1
รายงาน เร่ือง การศกึ ษาวรรณคดคี าสอนเรอ่ื งสุภาษิตสอนหญงิ เสนอ คณุ ครูสายฝน โหจนั ทร์ โดย นางสาว ญาณศิ า แซ่โงว้ ช้ัน ม.๖/๓ เลขท่ี ๑ นางสาว ณิชา แซ่เฉนิ ชน้ั ม.๖/๓ เลขที่ ๙ นางสาว ชนาภัทร ต้ังพิพัฒนพรชยั ชน้ั ม.๖/๓ เลขท่ี ๑๖ นางสาว เนตรณภา จริยวัฒน์มงคล ชน้ั ม.๖/๓ เลขที่ ๒๑ นางสาว ชนาภา นันทะศรี ชนั้ ม.๖/๓ เลขที่ ๒๔ รายงานนเ้ี ป็นส่วนหน่งึ ของวิชาภาษาไทยพนื้ ฐาน (ท๓๓๑๐๒) ภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔ โรงเรยี นมารียอ์ ุปถมั ภ์ อ.สามพราน จ.นครปฐม
ก คำนำ รายงานเร่ือง การศึกษาวรรณคดีคาสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิงเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน (ท๓ ๓๑๐๒) ภาคเรียนท่ี ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๔ มวี ัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคาสอนจากวรรณคดีคาสอนเร่ืองสุภาษิตสอนหญิง คณะผจู้ ัดทาไดเ้ ลอื กหวั ข้อน้ใี นการทารายงาน เน่ืองมาจากเป็นหัวข้อท่ีน่าสนใจ และมีความใกล้ตัว รวมทั้งแสดงให้เห็น ถึงการเปล่ียนแปลงทางสภาพสังคม โดยมีขอบข่ายเนื้อหาดังนี้ ประวัติความเป็นมาของวรรณคดีคาสอนสุภาษิตสอน หญิง เนื้อเร่ืองวรรณคดีคาสอนสุภาษิตสอนหญิง หลักในการวิเคราะห์วรรณคดี ท้ังน้ีคณะผู้จัดทาได้ศึกษาค้นคว้า และ รวบรวมข้อมลู จากเอกสารสุภาษิตสอนหญงิ ของคณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั งานวิจัย วิทยานิพนธ์และ บทความโดยอาศยั กระบวนการคดิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และเชอ่ื มโยง จนสาเร็จเป็นรายงานฉบบั นี้ คณะผู้จัดทาคาดหวังเป็นอย่างย่ิงว่าการจัดทารายงานฉบับนี้ จะมีข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษา วรรณคดีคาสอนเรื่องสภุ าษติ สอนหญงิ คณะผจู้ ดั ทา ๒๕/๑๑/๖๔
ข สำรบัญ เร่ือง หนา้ คานา ก สารบัญ ข บทนา ๑ ความหมาย - ความหมายของวรรณคดี - ความหมายของสภุ าษิต ทม่ี าของวรรณคดคี าสอนเรอ่ื งสภุ าษิตสอนหญงิ - ประวัติความเปน็ มา - ประวตั ิผแู้ ตง่ - เนอ้ื เร่ืองย่อ เนอ้ื เร่อื งของวรรณคดี - ความหมายของคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๘ ประการ - ท่ีมาของคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการ - วิเคราะหเ์ นอ้ื เรื่องวรรณคดีทีส่ อดคล้องกับลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ หลักในการวเิ คราะห์วรรณคดี - การวเิ คราะหเ์ น้ือหา - การวิเคราะห์ด้านวรรณศิลป์ - การวเิ คราะห์คุณคา่ ทางสงั คม วเิ คราะห์คุณคา่ ของวรรณคดี - คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ - คณุ คา่ ดา้ นสังคม บทสรุป บรรณานุกรม
1 บทนำ วรรณคดคี าสอนเร่อื งสภุ าษิตสอนหญิง ผูแ้ ต่งคือสนุ ทรภู่ (ภ)ู่ ซงึ่ ทมี่ าของวรรณคดเี รื่องนค้ี ือผู้แต่งได้แต่งไว้โดยมี จุดมุ่งหมาย ๒ ประการ ๑. แต่งเพื่อหารายได้เมื่อตัวเองลาบาก ๒. แต่งเพื่อเป็นสุภาษิตสอนสตรีในการประพฤติและ การปฏิบัติตน วรรณคดีเร่ืองนี้เป็นวรรณคดีประเภทคาสอนซ่ึงเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นมาเพื่อให้ข้อคิดคติเตือนใจ โดย เน้ือหาส่วนใหญ่สอนเร่ืองการวางตัวในสังคม เช่น เน้ือหาของวรรณคดีคาสอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิงเป็นการกล่าวถึง หลกั ในการปฏบิ ัตติ นของผ้หู ญงิ ทงั้ ในเร่อื ง การวางตวั กริ ิยามารยาท การพูดจา การแต่งกาย การเลือกคู่ครอง การดูแล บา้ นเรือน โดยทาให้ทราบเร่ืองความประพฤติและปฏิบัติตัวของผู้หญิงในสมัยก่อน และยังทาให้ทราบถึงความแตกต่าง ของหญงิ และชาย คอื ผหู้ ญิงได้รบั การสัง่ สอนเก่ียวกับงานบ้านงานเรอื น ส่วนผู้ชายน้ันเป็นผู้ทาหน้าที่หาเล้ียงครอบครัว หรอื ทีเ่ รียกกันว่า \"ชา้ งเทา้ หน้า\" การแบง่ หนา้ ทีเ่ ชน่ น้ี จงึ ทาให้ผู้หญงิ มอบความเปน็ ใหญ่ให้ผู้ชาย ผู้หญิงจึงควรปฏิบัติต่อ ผู้ชายตามคาสอนในสุภาษิตสอนหญิง แต่เม่ือเวลาผ่านไป สภาพสังคมมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา ปัจจุบันสุภาษิต สอนหญิงยังคงหลงเหลืออยู่หรือจางหายไป ซึ่งเป็นคาถามท่ีคณะผู้จัดทามีความสนใจหลังจากที่ได้ศึกษาวรรณคดีคา สอนเร่ืองสุภาษิตสอนหญิง โดยมีประเด็นศึกษาหลักๆดังนี้ ประวัติความเป็นมาของวรรณคดีคาสอนสุภาษิตสอนหญิง เนอื้ เร่ืองวรรณคดคี าสอนสุภาษิตสอนหญิง และหลกั ในการวเิ คราะหว์ รรณคดี ซ่ึงสามารถติดตามไดจ้ ากรายงานฉบับนี้
2 ๑. ควำมหมำยของวรรณคดี ๑.๑ ควำมหมำยของวรรณคดีคำสอน มูลนิธิสารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน (๒๕๕๕: ออนไลน์) วรรณคดีคาสอน คือ วรรณคดีที่แต่งข้ึนเพ่ือให้เป็น ข้อคิดคติเตือนใจ เนื้อหามักจะพูดถึงการวางตัวในสังคม ส่วนใหญ่แต่งเป็นร้อยกรอง เนื้อหาประกอบด้วยคาแนะนาใน ด้านต่างๆ เช่น สอนผู้หญิง ก็สอนให้มีความอ่อนโยนอ่อนหวาน ซื่อสัตย์ต่อสามี คอยปรนนิบัติสามีให้มีความสุข ขยันหม่ันเพียรในการทางานบ้านงานเรือน ถ้าเป็นคาสอนสาหรับชนชั้นสูง ก็จะสอนให้มีความยุติธรรม ไม่ด่ืมสุรา ไม่ รังแกผู้ท่ีมีฐานะต่ากว่า รักษาวาจาสัตย์ ถ้าเป็นคาสอนคนท่ัวไป ก็จะสอนให้มีวาจาสุภาพ ให้คิดก่อนพูด ไม่ดูถูกผู้ที่ อ่อนแอกวา่ มคี วามอดทน มคี วามขยันหมัน่ เพียร สอนเรือ่ งการเลือกคู่ มีทั้งในภาคเหนือ เช่น คาสอนพญามังราย โคลง เจ้าวิทูรสอนโลก ภาคใต้ เช่น ลักษณะเมียเจ็ดสถาน สุภาษิตสอนหญิงคากาพย์ และภาคอีสาน เช่น พญาคากองสอน ไพร่ อินทญิ าณสอนลูก ทา้ วคาสอน www.saranukromthai.or.th ( ๖ มิถนุ ายน ๒๕๕๕ ) เรียกใช้เม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สาทดิ แทนบญุ (๒๕๕๘: ออนไลน์) วรรณคดีคาสอนของสุนทรภู่ สวสั ดิรักษา เนอ้ื หาเป็นคาสอนเกี่ยวกับการ ปฏบิ ตั ิตน พร้อมระบปุ ระโยชนท์ ผี่ ปู้ ฎบิ ตั ติ นตามจะไดร้ ับ หรอื ผทู้ ไ่ี มป่ ฏบิ ตั ติ ามอาจมีอันตราย เร่อื งที่สอน ได้แก่ การ รักษาสขุ ภาพอนามัย การวางตัวในสังคม ฯลฯ วรรณคดีคาสอนของสนุ ทรภู่ เชน่ สุภาษติ สอนหญงิ มีเน้ือหาเก่ยี วกบั การสอนผ้หู ญงิ ตามค่านิยมของสังคมไทย มที ั้งข้อห้าม และขอ้ ปฏิบัติ ท้ังในเร่อื งของกิริยามารยาท การแตง่ กาย การ เลอื กคู่ครอง การดูแลงานบ้านงานเรือน บทบาทของวรรณคดคี าสอน คือ เพ่อื อบรมสง่ั สอนคนในสังคม ในวรรณคดคี า สอนของสุนทรภู่ ไดแ้ สดงถึงการมองโลกอย่างเขา้ ใจวา่ ชวี ติ จะตอ้ งเกีย่ วข้องกบั คนในสงั คม จึงควรมขี ้อควรปฏิบัติ และ ไมค่ วรปฏบิ ตั ิ เพื่อใช้ ชวี ติ ในสังคมได้อย่างมคี วามสุข วรรณคดคี าสอนนัน้ ส่งผลต่อวถิ ีชวี ติ ของคนในสังคมไทย http://digital_collect.lib.buu.ac.th/ ( ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ) เรยี กใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ โสภา คชรัตน์ (๒๕๕๐: ออนไลน)์ วรรณกรรมคาสอน เป็นวรรณกรรมท่ีใหค้ ตสิ อนใจแกผ่ ู้อา่ นในการดารงชวี ิต ให้มีความสขุ และเป็นที่พึงพอใจของบุคคลในสงั คม คาสอนมักเกิดจากประสบการณ์ของผู้ใหญ่ใช้สอนลกู หลาน เพ่ือ สร้างคา่ นิยมพนื้ ฐานในการใช้ชวี ติ ในสงั คม โดยมีการปลูกฝังตงั้ แต่สมยั กอ่ น จงึ ทาให้มวี รรณกรรมคาสอนเร่ืองต่างๆ อยา่ งมากมาย เช่น สุภาษติ พระร่วง เป็นวรรณกรรมคาสอนทม่ี ีเน้อื หาเก่ียวกับการใชช้ ีวิต มีคาสอนทีส่ ามารถใชเ้ ป็น แบบแผนในการดาเนินชีวิต ใช้ภายาทบ่ี คุ คลทกุ ระดบั สามารถเขา้ ใจได้ สุภาษติ สอนหญิง เนอ้ื หากล่าวถงึ เรื่องการ ประพฤติ และคาแนะนาของผ้หู ญงิ โดยตรง สวัสดริ ักษา เนอ้ื หากลา่ วถึงการปฏิบัติในสถานการณ์ตา่ งๆ เนน้ การ
3 ดารงชีวิตอย่างมีความสุขและเนน้ ศีลธรรม วรรณกรรมคาสอนน้ัน ให้ท้ังประโยชน์และคุณค่า และยังมเี น้ือหาทีส่ มบรู ณ์ สามารถสอนไดท้ ุกเพศทุกวยั http://thesis.swu.ac.th/ ( พฤษภาคม ๒๕๕๐ ) เรียกใชเ้ ม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จากการศึกษาพบว่า วรรณกรรมคาสอน คือ วรรณคดีทีแ่ ตง่ ขนึ้ เพื่อใหเ้ ปน็ ข้อคิดคตเิ ตือนใจ เปน็ คาสอนทวั่ ๆไป เพอ่ื สรา้ งค่านยิ มพนื้ ฐานในการใชช้ ีวิตในสังคม โดยมีการปลูกฝงั ตง้ั แตส่ มัยก่อน จึงมีวรรณกรรมคาสอนตา่ งๆมายมาย เพอ่ื ใชเ้ ปน็ คาสอนเพ่ือการดาเนนิ ชีวิตทีถ่ ูกตอ้ งไม่ผิดแบบแผน ซึง่ ในวรรณกรรมคาสอนมักจะมีการสอดแทรกสุภาษติ ไว้ ในเนอื้ เร่ืองอีกดว้ ย ๑.๒ ควำมหมำยของสุภำษติ เบญจวรรณ สาสขุ (๒๕๕๙: ออนไลน)์ สภุ าษติ หมายถึง ถ้อยคาหรือข้อความ ที่กล่าวสบื ต่อกันมาช้านาน มี ความหมายในทางบวก มักเป็นคาตกั เตือนสัง่ สอน มี ๒ ประเภทคือ ๑.สุภาษิตท่เี ข้าใจได้ทันที ไมจ่ าเป็นต้องแปลความ มักมคี วามหมายเป็นข้อคิดคติเตือนใจ เชน่ ทาดไี ดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ ว่ั ๒.สภุ าษิตทตี่ ้องมีการแปลความ หรือตีความหมายของสุภาษติ น้นั ๆก่อน ถงึ จะสามารถเข้าใจได้ เช่น ถม่ นา้ ลายรดฟ้า https://sites.google.com/ ( ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ) เรียกใช้เม่ือ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ proverbthai.com (๒๕๕๗: ออนไลน์) ความแตกต่างระหว่าง สานวน สภุ าษติ และคาพังเพยน้นั ยากที่จะ แยกออกจากกนั เพราะสานวน สภุ าษิตและคาพังเพยนนั้ มีความคล้ายกันมาก แตจ่ ริงๆแล้วยังมคี วามแตกตา่ งกัน ๑. สานวน คอื คาพูดที่กะทดั รดั มักจะมีความหมายโดยนยั เปน็ การอปุ มา ตอ้ งมกี ารตีความ ปากเสีย ๒. คาพังเพย คือ ถ้อยคาทเ่ี ปรยี บเทยี บเหตกุ ารณ์ ทพ่ี บเห็นไดจ้ ากคนในสมัยกอ่ น ไม่เน้นการสั่งสอนแต่มักเสียดสี ประชดประชัน เชน่ งมเข็มในมหาสมทุ ร ๓. สุภาษิต คอื คากล่าวท่เี ปน็ คติสอนใจ จึงมีลักษณะเดียวกับสานวน และคาพังเพย แต่มีจุดประสงค์เพอ่ื ส่งั สอน ตักเตอื น ไม่เสียดสเี หมือนกับคาพงั เพย แตแ่ สดงหลกั ความจรงิ และยงั รวมถงึ สัจธรรม คาส่ังสอนทางศาสนาด้วย เชน่ ทาดีได้ดี ทาช่วั ไดช้ ่ัว ตนเปน็ ท่ีพึง่ แห่งตน
4 https://proverbthai.com/ ( ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ ) เรยี กใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สุภาษิตพาเพลนิ (๒๕๖๐: ออนไลน)์ สภุ าษิตไทย หรอื ภาษิต คอื คาท่ีใช้เพ่ือ กลา่ วตกั เตือน สงั่ สอน แนะ ด้วย หลักความจรงิ มกั มีความคลอ้ งจองสืบทอดมาตงั้ แตส่ มัยกอ่ น แต่ละชุมชน แต่ละอาชีพ ก็มีสุภาษิตคลา้ ยกันบ้าง แตกต่างบ้าง เพราะ วฒั นธรรม และการดาเนนิ ชวี ติ แตกต่างกัน ตวั อย่างสภุ าษิตเชน่ จงเอาเย่ียงกา แตอ่ ย่าเอาอยา่ งกา หมายความว่า ควรเอาแบบอย่างในส่ิงท่ดี เี ท่านัน้ สิ่งท่ีไม่ดีก็ไม่ควรทาตาม สภุ าษิตไทย แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอื ๑. คาสุภาษติ ประเภทท่ีพูด อ่านหรอื เขา้ ใจเนื้อความได้ทันที โดยไม่ต้องแปลความหมาย ๒. คาสภุ าษิตประเภทที่พดู อ่านหรือฟังแล้วยังไม่เขา้ ใจเน้ือความนนั้ ในทนั ที ต้องแปลความก่อน http://meawmeaw54.blogspot.com/ ( ๒๔ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๐ ) เรียกใชเ้ ม่ือ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สภุ าษิต หรอื สภุ าษิตไทย คือ ถอ้ ยคาหรือข้อความทเี่ ปน็ คากลา่ วตกั เตือน ข้อคตคิ าสอนในการดาเนนิ ชวี ติ มีมา ต้งั แตส่ มัยโบราณ แต่มคี วามหมายทเ่ี ป็นความหมายท่ีดี เช่น ทาดีไดด้ ี ทาชว่ั ได้ชว่ั หมายถึง เราทาส่ิงใดดีกจ็ ะดี ถา้ เรา ทาในส่ิงท่ีไม่ดีผลไมด่ ีก็จะตามมา ยกตัวอยา่ งเช่น วรรณคดีสภุ าษิตสอนหญงิ ซง่ึ เปน็ วรรณคดีที่แต่งขึ้นมาเพื่อใชส้ ุภาษิต ในการสอนผูห้ ญิงให้ปฏิบตั ิตนในสังคมได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
5 ๒. ที่มำของวรรณคดีคำสอนเร่อื งสุภำษติ สอนหญงิ ๒.๑ ประวตั ผิ ้แู ตง่ Twinkl พระสนุ ทรโวหาร (นามเดมิ \"ภู่\") หรือทีเ่ รารจู้ ักกนั ท่ัวไปว่า \"สุนทร ภ\"ู่ เกดิ เมือ่ วันที่ ๒๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ทบ่ี รเิ วณใกล้ \"พระราชวังหลัง\" หรอื บริเวณสถานรี ถไฟบางกอกน้อยในปจั จบุ ัน ตรงกับรัชสมยั ของ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รชั กาลท่ี ๑ แห่งกรงุ รัตนโกสินทร์ บิดาของสุนทรภู่เปน็ ชาวบ้านกร่า อาเภอแกลง จงั หวัดระยอง สว่ นมารดาเป็นชาวเมืองอ่นื ในวยั เด็ก สนุ ทรภ่อู าศยั อยใู่ นพระราชวังหลังกับมารดา และมี โอกาสได้ศกึ ษาเลา่ เรยี นวชิ าการตา่ ง ๆ ในสานักพระภิกษุท่ีมีช่ือเสียง สานกั ชีปะขาว (ปัจจบุ ันคือวัดศรสี ดุ าราม) และได้ เขา้ รบั ราชการเปน็ อาลักษณร์ าชสานกั (หรอื ผู้ทาหนา้ ท่ที างหนังสือในราชสานัก) ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ หลา้ นภาลัย รชั กาลที่ ๒ แห่งราชวงศจ์ ักรี \"สนุ ทรภ\"ู่ ไมใ่ ช่ช่ือจรงิ แตเ่ ปน็ นามแฝงท่ีเกดิ จากการนาคาวา่ \"สนุ ทร\" ในชอื่ บรรดาศักดิ์ \"ขนุ สุนทรโวหาร\" ทไี่ ดร้ ับพระราชทานจากพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย มารวมกบั ช่อื จริงวา่ \"ภ\"ู่ สนุ ทรภู่มีใจรกั ดา้ นกาพย์กลอนและเป็นกวที ี่มีความชานาญทางการประพันธเ์ ป็นอย่างยิง่ โดยอาจเปน็ ผลมาจาก ประสบการณ์ในวัยเดก็ ที่มีโอกาสได้ซึมซบั ความร้เู กย่ี วกับวรรณกรรม และศิลปะการแสดงตา่ ง ๆ ในพระราชวงั หลงั สนุ ทรภูห่ ม่ันเพม่ิ พนู ประสบการณใ์ นการประพนั ธ์ดว้ ยการรบั จ้างแต่งเพลงและบทกลอนมากมายทม่ี ีเอกลักษณ์ เฉพาะตวั และคารมที่คมคาย สนุ ทรภู่จงึ เร่มิ เปน็ ท่รี จู้ กั ในวงกวี และมชี ่อื เสียงมากข้นึ ตอ่ มาในสมัยรัชกาลท่ี ๔ สุนทรภู่ได้ เลื่อนตาแหน่งเปน็ \"พระสนุ ทรโวหาร\" เจ้ากรมอาลกั ษณ์ฝา่ ยพระราชวงั บวร ซ่ึงเปน็ ตาแหน่งราชการสุดท้ายก่อนส้นิ ชีวติ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ ขณะท่ีอายุ ๖๐ ปี และเนอ่ื งจากสุนทรภู่มีชวี ิตอยใู่ นรัชสมยั รัชกาลท่ี ๑ ถึงรัชสมยั รชั กาลท่ี ๔ แหง่ กรุงรตั นโกสินทร์ สุนทรภ่จู งึ ไดร้ บั สมญานามวา่ \"กวสี ่ีแผ่นดิน\" https://www.twinkl.co.th/teaching-wiki/sunthr-phu เรียกใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ กระปุกดอทคอม สุนทรภู่เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๘ ข้ึน ๑ ค่าปีมะเมีย จุลศักราช ๑๔๘ เวลาประมาณ ๘.๐๐ น. ซ่งึ ตรงกับวันท่ี ๒๖ มถิ นุ ายน ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๑ บิดามารดาช่ือไม่ปรากฏ ทราบเพียงว่ามารดามีเชื้อสายผู้ดีและ ทาหนา้ ท่เี ปน็ แมน่ มของพระธิดาในกรมพระราชวังหลัง ส่วนบิดานั้นบวชเป็นพระอยู่ท่ีวัดบ้านกร่า อาเภอแกลง จังหวัด ระยอง เมื่อสนุ ทรภโู่ ตพอสมควร มารดาไดน้ าไปฝากให้เรียนหนังสือที่วัดชีปะขาว หรือวัดศรีสุดารามในปัจจุบัน ครั้นมี ความร้ดู ีแลว้ มารดานาไปฝากเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง แต่อยู่ได้ไม่นานก็ลาออกไปเป็นเสมียน สุนทรภู่รับราชการ ไมก่ ้าวหน้านกั เพราะตดิ นสิ ัยรกั กาพย์กลอน
6 กระทั่งในสมยั รชั กาลที่ ๒ จงึ เป็นที่ โปรดปรานให้เป็น \"ขุนสุนทรโวหาร\" (ภู่) เรียกกันสั้นๆ ว่า \"สุนทรภู่\" ต่อมา ในสมัยรชั กาลท่ี ๓ ได้รับบรรดาศักด์เิ ป็น \"พระสนุ ทรโวหาร\" และถึงแก่กรรมเมื่อปีเถาะพ.ศ. ๒๓๙๘ อายไุ ด้ ๗๐ ปี https://info.muslimthaipost.com/article/19354 เรียกใช้เมอ่ื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สานักงานวัฒนธรรมจงั หวดั หนองคาย (๒๕๕๖: ออนไลน์) สุนทรภู่ กวีสาคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดเม่ือวันที่ ๒๖ มิถนุ ายน พ.ศ.๒๓๒๙ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของ ทา่ นเปน็ ชาวกรา่ อาเภอแกลง จังหวัดระยอง ตามสนั นิษฐานว่ามารดาเปน็ ขา้ หลวงอยูใ่ นพระราชวงั หลัง บิดามารดาเลิก รา้ งกนั ตง้ั แตส่ นุ ทรภ่เู กดิ บิดาออกไปบวชทวี่ ดั ปา่ ตาบลบ้านกร่า อาเภอแกลง อันเป็นภูมิลาเนาเดิม ส่วนมารดากลับเข้า ไปอย่ใู นพระราชวงั หลัง และ ได้ถวายตวั เปน็ นามนมของพระธิดาในกรมฯ ในปฐมวัยสนุ ทรภู่ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กใน พระราชวังหลัง และได้อาศัยอยู่กับมารดา สุนทรภู่ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต้ังแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักการแต่งกลอนย่ิงกว่างานอ่ืน คร้ังรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามใน คลองบางกอกนอ้ ย ไดแ้ ตง่ กลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึน้ ไว้ เมือ่ อายรุ าว ๒๐ ปี ในระยะนี้ได้ลอบรักกับหญิงสาวชาว วังช่ือ \"จันทร์\" จึงต้องเวรจาท้ังชายหญิง เม่ือกรมพระราชวังหลังทิวงคตจึงพ้นโทษ ต่อมาจึงได้แม่จันทร์เป็นภรรยา แต่ อยู่ด้วยกันไม่นานก็เกิดระหองระแหงคงจะเป็นเพราะสุนทรภู่เมาสุราอยู่เป็นนิตย์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ สุนทรภู่ได้ข้ารับ ราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเปน็ ทโ่ี ปรดปรานของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนได้รับแต่งตั้งเป็นขุนสุนทรไว หารเปน็ กวที ่ปี รกึ ษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด ระยะนี้สนุ ทรภไู่ ด้หญงิ ชาวบางกอกน้อยที่ชื่อ นิ่ม เป็นภริยาอีกคนหนึ่ง ต่อมา ในราว พ.ศ.๒๓๖๔ สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทาร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไม่นานก็พ้นโทษเพราะ ความสามารถในทางกลอนเป็นท่ีพอพระราชหฤทัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมัยรัชกาลที่ ๓ สนุ ทรภู่ถกู กล่าวหาด้วยเรอื่ งเสพสรุ า และเรือ่ งอืน่ ๆ จงึ ถกู ถอดออกจากตาแหน่งขุนสุนทรโวหาร ต่อมาสุนทรภู่ออกบวช ที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) และเดินทางไปจาพรรษาตามวัดต่างๆ และได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ จนพระองค์ประชวรสิ้นพระชนม์สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ ๑๐ พรรษา สุนทรภู่ออกมา ตกระกาลาบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกคร้ังหน่ึง แต่อยู่ได้เพียง ๒ พรรษาก็ลาสิกขาบท และถวายตัวอยู่กับเจ้า ฟา้ กรมขนุ อิศเรศรงั สรรค์ ณ พระราชวังเดมิ รวมท้งั ได้อุปการะจากกรมหม่ืนอัปสรสุดาเทพอีกด้วย เม่ือพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นพระบาทสมเด็จพระป่ันเกล้า เจา้ อยหู่ ัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักด์ิเป็นพระสุนทรโวหาร ตาแหน่ง เจ้ากรมพระอาลักษณฝ์ า่ ยบวรราชวัง ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ และรบั ราชการต่อมาได้ ๔ ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ.๒๓๙๘ รวมอายไุ ด้ ๗๐ ปี https://www.m-culture.go.th/nongkhai/ewt_news.php?nid=265&filename=index
7 ( ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ) เรียกใชเ้ มอื่ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ จากการศึกษาประวตั ิของสุนทรภู่ไดพ้ บว่า สุนทรภู่เกิดเดือน ๘ ขึ้น ๑ คา่ ปมี ะเมีย จลุ ศักราช ๑๔๘ เวลา ประมาณ ๘.๐๐ น. ซ่งึ ตรงกับวันจนั ทร์ท่ี ๒๖ มถิ นุ ายน ๒๓๒๙ ในรชั กาลที่ ๑ ท่บี รเิ วณใกล้ \"พระราชวังหลงั \" หรือ บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยในปจั จุบัน ตรงกับรชั สมัยของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รชั กาล ท่ี ๑ แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ บิดาของสุนทรภู่เป็นชาวบา้ นกรา่ อาเภอแกลง จังหวดั ระยอง เม่อื สุนทรภู่โตพอสมควร มารดาได้นาไปฝากใหเ้ รียนหนังสอื ทวี่ ดั ชปี ะขาว หรือวัดศรีสดุ ารามในปจั จุบนั ครนั้ มีความร้ดู แี ลว้ มารดานาไปฝากเป็น ข้าในกรมพระราชวังหลงั แต่อยู่ได้ไมน่ านกล็ าออกไปเปน็ เสมยี น สนุ ทรภรู่ บั ราชการไมก่ ้าวหน้านัก เพราะตดิ นสิ ัยรัก กาพย์กลอนกระทั่งในสมัยรชั กาลที่ ๑ จึงเป็นท่ี โปรดปรานให้เป็น \"ขุนสุนทรโวหาร\" ( ภู่ ) เรยี กกันส้นั ๆ ว่า \"สุนทรภ่\"ู ต่อมาในสมัยรชั กาลที่ ๓ ได้รับบรรดาศักดเ์ิ ป็น \" พระสนุ ทรโวหาร \" และถงึ แก่กรรมเมอื่ ปีพ.ศ. ๒๓๙๘ อายไุ ด้ ๗๐ ปี ซ่ึงในรายงานฉบับน้ีจะกล่าวถึงหน่ึงในวรรณคดที ี่กวสี ุนทรภเู่ ปน็ ผแู้ ต่งขึน้ คือ วรรณคดสี ภุ าษติ สอนหญงิ ๒.๒ ประวัติควำมเปน็ มำ นางสาวกุลปรียา มากวฒั นสุข สุภาษติ สอนหญงิ น้ี สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมหลวงพระยาคารงราชานุ ภาพทรงให้ความเห็นไว้วา่ \"สุนทรภูเ่ หน็ จะแตง่ เมอื่ ราว พ.ศ.๒๓๘๐ จน พ.ศ. ๒๓๘๓ ในเวลาเมอ่ื สกึ กลบั ออกมาเปน็ คฤหัสถแ์ ล้วตอ้ งตกยากจนถงึ ลงลอยเรอื อยู่ พิเคราะห์ตามสานวนดูเหมอื นวรรณคดีเร่ืองน้ีสุนทรภู่จะแตง่ ขาย กลา่ ว ความเปน็ สุภาษิตสาหรบั สตรีสามญั ทั่วไป ความไมบ่ ่งวา่ แต่งให้แก่ผู้หนึง่ ผู้ใดโดยเฉพาะ ต้นฉบบั เดมิ ทห่ี อพระสมุดฯไดม้ า เรยี กวา่ สุภาษติ ไทย เปน็ คาสมมติของผูอ้ นื่ ดูเหมือนผู้สมมติจะไม่รู้ว่าเป็นกลอนของสนุ ทรภดู่ ว้ ยซ้าไปถ้อยคาในต้นฉบับ ก็วปิ ลาสคลาดเคล่อื นต้องซ่อมแซมในหอพระสมุดฯหลายแห่งแต่แต่งดนี า่ อ่านเหมือนกนั \"กลา่ วโดยสรุปคอื นักวชิ าการ ปจั จุบนั ก็มีความเห็นตรงกบั สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมหลวงพระยาดารงราชานภุ าพ ว่าสุภาษติ สอนหญิงน้ันสุนทร ภู่เปน็ ผแู้ ต่ง โดยมจี ุดมุ่งหมาย ๒ ประการ คือ ๑. แตง่ เพอ่ื หารายไดเ้ ลยี้ งตวั เองเมื่อครั้งตกยาก ๒. แตง่ เพอ่ื เป็นสภุ าษติ สอนใจใหส้ ตรสี มัยนั้นในเรอื่ งของการประพฤติและปฏบิ ตั ิตน สภุ าษิตสอนสตรขี องสนุ ทรภู่ จัดเปน็ วรรณคดีคาสอนทีแ่ พร่ หลายมากมักจะเรยี กกนั วา่ สุภาษติ สอนหญงิ ในสมัยกอ่ นมี การเปรียบผู้หญิงเหมือนผ้าขาวสะอาด ซ่ึงถา้ เปรอะเปื้อนส่งิ ใดแมแ้ ต่น้อยก็เกิดเปน็ จดุ ตาหนิเสียแลว้ ดงั นนั้ คนสมยั กอ่ น จงึ จาเป็นต้องหาวิธีหรือหาแนวทางปอ้ งกันในกรณีที่ยังไม่เกิดตาหนิบนผ้าขาว กอ่ ให้เกิดสภาษิตสอนหญงิ ขนึ้ ในสมัยน้นั ซงึ่ เป็นสง่ิ ทีป่ ้องกนั แก้ไขตาหนิตา่ ง ๆ ไดเ้ ปน็ อย่างดสี ุภาษติ สามารถจาแนกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่
8 ๑. คาสภุ าษิตประเภทที่ พูด อา่ น หรอื เข้าใจเน้ือความได้ทันที โดยไมต่ อ้ งแปลความหมาย ตีความหมายเชน่ ทาดีไดด้ ี ทาชวั่ ได้ช่วั เป็นตน้ ๒. คาสุภาษิตประเภทที่ พูด อา่ น หรอื ฟงั แลว้ ยังไม่เขา้ ใจเน้ือความนั้นในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตคี วามหมายเสียก่อนจงึ จะทราบเนื้อแท้ของคาเหลา่ นนั้ สภุ าษิตสอนหญงิ เปน็ ท่ีรวมแห่งคติในการครองตวั ของหญิง ตามวัฒนธรรมไทยดง้ั เดิม เป็นท่ยี กย่องแพรห่ ลายสบื ต่อกันมาช้านาน แตส่ ่วนมากยงั คงถอื ปฏิบตั ิอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลงาน กวีนิพนธ์แบบกลอนประพนั ธ์ โดยไม่ปรากฏแนช่ ดั ว่าประพันธเ์ รอื่ งนข้ี ้ึนเมื่อใด เนื้อหาเป็นการสอนสตรี ในดา้ นต่าง ๆ เชน่ การวางตวั การเจรจา การเลือกคู่ เปน็ ตน้ https://sites.google.com/site/suphasitlady/thi-ma-khxng-re เรยี กใช้เมือ่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ธนชั พร ทิมคา (๒๕๖๒:ออนไลน์) สุภาษิตสอนหญิงนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมหลวงพระยาดารงราชานุ ภาพทรงให้ความเห็นไว้วา่ \"สนุ ทรภู่เหน็ จะแตง่ เม่ือราว พ.ศ.๒๕๘๐ จน พ.ศ. ๒๕๘๓ ในเวลาเม่ือสึกกลับออกมาเป็น คฤหัสถแ์ ลว้ ตอ้ งตกยากจนถึงลงลอยเรืออยู่ พิเคราะหต์ ามสานวนดูเหมือนวรรณคดเี รื่องนี้สุนทรภ่จู ะแตง่ ขาย กล่าว ความเป็นสุภาษิตสาหรบั สตรีสามญั ทั่วไป ความไมบ่ ่งว่าแต่งใหแ้ ก่ผู้หนึง่ ผใู้ ด โดยเฉพาะ ต้นฉบบั เดมิ ทหี่ อพระสมดุ ฯ ได้มา เรยี กว่าสุภาษติ ไทย เป็นคาสมมติของผู้อน่ื ดูเหมือนผู้สมมติจะไมร่ วู้ า่ เป็นกลอนของสนุ ทรภดู่ ว้ ยซา้ ไปถอ้ ยคาใน ตน้ ฉบบั ก็วปิ ลาสคลาดเคล่ือนต้องซ่อมแซมในหอพระสมดุ ฯหลายแหง่ แต่แต่งดีน่าอ่านเหมอื นกนั \" https://toeywaranya.blogspot.com ( ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ ) เรยี กใชเ้ มือ่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เกร็ดความรู้.net สภุ าษิตสอนหญงิ นบั ได้วา่ เปน็ บทประพันธ์ชนื้ เอกของสนุ ทรภู่ หรือ พระสุนทรโวหาร กวีเอก ของไทยและของโลก ซ่ึงมีชวี ิตอยูใ่ นชว่ งปี พ.ศ. ๒๓๒๙ - พ.ศ. ๒๓๙๘ หรือในรชั สมัยรชั กาลที่ ๑ ถึงรัชการที่ ๔ แหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทรบ์ ทประพนั ธ์เรอื่ งสภุ าษิตสอนหญงิ นัน้ ไมป่ รากฏปีทป่ี ระพันธอ์ ยา่ งชดั เจน มีเนื้อหาทเ่ี ป็นการสอนผหู้ ญงิ ในคา้ นตา่ งๆ เพื่อการเปน็ กุลสตรี ทดี่ ี เชน่ การวางตวั ทีเ่ หมาะสม การพูดเจรจา การเลือกคู่ครอง เปน็ ต้น มที ันสมยั และ ใชไ้ ดท้ กุ ยุคทุกสมัย มีความไพเราะมาก สมั ผสั นอกสัมผัสในงดงามตามแบบฉบับของสุนทรภู่ ผมู้ คี วามสามารถทางดา้ น โคลงฉนั ทก์ าพย์กลอนและภาษาไทยในชน้ั ครู ไม่มใี ครสามารถเทยี บได้ www.เกร็ดความรู้.net เรยี กใช้เมือ่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
9 โดยสรุป สุภาษิตสอนหญิงเป็นบทประพันธ์ชื้นเอกของสุนทรภู่ หรือ พระสุนทรโวหาร กวีเอกของไทยและของ โลก เป็นสุภาษิตสาหรบั สตรีสามญั ท่ัวไป ความไมบ่ ง่ ว่าแต่งให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ต้นฉบับเดิมที่หอพระสมุดฯได้มา เรยี กวา่ สุภาษติ ไทย สภุ าษิตสอนหญิง เป็นที่รวมแหง่ คตใิ นการครองตัวของหญิงตามวัฒนธรรมไทยด้ังเดิม เป็นท่ียกย่อง แพร่หลายสืบต่อกันมาช้านาน แต่ส่วนมากยังคงถือปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลงานกวีนิพนธ์แบบกลอนประพันธ์ โดยไม่ ปรากฏแน่ชัดว่าประพันธ์เร่ืองน้ีขึ้นเมื่อใด โดยเน้ือหาของสุภาษิตสอนหญิงเป็นการสอนผู้หญิง ในด้านต่างๆ เช่น การ วางตัว การเจรจา การเลอื กคู่ เปน็ ต้น ๒.๓ เนอื้ เรือ่ งย่อ ณัฐกาญจน์ นาคนวล เนื้อหาของสุภาษิตสอนสตรีเป็นหลักประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจาวัน ทั้งส่วนท่ีเก่ียวกับ ครอบครัวและเกี่ยวกับสังคม เป็นคาสอนท่ีใช้ได้กับสตรีทุกชนชั้น มีท้ังข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติ และมีตัวอย่างผลร้าย เม่อื ไม่ปฏบิ ัตติ ามและผลดีเม่ือปฏิบัติตามคาสอนคาสอนเริ่มจากเร่ืองการแต่งกาย ให้สตรีแต่งกายอย่างพอดี เหมาะสม ตามฐานะและเหมาะกับรูปร่างหนา้ ตาของตน การแต่งหน้าแตง่ ผมกใ็ ห้สุภาพ แตง่ แต่พองามอย่างคนรู้จักแต่ง จึงจะเป็น ท่ีช่นื ชมแกผ่ ู้ที่พบเหน็ กวีสอนเรอ่ื งการแสดงกิรยิ าในท่ีสาธารณะ เช่น ให้เดนิ อย่างระมัดระวังและสงบเสง่ียม ไม่ไกวแขน มากไปจนสุดแขน ไม่ขยบั ผา้ นุ่งผ้าแถบหรอื เสยผมขณะท่ีเดิน การพูดต้องพูดอย่างมีสติ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ในที่สาธารณะให้ สารวมกิริยา ไม่ชม้ายชายตาให้ผู้ชายความขับยั้งชั่งใจที่จะแสดงอารมณ์รักก็เป็นเรื่องสาคัญสาหรับสตรี ความรัก ระหว่างหญิงชายเป็นเร่ืองธรรมดา แต่หญิงจะต้องรู้เท่าทันความรักของชาย ว่ารักแบบจริงจังหรือรักเพ่ือหลอกเชยชม จะต้องไม่ใจเร็วและอย่าเชื่อแม่ส่ือมากนัก ต้องฟังหูไว้หู เพราะหากตัดสินใจพลาดก็จะต้องเสียใจอยู่ฝ่ายเดียวกวีสอน เรอื่ งการเลือกสามี โดยยกตัวอย่างชายช่ัวหลายจาพวก เช่น พวกสูบฝิ่นกินสุราจะไม่ยอมทามาหากินคอยแต่เบียดเบียน เงินทองของภรรยาหรือไปฉกชิงวิ่งราวมาซ้ือส่ิงเสพติด พวกนักเลงหัวไม้จะทาให้เดือดร้อนใจ ต้องคอยหาเงินทองมาไถ่ ตวั เมอื่ สามีต้องโทษ พวกตดิ พนันก็จะทาใหเ้ สยี ทรพั ย์ เมอื่ เสยี พนนั มากเขา้ ก็อาจขายภรรยาได้ สตรีท้ังหลายจึงควรหลีก เสี่ยงชายช่ัวเหลา่ นี้ อย่าเลือกมาเปน็ สามีกวีเน้นย้าเรอื่ งการมีสามวี า่ เป็นเรอื่ งสาคัญสาหรบั สตรี จึงตอ้ งระมัดระวังและไม่ ชงิ สกุ กอ่ นหา่ ม ใหเ้ ชื่อฟงั คาสั่งสอนของผใู้ หญ่ ไมห่ ลงเช่อื คารมของชายท่เี ฝา้ แต่ป้อนคาหวาน ถ้าเขารักจริงก็ควรจะมาสู่ ขอกับพ่อแม่ตามประเพณี ไม่ใช่ให้ผู้หญิงหนีไปอยู่ด้วยกัน ทาให้พ่อแม่อับอายและเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ฉะน้ัน ลูกผู้หญิงจะทาอะไรต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ ต้องรักนวลสงวนตัว ครองตนให้เป็นศรีแก่ครอบครัว เป็นความภาคภูมิ ของวงศ์ตระกูลการมีคู่ควรรอให้ถึงเวลาอันเหมาะสม ระหว่างนั้นก็เตรียมตนให้พร้อมสาหรับการเป็นแม่เรือน ไม่เกียจ คร้านการงาน คอยดูแลเหย้าเรือนมิให้บกพร่อง ต้องรู้จักประหยัด กตัญญูต่อบิดามารดา สตรี ท่ีอุปถัมภ์แทนคุณบิดา มารดาจะได้รับกุศลอันย่ิงใหญ่และเทวดาจะสรรเสริญ ส่วนสตรีท่ีเนรคุณบิดามารดา ตายไปจะตกนรก อยู่บนโลกเทพ เจ้าก็สาปแช่งให้ทุกข์ใจและจะประสบแต่ความพินาศการพูดจาไม่ควรตะคอกหรือใช้คาหยาบ โดยเฉพาะผู้ท่ีมีอาชีพ ค้าขายถ้าพูดจาดีก็จะขายดีมีกาไร กาพูดท่ีไพเราะช่วยให้มีคนเมตตา สตรีที่ดีต้องระมัดระวังตัวทุกอิริยาบถ ไปนอน เรือนผู้อ่ืนต้องไม่ต่ืนสาย ควรหัวเราะและย้ิมแต่พอดีและควรแต่งกายแต่พองามสตรีสามัญพึงเสียเวลากับการแต่งตัว
10 เฉพาะเมื่อมีงานเทศกาลเท่านั้น ในเวลาปกติต้องให้ความสาคัญกับกิจการงานเรือน หมั่นหาวิชาความรู้ประดับตน เพราะเมือ่ ตอ้ งคุมบ่าวไพร่ในเรือนเจ้านายตอ้ งเกง่ กว่าบ่าวให้เกรงกลวั ทจี่ ะทาช่วั อย่าใช้เงินเกินฐานะ ไม่ไปทาตัวแข่งกับ ชาววัง ถา้ ใชเ้ งนิ หรอื แตง่ ตัวตามเขาจะเดอื ดร้อน https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta_id=265 เรยี กใช้เม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ธนชั พร ทิมคา (๒๕๖๒:ออนไลน์) สภุ าษติ สอนหญงิ เปน็ การแต่งไปเร่ือยและเท่าท่ีใจกวีอยากจะแตง่ ไม่ได้วาง โครงเร่ืองไว้กอ่ นแตง่ แต่ก็คงใจความสาคัญ นนั่ คือทุกบทกลอนจะกลา่ วสอนสตรเี พศ ตักเตือนอีกทงั้ ยกตวั อย่างใหเ้ ห็น อยา่ งเปน็ รปู ธรรมในตอนตน้ เปน็ บทประณามพจน์ หรือเรียกงา่ ย ๆ คือ บทไหว้ครู https://toeywaranya.blogspot.com/2019/04/blog-post_20.html?m=1 ( ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ ) เรียกใช้เมื่อ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ KWANNIE (๒๕๖๔:ออนไลน์) ในสมัยก่อนมีการเปรยี บผหู้ ญิงเหมือนผา้ ขาวสะอาด ซึ่งถ้าเปรอะเป้ือนส่ิงใด แมแ้ ต่น้อย กเ็ กิดเป็นจุดตาหนิเสยี แลว้ และตาหนทิ ่ีวา่ นี้ก็เกิดได้โดยง่ายนัก ดังนนั้ คนสมยั กอ่ นจึงจาเปน็ ต้องหาทาง ป้องกันในกรณีทข่ี ังไมเ่ กิดตาหนิในผ้าขาว และหาทางแก้ไขในกรณีทไ่ี ด้เกิดขนึ้ แลว้ จงึ ได้มีสภุ าษิต หรือสภุ าษิตสอนหญงิ เกดิ ข้ึนในสมัยนั้น ซง่ึ เปน็ ส่ิงท่ีปอ้ งกันแก้ไขตาหนติ ่างๆไดเ้ ป็นอย่างดี สุภาษิต ไดแ้ ก่คาพูดทพ่ี ูดออกมา ไมว่ ่าจะเปน็ ทานองสานวนโวหาร หรอื คาพังเพย แต่มีเน้ือความหรือความหมายทด่ี ี เปน็ คาตกั เตอื นส่ังสอน และสะกิดใจให้ระลกึ ถึง อยู่เสมอ มีอยู่ ๒ ประเภท คือ ๑. คาสุภาษิตประเภทท่ี พูด อา่ น หรือเขา้ ใจเนือ้ ความได้ทนั ที โดยไม่ต้องแปล ความหมาย ตีความหมายเชน่ ทาดีได้ดี ทาช่ัวได้ช่วั ๒. คาสภุ าษติ ประเภทที่พดู อ่าน หรือฟงั แล้วยังไม่เข้าใจเน้ือความนัน้ ในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตคี วามหมายเสยี ก่อนจงึ จะทราบเน้อื แท้ของคาเหล่านัน้ เช่น ผีบ้านไม่ดผี ปี า่ ก็พลอย สภุ าษติ สอนหญงิ เปน็ ทรี่ วมแหง่ คตใิ นการครองตวั ของหญงิ ตามวฒั นธรรมไทยดัง้ เดิม เป็นที่ยกย่องแพร่หลายสบื ต่อกันมาช้านาน ส่วนมากคงถือปฏบิ ตั ิ ทกุ วันนี้ จะมเี ลกิ ถอนตามคตินิยมอย่างใหม่บา้ งเพยี งบ้างประการ เชน่ การกราบเทา้ สามเี ม่อื เข้านอน หรือการ รับประทานอาหารหลังสามเี ป็นตน้ https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/22702 ( ๖ สิงหาคม ๒๕๖๔ ) เรียกใช้เมือ่ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔
11 เร่ืองยอ่ ของวรรณคดีสุภาษิตสอนหญิงมีความว่า สุภาษิตสอนหญิงมีไว้เพ่ือสอนสตรีให้ประพฤติตน ปฏิบัติตน ใหเ้ หมาะสมกบั สตรี ไม่วา่ จะเปน็ ในเร่ืองของการแต่งกาย กริ ยิ ามารยาท วาจา ในสมัยก่อนมีการเปรียบผู้หญิงเหมือนผ้า ขาวสะอาด ไม่ให้มีตาหนิ สุภาษิตสอนหญิงเป็นคาสอนประเภทกลอน ตักเตือนอีกท้ังยกตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็น รูปธรรมในตอนต้นเป็นบทประณามพจน์ หรือเรียกง่ายๆ คือ บทไหว้ครู และบทถัดไปเป็นเนื้อเรื่องของวรรณคดี โดย เก่ยี วกบั คาสอนของวรรณคดสี ุภาษติ สอนหญิง มเี นื้อหาสอดคล้องกับคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๘ ประการในปัจจบุ ัน
12 ๓. เน้อื เรื่องของวรรณคดี ๓.๑ ควำมหมำยของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประกำร ความหมายของคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สภุ ัชฌาน์ ศรีเอ่ยี ม/ จันทรฤ์ ดี ภาคตอน (๒๕๖๓:ออนไลน์) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง คุณภาพของ ผเู้ รยี นในด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยมที่กาหนดข้ึน โดยพิจารณาจากสภาพของสังคม และการเปลี่ยนแปลงของโลก ยุคปัจจุบัน ซึ่งทาให้มีความจาเป็นต้องเน้น และปลูกฝังลักษณะดังกล่าวให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนทุกคนเพื่อช่วยให้ผู้เรียน เกิดการพัฒนาในองค์รวมท้ังด้านสติปัญญา และคุณธรรม อันจะนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและความม่ันคงสงบสุขใน สังคม ทง้ั ในฐานะพลเมอื งไทยและพลโลก http://www.human.lpru.ac.th (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๖๓) เรียกใชเ้ มอ่ื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๕) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (๒๕๔๒) และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) (พ.ศ.๒๕๔๕:ออนไลน์) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง ลักษณะที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน อันเป็น คุณลักษณะท่ีสังคมต้องการในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสานึก สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมี ความสุข ท้ังในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก (กลุ่มส่งเสริมการเรียนการสอนและประเมินผล สานักวิชาการ และ มาตรฐานการศึกษา, ๒๕๔๘: ๒) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กาหนด คุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ ๘ ประการ ไดแ้ ก่ รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งม่ันในการทางาน รักความเปน็ ไทย มจี ิตสาธารณะ http://www.bic.moe.go.th เรยี กใชเ้ มอื่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ คุณครูอิทธิวิธิ สินศิริ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ หมายถึง คุณภาพของผู้เรียนด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ท่ีกาหนดขึ้น โดยพิจารณาจากสภาพของสังคม และการเปล่ียนแปลง ของโลกยุคปัจจุบันซึ่งทาให้มี ความจาเป็นตอ้ งเน้นและ ปลูกฝังลักษณะดงั กลา่ วให้เกดิ ขนึ้ ในตวั ผเู้ รียนทุกคนเพ่ือช่วยให้ผู้เรียน เกิดการพัฒนา ในองค์ รวมทงั้ ด้านสตปิ ญั ญา และคณุ ธรรม อนั จะนาไปสูค่ วามเจรญิ กา้ วหนา้ และ ความมั่นคง สงบสขุ ในสงั คม http://kruitti.com/khun.php
13 จากการศึกษาลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ สามารถสรุปได้ดังน้ีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ หมายถึง คุณภาพของผู้เรียนในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสานึก อันเป็นคุณลักษณะท่ีสังคมต้องการ จึงทาให้มีความ จาเปน็ ตอ้ งเน้นและปลูกฝังลกั ษณะดงั กล่าวให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียน เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนทุกคนเกิดการพัฒนาในองค์รวมทั้ง ด้านสติปัญญา และคุณธรรม อันจะนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ความมั่นคง และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ อย่างมีความสุข ท้ังในฐานะพลเมืองไทยและพลโลกซ่ึงในการพัฒนาตัวผู้เรียนในปัจจุบันให้มีศักยภาพมากย่ิงข้ึน กระทรวงศกึ ษาธกิ ารจงึ ไดม้ ีการกาหนดคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการขนึ้ ๓.๒ ที่มำของคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ๘ ประกำร (กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร (๒๕๔๕) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (๒๕๔๒) และท่ี แก้ไขเพม่ิ เตมิ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕:ออนไลน์) สาหรบั การจดั การศึกษาตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ นบั เปน็ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน ที่มุ่งพัฒนาผูเ้ รียนทุกคน ซ่งึ เป็นกาลงั ของชาตใิ หเ้ ปน็ มนุษย์ทีม่ ี ความสมดุลทัง้ ด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจติ สานึกในความเปน็ พลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยดึ มั่นในการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมขุ มีความรแู้ ละทกั ษะพ้ืนฐาน รวมทง้ั เจตคติ ท่จี าเป็นต่อ การศกึ ษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชวี ิต โดยมุ่งเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญบน พืน้ ฐานความเช่ือวา่ ทุกคน สามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองได้เตม็ ตามศกั ยภาพ โดยมงุ่ พัฒนาผู้เรียนใหเ้ ป็น คนดี มีปัญญา มคี วามสขุ มศี ักยภาพ ในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จงึ กาหนดเปน็ จดุ หมายเพ่ือให้เกิด กับผู้เรียน เมือ่ จบการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน โดยมี คุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมท่พี ึงประสงค์ เหน็ คณุ ค่าของ ตนเอง มีวนิ ยั และปฏบิ ัตติ นตามหลักธรรมของ พระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนบั ถือ ยึดหลกั ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพียง มคี วามรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคดิ การแก้ปญั หา การใช้เทคโนโลยแี ละมี ทักษะชีวติ ซ่ึงในการพฒั นาผู้เรยี นตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน มงุ่ เนน้ พัฒนาผ้เู รียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานทก่ี าหนด ซ่ึงจะช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกิดสมรรถนะสาคัญและ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน ที่มุ่งพฒั นาผ้เู รียนใหม้ คี ุณลกั ษณะ อันพงึ ประสงค์ เพ่ือให้สามารถอยู่รว่ มกบั ผู้อื่นในสังคมได้อยา่ งมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก คณุ ลกั ษณะ อันพงึ ประสงคท์ ั้ง ๘ ขอ้ น้ี ได้แก่ ๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสตั ยส์ ุจรติ ๓. มวี นิ ัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่ อย่างพอเพยี ง ๖. มุ่งมนั่ ในการทางาน ๗. รกั ความเปน็ ไทย ๘. มจี ติ สาธารณะ (สานักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร, ๒๕๕๓) http://www.bic.moe.go.th เรยี กใชเ้ มอ่ื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
14 บญุ รอด ชาตยิ านนท์ (๒๕๖๑:ออนไลน)์ การจัดการศึกษาตามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพน้ื ฐานพทุ ธศักราช ๒๕๕๑ เปน็ หลกั สูตรแกนกลางทก่ี าหนดคณุ ลกั ษณะของผเู้ รียน สถานศกึ ษาตอ้ งนากรอบแนวคิดไปจดั การเรยี นการ สอนให้ผูเ้ รยี นสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองไดเ้ ต็มศกั ยภาพ ให้เปน็ พลเมืองที่ดี มคี วามรู้ ความสามารถ มที กั ษะขั้น พ้นื ฐาน ประกอบอาชพี ได้ตามควรแก่วัยตามความสามารถและความถนดั ของตน ทาคุณประโยชนแ์ กส่ ังคมและ ประเทศชาติ โดยมจี ุดมุ่งหมายเพอื่ ใหเ้ กิดคณุ ลักษณะทีเ่ กดิ ข้ึนกับผู้เรยี นเม่ือจบการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน โดยมีคุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมท่ีพงึ ประสงค์ เห็นคุณคา่ ของตนเอง มวี นิ ยั และปฏบิ ัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาทตี่ นนบั ถือ ยดึ หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง มีความร้อู ันเปน็ สากล และมีความสามารถในการสอ่ื สาร การคิด การแก้ปัญหา การใชเ้ ทคโนโลยีและมีทักษะชวี ติ มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตทดี่ ี มสี ุขนิสัย และรักการออกกาลังกาย มี ความรักชาติมจี ติ สานึกในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลกยดึ มัน่ ในวถิ ีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วฒั นธรรมและภมู ปิ ัญญาไทย การอนุรักษแ์ ละพัฒนา สิง่ แวดลอ้ ม มจี ติ สาธารณะที่มงุ่ ทาประโยชน์และสร้างสง่ิ ดีงามในสงั คม และอยูร่ ว่ มกันในสงั คมอย่างมีความสขุ ซึ่ง หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ มีกรอบการพัฒนาผ้เู รยี นในดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรมให้มี คุณลักษณะที่สงั คมและชาตติ ้องการ สามารถอย่ใู นสังคมร่วมกบั ผอู้ ืน่ อย่างมีความสขุ ทัง้ ในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก ได้กาหนดคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคไ์ ว้ ๘ ประการคือ ๑) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒) ซื่อสัตย์สจุ รติ ๓) มีวนิ ัย ๔) ใฝ่ เรียนรู้ ๕) อยอู่ ย่างพอเพียง ๖) ม่งุ มนั่ ในการทางาน ๗) รักความเปน็ ไทย ๘) มจี ิตสาธารณะ (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑ : ๖-๘) https://www.tci-thaijo.org (กนั ยายน - ธันวาคม ๒๕๖๑) เรียกใชเ้ ม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ นางสาวจิตตนิ ันท์ ดหี ลาย (๒๕๖๑:ออนไลน)์ ในการพฒั นาเยาวชนของชาติเขา้ สูโ่ ลกยคุ ศตวรรษท่ี ๒๑โดยมงุ่ ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นมีคุณธรรม รักความเปน็ ไทย ใหม้ ีทกั ษะการคิดวิเคราะห์ สรา้ งสรรค์มีทกั ษะดา้ นเทคโนโลยี สามารถ ทางานรว่ มกบั ผู้อื่น และสามารถอยู่ร่วมกบั ผู้อ่นื ในสงั คมโลกไดอ้ ย่างสนั ตคิ ุณลักษณะอันพึงประสงค์ทต่ี ้องการให้เกดิ ข้ึนกบั ผูเ้ รยี นอนั เป็นคุณลักษณะทส่ี งั คมต้องการ ในดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม จติ สานกึ สามารถอยู่ร่วมกับผูอ้ น่ื ในสงั คมได้อย่างมคี วามสุข มีคณุ ภาพดา้ นความรู้ และทกั ษะที่จาเปน็ สาหรับการดารงชวี ิตในสงั คมที่มกี ารเปลีย่ นแปลง และแสวงหาความรเู้ พอ่ื พฒั นาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ ๘ ประการ ไดแ้ ก่ ๑.รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒.ซ่อื สัตยส์ ุจริต ๓.มีวินยั ๔.ใฝเ่ รยี นรู้ ๕.อย่อู ย่างพอเพยี ง ๖.ม่งุ มัน่ ในการทางาน ๗.รกั ความ เปน็ ไทย ๘.มจี ติ สาธารณะ เป็นมนุษยท์ ีม่ ีความสมดุล ท้งั ด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจติ สานึกในความเป็นพลเมือง
15 ไทยและพลโลกยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มคี วามรู้และ ทักษะพน้ื ฐาน รวมทั้งเจตคติท่จี าเปน็ ตอ่ การศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวติ https://mis.krirk.ac.th/librarytext/ED/2561/F_Jittinun_Deelal.pdf (๒๕๖๑) เรียกใชเ้ ม่อื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ จากการศึกษาความหมายของลักษณะอันพึงประสงค์ สามารถสรุปได้ดังน้ี การจัดการศึกษาตามหลักสูตร แกนกลางศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เป็นหลักสูตรแกนกลาง โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุล ท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มจี ิตสานกึ ในความเปน็ พลเมอื งไทยและพลเมืองโลกยึดมั่นในการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐาน รวมทั้งเจตคติท่ีจาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชวี ติ จึงกาหนดเป็นจดุ หมายเพือ่ ให้เกดิ ขนึ้ กับผูเ้ รียนเมื่อจบการศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตัวเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาทตี่ นนบั ถือ ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง มคี วามรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแกป้ ัญหา การใช้เทคโนโลยแี ละมีทักษะชีวิตและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมีความสุขซ่ึงในการพัฒนา ผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ ๘ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซ่ือสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งม่ัน ในการทางาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจติ สาธารณะ ซ่งึ เนอื้ หาส่วนหน่ึงของรายงานนี้ได้มีการวิเคราะห์คุณลักษณะอัน พงึ ประสงค์ ๘ ประการที่ปรากฏอยูใ่ นวรรณคดีสุภาษิตสอนหญงิ ๓.๓ วิเครำะหเ์ นอ้ื เรอ่ื งวรรณคดที ีส่ อดคลอ้ งกับลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๘ ประกำร ๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ตัวอย่างบทประพนั ธ์ ประนมหตั ถน์ มสั การข้ึนเหนือเศียร ตา่ งประทีปโกสุมปทมุ เทยี น จานงเนียรนบบาทพระศาสดา อันเปน็ มงิ่ โมลสี ่ที วปี (บทไหว้ครู หน้าท่ี ๑) จากบทประพนั ธเ์ ปน็ การการประนมมือเป็นรูปดอกบัวตูมขึ้นเหนือศีรษะ การต้ังใจกราบไหว้ นอบน้อมต่อพระศาสดา การบูชาส่ิงศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งเป็นคุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงการเคารพนบนอบต่อพระศาสดา และการมีความเช่ือ ความศรทั ธาตอ่ ศาสนาตามคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการในเร่อื งของการรักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
16 ๒. ซื่อสตั ย์ ตวั อย่างบทประพันธ์ จะมีคู่กใ็ หร้ ปู้ รนนิบัติ จงซอื่ สัตย์สจุ รติ จิตถนอม อย่าคิดร้ายแยกยา้ ยทาแปลกปลอม มโนน้อมเสน่หาตอ่ สามี (บทที่ ๑๘ หนา้ ที่ ๑๑) จากบทประพันธ์เป็นการสอนผู้หญิงว่าหากมีคู่ให้คอยดูแลเอาใจใส่ และซื่อสัตย์ต่อคู่ของตนเอง อย่าคิดร้ายหรือคิด นอกใจต่อสามี ซ่ึงเป็นคุณลักษณะที่สอนถึงการใช้ชีวิตคู่กันอย่างซ่ือสัตย์และคอยดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันตาม คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของความซอื่ สัตย์ เอาความสตั ย์ตัดต้ังปฏญิ าณ ถงึ เกดิ การยากเขญ็ ไม่เปน็ ไร จงซื่อตอ่ ภสั ดาสวามี จนชีวศี รสี วัสดิเ์ จ้าตดั ษยั (บทที่ ๑๘ หนา้ ท่ี ๑๒) จากบทประพันธเ์ ปน็ การสอนวา่ ใหเ้ อาความจรงิ ซื่อสตั ยต์ ง้ั เปน็ ปฏญิ าณคอื คาม่ันสัญญาด้วยใจบริสุทธ์ิแม้จะยากแค่ไหน ก็ไม่เป็นไรให้ซื่อสัตย์ต่อสามีไปจนตาย ซ่ึงเป็นคุณลักษณะที่สอนให้ซ่ือสัตย์ไปตลอดตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเร่อื งของความซอื่ สตั ย์ ๓. มวี นิ ยั ตวั อย่างบทประพันธ์ เปน็ ตารับแบบฉบบั ไปยืดยาว ในเรอ่ื งราวสภุ าษิตลิขิตความ ขอ้ ไหนชัว่ แล้วอย่ามัวไปขืนทา จงจดจาบญุ บาปอยา่ หยาบหยาม เกบ็ ประกอบเอาแตช่ อบในเร่ืองความ ประพฤติตามหา้ มใจเสยี ใหด้ ี อยา่ ฟงั เปลา่ เอาแตก่ ลอนสุนทรเพราะ จงพิเคราะหค์ าเลศิ ประเสริฐศรี ไว้เปน็ แบบสอนตนพ้นราคี กนั บัดสีคาค่อนคนนนิ ทา (บทที่ ๒๔ หน้า ๑๔)
17 จากบทประพันธ์เป็นการสอนสตรีให้มีวินัยประพฤติตนตามสุภาษิตสอนหญิงฉบับนี้ ข้อไหนไม่ดีไม่ควรทา ทาแต่เร่ืองที่ ดีๆ ใหค้ อยทาตามทส่ี อน ไมใ่ ช่ฟงั เพราะว่าไพเราะ ให้วิเคราะห์ให้ดีแล้วทาเป็นตามที่สอนจะได้ไม่ถูกผู้อื่นนินทา ซึ่งเป็น คณุ ลักษณะทสี่ อนใหม้ วี นิ ัยทาตามทีส่ อนตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรอ่ื งของการมีวนิ ยั ๔. ใฝ่เรยี นรู้ ตวั อยา่ งบทประพันธ์ รูว้ ิชากใ็ หร้ เู้ ปน็ ครเู ขา จงึ จะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย มขี ้าไทใช้สอยคอ่ ยสบาย ตัวเป็นนายโงเ่ งา่ บา่ วไมเ่ กรง การวชิ าหาประดบั สาหรบั ร่าง อย่าเอาอย่างหญงิ โกงที่โฉงเฉง (บทที่ ๑๐ หนา้ ท่ี ๖) จากบทประพันธ์สอนในเร่ืองของการขวนขวายหาวิชาความรู้ใส่ตน ให้รู้จักใช้ปัญญาปกครองคน หากเป็นเจ้านายท่ี โง่เง่าไม่มีปัญญา เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่ จะทาให้ไม่มีบ่าวไพร่หรือลูกน้องคนใดอยากที่จะเคารพยาเกรงได้ ซึ่งเป็น คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความตั้งใจ เพียรพยายามในการแสวงหาความรู้ใส่ตน ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรอ่ื งของการใฝเ่ รียนรู้ ๕. อยู่อยา่ งพอเพยี ง ตวั อย่างบทประพันธ์ มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท อยา่ ใหข้ าดสิง่ ของตอ้ งประสงค์ จงมกั น้อยกนิ นอ้ ยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ไมค่ วรซ้ือกอ็ ย่าไปพิไรซ้ือ ใหเ้ ปน็ มื้อเปน็ คราวท้งั คาวหวาน (บทที่ ๗ หนา้ ท่ี ๕) จากบทประพันธ์สอนในเร่ืองการประหยัดอดออม การเก็บเงินให้เพ่ิมพูนมากขึ้น ไม่ใช้จ่ายส้ินเปลือง ต้องใช้จ่ายซื้อแต่ ขา้ วของท่ีจาเป็น สิ่งใดไม่ควรซื้อก็ไม่ควรซ้ือ ให้รู้จักระมัดระวัง ไม่ประมาทในการใช้เงินมีน้อยก็ใช้น้อย อย่าใช้จ่ายเกิน ตัว เพราะจะทาให้ยากจนได้ในภายหลัง ซ่ึงเป็นคุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงการดาเนินชีวิตอย่างพอประมาณ มีเหตุผล และรอบคอบ ตามคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของการอยอู่ ย่างพอเพยี ง
18 ๖.มุ่งม่ันในการทางาน อย่าเกยี จคร้านการสตรจี งนิยม จะอดุ มสินทรัพย์ไม่อบั จน ถา้ แม้นทาสง่ิ ใดใหล้ บอก อย่าทงิ้ ทอดเท่ียวไปไมเ่ ป็นผล เขม้นขะมกั รักงานการของตน อยา่ ซกุ ซนคบเพื่อนไพลเ่ ชอื นแช (บทท่ี ๗ หนา้ ที่ ๔) จากบทประพนั ธ์เป็นการสอนว่าหากไมเ่ กียจครา้ นการงาน เกบ็ ออมไม่ยากจน ถ้าทาสิ่งใดให้ทาตลอดอย่างสม่าเสมอ ให้ รักในการงานของตนเอง อย่ามัวเท่ียวเล่นกับเพื่อนฝูง ซึ่งเป็นคุณลักษณะท่ีสอนให้ไม่เกียจคร้านการงาน ต้ังใจทางาน ตามคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเรื่องของการมุง่ มั่นในการทางาน ๗. รกั ความเปน็ ไทย ตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ ผ้ใู ดเกิดเปน็ สตรอี นั มศี กั ดิ์ บารุงรักกายไว้ใหเ้ ปน็ ผล สงวนงามตามระบอบใหช้ อบกล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา (บทที่ ๑ หนา้ ที่ ๑) จากบทประพนั ธ์สอนในเรือ่ งของการเกดิ เป็นผู้หญงิ ซง่ึ เป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีในตนเองควรจะปฏิบัติตนให้สมกับความเป็นกุล สตรี ต้องไม่ใจง่าย ให้รักนวลสงวนตัว รู้จักบารุงรักษาร่างกายของตน ตามขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างถูกต้อง เหมาะสม เพ่ือเป็นการรักษาศักดิ์ศรีและมิให้ผู้อื่นมานินทาได้ ซึ่งเป็นคุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงการปฏิบัติตนตาม ขนบธรรมเนียมประเพณขี องไทย ตามคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการในเรือ่ งของการรักความเป็นไทย ๘. จติ สาธารณะ ตัวอย่างบทประพันธ์ จะสอนใจไว้ทกุ สง่ิ เป็นหญิงสาว ใหพ้ ้นคาวข่าวช่วั เขา้ มว่ั สุม ใหผ้ ันผ่อนเหมอื นหนง่ึ นอนในห่วงรุม จงสขุ ุมคิดแบ่งให้เบาบาง อยา่ ทานอกลักษณะจะเปน็ โทษ ตัดประโยชน์พนี่ ้องเขาหมองหมาง (บทท่ี ๙ หนา้ ที่ ๕)
19 จากบทประพนั ธ์สอนให้สตรีคดิ ใหด้ เี สยี ก่อนจะทาอะไรให้เหมาะสม หากทาตัวไม่เหมาะสมก็จะส่งผลเสียต่อตนเองและ ครอบครัวเดอื ดร้อนไปดว้ ยจงึ ควรนึกถงึ สิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่ืน ซึ่งเป็นคุณลักษณะท่ีสอนให้มีจิตสาธารณะตาม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในเร่ืองของการมีจิตสาธารณะนอกเหนือจากคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการท่ีปรากฏอยู่ในสุภาษิตสอนหญิงแล้วยังคงมีคุณค่าด้านเน้ือหาท่ีปรากฏอยู่ในวรรณคดีอีกด้วย ดังน้ันเราจึง จาเป็นท่ีจะต้องทราบหลกั การวเิ คราะห์เพ่ือนามาใช้วิเคราะห์คณุ ค่าด้านเน้ือหาของวรรณคดี
20 ๔. หลกั ในกำรวเิ ครำะหว์ รรณคดี ๔.๑ กำรวเิ ครำะห์คุณคำ่ ด้ำนเน้ือหำ โรงเรียนสรรพวิทยาคม (๒๕๕๘: ออนไลน์) คุณค่าด้านเนื้อหา หมายถึง ใจความของเรื่อง รายละเอียดใน เหตุการณ์ต่างๆ ประกอบไปด้วย ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์ บทสนทนาของตัวละคร การวิเคราะห์จึงต้องวิเคราะห์จาก องค์ประกอบเหล่านี้ว่าครบถ้วน สมจริง มีเหตุผล อย่างไร มีคุณค่ามากกว่าความสนุกสนานหรือไม่ และยังต้องมีความ ไพเราะของบทประพนั ธ์ การวเิ คราะห์องค์ประกอบเนื้อหาจะมุ่งวเิ คราะหไ์ ปที่ประโยชนแ์ ละคณุ ค่า http://134.236.227.13 ( ๑๕ มถิ นุ ายน ๒๕๕๘ ) เรียกใช้เม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สมเกียรติ ครูดา คาแหง (๒๕๕๔: ออนไลน์) คุณค่าด้านเน้ือหา แนวคิดและค่านิยมจากวรรณกรรม แนวคิดท่ี ปรากฏในวรรณกรรม หมายถึง ความคิดสาคัญของเร่ืองที่ให้ประโยชน์ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น แนวคิดเกี่ยวกับ ความเช่อื เร่อื งบญุ กรรม ความรกั ชาติ ความกตญั ญูกตเวที ความซอื่ สตั ย์ www.gotoknow.org ( ๘ มิถนุ ายน ๒๕๕๔ ) เรยี กใชเ้ ม่ือ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ บุญกวา้ ง ศรสี ุทโธ (๒๕๖๑: ออนไลน์) การพจิ ารณาคุณค่าด้านเนอ้ื หา มีแนวทางในการพิจารณาดงั ต่อไปนี้ ๑. รปู แบบ พจิ ารณาว่างานประพันธน์ ัน้ ใช้คาประพันธช์ นิดใด ลักษณะการแต่งถูกต้องตามลักษณะฉันทลกั ษณ์ หรอื ไม่ ผแู้ ต่งเลอื กใช้คาประพนั ธ์ได้เหมาะสมกบั เนอื้ หาหรือไม่ ๒. สาระ พิจารณาสาระทผ่ี ้แู ต่งต้องการสื่อมายงั ผ้อู า่ นวา่ เป็นเร่อื งอะไร ๓. โครงเร่ือง พิจารณาว่าผู้แต่งมวี ิธีการวางโครงเรอื่ งอย่างไร การลาดบั ความเป็นไปตามลาดับขนั้ ตอนหรือมีวิธกี ารวาง ลาดบั เรือ่ งนา่ สนใจ ๔. ตัวละคร พิจารณาวา่ ตัวละครในเรื่องมีลักษณะนิสยั บุคลิกภาพและบทบาทในเรอ่ื งสมจริง ๕. ฉากและบรรยากาศ ผู้แต่งบรรยายฉากและบรรยากาศได้เหมาะสม ถูกต้อง ชัดเจน เหน็ ภาพและสอดคลอ้ งกับเรื่อง ได้ดี https://sites.google.com ( ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ) เรียกใช้เมอื่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
21 จากการศึกษาหลักการวเิ คราะหว์ รรณคดีดา้ นเนื้อหาสรุปไดว้ ่า คณุ คา่ ด้านเนื้อหา หมายถงึ ใจความสาคัญ แนวคิดทีป่ รากฏ รายละเอยี ดของเร่ืองราวเหตุการณท์ ี่เกดิ ข้ึนในวรรณกรรมเรื่องน้ันๆ ประกอบไปดว้ ย ฉาก ตวั ละคร เหตุการณ์ บทสนทนาของตวั ละคร การวเิ คราะหจ์ งึ ต้องวเิ คราะห์จากองคป์ ระกอบเหล่านีว้ า่ ครบถว้ น สมจริง มเี หตผุ ล และรวมถงึ ประโยชน์ของเนื้อหา มคี ุณค่าที่มากกว่าความบันเทงิ ให้ประโยชนห์ รอื ข้อคิดในการดาเนินชวี ิต ไม่ว่าจะเป็น โดยตรงหรือโดยออ้ ม ซึ่งการวิเคราะหค์ ุณค่าดา้ นเนื้อหามีหลักการ ๕ อยา่ ง ไดแ้ ก่ วเิ คราะห์รูปแบบการประพันธ์ เหมาะสมกับเร่ืองหรอื ไม่ วิเคราะหส์ าระท่ผี แู้ ต่งต้องการสื่อ วิเคราะหโ์ ครงเรื่องท่คี วรเป็นลาดับขนั้ วิเคราะห์ตัวละครมี ความสมจรงิ มากน้อยเพยี งใด วเิ คราะหฉ์ ากและบรรยากาศถกู ต้อง เหมาะสมกบั เน้ือเรื่อง และนอกจากคุณคา่ ดา้ น เนือ้ หาซงึ่ ควรให้คุณคา่ ทั้งความบันเทิงและประโยชน์ในการดาเนนิ ชวี ติ แล้วน้นั คุณคา่ ทางวรรณศลิ ป์ก็มีความสาคัญต่อ ความรูส้ ึกของผูอ้ ่านเชน่ กัน ๔.๒ กำรวิเครำะห์คุณค่ำดำ้ นวรรณศิลป์ ภัทรวรรธน์ ปิจจวงค์ (๒๕๕๑: ออนไลน์) คณุ คา่ ดา้ นวรรณศิลป์ วรรณคดีท่ไี ดร้ ับยกย่องต้องมีการประพันธ์ทีด่ ี เย่ยี ม การใช้คาต้องเหมาะสมถกู ต้องตรงความหมาย เหมาะกบั เน้ือเรื่องมเี สยี งเสนาะ เป็นไปตามฉนั ทลกั ษณ์ สามารถ ทาใหผ้ อู้ ่านจนิ ตนาการตามเน้ือเรอื่ งได้ และต้องเข้าใจสานวนโวหารและภาพพจน์ ดังน้ี ๑. การใช้โวหาร บรรยายโวหาร เปน็ การเลา่ เรอื่ ง เล่าเหตกุ ารณ์ท่ีมีเวลาสถานที่ ซ่งึ แสดงใหเ้ หน็ ความสัมพันธ์ตอ่ เนื่องกนั พรรณนา โวหาร เป็นการใหร้ ายละเอยี ดของเรื่องราว เทศนาโวหาร คอื โวหารทมี่ งุ่ ในการสง่ั สอน โนม้ นา้ วจติ ใจผอู้ ่านใหค้ ล้อยตาม สาธกโวหาร คือ การยกตัวอย่างประกอบ อุปมาโวหาร คอื โวหารเปรยี บเทยี บสง่ิ หน่งึ กับอกี ส่งิ หนงึ่ เพ่ือใหผ้ ู้อา่ นเข้าใจมากขนึ้ ๒. การใช้ภาพพจน์ เป็นการพลิกแพลงภาษาให้แปลกออกไปกวา่ ท่เี ปน็ อยปู่ กติ ทาให้เกิดการกระทบความร้สู กึ และ อารมณ์ตา่ งกับภาษาทีใ่ ช้อยา่ งตรงไปตรงมา ได้แก่ อุปมา อุปลักษณ์ อติพจน์ บุคคลวตั สทั พจน์ ๓. การเลน่ เสียง คือการเลือกสรรคาทม่ี เี สยี งสัมผัสกนั ได้แก่ การเลน่ เสยี งอกั ษร เสยี งสระ และเสยี งวรรณยุกต์ เพื่อ เพ่มิ ความไพเราะและแสดงความสามารถของกวีท่แี มจ้ ะเล่นเสยี งของคาแตย่ งั คงความหมายไว้ ๔.รสทางวรรณคดีไทย มีอยู่ ๔ ชนิด คอื เสาวรจนี (ชมความงาม) นารปี ราโมทย์ (ชมนาง) พิโรธวาทงั (โกรธ) สัลลา ปังคพิไสย (เศรา้ ) https://sites.google.com
22 ( ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ) เรยี กใช้เมื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ อักษรวดี กงทา (๒๕๖๔: ออนไลน์) ตามพจนานุกรรมฉบบั บัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ วรรณศลิ ป์ หมายถงึ ศลิ ปะในการแต่งหนงั สือ ศิลปะทางวรรณกรรม วรรณกรรมท่ีถงึ ขนั้ วรรณคดี วรรณศลิ ป์เปน็ องค์ประกอบท่ีสาคญั ซ่งึ ชว่ ยส่งเสรมิ ใหว้ รรณกรรมมีคุณค่า และมีลกั ษณะดเี ดน่ ทางดา้ นวธิ แี ตง่ การเลือกใชถ้ อ้ ยคา สานวน เหมาะสมกับเนอื้ เรื่อง การวิเคราะห์คณุ คา่ ทางวรรณศลิ ป์ ผูว้ เิ คราะหจ์ ะต้องมีความรู้ ต้องศึกษาตั้งแต่การเลอื กชนดิ คาประพนั ธ์ การ ตกแต่งถ้อยคาให้สละสลวย และทาให้ผูอ้ ่านเกดิ อารมณค์ ล้อยตาม ๑.การใช้โวหาร ๑.๑ บรรยายโวหาร คอื การเล่าเร่อื ง เล่าเหตุการณท์ ีม่ ีเวลาสถานท่ี ซงึ่ แสดงใหเ้ ห็นความสัมพันธ์ตอ่ เนื่องกัน การบรรยายมจี ดุ มุ่งหมายให้ผู้อา่ นเขา้ ใจว่าเรอ่ื งราวนน้ั ๆ ๑.๒ พรรณนาโวหาร คือ โวหารทใี่ ชก้ ลา่ วถงึ เรื่องราว สถานที่ บุคคล สงิ่ ของ หรอื อารมณ์อย่างละเอียด สอดแทรกอารมณ์ ความรู้สึกลงไปเพื่อโนม้ นา้ วใจ ให้ผูร้ บั สารเกิดภาพพจน์ เกดิ อารมณค์ ล้อยตามไปด้วย ๑.๓ เทศนาโวหาร คือ โวหารท่มี งุ่ ในการสัง่ สอน โน้มน้าวจิตใจผอู้ ่านให้คล้อยตาม ๑.๔ สาธกโวหาร คอื โวหารที่มีจุดมงุ่ หมายเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้วยการยกตัวอย่าง ๑.๕ อปุ มาโวหาร คอื โวหารเปรียบเทยี บส่งิ หนึ่งกบั อกี สิ่งหนง่ึ เพอ่ื ให้ผู้อา่ นเข้าใจมากข้ึน ๒. การใช้ภาพพจน์ ๒.๑ อปุ มา คือ การเปรียบเทียบสิ่งหน่ึงคล้ายหรอื เหมือนกับอกี ส่งิ หนึ่ง ๒.๒ อปุ ลกั ษณ์ คือ การเปรยี บส่งิ หน่งึ เป็นอกี สง่ิ หน่ึง แตกต่างจากการอปุ มาโดยอปุ ลักษณม์ ักใช้คาวา่ เปน็ คอื ๒.๓ อติพจน์ คือ การกล่าวผิดไปจากความเป็นจริง ๒.๔ บคุ คลวัต คือ การกล่าวถึงสิง่ ทไี่ ม่มีชีวติ จติ ใจใหม้ ีการกระทาเหมือนมนุษย์ ๒.๕ สัทพจน์ คือ การเลียนเสียงธรรมชาติ ๒.๖ นามนยั คือ การทเ่ี ราใชช้ ื่อส่วนประกอบท่ีโดดเดน่ ของสงิ่ หนึ่งแทนสิ่งนน้ั ๆ ท้งั หมด ๒.๗ สญั ลกั ษณ์ คือ การแทนสิง่ ใดส่ิงหนงึ่ โดยไมต่ อ้ งใชค้ าอธิบาย ซงึ่ ต้องใช้คาทค่ี นสว่ นใหญร่ ู้จกั เหมอื นกนั
23 ๒.๘ ปฏิพากย์ คือ การใช้ถ้อยคาท่ีมีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกัน มากล่าวอย่างเพ่ือเพ่ิมน้าหนักมาก ย่งิ ขึ้น ๓. การเล่นเสียง คือ การสรรคาท่ีมีเสยี งสมั ผสั กนั เพ่ือใหเ้ กิดความไพเราะของบทประพนั ธ์ ๓.๑ การเล่นเสียงพยญั ชนะ คือ การใชค้ าทม่ี ีเสียงพยัญชนะตน้ เดียวกันหลายๆ พยางคต์ ดิ กนั ๓.๒ การเล่นเสยี งสระ คือ การใชส้ มั ผัสสระท่ีมีเสยี งตรงกัน ถ้ามีตวั สะกดกต็ ้องเป็นตัวสะกดในมาตราเดียวกนั เพ่อื ความคล้องจอง ๓.๓ การเลน่ เสยี งวรรณยุกต์ คอื การใชค้ าที่ไล่ระดับเสยี ง เชน่ รน้ -ร่น, ลวง-ล่วง-ล้วง ๔. การเลน่ คา คอื กลวิธกี ารเลอื กสรรคามาใช้ในบทประพันธใ์ ห้มคี วามไพเราะยิ่งขนึ้ http://cps.ac.th เรยี กใชเ้ มือ่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ จริ ายุทธ เชอื้ ดวงผูย (๒๕๕๖: ออนไลน์) การพิจารณาคุณคา่ ดา้ นวรรณศิลป์ต้องศึกษาต้ังแตก่ ารเลือกชนิดคา ประพันธ์ให้เหมาะสมกับประเภทของงานเขยี น การรู้จักตกแตง่ ถ้อยคาให้ไพเราะสละสลวยอนั เปน็ ลกั ษณะเฉพาะของ ภาษากวี และทาให้ผ้อู า่ นเกิดความสะเทือนอารมณ์ ภาษากวเี พ่ือสรา้ งความงดงามไพเราะแก่บทร้อยแกว้ หรอื ร้อย กรองนั้น มีหลักสาคัญที่เกย่ี วขอ้ งกนั ๓ ดา้ น ดังน้ี ๑. การสรรคา คือ การเลือกใชค้ าให้สอื่ ความคดิ ความเข้าใจ ความรสู้ ึก และอารมณ์ได้อยา่ งงดงาม โดย คานึงถงึ ความงามดา้ นเสียง โวหาร และรูปแบบคาประพันธ์ ๒. การเรียบเรียงคา คอื การจัดวางคาที่เลอื กสรรแลว้ ใหม้ าเรียงรอ้ ยกนั อยา่ งต่อเน่ืองตามฉนั ทลกั ษณ์ ๓. การใช้โวหาร คอื การใช้ถ้อยคาเพ่ือให้ผูอ้ ่านเกิดจนิ ตนาการตามเน้ือเร่ืองได้ https://sites.google.com ( ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๕๖ ) เรียกใช้เมอ่ื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ หลักในการวิเคราะหด์ า้ นวรรณศิลป์ นักวิชาการได้สรปุ ว่า ตามพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ วรรณศลิ ป์ หมายถึง ศิลปะในการแต่งหนงั สือ ศลิ ปะทางวรรณกรรม ซ่งึ วรรณศิลปเ์ ปน็ องคป์ ระกอบสาคัญท่ชี ว่ ย ส่งเสรมิ ใหว้ รรณกรรมมีคณุ คา่ และมีลักษณะดเี ดน่ เชน่ การเลอื กใชถ้ ้อยคา สานวน ให้เหมาะสมกับเน้ือเร่ือง การทาให้ ผู้อ่านสามารถจินตนาการ มีอารมณเ์ ขา้ ถงึ เน้ือเรือ่ งได้ ดังนั้นการวิเคราะห์คุณค่าทางวรรณศิลป์ ผ้วู เิ คราะห์จะตอ้ งศึกษา
24 ความรคู้ วามเข้าใจเก่ยี วกับวรรณศลิ ป์ประเภทต่างๆ ทมี่ ีในวรรณกรรม โดยหลกั การวเิ คราะหว์ รรณศิลปม์ ีด้วยกัน ๔ ประการ คือ การใชโ้ วหาร การใช้ภาพพจน์ การเล่นเสียง และการเลน่ คา ดังน้ันคุณค่าด้านวรรณศิลป์มีความสาคัญต่อความรู้สึกของผู้อ่านมาก เนื่องจากวรรณศิลป์เป็นการส่ืออารมณ์ ความหมาย เน้ือเร่ือง ของผู้แต่งไปถึงผู้อ่าน ซึ่งผู้อ่านจะเข้าใจหรือไม่นั้นข้ึนอยู่กับการส่ือความของผู้แต่ง และหากมี คณุ ค่าดา้ นวรรณศลิ ป์แล้ว แต่วรรณคดีเรือ่ งนน้ั ยังขาดประโยชน์เพ่ือสงั คม กไ็ มถ่ อื ว่าเป็นวรรณคดีท่ีควรได้รับการยกย่อง ดงั นัน้ ในวรรณคดีจึงควรมีคุณคา่ ด้านสังคมอยดู่ ว้ ย ๔.๓ กำรวิเครำะห์คุณค่ำดำ้ นสงั คม โรงเรียนสรรพวิทยาคม (๒๕๕๘: ออนไลน์) คุณค่าด้านสังคม คือ ภาพสะท้อนวิถีชีวิตของคนที่สะท้อนมาจาก วรรณคดีและวรรณกรรม โดยนยิ มแทรกไว้ในเนือ้ เรอื่ ง เช่น ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม การดาเนินชีวิต วรรณกรรมจึง เป็นสง่ิ ที่บอกเล่าเร่อื งราวของคนในอดีตไดเ้ ปน็ อย่างดี http://134.236.227.13 ( ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ ) เรียกใชเ้ มอื่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สมเกียรติ ครูดา คาแหง (๒๕๕๔: ออนไลน์) คุณค่าด้านสังคม คือเนื้อหาท่ีเป็นหลักฐาน ทาให้ผู้อ่านได้ทราบ ความจริงเกี่ยวกับความ เปล่ียนแปลงของสังคม ค่านิยมและทัศนะของบุคคลในสมัยที่วรรณกรรมเรื่องนั้นเกิดขึ้น เช่น คา่ นิยมเรอ่ื งการทาบญุ ทาทาน การชอบความสนกุ สนานร่ืนเริง การนยิ มใชข้ องตา่ งประเทศ www.gotoknow.org ( ๘ มกราคม ๒๕๕๔ ) เรยี กใช้เมอื่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร (๒๕๕๔: น. ๖) การพิจารณาคุณค่าด้านสังคมเป็นการพิจารณาถึงคุณค่าบท ประพันธ์ว่า ผู้แต่งมีจุดประสงค์อย่างไรในการจรรโลงสังคม การพิจารณาน้ันสามารถพิจารณาได้จาก ทรรศนะ คติ เตือนใจ คา่ นยิ ม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนยี มประเพณี ซึง่ ผู้แตง่ มักจะสอดแทรกอยใู่ นเน้ือเรื่องบทประพนั ธ์ https://edu.kpru.ac.th ( มกราคม ๒๕๕๔ ) เรียกใชเ้ มอื่ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า คุณค่าด้านสังคม คือภาพสะท้อนวิถีชีวิตผู้คนในสมัยของวรรณกรรมนั้นๆ ซ่ึงสามารถ วิเคราะหไ์ ดจ้ ากเนอ้ื เรอื่ ง ทีม่ ักจะมีการสอดแทรกไว้ เช่น ประเพณี วัฒนธรรม ความเช่ือ ค่านิยม และคติเตือนใจ ดังน้ัน วรรณกรรมจึงเป็นสง่ิ ท่บี อกเลา่ เรอื่ งราวของผคู้ นและการเปล่ียนแปลงไปของสงั คม ตั้งแต่อดีตถงึ ปัจจุบนั ได้เป็นอย่างดี
25 ซึ่งจากหลักในการวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดี มี ๓ ประการ คือ คุณค่าด้านเนื้อหา คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คุณคา่ ด้านสังคม โดยการวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดีในรายงานฉบับน้ี จะวิเคราะห์วรรณคดีคาสอนเรื่องสุภาษิตสอน หญงิ
26 ๕. วิเครำะห์คุณค่ำของวรรณคดี ๕.๑ วเิ ครำะหค์ ณุ ค่ำดำ้ นวรรณศิลป์ นูรฮายาตี แอเสาะ (๒๕๕๗: ออนไลน์) ภาพพจน์ คือ กลวิธีการนาเสนอสารโดยการพลิกแพลงภาษาที่ใช้พูด หรือเขียนให้แปลกออกไปจากภาษาตามตัวอักษรทาให้ผู้อ่านเกิดภาพในใจ เกิดความประทับใจ เกิดความรู้สึกสะเทือน ใจ เป็นการเปรียบเทยี บใหเ้ ห็นภาพอยา่ งชดั เจน ประเภทของภาพพจน์มีดังนี้ ๑. อปุ มาโวหาร อปุ มา คือ การเปรียบเทียบว่าส่ิงหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คาเช่ือมท่ีมีความหมายเช่นเดียวกับคาว่า \" เหมอื น \" เช่น ดจุ ดง่ั ราว ราวกบั เปรียบ ประดุจ เฉก เลห่ ์ ปาน ประหนึ่ง เพียง เพ้ยี ง พา่ ง ปนู ถนัด กล อยา่ ง ฯลฯ ๒. อปุ ลกั ษณ์ อุปลักษณ์ ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหน่ึงเป็น อีกสิ่งหนง่ึ โดยจะมีคาวา่ เปน็ กบั คือ ๓. สัญลกั ษณ์ สัญลักษณ์ เปน็ การเรยี กชอื่ สิง่ ๆหน่งึ โดยใชค้ าอน่ื มาแทน ไม่เรยี กตรงๆ สว่ นใหญ่คาท่ีนามาแทนจะเป็นคา ท่ีเกิดจากการเปรยี บเทียบและตคี วาม ซง่ึ ใชก้ ันมานานจนเป็นที่เขา้ ใจและรู้จกั กันโดยทั่วไป ๔. บุคลาธิษฐาน บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต บุคคลสมมติ คือการกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ท่ีไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด ไม่มี วิญญาณ เช่น โต๊ะ เก้าอ้ี อิฐ ปูน หรือส่ิงมีชีวิตท่ีไม่ใช่มนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ โดยให้ส่ิงต่างๆเหล่าน้ี แสดงกิริยา อาการและความรู้สึกได้เหมือนมนุษย์ ให้มีคุณลักษณะต่างๆ เหมือนสิ่งมีชีวิต ( บุคลาธิษฐาน มาจากคาว่า บุคคล + อธิษฐานหมายถงึ อธษิ ฐานใหก้ ลายเปน็ บคุ คล ) ๕. อธิพจน์ คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพ่ือสร้างและเน้นความรู้สึกและอารมณ์ ทาให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซ้ึง ภาพพจนช์ นดิ น้นี ยิ มใช้กันมากแมใ้ นภาษาพูด เพราะเป็นการกล่าวที่ทาให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้ อยา่ งชัดเจน ๖. สัทพจน์ หมายถงึ ภาพพจนท์ ี่เลยี นเสยี งธรรมชาติ เชน่ เสียงดนตรี เสียงสตั ว์ เสยี งคลื่น เสยี งลม เสียงฝนตก เสียงน้า ไหล ฯลฯ การใช้ภาพพจน์ประเภทนีจ้ ะทาให้เหมือนได้ยินเสียงนัน้ จรงิ ๆ ๗. นามนยั นามนัย คือ การใชค้ าหรอื วลซี ่งึ บ่งลักษณะหรือคุณสมบตั ิของส่งิ ใดส่งิ หน่งึ แทนอีกส่งิ หนง่ึ คล้ายๆ สัญลักษณ์ แต่ต่างกันตรงท่ี นามนัยนั้นจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของส่ิงหน่ึงมากล่าวให้หมายถึงส่วนทั้งหมด หรือใช้ช่ือ สว่ นประกอบสาคัญของสงิ่ น้นั แทนสิ่งน้นั ท้ังหมด
27 ๘. ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์ คือการใช้ถ้อยคาที่มีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลืนกันเพื่อ เพม่ิ ความหมายใหม้ ีน้าหนักมากยิ่งขึ้น อกั ษรวดี กงทา (๒๕๖๔: ออนไลน)์ การใชภ้ าพพจน์ ๑. อุปมา คอื การเปรยี บเทยี บสิง่ หนง่ึ คลา้ ยหรือเหมือนกบั อีกสิ่งหนึง่ ๒. อุปลกั ษณ์ คือ การเปรยี บสง่ิ หน่งึ เปน็ อีกส่ิงหนึง่ แตกตา่ งจากการอปุ มาโดยอปุ ลักษณ์มักใช้คาว่า เปน็ คือ ๓. อตพิ จน์ คอื การกลา่ วผดิ ไปจากความเป็นจรงิ ๔. บคุ คลวตั คือ การกลา่ วถงึ สิ่งทไี่ มม่ ชี วี ิตจติ ใจใหม้ กี ารกระทาเหมอื นมนุษย์ ๕. สทั พจน์ คอื การเลียนเสยี งธรรมชาติ ๖. นามนัย คอื การทเี่ ราใช้ชอื่ ส่วนประกอบที่โดดเด่นของสิง่ หน่งึ แทนสง่ิ น้นั ๆ ทัง้ หมด ๗. สญั ลกั ษณ์ คอื การแทนส่ิงใดส่งิ หนงึ่ โดยไม่ต้องใช้คาอธิบาย ซง่ึ ต้องใช้คาที่คนส่วนใหญ่รู้จกั เหมือนกัน ๘. ปฏพิ ากย์ คือ การใชถ้ อ้ ยคาท่ีมีความหมายตรงกนั ขา้ มหรือขัดแยง้ กัน มากล่าวอยา่ งเพือ่ เพิม่ นา้ หนักมากย่งิ ข้ึน วิเชยี ร เกษประทุม (๒๕๕๘, หน้า ๓๑๒ – ๓๑๔) ภาพพจนม์ ี ๗ ประเภท ดังนี้ ๑. อปุ มา คือ การเปรียบเทยี บโดยการนาของ 2 ส่ิงที่ต่างพวกกันมาเปรียบเทียบกัน มักมีคาว่าเหมือน ดัง ดุจ เฉก ราว (กบั ) ปาน ประหน่ึง เพยี ง กล คลา้ ย เป็นคาเชื่อม ๒. อุปลักษณ์ คือ การเปรียบเทียบโดยเปรียบสิ่งหน่ึงเป็นอีกส่ิงหนึ่ง คาท่ีใช้เปรียบเทียบ ได้แก่คาเป็นคือ เท่า เรียกให้ เข้าใจง่ายว่า “การเปรียบเปน็ ” ๓. อธิพจน์ คอื การกล่าวเกินความจริงเพ่อื เนน้ ขอ้ ความใหม้ ีน้าหนักยิง่ ข้ึน และใหม้ คี วามรสู้ กึ เพ่มิ ขึน้ ๔. บคุ คลวตั หรือ บคุ ลาธิษฐาน คือ การทาใหส้ ง่ิ ตา่ ง ๆ ท่ไี มใ่ ช่มนษุ ยท์ ากิรยิ าอาการหรือมีความรูส้ กึ เหมือนมนษุ ย์
28 ๕. สัทพจน์ คือ ภาพพจน์ทีเลียนเสียง (สัท=เสียง) หรือแสดงลักษณะอาการต่าง ๆ อาจเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติ เสยี งสตั ว์ร้อง เสียงเครื่องคนตรี เสียงเครือ่ งใช้ หรอื ลกั ษณะอาการตา่ ง ๆ ๖. นามนัย คอื การที่เราใช้ช่อื ส่วนประกอบทโี่ ดดเด่นของสิง่ หน่งึ แทนส่ิงนัน้ ๆ ทัง้ หมด และส่วนประกอบดังกล่าวกับส่ิง นั้นมคี วามสัมพันธเ์ กีย่ วขอ้ งกนั ๗. สัญลักษณ์ คือ การเอาส่ิงท่ีเป็นรูปธรรมอย่างใดอย่างหน่ึงแทนสิ่งที่เป็นนามธรรม ทาให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซ้ึง โดยไมต่ อ้ งใช้คาอธิบาย ดงั นั้นจึงสรุปได้ว่า ภาพพจน์คือ การใช้ถ้อยคาอย่างมีศิลปะ โดยการเปรียบเทียบ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจอย่าง ลึกซ้ึง ชัดเจน และยังมีความไพเราะในการเลือกใช้คา ทาให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการตามได้ และคณะผู้จัดทาจึงใช้เกณฑ์ การวิเคราะห์ภาพพจน์ เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีคาสอนเร่ือง สุภาษิตสอนหญิง และอ้างอิงตามเน้ือเรื่องของวรรณคดีจาก สุภาษิตสอนหญิง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกณฑ์การ วเิ คราะห์ภาพพจนม์ ีดงั น้ี ๑. อุปมา คอื การเปรียบเทียบวา่ ส่งิ หนง่ึ “เหมอื น” กับส่งิ หนง่ึ โดยใช้คาเชื่อมท่ีมีความหมายเช่นเดียวกับคาว่า \"เหมือน\" เชน่ ดุจ ดั่ง ราว ราวกบั เปรียบ ประดจุ ฯลฯ ๒. อุปลกั ษณ์ คลา้ ยกับอปุ มา คอื เปน็ การเปรยี บเทียบ แต่เป็นการเปรียบเทียบส่ิงหนึ่ง “เป็น” อีกสิ่งหน่ึง โดยจะมีคาว่า เป็น คอื ๓. สัญลักษณ์ เป็นการเรียกชื่อส่ิงๆหนึ่งโดยใช้คาอ่ืนมาแทน ส่วนใหญ่คาที่นามาแทนจะเป็นคาที่ใช้กันมานานและรู้จัก กันโดยทั่วไป ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะผู้ประพันธ์ต้องการเปรียบเทียบเพ่ือสร้างภาพพจน์หรืออาจจะอยู่ในภาวะที่กล่าว โดยตรงไมไ่ ด้ เพราะไมส่ มควรจงึ ตอ้ งใช้สญั ลกั ษณ์แทน ๔. บคุ ลาธิษฐาน คือ การกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ท่ีไม่ใช่มนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ โดยให้สิ่งต่างๆเหล่านี้ แสดงกิริยาอาการและ ความรู้สกึ ได้เหมือนมนุษย์ ๕. อธิพจน์ คือ การกล่าวเกินความจริง เพื่อสร้างและเน้นความรู้สึกและอารมณ์ ทาให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกท่ีลึกซ้ึ ง ภาพพจนช์ นิดนีน้ ิยมใชก้ ันมากแม้ในภาษาพูด เพราะเป็นการกล่าวที่ทาให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้ อย่างชดั เจน
29 ๖. สัทพจน์ หมายถึง ภาพพจน์ที่เลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงสัตว์ เสียงฝนตก เสียงน้าไหล เสียงดนตรี ฯลฯ การใช้ ภาพพจน์ประเภทนี้จะทาให้เหมอื นไดย้ ินเสยี งน้ันจริงๆ ๗. นามนัย คือ การใช้คาหรือวลีซ่ึงบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหน่ึงแทนอีกสิ่งหน่ึง คล้ายๆ สัญลักษณ์ แต่ ตา่ งกันตรงท่ี นามนัยนั้นจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของส่ิงหน่ึงมากล่าวให้หมายถึงส่วนท้ังหมด หรือใช้ชื่อส่วนประกอบ สาคญั ของสง่ิ นน้ั แทนสง่ิ น้ันทั้งหมด ๘. ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์ คือการใช้ถ้อยคาท่ีมีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันมากล่าว เพื่อเพ่ิมความหมายให้ มนี ้าหนกั มากย่ิงข้นึ โดยจากรายละเอียดการวิเคราะห์ ศึกษาพบว่าวรรณคดีสุภาษิตสอนหญิงนั้น มีการใช้ภาพพจน์ท้ังสิ้น ๔ ประเภท ได้แก่ อปุ มา อุปลักษณ์ สญั ลกั ษณ์ และอธพิ จน์ ซง่ึ ศกึ ษาได้ดงั น้ี ๑. อุปมา เช่น เป็นสาวแซแ่ รร่ วยสวยสะอาด ก็หมายมาดเหมอื นมณีอนั มีคา่ แมน้ แตกร้าวรานรอ่ ยถอยราคา จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง จากบทประพันธ์ ผแู้ ต่งไดเ้ ปรียบการปฏบิ ตั ติ นอยา่ งดีเหมือนกบั อญั มณีท่ีมคี ่า (บทท่ี ๑ หนา้ ท่ี ๑) ใครเห็นนอ้ งตอ้ งนยิ มชมไม่ขาด วา่ ฉลาดแตง่ ร่างเหมอื นอย่างหงส์ ถงึ รูปงามทรามสงวนนวลอนงค์ ไม่รจู้ กั แตง่ ทรงก็เสยี งาม จากบทประพันธ์ ผู้แต่งได้เปรียบถึงการแต่งตัวของผ้หู ญงิ ว่า ถา้ หากรู้จกั แตง่ ตวั จะมีแตค่ นชมวา่ ฉลาดที่รูจ้ กั แตง่ ตัว เหมือนกบั หงส์ทีม่ ีความสวยงาม (บทท่ี ๒ หนา้ ที่ ๑) ๒. อุปลักษณ์ เช่น ใครบนบานเขา้ สักหนอ่ ยก็พลอยโผง อนั แม่สื่อคือปีศาจทอ่ี าจหาญ
30 อยา่ เช่ือนักมักตับจะคับโครง มนั ชักโยงอยากกินแตส่ ินบน จากบทประพันธ์ ผแู้ ตง่ ไดเ้ ปรียบว่าแมส่ ่อื คือปศี าจที่ไม่ควรเชอื่ ถอื เพราะมกั จะต้องการแต่เงนิ เท่าน้นั (บทที่ ๔ หนา้ ท่ี ๓) ๓. สญั ลักษณ์ เช่น ทเี่ กดิ มาเป็นนารไี ม่มีค่า จะเกิดมาทาไมใหห้ มองหมาง เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เวน้ ว่าง จะเอาอยา่ งนางโมราฤๅวา่ ไร จากบทประพันธ์ ผู้แต่งกล่าวว่าถ้าการเกิดมาเป็นผู้หญิงแล้วปฏิบัติตนไม่ดีไม่มีค่า จะปฏิบัติแบบนางโมราจากเร่ือง จนั ทโครพ ซึ่งมีสองรักและลังเลไมส่ ามารถเลอื กได้ (บทท่ี ๑๖ หนา้ ที่ ๑๐) ๔. อธิพจน์ เชน่ ถา้ เราดีมีจิตคิดอุปถัมภ์ กศุ ลล้าเลศิ เทา่ ภูเขาหลวง จะปรากฏยศยงิ่ สิ่งทัง้ ปวง กว่าจะลว่ งลุถึงซ่งึ นิพพาน จากบทประพันธ์ ผแู้ ตง่ กลา่ วถงึ การมจี ิตใจดี มีความเมตตา ก็จะมีกศุ ลผลบญุ ท่ีมากมายเท่าภูเขา ซ่งึ เปน็ การใชอ้ ธพิ จน์ กลา่ วเกินจรงิ เพ่ือใหเ้ ห็นภาพอยา่ งชัดเจน (บทท่ี ๗ หนา้ ท่ี ๕) จากการวิเคราะห์จะเห็นได้วา่ มีการสอดแทรกภาพพจน์อยูใ่ นบทประพนั ธ์ เพื่อให้ผ้อู า่ นเกดิ ความชดั เจน จาก การใช้ภาพพจนป์ ระเภทตา่ งๆ โดยจากการศึกษาจะพบภาพพจน์ ๔ ประเภท ไดแ้ ก่ อุปมา อุปลักษณ์ สัญลักษณ์ และ อธพิ จน์ นอกจากภาพพจน์แล้ว จากการศกึ ษายงั พบคุณคา่ ดา้ นสังคมที่สอดแทรกอยใู่ นบทประพันธอ์ ีกดว้ ย
31 ๕.๒ วเิ ครำะห์คณุ ค่ำดำ้ นสงั คม นางสาวกุลปรยี า มากวฒั นสขุ (๒๕๕๖: ออนไลน์) ๑. ขนบธรรมเนยี ม การแต่งวรรณคดรี อ้ ยกรองสมัยโบราณ ต้องมบี ทไหว้ครู ๒. ค่านยิ มเรอ่ื งความสาคัญของการพดู ๔. ค่านยิ มเรือ่ งการรักนวลสงวนตวั ของสตรี ๕. ค่านยิ มเรอ่ื งการแต่งกาย ๖. คา่ นยิ มเรอ่ื งการปฏิบัติตัวต่อสามี ๗. ค่านยิ มเรือ่ งกิรยิ ามารยาทของสตรี ๘. คา่ นิยมเรือ่ งการเลือกคู่ครอง ๙. ลักษณะของสตรีชาววัง ๑๐. คา่ นิยมการเปน็ แม่ศรเี รือน นางสาวธนชั พร ทิมคา (๒๕๖๒:ออนไลน์) ๑. การรักนวลสงวนตัว –ไม่ชิงสกุ ก่อนห่าม ๒. การแต่งกาย -ไม่แต่งตวั เยอะจนเกินงาม ๓. การนอน-ไมน่ อนต่ืนสาย -ไม่นอนดนิ้ ๔. การเดิน -ไมเ่ สยผมขณะเดิน ไมเ่ ดนิ แกวง่ แขนมากเกินไป ๕. การฟัง -ฟงั หไู ว้หู ไม่เชอ่ื คาพูดของใครง่าย ๆ ๖. การพูด-คดิ ก่อนพดู –ไม่พูดตะคอก -ไม่พูดคาหยาบ ๗. การเลือกคู่ครอง ๘. การเลอื กคบเพอ่ื น ๙. การประหยัด -หมั่นออมเงนิ และไม่ใชเ้ งินฟุ่มเฟือย ๑๐. กตญั ญตู ่อบดิ ามารดา ๑๑. การมีสติอยเู่ สมอ ๑๒. การรกั เดยี วใจเดยี ว ๑๓. การอ่อนน้อมถ่อมตน -ไม่อวดรา่ อวดรวย-ไม่โอ้อวดยศถาบรรดาศกั ด์ิเกินจริง ๑๔. หน้าทีข่ องภรรยาโดยกวนี ้ันได้บรรยายลักษณะนิสัยของผู้หญิงและผ้ชู ายที่ไม่ดเี อาไวด้ ้วย เพ่อื ใหห้ ลบหลีก อยา่ คบหาคนพวกน้ี เชน่ -ผู้หญงิ ทีช่ อบแอบอา้ งว่าตนเองนนั้ เป็นผ้ดู ี เป็นลูกหลานคนมชี ือ่ เสยี ง
32 -ผ้หู ญิงใจงา่ ย รักสนกุ -ผู้ชายที่กินเหล้า เมายา คบด้วยก็มีแตจ่ ะนาความจนมาสคู่ รอบครัว -ผูช้ ายที่เกยี จคร้านการงาน ข้ีขโมย -ผชู้ ายที่ชอบเล่นการพนนั นางสาวลักขณา ไวยเนตร (๒๕๕๖:ออนไลน์) การร้จู ักประมาณตน วรรณคดสี อนหญงิ แนวขนบนัน้ ไดส้ อนใหผ้ ูห้ ญิงร้จู ัก ประมาณตนในเรื่องการใชช้ วี ติ และการร้จู ักประมาณตน ในเรอ่ื งฐานะความเป็นอยซู่ ึ่งเป็นคาสอนที่ดเี พราะผ้หู ญงิ ใน สมัยก่อนน้นั จะต้องดูแลเร่ืองคาใช้จา่ ยภายในบ้านท้ังหมด สามีมหี นา้ ทใ่ี นการหารายได้มาใหเ้ พียงอย่างเดียวเท่านนั้ การ ทีก่ วีสอนใหผ้ หู้ ญิงรูจ้ ักประมาณตนในเรื่องดงั กลา่ วจึงเปน็ ส่ิงท่เี หมาะสมมาก คาสอนนยี้ ังมีผลมีถงึ ยคุ ปจั จุบันอกี ด้วย การรู้จักเลอื กคบเพ่ือน การเลือกคบเพ่ือนถือได้ว่าเป็นเร่ืองท่ีสาคญั มากสาหรับคนทุกเพราะบางท่ีการท่ีเราจะดี หรอื ไมด่ ีกข็ นึ้ อยู่กับเพื่อนเช่นกนั เพราะบางครั้งเพ่ือนก็อาจจะพาเราไปกระทาในสงิ่ ที่ไม่ดี ทาให้เราเสอื่ มเสยี ช่ือเสียง การรกั นวลสงวนตัว การเลอื กคคู่ รอง คาสอนเร่ืองการรกั นวลสงวนตวั น้นั เปน็ คาสอนทป่ี รากฎท้งั ในวรรณคดสี อนหญิงแนวขนบและวรรณคดสี อนหญิงแนวรว่ มสมยั และมีคาสอนเปน็ จานวนมาก แสดงให้เห็นวา่ สงั คมไทยคาดหวงั ต่อตัวผู้หญิงในเรือ่ งดังกลา่ วมากที่สุด การเลือกคคู่ รอง เปน็ สิง่ ทส่ี าคัญมากเพราะ ในสมัยก่อนน้ันเช่อื กนั ว่าผู้หญงิ จะดีหรือไม่ดนี ้ันก็ ขึน้ อยกู่ ับสามเี ป็นสง่ิ สาคัญ สามีเปรียบเสมือนผู้ปกครองของฝา่ ยหญงิ หลงั จากทีฝ่ ่ายหญิงแตง่ งานออกเรือนมาแล้ว ผู้ชายจึงมหี น้าทใ่ี นการดูแลผู้หญงิ ต่อจากพ่อของฝ่ายหญงิ การเลอื กคู่ครองของผหู้ ญงิ นั้นจงึ จาเป็นตอ้ งเลือกคนท่ีดี ๆ มาเป็นคู่ครอง การทีไ่ ด้คคู่ รองที่ดี ๆ นั้นจะทาใหช้ วี ิตของผูห้ ญงิ พบกับความสุข การส่งเสริมคณุ ค่าให้แกต่ วั เองและมารยาทในการใช้ชีวิต ผู้หญิงควร จะทาตวั เองใหม้ ีคุณคา่ มากยิ่งขึ้นโดยการ รจู้ กั ส่งเสรมิ คุณคา่ ให้แกต่ นเองในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น เรือ่ งมารยาท เรอ่ื งงานบ้านงานเรือน เพราะการเป็นผูห้ ญิงที่ เพยี บพร้อมนัน้ จะทาให้ผหู้ ญิงมคี ณุ ค่ามากย่ิงขึ้นและทาใหเ้ ป็นผู้หญงิ ทรี่ เู้ ท่าทนั เลห่ เ์ หลี่ยมของคนมากข้ึนจะไดไ้ ม่ถกู หลอกลวงไดง้ ่าย ๆ และเป็นผู้หญิงที่สามารถช่วยเหลือตวั เองได้ เพราะจากสมยั ก่อนนั้นผู้หญิงจาเป็นตอ้ งพึ่งผู้ชายเพยี ง อยา่ งเดียวไมว่ ่าจะทาสิ่งใดก็ตามท่เี ป็นเร่ืองภายนอกบา้ น เน่ืองจากผู้หญงิ ในสมยั ก่อนน้นั เก่งและถนัดแตเ่ ร่ืองงานบ้าน เพยี งอย่างเดียวเท่าน้ัน มาในยุคปจั จุบันผูห้ ญงิ ได้รับโอกาสทางการศกึ ษามากยิ่งข้นึ จึงเป็นโอกาสท่ดี ีในการพฒั นา ศกั ยภาพของตนเองใหท้ ัดเทยี มกบั ผชู้ าย เพราะฉะนั้น คา่ นิยมด้านสังคมของวรรณคดคี าสอนสภุ าษิตสอนหญิง หลกั ๆจะสอนเร่ืองการรักนวลสงวนตัวไม่ ชิงสุกก่อนห่าม ร่วมไปถึงการเลือกคู่ครองในสมัยก่อนนั้นเช่ือกันว่าผู้หญิงจะดีหรือไม่ดีน้ันก็ขึ้นอยู่กับสามีเป็นสิ่งสาคัญ สามีเปรียบเสมือนผู้ปกครองของฝ่ายหญิงหลังจากท่ีฝ่ายหญิงแต่งงานออกเรือนมาแล้วผู้ชายจึงมีหน้าท่ีในการดูแล ผู้หญิงต่อจากพ่อของฝ่ายหญิง การเลือกคู่ครองของผู้หญิงนั้นจึงจาเป็นต้องเลือกคนที่ดีๆ มาเป็นคู่ครอง อีกท้ังยังสอน
33 เร่ืองมารยาทในการใช้ชีวิตทางด้านสังคมไม่ว่าจะเป็นเร่ืองมารยาท เร่ืองงานบ้านงานเรือน เพราะการเป็นผู้หญิงท่ี เพียบพร้อมจะทาใหผ้ ้หู ญิงมคี ณุ คา่ มากย่ิงขึน้ ซ่งึ จากการศึกษาจากวรรณคดีสภุ าษิตสอนหญิง พบคุณค่าดา้ นสงั คมดังน้ี ๑. ค่านยิ มเร่อื งความประหยัดมธั ยัสถ์และความกตญั ญกู ตเวทีต่อบิดามารดาจากการวเิ คราะหพ์ บว่า การปฏิบัติ ตอ่ บิตามารตาคอื สงิ่ ที่คนไทยให้การเคารพและยกย่อเป็นอย่างมากเพราะบิดามาดาเปรียบเสมือนพระในบ้าน ตามที่คน รุน่ ก่อนๆพดู กันมีหลักคาสอนโดยท่ัวไป ได้แก่การเล้ียงดูท่านเมื่อแก่เฒ่า,การเช่ือฟังบิดามารดา,การไม่ทาให้บิดามารดา อบั อายขายข้หี น้า,การเคารพบูชาบิดามารดา เป็นต้น จากการศึกษาและวิเคราะห์สุภาษิตสอนหญิงพบว่ามีหลักดาสอน ดงั นี้ มีสลงึ พงึ บรรจบให้ครบบาท อยา่ ให้ขาดสง่ิ ของต้องประสงค์ จงมกั น้อยกินน้อยค่อยบรรจง อย่าจา่ ยลงใหม้ ากจะยากนาน ไม่ควรซ้ือก็อย่าไปพิไรซอ้ื ใหเ้ ปน็ ม้อื เปน็ คราวทั้งคาวหวาน เม่ือพ่อแมแ่ กเ่ ฒา่ ชรากาล จงเลี้ยงทา่ นอย่าให้อดระทดใจ ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ ไดก้ ารุณเลย้ี งรักษามาจนใหญ่ อ้มุ อทุ รปอ้ นข้าวเปน็ เทา่ ไร หมายจะได้พึ่งพาธดิ าดวง (บทที่ ๗ หนา้ ที่ ๕) ถ้าเราดีมจี ติ คดิ อุปถัมภ์ กศุ ลลา้ เลิศเทา่ ภูเขาหลวง กวา่ จะลว่ งลุถงึ ซงึ่ พมิ าน จะปรากฏยศยิง่ สงิ่ ทั้งปวง (บทท่ี ๗ หนา้ ท่ี ๕) ๒. ค่านิยมเรอื่ งการรกั นวลสงวนตัวของสตรี จากการศกึ ษาและวเิ คราะห์สุภาษิตสอนหญิงพบวา่ มีหลกั ดาสอนดังน้ี จงรกั นวลสงวนงามหา้ มใจไว้ อย่าหลงใหลจาคาท่พี รา่ สอน คิดถึงหน้าบิดาและมารดร อยา่ รบี รอ้ นเร็วนกั มกั ไมด่ ี เมื่อสุกงอมหอมหวนจึงควรหล่น อยู่กบั ต้นอย่าให้พรากไปจากท่ี อยา่ ชิงสุกก่อนหา่ มไม่งามดี เม่ือบญุ มคี งจะมาอย่าปรารมภ์ (บทท่ี ๗ หนา้ ๔) ๓. ค่านิยมเรอ่ื งการแต่งกายของสตรี จากการศึกษาและวเิ คราะห์สภุ าษติ สอนหญิงพบวา่ มีหลักดาสอนดังนี้ จะนงุ่ หม่ ดูพอสมศกั ดิส์ งวน ให้สมควรรบั พกั ตร์ตามศักดิ์ศรี จะผัดหนา้ ทาแป้งแตง่ อินทรีย์ ดฉู วผี วิ เนื้ออยา่ เหลอื เกิน (บทท่ี ๒ หนา้ ที่ ๑)
34 ๔. ค่านิยมเรอื่ งกิรยิ ามารยาทของสตรีไมว่ า่ จะเป็นการเดนิ การพดู จาจากการศึกษาและวเิ คราะห์สภุ าษติ สอนหญิงพบวา่ มหี ลักดาสอนดังน้ี ประการหน่ึงซ่ึงจะเดนิ ดาเนนิ นาด คอ่ ยเย้ืองยาตรยกยา่ งไปกลางสนาม อยา่ ไกวแขนสุดแขนเขาหา้ มปราม เสงีย่ มงามสงวนไว้แต่ในที อยา่ เหนิ กรายยา้ ยอกยกผา้ หม่ อยา่ เสยผมกลางทางหวา่ งวถิ ี อยา่ พูดเพ้อเจอ้ ไปไมส่ ดู้ ี เหยา้ เรือนมกี ลบั มาจึงหารือ (บทที่ ๓ หน้า ๒) ๕. ค่านิยมเร่ืองการเลอื กคคู่ รอง การเลอื กคู่ดรองในฉบบั สุภาษิตสอนหญิงกล่าวไว้ว่าความสนใจในเพศตรงข้ามย่อมเป็น เร่ืองปกติ แม้บทประพันธ์จะพร่าอบรมให้หญิงสาวเป็นกุลสตรี แด่ก็ไม่ได้ห้ามว่าต้องไม่สนใจชาย จากการศึกษาและ วเิ คราะหส์ ุภาษติ สอนหญงิ พบวา่ มีหลักดาสอนดังน้ี จะหาคู่สู่สมนิยมหวงั จงระวังช่ัวช้าอัชฌาสยั ทชี่ ายดนี ้นั กม็ ีอย่ถู มไป ใชว่ ิสยั เขาจะช่ัวไปทั่วเมือง (บทท่ี ๕ หนา้ ที่ ๓ ) แม้นชายใดใจประสงคม์ าหลงรัก ให้รู้จักเชิงชายท่หี มายม่ัน อนั ความรักของชายนีห้ ลายชน้ั เขาวา่ รกั รักนนั้ ประการใด จงพินิจพิศดใู ห้รู้แน่ อย่ามัวแตใ่ จเร็วจะเหลวไหล เปรียบเหมือนคิดปรศิ นาอย่าไว้ใจ มันมกั ไพล่แพลงขุมเปน็ หลุมพราง (บทท่ี ๔ หนา้ ๒ ) ๗. คา่ นยิ มการเปน็ แม่ศรเี รือน จากการศึกษาและวิเคราะหส์ ภุ าษิตสอนหญิงพบว่ามหี ลกั ดาสอนดังน้ี ระวังดูเรือนเหยา้ แลเขา้ ของ จะบกพร่องอะไรที่ไหนน่ัน เห็นไมม่ แี ล้วอย่าอ้างว่าชา่ งมัน จงผอ่ นผนั เกบ็ เล็มใหเ้ ตม็ ลง (บทที่ ๗ หนา้ ท่ี ๔)
35 บทสรปุ รายงานเร่ือง การศึกษาวรรณคดีคาสอนเรื่อง สุภาษิตสอนหญิงฉบับน้ี มุ่งศึกษาวรรณคดีสุภาษิตสอนหญิง ท้ัง ประวตั ิความเป็นมา และคุณค่าด้านต่างๆของวรรณคดี จากการศึกษาได้พบว่าวรรณคดีสุภาษิตสอนหญิงนี้ เป็นผลงาน การประพันธ์ของ สุนทรภู่ กวีเอกของไทย จุดมุ่งหมายของการแต่งคือ เพื่อหาเลี้ยงตนเอง และเพ่ือสอนผู้หญิงในเรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ตามสถานภาพได้อย่างเหมาะสม ซ่ึงจากการศึกษายังพบว่า ด้านเนื้อหาของสุภาษิตสอนหญิงมีความ สอดคล้องกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ ประการในปัจจุบัน ได้แก่ รักชาติ ซ่ือสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่าง พอเพยี ง มุง่ มนั่ ในการทางาน รักความเป็นไทย และมีจิตสาธารณะ ส่วนในด้านวรรณศิลป์รายงานฉบับนี้ได้ศึกษาพบว่า มีการใช้ภาพพจน์ทั้งสิ้น ๔ ประเภท ได้แก่ อุปมา อุปลักษณ์ สัญลักษณ์ และอติพจน์ สาหรับในการศึกษาคุณค่าด้าน สังคมไดพ้ บค่านยิ มของหญิงสมยั กอ่ นจากวรรณคดีสภุ าษิตสอนหญิง คือ การรักนวลสงวนตัว การเลือกคู่ครอง การแต่ง กาย การมมี ารยาทในสังคม ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า วรรณคดีสุภาษิตสอนหญิงเป็นวรรณคดีที่ทรงคุณค่า และควรนามาเป็น บทสอนโดยเฉพาะสตรไี ทยในปัจจุบัน ซ่ึงไมม่ ีวันลา้ สมยั
36 บรรณำนกุ รม (๑๕ มถิ ุนายน ๒๕๕๘). เรียกใช้เม่อื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ http://134.236.227.13. KWANNIE. (๖ สิงหาคม ๒๕๖๔). เรยี กใช้เมื่อ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ www.trueplookpanya.com. proverbthai.com (๒๙ มิถนุ ายน ๒๕๕๗). เรยี กใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ https://proverbthai.com/. Twinkl. (ม.ป.ป.). เรยี กใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ https://www.twinkl.co.th/teaching-wiki/sunthr-phu. กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๕). กรุงเทพมหานคร: พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาต.ิ www.bic.moe.go.th. กระปุกดอทคอม. (ม.ป.ป.). เรยี กใชเ้ มอื่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ https://info.muslimthaipost.com/article/19354. กลุ ปรียา มากวัฒนสขุ . (๒๙ ตลุ าคม ๒๕๕๖). เรยี กใช้เม่ือ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ https://sites.google.com. เกร็ดความรู้.net. (ม.ป.ป.). เรยี กใช้เม่ือ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ https://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/. จิรายุทธ เชอื้ ดวงผูย. (๓๐ ตลุ าคม ๒๕๕๖). เรยี กใชเ้ ม่ือ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ https://sites.google.com. ณัฐกาญจน์ นาคนวล. (ม.ป.ป.). เรียกใชเ้ ม่อื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta_id=265. นางสาวกลุ ปรียา มากวัฒนสุข. (ม.ป.ป.). เรยี กใช้เม่อื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ https://sites.google.com/site/suphasitlady/thi-ma-khxng-re.
37 นางสาวธนัชพร ทมิ คา. (๒๒ เมษายน ๒๕๖๒). เรยี กใช้เมือ่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ https://toeywaranya.blogspot.com/2019/04/blog-post_20.html?m=1. บุญกวา้ ง ศรสี ทุ โธ. (๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑). เรยี กใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ https://sites.google.com. เบญจวรรณ สาสขุ . (๑ มนี าคม ๒๕๕๙). เรียกใช้เมอ่ื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ https://sites.google.com/. ภทั รวรรธน์ ปจิ จวงค์. (๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๑). เรยี กใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ https://sites.google.com. มหาวยิ าลัยราชภัฏกาแพงเพชร. (มกราคม ๒๕๕๔). เรยี กใช้เมอ่ื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ https://edu.kpru.ac.th. มูลนธิ สิ ารานกุ รมไทย. (๖ มิถุนายน ๒๕๕๕). เรียกใช้เมอื่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ www.saranukromthai.or.th. มูลนธิ สิ ารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน. (๖ มิถุนายน ๒๕๕๕). เรยี กใช้เมื่อ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ www.saranukromthai.or.th. ลักขณา ไวยเนตร. (ม.ป.ป.). เรียกใชเ้ มื่อ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ www.researchgate.net. สมเกียรติ ครูดา คาแหง. (๘ มกราคม ๒๕๕๔). เรยี กใชเ้ มือ่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ www.gotoknow.org. สาทดิ แทนบุญ. (๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘). เรียกใช้เม่อื ๔ พฤศจกิ ายน ๑๕๖๔ http://digital_collect.lib.buu.ac.th/. สานักงานวัฒนธรรมจังหวดั หนองคาย. (๒๑ ตลุ าคม ๒๕๕๖). เรียกใชเ้ มอ่ื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ https://www.m-culture.go.th/nongkhai/ewt_news.php?nid=265&filename=index.
38 สุภัชฌา ศรีเอ่ยี ม, และ จนั ทร์ฤดี ภาคตอน. (๒๕๖๓). วเิ คราะหค์ ุณลักษณะอังพ่ึงประสงค์ ๘ ประการ กรงุ เทพมหานคร: มนุษย์ศาสตร์ปรทิ ัศน์. สภุ าษิตพาเพลิน. (๒๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๐). เรียกใช้เมือ่ ๔ พฤศจิกายน ๑๕๖๔ http://meawmeaw54.blogspot.com/ โสภา คชรตั น์. (พฤษภาคม ๒๕๕๐). เรียกใช้เมอื่ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๔ http://thesis.swu.ac.th/ อกั ษรวดี กงทา. (ม.ป.ป.). เรียกใชเ้ มอ่ื ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ http://cps.ac.th. อจั ศรา ประเสริฐสนิ . (๒๕๕๘). งานวจิ ัยการพัฒนารูปแบบการวัดคณุ ลักษณะอังพงึ ประสงค์ ๘ ประการ ของนักเรียน ชน้ั มธั ยมศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร: สานักทดสอบทางการศึกษาและจติ วทิ ยา มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: