221 ตวั อย่างการคาํ นวณเรอื งโมเมนต์ ตวั อย่างที 1 คานอนั หนึงเบามากมนี าํ หนกั 300 นิวตนั แขวนทีปลายคานขา้ งหนึง และอยหู่ ่างจุดหมนุ 1 เมตร จงหาว่าจะตอ้ งแขวนนาํ หนกั 150 นิวตนั ทางดา้ นตรงกนั ขา้ มทีใดคานจึงจะสมดุล วิธีทาํ สมมตุ ิใหแ้ ขวนนาํ หนกั 150 นิวตนั ห่างจากจดุ หมนุ F = x เมตร( คิดโมเมนตท์ ีจดุ F) 1. วาดรูปแสดงแนวทางของแรงทีกระทาํ บนคานทงั หมด A B 1 X 150 N . ให้ F เป็นจุดหมุน หาค่าโมเมนตต์ ามและโมเมนตท์ วน โมเมนตต์ ามเขม็ นาฬิกา = x (X) = 150 X นิวตนั -เมตร โมเมนตท์ วนเขม็ นาฬิกา = x (300) = 300 นิวตนั -เมตร . ใชก้ ฎของโมเมนต์ เมตร โมเมนตต์ ามเข็มนาฬิกา = โมเมนตท์ วนเขม็ นาฬกิ า X = 300 X = 300/150 = 2 เมตร ตอบ ตอ้ งแขวนนาํ หนกั 150 นิวตนั ห่างจากจุดหมนุ ตวั อย่างที 2 คานยาว 6 เมตร หนกั นิวตนั ใชง้ ดั กอ้ นหินซึงหนกั นิวตนั โดยวางใหจ้ ุดหมนุ อยู่ ห่างจากกอ้ นหิน 1 เมตร จงหาวา่ จะตอ้ งออกแรงทีปลายคานเพืองดั กอ้ นหินเท่าไร AF 3B 1N 2 200 N วธิ ีทาํ สมมติใหอ้ อกแรงทีจุด B = X นิวตนั และคิดโมเมนตท์ ีจุด F โมเมนตต์ ามเขม็ นาฬกิ า = โมเมนตท์ วนเขม็ นาฬิกา
222 (X x 5) + (200 x 2) = 1 x 3000 X + 400 = 3000 5X = 3000 – 400 = 2600 X = 3600/5 = 720 ตอบ ตอ้ งออกแรงพยายาม = 720 นิวตนั ตวั อย่างที ไมก้ ระดานหกยาว เมตร นาย ก. หนกั นิวตนั ยนื อยทู่ ีปลาย A ส่วนนาย ข. หนกั นิวตนั ยนื อยทู่ ีปลาย B อยากทราบวา่ จะตอ้ งวางจุดหมุนไวท้ ีใด คานจึงจะสมดุล วิธีทาํ สมมตุ ิใหจ้ ุดหมุนอยหู่ ่างจากนาย ก. X เมตร โมเมนตต์ ามเขม็ นาฬกิ า = โมเมนตท์ วนเข็มนาฬิกา ( - X) = 400 x X 6(5-X) = 4X 30 - 6X = 4X 30 = 10X X =3 ตอบ จุดหมนุ อยหู่ ่างจาก นาย ก. เมตร การใช้โมเมนต์ในชีวติ ประจาํ วนั ความรู้เกียวกบั เรืองของโมเมนต์ สามารถนาํ ไปใชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั ในดา้ นต่างๆ มากมาย เช่น การเล่นกระดานหก การหาบของ ตราชงั จีน การแขวนโมบาย ทีเปิ ดขวด รถเข็น คีม ทีตดั กระดาษ เป็ นตน้ หรือในการใชเ้ ชือกหรือสลิงยดึ คานเพือวางคานยนื ออกมาจากกาํ แพง แบบฝึ กหดั 1. จงตอบคาํ ถามต่อไปนี . แรง หมายถึงอะไร . ผลทีเกิดจากการกระทาํ ของแรงมีอะไรบา้ ง . แรงมหี น่วยเป็นอะไร . แรงเสียดทานคืออะไร . ยานพาหนะทีใชใ้ นปัจจุบนั ทุกชนิดตอ้ งมลี อ้ เพอื อะไร 1.6 ลอ้ รถมตี ลบั ลกู ปื น ลอ้ และใส่นาํ มนั หล่อลืน เพอื อะไร
223 . แรงเสียดทานมีค่ามากหรือนอ้ ยขึนอยกู่ บั อะไร . นกั เทนนิสตีลกู เทนนิสอยา่ งแรง ขณะทีลกู เทนนิสกาํ ลงั เคลือนทีอยใู่ นอากาศ มีแรงใดบา้ ง มากระทาํ ต่อลกู เทนนิส . ถา้ เรายนื ชงั นาํ หนกั ใกล้ ๆ กบั โต๊ะ แลว้ ใชม้ อื กดบนโต๊ะไว้ ค่าทีอ่านไดจ้ ากเครืองชงั นาํ หนกั จะเพมิ ขึนหรือลดลง เพราะเหตุใด . โมเมนต์ คือ อะไร มกี ีชนิด 2. คานยาว เมตร ใชง้ ดั วตั ถุหนกั นิวตนั โดยวางใหจ้ ุดหมุนอยหู่ ่างวตั ถุ 0.5 เมตร จงหาว่า จะตอ้ งออกแรงทีปลายคานอกี ขา้ งหนึงเท่าไร คานจึงจะสมดุล (แสดงวธิ ีทาํ )
224 บทที งานและพลังงาน สาระสําคญั ความหมายของงานและพลงั งาน รูปของพลงั งานประเภทต่าง ๆ พลงั งานไฟฟ้ า กฎของโอห์ม การต่อวงจรความตา้ นทานแบบต่าง ๆ การคาํ นวณหาค่าความตา้ นทาน การใชป้ ระโยชน์จากไฟฟ้ าใน ชีวิตประจาํ วนั และการอนุรักษพ์ ลงั งานไฟฟ้ า แสงและคุณสมบตั ิของสาร เลนส์ชนิดต่าง ๆ ประโยชน์ และโทษของแรงต่อชีวิต แหล่งกาํ เนิดของพลงั งานความร้อน การนําความร้อนไปใชป้ ระโยชน์ พลงั งานทดแทน ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั 1. อธิบายความหมายของงานและพลงั งานในรูปแบบต่าง ๆ ได้ 2. ต่อวงจรไฟฟ้ าอยา่ งง่ายได้ 3. ใชก้ ฎของโอห์มในการคาํ นวณได้ 4. บอกวธิ ีการอนุรักษแ์ ละประหยดั พลงั งานได้ 5. อธิบายสมบตั ิของแสง พลงั งานความร้อน และนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจาํ วนั ได้ 6. อธิบายพลงั งานทดแทนและเลือกใชไ้ ด้ ขอบข่ายเนอื หา ความหมายของงานและพลงั งาน เรืองที รูปของพลงั งานประเภทต่าง ๆ เรืองที ไฟฟ้ า เรืองที แสง เรืองที
225 เรืองที ความหมายของงานและพลังงาน 1.1 งาน (work) คาํ ว่า “งาน” อาจมคี วามหมายทีแตกต่างกนั ไป เช่น คุณทาํ งานหรือยงั งานหนกั ไหม ? ทาํ งาน บา้ นกนั เถอะ เหล่านี เป็ นตน้ แต่การทาํ งานเหล่านีในทางวิทยาศาสตร์ไม่ถือว่าเป็ นงาน การทาํ งาน ในทางวทิ ยาศาสตร์เป็นงานทีไดจ้ ากการออกแรงเพอื ทาํ ใหว้ ตั ถุเคลือนทีในทิศทางของแรงทีกระทาํ กบั วตั ถุนนั ดงั ภาพ คนยกของจากพืนไปไวท้ ีรถกระบะ คนหลายคนช่วยกนั เข็นรถทีติดหลม่ งานในชีวติ ประจาํ วนั W=FxS …………………… (1) เมือกาํ หนดให้ W เป็นงานทีทาํ ใหม้ หี น่วยเป็นจลู (Joule : J) หรือนิวตนั - เมตร(Newton - metre : N.m) F เป็นแรงทีกระทาํ กบั วตั ถุมหี น่วยเป็นนิวตนั (Newton : N) S เป็นระยะทางทีวตั ถเุ คลอื นทีไปตามทางของแรงทีกระทาํ กบั วตั ถุมหี น่วยเป็นเมตร (Metre : m) 1.2 พลงั งาน (Energy) ในชีวิตประจาํ วนั ของเรามกั ไดย้ ินคาํ ว่าพลงั งานอย่บู ่อย ๆ ตวั อย่างเช่น เราได้พลงั งานจาก อาหาร แหล่งพลงั งานมีอยหู่ ลายชนิดทีสามารถทาํ ใหโ้ ลกเราเกิดการทาํ งาน และหากศึกษาวิเคราะห์ใน เชิงลึกแลว้ จะพบว่าแหล่งต้นตอของพลงั งานทีใชท้ าํ งานในชีวิตประจาํ วนั ส่วนใหญ่ก็ลว้ นมาจาก พลงั งานอนั มหาศาลทีแผจ่ ากดวงอาทิตยม์ าสู่โลกเรานีเอง พลงั งานจากดวงอาทิตยน์ ีนอกจากจากจะ สามารถใชป้ ระโยชน์จากแสงและความร้อนในการทาํ งานโดยตรง เช่น การให้แสงสว่าง การให้ความ ร้อนความอบอนุ่ การตากแหง้ ต่าง ๆ แลว้ ก็ยงั ก่อใหเ้ กิดแหลง่ พลงั งานอืน ๆ อกี มากมาย เช่น - พลงั งานลม ในรูปของพลงั งานจลน์ของลม - พลงั งานนาํ ในรูปของพลงั งานศกั ยข์ องนาํ ฝนทีตกลงมา และถกู กกั เกบ็ ไวใ้ นทีสูง
226 - พลงั งานมหาสมทุ ร ในรูปของพลงั งานจลน์ของคลืนและกระแสนาํ และพลงั งาน ความร้อนในนาํ ของมหาสมุทร - พลงั งานชีวมวล ในรูปของพลงั งานเคมขี องชีวมวล - พลงั งานฟอสซิล ในรูปของพลงั งานเคมีของถ่านหิน นาํ มนั และก๊าซธรรมชาติ แหล่งพลงั งานดงั กล่าวนีอาจกล่าวเป็ นอีกนัยว่าเป็ นแหล่งพลงั งานทางออ้ มของ ดวงอาทิตยก์ ไ็ ด้ เรืองที รูปของพลังงานประเภทต่าง ๆ พลงั งานทีเราใช้กันอยู่นันอย่ใู นหลายรูปแบบดว้ ยกัน เช่น เราใช้พลงั งานเคมี ทีได้จาก สารอาหารในร่างกายทาํ งานยกวตั ถตุ ่าง ๆ การทาํ ใหว้ ตั ถุเคลือนทีไปเรียกว่า ทาํ ให้วตั ถุเกิดพลงั งานกล เราใชพ้ ลงั งานความร้อน ในการหุงหาอาหารใหค้ วามอบอุ่นและทาํ ใหเ้ ครืองจกั รไอนาํ เกิดพลงั งานกล พลงั งานแสง ช่วยใหต้ าเรามองเห็นสิงต่าง ๆ รอบตวั ได้ การทีเราไดย้ นิ เสียง และเราใชพ้ ลงั งานไฟฟ้ า กบั เครืองใชไ้ ฟฟ้ าต่าง ๆ รูปแบบของพลงั งานจดั เป็น 2 กลมุ่ คือ พลงั งานทีทาํ งานได้ และพลงั งานทีเกบ็ สะสมไว้ - พลงั งานทีเก็บสะสมไว้ เช่น พลงั งานเคมี พลงั งานศกั ย์ พลงั งานนิวเคลียร์ - พลงั งานทีทาํ งานได้ คือ พลงั งานทีไดจ้ ากกิจกรรมต่างๆ เช่น พลงั งานความร้อน พลงั งานแสง พลงั งานความร้อน พลงั งานแสงสวา่ ง พลงั งานเสียง พลงั งานจลน์ - พลงั งานงานในรูปอืน ๆ เช่น พลงั งานชีวมวล พลงั งานทเี กบ็ สะสมไว้ พลงั งานทีเก็บสะสมไวใ้ นสสารสามารถแบ่งได้ เช่น - พลงั งานเคมี - พลงั งานนิวเคลียร์ - พลงั งานศกั ย์ พลงั งานศักย์ พลงั งานศกั ยเ์ ป็ นพลงั งานของวตั ถุเนืองจากตาํ แหน่งในสนามของแรง เนืองจากตอ้ งทาํ งาน จากตาํ แหน่งหนึงพลงั งานศกั ยเ์ ป็ นพลงั งานทีจดั เป็ นพลงั งานทีสะสมไว้ มี 2 ชนิด คือ พลงั งานศกั ย์ เนืองจากแรงโนม้ ถ่วงของโลก และพลงั งานศกั ยท์ ีไดจ้ ากวตั ถุทียดื หยนุ่ พลงั งานศักย์โน้มถ่วง พลงั งานศกั ยท์ ีขึนอย่กู บั ตาํ แหน่ง หากวตั ถุอย่บู ริเวณพืนผิวโลกทีมีแรงดึงดูดของโลก หรือ สนามความโนม้ ถ่วงของโลก พลงั งานศกั ยท์ ีอยทู่ ีสูงซึงเกิดขึนเนืองจากแรงโน้มถ่วงของโลกทีกระทาํ ต่อวตั ถุ ถา้ เรายกวตั ถุมวล m ใหส้ ูงขึนในแนวดิงจากพืนดินเป็ นระยะ h โดยทีวตั ถุเคลือนทีดว้ ย
227 ความเร็วคงตวั แลว้ เราจะตอ้ งออกแรง F ขนาดหนึงทีมขี นาดเท่ากบั ขนาดของนาํ หนกั ของวตั ถุ mg จึง จะสามารถยกวตั ถุขึนได้ ตามตอ้ งการ พลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถ่วงจะไดต้ ามสมการ …. (2) พลงั งานศักย์ยดื หย่นุ คือ พลงั งานทีสะสมอยใู่ นสปริงหรือวตั ถยุ ดื หยนุ่ อืนๆ ขณะทียดื ตวั ออกจากตาํ แหน่งสมดุล ในการออกแรงดึงสปริง เป็นระยะ x จะเกิดงานเกิดขึน ปริมาณงานทีเกิดขึนในการดึงสปริง จะเกิด พลงั งานศกั ยย์ ดื หยนุ่ ถา้ กาํ หนดให้ แทนดว้ ยพลงั งานศกั ยย์ ดื หยนุ่ จะไดต้ ามสมการ …………………… (3) เมือ เป็นค่าคงตวั ของสปริง ตวั อย่างการคาํ นวณ รถยนตค์ นนงั 4 คน โดยนงั ขา้ งหนา้ 2 คน และขา้ งหลงั 2 คน แต่ละคนมมี วล 80 กิโลกรัม สปริงทีโชค้ อพั ทงั 4 ตวั ถกู กดลงเป็นระยะ 3 เซนติเมตร อยากทราบว่าค่าคงตวั ของสปริงและ พลงั งานศกั ยย์ ดื หยนุ่ ในสปริงแต่ละตวั มคี ่าเท่าไร วธิ ที ํา หาค่าคงตวั ของสปริง จาก และ นิวตนั เมตร หาค่าพลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ ง จลู
228 พลงั งานนวิ เคลยี ร์ การเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์นันต้องอาศยั แร่ธาตุบางอย่าง เช่น แร่ยเู รเนียม ธาตุดิวเทอร์เรียม เป็ นเชือเพลิงซึงอาจถือไดว้ ่าเป็ นแหล่งพลงั งานทีมีต้นกาํ เนิดจากโลกเรานี นกั วิทยาศาสตร์ผโู้ ด่งดัง อลั เบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ผคู้ ิดคน้ สูตรฟิ สิกสข์ ึนเป็นคนแรกทีวา่ ดว้ ยมวลสารสามารถแปลง เป็ นพลงั งาน และพลงั งาน ( ) ทีเกิดขึนมีปริมาณเท่ากบั ( ) ทีหายไปจากการปฏิกิริยาคูณดว้ ย ความเร็วแสง ( ) ยกกาํ ลงั 2 ตามสูตรทางฟิ สิกส์ดงั นี …………………… (4) เป็ นทีทราบกนั แลว้ ว่าแสงเดินทางเร็วมาก ๆ ( เมตรต่อวินาที) และเมือยิงยกกาํ ลงั สองแลว้ พลงั งานทีให้ออกมาในรูปของความร้อนและแสงนันจึงมีปริมาณมหาศาลมาก การปฏิกิริยา นิวเคลียร์มีอยู่ 2 ประเภท คือ แบบฟิ ชชนั (Fission) และ ฟิ วชนั (Fusion) พลงั งานเคมี จดั เป็นพลงั งานทีเกบ็ สะสมไวใ้ นสสารต่าง ๆ เช่น อาหาร และเชือเพลิง พลงั งานเคมีสามารถ เปลียนเป็ นพลงั งานรูปอืนได้ เช่น อาหารทีเรารับประทานเขา้ ไปในร่างกายนันสามารถเปลียนเป็ น พลงั งานเคมี ไวใ้ ชป้ ระโยชนส์ าํ หรับอวยั วะต่าง ๆ ในร่างกายได้ พลงั งานทีทํางานได้ คือ พลงั งานทีไดจ้ ากการทาํ กิจกรรมต่าง ๆ ใหไ้ ดพ้ ลงั งานออกมาหลายรูปแบบ เช่น - พลงั งานความร้อน - พลงั งานแสง - พลงั งานเสียง - พลงั งานอิเลก็ ทรอนิกส์ - พลงั งานจลน์ พลงั งานความร้อน พลงั งานความร้อนทีไดจ้ ากการเผาไหม้ จากเตาพลงั งานความร้อนเราสามารถรู้สึกได้ พลงั งาน ความร้อนทีใหญ่ทีสุดคือดวงอาทิตยจ์ ดั เป็นเหล่งพลงั งานความร้อนทีใหญ่ทีสุด พลงั งานเสียง พลงั งานเสียงเป็ นพลงั งานรูปหนึงทีเกิดจากการสนั สะเทือน เราสามารถไดย้ ินได้ คือเป็ น พลงั งานรูปหนึงทีสาํ คญั โดยมนุษย์ เพราะเราใชเ้ สียงในการสือสาร หรือแมแ้ ต่สตั ว์ หรือพืชบางชนิดจะ ใชเ้ สียงในการส่งสญั ญาณเช่น พลงั งานเสียงทีไดจ้ ากพดู คุยกนั พลงั งานเสียงทีไดจ้ ากเครืองดนตรี เป็ นตน้ พลงั งานแสง หลอดไฟฟ้ าใหพ้ ลงั งานแสงแก่เรา ดวงอาทิตยเ์ ป็ นอีกแหล่งหนึงทีเป็ นพลงั งานงานแสงสว่าง ทาํ ใหเ้ ราสามารถมองเห็นสิงต่าง ๆ ได้ ถา้ ปราศจากพลงั งานแสงเราจะอยใู่ นความมืด
229 พลงั งานอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ พลงั งานประเภทหนึงทีทาํ ใหค้ อมพิวเตอร์ทาํ งาน เป็ นประเภทของพลงั งานทีใชไ้ ดอ้ ย่างมาก และเป็นพลงั งานทีใชไ้ ดอ้ ยา่ งต่อเนือง พลงั งานจลน์ วตั ถุทุกชนิดทีเคลือนทีไดล้ ว้ นแต่มีพลงั งานจลน์ วตั ถทุ ีเคลือนทีไดอ้ ยา่ งรวดเร็วแสดงวา่ มี พลงั งานจลน์มาก ตวั อยา่ งเช่น การขบั รถยนตไ์ ดเ้ ร็วจะมพี ลงั งานจลนม์ ากนนั เอง การหาค่าพลงั งานจลน์ของนกั เล่นสกีผนู้ ี จะหาไดจ้ ากสมการ ถา้ เขาเคลือนที ดว้ ยความเร็ว v และมีมวล m จะหาพลงั งานจลน์อยใู่ นรูป …………………… (5) ตวั อย่างการคาํ นวณ รถยนตค์ นั หนึงเคลือนทีดว้ ยความเร็ว 72 กิโลเมตรต่อชวั โมงถา้ เร่งให้มีความเร็ว 72 กิโลเมตรต่อชวั โมง รถยนตค์ นั นีเคลอื นทีดว้ ยพลงั งานจลน์ทีเปลียนแปลงเท่าใด วธิ ที าํ จากสูตร พลงั งานจลน์ก่อนการเปลยี น จูล พลงั งานจลน์หลงั งานเปลยี นแปลง จูล เพราะฉะนนั พลงั งานจลน์ทีเปลยี นเท่ากบั พลงั งานจลน์หลงั การเปลยี น - พลงั งานจลนก์ ่อนการเปลียน = จลู พลงั งานจลน์ทีเปลียนแปลง จลู ตอบ พลงั งานรูปแบบอนื ๆ แหล่งพลงั งานมีอยหู่ ลายชนิดทีสามารถทาํ ใหโ้ ลกเราเกิดการทาํ งาน และหากศึกษาวิเคราะห์ ในเชิงลึกแลว้ จะพบว่าแหล่งตน้ ตอของพลงั งานทีใชท้ าํ งานในชีวิตประจาํ วนั ส่วนใหญ่ก็ลว้ นมาจาก พลงั งานอนั มหาศาลทีแผจ่ ากดวงอาทิตยม์ าสู่โลกเรานีเอง พลงั งานจากดวงอาทิตยน์ ีนอกจากจะสามารถ ใชป้ ระโยชน์จากแสงและความร้อนในการทาํ งานโดยตรง เช่น การใหแ้ สงสวา่ ง การใหค้ วามร้อนความ- อบอนุ่ การตากแหง้ ต่าง ๆ แลว้ ยงั ก่อใหเ้ กิดแหลง่ พลงั งานอนื ๆ อกี มากมาย เช่น
230 - พลงั งานลม ในรูปของพลงั งานจลน์ของลม - พลงั งานนาํ ในรูปของพลงั งานศกั ยข์ องนาํ ฝนทีตกลงมา และถกู กกั เกบ็ ไวใ้ นทีสูง - พลงั งานมหาสมุทร ในรูปของพลงั งานจลน์ของคลนื และกระแสนาํ และพลงั งาน ความร้อนในนาํ ของมหาสมุทร - พลงั งานชีวมวล ในรูปของพลงั งานเคมขี องชีวมวล - พลงั งานฟอสซิล ในรูปของพลงั งานเคมีของถา่ นหิน นาํ มนั และก๊าซธรรมชาติ แหล่งพลงั งานดงั กล่าวนีอาจกลา่ วเป็นอีกนยั ว่าเป็นแหล่งพลงั งานทางออ้ มของดวงอาทิตยก์ ไ็ ด้ พลงั งานนําขึนนําลง พลงั งานนาํ ขึนนาํ ลงทีเกิดขึนในมหาสมทุ รไดจ้ ดั แยกออกจากแหลง่ พลงั งานมหาสมุทรอืน ๆ ทีไดก้ ล่าวไวข้ า้ งตน้ เนืองจากแหล่งพลงั งานในมหาสมุทรนีมีสาเหตุมาจากแรงดึงดูดของดวงจนั ทร์ มากกวา่ ดวงอาทิตยแ์ ละเป็นแหล่งพลงั งานเดียวทีเกิดจากดวงจนั ทร์เป็ นหลกั และมีอิทธิพลถึงโลกเรานี ปรากฏการณ์นําขึนนําลงเกิดขึนเมือดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์โคจรมาอย่ใู นแนวเดียวกัน แรงดึงดูดของดวงจนั ทร์ซึงอยใู่ กลโ้ ลกเรามากกวา่ นนั จะดึงใหน้ าํ ตามบริเวณเขตศนู ยส์ ูตรในมหาสมุทร สูงขึน และเมอื การโคจรทาํ ใหด้ วงจนั ทร์ตงั ฉากกบั ดวงอาทิตยก์ จ็ ะทาํ ใหน้ าํ บริเวณศนู ยส์ ูตรลดลง วงจร การขึนลงของนาํ ในมหาสมุทรกจ็ ะสอดคลอ้ งกบั ระยะเวลาการโคจรของดวงจนั ทร์รอบโลกเรา ซึงจะ สงั เกตไดว้ ่านาํ จะขึนสูงเมอื ใกลว้ นั ขา้ งขึนและขา้ งแรมตามปฏทิ ินจนั ทรคติ ความแตกต่างของนาํ ทะเล ระหวา่ งช่วงทีขึนสูงและช่วงทีตาํ ถอื ไดว้ ่าเป็นพลงั งานศกั ยอ์ นั หนึงทีสามารถนาํ มาใชป้ ระโยชน์ได้ พลงั งานลม มสี าเหตุใหญ่มาจากความร้อนทีแผจ่ ากดวงอาทิตยส์ ู่โลกเราใหก้ บั อากาศไม่เท่าเทียมกนั ทาํ ให้ อากาศร้อนทีเบากวา่ ลอยขึนและอากาศเยน็ ทีหนกั กว่าลอยเขา้ มาแทนที เช่น อากาศใกลบ้ ริเวณศนู ยส์ ูตร จะร้อนกวา่ อากาศใกลบ้ ริเวณขวั โลกอากาศทีเบากว่าจะลอยตวั ขนึ ขณะทีอากาศหนกั กวา่ จะเคลอื นเขา้ มาแทนที ลมเป็ นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึงเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ความกดดนั ของ บรรยากาศและแรงจากการหมุนของโลก สิงเหล่านีเป็ นปัจจัยทีก่อให้เกิดความเร็วลมและกาํ ลงั ลม เป็นทียอมรับโดยทวั ไปวา่ ลมเป็นพลงั งานรูปหนึงทีมอี ยใู่ นตวั เอง ซึงในบางครังแรงทีเกิดจากลมอาจทาํ ให้บา้ นเรือนทีอยอู่ าศยั พงั ทลายตน้ ไมห้ กั โค่นลง สิงของวตั ถุต่างๆ ลม้ หรือปลิวลอยไปตามลม ฯลฯ ในปัจจุบนั มนุษยจ์ ึงไดใ้ หค้ วามสาํ คญั และนาํ พลงั งานจากลมมาใชป้ ระโยชน์มากขึน เนืองจากพลงั งาน ลมมีอย่โู ดยทวั ไป ไม่ตอ้ งซือหา เป็ นพลงั งานทีสะอาดไม่ก่อให้เกิดอนั ตรายต่อสภาพแวดลอ้ ม และ สามารถนาํ มาใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งไม่รู้จกั หมดสิน พลงั งานมหาสมุทร - พลงั งานคลืนมสี าเหตุใหญ่มาจากนาํ บนผวิ มหาสมทุ รถกู พดั ดว้ ยพลงั งานลมจน เกิดการเคลือนไหวเป็ นคลืน
231 - พลงั งานกระแสนาํ เป็นลกั ษณะเดียวกบั ลมแตกต่างกนั ตรงทีแทนทีจะเป็นอากาศก็ เป็นนาํ ในมหาสมทุ รแทน - พลงั งานความร้อนในมหาสมุทรเกิดจากบริเวณผวิ นาํ ของมหาสมุทรทีไดร้ ับความ ร้อนจากดวงอาทิตย์ (ทีประมาณยีสิบกว่าองศาเซลเซียส) ซึงจะร้อนกว่านาํ ส่วนทีลึกลงไป (ทีนาํ ลึก ประมาณ 1 กิโลเมตร มอี ุณหภูมิประมาณ 4 องศาเซลเซียส) ความแตกต่างของอุณหภูมิเช่นนีถือไดว้ ่า เป็นแหล่งพลงั งานชนิดหนึงเช่นกนั พลงั งานฟอสซิล เชือเพลงิ ฟอสซิลเกิดจากการยอ่ ยสลายของสิงมชี ีวติ ภายใตส้ ิงแวดลอ้ มทีเหมาะสม เมือพืชและ สตั วส์ มยั ดึกดาํ บรรพ์ (ยคุ ไดโนเสาร์) เสียชีวติ ลงจะถกู ยอ่ ยสลายและทบั ถมกนั เป็ นชนั ๆ อยใู่ ตด้ ินหรือ ใตพ้ ภิ พ ซึงใชเ้ วลาหลายลา้ นปี กว่าทีจะเปลียนซากเหลา่ นีใหก้ ลายเป็ นเชือเพลิงฟอสซิลทีรู้จกั กนั ทวั ไป คือถ่านหินนาํ มนั และก๊าซธรรมชาติ ตามทีไดก้ ล่าวไวใ้ นหัวขอ้ ทีแลว้ ว่าสิงมีชีวิตก็เป็ นแหล่งกักเก็บของพลงั งานจากดวงอาทิตย์ รูปแบบหนึง ดงั นนั พลงั งานฟอสซิลนีก็ถือวา่ เป็นแหล่งกกั เก็บทีเกิดขึนหลายลา้ นปี ก่อน ของสิงมีชีวิต ในยคุ นนั พลงั งานเหลา่ นีจะถกู ปลดปลอ่ ยออกมาไดห้ รือเอามาใชท้ าํ งานไดก้ ็มีอย่วู ิธีเดียวเท่านันคือการ เผาไหม้ ซึงจะทาํ ให้คาร์บอนและ ไฮโดรเจนทีอยู่ในเชือเพลิงรวมกับออกซิเจนในอากาศเป็ น คาร์บอนไดออกไซด์ และนาํ นอกจากนียงั มีสารอนื ๆ อนั เป็นองคป์ ระกอบของสิงมีชีวิตทีเจือปนอยใู่ น เชือเพลิงอกี เช่น ซลั เฟอร์และไนโตรเจน ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาเป็ นก๊าซซลั เฟอร์ออกไซด์ (SOX) และไนโตรเจนออกไซด์ (NOX) เมอื ทาํ ปฏิกิริยากบั ออกซิเจนในอากาศ พลงั งานไฟฟ้ า พลงั งานไฟฟ้ านับว่าเป็ นพลงั งานทีสาํ คญั และมนุษยน์ าํ มาใชม้ ากทีสุด นบั แต่ ทอมสั แอลวา เอดิสนั ประดิษฐ์หลอดไฟสาํ เร็จเมือปี พ.ศ. 2422 แลว้ เทคโนโลยดี า้ นเครืองใชไ้ ฟฟ้ าไดม้ ีการพฒั นา อยา่ งรวดเร็ว ดงั ทีเห็นไดร้ อบตวั ในทุกวนั นี เครืองใชเ้ หล่านีใชเ้ ปลียนพลงั งานไฟฟ้ าไปเป็ นพลงั งาน รูปอืน สิงทีนาํ พลงั งานไฟฟ้ าจากแหล่งกาํ เนิดพลงั งานไฟฟ้ าไปยงั เครืองใชไ้ ฟฟ้ าในบา้ นและโรงงาน อุตสาหกรรม กค็ ือ กระแสไฟฟ้ า เราส่งกระแสไฟฟ้ าไปยงั ทีต่างๆไดโ้ ดยผา่ นกระแสไฟฟ้ าไป ตามสายไฟฟ้ าซึงทาํ ดว้ ยสาร ทียอมใหก้ ระแสไฟฟ้ าผา่ นได้ พลงั งานชีวมวล พืชทงั หลายในโลกเราก่อเกิดขึนมาไดล้ ว้ นแต่อาศยั พลงั งานจากดวงอาทิตย์ พืชทาํ หน้าที เปลยี นพลงั งานแสงอาทิตยแ์ ลว้ เก็บสะสมไวเ้ พือการดาํ รงชีพและเป็ นส่วนประกอบสาํ คญั ทีก่อให้เกิด การเจริญเติบโตตามส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ราก ลาํ ตน้ ใบ ดอกไม้ และผล ขบวนการสาํ คญั ทีเก็บ
232 สะสมพลงั งานแสงอาทิตยน์ ีเรี ยกกันว่ากระบวนการสังเคราะห์แสงโดยอาศยั สารคลอโรฟิ ลล์ (Chlorophyll) บนพืชสีเขียวทีทาํ ตวั เสมือนเป็ นโรงงานเลก็ ดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( ) จาก อากาศ และนาํ ( ) จากดินมาทาํ ปฏิกิริยากนั แลว้ ผลติ เป็นสารประกอบกลุ่มหนึงขึนมา เช่น นาํ ตาล แป้ ง และเซลลโู ลส ซึงเรียกรวม ๆ ว่าคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) พลงั งานแสงอาทิตยน์ ีจะถูกสะสม ในรูปแบบของพนั ธเคมี (Chemicalbonds) ของสารประกอบเหลา่ นี สตั วท์ งั หลายมีทงั กินพืชและสตั ว์ มนุษยก์ ินพืช และสตั วก์ ารกินกนั เป็ นทอด ๆ (ห่วงโซ่อาหาร) ของสิงมีชีวิต ทาํ ให้มีการถ่ายทอดพลงั งานเคมีจากพืชไปสู่สัตว์และสิงมีชีวิตอืน ๆ ซึงอาจกล่าว โดยสรุปคือ การทาํ งานของสิงมีชีวิตโดยพืนฐานลว้ นอาศยั พลงั งานจากดวงอาทิตยแ์ ละการเจริญเติบโต ของสิงมชี ีวติ ก็เป็นแหลง่ สะสมพลงั งานทีไดร้ ับจากดวงอาทิตยอ์ กี เช่นกนั พลงั งานชีวมวลก็ คือ พลงั งานทีสะสมอยใู่ นสิงมชี ีวิตทีสามารถนาํ มาใชท้ าํ งานได้ เช่น ตน้ ไม้ กิงไม้ หรือเศษวสั ดุจากการเกษตรหรืออุตสาหกรรม เช่น แกลบ ฟาง ชานออ้ ย ขีเลอื ย เศษไม้ เปลือกไม้ มลู สตั ว์ รวมทงั ของเหลือหรือขยะจากครัวเรือนมนุษย์เราไดใ้ ชพ้ ลงั งานจากชีวมวลมาเป็นเวลานานแลว้ จนถึงปัจจุบนั กย็ งั มีการนาํ มาใชป้ ระโยชนใ์ นสดั ส่วนทีไม่นอ้ ยเลยโดยเฉพาะประเทศทีกาํ ลงั พฒั นาอยา่ ง บา้ นเราตามชนบทก็ยงั มกี ารใชไ้ มฟ้ ื นหรือถา่ นในการหุงหาอาหาร พลงั งานทดแทน พลังงานทดแทน หมายถึง พลงั งานทีนาํ มาใชแ้ ทนนาํ มนั เชือเพลิง สามารถแบ่งตามแหล่งที ไดม้ ากเป็น 2 ประเภท คือ พลงั งานทดแทนจากแหล่งทีใชแ้ ลว้ หมดไป อาจเรียกว่า พลงั งานสินเปลือง ไดแ้ ก่ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ หินนาํ มนั และทรายนาํ มนั เป็ นตน้ และพลงั งานทดแทนอีก ประเภทหนึงเป็ นแหล่งพลงั งานทีใชแ้ ลว้ สามารถหมุนเวียนมาใชไ้ ดอ้ ีก เรียกว่า พลังงานหมุนเวยี น ไดแ้ ก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล นาํ และไฮโดรเจน เป็ นตน้ ซึงในทีนีจะขอกล่าวถึงเฉพาะศกั ยภาพ และ สถานภาพการใชป้ ระโยชนข์ องพลงั งานทดแทน การศึกษาและพฒั นาพลงั งานทดแทนเป็ นการศึกษา คน้ ควา้ ทดสอบ พฒั นา และสาธิต ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่พลงั งานทดแทน ซึงเป็ นพลงั งานที สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิงแวดลอ้ ม และเป็ นแหล่งพลงั งานทีมีอยู่ในทอ้ งถิน เช่น พลงั งานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล และอนื ๆ เพอื ใหม้ ีการผลิต และการใชป้ ระโยชน์อยา่ งแพร่หลาย มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมทงั ทางดา้ นเทคนิค เศรษฐกิจ และสังคม สาํ หรับผใู้ ชใ้ นเมือง และชนบท ซึงใน การศึกษา คน้ ควา้ และพฒั นาพลงั งานทดแทนดงั กล่าว ยงั รวมถึงการพฒั นาเครืองมือ เครืองใช้ และ อปุ กรณ์เพือการใชง้ านมีประสิทธิภาพสูงสุดดว้ ย งานศกึ ษา และพฒั นาพลงั งานทดแทน เป็ นส่วนหนึง ของแผนงานพฒั นาพลงั งานทดแทน ซึงมีโครงการทีเกียวขอ้ งโดยตรงภายใตแ้ ผนงานนีคือ โครงการ ศึกษาวิจยั ดา้ นพลงั งาน และมีความเชือมโยงกบั แผนงานพฒั นาชนบทในโครงการจดั ตงั ระบบผลิต ไฟฟ้ าประจุแบตเตอรีดว้ ยเซลลแ์ สงอาทิตยส์ าํ หรับหมบู่ า้ นชนบททีไม่มไี ฟฟ้ า โดยงานศกึ ษา และพฒั นา พลงั งานทดแทนจะเป็ นงานประจาํ ทีมีลกั ษณะการดาํ เนินงานของกิจกรรมต่าง ๆ ในเชิงกว้าง
233 เพือสนับสนุนการพฒั นาเทคโนโลยีพลงั งานทดแทน ทังในด้านวิชาการเชิงทฤษฎี และอุปกรณ์ เครืองมอื ทดลอง และการทดสอบ รวมถงึ การส่งเสริมและเผยแพร่ ซึงจะเป็นการสนบั สนุน และรองรับ ความพร้อมในการจัดตังโครงการใหม่ ๆ ในโครงการศึกษาวิจยั ด้านพลงั งานและโครงการอืน ๆ ทีเกียวขอ้ ง เช่น การศึกษาค้นควา้ เบืองตน้ การติดตามความกา้ วหน้าและร่วมมือประสานงานกบั หน่วยงานทีเกียวขอ้ งในการพฒั นาตน้ แบบ ทดสอบ วเิ คราะห์ และประเมนิ ความเหมาะสมเบืองตน้ และ เป็นงานส่งเสริมการพฒั นาโครงการทีกาํ ลงั ดาํ เนินการใหม้ คี วามสมบูรณ์ยงิ ขึน ตลอดจนสนบั สนุนให้ โครงการทีเสร็จสินแล้วไดน้ าํ ผลไปดาํ เนินการส่งเสริม และเผยแพร่และการใช้ประโยชน์อย่าง เหมาะสมต่อไป เรืองที ไฟฟ้ า 3.1 พลงั งานไฟฟ้ า เกิดจากการเคลอื นทีของอิเลก็ ตรอนจากจดุ หนึงไปยงั อกี จุดหนึงภายในตวั นาํ ไฟฟ้ าการเคลือนที ของอเิ ลก็ ตรอน เรียกว่า กระแสไฟฟ้ า Electrical Current ซึงเกิดจากการนาํ วตั ถทุ ีมีประจุไฟฟ้ าต่างกนั นาํ มาวางไวใ้ กลก้ นั โดยจะใชต้ วั นาํ ทางไฟฟ้ คือ ทองแดงการเคลอื นทีของอเิ ลก็ ตรอนจะเคลอื นทีจาก วตั ถุทีมีประจุไฟฟ้ าบวกไปยงั วตั ถุ ทีมปี ระจุไฟฟ้ าลบมีหน่วยเป็น Ampere อกั ษรยอ่ คือ “ A ” รูปการเคลือนทขี องอิเลก็ ตรอนในตวั นาํ ไฟฟ้ า
234 กระแสไฟฟ้ าสามารถแบ่งออกได้เป็ น 2 ชนิด 1. ไฟฟ้ ากระแสตรง (Direct Current) เป็ นกระแสไฟฟ้ าทีเกิดจากการเคลือนทีของ อิเลก็ ตรอนจากแหลง่ จ่ายไฟฟ้ าไปยงั อุปกรณ์ไฟฟ้ าใด ๆไดเ้ พยี งทิศทางเดียว สาํ หรับแหลง่ จ่ายไฟฟ้ านนั มาจากเซลลป์ ฐมภูมิคือถ่านไฟฉาย หรือเซลลท์ ุติยภมู คิ ือ แบตเตอร์รี หรือเครืองกาํ เนิดไฟฟ้ ากระแสตรง รูปแบตเตอร์รีหรือเครืองกาํ เนิดไฟฟ้ ากระแสตรง 2. ไฟฟ้ ากระแสสลบั (Alternating Current) เป็ นกระแสไฟฟ้ าทีเกิดจากการเคลือนทีของ อิเล็กตรอนจากแหล่งจ่ายไฟไปยงั อุปกรณ์ไฟฟ้ าใด ๆโดยมีการเคลือนทีกลบั ไปกลบั มาตลอดเวลา สาํ หรับแหล่งจ่ายไฟนันมาจากเครืองกาํ เนิดไฟฟ้ ากระแสสลบั ชนิดหนึงเฟสหรือเครืองกาํ เนิดไฟฟ้ า กระแสสลบั ชนิดสามเฟส รูปที เครืองกาํ เนิดไฟฟ้ ากระแสสลบั แรงดนั ไฟฟ้ า (Voltage) เป็นแรงทีทาํ ใหอ้ ิเลก็ ตรอนเกิดการเคลือนที หรือแรงทีทาํ ให้เกิดการ ไหลของไฟฟ้ าโดยแรงดนั ไฟฟ้ าทีมรี ะดบั ต่างกนั จะมปี ริมาณไฟฟ้ าสูงเนืองจากปริมาณประจุไฟฟ้ าทงั สองดา้ นมีความแตกต่างกนั ทาํ ใหเ้ กิดการเคลอื นทีของอเิ ลก็ ตรอน โดยทวั ๆไปแลว้ แรงดนั ไฟฟ้ าทีตก คร่อมอุปกรณ์ไฟฟ้ าแต่ละตวั ภายในวงจรไฟฟ้ าหรือแรงดนั ไฟฟ้ าของแหล่งจ่ายไฟฟ้ า จะใชห้ น่วยของ แรงดนั ไฟฟ้ าจะใชต้ วั อกั ษร V ตวั ใหญ่ธรรมดา จะแทนคาํ วา่ Volt ซึงเป็นหน่วยวดั ของแรงดนั ไฟฟ้ า
235 รูปการเคลือนทขี องอิเลก็ ตรอนจากศกั ยส์ ูงไปศกั ยต์ าํ ความต้านทานไฟฟ้ า (Resistance) เป็นการต่อตา้ นการไหลของกระแสไฟฟ้ าของวตั ถุซึงจะมี ค่ามากหรือค่านอ้ ยจะขึนอยกู่ บั ชนิดของวตั ถุนัน ๆ ความตา้ นทานจะมีหน่วยวดั เป็ น โอห์ม และจะใช้ สญั ลกั ษณ์เป็น (Ohms) ตวั นาํ ไฟฟ้ า (Conductors) วตั ถุทีกระแสไฟฟ้ าสามารถไหลผา่ นไดโ้ ดยง่ายหรือวตั ถุทีมีความ ตา้ นทานตาํ เช่นทองแดง อลมู ิเนียม ทอง และเงิน ซึงเป็ นตวั นาํ ไฟฟ้ าทีดีทีสุด ค่าความนาํ ไฟฟ้ าจะมี สญั ลกั ษณ์เป็น G และมีหน่วยเป็น ซีเมนส์ (S) โดยมีสูตรการคาํ นวณดงั นี G = 1/R …………………… (6) ตวั อย่าง วตั ถชุ นิดหนึงมคี ่าความตา้ นทานไฟฟ้ า 25 โอหม์ จงคาํ นวณหาค่าความนาํ ไฟฟ้ าของวตั ถุชนิดนี มีค่าเป็ นเท่าไร จากสูตร G = 1/R แทนค่า G = 1/25 คาํ ตอบ G = 40 mS ฉนวนไฟฟ้ า (Insulators) วตั ถทุ ีซึงไมย่ อมให้กระแสไฟฟ้ าไหลผา่ นไปได้ หรือวตั ถุทีมีความ ตา้ นทานไฟฟ้ าสูง ซึงสามารถตา้ นทานการไหลของกระแสได้ เช่น ไมกา้ แกว้ และพลาสติก
236 3.2 กฎของโอห์ม กระแสไฟฟ้ าทีไหลในวงจรไฟฟ้ าไดน้ ัน เกิดจากแรงดนั ไฟฟ้ าทีจ่ายให้กบั วงจรและ ปริมาณกระแสไฟฟ้ าภายในวงจรจะถูกจาํ กดั โดยความตา้ นทานไฟฟ้ าภายในวงจรไฟฟ้ านันๆ ดงั นัน ปริมาณกระแสไฟฟ้ าภายในวงจรจะขนึ อยกู่ บั แรงดนั ไฟฟ้ าและค่าความตา้ นทานของวงจร ซึงวงจรนีถกู คน้ พบดว้ ย George Simon Ohm เป็ นนักฟิ สิกส์ชาวเยอรมนั และนาํ ออกมาเผยแพร่ในปี ค.ศ.1826 ซึงวงจรนีเรียกว่า กฎของโอห์ม กลา่ วว่ากระแสไฟฟ้ าทีไหลในวงจรจะแปรผนั ตรงกบั แรงดนั ไฟฟ้ าและ แปรผกผนั กบั ค่าความตา้ นทานไฟฟ้ า โดยเขียนความสมั พนั ธไ์ ดด้ งั นี แอมแปร์ …… (7) ตวั อย่าง จงคาํ นวนหาค่าปริมาณกระแสไฟฟ้ าของวงจรไฟฟ้ าทีมีแรงดนั ไฟฟ้ าขนาด 50 โวลต์ และมคี ่า ความตา้ นทานของวงจรเท่ากบั 5โอห์ม วธิ ที ํา จากสูตร แทนค่า
237 กจิ กรรมการเรียนรู้เรือง การทดลองกฎของโอห์ม อุปกรณ์ทดลอง V . เครืองจ่ายไฟฟ้ ากระแสตรงปรับค่าได้ . . มลั ติมเิ ตอร์ . ตวั ตา้ นทานขนาดต่าง ๆ จาํ นวน ตวั . สายไฟ การทดลอง รูปที แสดงการต่อวงจรเพอื พิสูจนก์ ฎของโอห์ม . นาํ ตวั ตา้ นทาน แหล่งจ่ายไฟฟ้ ากระแสตรงทีปรับค่าได้ ต่อวงจรดงั รูป . ปรับค่าโวลตท์ ีแหลง่ จ่ายไฟ ประมาณ ค่า และแต่ละครังทีปรับค่าโวลต์ ใหว้ ดั ค่ากระแสไฟ ทีไหลผา่ นวงจร บนั ทึกผลการทดลอง V . หาค่าระหว่าง I . นาํ ค่าทีไดไ้ ปเขียนกราฟระหว่าง V กบั I . หาค่าความชนั เปรียบเทียบกบั ค่าทีไดใ้ นข้อ เปรียบเทียบตัวตา้ นทานและทาํ การทดลอง เช่นเดียวกนั กบั ขอ้ - คาํ ถาม V I ค่า ทีทดลองไดเ้ ป็นไปตามกฎของโอห์มหรือไม่ เพราะเหตุใด 3.3 การต่อความต้านทานแบบต่าง ๆ การต่อความต้านทาน หมายถึง การนาํ เอาความตา้ นทานหลายๆ ตวั มาต่อรวมกนั ใน ระหว่างจุดสองจุดซึงในบทนีจะกล่าวถึงการต่อความตา้ นทานในลกั ษณะต่างๆ กนั โดยตงั แต่การต่อ ความต้านทานแบบอนุกรม การต่อความตา้ นทานแบบขนานและการต่อความตา้ นทานแบบผสม นอกจากนีลกั ษณะของตวั อยา่ งต่าง ๆ ทีเราจะพบใน บทนีนนั ส่วนใหญ่แลว้ จะแนะนาํ ถงึ วิธีการพจิ ารณา และวิธีการคาํ นวณทีง่าย ๆ เพือให้รวดเร็วทีสุดเท่าทีจะกระทาํ ไดท้ ังนีก็เพือให้เป็ นแนวทางในการ
238 นาํ ไปใชใ้ นการคาํ นวณเกียวกบั วงจรไฟฟ้ าทีประกอบด้วยความต้านทานหลาย ๆ ตวั ทีต่อกันใน ลกั ษณะยุ่งยากและซับซอ้ นไดอ้ ย่างถูกตอ้ งรวดเร็วและมีความมนั ใจในการแกป้ ัญหาโจทยเ์ กียวกบั วงจรไฟฟ้ าโดยทวั ๆ ไป การต่อความต้านทานแบบอนกุ รม การต่อความตา้ นทานแบบอนุกรม หมายถึง การนาํ เอาความตา้ นทานมาต่อเรียงกนั โดยให้ ปลายสายของความตา้ นทานตวั ทีสองต่อเชือมกบั ปลายของความตา้ นทานตวั ทีสาม ถา้ หากว่ามีความ ตา้ นทานตวั ทีสีหรือตวั ต่อ ๆ ไป กน็ าํ มาต่อเรียงกนั ไปเรือย ๆ เป็นลกั ษณะในแบบลกู โซ่ ซึงเราสามารถ ทีจะเขา้ ใจไดง้ ่าย โดยการพจิ ารณาจาก รูปการต่อความตา้ นทานแบบอนุกรม จากรูปการต่อความตา้ นทานแบบอนุกรม จะได้ Rt = R1 + R2 + R3 ในทีนี Rt = ความตา้ นทานรวมหรือความตา้ นทานทงั หมด R1 , R2 , R3 = ความตา้ นทานยอ่ ย การต่อความต้านทานแบบขนาน การต่อความตา้ นทานแบบขนาน หมายถึง การนาํ เอาความตา้ นทานหลายๆ ตวั มาต่อเชือมกนั ใหอ้ ยใู่ นระหวา่ งจุด 2 จุด โดยใหป้ ลายดา้ นหนึงของความตา้ นทานทุก ๆ ตวั มาต่อรวมกนั ทีจุด ๆ หนึง และใหป้ ลายอกี ดา้ นหนึงของความตา้ นทานทุก ๆ ตวั มาต่อรวมกนั อีกทีจุดหนึง ๆ ซึงพิจารณาไดอ้ ย่าง ชดั เจนจาก รูปการต่อความตา้ นทานแบบขนาน รูปการต่อความตา้ นทานแบบขนาน
239 จากรูปการต่อความตา้ นทานแบบขนานจะได้ 1/Rt = (1/R1+1/R2+1/R3) = (R2R3+R1R3+R1R2)/(R1R2R3) ดงั นนั Rt = (R1R2R3)/(R2R3+R1R3+R1R2) ในทีนี Rt = ความตา้ นทานรวม หรือความตา้ นทานทงั หมด R1,R2,R3 = ความตา้ นทานยอ่ ย ข้อสังเกต เมอื ความตา้ นทาน 2 ตวั ต่อขนานกนั และมีค่าเท่ากนั การคาํ นวณหาค่าความตา้ นทาน รวมใหใ้ ชค้ ่าความตา้ นทานตวั ใดตวั หนึงเป็ นตวั ตงั (เพราะมีค่าเท่ากนั ) แลว้ หารดว้ ยจาํ นวนของความ ตา้ นทาน คือ 2 ในลกั ษณะทาํ นองเดียวกนั ถา้ หากว่ามีความตา้ นทานทงั หมด n ตวั ต่อขนานกนั และ แต่ละตวั มีค่าเท่า ๆ กนั แลว้ เมือคาํ นวณหาค่าความตา้ นทานรวม ก็ให้ใชค้ ่าของความตา้ นทานตวั ใด ตวั หนึงเป็นตวั ตงั แลว้ หารดว้ ยจาํ นวนของตวั ตา้ นทาน คือ n วงจรแบบผสม วงจรไฟฟ้ าแบบผสม คือ วงจรทีประกอบดว้ ยวงจรอนุกรม (Series Circuit) และวงจรขนาน (Parallel Circuit) ยอ่ ย ๆ อยใู่ นวงจรใหญ่เดียวกนั ดงั นนั ในการคาํ นวณเพือวิเคราะห์หาค่าปริมาณทาง ไฟฟ้ าต่าง ๆ เช่น กระแสไฟฟ้ า (Current) แรงดนั ไฟฟ้ า (Voltage) และค่าความตา้ นทานรวม จึงตอ้ งใช้ ความรู้จากวงจรไฟฟ้ าแบบอนุกรม วงจรไฟฟ้ าแบบขนาน และกฎของโอห์ม (Ohm’s Law) วงจรไฟฟ้ าแบบผสม โดยทวั ไปจะมีอยู่ 2 ลกั ษณะ คือ แบบอนุกรม - ขนาน (Series -Parallel) และแบบ ขนาน * อนุกรม (Parallel - Series) ดงั รูป วงจรไฟฟ้ ากระแสตรงแบบผสม (อนุกรม - ขนาน) รูปวงจรไฟฟ้ ากระแสตรงแบบผสม (อนุกรม - ขนาน) การหาค่าความตา้ นทานรวม (RT ) จึงตอ้ งหาค่าความตา้ นทานรวม (RT2 ) ระหว่างตวั ตา้ นทาน ตวั ที 2 และความตา้ นทานตวั ที 3 แบบวงจรขนานก่อน จากนนั จึงนาํ ค่าความตา้ นทานรวม (RT2 ) มารวม กบั ค่าความตา้ นทานตวั ที 1 (RT1) แบบวงจรไฟฟ้ าอนุกรม (Series Circuit) ในการหาค่ากระแสไฟฟ้ า
240 (Current) และแรงดนั ไฟฟ้ า (Voltage)ให้หาค่าในวงจรโดยใช้ลกั ษณะและวิธีการเดียวกนั กบั วงจร อนุกรม วงจรขนานดงั ทีผา่ นมาโดยใหห้ าค่าต่าง ๆ ในวงจรรวม กจ็ ะไดค้ ่าต่างๆตามทีตอ้ งการ 3.4 การคาํ นวณหาค่าความต้านทาน วงจรอนุกรม และวงจรขนาน ตวั ตา้ นทานทีต่อแบบขนาน จะมีความต่างศกั ยเ์ ท่ากนั ทุกตวั เราจึงหาความตา้ นทานทีสมมลู ( R eq ) เสมอื นวา่ มตี วั ตา้ นทานเพียงตวั เดียว ไดด้ งั นี เราสามารถแทนตวั ตา้ นทานทีต่อขนานกนั ดว้ ยเสน้ ตรง 2 เสน้ \" || \" ได้ สาํ หรับตวั ตา้ นทาน 2 ตวั เราจะ เขียนดงั นี กระแสไฟฟ้ าทีไหลผา่ นตวั ตา้ นทานแบบอนุกรมจะเท่ากนั เสมอ แต่ความต่างศกั ยข์ องตวั ตา้ นทาน แต่ละ ตวั จะไมเ่ ท่ากนั ดงั นนั ความต่างศกั ยท์ งั หมดจึงเท่ากบั ผลรวมของความต่างศกั ย์ เราจึงหาความตา้ นทาน ไดเ้ ท่ากบั ตวั ต้านทานทีต่อแบบขนานและแบบอนุกรม รวมกันนัน เราสามารถแบ่งเป็ นส่วนเล็กๆก่อน แลว้ คาํ นวณความตา้ นทานทีละส่วนได้ ดงั ตวั อยา่ งนี ตวั ต้านทานแบบ 4 แถบสี ตวั ตา้ นทานแบบ 4 แถบสีนนั เป็นแบบทีนิยมใชม้ ากทีสุด โดยจะมแี ถบสีระบายเป็ นเส้น 4 เสน้ รอบตวั ตา้ นทาน โดยค่าตวั เลขของ 2 แถบแรกจะเป็น ค่าสองหลกั แรกของความตา้ นทาน แถบที 3 เป็ น ตวั คณู และ แถบที 4 เป็นค่า ขอบเขตความเบียงเบน ซึงมคี ่าเป็น 2% , 5% , หรือ 10%
241 ค่าของรหัสสีตามมาตรฐาน EIA EIA-RS- 279 สี แถบ 1 แถบ 2 แถบ 3 แถบ 4 สมั ประสิทธิของอุณหภมู ิ ( ตวั คูณ) ( ขอบเขตความเบียงเบน) ดาํ 0 0 ?10 0 ?1% (F) 100 ppm นาํ ตาล 1 1 ?10 1 แดง 2 2 ?10 2 ?2% (G) 50 ppm สม้ 3 3 ?10 3 15 ppm เหลือง 4 4 ?10 4 25 ppm เขียว 5 5 ?10 5 ?0.5% (D) นาํ เงิน 6 6 ?10 6 ?0.25% (C) มว่ ง 7 7 ?10 7 ?0.1% (B) เทา 8 8 ?10 8 ?0.05% (A) ขาว 9 9 ?10 9 ?5% (J) ทอง ?0.1 ?10% (K) เงิน ?0.01 ไมม่ ีสี ?20% (M) หมายเหตุ : สีแดง ถึง มว่ ง เป็นสีรุ้ง โดยทีสีแดงเป็นสีพลงั งานตาํ และ สีมว่ งเป็นสีพลงั งานสูง ค่าทพี งึ ประสงค์ ตวั ตา้ นทานมาตรฐานทีผลิต มีค่าตงั แต่มิลลโิ อหม์ จนถงึ กิกะโอหม์ ซึงในช่วงนี จะมีเพียงบาง ค่าทีเรียกว่า ค่าทีพงึ ประสงค์ เท่านนั ทีถกู ผลิต และตวั ทรานซิสเตอร์ทีเป็นอุปกรณ์แยกในทอ้ งตลาด เหล่านีนนั ในทางปฏิบตั ิแลว้ ไมไ่ ดม้ คี ่าตาม อุดมคติ ดงั นนั จึงมีการระบุขอบเขตของ การเบียงเบนจาก ค่าทีระบุไว้ โดยการใชแ้ ถบสีแถบสุดทา้ ย ตวั ต้านทานแบบมี 5 แถบสี 5 แถบสีนันปกติใช้สําหรับตวั ต้านทานทีมีความแม่นยาํ สูง (โดยมีค่าขอบเขตของความ เบียงเบน 1%, 0.5%, 0.25% , 0.1%) แถบสี 3 แถบแรกนันใชร้ ะบุค่าความตา้ นทาน แถบที 4 ใชร้ ะบุ ค่าตวั คูณ และ แถบที 5 ใชร้ ะบุขอบเขตของความ เบียงเบน ส่วนตวั ตา้ นทานแบบ 5 แถบสีทีมีความ แมน่ ยาํ ปกติ มพี บไดใ้ นตวั ตา้ นทานรุ่นเก่า หรือ ตวั ตา้ นทานแบบพเิ ศษ ซึงค่าขอบเขตของความเบียงเบน จะอยใู่ นตาํ แหน่งปกติคือ แถบที 4 ส่วนแถบที 5 นนั ใชบ้ อกค่าสมั ประสิทธิของอุณหภูมิ ตวั ต้านทานแบบ SMT ตวั ตา้ นทานแบบประกบผวิ หนา้ ระบุค่าความตา้ นทานดว้ ยรหัสตวั เลข โดยตวั ตา้ นทาน SMT ความแม่นยาํ ปกติ จะระบุดว้ ยรหสั เลข 3 หลกั สองหลกั แรกบอกค่าสองหลกั แรกของความตา้ นทาน
242 และ หลกั ที 3 คือค่าเลขยกกาํ ลงั ของ 10 ตวั อยา่ งเช่น \"472\" ใชห้ มายถงึ \"47\" เป็นค่าสองหลกั แรกของค่า ความตา้ นทาน คูณดว้ ย 10 ยกกาํ ลงั สอง โอห์ม ส่วนตวั ตา้ นทาน SMT ความแม่นยาํ สูง จะใชร้ หสั เลข 4 หลกั โดยที 3 หลกั แรกบอกค่าสามหลกั แรกของความตา้ นทาน และ หลกั ที 4 คือค่าเลขยกกาํ ลงั ของ 10 การวดั ตวั ต้านทาน ตวั ตา้ นทานกค็ ือตวั นาํ ทีเลวได้ หรือในทางกลบั กนั ตวั นาํ ดีหรือตวั นาํ สมบูรณ์ เช่น ซูเปอร์คอน ดกั เตอร์ จะไม่มีค่าความตา้ นทานเลย ดงั นัน ถา้ ตอ้ งการทดสอบเครืองมือวดั ของเราว่า มีค่าเทียงตรง ในการวดั มากนอ้ ยเท่าใด เราสามารถทดสอบ ไดโ้ ดยการนาํ เครืองมอื วดั ของเราไปวดั ตวั นาํ ทีมีค่าความ ตา้ นทาน ศนู ยโ์ อหม์ เครืองมือทีนาํ ไปวดั จะตอ้ งวดั ค่าไดเ้ ท่ากบั ศนู ยโ์ อห์มทุก ยา่ นวดั (รูปที 1) ตวั นาํ ที ดีทีสุดหรือตวั นาํ ที ค่อนขา้ งดี จาํ เป็นมากสาํ หรับวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ทวั ไป ในงานอิเล็กทรอนิกส์จะใช้ อุปกรณ์ทีรู้จกั กนั ในชือวา่ โอห์มมิเตอร์ เป็นเครืองมอื ทีใชต้ รวจสอบค่าความตา้ นทานของตวั ตา้ นทาน รูปที ถา้ เราวดั ความตา้ นทานของตวั นาํ ทีดีจะไม่มคี วามตา้ นทานคือวดั ไดศ้ นู ยโ์ อห์ม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340