บทความ ผูม้ หี น้าท่ีตรวจสอบ ถือว่า “ร้”ู กฎหมายระเบียบเป็ นอย่างดี แม้ “ไมเ่ คยม”ี ประวัติเสื่อมเสีย ก็ไมเ่ ป็ นเหตใุ ห้ลดโทษ
ผู้มีหนา้ ท่ตี รวจสอบ ถอื วา่ “ร”ู้ กฎหมายระเบยี บเป็นอยา่ งดี แม้ “ไมเ่ คยม”ี ประวัติเสอ่ื มเสีย กไ็ มเ่ ป็นเหตใุ ห้ลดโทษ ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการนั้น ข้าราชการจะต้องประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัย อย่างเคร่งครัดและเป็นแบบอย่างท่ีดีท้ังต่อข้าราชการท่ีอยู่ในบังคับบัญชาหรือข้าราชการด้วยกันเอง ตลอดจน ประชาชนท่ัวไป แม้จะเป็นข้าราชการประเภทอ่ืนที่มิใช่ข้าราชการพลเรือนสามัญก็ตาม หากข้าราชการผู้ใด กระทาการหรือประพฤติตนในลักษณะที่กฎหมายกาหนดไว้ว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ย่อมถือได้ว่า ข้าราชการผู้นั้นกระทาความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และอาจถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการได้ โดยพิจารณาตามข้อเท็จจรงิ ประกอบพฤติการณ์ของการกระทาความผิดท่ีเกิดข้ึน และระดับโทษประกอบกันไป เพ่ือให้เกิดความเปน็ ธรรมและเหมาะสมด้วย คดีปกครองนี้เป็นท่ีน่าสนใจเก่ยี วกับการประพฤติปฏิบัติตนของข้าราชการ เม่อื กระทาผิดกฎหมาย แล้วต้องรับโทษทางวินัย แม้จะไม่เคยมีประวัติในทางท่ีเส่ือมเสีย ก็ย่อมไมอ่ าจอ้างเป็นเหตทุ ตี่ ้องลดโทษได้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้มีว่า หน่วยตรวจสอบของราชการแห่งหนึ่งได้รับเร่ืองร้องเรียนว่า ผู้ฟ้องคดี ซง่ึ เป็นขา้ ราชการในสังกัดหน่วยตรวจสอบนั้น ได้เบิกคา่ ใชจ้ ่ายในการเดนิ ทางไปราชการจากหน่วยงานต้นสังกัด และจากหน่วยงานอ่ืนในการเดินทางคราวเดียวกัน อันเป็นการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการซ้าซ้อนกัน และยังเดินทางไปจังหวัดอ่ืนท่ีมิได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนเร่ืองดังกล่าว ผลปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีและคณะกระทาความผิดวินัยฐานเป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบของทางราชการ รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา และประพฤติ ชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงจึงมีคาสั่งลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และให้คนื เงินคา่ พาหนะเดนิ ทางทีไ่ ดร้ ับไปโดยไม่มีสิทธิแก่ทางราชการ ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้อุทธรณ์คาส่ังดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการผู้พิจารณาอุทธรณ์) ผลปรากฏวา่ มีมตใิ หย้ กอุทธรณ์ ผ้ฟู อ้ งคดจี ึงนาคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอใหม้ ีคาพิพากษาหรือคาส่ังเพิกถอน คาสงั่ ลงโทษปลดผฟู้ อ้ งคดีออกจากราชการ และใหผ้ ฟู้ อ้ งคดกี ลบั เข้ารบั ราชการตามเดิม ประเด็นท่ีน่าสนใจก็คือ พฤติการณ์การกระทาของผู้ฟ้องคดีท่ีเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไปราชการซาซ้อนกัน รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา และเดินทางไปจังหวัดที่มิได้รับอนุมัติให้เดินทางไปราชการ จากผู้บังคับบัญชา ถือเป็นการกระทาความผิดวินัยฐานประพฤติชั่วอยา่ งร้ายแรงหรือไม่ ? การลงโทษปลดออก จากราชการเหมาะสมกับการกระทาความผิดดังกล่าวหรือไม่ ? และการไม่เคยมีประวัติเส่ือมเสียหรือถูกกล่าวหา ว่ากระทาความผิดวินัย จะเป็นเหตุให้โทษที่จะลงลดน้อยลงหรือไม่ ? ศาลปกครองกลางวินิจฉัยในคดีหมายเลขแดงที่ 229/2558 วา่ ผู้ฟอ้ งคดีและคณะได้รับอนุมัติ จากผู้บงั คับบญั ชาให้เดนิ ทางไปราชการเพ่ือตรวจสอบหน่วยงานแหง่ หนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ จังหวดั เชยี งใหม่ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดราชบุรี แต่ผู้ฟ้องคดีกลับเดินทางไปจังหวัดอ่ืนนอกเหนือจากที่ได้รับอนุมัติ โดยท่ีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานแห่งนั้นได้ขอยืมเงินทดรองราชการเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนค่าพาหนะในการ เดนิ ทางโดยเคร่อื งบินและรถตู้ให้ผฟู้ อ้ งคดแี ละคณะไว้แลว้
๒ แตห่ ลังจากเดนิ ทางกลับจากราชการ ผฟู้ ้องคดีกลบั ขอเบกิ ค่าพาหนะดังกล่าวจากหนว่ ยงานต้นสังกัด ของตนอีก โดยมิได้แจ้งข้อเท็จจริงต่อหน่วยงานต้นสังกัดว่า หน่วยงานแห่งนันได้เบิกค่าพาหนะในการ เดินทางให้แก่ผู้ฟ้องคดีและคณะแล้ว ซึ่งเป็นการขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางซ้าซ้อนและเกินจากที่ จ่ายจริง เป็นการเสนอรายงานการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นเท็จต่อผู้บังคับบัญชา แม้ว่าต่อมาผู้ฟ้องคดีจะ ได้นาเงินค่าพาหนะในการเดินทางส่วนที่รับเกินไปนั้นคืนให้แก่หน่วยงานแห่งนั้นแล้วก็ตาม แต่การคืนเงิน ดงั กล่าวก็ได้เกดิ ขึน้ ภายหลังจากมีผูร้ ้องเรียนเรอ่ื งน้ันเปน็ เวลานาน ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าหน้าท่ีสังกัดหน่วยตรวจสอบทาหน้าท่ีตรวจสอบด้านการบัญชีและการเงินให้กับ ส่วนราชการต่างๆ ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้ท่ีรู้ระเบียบและกฎหมายเก่ียวกับการเงิน รวมทังระเบียบในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเป็นอย่างดี การได้รับโทษปลดออกจากราชการ ตามนัยมาตรา ๘8 วรรคสอง (๔) แหง่ พระราชบญั ญัติระเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ จงึ เหมาะสมแล้ว แม้ผู้ฟ้องคดีไม่เคยมีประวัติประพฤติเสื่อมเสีย หรือทุจริตต่อหน้าที่ราชการและไม่เคยถูกตัง กรรมการสอบสวนหรือถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย ก็ไม่เป็นเหตุให้โทษที่จะลงแก่ผู้ฟ้องคดีลดน้อยลง แต่ประการใด สาหรับคดนี มี้ ีประเด็นท่ีน่าสนใจ ดงั นี้ ประเด็นท่ี 1 การเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการท่ีซาซ้อน ชอบด้วยกฎหมายระเบียบ หรือไม่ ความมุ่งหมายของทางราชการที่ให้มีการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการได้น้ัน ก็เพื่อ อานวยความสะดวกในการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเดินทางไปปฏิบัติราชการตามคาสั่งของ ผู้บังคับบัญชา ทาให้มีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ เช่น ค่าที่พัก ค่าเบ้ียเลี้ยง ค่าพาหนะ และ ค่าใช้จ่ายที่จาเป็นอื่นในการเดินทางไปราชการ โดยให้เบิกได้เท่าท่ีจ่ายจริงโดยประหยัดและไม่เกินสิทธิท่ีจะพึง ไดร้ ับตามที่กฎหมายหรอื ระเบียบกาหนดไว้ และจากดั เฉพาะในเขตพื้นทๆี่ ไดร้ ับอนมุ ัติเทา่ น้นั การที่หน่วยงานอ่ืนได้เบิกค่าใช้จา่ ยในส่วนค่าพาหนะให้แล้วนนั้ ถือว่าได้รบั สิทธติ ามกฎหมายอื่นแล้ว การท่ีผู้ฟ้องคดีกลับมาขอเบิกค่าพาหนะจากหน่วยงานต้นสังกัดอีก จึงเป็นการเบิกค่าใช้จ่ายท่ีซ้าซ้อนกัน ย่อมไม่ไดร้ บั สิทธิในการเบิกค่าใชจ้ ่ายในการเดินทางไปราชการในลกั ษณะเดยี วกันจากหนว่ ยงานต้นสังกัดอกี แมผ้ ฟู้ อ้ งคดีจะได้มีการคืนเงินให้แกห่ นว่ ยงานที่ตัง้ เรื่องขอเบิกค่าพาหนะนน้ั แล้วก็ตาม ประเด็นน้ี ศาลวินิจฉัยเพียงว่าเป็นการคืนเงินในภายหลังท่ีมีการร้องเรียน และมีความเห็นเพ่ิมเติมว่าผู้ฟ้องคดีมิได้มี นติ ิสมั พนั ธ์ทางกฎหมายกับหนว่ ยงานที่เบิกค่าใช้จ่ายให้ การนาเงินไปคืนก็ไม่มีกฎหมายรองรับว่าสามารถกระทาได้ จึงไม่ทาให้การกระทาผิดท่ีสาเรจ็ แลว้ กลายเป็นไม่เป็นความผิด ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีหน้าท่ีต้องนาเงินมาชาระคืนใน ภายหลงั แตอ่ ยา่ งใด ดังนั้น แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีสิทธิเดินทางไปราชการก็ตาม แต่ได้รับสิทธิตามกฎหมายอ่ืนแล้ว จึงไม่มีสิทธิขอเบิกจ่ายจากหน่วยงานต้นสังกัดอีก กรณีเป็นการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการท่ีซ้าซ้อน และไม่ชอบด้วยระเบียบ
๓ ประเด็นที่ 2 การรายงานเท็จ และการเดินทางไปจังหวัดอ่ืนโดยมิได้รับอนุมัติให้เดินทางไปราชการ จากผูบ้ ังคับบัญชา เป็นการประพฤติช่ัวอยา่ งรา้ ยแรงหรือไม่ การที่ผู้ฟ้องคดีขอเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการจากหน่วยงานต้นสังกัด โดยมิได้แจ้งต่อ หนว่ ยงานตน้ สงั กัดว่าหน่วยงานอ่ืนได้ออกค่าพาหนะในการเดินทางใหผ้ ู้ฟ้องคดีและคณะแลว้ เทา่ กบั วา่ ผู้ฟ้องคดี รายงานโดยปกปิดขอ้ เท็จจรงิ ท่ีควรต้องแจ้ง กรณถี ือวา่ เป็นการรายงานเทจ็ ต่อผบู้ ังคับบัญชา เนื่องจากผู้ฟ้องคดี ย่อมรู้ขอ้ เทจ็ จรงิ เปน็ อย่างดี และรถู้ งึ ความบกพรอ่ งแห่งสิทธิของตนอยู่แลว้ ดงั นั้น จะถอื ว่าผฟู้ อ้ งคดกี ระทาการ โดยสุจริตมิได้ และเดินทางไปราชการในจังหวัดที่ไม่ได้รับการอนุมัติ จึงเป็นการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ไปราชการอันเป็นเท็จ พฤติการณ์เป็นการกระทาผิดวินัยฐานเป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าท่ีราชการโดยจงใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ของทางราชการ การรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา และประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นการกระทาผิดวินยั อย่างรา้ ยแรงน้ัน คาว่า “การประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง” แม้กฎหมายจะมิได้กาหนดลักษณะหรือพฤติการณ์ ไว้อย่างชัดแจ้งก็ตาม แต่คดีนี้ศาลปกครองได้วางแนววินิจฉัยว่า การขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จากงบประมาณของทางราชการในส่วนค่าพาหนะในการเดินทางซ้าซ้อน และรายงานการเบิกค่าใช้จ่ายใน การเดินทางเป็นเท็จ เป็นพฤติการณ์หรือการกระทาอันเป็นเหตุให้เกิดการออกคาสั่งลงโทษทางวินัย อย่างร้ายแรง ประกอบกับมีแนวทางการพิจารณาโทษตามหนังสือเวียนของสานักงาน ก.พ. ท่ี สร 0905/ว6 ลงวันท่ี 28 พฤษภาคม 2511 และหนังสือสานักงาน ก.พ. ท่ี นร 0709.2/ว 8 ลงวนั ที่ 26 กรกฎาคม 2536 วางแนวว่าการท่ีข้าราชการทุจริตฉ้อโกงเงินของทางราชการโดยเบิกเงินค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าพาหนะเดินทาง อันเป็นเท็จ มีความผิดทั้งทางอาญาและเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานประพฤติช่ัวอย่างร้ายแรง จะตอ้ งลงโทษทางวินยั อย่างรา้ ยแรงตามควรแกก่ รณี ประเด็นที่ 3 การไม่เคยถูกตังคณะกรรมการสอบสวนหรือถูกกล่าวหาว่ากระทาความผิดวินัย เปน็ เหตใุ หโ้ ทษทีจ่ ะลงแกผ่ ฟู้ ้องคดลี ดน้อยลงได้หรือไม่ ศาลได้วนิ ิจฉยั ไว้ชัดเจนว่า ผฟู้ อ้ งคดีเป็นเจ้าหน้าท่ีในสังกัดหน่วยงานตรวจสอบทาหนา้ ที่ตรวจสอบ ดา้ นการบญั ชีและการเงินใหก้ ับสว่ นราชการต่างๆ ใหเ้ ป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ยอ่ มถอื วา่ เป็นผู้รรู้ ะเบียบ และกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินเป็นอย่างดี แม้จะได้นาเงินค่าพาหนะในการเดินทางส่วนที่รับไป เกินน้ันไปคืนใหแ้ ก่หน่วยงานทเ่ี บกิ ให้ภายหลังจากมผี ้รู อ้ งเรียนเป็นเวลานาน และปรากฏขอ้ เท็จจรงิ วา่ ผู้ฟ้องคดี เป็นผู้จัดการขอเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับผู้อื่นด้วย การได้รับโทษปลดออกจากราชการจึงเหมาะสม แม้จะไม่เคยมีประวัติประพฤติเส่ือมเสียหรือทุจริตต่อหน้าท่ีราชการ และไม่เคยถูกต้ังคณะกรรมการสอบสวน หรือถกู กล่าวหาว่ากระทาผดิ วนิ ยั ก็ไมเ่ ปน็ เหตใุ หโ้ ทษทจี่ ะลงแกผ่ ฟู้ ้องคดีลดน้อยลงแต่ประการใด เห็นได้ว่า ศาลได้นาข้อเท็จจริงในการเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านการบัญชีและการเงินให้กับ ส่วนราชการต่างๆ ของผู้ฟ้องคดี มารับฟังเป็นข้อเท็จจริงประกอบการวินิจฉัยในคดีด้วย จึงไม่อาจอ้าง ความไม่รู้กฎหมายหรือเจตนาท่ีจะกระทาความผิดของผู้ฟ้องคดีมาเป็นเหตุลดโทษแต่ประการใด สาหรับการ พิจารณาลงโทษทางวินัยน้ัน เม่ือข้อเท็จจริงรับฟังเป็นท่ียุติได้ว่าผู้ฟ้องคดีกระทาความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
๔ สิ่งท่ีต้องพิจารณาต่อไปก็คือกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนท่ีใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้กาหนด บทลงโทษไว้ 2 สถาน คือ ปลดออก หรือไล่ออก ผู้บังคับบัญชาจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจลงโทษปลดออกหรือ ไล่ออกให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งเป็นการใช้อานาจดุลพินิจในการตัดสินใจของ ผู้บังคับบัญชาซ่ึงเป็นฝ่ายปกครองโดยแท้ที่ต้องปฏิบัติภายใต้กรอบแห่งกฎหมาย บทสรปุ คดีนถ้ี อื เป็นอุทาหรณ์สาหรับเจา้ หน้าท่ีซง่ึ มีหน้าท่ตี รวจสอบทจี่ ะต้องรกั ษาระเบยี บวินยั อยา่ งเคร่งครัด ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการปฏบิ ัติหน้าท่ีตรวจสอบ และการปฏิบัตหิ นา้ ที่ดังกล่าวถือว่าเป็นผู้ท่ีรรู้ ะเบยี บและกฎหมาย เก่ียวกับการเงิน รวมทั้งระบบในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเป็นอย่างดี การที่ผู้ฟ้องคดีไม่เคยมี ประวัติเสื่อมเสียหรือทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ก็ไม่เป็นเหตุท่ีจะลงโทษให้น้อยลง ดังน้ัน เจ้าหน้าที่จะต้องรักษา วินัยตามกฎหมายโดยเคร่งครัดประการหน่ึงแล้ว ยังจะต้องรักษาจริยธรรมตามข้อกาหนดทางจริยธรรม อีกประการหนงึ่ ด้วย ในทา้ ยนี้ เพ่ือเปน็ การเตือนสตแิ ละใหเ้ กิดจติ สานึกทจ่ี ะรักษาวินัย จงึ ขออญั เชิญพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ท่ีพระราชทานในพิธี พระราชทานกระบ่ี และปรญิ ญาบัตร แก่ผู้สาเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรยี นนายเรืออากาศ เม่ือวนั ท่ี 25 มีนาคม 2524 ความวา่ “...วินยั แท้จรงิ มอี ย่สู องอย่าง อย่างหนึ่งคือ วนิ ยั ตามทีท่ ราบกันและถือกัน อนั ได้แก่ ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ่ีบญั ญัตไิ ว้เป็นกฎหมาย ระเบยี บ ข้อบังคบั ต่างๆ ให้ถือปฏิบัติ อีกอย่างหน่ึงคือ วินัยในตนเองที่แต่ละคนจะต้องบัญญัติขึ้นสาหรับคอยควบคุมบังคับให้มีความจริงใจและให้ ประพฤติปฏิบัติตามความจริงใจนั้นอย่างมั่นคง มีลักษณะเป็นสัจจาธิฐานหรือการตั้งสัตย์สัญญาให้แก่ตัว วินัยอยา่ งนี้จัดเป็นตวั วินัยแท้ เพราะให้ผลจริงและแน่นอนย่งิ กว่าวินยั ที่เป็นบทบัญญัติ ทัง้ เป็นปจั จัยสาคัญที่จะ เกอ้ื กลู ให้การถอื การใช้วนิ ยั ทเี่ ปน็ บทบญั ญตั ินั้น ได้ผลเที่ยงตรง ถกู ตอ้ ง สมบูรณ์ เตม็ เปย่ี มตามเจตนารมย.์ ..” ******************************* กล่มุ งานวิเคราะห์กฎหมาย สานกั คดี สานกั งานการตรวจเงินแผ่นดิน
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: