1
รายงาน เร่ือง การศกึ ษาวรรณคดคี าสอนเรอ่ื งสุภาษิตสอนหญงิ เสนอ คณุ ครูสายฝน โหจนั ทร์ โดย นางสาว ญาณศิ า แซ่โงว้ ช้ัน ม.๖/๓ เลขท่ี ๑ นางสาว ณิชา แซ่เฉนิ ชน้ั ม.๖/๓ เลขที่ ๙ นางสาว ชนาภัทร ต้ังพิพัฒนพรชยั ชน้ั ม.๖/๓ เลขท่ี ๑๖ นางสาว เนตรณภา จริยวัฒน์มงคล ชน้ั ม.๖/๓ เลขที่ ๒๑ นางสาว ชนาภา นันทะศรี ชนั้ ม.๖/๓ เลขที่ ๒๔ รายงานนเ้ี ป็นส่วนหน่งึ ของวิชาภาษาไทยพนื้ ฐาน (ท๓๓๑๐๒) ภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔ โรงเรยี นมารียอ์ ุปถมั ภ์ อ.สามพราน จ.นครปฐม
ก คำนำ รายงานเร่ือง การศึกษาวรรณคดีคาสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิงเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท๓๓๑๐๒) ภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคาสอนจากวรรณคดีคาสอนเรื่องสุภาษิตสอน หญิง คณะผู้จัดทาได้เลือกหัวข้อนี้ในการทารายงาน เน่ืองมาจากเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ และมีความใกล้ตัว รวมท้ังแสดง ให้เหน็ ถึงการเปล่ียนแปลงทางสภาพสังคม โดยมีขอบข่ายเนื้อหาดังน้ี ประวัติความเป็นมาของวรรณคดีคาสอนสุภาษิต สอนหญิง เน้ือเรื่องวรรณคดีคาสอนสุภาษิตสอนหญิง หลักในการวิเคราะห์วรรณคดี ท้ังนี้คณะผู้จัดทาได้ศึกษาค้นคว้า และรวบรวมข้อมูลจากเอกสารสภุ าษิตสอนหญงิ ของคณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั งานวิจัย วิทยานิพนธ์ และบทความโดยอาศยั กระบวนการคดิ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ และเชือ่ มโยง จนสาเร็จเปน็ รายงานฉบับนี้ คณะผู้จัดทาคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทารายงานฉบับนี้ จะมีข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษา วรรณคดคี าสอนเร่ืองสุภาษติ สอนหญงิ คณะผจู้ ดั ทา ๒๕/๑๑/๖๔
สำรบญั ๑ เรือ่ ง หนา้ คานา ก สารบญั ข บทนา ๑ เรอ่ื ง ๑. ความหมายของวรรณคดีคาสอนและสภุ าษิต ๒ ๒ ๑.๑ ความหมายของวรรณคดีคาสอน ๓ ๑.๒ ความหมายของสุภาษิต ๔ ๒. ที่มาของวรรณคดคี าสอนเรอ่ื งสภุ าษิตสอนหญงิ ๔ ๒.๑ ประวัติผูแ้ ตง่ ๖ ๒.๒ ประวัติความเป็นมา ๗ ๒.๓ เนอื้ เรื่องย่อ ๑๐ ๓. เน้ือเรื่องของวรรณคดี ๑๐ ๓.๑ ความหมายของคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๘ ประการ ๑๑ ๓.๒ ทมี่ าของคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการ ๑๓ ๓.๓ วเิ คราะหเ์ น้ือเรอ่ื งวรรณคดีทีส่ อดคล้องกับลกั ษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ ๑๖ ๔. หลกั ในการวิเคราะห์วรรณคดี ๑๖ ๔.๑ การวเิ คราะหเ์ น้ือหา ๑๗ ๔.๒ การวเิ คราะห์ดา้ นวรรณศิลป์ ๑๙ ๔.๓ การวิเคราะหค์ ณุ คา่ ทางสังคม ๒๐ ๕. วิเคราะหค์ ณุ คา่ ของวรรณคดี ๒๐ ๕.๑ คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ ๒๔ ๕.๒ คุณคา่ ดา้ นสังคม ๒๘ บทสรปุ ๒๙ บรรณานกุ รม
๒ บทนำ วรรณคดคี าสอนเร่อื งสภุ าษติ สอนหญิง ผูแ้ ต่งคือสนุ ทรภู่ (ภ)ู่ ซงึ่ ทมี่ าของวรรณคดเี รื่องน้ีคือผู้แต่งได้แต่งไว้โดยมี จุดมุ่งหมาย ๒ ประการ ๑. แต่งเพ่ือหารายได้เมื่อตัวเองลาบาก ๒. แต่งเพื่อเป็นสุภาษิตสอนสตรีในการประพฤติและ การปฏิบัติตน วรรณคดีเร่ืองน้ีเป็นวรรณคดีประเภทคาสอนซ่ึงเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นมาเพื่อให้ข้อคิดคติเตือนใจ โดย เน้ือหาส่วนใหญ่สอนเร่ืองการวางตัวในสังคม เช่น เน้ือหาของวรรณคดีคาสอนเร่ืองสุภาษิตสอนหญิงเป็นการกล่าวถึง หลกั ในการปฏบิ ัตติ นของผ้หู ญงิ ท้งั ในเร่อื ง การวางตวั กริ ิยามารยาท การพูดจา การแต่งกาย การเลอื กคู่ครอง การดูแล บา้ นเรือน โดยทาให้ทราบเร่ืองความประพฤติและปฏิบัติตัวของผู้หญิงในสมัยก่อน และยังทาให้ทราบถึงความแตกต่าง ของหญงิ และชาย คอื ผหู้ ญิงไดร้ บั การสัง่ สอนเก่ียวกับงานบ้านงานเรอื น ส่วนผู้ชายน้ันเป็นผู้ทาหน้าที่หาเล้ียงครอบครัว หรอื ทีเ่ รียกกันว่า \"ชา้ งเทา้ หน้า\" การแบง่ หนา้ ทีเ่ ชน่ น้ี จงึ ทาให้ผู้หญงิ มอบความเปน็ ใหญ่ให้ผู้ชาย ผู้หญิงจึงควรปฏิบัติต่อ ผู้ชายตามคาสอนในสุภาษิตสอนหญิง แต่เม่ือเวลาผ่านไป สภาพสังคมมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา ปัจจุบันสุภาษิต สอนหญิงยังคงหลงเหลืออยู่หรือจางหายไป ซึ่งเป็นคาถามท่ีคณะผู้จัดทามีความสนใจหลังจากที่ได้ศึกษาวรรณคดีคา สอนเร่ืองสุภาษิตสอนหญิง โดยมีประเด็นศึกษาหลักๆดังนี้ ประวัติความเป็นมาของวรรณคดีคาสอนสุภาษิตสอนหญิง เนอื้ เร่ืองวรรณคดคี าสอนสุภาษติ สอนหญิง และหลกั ในการวเิ คราะหว์ รรณคดี ซ่ึงสามารถตดิ ตามไดจ้ ากรายงานฉบับนี้
๓ ๑. ควำมหมำยของวรรณคดี ๑.๑ ควำมหมำยของวรรณคดคี ำสอน มูลนิธิสารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน (๒๕๕๕: ออนไลน์) วรรณคดีคาสอน คือ วรรณคดีท่ีแต่งข้ึนเพ่ือให้เป็น ข้อคิดคติเตือนใจ เน้ือหามักจะพูดถึงการวางตัวในสังคม ส่วนใหญ่แต่งเป็นร้อยกรอง เนื้อหาประกอบด้วยคาแนะนาใน ด้านต่างๆ เช่น สอนผู้หญิง ก็สอนให้มีความอ่อนโยนอ่อนหวาน ซ่ือสัตย์ต่อสามี คอยปรนนิบัติสามีให้มีความสุข ขยันหมั่นเพียรในการทางานบ้านงานเรือน ถ้าเป็นคาสอนสาหรับชนชั้นสูง ก็จะสอนให้มีความยุติธรรม ไม่ดื่มสุรา ไม่ รังแกผู้ที่มีฐานะต่ากว่า รักษาวาจาสัตย์ ถ้าเป็นคาสอนคนท่ัวไป ก็จะสอนให้มีวาจาสุภาพ ให้คิดก่อนพูด ไม่ดูถูกผู้ท่ี อ่อนแอกวา่ มคี วามอดทน มีความขยันหมั่นเพยี ร สอนเรอ่ื งการเลือกคู่ มีทั้งในภาคเหนือ เช่น คาสอนพญามังราย โคลง เจ้าวิทูรสอนโลก ภาคใต้ เช่น ลักษณะเมียเจ็ดสถาน สุภาษิตสอนหญิงคากาพย์ และภาคอีสาน เช่น พญาคากองสอน ไพร่ อนิ ทิญาณสอนลูก ทา้ วคาสอน สาทิด แทนบุญ (๒๕๕๘: ออนไลน์) วรรณคดีคาสอนของสุนทรภู่ สวัสดิรักษา เนื้อหาเป็นคาสอนเก่ียวกับการ ปฏิบัติตน พร้อมระบุประโยชน์ท่ีผู้ปฎิบัติตนตามจะได้รับ หรือผู้ท่ีไม่ปฏิบัติตามอาจมีอันตราย เรื่องท่ีสอน ได้แก่ การ รักษาสุขภาพอนามัย การวางตัวในสังคม ฯลฯ วรรณคดีคาสอนของสุนทรภู่ เช่น สุภาษิตสอนหญิง มีเน้ือหาเกี่ยวกับ การสอนผู้หญิงตามค่านิยมของสังคมไทย มีทั้งข้อห้าม และข้อปฏิบัติ ท้ังในเรื่องของกิริยามารยาท การแต่งกาย การ เลือกค่คู รอง การดูแลงานบ้านงานเรือน บทบาทของวรรณคดีคาสอน คือ เพื่ออบรมสั่งสอนคนในสังคม ในวรรณคดีคา สอนของสุนทรภู่ ไดแ้ สดงถงึ การมองโลกอยา่ งเข้าใจวา่ ชีวิตจะต้องเก่ียวข้องกับคนในสังคม จึงควรมีข้อควรปฏิบัติ และ ไมค่ วรปฏิบตั ิ เพอ่ื ใช้ ชวี ติ ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุข วรรณคดคี าสอนน้นั ส่งผลต่อวิถชี ีวติ ของคนในสงั คมไทย โสภา คชรตั น์ (๒๕๕๐: ออนไลน์) วรรณกรรมคาสอน เป็นวรรณกรรมท่ีให้คติสอนใจแก่ผู้อ่านในการดารงชีวิต ให้มีความสุขและเป็นท่ีพึงพอใจของบุคคลในสังคม คาสอนมักเกิดจากประสบการณ์ของผู้ใหญ่ใช้สอนลูกหลาน เพ่ือ สร้างค่านิยมพ้ืนฐานในการใช้ชีวิตในสังคม โดยมีการปลูกฝังต้ังแต่สมัยก่อน จึงทาให้มีวรรณกรรมคาสอนเร่ืองต่างๆ อย่างมากมาย เช่น สุภาษิตพระร่วง เป็นวรรณกรรมคาสอนท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวกับการใช้ชีวิต มีคาสอนท่ีสามารถใช้เป็น แบบแผนในการดาเนินชีวิต ใช้ภายาท่ีบุคคลทุกระดับสามารถเข้าใจได้ สุภาษิตสอนหญิง เนื้อหากล่าวถึงเรื่องการ ประพฤติ และคาแนะนาของผู้หญิงโดยตรง สวัสดิรักษา เน้ือหากล่าวถึงการปฏิบัติในสถานการณ์ต่างๆ เน้นการ ดารงชีวติ อย่างมคี วามสขุ และเน้นศลี ธรรม วรรณกรรมคาสอนน้ัน ให้ท้ังประโยชน์และคุณค่า และยังมีเนื้อหาที่สมบูรณ์ สามารถสอนไดท้ ุกเพศทกุ วยั จากการศึกษาพบว่า วรรณกรรมคาสอน คือ วรรณคดีท่ีแตง่ ข้ึนเพื่อให้เปน็ ข้อคิดคตเิ ตือนใจ เปน็ คาสอนทว่ั ๆไป เพ่ือสรา้ งคา่ นิยมพน้ื ฐานในการใช้ชวี ติ ในสงั คม โดยมีการปลูกฝังตั้งแตส่ มยั กอ่ น จงึ มีวรรณกรรมคาสอนต่างๆมายมาย เพื่อใช้เป็นคาสอนเพ่ือการดาเนินชีวติ ทถี่ กู ต้องไม่ผดิ แบบแผน ซึง่ ในวรรณกรรมคาสอนมักจะมกี ารสอดแทรกสุภาษติ ไว้ ในเน้ือเรื่องอีกดว้ ย
๔ ๑.๒ ควำมหมำยของสุภำษิต เบญจวรรณ สาสุข (๒๕๕๙: ออนไลน์) สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคาหรือข้อความ ที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านาน มี ความหมายในทางบวก มกั เป็นคาตกั เตือนสัง่ สอน มี ๒ ประเภท คอื ๑. สุภาษติ ท่เี ข้าใจได้ทันที ไม่จาเปน็ ตอ้ งแปลความ มกั มีความหมายเปน็ ข้อคดิ คติเตอื นใจ เชน่ ทาดีได้ดี ทาชั่วไดช้ ั่ว ๒. สุภาษิตทีต่ ้องมีการแปลความ หรือตคี วามหมายของสภุ าษติ น้นั ๆกอ่ น ถงึ จะสามารถเขา้ ใจได้ เชน่ ถ่มนา้ ลายรดฟา้ proverbthai.com (๒๕๕๗: ออนไลน์) ความแตกต่างระหว่าง สานวน สุภาษิต และคาพังเพยน้ัน ยากที่จะ แยกออกจากกัน เพราะสานวน สุภาษิตและคาพังเพยน้ัน มีความคล้ายกันมาก แต่จริงๆแล้วยังมีความแตกต่างกัน ๑. สานวน คือ คาพดู ทก่ี ะทดั รัด มักจะมีความหมายโดยนัย เป็นการอุปมา ต้องมกี ารตีความ ปากเสยี ๒. คาพังเพย คือ ถ้อยคาท่ีเปรียบเทียบเหตุการณ์ ที่พบเห็นได้จากคนในสมัยก่อน ไม่เน้นการส่ังสอนแต่มักเสียดสี ประชดประชนั เช่น งมเข็มในมหาสมุทร ๓. สุภาษิต คือ คากล่าวท่ีเป็นคติสอนใจ จึงมีลักษณะเดียวกับสานวน และคาพังเพย แต่มีจุดประสงค์เพื่อสั่งสอน ตกั เตือน ไมเ่ สยี ดสีเหมือนกับคาพังเพย แต่แสดงหลักความจริง และยังรวมถึง สัจธรรม คาสั่งสอนทางศาสนาด้วย เช่น ทาดไี ด้ดี ทาช่วั ได้ชวั่ ตนเปน็ ท่พี ่ึงแหง่ ตน สุภาษิตพาเพลนิ (๒๕๖๐: ออนไลน์) สุภาษิตไทย หรือภาษิต คอื คาที่ใชเ้ พ่ือ กล่าวตกั เตือน สงั่ สอน แนะ ดว้ ย หลักความจริง มกั มีความคลอ้ งจองสืบทอดมาตงั้ แตส่ มยั กอ่ น แตล่ ะชุมชน แต่ละอาชีพ ก็มีสุภาษิตคลา้ ยกนั บ้าง แตกต่างบ้าง เพราะ วัฒนธรรม และการดาเนินชีวติ แตกตา่ งกนั ตัวอย่างสุภาษิตเชน่ จงเอาเย่ยี งกา แตอ่ ย่าเอาอย่างกา หมายความว่า ควรเอาแบบอย่างในสิ่งท่ดี ีเท่านัน้ สง่ิ ทไี่ ม่ดีก็ไม่ควรทาตาม สุภาษิตไทย แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. คาสภุ าษิตประเภทท่ีพูด อ่านหรอื เขา้ ใจเน้ือความได้ทนั ที โดยไมต่ อ้ งแปลความหมาย ๒. คาสุภาษิตประเภทที่พูด อ่านหรอื ฟังแล้วยงั ไมเ่ ข้าใจเนื้อความน้ันในทนั ที ตอ้ งแปลความก่อน สุภาษิต หรอื สภุ าษิตไทย คอื ถ้อยคาหรือข้อความท่ีเปน็ คากล่าวตักเตือน ข้อคตคิ าสอนในการดาเนินชีวติ มมี า ตงั้ แตส่ มยั โบราณ แต่มคี วามหมายที่เป็นความหมายท่ีดี เช่น ทาดไี ด้ดี ทาชั่วได้ชั่ว หมายถึง เราทาสิ่งใดดกี จ็ ะดี ถ้าเรา ทาในสง่ิ ที่ไม่ดีผลไม่ดีกจ็ ะตามมา ยกตวั อยา่ งเชน่ วรรณคดีสภุ าษติ สอนหญงิ ซึ่งเป็นวรรณคดที ่ีแต่งขนึ้ มาเพ่ือใชส้ ุภาษิต ในการสอนผู้หญงิ ให้ปฏิบตั ิตนในสังคมไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเหมาะสม
๕ ๒. ทีม่ ำของวรรณคดีคำสอนเร่ืองสุภำษิตสอนหญิง ๒.๑ ประวัติผแู้ ต่ง Twinkl (ม.ป.ป.) พระสุนทรโวหาร (นามเดิม \"ภู่\") หรือท่ีเรารู้จักกันท่ัวไปว่า \"สุนทร ภู่\" เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ท่ีบริเวณใกล้ \"พระราชวังหลัง\" หรือบริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยในปัจจุบัน ตรงกับรัชสมัย ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บิดาของสุนทรภู่เป็นชาวบ้าน กร่า อาเภอแกลง จังหวัดระยอง ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองอ่ืน ในวัยเด็ก สุนทรภู่อาศัยอยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และมี โอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่าง ๆ ในสานักพระภิกษุที่มีช่ือเสียง สานักชีปะขาว (ปัจจุบันคือวัดศรีสุดาราม) และได้เข้ารับราชการเป็นอาลักษณ์ราชสานัก (หรือผู้ทาหน้าท่ีทางหนังสือในราชสานัก) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ พุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลท่ี ๒ แห่งราชวงศ์จักรี \"สุนทรภู่\" ไม่ใช่ช่ือจริง แต่เป็นนามแฝงท่ีเกิดจากการนาคาว่า \"สุนทร\" ในช่อื บรรดาศักดิ์ \"ขุนสุนทรโวหาร\" ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มารวม กบั ชื่อจรงิ ว่า \"ภู\"่ สุนทรภ่มู ใี จรักด้านกาพย์กลอนและเป็นกวีท่ีมคี วามชานาญทางการประพันธ์เป็นอย่างย่ิง โดยอาจเป็น ผลมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กท่ีมีโอกาสได้ซึมซับความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรม และศิลปะการแสดงต่าง ๆ ใน พระราชวังหลัง สุนทรภู่หม่ันเพ่ิมพูนประสบการณ์ในการประพันธ์ด้วยการรับจ้างแต่งเพลงและบทกลอนมากมายที่มี เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตัวและคารมที่คมคาย สนุ ทรภู่จงึ เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกวี และมีชื่อเสียงมากข้ึนต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ สนุ ทรภู่ไดเ้ ล่ือนตาแหน่งเป็น \"พระสุนทรโวหาร\" เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร ซ่ึงเป็นตาแหน่งราชการสุดท้าย กอ่ นส้ินชีวิตในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ ขณะทอ่ี ายุ ๖๐ ปี และเนือ่ งจากสุนทรภู่มีชีวิตอยู่ในรัชสมัยรัชกาลท่ี ๑ ถึงรัชสมัยรัชกาล ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสนิ ทร์ สุนทรภจู่ งึ ได้รบั สมญานามว่า \"กวสี ่ีแผน่ ดิน\" กระปุกดอทคอม (ม.ป.ป.) สุนทรภู่เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๘ ข้ึน ๑ ค่าปีมะเมีย จุลศักราช ๑๔๘ เวลา ประมาณ ๘.๐๐ น. ซ่งึ ตรงกบั วนั ท่ี ๒๖ มถิ นุ ายน ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๑ บิดามารดาชอื่ ไมป่ รากฏ ทราบเพียงว่ามารดามี เชื้อสายผู้ดีและทาหน้าท่ีเป็นแม่นมของพระธิดาในกรมพระราชวังหลัง ส่วนบิดานั้นบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบ้านกร่า อาเภอแกลง จังหวัดระยอง เม่ือสุนทรภู่โตพอสมควร มารดาได้นาไปฝากให้เรียนหนังสือท่ีวัดชีปะขาว หรือวัดศรีสุดา รามในปัจจุบัน ครั้นมีความรู้ดีแล้ว มารดานาไปฝากเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง แต่อยู่ได้ไม่นานก็ลาออกไปเป็น เสมยี น สุนทรภู่รับราชการไม่กา้ วหนา้ นกั เพราะติดนิสัยรักกาพย์กลอน กระทั่งในสมัยรัชกาลท่ี ๒ จึงเป็นที่ โปรดปราน ให้เป็น \"ขุนสุนทรโวหาร\" (ภู่) เรียกกันสั้นๆ ว่า \"สุนทรภู่\" ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๓ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น \"พระสุนทร โวหาร\" และถึงแกก่ รรมเมอื่ ปเี ถาะพ.ศ. ๒๓๙๘ อายุได้ ๗๐ ปี
๖ สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดหนองคาย (๒๕๕๖: ออนไลน์) สนุ ทรภู่ กวีสาคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดเม่ือวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของ ทา่ นเปน็ ชาวกร่า อาเภอแกลง จงั หวัดระยอง ตามสนั นษิ ฐานว่ามารดาเปน็ ขา้ หลวงอยู่ในพระราชวงั หลงั บิดามารดาเลิก รา้ งกันตั้งแตส่ ุนทรภ่เู กิดบดิ าออกไปบวชที่วัดป่า ตาบลบ้านกร่า อาเภอแกลง อันเป็นภูมิลาเนาเดิม ส่วนมารดากลับเข้า ไปอยูใ่ นพระราชวังหลงั และ ได้ถวายตัวเป็นนามนมของพระธดิ าในกรมฯ ในปฐมวยั สุนทรภู่ไดถ้ วายตัวเป็นมหาดเล็กใน พระราชวังหลัง และได้อาศัยอยู่กับมารดา สุนทรภู่ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและท่ีวัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต้ังแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักการแต่งกลอนย่ิงกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ท่ีวัดศรีสุดารามใน คลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสภุ าษิตและกลอนนิทานขน้ึ ไว้ เม่ืออายุราว ๒๐ ปี ในระยะน้ีได้ลอบรักกับหญิงสาวชาว วังชื่อ \"จันทร์\" จึงต้องเวรจาท้ังชายหญิง เม่ือกรมพระราชวังหลังทิวงคตจึงพ้นโทษ ต่อมาจึงได้แม่จันทร์เป็นภรรยา แต่ อยู่ด้วยกันไม่นานก็เกิดระหองระแหงคงจะเป็นเพราะสุนทรภู่เมาสุราอยู่เป็นนิตย์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ สุนทรภู่ได้ข้ารับ ราชการในกรมพระอาลกั ษณ์ และเป็นท่ีโปรดปรานของสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลัย จนได้รับแต่งตั้งเป็นขุนสุนทรไว หารเป็นกวีท่ปี รกึ ษาและคอยรบั ใชใ้ กล้ชิด ระยะน้สี ุนทรภู่ไดห้ ญิงชาวบางกอกน้อยที่ช่ือ น่ิม เป็นภริยาอีกคนหน่ึง ต่อมา ในราว พ.ศ.๒๓๖๔ สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทาร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไม่นานก็พ้นโทษเพราะ ความสามารถในทางกลอนเป็นที่พอพระราชหฤทัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมัยรัชกาลที่ ๓ สนุ ทรภ่ถู กู กล่าวหาด้วยเรอ่ื งเสพสรุ า และเรอ่ื งอ่นื ๆ จงึ ถกู ถอดออกจากตาแหน่งขุนสุนทรโวหาร ต่อมาสุนทรภู่ออกบวช ที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) และเดินทางไปจาพรรษาตามวัดต่างๆ และได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ จนพระองค์ประชวรส้ินพระชนม์สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท รวมอายุพรรษาท่ีบวชได้ประมาณ ๑๐ พรรษา สุนทรภู่ออกมา ตกระกาลาบากอยู่พักหน่ึงจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหน่ึง แต่อยู่ได้เพียง ๒ พรรษาก็ลาสิกขาบท และถวายตัวอยู่กับเจ้า ฟา้ กรมขุนอิศเรศรงั สรรค์ ณ พระราชวังเดมิ รวมท้งั ได้อุปการะจากกรมหม่ืนอัปสรสุดาเทพอีกด้วย เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นพระบาทสมเด็จพระป่ันเกล้า เจา้ อย่หู ัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักด์ิเป็นพระสุนทรโวหาร ตาแหน่ง เจา้ กรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวงั ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ และรบั ราชการต่อมาได้ ๔ ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ.๒๓๙๘ รวมอายุได้ ๗๐ ปี
๗ จากการศึกษาประวัติของสุนทรภู่ได้พบว่า สุนทรภู่เกิดเดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่าปีมะเมีย จุลศักราช ๑๔๘ เวลา ประมาณ ๘.๐๐ น. ซึ่งตรงกับวันจันทร์ท่ี ๒๖ มิถุนายน ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๑ ท่ีบริเวณใกล้ \"พระราชวังหลัง\" หรือ บรเิ วณสถานรี ถไฟบางกอกนอ้ ยในปัจจุบัน ตรงกบั รัชสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาล ที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บิดาของสุนทรภู่เป็นชาวบ้านกร่า อาเภอแกลง จังหวัดระยอง เม่ือสุนทรภู่โตพอสมควร มารดาได้นาไปฝากใหเ้ รียนหนงั สอื ที่วดั ชีปะขาว หรือวัดศรีสุดารามในปัจจุบัน ครั้นมีความรู้ดีแล้ว มารดานาไปฝากเป็น ข้าในกรมพระราชวังหลัง แต่อยู่ได้ไม่นานก็ลาออกไปเป็นเสมียน สุนทรภู่รับราชการไม่ก้าวหน้านัก เพราะติดนิสัยรัก กาพย์กลอนกระทั่งในสมัยรัชกาลท่ี ๑ จึงเป็นที่ โปรดปรานให้เป็น \"ขุนสุนทรโวหาร\" ( ภู่ ) เรียกกันสั้นๆ ว่า \"สุนทรภู่\" ต่อมาในสมัยรัชกาลท่ี ๓ ได้รับบรรดาศักด์ิเป็น \" พระสุนทรโวหาร \" และถึงแก่กรรมเม่ือปีพ.ศ. ๒๓๙๘ อายุได้ ๗๐ ปี ซ่ึงในรายงานฉบับนี้จะกลา่ วถึงหนง่ึ ในวรรณคดีที่กวีสนุ ทรภู่เป็นผแู้ ตง่ ข้ึน คือ วรรณคดสี ุภาษิตสอนหญิง ๒.๒ ประวัติควำมเป็นมำ นางสาวกุลปรียา มากวัฒนสุข (๒๕๕๖: ออนไลน์) สุภาษิตสอนหญิงน้ี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง พระยาคารงราชานภุ าพทรงให้ความเห็นไว้ว่า\"สุนทรภู่เห็นจะแต่งเมื่อราว พ.ศ.๒๓๘๐ จน พ.ศ. ๒๓๘๓ ในเวลาเม่ือสึก กลับออกมาเป็นคฤหัสถ์แล้วต้องตกยากจนถึงลงลอยเรืออยู่ พิเคราะห์ตามสานวนดูเหมือนวรรณคดีเร่ืองนี้สุนทรภู่จะ แตง่ ขาย กล่าวความเปน็ สุภาษติ สาหรับสตรีสามัญทั่วไป ความไม่บ่งว่าแต่งให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ต้นฉบับเดิมที่หอ พระสมุดฯได้มา เรียกว่าสุภาษิตไทย เป็นคาสมมติของผู้อื่น ดูเหมือนผู้สมมติจะไม่รู้ว่าเป็นกลอนของสุนทรภู่ด้วยซ้าไป ถ้อยคาในต้นฉบับก็วิปลาสคลาดเคล่ือนต้องซ่อมแซมในหอพระสมุดฯหลายแห่งแต่แต่งดีน่าอ่านเหมือ นกัน\"กล่าวโดย สรุปคอื นกั วชิ าการปัจจุบนั ก็มคี วามเหน็ ตรงกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงพระยาดารงราชานุภาพ ว่าสุภาษิต สอนหญงิ นน้ั สุนทรภู่เป็นผแู้ ต่ง โดยมีจดุ มงุ่ หมาย ๒ ประการ คอื ๑. แต่งเพื่อหารายไดเ้ ลีย้ งตัวเองเมือ่ ครั้งตกยาก ๒. แต่งเพื่อเป็นสภุ าษติ สอนใจให้สตรสี มยั นั้นในเรอื่ งของการประพฤตแิ ละปฏิบตั ิตน สภุ าษิตสอนสตรขี องสุนทรภู่ จดั เป็นวรรณคดีคาสอนท่ีแพร่ หลายมากมกั จะเรยี กกันวา่ สุภาษิตสอนหญิง ในสมยั กอ่ นมี การเปรยี บผ้หู ญิงเหมือนผา้ ขาวสะอาด ซง่ึ ถ้าเปรอะเป้ือนส่ิงใดแม้แต่น้อยก็เกิดเปน็ จดุ ตาหนิเสยี แลว้ ดังนั้นคนสมัยก่อน จึงจาเป็นตอ้ งหาวิธหี รือหาแนวทางป้องกันในกรณที ี่ยังไม่เกิดตาหนบิ นผ้าขาว ก่อให้เกิดสภาษติ สอนหญิงขึน้ ในสมัยนัน้ ซ่ึงเปน็ สงิ่ ท่ีป้องกนั แก้ไขตาหนติ า่ ง ๆ ได้เปน็ อย่างดสี ภุ าษิตสามารถจาแนกได้เป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. คาสุภาษิตประเภทท่ี พดู อา่ น หรือเข้าใจเนอื้ ความไดท้ ันที โดยไมต่ ้องแปลความหมาย ตีความหมายเช่นทา ดไี ดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ ว่ั เป็นต้น ๒. คาสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือฟังแล้วยังไม่เข้าใจเนื้อความนั้นในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปล ความตีความหมายเสียก่อนจึงจะทราบเน้ือแท้ของคาเหล่านั้น สุภาษิตสอนหญิง เป็นท่ีรวมแห่งคติในการครองตัวของ หญิงตามวัฒนธรรมไทยด้ังเดิม เป็นท่ียกย่องแพร่หลายสืบต่อกันมาช้านาน แต่ส่วนมากยังคงถือปฏิบัติอยู่ทุกวันน้ี
๘ เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์ โดยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าประพันธ์เร่ืองน้ีข้ึนเมื่อใด เน้ือหาเป็นการสอนสตรี ใน ด้านตา่ ง ๆ เชน่ การวางตัว การเจรจา การเลือกคู่ เปน็ ต้น ธนัชพร ทิมคา (๒๕๖๒: ออนไลน)์ สภุ าษติ สอนหญงิ น้ี สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมหลวงพระยาดารงราชานุ ภาพทรงให้ความเห็นไว้ว่า\"สุนทรภู่เห็นจะแต่งเม่ือราว พ.ศ.๒๕๘๐ จน พ.ศ. ๒๕๘๓ ในเวลาเม่ือสึกกลับออกมาเป็น คฤหัสถ์แล้วต้องตกยากจนถึงลงลอยเรืออยู่ พิเคราะห์ตามสานวนดูเหมือนวรรณคดีเรื่องนี้สุนทรภู่จะแต่งขาย กล่าว ความเป็นสุภาษิตสาหรับสตรีสามัญทั่วไป ความไม่บ่งว่าแต่งให้แก่ผู้หน่ึงผู้ใด โดยเฉพาะ ต้นฉบับเดิมท่ีหอพระสมุดฯ ได้มา เรียกว่าสุภาษิตไทย เป็นคาสมมติของผู้อื่น ดูเหมือนผู้สมมติจะไม่รู้ว่าเป็นกลอนของสุนทรภู่ด้วยซ้าไปถ้อยคาใน ตน้ ฉบับกว็ ิปลาสคลาดเคล่ือนตอ้ งซ่อมแซมในหอพระสมดุ ฯหลายแห่งแต่แต่งดนี ่าอ่านเหมือนกัน\" เกรด็ ความรู้.net (๒๕๖๒: ออนไลน์) สุภาษติ สอนหญงิ นับได้วา่ เป็นบทประพนั ธช์ ้ืนเอกของสุนทรภู่ หรือ พระ สนุ ทรโวหาร กวเี อกของไทยและของโลก ซ่ึงมีชวี ิตอยู่ในช่วงปี พ.ศ. ๒๓๒๙ - พ.ศ. ๒๓๙๘ หรอื ในรัชสมยั รชั กาลท่ี ๑ ถึงรชั การท่ี ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์บทประพนั ธ์เรือ่ งสุภาษิตสอนหญิงน้นั ไม่ปรากฏปีที่ประพันธอ์ ย่างชดั เจน มเี น้ือหาท่ี เป็นการสอนผู้หญงิ ในคา้ นต่างๆ เพื่อการเปน็ กุลสตรี ท่ดี ี เช่น การวางตัวท่ีเหมาะสม การพดู เจรจา การเลือกคู่ครอง เป็นต้น มที ันสมยั และใชไ้ ด้ทุกยุคทุกสมยั มีความไพเราะมาก สัมผสั นอกสมั ผัสในงดงามตามแบบฉบับของสุนทรภู่ ผู้มี ความสามารถทางดา้ นโคลงฉันท์กาพย์กลอนและภาษาไทยในช้ันครู ไมม่ ีใครสามารถเทียบได้ โดยสรุป สภุ าษิตสอนหญิงเป็นบทประพันธ์ช้ืนเอกของสุนทรภู่ หรือ พระสุนทรโวหาร กวีเอกของไทยและของ โลก เป็นสภุ าษติ สาหรับสตรีสามญั ทวั่ ไป ความไม่บ่งว่าแต่งให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ต้นฉบับเดิมท่ีหอพระสมุดฯได้มา เรียกว่าสุภาษติ ไทย สภุ าษติ สอนหญงิ เป็นที่รวมแหง่ คติในการครองตัวของหญิงตามวัฒนธรรมไทยด้ังเดิม เป็นท่ียกย่อง แพร่หลายสืบต่อกันมาช้านาน แต่ส่วนมากยังคงถือปฏิบัติอยู่ทุกวันน้ี เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์ โดยไม่ ปรากฏแน่ชัดว่าประพันธ์เรื่องนี้ข้ึนเมื่อใด โดยเนื้อหาของสุภาษิตสอนหญิงเป็นการสอนผู้หญิง ในด้านต่างๆ เช่น การ วางตัว การเจรจา การเลอื กคู่ เปน็ ต้น ๒.๓ เนอื้ เรอื่ งย่อ ณฐั กาญจน์ นาคนวล (ม.ป.ป.) เน้อื หาของสภุ าษิตสอนสตรีเป็นหลกั ประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจาวัน ทั้งส่วนที่ เกย่ี วกบั ครอบครัวและเกยี่ วกับสังคม เป็นคาสอนทีใ่ ชไ้ ด้กบั สตรีทุกชนชั้น มีท้ังข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติ และมีตัวอย่าง ผลร้ายเมื่อไม่ปฏิบัติตามและผลดีเม่ือปฏิบัติตามคาสอนคาสอนเริ่มจากเรื่องการแต่งกาย ให้สตรีแต่งกายอย่างพอดี เหมาะสมตามฐานะและเหมาะกับรปู รา่ งหนา้ ตาของตน การแต่งหน้าแต่งผมก็ให้สุภาพ แต่งแต่พองามอย่างคนรู้จักแต่ง จึงจะเป็นท่ีชื่นชมแก่ผู้ที่พบเห็นกวีสอนเร่ืองการแสดงกิริยาในท่ีสาธารณะ เช่น ให้เดินอย่างระมัดระวังและสงบเสง่ียม ไม่ไกวแขนมากไปจนสุดแขน ไม่ขยับผ้านุ่งผ้าแถบหรือเสยผมขณะท่ีเดิน การพูดต้องพูดอย่างมีสติ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ในท่ี สาธารณะให้สารวมกิริยา ไม่ชม้ายชายตาให้ผู้ชายความขับย้ังช่ังใจท่ีจะแสดงอารมณ์รักก็เป็นเร่ืองสาคัญสาหรับสตรี
๙ ความรักระหว่างหญงิ ชายเป็นเรือ่ งธรรมดา แตห่ ญงิ จะต้องรู้เท่าทันความรักของชาย ว่ารักแบบจริงจังหรือรักเพื่อหลอก เชยชม จะต้องไมใ่ จเรว็ และอย่าเชอ่ื แมส่ อื่ มากนัก ต้องฟงั หไู ว้หู เพราะหากตัดสินใจพลาดก็จะต้องเสียใจอยู่ฝ่ายเดียวกวี สอนเร่ืองการเลือกสามี โดยยกตัวอย่างชายช่ัวหลายจาพวก เช่น พวกสูบฝิ่นกินสุราจะไม่ยอมทามาหากินคอยแต่ เบียดเบียนเงินทองของภรรยาหรือไปฉกชงิ วิง่ ราวมาซ้ือสง่ิ เสพตดิ พวกนกั เลงหัวไม้จะทาให้เดือดร้อนใจ ต้องคอยหาเงิน ทองมาไถ่ตัวเมื่อสามีต้องโทษ พวกติดพนันก็จะทาให้เสียทรัพย์ เมื่อเสียพนันมากเข้าก็อาจขายภรรยาได้ สตรีท้ังหลาย จึงควรหลีกเส่ียงชายช่ัวเหล่านี้ อย่าเลือกมาเป็นสามีกวีเน้นย้าเร่ืองการมีสามีว่าเป็นเรื่องสาคัญสาหรับสตรี จึงต้อง ระมดั ระวังและไม่ชิงสุกก่อนห่าม ให้เช่ือฟังคาส่ังสอนของผู้ใหญ่ ไม่หลงเช่ือคารมของชายที่เฝ้าแต่ป้อนคาหวาน ถ้าเขา รักจรงิ ก็ควรจะมาสู่ขอกบั พ่อแม่ตามประเพณี ไม่ใช่ให้ผู้หญิงหนีไปอยู่ด้วยกัน ทาให้พ่อแม่อับอายและเส่ือมเสียช่ือเสียง วงศ์ตระกูล ฉะน้ันลูกผู้หญิงจะทาอะไรต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ ต้องรักนวลสงวนตัว ครองตนให้เป็นศรีแก่ครอบครัว เปน็ ความภาคภูมิของวงศ์ตระกูลการมีคู่ควรรอให้ถึงเวลาอันเหมาะสม ระหว่างน้ันก็เตรียมตนให้พร้อมสาหรับการเป็น แม่เรือน ไม่เกียจ คร้านการงาน คอยดูแลเหย้าเรือนมิให้บกพร่อง ต้องรู้จักประหยัด กตัญญูต่อบิดามารดา สตรี ที่ อปุ ถัมภแ์ ทนคุณบิดามารดาจะได้รับกุศลอันย่ิงใหญ่และเทวดาจะสรรเสริญ ส่วนสตรีที่เนรคุณบิดามารดา ตายไปจะตก นรก อยู่บนโลกเทพเจ้าก็สาปแช่งให้ทุกข์ใจและจะประสบแต่ความพินาศการพูดจาไม่ควรตะคอกหรือใช้คาหยาบ โดยเฉพาะผ้ทู มี่ อี าชพี ค้าขายถา้ พดู จาดีกจ็ ะขายดมี ีกาไร กาพดู ท่ไี พเราะช่วยให้มีคนเมตตา สตรีท่ีดีต้องระมัดระวังตัวทุก อริ ิยาบถ ไปนอนเรือนผอู้ ืน่ ตอ้ งไม่ต่นื สาย ควรหัวเราะและย้ิมแต่พอดีและควรแต่งกายแต่พองามสตรีสามัญพึงเสียเวลา กับการแต่งตัวเฉพาะเมื่อมีงานเทศกาลเท่าน้ัน ในเวลาปกติต้องให้ความสาคัญกับกิจการงานเรือน หมั่นหาวิชาความรู้ ประดับตน เพราะเมือ่ ต้องคุมบ่าวไพร่ในเรือนเจ้านายต้องเก่งกว่าบ่าวให้เกรงกลัวท่ีจะทาชั่ว อย่าใช้เงินเกินฐานะ ไม่ไป ทาตัวแข่งกบั ชาววงั ถา้ ใช้เงนิ หรอื แต่งตวั ตามเขาจะเดือดร้อน ธนชั พร ทมิ คา (๒๕๖๒: ออนไลน)์ สภุ าษติ สอนหญงิ เป็นการแต่งไปเรื่อยและเทา่ ที่ใจกวอี ยากจะแตง่ ไม่ไดว้ าง โครงเรื่องไว้กอ่ นแต่ง แต่ก็คงใจความสาคัญ นนั่ คือทุกบทกลอนจะกล่าวสอนสตรเี พศ ตักเตือนอีกท้ังยกตัวอย่างให้เห็น อย่างเป็นรปู ธรรมในตอนตน้ เป็นบทประณามพจน์ หรอื เรียกง่าย ๆ คือ บทไหวค้ รู
๑๐ KWANNIE (๒๕๖๔:ออนไลน)์ ในสมัยกอ่ นมีการเปรยี บผ้หู ญงิ เหมือนผ้าขาวสะอาด ซงึ่ ถ้าเปรอะเป้อื นส่งิ ใด แม้แตน่ ้อย ก็เกิดเป็นจุดตาหนิเสยี แลว้ และตาหนทิ วี่ ่าน้กี ็เกิดไดโ้ ดยง่ายนกั ดังนนั้ คนสมัยกอ่ นจึงจาเปน็ ต้องหาทาง ปอ้ งกันในกรณีท่ีขังไม่เกิดตาหนใิ นผ้าขาว และหาทางแก้ไขในกรณีทไี่ ด้เกิดขน้ึ แล้ว จงึ ได้มีสุภาษติ หรอื สภุ าษิตสอนหญิง เกดิ ขน้ึ ในสมยั น้ัน ซ่ึงเป็นส่งิ ที่ปอ้ งกนั แก้ไขตาหนิต่างๆได้เป็นอย่างดี สภุ าษติ ไดแ้ ก่คาพูดทีพ่ ูดออกมา ไมว่ า่ จะเป็น ทานองสานวนโวหาร หรอื คาพงั เพย แตม่ เี นื้อความหรือความหมายท่ดี ี เปน็ คาตักเตอื นส่ังสอน และสะกิดใจให้ระลึกถึง อยเู่ สมอ มีอยู่ ๒ ประเภท คอื ๑. คาสภุ าษิตประเภทท่ี พูด อ่าน หรอื เข้าใจเน้ือความได้ทันที โดยไมต่ ้องแปลความหมาย ตีความหมายเช่น ทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชวั่ ๒. คาสภุ าษิตประเภทที่พดู อ่าน หรอื ฟงั แลว้ ยังไม่เข้าใจเน้ือความน้นั ในทนั ที ต้องนกึ ตรึกตรอง ต้องแปลความ ตคี วามหมายเสียก่อนจึงจะทราบเนื้อแท้ของคาเหลา่ น้ัน เช่น ผีบ้านไม่ดีผีปา่ ก็พลอย สุภาษติ สอนหญงิ เปน็ ทร่ี วมแห่ง คติในการครองตัวของหญงิ ตามวฒั นธรรมไทยดงั้ เดิม เป็นที่ยกยอ่ งแพร่หลายสบื ต่อกนั มาชา้ นาน สว่ นมากคงถือปฏบิ ตั ิ ทกุ วนั น้ี จะมเี ลกิ ถอนตามคตินยิ มอย่างใหม่บ้างเพยี งบา้ งประการ เชน่ การกราบเท้าสามเี ม่อื เข้านอน หรอื การ รบั ประทานอาหารหลังสามีเป็นตน้ เรือ่ งยอ่ ของวรรณคดีสุภาษิตสอนหญิงมีความว่า สุภาษิตสอนหญิงมีไว้เพื่อสอนสตรีให้ประพฤติตน ปฏิบัติตน ใหเ้ หมาะสมกบั สตรี ไม่ว่าจะเป็นในเรอ่ื งของการแตง่ กาย กริ ยิ ามารยาท วาจา ในสมัยก่อนมีการเปรียบผู้หญิงเหมือนผ้า ขาวสะอาด ไม่ให้มีตาหนิ สุภาษิตสอนหญิงเป็นคาสอนประเภทกลอน ตักเตือนอีกท้ังยกตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็น รูปธรรมในตอนต้นเป็นบทประณามพจน์ หรือเรียกง่ายๆ คือ บทไหว้ครู และบทถัดไปเป็นเน้ือเรื่องของวรรณคดี โดย เกย่ี วกับคาสอนของวรรณคดีสภุ าษิตสอนหญงิ มีเนอื้ หาสอดคล้องกับคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการในปจั จบุ ัน
๑๑ ๓. เนอ้ื เรื่องของวรรณคดี ๓.๑ ควำมหมำยของคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประกำร สุภัชฌาน์ ศรีเอ่ยี ม/ จนั ทร์ฤดี ภาคตอน (๒๕๖๓:ออนไลน์) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง คุณภาพของ ผู้เรยี นในดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ มทกี่ าหนดขึ้น โดยพิจารณาจากสภาพของสังคม และการเปล่ียนแปลงของโลก ยุคปัจจุบัน ซ่ึงทาให้มีความจาเป็นต้องเน้น และปลูกฝังลักษณะดังกล่าวให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนทุกคนเพ่ือช่วยให้ผู้เรียน เกิดการพัฒนาในองค์รวมท้ังด้านสติปัญญา และคุณธรรม อันจะนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงสงบสุขใน สังคม ท้งั ในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๕) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (๒๕๔๒) และแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี ๒) (พ.ศ.๒๕๔๕:ออนไลน์) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง ลักษณะท่ีต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน อันเป็น คุณลักษณะท่ีสังคมต้องการในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสานึก สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมี ความสุข ท้ังในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก (กลุ่มส่งเสริมการเรียนการสอนและประเมินผล สานักวิชาการ และ มาตรฐานการศึกษา, ๒๕๔๘: ๒) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กาหนด คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคไ์ ว้ ๘ ประการ ไดแ้ ก่ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุง่ มัน่ ในการทางาน รักความเป็นไทย มจี ติ สาธารณะ อิทธิวิธิ สินศิริ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ หมายถึง คุณภาพของผู้เรียนด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ที่กาหนดข้ึน โดยพิจารณาจากสภาพของสังคม และการเปลี่ยนแปลง ของโลกยุคปัจจุบันซึ่งทาให้มี ความ จาเป็นต้องเน้นและ ปลูกฝังลักษณะดังกล่าวให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนทุกคนเพื่อช่วยให้ผู้เรียน เกิดการพัฒนา ในองค์ รวมทัง้ ด้านสตปิ ัญญา และคณุ ธรรม อันจะนาไปสูค่ วามเจริญกา้ วหน้าและ ความมน่ั คง สงบสขุ ในสังคม จากการศึกษาลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ สามารถสรุปได้ดังนี้คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง คุณภาพของผู้เรียนในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสานึก อันเป็นคุณลักษณะที่สังคมต้องการ จึงทาให้มีความ จาเปน็ ต้องเนน้ และปลูกฝังลกั ษณะดังกล่าวให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนทุกคนเกิดการพัฒนาในองค์รวมท้ัง ด้านสติปัญญา และคุณธรรม อันจะนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ความม่ันคง และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ อย่างมีความสุข ทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลกซึ่งในการพัฒนาตัวผู้เรียนในปัจจุบันให้มีศักยภาพมากย่ิงขึ้น กระทรวงศึกษาธกิ ารจงึ ไดม้ กี ารกาหนดคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการขน้ึ
๑๒ ๓.๒ ท่มี ำของคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประกำร กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ.๒๕๔๕: ออนไลน์) สาหรับการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ นับเป็น หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่ง เป็นกาลงั ของชาตใิ ห้เปน็ มนษุ ย์ท่ีมคี วามสมดุลทง้ั ด้านรา่ งกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจิตสานกึ ในความเป็นพลเมืองไทยและ เป็นพลโลก ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะ พื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็น สาคญั บน พื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็น คนดี มีปัญญา มีความสขุ มีศกั ยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพ่ือให้เกิด กับผู้เรียน เม่ือจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของ ตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง มีความรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมี ทักษะชีวิต ซ่ึงในการพัฒนาผู้เรียนตาม หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียน เกิดสมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ท่ีมุ่ง พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็น พลเมืองไทยและพลโลก คณุ ลักษณะ อันพงึ ประสงค์ทง้ั ๘ ข้อน้ี ได้แก่ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มี วนิ ยั ๔. ใฝเ่ รียนรู้ ๕. อย่อู ยา่ งพอเพยี ง ๖. มุ่งม่ันในการทางาน ๗. รักความเปน็ ไทย ๘. มีจิตสาธารณะ บุญรอด ชาติยานนท์ (๒๕๖๑:ออนไลน์) การจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ เป็นหลักสูตรแกนกลางที่กาหนดคุณลักษณะของผู้เรียน สถานศึกษาต้องนากรอบแนวคิดไปจัดการเรียนการ สอนให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ ให้เป็นพลเมืองท่ีดี มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะขั้น พ้ืนฐาน ประกอบอาชีพได้ตามควรแก่วัยตามความสามารถและความถนัดของตน ทาคุณประโยชน์แก่สังคมและ ประเทศชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้เกิดคุณลักษณะท่ีเกิดข้ึนกับผู้เรียนเม่ือจบการศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยมีคุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มทพี่ งึ ประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาท่ีตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีความรู้อันเป็นสากล และมีความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยแี ละมีทกั ษะชวี ติ มสี ุขภาพกายและสุขภาพจิตท่ีดี มสี ขุ นสิ ัย และรักการออกกาลังกาย มี ความรกั ชาตมิ จี ติ สานึกในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลกยึดม่ันในวิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะท่ีมุ่งทาประโยชน์และสร้างส่ิงดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ซ่ึง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ มีกรอบการพัฒนาผู้เรียนในด้านคุณธรรมจริยธรรมให้มี
๑๓ คณุ ลักษณะท่ีสังคมและชาติต้องการ สามารถอยใู่ นสงั คมร่วมกับผอู้ นื่ อยา่ งมีความสขุ ทง้ั ในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก ได้กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ ๘ ประการคือ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝเ่ รียนรู้ ๕. อยอู่ ย่างพอเพียง ๖. มุ่งม่ันในการทางาน ๗. รกั ความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ นางสาวจติ ตินนั ท์ ดหี ลาย (๒๕๖๑:ออนไลน์) ในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ ๒๑ โดยมุ่ง ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถ ทางานร่วมกับผู้อ่ืน และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติคุณลักษณะอันพึงประสงค์ท่ีต้องการให้เกิด ขน้ึ กับผู้เรียนอันเป็นคุณลักษณะท่ีสังคมต้องการ ในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสานึก สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในสังคมไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะท่ีจาเป็นสาหรับการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลง และแสวงหาความรู้เพอ่ื พฒั นาตนเองอยา่ งต่อเน่ืองตลอดชีวติ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ไดก้ าหนดคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ไว้ ๘ ประการ ได้แก่ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซ่ือสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งม่ันในการทางาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ เป็นมนุษย์ท่ีมีความ สมดุล ทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดม่ันในการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมท้ังเจตคติท่ีจาเป็นต่อ การศกึ ษาต่อการประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชวี ิต จากการศึกษาความหมายของลักษณะอันพึงประสงค์ สามารถสรุปได้ดังน้ี การจัดการศึกษาตามหลักสูตร แกนกลางศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เป็นหลักสูตรแกนกลาง โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่มีความสมดุล ทง้ั ด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเปน็ พลเมอื งไทยและพลเมืองโลกยึดม่ันในการปกครองตามระบอบ ประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชวี ิต จึงกาหนดเป็นจดุ หมายเพอ่ื ให้เกิดขน้ึ กบั ผเู้ รยี นเม่ือจบการศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตัวเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนบั ถือ ยึดหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มคี วามรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแก้ปญั หา การใช้เทคโนโลยแี ละมีทักษะชีวิตและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมีความสุขซึ่งในการพัฒนา ผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ ๘ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ๒. ซ่ือสตั ย์สจุ ริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรยี นรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งม่ันในการ ทางาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งของรายงานน้ีได้มีการวิเคราะห์คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ๘ ประการที่ปรากฏอยใู่ นวรรณคดสี ภุ าษิตสอนหญงิ
๑๔ ๓.๓ วิเครำะหเ์ นอื้ เรอ่ื งวรรณคดีทส่ี อดคล้องกับลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประกำร ๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ประนมหัตถน์ มัสการขึน้ เหนือเศยี ร ต่างประทีปโกสมุ ปทุมเทียน จานงเนยี รนบบาทพระศาสดา อันเป็นม่ิงโมลสี ่ีทวีป (บทไหวค้ รู หน้าที่ ๑) จากบทประพันธเ์ ปน็ การการประนมมอื เป็นรูปดอกบัวตมู ข้ึนเหนอื ศีรษะ การต้ังใจกราบไหว้ นอบน้อมต่อพระ ศาสดา การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งเป็นคุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงการเคารพนบนอบต่อพระศาสดา และการมี ความเช่ือ ความศรทั ธาตอ่ ศาสนาตามคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ๘ ประการในเรอ่ื งของการรกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ๒. ซื่อสัตย์ จะมีค่กู ใ็ ห้รูป้ รนนบิ ตั ิ จงซ่ือสตั ยส์ จุ รติ จติ ถนอม อยา่ คิดรา้ ยแยกย้ายทาแปลกปลอม มโนนอ้ มเสน่หาต่อสามี (บทที่ ๑๘ หนา้ ที่ ๑๑) จากบทประพนั ธ์เปน็ การสอนผู้หญิงวา่ หากมคี ู่ให้คอยดแู ลเอาใจใส่ และซ่อื สตั ย์ตอ่ ค่ขู องตนเอง อย่าคิดร้ายหรือ คิดนอกใจต่อสามี ซึ่งเป็นคุณลักษณะท่ีสอนถึงการใช้ชีวิตคู่กันอย่างซ่ือสัตย์และคอยดูแลเอาใจใส่ซ่ึงกันและกันตาม คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของความซ่ือสตั ย์ เอาความสตั ยต์ ัดต้ังปฏิญาณ ถงึ เกิดการยากเขญ็ ไมเ่ ปน็ ไร จงซื่อตอ่ ภัสดาสวามี จนชีวีศรสี วัสดิ์เจ้าตัดษัย (บทท่ี ๑๘ หนา้ ที่ ๑๒) จากบทประพันธ์เป็นการสอนว่า ให้เอาความจริงซื่อสัตย์ต้ังเป็นปฏิญาณคือคาม่ันสัญญาด้วยใจบริสุทธ์ิแม้จะ ยากแค่ไหนก็ไม่เป็นไรให้ซื่อสัตย์ต่อสามีไปจนตาย ซ่ึงเป็นคุณลักษณะท่ีสอนให้ซ่ือสัตย์ไปตลอดตามคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ๘ ประการในเรือ่ งของความซื่อสตั ย์
๑๕ ๓. มวี ินัย เป็นตารบั แบบฉบบั ไปยดื ยาว ในเรือ่ งราวสุภาษติ ลขิ ติ ความ ข้อไหนชวั่ แลว้ อย่ามวั ไปขนื ทา จงจดจาบุญบาปอยา่ หยาบหยาม เกบ็ ประกอบเอาแต่ชอบในเรอ่ื งความ ประพฤติตามห้ามใจเสยี ให้ดี อย่าฟงั เปลา่ เอาแต่กลอนสนุ ทรเพราะ จงพิเคราะห์คาเลศิ ประเสรฐิ ศรี ไว้เป็นแบบสอนตนพ้นราคี กันบัดสีคาคอ่ นคนนนิ ทา (บทที่ ๒๔ หนา้ ๑๔) จากบทประพันธ์เป็นการสอนสตรีให้มีวินัยประพฤติตนตามสุภาษิตสอนหญิงฉบับนี้ ข้อไหนไม่ดีไม่ควรทา ทา แต่เร่ืองที่ดีๆ ให้คอยทาตามที่สอน ไม่ใช่ฟังเพราะว่าไพเราะ ให้วิเคราะห์ให้ดีแล้วทาเป็นตามท่ีสอนจะได้ไม่ถู กผู้อื่น นินทา ซงึ่ เป็นคณุ ลกั ษณะทส่ี อนใหม้ ีวินัยทาตามทสี่ อนตามคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๘ ประการในเรอ่ื งของการมีวนิ ยั ๔. ใฝเ่ รียนรู้ รวู้ ชิ าก็ให้รูเ้ ปน็ ครูเขา จงึ จะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย มขี ้าไทใชส้ อยค่อยสบาย ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง การวิชาหาประดับสาหรบั ร่าง อยา่ เอาอยา่ งหญิงโกงทโี่ ฉงเฉง (บทท่ี ๑๐ หนา้ ท่ี ๖) จากบทประพันธ์สอนในเร่ืองของการขวนขวายหาวิชาความรู้ใส่ตน ให้รู้จักใช้ปัญญาปกครองคน หากเป็น เจา้ นายท่ีโงเ่ งา่ ไมม่ ีปญั ญา เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่ จะทาให้ไม่มีบ่าวไพร่หรือลูกน้องคนใดอยากที่จะเคารพยาเกรงได้ ซ่ึง เปน็ คุณลักษณะทแ่ี สดงออกถงึ ความตั้งใจ เพียรพยายามในการแสวงหาความรู้ใส่ตน ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเร่ืองของการใฝ่เรยี นรู้ ๕. อยูอ่ ยา่ งพอเพียง มีสลึงพงึ ประจบให้ครบบาท อยา่ ใหข้ าดสิง่ ของตอ้ งประสงค์ จงมักนอ้ ยกนิ นอ้ ยค่อยบรรจง อยา่ จ่ายลงให้มากจะยากนาน ไมค่ วรซ้ือก็อย่าไปพิไรซ้อื ใหเ้ ป็นม้อื เป็นคราวท้งั คาวหวาน (บทท่ี ๗ หนา้ ที่ ๕) จากบทประพันธ์สอนในเรื่องการประหยัดอดออม การเก็บเงินให้เพ่ิมพูนมากขึ้น ไม่ใช้จ่ายส้ินเปลือง ต้องใช้ จ่ายซื้อแตข่ า้ วของทจ่ี าเป็น ส่ิงใดไม่ควรซ้อื ก็ไมค่ วรซอ้ื ใหร้ จู้ ักระมัดระวงั ไม่ประมาทในการใช้เงนิ มนี ้อยก็ใช้น้อย อย่าใช้ จ่ายเกินตัว เพราะจะทาให้ยากจนได้ในภายหลัง ซึ่งเป็นคุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงการดาเนินชีวิตอย่างพอประมาณ มี เหตผุ ล และรอบคอบ ตามคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการในเร่ืองของการอยอู่ ย่างพอเพียง
๑๖ ๖. มุง่ มน่ั ในการทางาน อย่าเกยี จคร้านการสตรจี งนิยม จะอดุ มสินทรัพยไ์ ม่อับจน ถ้าแมน้ ทาส่ิงใดให้ลบอก อยา่ ท้ิงทอดเทย่ี วไปไม่เปน็ ผล เขม้นขะมักรักงานการของตน อย่าซุกซนคบเพอ่ื นไพลเ่ ชือนแช (บทที่ ๗ หนา้ ที่ ๔) จากบทประพันธ์เป็นการสอนว่าหากไม่เกียจคร้านการงาน เก็บออมไม่ยากจน ถ้าทาส่ิงใดให้ทาตลอดอย่าง สม่าเสมอ ให้รักในการงานของตนเอง อย่ามัวเที่ยวเล่นกับเพ่ือนฝูง ซ่ึงเป็นคุณลักษณะท่ีสอนให้ไม่เกียจคร้านการงาน ตงั้ ใจทางานตามคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ๘ ประการในเรอ่ื งของการมงุ่ มน่ั ในการทางาน ๗. รักความเปน็ ไทย ผใู้ ดเกิดเป็นสตรีอนั มีศักดิ์ บารุงรักกายไว้ให้เป็นผล สงวนงามตามระบอบใหช้ อบกล จึงจะพน้ ภัยพาลการนินทา (บทท่ี ๑ หนา้ ที่ ๑) จากบทประพนั ธ์สอนในเรือ่ งของการเกดิ เป็นผหู้ ญิงซง่ึ เป็นผู้ทมี่ ศี ักดิ์ศรใี นตนเองควรจะปฏิบัติตนให้สมกับความ เป็นกุลสตรี ตอ้ งไม่ใจง่าย ใหร้ กั นวลสงวนตัว รู้จักบารุงรักษาร่างกายของตน ตามขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อเป็นการรักษาศักดิ์ศรีและมิให้ผู้อื่นมานินทาได้ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่แสดงออกถึงการปฏิบัติตนตาม ขนบธรรมเนยี มประเพณขี องไทย ตามคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๘ ประการในเร่ืองของการรกั ความเป็นไทย ๘. จติ สาธารณะ จะสอนใจไวท้ ุกส่ิงเปน็ หญงิ สาว ให้พน้ คาวขา่ วชั่วเข้าม่วั สมุ ให้ผันผอ่ นเหมือนหนงึ่ นอนในห่วงรุม จงสขุ ุมคิดแบง่ ใหเ้ บาบาง อย่าทานอกลักษณะจะเป็นโทษ ตดั ประโยชนพ์ ี่นอ้ งเขาหมองหมาง (บทท่ี ๙ หนา้ ที่ ๕) จากบทประพันธ์สอนให้สตรีคิดให้ดีเสียก่อนจะทาอะไรให้เหมาะสม หากทาตัวไม่เหมาะสมก็จะส่งผลเสียต่อ ตนเองและครอบครัวเดือดร้อนไปด้วยจึงควรนึกถึงสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น ซ่ึงเป็นคุณลักษณะท่ีสอนให้มีจิต สาธารณะตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของการมีจิตสาธารณะนอกเหนือจากคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ๘ ประการที่ปรากฏอยูใ่ นสภุ าษติ สอนหญิงแล้วยงั คงมคี ุณค่าดา้ นเนอื้ หาท่ีปรากฏอยู่ในวรรณคดีอีกด้วย ดังน้ัน เราจึงจาเปน็ ทีจ่ ะต้องทราบหลักการวเิ คราะห์เพื่อนามาใช้วิเคราะหค์ ณุ คา่ ด้านเนื้อหาของวรรณคดี
๑๗ ๔. หลกั ในกำรวิเครำะหว์ รรณคดี ๔.๑ กำรวิเครำะห์คุณคำ่ ด้ำนเนอ้ื หำ โรงเรียนสรรพวิทยาคม (๒๕๕๘: ออนไลน์) คุณค่าด้านเนื้อหา หมายถึง ใจความของเรื่อง รายละเอียดใน เหตุการณ์ต่างๆ ประกอบไปด้วย ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ บทสนทนาของตัวละคร การวิเคราะห์จึงต้องวิเคราะห์จาก องค์ประกอบเหล่านี้ว่าครบถ้วน สมจริง มีเหตุผล อย่างไร มีคุณค่ามากกว่าความสนุกสนานหรือไม่ และยังต้องมีความ ไพเราะของบทประพันธ์ การวิเคราะหอ์ งค์ประกอบเนอ้ื หาจะมงุ่ วิเคราะหไ์ ปทป่ี ระโยชน์และคณุ ค่า สมเกียรติ ครูดา คาแหง (๒๕๕๔: ออนไลน์) คุณค่าด้านเน้ือหา แนวคิดและค่านิยมจากวรรณกรรม แนวคิดท่ี ปรากฏในวรรณกรรม หมายถึง ความคิดสาคัญของเร่ืองท่ีให้ประโยชน์ ท้ังโดยตรงและโดยอ้อม เช่น แนวคิดเก่ียวกับ ความเชอ่ื เร่ืองบุญกรรม ความรกั ชาติ ความกตญั ญกู ตเวที ความซื่อสัตย์ บญุ กวา้ ง ศรสี ทุ โธ (๒๕๖๑: ออนไลน์) การพิจารณาคุณค่าด้านเน้ือหา มีแนวทางในการพิจารณาดังต่อไปนี้ ๑. รูปแบบ พจิ ารณาวา่ งานประพันธน์ น้ั ใชค้ าประพันธช์ นดิ ใด ลักษณะการแต่งถูกต้องตามลกั ษณะฉันทลกั ษณ์ หรอื ไม่ ผู้แตง่ เลอื กใชค้ าประพนั ธไ์ ด้เหมาะสมกบั เนื้อหาหรือไม่ ๒. สาระ พจิ ารณาสาระทผ่ี ้แู ต่งตอ้ งการสือ่ มายังผอู้ า่ นว่าเป็นเรื่องอะไร ๓. โครงเร่ือง พจิ ารณาว่าผู้แต่งมวี ธิ กี ารวางโครงเรื่องอยา่ งไร การลาดับความเปน็ ไปตามลาดบั ขน้ั ตอนหรือมีวิธกี ารวาง ลาดับเร่อื งน่าสนใจ ๔. ตวั ละคร พจิ ารณาวา่ ตวั ละครในเร่ืองมีลักษณะนิสัย บุคลกิ ภาพและบทบาทในเรอื่ งสมจริง ๕. ฉากและบรรยากาศ ผู้แต่งบรรยายฉากและบรรยากาศได้เหมาะสม ถูกต้อง ชัดเจน เหน็ ภาพและสอดคล้องกับเร่ือง ไดด้ ี จากการศึกษาหลักการวิเคราะห์วรรณคดีด้านเนื้อหาสรุปได้ว่า คุณค่าด้านเน้ือหา หมายถึง ใจความสาคัญ แนวคิดท่ีปรากฏ รายละเอียดของเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในวรรณกรรมเร่ืองนั้นๆ ประกอบไปด้วย ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ บทสนทนาของตวั ละคร การวิเคราะห์จึงต้องวิเคราะห์จากองค์ประกอบเหล่าน้ีว่าครบถ้วน สมจริง มีเหตุผล และรวมถงึ ประโยชนข์ องเน้อื หา มคี ุณค่าทม่ี ากกว่าความบันเทิง ให้ประโยชน์หรือข้อคิดในการดาเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็น โดยตรงหรือโดยอ้อม ซ่ึงการวิเคราะห์คุณค่าด้านเน้ือหามีหลักการ ๕ อย่าง ได้แก่ วิเคราะห์รูปแบบการประพันธ์ เหมาะสมกบั เรื่องหรือไม่ วิเคราะห์สาระท่ีผู้แต่งต้องการส่ือ วิเคราะห์โครงเร่ืองท่ีควรเป็นลาดับขั้น วิเคราะห์ตัวละครมี ความสมจริงมากน้อยเพียงใด วิเคราะห์ฉากและบรรยากาศถูกต้อง เหมาะสมกับเน้ือเรื่อง และนอกจากคุณค่าด้าน เน้อื หาซึง่ ควรให้คุณคา่ ทัง้ ความบนั เทิงและประโยชน์ในการดาเนินชีวิตแล้วนั้น คุณค่าทางวรรณศิลป์ก็มีความสาคัญต่อ ความร้สู กึ ของผูอ้ ่านเช่นกัน
๑๘ ๔.๒ กำรวิเครำะห์คุณค่ำด้ำนวรรณศลิ ป์ ภทั รวรรธน์ ปจิ จวงค์ (๒๕๕๑: ออนไลน)์ คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์ วรรณคดที ีไ่ ด้รับยกย่องต้องมีการประพันธ์ทีด่ ี เยย่ี ม การใช้คาต้องเหมาะสมถกู ต้องตรงความหมาย เหมาะกับเน้ือเรอื่ งมีเสียงเสนาะ เป็นไปตามฉันทลักษณ์ สามารถ ทาใหผ้ ้อู ่านจนิ ตนาการตามเนื้อเรื่องได้ และตอ้ งเข้าใจสานวนโวหารและภาพพจน์ ดังน้ี ๑. การใช้โวหาร มี 5 ประเภท ดังน้ี บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร สาธกโวหาร อปุ มาโวหาร ๒. การใชภ้ าพพจน์ เปน็ การพลิกแพลงภาษาให้แปลกออกไปกวา่ ทเ่ี ป็นอย่ปู กติ ทาใหเ้ กิดการกระทบความรสู้ ึกและ อารมณ์ต่างกับภาษาท่ใี ช้อยา่ งตรงไปตรงมา ได้แก่ อุปมา อุปลักษณ์ อตพิ จน์ บุคคลวัต สัทพจน์ ๓. การเลน่ เสียง คือการเลอื กสรรคาที่มีเสยี งสัมผัสกนั ได้แก่ การเลน่ เสียงอักษร เสยี งสระ และเสยี งวรรณยุกต์ เพื่อ เพิ่มความไพเราะและแสดงความสามารถของกวที แ่ี มจ้ ะเลน่ เสียงของคาแต่ยังคงความหมายไว้ ๔. รสทางวรรณคดีไทย มีอยู่ ๔ ชนิด คือ เสาวรจนี (ชมความงาม) นารีปราโมทย์ (ชมนาง) พิโรธวาทัง (โกรธ) สัลลาปงั คพไิ สย (เศรา้ ) อักษรวดี กงทา (๒๕๖๔: ออนไลน์) ตามพจนานุกรรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการแต่งหนังสือ ศิลปะทางวรรณกรรม วรรณกรรมที่ถึงข้ันวรรณคดี วรรณศิลป์เป็นองค์ประกอบที่สาคัญซ่ึง ช่วยส่งเสริมให้วรรณกรรมมีคุณค่า มีลักษณะดีเด่นทางด้านวิธีแต่ง การเลือกใช้ถ้อยคา สานวน เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง และการวิเคราะห์คุณค่าทางวรรณศิลป์ ผู้วิเคราะห์จะต้องมีความรู้ ต้องศึกษาตั้งแต่การเลือกชนิดคาประพันธ์ การ ตกแตง่ ถอ้ ยคาให้สละสลวย และทาให้ผูอ้ ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม ๑.การใชโ้ วหาร ๑.๑ บรรยายโวหาร คอื การเล่าเร่ือง เลา่ เหตกุ ารณ์ท่มี เี วลาสถานท่ี ซง่ึ แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ตอ่ เนื่องกนั การบรรยายมจี ดุ มุ่งหมายให้ผู้อา่ นเข้าใจว่าเร่อื งราวนนั้ ๆ ๑.๒ พรรณนาโวหาร คอื โวหารทีใ่ ชก้ ล่าวถึงเร่ืองราว สถานท่ี บุคคล ส่งิ ของ หรอื อารมณอ์ ย่างละเอียด สอดแทรกอารมณ์ ความรสู้ ึกลงไปเพ่ือโน้มน้าวใจ ให้ผ้รู บั สารเกิดภาพพจน์ เกิดอารมณ์คลอ้ ยตามไปด้วย ๑.๓ เทศนาโวหาร คอื โวหารท่มี งุ่ ในการส่งั สอน โนม้ นา้ วจิตใจผอู้ า่ นให้คล้อยตาม ๑.๔ สาธกโวหาร คอื โวหารท่ีมจี ดุ ม่งุ หมายเพื่อใหเ้ กิดความชดั เจนดว้ ยการยกตวั อยา่ ง ๑.๕ อปุ มาโวหาร คอื โวหารเปรียบเทียบส่ิงหนงึ่ กับอกี ส่ิงหนึ่ง เพอ่ื ใหผ้ ู้อา่ นเข้าใจมากข้ึน
๑๙ ๒. การใชภ้ าพพจน์ ๒.๑ อปุ มา คือ การเปรียบเทียบสงิ่ หน่ึงคล้ายหรอื เหมือนกับอกี สิ่งหนงึ่ ๒.๒ อปุ ลักษณ์ คือ การเปรยี บสงิ่ หนึ่งเปน็ อกี ส่ิงหนึ่ง แตกต่างจากการอุปมาโดยอปุ ลักษณม์ กั ใช้คาว่า เปน็ คือ ๒.๓ อตพิ จน์ คอื การกลา่ วผิดไปจากความเปน็ จรงิ ๒.๔ บคุ คลวัต คอื การกล่าวถึงส่งิ ท่ไี ม่มีชวี ติ จติ ใจให้มีการกระทาเหมือนมนุษย์ ๒.๕ สทั พจน์ คอื การเลยี นเสียงธรรมชาติ ๒.๖ นามนยั คอื การท่เี ราใชช้ ่ือส่วนประกอบทโี่ ดดเดน่ ของสง่ิ หนง่ึ แทนส่งิ น้ัน ๆ ทัง้ หมด ๒.๗ สญั ลักษณ์ คือ การแทนสิ่งใดสิ่งหนึง่ โดยไมต่ อ้ งใช้คาอธบิ าย ซง่ึ ต้องใช้คาท่ีคนสว่ นใหญร่ ู้จักเหมอื นกัน ๒.๘ ปฏิพากย์ คอื การใช้ถอ้ ยคาทม่ี คี วามหมายตรงกนั ขา้ มหรอื ขัดแย้งกันมากลา่ ว เพอื่ เพม่ิ น้าหนกั มากยิ่งขึน้ ๓. การเลน่ เสยี ง ๓.๑ การเลน่ เสยี งพยญั ชนะ คือ การใช้คาทมี่ เี สียงพยญั ชนะต้นเดียวกนั หลายๆ พยางคต์ ดิ กนั ๓.๒ การเล่นเสยี งสระ คอื การใชส้ ัมผสั สระทม่ี ีเสยี งตรงกัน มตี วั สะกดต้องเป็นตัวสะกดในมาตราเดยี วกัน ๓.๓ การเล่นเสยี งวรรณยกุ ต์ คอื การใช้คาท่ีไล่ระดับเสยี ง เชน่ ร้น-ร่น, ลวง-ล่วง-ลว้ ง ๔. การเลน่ คา คือ กลวธิ กี ารเลือกสรรคามาใชใ้ นบทประพันธใ์ หม้ คี วามไพเราะยงิ่ ข้นึ จิรายทุ ธ เชื้อดวงผูย (๒๕๕๖: ออนไลน์) การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ต้องศึกษาต้ังแต่การเลือกชนิดคา ประพันธ์ให้เหมาะสมกับประเภทของงานเขียน การรู้จักตกแต่งถ้อยคาให้ไพเราะสละสลวยอันเป็นลักษณะเฉพาะของ ภาษากวี และทาให้ผู้อ่านเกิดความสะเทือนอารมณ์ ภาษากวีเพ่ือสร้างความงดงามไพเราะแก่บทร้อยแก้วหรือร้อย กรองน้ัน มีหลกั สาคญั ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกัน ๓ ดา้ น ดงั น้ี ๑. การสรรคา คือ การเลือกใชค้ าใหส้ ่ือความคดิ ความเขา้ ใจ ความรู้สกึ และอารมณ์ได้อย่างงดงาม โดย คานึงถึงความงามด้านเสียง โวหาร และรปู แบบคาประพันธ์ ๒. การเรยี บเรยี งคา คือ การจัดวางคาทเี่ ลือกสรรแล้วให้มาเรยี งรอ้ ยกนั อย่างต่อเนื่องตามฉนั ทลักษณ์ ๓. การใช้โวหาร คอื การใชถ้ ้อยคาเพ่อื ให้ผอู้ า่ นเกดิ จนิ ตนาการตามเน้ือเรื่องได้ หลักในการวิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ นักวิชาการได้สรุปว่า ตามพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการแต่งหนังสือ ศิลปะทางวรรณกรรม ซึ่งวรรณศิลป์เป็นองค์ประกอบสาคัญที่ช่วย สง่ เสรมิ ใหว้ รรณกรรมมคี ณุ ค่า และมีลักษณะดีเด่น เชน่ การเลือกใชถ้ อ้ ยคา สานวน ให้เหมาะสมกับเน้ือเรื่อง การทาให้ ผอู้ ่านสามารถจินตนาการ มอี ารมณเ์ ข้าถึงเนอ้ื เรอื่ งได้ ดงั น้นั การวิเคราะหค์ ณุ ค่าทางวรรณศิลป์ ผู้วิเคราะห์จะต้องศึกษา ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับวรรณศิลป์ประเภทต่างๆ ที่มีในวรรณกรรม โดยหลักการวิเคราะห์วรรณศิลป์มีด้วยกัน ๔ ประการ คอื การใชโ้ วหาร การใชภ้ าพพจน์ การเลน่ เสียง และการเลน่ คา
๒๐ ดังน้ันคุณค่าด้านวรรณศิลป์มีความสาคัญต่อความรู้สึกของผู้อ่านมาก เนื่องจากวรรณศิลป์เป็นการส่ืออารมณ์ ความหมาย เนื้อเร่ือง ของผู้แต่งไปถึงผู้อ่าน ซ่ึงผู้อ่านจะเข้าใจหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการส่ือความของผู้แต่ง และ หากมี คณุ คา่ ด้านวรรณศิลปแ์ ลว้ แตว่ รรณคดีเร่ืองนน้ั ยงั ขาดประโยชนเ์ พ่ือสงั คม กไ็ ม่ถือว่าเปน็ วรรณคดที ค่ี วรได้รับการยกย่อง ดงั น้นั ในวรรณคดีจงึ ควรมีคณุ ค่าด้านสงั คมอยู่ด้วย ๔.๓ กำรวิเครำะห์คณุ คำ่ ด้ำนสงั คม โรงเรียนสรรพวิทยาคม (๒๕๕๘: ออนไลน์) คุณค่าด้านสังคม คือ ภาพสะท้อนวิถีชีวิตของคนที่สะท้อนมาจาก วรรณคดแี ละวรรณกรรม โดยนิยมแทรกไวใ้ นเนื้อเรื่อง เช่น ประเพณี ความเช่ือ ค่านิยม การดาเนินชีวิต วรรณกรรมจึง เป็นสงิ่ ท่ีบอกเลา่ เรอื่ งราวของคนในอดตี ไดเ้ ปน็ อย่างดี สมเกียรติ ครูดา คาแหง (๒๕๕๔: ออนไลน์) คุณค่าด้านสังคม คือเน้ือหาท่ีเป็นหลักฐาน ทาให้ผู้อ่านได้ทราบ ความจริงเกี่ยวกับความ เปล่ียนแปลงของสังคม ค่านิยมและทัศนะของบุคคลในสมัยที่วรรณกรรมเรื่องน้ันเกิดขึ้น เช่น ค่านยิ มเร่ืองการทาบุญทาทาน การชอบความสนกุ สนานร่นื เริง การนยิ มใชข้ องตา่ งประเทศ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏกาแพงเพชร (๒๕๕๔: น. ๖) การพิจารณาคุณค่าด้านสังคมเป็นการพิจารณาถึงคุณค่าบท ประพันธ์ว่า ผู้แต่งมีจุดประสงค์อย่างไรในการจรรโลงสังคม การพิจารณาน้ันสามารถพิจารณาได้จาก ทรรศนะ คติ เตือนใจ คา่ นิยม วฒั นธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี ซง่ึ ผแู้ ต่งมกั จะสอดแทรกอยู่ในเน้อื เรอื่ งบทประพนั ธ์ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คุณค่าด้านสังคม คือภาพสะท้อนวิถีชีวิตผู้คนในสมัยของวรรณกรรมน้ันๆ ซ่ึงสามารถ วิเคราะหไ์ ด้จากเน้อื เรื่อง ที่มกั จะมกี ารสอดแทรกไว้ เชน่ ประเพณี วฒั นธรรม ความเชื่อ ค่านิยม และคติเตือนใจ ดังนั้น วรรณกรรมจงึ เป็นสงิ่ ท่ีบอกเลา่ เร่ืองราวของผูค้ นและการเปลยี่ นแปลงไปของสังคม ตั้งแต่อดีตถงึ ปจั จุบันได้เป็นอยา่ งดี ซึ่งจากหลักในการวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดี มี ๓ ประการ คือ คุณค่าด้านเน้ือหา คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คณุ ค่าดา้ นสงั คม โดยการวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดีในรายงานฉบับนี้ จะวิเคราะห์วรรณคดีคาสอนเร่ืองสุภาษิตสอน หญิง
๒๑ ๕. วเิ ครำะห์คณุ คำ่ ของวรรณคดี ๕.๑ วิเครำะหค์ ณุ คำ่ ดำ้ นวรรณศลิ ป์ นูรฮายาตี แอเสาะ (๒๕๕๗: ออนไลน์) ภาพพจน์ คือ กลวิธีการนาเสนอสารโดยการพลิกแพลงภาษาที่ใช้พูด หรือเขยี นให้แปลกออกไปจากภาษาตามตัวอักษรทาให้ผู้อ่านเกิดภาพในใจ เกิดความประทับใจ เกิดความรู้สึกสะเทือน ใจ เปน็ การเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ภาพอย่างชัดเจน ประเภทของภาพพจน์มีดังนี้ ๑. อุปมาโวหาร อุปมา คือ การเปรียบเทียบว่าส่ิงหนึ่งเหมือนกับส่ิงหน่ึงโดยใช้คาเช่ือมท่ีมีความหมายเช่นเดียวกับคาว่า \"เหมือน\" เชน่ ดุจ ดั่ง ราว ราวกับ เปรียบ ประดุจ เฉก เล่ห์ ปาน ประหน่ึง เพยี ง เพย้ี ง พา่ ง ปูน ถนัด กล อย่าง ฯลฯ ๒. อปุ ลักษณ์ อุปลักษณ์ ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่เป็นการเปรียบเทียบส่ิงหนึ่งเป็น อีกสิ่งหนึง่ โดยจะมคี าวา่ เปน็ กับคอื ๓. สัญลกั ษณ์ สญั ลักษณ์ เปน็ การเรยี กชื่อสง่ิ ๆหนงึ่ โดยใชค้ าอ่นื มาแทน ไมเ่ รียกตรงๆ สว่ นใหญ่คาที่นามาแทนจะเป็นคา ท่ีเกิดจากการเปรยี บเทยี บและตคี วาม ซง่ึ ใช้กันมานานจนเป็นทเี่ ข้าใจและรจู้ ักกนั โดยทว่ั ไป ๔. บุคลาธิษฐาน บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต บุคคลสมมติ คือการกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ท่ีไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด ไม่มี วิญญาณ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ อิฐ ปูน หรือส่ิงมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ โดยให้ส่ิงต่างๆเหล่านี้ แสดงกิริยาอาการ และความรู้สึกได้เหมือนมนุษย์ ให้มีคุณลักษณะต่างๆ เหมือนส่ิงมีชีวิต (บุคลาธิษฐาน มาจากคาว่า บุคคล + อธิษฐาน หมายถงึ อธิษฐานให้กลายเป็นบุคคล) ๕. อธิพจน์ คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อสร้างและเน้นความรู้สึกและอารมณ์ ทาให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกท่ีลึกซ้ึง ภาพพจนช์ นิดนน้ี ยิ มใชก้ นั มากแมใ้ นภาษาพูด เพราะเป็นการกล่าวท่ีทาให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้ อย่างชดั เจน ๖. สทั พจน์ หมายถึง ภาพพจน์ท่ีเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสยี งดนตรี เสียงสตั ว์ เสยี งคลืน่ เสยี งลม เสียงฝนตก เสียงน้า ไหล ฯลฯ การใช้ภาพพจนป์ ระเภทน้จี ะทาให้เหมอื นได้ยนิ เสยี งน้นั จริง ๆ ๗. นามนยั นามนัย คอื การใช้คาหรือวลีซึ่งบง่ ลกั ษณะหรือคณุ สมบัตขิ องส่งิ ใดสิ่งหนึ่งแทนอกี สิ่งหนงึ่ คล้ายๆ สัญลักษณ์ แต่ต่างกันตรงท่ี นามนัยน้ันจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของส่ิงหน่ึงมากล่าวให้หมายถึงส่วนทั้งหมด หรือใช้ช่ือ ส่วนประกอบสาคญั ของสง่ิ น้ันแทนสงิ่ นน้ั ทั้งหมด ๘. ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์ คือการใช้ถ้อยคาที่มีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลืนกันเพ่ือ เพ่ิมความหมายใหม้ นี า้ หนกั มากย่งิ ขึ้น
๒๒ อกั ษรวดี กงทา (๒๕๖๔: ออนไลน์) การใชภ้ าพพจน์ ๑. อุปมา คอื การเปรียบเทยี บสงิ่ หนึง่ คล้ายหรอื เหมือนกับอกี ส่ิงหนง่ึ ๒. อุปลกั ษณ์ คือ การเปรยี บสิ่งหนง่ึ เปน็ อีกสิ่งหนึ่ง แตกตา่ งจากการอุปมาโดยอุปลกั ษณ์มักใช้คาว่า เปน็ คอื ๓. อตพิ จน์ คอื การกลา่ วผดิ ไปจากความเปน็ จรงิ ๔. บคุ คลวัต คอื การกล่าวถึงสง่ิ ที่ไมม่ ีชีวิตจติ ใจใหม้ ีการกระทาเหมือนมนษุ ย์ ๕. สทั พจน์ คอื การเลียนเสียงธรรมชาติ ๖. นามนัย คอื การที่เราใชช้ อื่ สว่ นประกอบทโ่ี ดดเดน่ ของสิ่งหนึ่งแทนสงิ่ นนั้ ๆ ทัง้ หมด ๗. สัญลักษณ์ คอื การแทนสิ่งใดส่งิ หน่งึ โดยไม่ตอ้ งใชค้ าอธบิ าย ซ่งึ ต้องใช้คาทคี่ นสว่ นใหญร่ ูจ้ ักเหมอื นกนั ๘. ปฏพิ ากย์ คอื การใช้ถอ้ ยคาทีม่ คี วามหมายตรงกนั ข้ามหรอื ขดั แยง้ กนั มากล่าวอย่างเพือ่ เพิ่มนา้ หนกั มากยง่ิ ขน้ึ วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘, หน้า ๓๑๒ – ๓๑๔) ภาพพจน์มี ๗ ประเภท ดงั นี้ ๑. อปุ มา คือ การเปรียบเทยี บโดยการนาของ 2 สิ่งที่ต่างพวกกันมาเปรียบเทียบกัน มักมีคาว่าเหมือน ดัง ดุจ เฉก ราว (กบั ) ปาน ประหนงึ่ เพียง กล คลา้ ย เปน็ คาเช่อื ม ๒. อุปลักษณ์ คือ การเปรียบเทียบโดยเปรียบส่ิงหน่ึงเป็นอีกสิ่งหน่ึง คาที่ใช้เปรียบเทียบ ได้แก่คาเป็นคือ เท่า เรียกให้ เขา้ ใจง่ายว่า “การเปรยี บเป็น” ๓. อธพิ จน์ คือ การกล่าวเกินความจรงิ เพอ่ื เน้นข้อความให้มีน้าหนกั ยง่ิ ขน้ึ และให้มคี วามร้สู กึ เพิ่มข้ึน ๔. บคุ คลวตั หรอื บคุ ลาธษิ ฐาน คือ การทาใหส้ ิ่งตา่ ง ๆ ที่ไมใ่ ชม่ นุษยท์ ากิรยิ าอาการหรือมคี วามรสู้ ึกเหมือนมนษุ ย์ ๕. สัทพจน์ คือ ภาพพจน์ทีเลียนเสียง (สัท=เสียง) หรือแสดงลักษณะอาการต่าง ๆ อาจเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติ เสียงสตั ว์รอ้ ง เสียงเครอื่ งคนตรี เสียงเคร่ืองใช้ หรอื ลกั ษณะอาการตา่ ง ๆ ๖. นามนยั คือ การทเี่ ราใชช้ ื่อสว่ นประกอบท่ีโดดเด่นของส่ิงหนง่ึ แทนส่ิงน้นั ๆ ทง้ั หมด และส่วนประกอบดังกล่าวกับสิ่ง นั้นมคี วามสัมพันธเ์ ก่ียวข้องกัน ๗. สัญลักษณ์ คือ การเอาส่ิงที่เป็นรูปธรรมอย่างใดอย่างหน่ึงแทนสิ่งท่ีเป็นนามธรรม ทาให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซ้ึง โดยไม่ตอ้ งใช้คาอธิบาย
๒๓ ดงั นนั้ จึงสรุปได้ว่า ภาพพจน์คือ การใช้ถ้อยคาอย่างมีศิลปะ โดยการเปรียบเทียบ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจอย่าง ลึกซ้ึง ชัดเจน และยังมีความไพเราะในการเลือกใช้คา ทาให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการตามได้ และคณะผู้จัดทาจึงใช้เกณฑ์ การวิเคราะห์ภาพพจน์ เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีคาสอนเรื่อง สุภาษิตสอนหญิง และอ้างอิงตามเนื้อเร่ืองของวรรณคดีจาก สุภาษิตสอนหญิง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกณฑ์การ วเิ คราะห์ภาพพจนม์ ีดังนี้ ๑. อปุ มา คือ การเปรยี บเทียบว่าสง่ิ หน่ึง “เหมือน” กับสง่ิ หนง่ึ โดยใช้คาเชอ่ื มท่ีมีความหมายเช่นเดียวกับคาว่า \"เหมือน\" เช่น ดจุ ดง่ั ราว ราวกับ เปรียบ ประดจุ ฯลฯ ๒. อุปลกั ษณ์ คลา้ ยกับอปุ มา คือเป็นการเปรียบเทยี บ แต่เปน็ การเปรียบเทียบส่ิงหนึ่ง “เป็น” อีกส่ิงหน่ึง โดยจะมีคาว่า เปน็ คือ ๓. สัญลักษณ์ เป็นการเรียกชื่อส่ิงๆหน่ึงโดยใช้คาอ่ืนมาแทน ส่วนใหญ่คาท่ีนามาแทนจะเป็นคาที่ใช้กันมานานและรู้จัก กันโดยทั่วไป ท้ังนี้อาจเป็นเพราะผู้ประพันธ์ต้องการเปรียบเทียบเพ่ือสร้างภาพพจน์หรืออาจจะอยู่ในภาวะท่ีกล่าว โดยตรงไม่ได้ เพราะไม่สมควรจึงตอ้ งใชส้ ัญลกั ษณ์แทน ๔. บคุ ลาธิษฐาน คือ การกล่าวถึงส่ิงต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ โดยให้สิ่งต่างๆเหล่าน้ี แสดงกิริยาอาการและ ความรสู้ ึกไดเ้ หมอื นมนษุ ย์ ๕. อธิพจน์ คือ การกล่าวเกินความจริง เพ่ือสร้างและเน้นความรู้สึกและอารมณ์ ทาให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ภาพพจนช์ นดิ นี้นยิ มใช้กนั มากแม้ในภาษาพูด เพราะเป็นการกล่าวที่ทาให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้ อยา่ งชัดเจน ๖. สัทพจน์ หมายถึง ภาพพจน์ท่ีเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงสัตว์ เสียงฝนตก เสียงน้าไหล เสียงดนตรี ฯลฯ การใช้ ภาพพจนป์ ระเภทน้ีจะทาใหเ้ หมอื นไดย้ ินเสียงนั้นจรงิ ๆ ๗. นามนัย คือ การใช้คาหรือวลีซึ่งบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของส่ิงใดสิ่งหน่ึงแทนอีกสิ่งหนึ่ง คล้ายๆ สัญลั กษณ์ แต่ ต่างกันตรงท่ี นามนัยน้ันจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหน่ึงมากล่าวให้หมายถึงส่วนทั้งหมด หรือใช้ช่ือส่วนประกอบ สาคัญของสง่ิ นั้นแทนสิง่ น้ันทัง้ หมด ๘. ปฏิพากย์ หรอื ปรพากย์ คือการใช้ถ้อยคาท่ีมีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันมากล่าว เพื่อเพ่ิมความหมายให้ มีนา้ หนักมากยิ่งข้นึ
๒๔ โดยจากรายละเอียดการวิเคราะห์ ศึกษาพบว่าวรรณคดีสุภาษิตสอนหญิงนั้น มีการใช้ภาพพจน์ท้ังสิ้น ๔ ประเภท ได้แก่ อปุ มา อุปลกั ษณ์ สัญลกั ษณ์ และอธพิ จน์ ซ่งึ ศึกษาได้ดงั นี้ ๑. อปุ มา เชน่ เป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด ก็หมายมาดเหมอื นมณีอนั มีคา่ แม้นแตกร้าวรานรอ่ ยถอยราคา จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง (บทท่ี ๑ หนา้ ท่ี ๑) ผแู้ ตง่ ได้เปรยี บการปฏบิ ัติตนอยา่ งดีเหมือนกับอัญมณีที่มคี ่า ใครเห็นน้องต้องนยิ มชมไม่ขาด วา่ ฉลาดแตง่ ร่างเหมอื นอยา่ งหงส์ ถึงรปู งามทรามสงวนนวลอนงค์ ไมร่ ้จู กั แต่งทรงกเ็ สียงาม (บทท่ี ๒ หนา้ ท่ี ๑) ผแู้ ต่งไดเ้ ปรยี บถงึ การแตง่ ตวั ของผู้หญิงวา่ ถ้าหากรจู้ กั แตง่ ตวั จะมแี ตค่ นชมวา่ ฉลาดท่รี ูจ้ ักแต่งตวั เหมือนกับ หงสท์ ่มี ีความสวยงาม ๒. อปุ ลักษณ์ เชน่ อันแมส่ ่ือคือปีศาจที่อาจหาญ ใครบนบานเขา้ สักหน่อยกพ็ ลอยโผง อยา่ เช่อื นักมกั ตับจะคับโครง มันชกั โยงอยากกนิ แต่สินบน (บทท่ี ๔ หนา้ ที่ ๓) ผแู้ ตง่ ได้เปรียบว่าแม่สอื่ คือปีศาจทไ่ี ม่ควรเช่อื ถือ เพราะมักจะตอ้ งการแต่เงินเท่าน้ัน ๓. สญั ลกั ษณ์ เช่น ทเ่ี กดิ มาเปน็ นารไี ม่มคี า่ จะเกดิ มาทาไมใหห้ มองหมาง เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไมเ่ ว้นวา่ ง จะเอาอย่างนางโมราฤๅวา่ ไร (บทท่ี ๑๖ หนา้ ท่ี ๑๐) ผู้แต่งไดก้ ลา่ วว่าถ้าการเกดิ มาเป็นผู้หญิงแล้วปฏิบัติตนไม่ดีไม่มีค่า จะปฏิบัติแบบนางโมราจากเรื่อง จันทโครพ ซ่ึงมีสองรักและลงั เลไม่สามารถเลอื กได้
๒๕ ๔. อธพิ จน์ เช่น ถ้าเราดีมจี ิตคดิ อปุ ถมั ภ์ กศุ ลลา้ เลศิ เทา่ ภูเขาหลวง จะปรากฏยศยง่ิ สิง่ ทง้ั ปวง กวา่ จะลว่ งลุถึงซึ่งนิพพาน (บทที่ ๗ หนา้ ท่ี ๕) ผู้แต่งกลา่ วถึงการมจี ติ ใจดี มีความเมตตา กจ็ ะมีกศุ ลผลบุญทมี่ ากมายเทา่ ภูเขา ซ่ึงเปน็ การใชอ้ ธพิ จน์ กลา่ วเกิน จริง เพือ่ ใหเ้ ห็นภาพอย่างชดั เจน จากการวเิ คราะห์จะเหน็ ไดว้ า่ มีการสอดแทรกภาพพจน์อยใู่ นบทประพนั ธ์ เพื่อให้ผอู้ า่ นเกดิ ความชดั เจน จาก การใช้ภาพพจนป์ ระเภทตา่ งๆ โดยจากการศึกษาจะพบภาพพจน์ ๔ ประเภท ได้แก่ อปุ มา อุปลกั ษณ์ สญั ลักษณ์ และ อธิพจน์ นอกจากภาพพจน์แล้ว จากการศึกษายงั พบคุณค่าดา้ นสังคมท่สี อดแทรกอย่ใู นบทประพนั ธอ์ ีกด้วย ๕.๒ วิเครำะห์คุณคำ่ ดำ้ นสงั คม นางสาวกลุ ปรียา มากวฒั นสขุ (๒๕๕๖: ออนไลน์) ๑. ขนบธรรมเนียม การแตง่ วรรณคดรี ้อยกรองสมยั โบราณ ต้องมีบทไหวค้ รู ๒. ค่านิยมเรื่องความสาคญั ของการพูด ๔. คา่ นิยมเรื่องการรกั นวลสงวนตัวของสตรี ๕. คา่ นยิ มเรื่องการแต่งกาย ๖. คา่ นิยมเรื่องการปฏบิ ตั ติ วั ตอ่ สามี ๗. คา่ นยิ มเรอ่ื งกิรยิ ามารยาทของสตรี ๘. ค่านยิ มเรื่องการเลอื กคู่ครอง ๙. ลักษณะของสตรีชาววัง ๑๐. คา่ นิยมการเป็นแม่ศรเี รือน นางสาวธนัชพร ทมิ คา (๒๕๖๒:ออนไลน์) ๑. การรกั นวลสงวนตัว –ไมช่ ิงสกุ ก่อนห่าม ๒. การแตง่ กาย -ไมแ่ ต่งตวั เยอะจนเกนิ งาม ๓. การนอน-ไมน่ อนต่ืนสาย -ไม่นอนดิน้ ๔. การเดิน -ไม่เสยผมขณะเดิน ไมเ่ ดินแกวง่ แขนมากเกนิ ไป ๕. การฟัง -ฟังหไู ว้หู ไม่เชอ่ื คาพูดของใครง่าย ๆ ๖. การพูด-คิดก่อนพดู –ไม่พูดตะคอก -ไม่พูดคาหยาบ ๗. การเลอื กคู่ครอง ๘. การเลือกคบเพื่อน
๒๖ ๙. การประหยดั -หมน่ั ออมเงินและไม่ใช้เงนิ ฟุ่มเฟือย ๑๐. กตญั ญูต่อบดิ ามารดา ๑๑. การมีสติอยู่เสมอ ๑๒. การรกั เดยี วใจเดยี ว ๑๓. การอ่อนนอ้ มถ่อมตน -ไมอ่ วดร่าอวดรวย-ไมโ่ ออ้ วดยศถาบรรดาศักดิเ์ กนิ จรงิ ๑๔. หน้าทข่ี องภรรยาโดยกวนี น้ั ได้บรรยายลกั ษณะนิสัยของผหู้ ญิงและผชู้ ายท่ีไม่ดีเอาไว้ด้วย เพอ่ื ให้หลบหลกี อย่าคบ หาคนพวกน้ี เชน่ - ผหู้ ญงิ ท่ชี อบแอบอา้ งว่าตนเองน้นั เปน็ ผดู้ ี เป็นลูกหลานคนมชี อ่ื เสียง - ผู้หญงิ ใจง่าย รักสนุก - ผูช้ ายทกี่ ินเหลา้ เมายา คบดว้ ยก็มีแต่จะนาความจนมาสคู่ รอบครวั - ผู้ชายท่เี กยี จคร้านการงาน ขี้ขโมย - ผู้ชายทีช่ อบเลน่ การพนนั นางสาวลักขณา ไวยเนตร (๒๕๕๖: ออนไลน์) การรู้จักประมาณตน วรรณคดีสอนหญิงแนวขนบน้ันได้สอนให้ ผู้หญิงรู้จักประมาณตนในเร่ืองการใช้ชีวิตและการรู้จักประมาณตน ในเร่ืองฐานะความเป็นอยู่ซ่ึงเป็นคาสอนท่ีดีเพราะ ผู้หญิงในสมัยก่อนนั้นจะต้องดูแลเรื่องคาใช้จ่ายภายในบ้านทั้งหมด สามีมีหน้าท่ีในการหารายได้มาให้เพียงอย่างเดียว เท่าน้ัน การท่ีกวีสอนให้ผู้หญิงรู้จักประมาณตนในเร่ืองดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมมาก คาสอนน้ียังมีผลมีถึงยุค ปัจจุบนั อกี ดว้ ย การรูจ้ กั เลอื กคบเพอื่ น การเลอื กคบเพ่อื นถือไดว้ า่ เปน็ เรอื่ งทส่ี าคญั มากสาหรับคนทุกเพราะบางท่ีการที่เราจะดี หรือไมด่ กี ข็ ้ึนอย่กู บั เพอ่ื นเชน่ กัน เพราะบางคร้ังเพ่ือนกอ็ าจจะพาเราไปกระทาในสงิ่ ที่ไม่ดี ทาใหเ้ ราเสอ่ื มเสียชื่อเสยี ง การรักนวลสงวนตัว การเลือกคู่ครอง คาสอนเร่ืองการรักนวลสงวนตัวน้ันเป็นคาสอนท่ีปรากฎทั้งในวรรณคดี สอนหญิงแนวขนบและวรรณคดีสอนหญิงแนวรว่ มสมยั และมคี าสอนเปน็ จานวนมาก แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยคาดหวัง ตอ่ ตัวผหู้ ญิงในเร่ืองดงั กลา่ วมากท่ีสดุ การเลือกคู่ครอง เปน็ สิ่งทส่ี าคัญมากเพราะ ในสมยั กอ่ นน้ันเช่ือกันว่าผู้หญิงจะดีหรือไม่ดีนั้นก็ข้ึนอยู่กับสามีเป็น ส่ิงสาคัญ สามีเปรยี บเสมือนผู้ปกครองของฝ่ายหญิงหลังจากทฝ่ี า่ ยหญิงแตง่ งานออกเรือนมาแลว้ ผู้ชายจึงมีหน้าที่ในการ ดูแลผู้หญิงต่อจากพ่อของฝ่ายหญิง การเลือกคู่ครองของผู้หญิงนั้นจึงจาเป็นต้องเลือกคนที่ดี ๆ มาเป็นคู่ครอง การที่ได้ คู่ครองทด่ี ี ๆ นนั้ จะทาให้ชวี ติ ของผูห้ ญิงพบกบั ความสขุ การส่งเสรมิ คุณคา่ ให้แก่ตัวเองและมารยาทในการใช้ชีวิต ผู้หญิงควร จะทาตัวเองให้มีคุณค่ามากย่ิงข้ึนโดยการ รู้จักส่งเสริมคุณค่าให้แก่ตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น เร่ืองมารยาท เรื่องงานบ้านงานเรือน เพราะการเป็นผู้หญิงที่ เพียบพร้อมน้ันจะทาให้ผู้หญิงมีคุณค่ามากย่ิงข้ึนและทาให้เป็นผู้หญิงท่ีรู้เท่าทันเล่ห์เหล่ียมของคนมากขึ้นจะได้ไม่ถูก
๒๗ หลอกลวงได้ง่าย ๆ และเปน็ ผูห้ ญิงทสี่ ามารถชว่ ยเหลือตัวเองได้ เพราะจากสมัยก่อนน้ันผู้หญิงจาเป็นต้องพึ่งผู้ชายเพียง อย่างเดียวไม่ว่าจะทาส่ิงใดก็ตามท่ีเป็นเรื่องภายนอกบ้าน เนื่องจากผู้หญิงในสมัยก่อนน้ันเก่งและถนัดแต่เร่ืองงานบ้าน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มาในยุคปัจจุบันผู้หญิงได้รับโอกาสทางการศึกษามากยิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสท่ีดีในการพัฒนา ศกั ยภาพของตนเองใหท้ ัดเทียมกับผชู้ าย เพราะฉะนั้น คา่ นิยมด้านสังคมของวรรณคดีคาสอนสภุ าษิตสอนหญิง หลกั ๆจะสอนเร่ืองการรักนวลสงวนตัวไม่ ชงิ สุกก่อนหา่ ม รวมไปถึงการเลือกคู่ครองในสมัยก่อนน้ันเช่ือกันว่า ผู้หญิงจะดีหรือไม่ดีนั้นก็ข้ึนอยู่กับสามีเป็นส่ิงสาคัญ สามีเปรียบเสมือนผู้ปกครองของฝ่ายหญิงหลังจากที่ฝ่ายหญิงแต่งงานออกเรือนมาแล้ว ผู้ชายจึงมีหน้าท่ีในการดูแล ผู้หญิงต่อจากพ่อของฝ่ายหญิง การเลือกคู่ครองของผู้หญิงน้ันจึงจาเป็นต้องเลือกคนท่ีดีๆ มาเป็นคู่ครอง อีกทั้งยังสอน เรอื่ งมารยาทในการใชช้ ีวิตทางด้านสังคม ไม่ว่าจะเป็น เรื่องงานบ้านงานเรือน เพราะการเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมจะทา ใหผ้ ้หู ญงิ มีคุณคา่ มากยิ่งข้ึน ซึง่ จากการศึกษาจากวรรณคดสี ภุ าษติ สอนหญงิ พบคุณค่าดา้ นสังคมดงั นี้ ๑. คา่ นยิ มเรือ่ งความประหยดั มัธยัสถ์และความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาจากการวิเคราะห์พบว่า การปฏิบัติต่อบิดา มารดาคือสิ่งที่คนไทยให้การเคารพและยกย่องเป็นอย่างมากเพราะบิดามาดารเปรียบเสมือนพระในบ้าน ตามท่ีคนรุ่น ก่อนๆ พดู กนั มีหลกั คาสอนโดยท่วั ไป ไดแ้ ก่ การเลย้ี งดูท่านเมื่อแก่เฒ่า, การเชื่อฟังบิดามารดา, การไม่ทาให้บิดามารดา อับอายขายขีห้ นา้ , การเคารพบชู าบดิ ามารดา เป็นต้น จากการศึกษาและวเิ คราะหส์ ภุ าษิตสอนหญิงพบว่ามีหลักคาสอน ดังนี้ มสี ลงึ พึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสง่ิ ของต้องประสงค์ จงมกั น้อยกนิ น้อยค่อยบรรจง อยา่ จ่ายลงให้มากจะยากนาน ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เปน็ มอ้ื เป็นคราวทั้งคาวหวาน เมือ่ พ่อแม่แกเ่ ฒา่ ชรากาล จงเลยี้ งทา่ นอยา่ ให้อดระทดใจ ดว้ ยชนกชนนนี ้นั มีคณุ ได้การุณเล้ยี งรกั ษามาจนใหญ่ อมุ้ อุทรป้อนขา้ วเป็นเท่าไร หมายจะได้พง่ึ พาธดิ าดวง (บทที่ ๗ หนา้ ท่ี ๕) ถ้าเราดีมีจิตคดิ อปุ ถมั ภ์ กศุ ลลา้ เลศิ เท่าภูเขาหลวง กว่าจะลว่ งลุถงึ ซึ่งพิมาน จะปรากฏยศยิ่งส่งิ ทง้ั ปวง (บทท่ี ๗ หนา้ ที่ ๕)
๒๘ ๒. ค่านยิ มเร่ืองการรักนวลสงวนตัวของสตรี จากการศกึ ษาและวเิ คราะห์สภุ าษิตสอนหญิงพบว่ามหี ลักคาสอนดังน้ี จงรกั นวลสงวนงามห้ามใจไว้ อย่าหลงใหลจาคาทพ่ี รา่ สอน คดิ ถงึ หน้าบิดาและมารดร อยา่ รีบร้อนเรว็ นักมกั ไมด่ ี เมอ่ื สุกงอมหอมหวนจึงควรหล่น อยู่กับตน้ อย่าให้พรากไปจากที่ อยา่ ชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี เมอื่ บญุ มคี งจะมาอยา่ ปรารมภ์ (บทที่ ๗ หนา้ ๔) ๓. ค่านิยมเรอื่ งการแตง่ กายของสตรี จากการศึกษาและวิเคราะห์สภุ าษิตสอนหญิงพบวา่ มหี ลักคาสอนดังนี้ จะนุง่ ห่มดูพอสมศกั ดส์ิ งวน ใหส้ มควรรบั พักตร์ตามศักด์ิศรี จะผัดหนา้ ทาแป้งแตง่ อินทรยี ์ ดูฉวีผวิ เนื้ออยา่ เหลือเกิน (บทที่ ๒ หนา้ ท่ี ๑) ๔. คา่ นยิ มเรื่องกริ ิยามารยาทของสตรี เช่น การเดนิ การพูด จากการศึกษา พบวา่ มีหลกั คาสอนดังนี้ ประการหน่งึ ซึ่งจะเดินดาเนนิ นาด ค่อยเยื้องยาตรยกย่างไปกลางสนาม อยา่ ไกวแขนสุดแขนเขาหา้ มปราม เสง่ยี มงามสงวนไวแ้ ต่ในที อยา่ เหินกรายย้ายอกยกผา้ ห่ม อย่าเสยผมกลางทางหวา่ งวิถี อย่าพูดเพ้อเจอ้ ไปไม่สูด้ ี เหยา้ เรือนมกี ลบั มาจึงหารอื (บทท่ี ๓ หน้า ๒) ๕. คา่ นิยมเรื่องการเลือกคูค่ รอง การเลือกคู่ครองในฉบับสภุ าษิตสอนหญิงกล่าวไว้ว่าความสนใจในเพศตรงข้ามย่อมเป็น เร่ืองปกติ แม้บทประพันธ์จะพร่าอบรมให้หญิงสาวเป็นกุลสตรี แด่ก็ไม่ได้ห้ามว่าต้องไม่สนใจชาย จากการศึกษาและ วเิ คราะห์สุภาษติ สอนหญงิ พบว่ามีหลักคาสอนดงั นี้ จะหาคู่สูส่ มนยิ มหวงั จงระวงั ชัว่ ช้าอัชฌาสยั ที่ชายดนี ัน้ ก็มีอยู่ถมไป ใช่วิสัยเขาจะชวั่ ไปทวั่ เมือง (บทท่ี ๕ หนา้ ท่ี ๓) แมน้ ชายใดใจประสงคม์ าหลงรกั ให้รจู้ กั เชิงชายท่ีหมายม่นั อนั ความรักของชายนี้หลายช้ัน เขาวา่ รกั รักน้ันประการใด จงพินจิ พิศดูให้รู้แน่ อย่ามัวแต่ใจเร็วจะเหลวไหล เปรยี บเหมอื นคิดปรศิ นาอย่าไว้ใจ มันมกั ไพลแ่ พลงขุมเปน็ หลุมพราง (บทท่ี ๔ หนา้ ๒) ๗. คา่ นยิ มการเป็นแม่ศรีเรือน จากการศึกษาและวเิ คราะหส์ ภุ าษติ สอนหญงิ พบวา่ มีหลักคาสอนดังน้ี ระวังดเู รอื นเหยา้ แลเขา้ ของ จะบกพร่องอะไรท่ีไหนนนั่ เห็นไมม่ แี ลว้ อยา่ อ้างว่าชา่ งมัน จงผ่อนผันเกบ็ เล็มใหเ้ ต็มลง (บทที่ ๗ หนา้ ที่ ๔)
๒๙ บทสรุป รายงานเรื่อง การศึกษาวรรณคดีคาสอนเร่ือง สุภาษิตสอนหญิงฉบับน้ี มุ่งศึกษาวรรณคดีสุภาษิตสอนหญิง ท้ัง ประวตั คิ วามเปน็ มา และคุณคา่ ด้านต่างๆของวรรณคดี จากการศึกษาได้พบว่าวรรณคดีสุภาษิตสอนหญิงน้ี เป็นผลงาน การประพันธ์ของ สุนทรภู่ กวีเอกของไทย จุดมุ่งหมายของการแต่งคือ เพื่อหาเล้ียงตนเอง และเพื่อสอนผู้หญิงในเรื่อง การปฏิบัติหน้าท่ีตามสถานภาพได้อย่างเหมาะสม ซ่ึงจากการศึกษายังพบว่า ด้านเน้ือหาของสุภาษิตสอนหญิงมีความ สอดคล้องกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในปัจจุบัน ได้แก่ รักชาติ ซ่ือสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่าง พอเพยี ง ม่งุ มั่นในการทางาน รักความเป็นไทย และมีจิตสาธารณะ ส่วนในด้านวรรณศิลป์รายงานฉบับนี้ได้ศึกษาพบว่า มีการใช้ภาพพจน์ทั้งส้ิน ๔ ประเภท ได้แก่ อุปมา อุปลักษณ์ สัญลักษณ์ และอติพจน์ สาหรับในการศึกษาคุณค่าด้าน สังคมได้พบคา่ นิยมของหญงิ สมัยก่อนจากวรรณคดีสภุ าษิตสอนหญิง คือ การรักนวลสงวนตัว การเลือกคู่ครอง การแต่ง กาย การมมี ารยาทในสงั คม ฯลฯ ดังนนั้ จึงสรุปไดว้ า่ วรรณคดสี ุภาษิตสอนหญิงเป็นวรรณคดที ที่ รงคุณค่า และควรนามา เปน็ บทสอนโดยเฉพาะสตรไี ทยในปัจจุบนั ซึ่งไมม่ วี นั ลา้ สมยั
๓๐ บรรณำนกุ รม KWANNIE. (๖ สิงหาคม ๒๕๖๔). เรียกใช้เม่ือ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ จาก เน้อื เรอื่ งย่อสุภำษติ สอนหญิง: https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/22702 proverbthai.com (๒๙ มถิ นุ ายน ๒๕๕๗). เรียกใชเ้ มอ่ื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก สุภำษติ ไทย: https://proverbthai.com/. Twinkl. (ม.ป.ป.). เรยี กใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก ประวัติและผลงำนของ สนุ ทรภู่: https://www.twinkl.co.th/teaching-wiki/sunthr-phu กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๕). จาก พระรำชบัญญตั กิ ำรศกึ ษำแหง่ ชำติ: http://www.bic.moe.go.th/images/stories/5Porobor._2542pdf.pdf กระปุกดอทคอม. (ม.ป.ป.). เรยี กใชเ้ มอ่ื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก ประวัติสุนทรภู่: https://info.muslimthaipost.com/article/19354 กลุ ปรียา มากวฒั นสุข. (๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๖). เรียกใชเ้ ม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก สุภำษิตสอนหญิง คณุ คำ่ ด้ำน วรรณศลิ ป์และคุณค่ำด้ำนสงั คม: https://sites.google.com/site/suphasitlady/thi-ma-khxng-re. เกร็ดความร.ู้ net. (๒๕๖๒) เรียกใช้เมอื่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก สุภำษิตสอนหญิงบทประพันธช์ ิ้นเอกของสุนทรภู่: https://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/ จริ ายทุ ธ เชอื้ ดวงผูย. (๓๐ ตลุ าคม ๒๕๕๖). เรียกใชเ้ ม่ือ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก กำรวิเครำะหค์ ณุ ค่ำด้ำน วรรณศิลป:์ https://sites.google.com. ณฐั กาญจน์ นาคนวล. (ม.ป.ป.). เรยี กใช้เม่ือ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก สภุ ำษติ สอนสตรี: https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta_id=265. ธนัชพร ทมิ คา. (๒๒ เมษายน ๒๕๖๒). เรยี กใชเ้ มอื่ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ จาก ทมี่ ำของสุภำษติ สอนหญงิ : https://toeywaranya.blogspot.com/2019/04/blog-post_20.html?m=1. บญุ กวา้ ง ศรีสทุ โธ. (๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑). เรียกใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก กำรพิจำรณำคุณคำ่ ด้ำนเนื้อหำ: https://sites.google.com/a/htp.ac.th/reuxng-kar-xan-wrrnkhdi เบญจวรรณ สาสขุ . (๑ มนี าคม ๒๕๕๙). เรยี กใช้เม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก ควำมหมำยของสุภำษิต: https://sites.google.com/site/nwssanwnsuphasit/system/app/pages/recentChanges ภัทรวรรธน์ ปจิ จวงค.์ (๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑). เรียกใชเ้ ม่ือ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก กำรวิเครำะหว์ รรณคดดี ำ้ น วรรณศลิ ป:์ https://sites.google.com/site/learnthaibykrublank/ มหาวิทยาลยั ราชภฏั กาแพงเพชร. (มกราคม ๒๕๕๔). เรียกใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก กำรพิจำรณำคณุ คำ่ วรรณคดแี ละวรรณกรรม: https://edu.kpru.ac.th/contents/VideoDLTV/Thai/PDF/5.pdf
๓๑ มลู นิธสิ ารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน. (๖ มิถนุ ายน ๒๕๕๕). เรียกใชเ้ มอ่ื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ จาก วรรณคดีคำสอน คืออะไร: www.saranukromthai.or.th. ลกั ขณา ไวยเนตร. (ม.ป.ป.). เรียกใช้เมอ่ื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก คุณค่ำดำ้ นสังคมของสภุ ำษติ สอนหญงิ : https://www.researchgate.net/profile/Lakkhana-Viyanat/publication/ สมเกียรติ ครดู า คาแหง. (๘ มกราคม ๒๕๕๔). เรียกใชเ้ ม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก วเิ ครำะห์คุณคำ่ วรรณคดี: https://www.gotoknow.org/posts/419071 สาทดิ แทนบญุ . (๓๐ ตลุ าคม ๒๕๕๘). เรยี กใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจิกายน ๑๕๖๔ จาก วรรณกรรมคำสอนของสนุ ทรภู่: http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/54810043.pdf สานักงานวฒั นธรรมจงั หวดั หนองคาย. (๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖). เรยี กใช้เม่ือ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ จาก วันสนุ ทรภู่: https://www.m-culture.go.th/nongkhai/ สุภัชฌา ศรีเอีย่ ม, และ จันทร์ฤดี ภาคตอน. (๒๕๖๓). วิเครำะห์คุณลกั ษณะอังพึ่งประสงค์ ๘ ประกำร กรงุ เทพมหานคร: มนุษยศ์ าสตร์ปริทัศน.์ สุภาษติ พาเพลิน. (๒๔ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๐). เรียกใช้เม่ือ ๔ พฤศจิกายน ๑๕๖๔ จาก สุภำษติ พำเพลิน: http://meawmeaw54.blogspot.com/ โสภา คชรัตน์. (พฤษภาคม ๒๕๕๐). เรยี กใชเ้ มอ่ื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ จาก ควำมหมำยของวรรณคดีคำสอน: http://thesis.swu.ac.th/ อกั ษรวดี กงทา. (ม.ป.ป.). เรยี กใชเ้ ม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จาก หลักกำรวเิ ครำะหค์ ุณค่ำดำ้ นวรรณศิลป์: http://cps.ac.th/site/data/research_1564484671 อัจศรา ประเสรฐิ สนิ . (๒๕๕๘). งำนวจิ ยั กำรพัฒนำรปู แบบกำรวดั คณุ ลกั ษณะอังพึงประสงค์ ๘ ประกำร ของ นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษำ. กรุงเทพมหานคร: สานักทดสอบทางการศึกษาและจติ วทิ ยา มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ท รวิโรฒ.
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: