บทความ การใช้ดุลพนิ จิ พจิ ารณาแต่งตั้งบคุ คล ให้ดารงตาแหน่งตามโครงสร้างแบง่ ส่วนราชการภายใน
การใชด้ ุลพินิจพิจารณาแต่งต้งั บคุ คลให้ดารงตาแหนง่ ตามโครงสร้างแบ่งสว่ นราชการภายใน การบริหารงานขององค์การหรือหน่วยงานต่างๆ ท้ังภาครัฐและภาคเอกชน มีส่วนระบบ ย่อยท่ีต้องคานึงถึง ๕ ส่วนย่อย คือ วัตถุประสงค์ขององค์กร โครงสร้างรูปแบบ พฤติกรรมของคน เทคนิค วิธีการบริหาร และระบบข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างย่ิงในส่วนของพฤติกรรมของคนหรือการบริหารงาน บุคคล ผู้บริหารองค์กรควรต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะว่าทรัพยากรบุคคลมีผลกระทบต่อการ ปฏบิ ตั ิงานมากทีส่ ุด ในขณะเดียวกันก็ควบคุมได้ยากที่สุดด้วย การบริหารงานภาครัฐหรือหน่วยงานราชการ ต่าง ๆ สิ่งสาคัญประการหน่ึงที่นามาใช้ในการบริหารงานบุคคล คือ ดุลพินิจ1ซึ่งต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ท่ี กาหนด ประกอบกับข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และการให้เหตุผลท่ีเหมาะสม การใช้ดุลพินิจแต่งตั้งบุคคลให้ ดารงตาแหน่งใด ๆ นอกจากจะต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายแล้ว ยังต้องอาศัยองค์ประกอบ อ่ืนๆ ด้วย เช่น ภาวะผู้นา ความเสียสละ วิสัยทัศน์ โดยบทความน้ี จะขอยกคดีตัวอย่างเก่ียวกับการใช้ ดลุ พินจิ แต่งต้งั ใหบ้ ุคคลดารงตาแหน่งตามโครงสร้างแบ่งส่วนราชการภายใน ซึ่งต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ เง่ือนไข กฎหมาย ระเบียบ รวมถึงบุคลิกลักษณะ ภาวะผู้นา ความเสียสละ วิสัยทัศน์ ของผู้ที่จะได้รับการ แตง่ ตัง้ ให้ดารงตาแหนง่ ต่าง ๆ ด้วย เรื่องมีอยู่ว่า นาย ภ. ดารงตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) ต่อมา นาง ร.ซ่ึงเป็น ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานต้นสังกัด ได้มีคาสั่งแต่งตั้งข้าราชการให้ดารงตาแหน่งตามโครงสร้างการแบ่ง ส่วนราชการภายในและการจัดอัตรากาลัง (ระดับ ๑ – ๙) โดยให้นาย ภ. ไปดารงตาแหน่งผู้ตรวจ ๒ (สายงาน นักวชิ าการระดบั ๙) และไดแ้ ตง่ ต้ังให้นาย ช. ดารงตาแหน่งผอู้ านวยการสานัก (นักบริหาร ๙) แทน โดยพิจารณา จากหลักเกณฑ์การกาหนดมาตรฐานกาหนดตาแหน่งตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงานบุคคลภายในของ หน่วยงาน หลักเกณฑ์ตามพระราชกฤษฎีกากาหนดตาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง และประเภทบริหารระดับกลาง พ.ศ. ๒๕๓๕ และหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดคนลงตามโครงสร้างใหม่ โดยควร พิจารณาจากองค์ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี คือ (๑) ความรู้หรือคุณวุฒิ พิจารณาจากคุณวุฒิหรือปริญญาที่มี เช่น ปริญญาตรี/และปริญญาโททางด้านบัญชี บริหารธุรกิจ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สังคมศาสตร์ เป็นต้น (๒) ความสามารถในงานท่ีปฏิบัติ พิจารณาจากความเช่ียวชาญในงานเป็นหลัก เช่น การ ตรวจสอบแต่ละลักษณะงาน (๓) ความประพฤติ พจิ ารณาจากพฤติกรรม เช่น การรักษาวินัย การให้ความร่วมมือ กบั เพอ่ื นร่วมงาน การปฏิบัติงานอยใู่ นกรอบของข้อบังคับว่าด้วยจรรยาบรรณของข้าราชการ (๔) ประวัติการรับ ราชการ พิจารณาจากระยะเวลาท่ีดารงในสายงานน้ันหรือตาแหน่งน้ัน (๕) ผลสาเร็จของงาน พิจารณาจาก ผลสาเร็จของงานที่เกิดจากงานในหน้าที่ความรับผิดชอบของตาแหน่ง และสนองต่อนโยบายของหน่วยงาน (๖) ผลการปฏิบัติงาน พิจารณาจากการประเมินผลการปฏิบัติงานเพ่ือเลื่อนข้ันเงินเดือนประจาปี (๗) ความอาวุโส พจิ ารณาจากอายุการทางาน ท้ังน้ี การพิจารณาแต่ละด้านดังกล่าวข้างต้น ให้เน้นท่ีผลสาเร็จของงานเป็นลาดับ แรก ส่วนองค์ประกอบด้านอ่ืน ๆ ให้อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการที่จะจัดลาดับความสาคัญรองๆ ลงไปก็ได้ โดยควรใหส้ อดคลอ้ งหรอื เป็นประโยชน์ต่องานทจี่ ะปฏิบัตเิ ป็นสาคัญ 1 หมายถงึ อานาจตัดสินใจอย่างอิสระทจ่ี ะเลือกกระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดอย่างหน่ึงตามที่กฎหมายกาหนด
ข้อเท็จจริงปรากฏต่อไปว่า นาย ภ. ไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาของนาง ร. และเห็นว่า ตนควรได้รับการแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งในสายงานบริหารดังเดิม เพราะยังมีตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (สายงานบรหิ าร ๙) วา่ งอยถู่ งึ ๘ ตาแหนง่ ไมม่ คี วามจาเป็นหรือความเหมาะสมใด ๆ ที่ต้องส่ังให้ตนไปดารง ตาแหนง่ ผตู้ รวจ ๒ (สายงานนักวิชาการระดับ ๙) คาส่ังของนาง ร. จึงเป็นคาส่ังที่เป็นการเลือกปฏิบัติท่ีไม่ เป็นธรรมและเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ดังนี้ นาย ภ. จึงนาเรื่องดังกล่าวฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง ชนั้ ตน้ โดยขอให้ศาลมคี าพิพากษาหรือคาส่ังให้เพิกถอนคาส่ังแต่งต้ังข้าราชการ ฯ ในส่วนที่แต่งต้ังให้ตนไป ดารงตาแหนง่ ผตู้ รวจ ๒ (สายงานนักวิชาการระดับ ๙) โดยให้ดารงตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) ดงั เดิม ศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาให้เพิกถอนคาส่ังของนาง ร. และให้นาง ร. มีคาสั่งแต่งตั้งนาย ภ. ให้ดารงตาแหน่งอ่ืนท่ีเหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ โดยให้ดาเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับ แตว่ ันที่คดี ถงึ ท่ีสดุ ต่อมาหน่วยงานต้นสังกัดและนาง ร. ไดย้ นื่ อทุ ธรณต์ ่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยในประเด็นว่า “การที่นาง ร. แต่งตั้งให้นาย ช. ดารงตาแหน่ง ผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) ตามโครงสร้างใหม่ และแต่งตั้งให้นาย ภ. ดารงตาแหน่งผู้ตรวจ ๒(สาย งานนักวิชาการระดับ ๙) โดยไม่แต่งต้ังให้นาย ภ. ดารงตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙)ตามเดิม เป็นการกระทาท่ีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่า คณะกรรมการของหน่วยงาน มีมติ ดังนี้ (๑) เห็นชอบให้ใช้โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในและการจัดอัตรากาลังใหม่ของ หน่วยงาน โดยปรับปรุงตาแหน่งผู้อานวยการสานักเป็นตาแหน่งระดับ ๙ (บริหารระดับสูง) และกาหนด คณุ สมบัติเฉพาะสาหรบั ตาแหน่งระดับ ๓ – ๕ กล่าวคือ ต้องได้รับปริญญาตรีหรือโทหรือเทียบได้ไม่ต่ากว่า น้ี หรือไดร้ ับปริญญาเอก และได้ดารงตาแหน่งระดับ ๘ หรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ปี หรือได้ดารง ตาแหน่งระดับ ๗ หรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่า ๔ ปี โดยจะต้องปฏิบัติราชการเก่ียวกับงานกฎหมาย หรืองานอื่นท่ีเก่ียวข้องมาแล้วไม่น้อยกว่า ๑ ปี (๒) เห็นชอบหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดคนลงตาม โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในใหม่ ซ่ึงมีสาระสาคัญว่า ควรพิจารณาจากองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ ความรู้หรือคุณวุฒิ ความสามารถในงานท่ีปฏิบัติ ความประพฤติ ผลสาเร็จของงาน ผลการปฏิบัติงาน ความอาวโุ ส ทง้ั น้ี การพจิ ารณาดังกล่าวขา้ งต้น ใหเ้ น้นทีผ่ ลสาเร็จของงานเป็นลาดับแรก ส่วนองค์ประกอบ อ่ืน ๆ ให้อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการที่จะจัดลาดับความสาคัญรองๆ ลงไปก็ได้ โดยควรให้สอดคล้อง หรือเป็นประโยชนต์ ่องานท่จี ะปฏบิ ัติเป็นสาคญั (๓) ให้นาง ร. แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาจัดคนลง ตามหลักเกณฑ์ดังกลา่ ว หลงั จากนัน้ นาง ร. มคี าสง่ั แตง่ ตงั้ คณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งบุคคลให้ดารง ตาแหนง่ ตามโครงสรา้ งการแบง่ ส่วนราชการภายใน โดยคณะกรรมการฯ มีหน้าท่ีพิจารณาการแต่งต้ังบุคคล แล้วเสนอให้ผู้มีอานาจดาเนินการแต่งตั้ง คณะกรรมการ ฯ พิจารณาแล้วเห็นชอบให้นาย ภ. ดารง ตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) และนาเสนอให้นาง ร. พิจารณาดาเนินการแต่งตั้งนาย ภ. แต่ นาง ร. กลับมคี าสงั่ แต่งตง้ั ให้นาย ภ.ดารงตาแหน่งผู้ตรวจ ๒ (สายงานนักวิชาการระดับ ๙) ซึ่งเป็นตาแหน่ง ประเภทผู้บริหารระดับสูง และแต่งต้ังให้นาย ช. ดารงตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) แทน นาย ภ. ไม่เห็นชอบด้วยกับคาสั่งของนาง ร. เน่ืองจาก นาง ร. ได้แก้ไขเปล่ียนแปลงให้ตนไปดารงตาแหน่งผู้ตรวจ ๒ (สายงานนกั วชิ าการระดับ ๙) โดยมไิ ด้ยึดถือตามผลการพจิ ารณาของคณะกรรมการ ฯ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า มติของคณะกรรมการ ฯ มีลักษณะเป็นเพียงข้อเสนอแนะ หรือคาแนะนา ไม่มีผลทางกฎหมายผูกพันนาง ร. ให้ต้องปฏิบัติตาม หากนาง ร. พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเสนอแนะหรอื คาแนะนาดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ หรือเป็นไปตามหลักเกณฑ์แต่ยังมีบุคคลอ่ืนท่ี มีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์อยู่อีก และการแต่งตั้งให้ผู้นั้นดารงตาแหน่งผู้อานวยการสานักในขณะน้ัน (นักบริหาร ๙) จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานมากกว่า นาง ร. ก็มีดุลพินิจท่ีจะแต่งต้ังผู้นั้น ได้ ไม่อาจถือได้ว่า การใช้ดุลพินิจของนาง ร. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นการใช้ดุลพินิจท่ีผิดพลาดอย่าง ชัดแจ้ง อันเข้าข่ายเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ และเป็นเหตุให้การกระทาของนาง ร. ไม่ชอบด้วย กฎหมาย เมื่อพิจารณาประวัติการศึกษาและประวัติการรับราชการของนาย ภ. กับ นาย ช. แล้ว พบว่า นาย ภ. สาเร็จการศกึ ษานติ ิศาสตรบณั ฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี ๒๕๓๑ เริ่มรับราชการเม่ือ ปี ๒๕๑๕ ในตาแหน่งพนักงานตรวจสอบ หรือนักวิชาการตรวจสอบมาโดยตลอด เมื่อปี ๒๕๔๗ ได้รับ ตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) มีหน้าท่ีวิเคราะห์กฎหมาย ให้คาปรึกษาความเห็นทางกฎหมาย ตีความ วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย สอบทาน เสนอความเห็นทางกฎหมาย และดาเนินการเกี่ยวกับ คดีต่างๆ ตรวจพิจารณา ยกร่างกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ร่างสัญญาต่างๆ กรณีจึงถือว่าเป็น ผู้มีคุณสมบัติเฉพาะ สาหรับตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) ตามโครงสร้างใหม่ ส่วน นาย ช. สาเร็จการศึกษา นิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเมื่อปี ๒๕๔๘ เริ่มรับราชการเม่ือปี ๒๕๑๑ ในตาแหน่งเสมยี นพนกั งานจัตวา พนักงานตรวจสอบและเจา้ หนา้ ทต่ี รวจสอบระดบั ๘ เมื่อปี ๒๕๔๗ ได้รับ ตาแหน่งผู้อานวยการส่วนภูมิภาค มีหน้าท่ีตรวจสอบเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงิน เก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน อื่นๆ การจัดเก็บภาษีอากรต่างๆ ของหน่วยงานราชการ และมีความเห็นว่าเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หรือไม่ ตรวจสอบกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการทุจริต กรณีจึงถือว่า นาย ช. เป็นผู้มีคุณสมบัติเฉพาะ สาหรบั ตาแหนง่ ผู้อานวยการสานกั (นักบริหาร ๙) ตามโครงสรา้ งใหม่เชน่ เดยี วกันกับนาย ภ. ซึ่งระหว่างเวลา ที่บุคคลท้ังสองรับราชการอยู่น้ันไม่เคยมีประวัติว่าเคยถูกกล่าวโทษทางวินัย อีกทั้งยังได้รับการเล่ือนข้ัน เงินเดือนประจาปีเป็นกรณพี ิเศษท่ใี กล้เคียงกนั เมื่อนาย ภ.และนาย ช.ต่างก็มีคุณสมบัติเฉพาะท่ีจะดารงตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) และมีความรู้ ความสามารถทางกฎหมาย ตลอดจนประสบการณ์เก่ียวกับการปรับใช้ กฎหมาย ไม่ย่ิงหย่อนไปกว่ากัน การแต่งต้ังนาย ภ. หรือนาย ช. จึงล้วนแล้วแต่ชอบด้วยกฎหมายท้ังตาม ตวั อกั ษรและตามเจตนารมณข์ องกฎหมาย และมีเหตุผลอันควรค่าแก่การรับฟังท้ังสิ้น ดังนั้น การที่นาง ร. ไม่แต่งตั้งนาย ภ. ให้ดารงตาแหน่งผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการ ฯ แต่ใช้ดุลพินิจแต่งต้ังให้นาย ช. ดารงตาแหน่งดังกล่าว และแต่งต้ังให้นาย ภ.ดารงตาแหน่งผู้ตรวจ ๒ (สาย งานนักวิชาการระดับ ๙) ซึ่งเป็นตาแหน่งท่ีมีหน้าที่การปฏิบัติงานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้อานวยการสานัก (นักบริหาร ๙) และอยู่ในระดับเดียวกับตาแหน่งเดิมของนาย ภ. กรณีจึงยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการใช้ ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมาย หรือเป็นการใช้ดุลพินิจที่ผิดพลาดอย่างชัดแจ้งอันเข้าข่าย เป็นการใช้ดุลพนิ จิ โดยมิชอบ และเป็นเหตใุ ห้การกระทาของนาง ร. ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ศาลปกครองสูงสุด พพิ ากษากลบั ของศาลปกครองชัน้ ตน้ เป็นให้ยกฟอ้ ง
จากคดีดังกล่าวข้างต้น เป็นกรณีท่ีบุคคลจานวน ๒ ราย มีความรู้ คุณวุฒิ ความสามารถ ฯลฯไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ มีทักษะ ความสามารถในการปฏิบัติงานเหมือนกัน ได้รับการเลื่อนข้ันเงินเดือน ประจาปีเป็นกรณีพิเศษท่ีใกล้เคียงกัน ไม่เคยถูกกล่าวโทษทางวินัยเหมือนกัน ซ่ึงเข้าลักษณะของคุณสมบัติ เฉพาะท่ีจะดารงตาแหน่งประเภทนักบริหารระดับ ๙ ไม่ย่ิงหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งหน่วยงานได้พิจารณาจาก องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ได้กาหนดไว้ในหลักเกณฑ์ ดังน้ี (๑) ความรู้หรือคุณวุฒิ พิจารณาจากท่ีนาย ภ. สาเร็จ การศึกษานิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นาย ช. สาเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิตจาก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (๒) ความสามารถในงานที่ปฏิบัติ พิจารณาจากหน้าท่ีของนาย ภ. ที่ ปฏบิ ตั งิ านวเิ คราะหก์ ฎหมาย ให้คาปรึกษาความเห็นทางกฎหมาย ตีความ วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย สอบ ทาน เสนอความเห็นทางกฎหมาย และดาเนินการเกี่ยวกับ คดีต่างๆ ตรวจพิจารณา ยกร่างกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ร่างสัญญาต่างๆ หน้าที่ของนาย ช. ที่ปฏิบัติงานตรวจสอบเก่ียวกับการใช้จ่ายเงิน เกบ็ รักษาเงินและทรัพย์สินอื่นๆ การจัดเก็บภาษีอากรต่างๆ ของหน่วยงานราชการ ตรวจสอบกรณีท่ีมีเหตุ อันควรสงสัยว่ามีการทุจริต (๓) ความประพฤติ พิจารณาจากพฤติกรรม เช่น การรักษาวินัย การให้ความ ร่วมมือกับเพ่ือนร่วมงาน การปฏิบัติงานอยู่ในกรอบของข้อบังคับว่าด้วยจรรยาบรรณของข้าราชการ ซ่ึง บุคคลท้ังสองไม่เคยถูกดาเนินการทางวินัย (๔) ประวัติการรับราชการ พิจารณาจากระยะเวลาท่ีดารงในสาย งานน้ันหรือตาแหน่งนั้น นาย ภ. ดารงตาแหน่งผู้อานวยการสานัก นาย ช. ดารงตาแหน่งผู้อานวยการส่วน ภมู ภิ าค โดยเปน็ ตาแหน่งในสายงานบรหิ ารระดบั ๙ เชน่ เดยี วกันทัง้ สองตาแหน่ง ซึ่งบุคคลทั้งสองอยู่ในสาย งานนักบริหารและมีคุณสมบัติการรับราชการที่ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่นาย ช. ได้รับมอบหมายให้มา ปฏิบัติงานในคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินอีกตาแหน่งหน่ึง (๕) ผลสาเร็จของงาน พิจารณาจาก ผลสาเร็จของงานท่ีเกดิ จากงานในหน้าท่ีความรับผิดชอบของตาแหน่ง และสนองต่อนโยบายของหน่วยงาน ซ่ึงนาย ช. มีผลสาเร็จของการปฏิบัติงานมากกว่า กล่าวคือได้รับมอบหมายให้มาปฏิบัติงานใน คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (๖) ผลการปฏิบัติงาน พิจารณาจากการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อน ขั้นเงินเดือนประจาปี ซึ่งบุคคลทั้งสองมีเงินเดือนถึงข้ันสูงของตาแหน่งที่จะเลื่อนเงินเดือน (เต็มข้ัน) ในรอบ ระยะเวลาท่ีไล่เล่ียกัน กล่าวคือ นาย ภ. เงินเดือนเต็มขั้นเมื่อ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ นาย ช. เงินเดือนเต็มข้ัน เมื่อ ๑ เมษายน ๒๕๕๐ (๗) ความอาวุโส บุคคลท้ังสองได้รับแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งนักบริหาร ๙ พร้อม กนั แต่นาย ช. มเี งินเดอื นเต็มขัน้ กอ่ น จึงมีความอาวโุ สในตาแหนง่ มากกวา่ จากกรณีดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การแต่งตั้งให้บุคคลดารงตาแหน่งใดๆ นอกจากท่ีจะ พิจารณาคุณสมบัติเฉพาะตามหลักเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้แล้ว ยังต้องพิจารณาองค์ประกอบอ่ืนๆ เช่น ภาวะผู้นา วสิ ัยทศั น์ ฯลฯ ซ่ึงการใชด้ ุลพนิ ิจพิจารณาองคป์ ระกอบอ่นื ๆ น้ี เป็นการใช้ดลุ พินิจโดยแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นองค์กรภาครัฐ นอกจากจะต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบต่าง ๆ แล้ว ยังต้องคานึงถึงผลประโยชน์ ส่วนรวม ประสิทธภิ าพผลสัมฤทธ์ิขององค์กรอีกด้วย ในคดีนี้ หน่วยงานซ่ึงเป็นผู้ถูกฟ้องคดีได้พิจารณาจาก องคป์ ระกอบต่าง ๆ ท่ไี ด้กาหนดไวใ้ นหลักเกณฑ์เป็นสาคัญแล้ว จึงได้พิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ เป็นลาดับ รองลงมา กรณีจึงถือได้วา่ เปน็ การใชด้ ลุ พนิ ิจที่ชอบด้วยเจตนารมณข์ องกฎหมายแล้ว กลุ่มงานวเิ คราะหก์ ฎหมาย สานกั คดี
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: