดษิ ฐ์ โครงงานประเภทสำรวจ และโครงงานประเภททฤษฎี การทำโครงงาน ประเภทต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จน้ันผู้เรียนต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ นอกจากนี้ยังต้องเป็นบุคคลที่มีจติ วิทยาศาสตร์ มคี วามสนใจใฝร่ ู้ เชื่อในส่ิงทีม่ เี หตุผล ละเอยี ดรอบคอบ มีความขยัน อดทน ซือ่ สตั ย์ และทำงานรว่ มกบั ผ้อู ื่นได้ ๒. สมรรถนะหลัก (สมรรถนะประจำหน่วย) ๒.๑ แสดงความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ๒.๒ ปฏบิ ตั ิกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๒.๓ แสดงพฤติกรรมการมีวินัย ใฝร่ ู้ มคี วามรับผิดชอบ มจี ิตสาธารณะ ๓. สมรรถนะย่อย (สมรรถนะการเรยี นร)ู้ 3.1 สมรรถนะที่พงึ ประสงค์ (ทฤษฏี) ๓.๑.๑ ระบขุ ้ันตอนของวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ถูกตอ้ ง ๓.๑.๒ ระบทุ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ถูกตอ้ ง ๓.๒ สมรรถนะทีพ่ ึงประสงค์ (ปฏบิ ตั ิ) ๓.๒.๑ ใชท้ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ถูกต้อง ๓.๓ ดา้ นคุณลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์ ๓.๓.๑ ตระหนักถึงการมวี ินัย ใฝร่ ู้ มคี วามรบั ผิดชอบ มจี ติ สาธารณะ ๔. เนือ้ หาสาระการเรียนรู้ ๔.๑ วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ๔.๒ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ๔.๒.๑ ทักษะกระบวนการวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพนื้ ฐาน ๔.๒.๒ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ้ันบูรณาการ ๔.๓ จติ วิทยาศาสตร์
๒ แผนการจัดการเรยี นรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยที่ ๑ ชือ่ หน่วย สอนคร้งั ท่ี ๑-๒ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ช่ัวโมงรวม ๖ ช่วั โมง จำนวน ๖ ชัว่ โมง ๕. กจิ กรรมการเรียนรู้ ในการจัดการเรยี นการสอนรายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทักษะชีวติ ได้กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน ใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรยี นรโู้ ดยใช้วิธกี ารจัดการเรียนรู้รปู แบบผสมผสาน (Blended Learning) ๕.๑ ข้ันนำเข้าสกู่ ิจกรรมการเรียนรู้ ๑. จัดเตรียมเอกสารประกอบการเรยี น สอ่ื โสตทศั น์ ครภุ ณั ฑ์ เคร่ืองมือ วัสดุ-อปุ กรณ์ ๒. ครฉู ายภาพแกะท่ีเกิดมาจากากรโคลนนิ่ง และมะละกอท่ีเกิดจากการตัดต่อ พันธุกรรมให้นักเรียนดูและ ต้ังคำถามปลายเปดิ ว่านักวิทยาศาสตรค์ ้นพบส่ิงใหม่ ๆ ไดด้ ้วยวธิ กี ารใดบา้ ง ๕.๒ ขน้ั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๑. แบ่งกล่มุ นักเรยี นเป็นกลมุ่ กลมุ่ ละ ๕ คน ตามความสมัครใจ ใหน้ กั เรยี นค้นหาและอภิปรายภายในกล่มุ ในหัวขอ้ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ (scientific method) และทักษะกระบวนการวทิ ยาศาสตรข์ นั้ พื้นฐาน คืออะไร ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง ๒. นักเรียนส่งตัวแทนกลุ่มมาอภิปรายหน้าชน้ั เรียนเพอื่ สรุปขัน้ ตอนของวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์และทักษะ กระบวนการวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพื้นฐาน ๓. ครูสรปุ ความรู้เร่อื ง ขนั้ ตอนของวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์และทักษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ขน้ั พ้ืนฐาน ๔. ให้นักเรียนปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามใบงานท่ี ๑ ทกั ษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ข้นั พ้นื ฐาน โดยใช้ชดุ ฝึกทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ๕. ขณะผู้เรียนศกึ ษาบทเรยี นและปฏิบัตกิ ิจกรรม ตามใบงาน คอยช่วยเหลอื ให้คำแนะนำ ๖. ให้นักเรยี นคน้ หาและอภปิ ราย ในหัวขอ้ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขัน้ บูรณาการประกอบด้วย ทกั ษะอะไรบ้าง และจิตวิทยาศาสตร์ คืออะไร และมีลักษณะอย่างไร ๗. ใหน้ ักเรยี นสง่ ตวั แทนกลมุ่ มาอภิปรายหนา้ ช้นั เรยี นเพ่ือสรุปทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขน้ั บรู ณาการ และจิตวิทยาศาสตร์ ๘. ครูสรุปความรู้เร่อื งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ้ันบูรณาการ และจิตวทิ ยาศาสตร์ ๙. นกั เรียนปฏิบตั ิกิจกรรมตามใบงานที่ ๒ ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ข้ันบรู ณาการ โดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๕.๓ ขน้ั สรปุ ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ๑. ตรวจสอบผลการเรียนรูโ้ ดยการซักถามเปน็ ระยะและตรวจสอบผลการปฏิบตั กิ จิ กรรม ตามใบงาน โดยใช้ ชดุ ฝกึ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๒. สังเกตและบันทึกพฤติกรรมผู้เรียนเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม ขณะผู้เรียนศึกษาบทเรียนและปฏิบัติ กิจกรรม ตามใบงาน ๓.ร่วมกับผเู้ รยี นประเมนิ ผลการปฏิบตั งิ าน ตามแบบประเมนิ ๔. รว่ มกับผูเ้ รียนประเมินผลการเรียนรู้และผลการปฏบิ ตั งิ าน
แผนการจดั การเรยี นรมู้ ่งุ เน้นสมรรถนะ ๓ ชื่อหน่วย หน่วยที่ ๑ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สอนครง้ั ท่ี ๑-๒ ช่วั โมงรวม ๖ ชัว่ โมง จำนวน ๖ ชั่วโมง ๕.๔ การวดั และประเมนิ ผล ๑. ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัด เร่ืองกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เสร็จแล้วตรวจสอบคำตอบตามใบเฉลยโดย สลบั กันตรวจและใหค้ ะแนน ๒. ให้ผเู้ รียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เร่ืองกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เสร็จแล้วตรวจสอบคำตอบตามใบ เฉลยโดยสลับกนั ตรวจและใหค้ ะแนน ๓. ให้ผูเ้ รียนทบทวนความรู้เก่ียวกบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เพอ่ื แก้ไขสว่ นท่ีผดิ ๔. ครเู นน้ ยำ้ ใหผ้ ู้เรียนตระหนักถึงการมีวนิ ัย ใฝ่รู้ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มีจติ สาธารณะ ในการเรยี น เร่ืองกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ๖. ส่ือการเรียนรู้ สอ่ื ส่งิ พมิ พ์ ๑. ตำราเกีย่ วกับกระบวนการวิทยาศาสตร์ ๒. ใบงาน กระบวนการวิทยาศาสตร์ ๓. แบบฝึกหัดเรอื่ งกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ ๔. แบบทดสอบเร่ืองกระบวนการวิทยาศาสตร์ ๕. แบบประเมนิ ผล สือ่ โสตทศั น์ ๑. Power point ประกอบการสอน เรื่อง “กระบวนการวทิ ยาศาสตร์” ครุภณั ฑ/์ เครื่องมอื /วัสดุ-อปุ กรณ์ ๑. คอมพิวเตอร์ ๒. Smart TV ๗. เอกสารประกอบการเรยี นรู้ - ใบงาน เรอ่ื ง “กระบวนการวิทยาศาสตร์” ๘. การบูรณาการ/ความสมั พนั ธก์ บั วิชาอ่นื บรู ณาการกบั หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงเก่ียวกบั - นักเรียนมีความพอประมาณในการอยู่อย่างพอเพียง - นกั เรยี นมีภมู ิคมุ้ กันเก่ยี วกับการมีวินยั ใฝร่ ู้ มคี วามรับผดิ ชอบ มจี ิตสาธารณะ
แผนการจดั การเรยี นรูม้ ุ่งเน้นสมรรถนะ ๔ ชอื่ หน่วย หนว่ ยท่ี ๑ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สอนคร้งั ที่ ๑-๒ ชั่วโมงรวม ๖ ช่ัวโมง จำนวน ๖ ช่ัวโมง ๙. การวดั ผลและประเมินผล ๑. วิธวี ัดผลและประเมินผล ๑. แบบทดสอบหลังเรยี น ๒. การสงั เกตพฤติกรรมระหว่างเรยี น ๓. การปฏิบตั ิกจิ กรรมตามใบงาน ๔. การทำแบบฝึกหัด/แบบทดสอบ ๒. เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล ๑. แบบทดสอบหลงั เรยี น ๒. แบบสังเกตพฤตกิ รรมระหวา่ งเรยี น ๓. แบประเมนิ การปฏบิ ัติกจิ กรรมตามใบงาน ๔. แบบบันทึกคะแนนแบบฝึกหัด/แบบทดสอบ ๓. เกณฑ์การประเมนิ ๑. ประเมินจากการทำทดสอบ หลงั เรยี น จำนวน ๑๕ ข้อ เกณฑผ์ า่ น ๗ คะแนน จาก ๑๕ คะแนน ๒. ประเมนิ จากพฤตกิ รรมระหว่างเรียนรู้ เกณฑ์ผา่ น ๗ คะแนน จาก ๑๐ คะแนน ๓. ประเมนิ จากผลการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตามใบงาน เกณฑ์ผา่ น ๗ คะแนน จาก ๑๐ คะแนน ๔. ประเมินจากคะแนนการทำแบบฝึกหดั /แบบทดสอบ เกณฑ์ผา่ น ๗ คะแนน จาก ๑๐ คะแนน ๑๐. บนั ทกึ หลงั การสอน
แผนการจดั การเรยี นรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ ๕ ชื่อหน่วย หนว่ ยที่ ๑ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สอนคร้ังท่ี ๑-๒ ชวั่ โมงรวม ๖ ช่วั โมง บันทกึ หลังสอน จำนวน ๖ ชัว่ โมง สปั ดาห์ท่ี ชอื่ วชิ า รหัสวิชา หนว่ ยที่ แผนกวิชา วันท่ีสอน จำนวน รายการสอน จำนวน คน เข้าเรียน ชัว่ โมง จำนวน คน เขา้ เรียน ภาคเรยี นที่ ปีการศึกษา คน ขาดเรียน คน ขาดเรยี น จำนวนผู้เรียน ชัน้ กล่มุ คน คน ชั้น กล่มุ ๑.เนอ้ื หาทส่ี อน (สาระสำคัญ) ๒.ผลการสอน ๓.ปญั หา อุปสรรค ท่ีเกดิ ขึน้ ในระหวา่ งการเรียนการสอน ๔.แนวทางการแก้ปญั หาของครผู ู้สอน (แนวทางการทำวิจัย) ลงชือ่ ผูส้ อน (นางสาวจฑุ ามาศ โสมสุวรรณ) // ลงช่ือ หวั หน้าแผนก ลงช่ือ หวั หน้างานหลักสตู รฯ (นางกศุ ล พรผดงุ ธรรม) (นายสมศกั ด์ิ หลวงนา) // // ลงชอ่ื รองผอู้ ำนวยการฝา่ ยวชิ าการ (นายประเสริฐ ถงึ วิสยั ) //
๖ แบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยที่ 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คำส่ัง จงเลือกคำตอบที่ถูกท่ีสุดเพียงคำตอบเดียว แล้วกาเครื่องหมายกากบาท (X) ลงในช่อง ใน กระดาษคำตอบ จุดประสงค์ ระบุข้ันตอนของวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ 1. ข้อใดไมใ่ ช่ขัน้ ตอนของวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ก. การพยากรณ์ ข. การระบุปญั หา ค. การสรปุ ผลการทดลอง ง. การทดลอง จุดประสงค์ ระบขุ อ้ มูลทเ่ี ป็นผลมาจากการสังเกต 2. ขอ้ ใดเปน็ ขอ้ มูลจากการสงั เกตแทง่ ลปิ สติก ก. ลปิ สตกิ สสี วย ราคาแพง ข. ลิปสติกเปน็ แทง่ ยาวประมาณ 5 cm ค. ลปิ สติกนี้ทำในเมืองไทย ง. ลปิ สติกน้ีควรเกบ็ ไวใ้ นทเ่ี ยน็ จะได้ไม่เละ จดุ ประสงค์ เลอื กเครอ่ื งมือวดั ได้เหมาะสมกบั ปริมาณที่ต้องการวดั 3. เครื่องมอื ชดุ ใดเหมาะสำหรบั การวดั ความยาวรอบของใบไม้ ก. ไม้บรรทดั ลวด เทปใส ข. เชอื ก ไม้บรรทดั เทปใส ค. ไมบ้ รรทดั ดินสอ กรรไกร ง. ไม้บรรทดั ดินสอ แผน่ กระดาษ จุดประสงค์ หาคา่ เฉล่ยี จากข้อมูลทีก่ ำหนดให้ 4. การสอบวดั ผลวิชาวิทยาศาสตร์พน้ื ฐานของนกั เรยี น 10 คน มนี ักเรียนทำขอ้ สอบไดด้ งั นี้ คะแนนที่ได้ จำนวนนกั เรยี น(คน) 12 2 14 4 16 3 18 1 คะแนนเฉล่ยี ของการสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์พื้นฐานมีค่าเทา่ ไร ก. 13.8 ข. 14.6 ค. 15.2 ง. 15.8
๗ จดุ ประสงค์ กำหนดเกณฑ์ในการแยกประเภทส่งิ ของ 5. จากภาพกระดมุ ท่ีกำหนดให้ดังรูป ถ้าแบง่ กระดมุ ออกเปน็ 2 พวก คือ พวกท่ี 1 มกี ระดุมหมายเลข 1, 3, 4, 8 พวกที่ 2 มกี ระดมุ หมายเลข 2, 5, 6, 7, 9 การแบง่ ดังกล่าวใช้อะไรเปน็ เกณฑ์ ก. จำนวนรูของกระดุม ข. ขนาดของกระดุม ค. รปู ร่างของกระดมุ ง. หมายเลขของกระดมุ 6. ตดั กระดาษแขง็ พับเปน็ รปู ลูกเต๋าดงั รปู เม่อื พับแลว้ จะได้ลกู เต๋าเหมอื นข้อใด ก. ข. ค. ง. จดุ ประสงค์ ลงความเห็นจากขอ้ มลู ทกี่ ำหนดให้ 7. เมอ่ื จดุ เทียนไขในครอบแกว้ ท่ีมีฝาปิดดังรูป ขอ้ ใดเป็นการลงความเห็นจากขอ้ มูล ฝาปิด แกว้ เทียนไข
๘ ก. มแี กส๊ ออกซิเจนอยภู่ ายในแก้ว ข. มีนำ้ ตาเทยี นตดิ ท่ีตวั เทยี นไข ค. มหี ยดนำ้ เลก็ ๆ ติดที่ฝาปิด ง. เทยี นไขสัน้ ลงเรอ่ื ย ๆ 8. ข้อความในขอ้ ใดเป็นการลงความคิดเห็นจากข้อมูล ก. มะมว่ งผลนม้ี กี ลิ่นหอม รสหวาน ข. มีฟองแก๊สเกดิ ขึ้นในการทำไวน์มงั คดุ ค. สาร A ลอยนำ้ ได้เพราะความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ง. มะละกอสกุ คาต้นอกี 3 วนั ตอ้ งหล่นลงมาจากตน้ จุดประสงค์ พยากรณ์ผลที่เกดิ จากขอ้ มูลทก่ี ำหนดให้ 9. จากกราฟแสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างความสูงของต้นบานช่ืนกับระยะเวลาที่ทำการปลูก ในสปั ดาห์ที่ 12 ตน้ บานช่นื จะมคี วามสูงเทา่ ไร ก. 28.5 cm ข. 29.5 cm ค. 32.5 cm ง. 33.5 cm 10. ในสปั ดาห์ที่ 4 ตน้ บานชน่ื จะมคี วามสงู เท่าไร ก. 12.5 cm ข. 13.0 cm ค. 13.5 cm ง. 14.0 cm จดุ ประสงค์ ตง้ั สมมตฐิ านจากสถานการณ์ปัญหาทีก่ ำหนดให้ 11. ในการทดลองเพาะเห็ดฟาง 2 แปลง ในพื้นที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน อาหารเสริมและปริมาณน้ำท่ีใช้ เหมือนกนั และใช้เวลาในการเพาะเท่ากนั ดังนี้ แปลงท่ี 1 วัสดทุ ใี่ ช้เพาะเห็ดฟาง ไดแ้ ก่ ฟางข้าว แปลงที่ 2 วสั ดุทใี่ ชเ้ พาะเห็ดฟาง ไดแ้ ก่ ต้นถัว่ ผสมเปลอื กฝกั ถ่ัว การทดลองน้มี ีสมมตฐิ านว่าอยา่ งไร ก. แสงมีผลต่อการเจริญเติบโตของเหด็ ฟาง ข. อาหารเสรมิ มีผลต่อการเจรญิ เติบโตของเห็ดฟาง ค. ความชน้ื มีผลตอ่ การเจริญเติบโตของเห็ดฟาง ง. วสั ดทุ ใ่ี ช้เพาะเห็ดตา่ งกนั การเจริญเตบิ โตของเหด็ ฟางจะต่างกัน
๙ 12. ในการทดลองรีดเมล็ดสะตอออกจากฝักโดยใช้เคร่ืองรีดแบบ 2 ลูกกล้ิง โดยใช้สะตอที่เป็นพันธุ์เดียวกัน ขนาดฝัก และเมล็ดเท่ากัน ลวกน้ำร้อนท่ีมีอุณหภูมิ และเวลาในการลวกเท่ากัน จากนั้นนำไปรีดด้วย เคร่ืองรีดเมล็ดสะตอ โดยต้ังระยะห่างของลูกกล้ิงดังนี้ 0.3, 0.5 และ 0.7 cm ตามลำดับ การทดลองน้ีมี สมมตฐิ านวา่ อย่างไร ก. ความเรว็ ของลูกกล้ิงมีผลต่อการรีดเมล็ดสะตอออกจากฝัก ข. ลักษณะผิวของลูกกล้งิ มีผลตอ่ การรดี เมล็ดสะตอออกจากฝัก ค. ระยะห่างของลูกกลง้ิ มีผลต่อการรดี เมลด็ สะตอออกจากฝัก ง. ระยะห่างและความเรว็ ของลกู กล้ิงมผี ลต่อการรดี เมลด็ สะตอออกจากฝกั จุดประสงค์ กำหนดนิยามเชงิ ปฏิบัตกิ าร 13. การทดสอบสมมติฐานท่ีว่า “เลนส์ช่วยให้มองเห็นวัตถุได้อย่างชัดเจน” ข้อใดเป็นการกำหนดนิยาม เชงิ ปฏิบัติการของคำว่า การมองเหน็ อยา่ งชัดเจน ได้ถูกต้องทีส่ ุด ก. การมองเห็นวตั ถุในระยะท่ีกำหนด ข. การมองเห็นวัตถทุ ่ใี นระยะทีก่ ำหนดและสามารถบรรยายรายละเอยี ดไดถ้ ูกต้อง ค. การมองเห็นสง่ิ ต่าง ๆ ที่อย่รู อบตวั ไดอ้ ยา่ งชัดเจนในเวลาอันสนั้ ง. การมองเหน็ สงิ่ ทก่ี ำหนดแลว้ บอกไดว้ ่าสิง่ นน้ั คืออะไร จดุ ประสงค์ ระบตุ วั แปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรท่ีต้องควบคมุ 14. นักเรียนต้ังสมมติฐานว่า “ถ้าอัตราการทำงานของเอนไซม์ข้ึนอยู่กับอุณหภูมิ ดังน้ันถ้าอุณหภูมิต่างกัน การทำงานของเอนไซมจ์ ะแตกตา่ งกัน” ตวั แปรต้นในสมมตฐิ านดังกล่าวคอื ข้อใด ก. ความแตกต่างของอุณหภมู ิ ข. ความเขม้ ข้นของเอนไซม์ ค. การทำงานของเอนไซม์ ง. ชนิดของเอนไซม์ จดุ ประสงค์ วิเคราะห์ข้อมลู แปลความหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรุป 15. จากการทดลองเมื่อเอาสาร A ที่บดกับไมบ่ ด ไปละลายนำ้ ผลการทดลองปรากฏดังตารางต่อไปนี้ สาร ปริมาณสาร (g) ปริมาตรน้ำ (cm3) อุณหภูมขิ องนำ้ (oC) ปรมิ าณสารท่ลี ะลาย (g) 2 40 35 2.5 A 2 40 35 4.5 (ไม่บด) A (ละเอียด) นกั เรียนจะตีความหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรุปอย่างไร ก. ปรมิ าณของสาร A ทีล่ ะลายในน้ำจะมากหรือน้อยไม่ข้ึนกบั อณุ หภมู ิของน้ำ ข. สาร A ทบ่ี ดละเอียดจะละลายในน้ำได้มากกว่าสาร A ท่ไี มไ่ ด้บด ค. น้ำที่มอี ณุ หภูมสิ งู กวา่ จะละลายสาร A ทบ่ี ดละเอียดไดม้ ากกวา่ ง. นำ้ ท่ีมีอุณหภมู สิ งู กวา่ จะละลายสาร A ที่ไม่บดไดม้ ากกว่า
๑๐ เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นหนว่ ยท่ี 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คำส่ัง จงเลือกคำตอบท่ีถูกท่ีสุดเพียงคำตอบเดียว แล้วกาเครื่องหมายกากบาท (X) ลงในช่อง ใน กระดาษคำตอบ จุดประสงค์ ระบขุ ั้นตอนของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ 1. ขอ้ ใดไมใ่ ชข่ ั้นตอนของวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ก. การพยากรณ์ ข. การระบุปัญหา ค. การสรุปผลการทดลอง ง. การทดลอง จุดประสงค์ ระบุข้อมูลทีเ่ ปน็ ผลมาจากการสังเกต 2. ขอ้ ใดเปน็ ข้อมูลจากการสงั เกตแท่งลิปสตกิ ก. ลิปสติกสีสวย ราคาแพง ข. ลิปสติกเปน็ แท่งยาวประมาณ 5 cm ค. ลิปสตกิ นี้ทำในเมืองไทย ง. ลิปสตกิ น้ีควรเกบ็ ไว้ในทีเ่ ย็นจะได้ไมเ่ ละ จุดประสงค์ เลือกเครอ่ื งมือวัดไดเ้ หมาะสมกบั ปริมาณทีต่ ้องการวดั 3. เครอื่ งมือชุดใดเหมาะสำหรบั การวัดความยาวรอบของใบไม้ ก. ไมบ้ รรทัด ลวด เทปใส ข. เชอื ก ไมบ้ รรทัด เทปใส ค. ไมบ้ รรทดั ดนิ สอ กรรไกร ง. ไม้บรรทัด ดนิ สอ แผน่ กระดาษ จุดประสงค์ หาคา่ เฉล่ียจากขอ้ มลู ที่กำหนดให้ 4. การสอบวัดผลวชิ าวทิ ยาศาสตรพ์ น้ื ฐานของนักเรียน 10 คน มีนกั เรียนทำข้อสอบได้ดงั นี้ คะแนนที่ได้ จำนวนนักเรยี น(คน) 12 2 14 4 16 3 18 1 คะแนนเฉลีย่ ของการสอบวิชาวิทยาศาสตร์พืน้ ฐานมีคา่ เท่าไร ก. 13.8 ข. 14.6 ค. 15.2 ง. 15.8
๑๑ จดุ ประสงค์ กำหนดเกณฑใ์ นการแยกประเภทส่ิงของ 5. จากภาพกระดุมทีก่ ำหนดใหด้ ังรูป ถ้าแบง่ กระดุมออกเป็น 2 พวก คอื พวกที่ 1 มกี ระดุมหมายเลข 1, 3, 4, 8 พวกท่ี 2 มีกระดุมหมายเลข 2, 5, 6, 7, 9 การแบง่ ดงั กลา่ วใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ก. จำนวนรขู องกระดุม ข. ขนาดของกระดมุ ค. รปู รา่ งของกระดุม ง. หมายเลขของกระดุม 6. ตัดกระดาษแข็งพับเป็นรปู ลูกเตา๋ ดงั รปู เมอ่ื พับแล้วจะได้ลกู เต๋าเหมอื นขอ้ ใด ก. ข. ค. ง. จุดประสงค์ ลงความเหน็ จากข้อมลู ท่กี ำหนดให้ 7. เมอ่ื จุดเทียนไขในครอบแก้วที่มีฝาปดิ ดงั รูป ข้อใดเปน็ การลงความเหน็ จากข้อมูล ฝาปิด แกว้ เทียนไข
๑๒ ก. มแี ก๊สออกซิเจนอยูภ่ ายในแก้ว ข. มนี ้ำตาเทียนติดท่ีตัวเทียนไข ค. มหี ยดนำ้ เลก็ ๆ ติดทีฝ่ าปดิ ง. เทยี นไขส้นั ลงเรื่อย ๆ 8. ข้อความในขอ้ ใดเปน็ การลงความคิดเห็นจากข้อมลู ก. มะม่วงผลนม้ี กี ล่นิ หอม รสหวาน ข. มีฟองแก๊สเกดิ ข้ึนในการทำไวนม์ ังคุด ค. สาร A ลอยน้ำได้เพราะความหนาแนน่ นอ้ ยกวา่ น้ำ ง. มะละกอสุกคาตน้ อีก 3 วันต้องหล่นลงมาจากต้น จุดประสงค์ พยากรณผ์ ลท่เี กิดจากข้อมูลท่ีกำหนดให้ 9. จากกราฟแสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความสูงของต้นบานชืน่ กับระยะเวลาทท่ี ำการปลูก ในสัปดาห์ท่ี 12 ตน้ บานชื่นจะมีความสงู เทา่ ไร ก. 28.5 cm ข. 29.5 cm ค. 32.5 cm ง. 33.5 cm 10. ในสปั ดาหท์ ี่ 4 ตน้ บานช่ืนจะมคี วามสงู เท่าไร ก. 12.5 cm ข. 13.0 cm ค. 13.5 cm ง. 14.0 cm จดุ ประสงค์ ตัง้ สมมติฐานจากสถานการณ์ปญั หาทกี่ ำหนดให้ 11. ในการทดลองเพาะเห็ดฟาง 2 แปลง ในพ้ืนท่ีเดียวกัน เวลาเดียวกัน อาหารเสริมและปริมาณน้ำท่ีใช้ เหมือนกนั และใชเ้ วลาในการเพาะเทา่ กนั ดังนี้ แปลงที่ 1 วัสดทุ ใี่ ชเ้ พาะเห็ดฟาง ไดแ้ ก่ ฟางขา้ ว แปลงที่ 2 วสั ดทุ ่ใี ช้เพาะเหด็ ฟาง ไดแ้ ก่ ต้นถัว่ ผสมเปลอื กฝกั ถั่ว การทดลองนี้มสี มมตฐิ านว่าอย่างไร ก. แสงมผี ลตอ่ การเจริญเตบิ โตของเห็ดฟาง ข. อาหารเสรมิ มีผลต่อการเจริญเตบิ โตของเหด็ ฟาง ค. ความช้ืนมผี ลตอ่ การเจรญิ เติบโตของเห็ดฟาง ง. วสั ดุทใ่ี ช้เพาะเห็ดต่างกัน การเจรญิ เติบโตของเห็ดฟางจะตา่ งกนั
๑๓ 12. ในการทดลองรีดเมล็ดสะตอออกจากฝักโดยใช้เครื่องรีดแบบ 2 ลูกกลิ้ง โดยใช้สะตอท่ีเป็นพันธ์ุเดียวกัน ขนาดฝัก และเมล็ดเท่ากัน ลวกน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิ และเวลาในการลวกเท่ากัน จากนั้นนำไปรีดด้วย เคร่ืองรีดเมล็ดสะตอ โดยต้ังระยะห่างของลูกกลิ้งดังนี้ 0.3, 0.5 และ 0.7 cm ตามลำดับ การทดลองน้ีมี สมมตฐิ านวา่ อยา่ งไร ก. ความเรว็ ของลกู กลิง้ มีผลตอ่ การรีดเมล็ดสะตอออกจากฝกั ข. ลักษณะผวิ ของลูกกล้ิงมีผลต่อการรีดเมลด็ สะตอออกจากฝัก ค. ระยะหา่ งของลกู กล้งิ มผี ลต่อการรีดเมลด็ สะตอออกจากฝกั ง. ระยะห่างและความเรว็ ของลกู กลงิ้ มีผลต่อการรีดเมล็ดสะตอออกจากฝกั จุดประสงค์ กำหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ 13. การทดสอบสมมติฐานที่ว่า “เลนส์ช่วยให้มองเห็นวัตถุได้อย่างชัดเจน” ข้อใดเป็นการกำหนดนิยาม เชงิ ปฏิบตั ิการของคำวา่ การมองเห็นอยา่ งชัดเจน ไดถ้ กู ต้องทีส่ ุด ก. การมองเหน็ วตั ถใุ นระยะทก่ี ำหนด ข. การมองเห็นวตั ถุที่ในระยะทกี่ ำหนดและสามารถบรรยายรายละเอียดไดถ้ กู ตอ้ ง ค. การมองเหน็ สิ่งต่าง ๆ ท่ีอย่รู อบตวั ได้อย่างชดั เจนในเวลาอนั สน้ั ง. การมองเหน็ สงิ่ ท่ีกำหนดแลว้ บอกได้วา่ สงิ่ น้ันคืออะไร จดุ ประสงค์ ระบตุ ัวแปรตน้ ตวั แปรตาม และตัวแปรทีต่ อ้ งควบคุม 14. นักเรียนตั้งสมมติฐานว่า “ถ้าอัตราการทำงานของเอนไซม์ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ดังนั้นถ้าอุณหภูมิต่างกัน การทำงานของเอนไซมจ์ ะแตกต่างกัน” ตวั แปรต้นในสมมตฐิ านดงั กล่าวคอื ขอ้ ใด ก. ความแตกตา่ งของอุณหภมู ิ ข. ความเขม้ ข้นของเอนไซม์ ค. การทำงานของเอนไซม์ ง. ชนิดของเอนไซม์ จดุ ประสงค์ วิเคราะห์ข้อมูล แปลความหมายขอ้ มูล และลงขอ้ สรุป 15. จากการทดลองเม่ือเอาสาร A ท่ีบดกับไม่บด ไปละลายน้ำ ผลการทดลองปรากฏดงั ตารางตอ่ ไปนี้ สาร ปริมาณสาร (g) ปริมาตรน้ำ (cm3) อุณหภูมขิ องนำ้ (oC) ปริมาณสารทีล่ ะลาย (g) 2 40 35 2.5 A 2 40 35 4.5 (ไม่บด) A (ละเอยี ด) นกั เรียนจะตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ อยา่ งไร ก. ปริมาณของสาร A ทีล่ ะลายในน้ำจะมากหรือน้อยไม่ขึ้นกบั อุณหภมู ิของน้ำ ข. สาร A ทบี่ ดละเอียดจะละลายในนำ้ ได้มากกวา่ สาร A ทไ่ี มไ่ ด้บด ค. น้ำที่มีอุณหภูมสิ ูงกว่าจะละลายสาร A ท่บี ดละเอียดไดม้ ากกวา่ ง. น้ำท่ีมีอุณหภมู ิสูงกว่าจะละลายสาร A ทไ่ี ม่บดไดม้ ากกว่า
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: