การแกป้ ัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยสี ารสนเทศ หลักการแก้ปญั หาดว้ ยกระบวนการเทคโนโลยสี ารสนเทศ มหี ลักการสาคญั คือ ปัญหาทกุ ปัญหาต้องสามารถปรบั เปลยี่ นรูปแบบหรือวิธกี ารใหเ้ หมาะสม และการแก้ปัญหาอาจจาเปน็ ตอ้ งใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาใชห้ รอื ไมก่ ไ็ ดเ้ ชน่ กนั ดังนัน้ เราจึง ควรยดึ หลักการแก้ปญั หาอย่างเป็นระบบ โดยคานึงถงึ ความคมุ้ ค่าในการลงทุน ดา้ นเวลา ด้าน แรงงาน และคา่ ใช้จา่ ยวธิ กี ารแก้ปญั หาน้ันมดี งั นี้ คอื 1.หลกั การแกป้ ญั หาดว้ ยวิธีการวทิ ยาศาสตร์ เปน็ วิธีการทม่ี ีมานานมากแล้ว เป็นการศกึ ษา คน้ ควา้ ความรู้ใหมๆ่ ด้วยขั้นตอนตา่ งๆดงั นี้ คือ 1) เก็บข้อมูลเบอ้ื งตน้ โดยการศกึ ษา สงั เกต 2) ตัง้ สมมติฐาน 3) พฒั นาวิธกี ารทดสอบสมมติฐาน 4) ทาการทดลองเพ่ือพิสูจนส์ มมตฐิ าน 5) วิเคราะหผ์ ลการทดลอง 6) เขียนรายงานสรปุ การทดลอง 2. หลกั การแกป้ ญั หาตามวิธีการวิศวกรรม วธิ นี ้เี หมาะกับการแกป้ ญั หาในงานออกแบบ ผลิตภัณฑส์ ินค้าหรอื การสร้างส่ิงใหมๆ่ มีขนั้ ตอนดงั นี้ 1) วิเคราะหป์ ัญหา เพื่อกาหนดรายละเอียดของปญั หาใหช้ ดั เจน 2) สร้างแบบจาลองวธิ ีการแกป้ ัญหา 3) คานวณหาคาตอบ 4) นาผลลัพธท์ สี่ มเหตุสมผล ไปใช้ปฏบิ ัตงิ าน 3. วิธีการแกป้ ัญหาแบบสรา้ งสรรค์ เป็นวธิ ีการแกป้ ัญหาทีใ่ ชแ้ นวคดิ ในการสรา้ งสรรคส์ ามารถ นาไปใช้ไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง มวี ธิ ีตามขน้ั ตอนดงั นี้ 1) ใชก้ ารสงั เกตอย่างพินิจวเิ คราะห์ 2) คน้ หาความจริง โดยการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3) ค้นหาปญั หาว่าแทจ้ รงิ คอื อะไร 4) คน้ หาแนวคดิ ในการแก้ปัญหาหลายๆ วิธี 5) ค้นหาวิธแี กป้ ัญหาท่ดี ที ีส่ ดุ แลว้ เลอื กแก้ปัญหาโดยวธิ นี ้ัน 6) ค้นหาวธิ ที ท่ี าให้ตนเอง และผอู้ ืน่ ยอมรบั ในการใช้วธิ นี ั้นๆแก้ปญั หา
4. การแก้ปญั หาดว้ ยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ เปน็ แก้ปญั หาโดยนาระบบ คอมพิวเตอรเ์ ขา้ มาช่วย ในการแกป้ ัญหาน้ันมคี วามจาเปน็ ตอ้ งปรับรปู แบบวธิ ีการทางานใหม่ให้ เหมาะสมกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ น้นั กห็ มายถึงการเขียนโปรแกรมสงั่ ใหค้ อมพวิ เตอรท์ างาน น่ันเอง ดังนน้ั ในการพฒั นาระบบงานดว้ ยคอมพิวเตอร์เราจึงจาเป็นตอ้ งศกึ ษาและวางข้นั ตอนดงั น้ี 1) การวิเคราะหง์ าน 2) การเขียนผังงาน 3) การเขยี นคาสัง่ ซดู โค้ด 4) การเขยี นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 5) การทดสอบโปรแกรม 6) การนาไปใช้ 7) การบารุงรักษา 8) การตดิ ตาม ประเมินผลเพ่อื ปรับปรุงแกไ้ ข การใช้คอมพวิ เตอร์ในการแกป้ ญั หา การใชค้ อมพวิ เตอรใ์ นการแกป้ ญั หารว่ มกบั กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถ ทาไดโ้ ดยใชซ้ อฟต์แวร์ประยุกตต์ า่ ง ๆ และการเขยี นโปรแกรม ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี 1.การใชซ้ อฟต์แวรป์ ระยุกต์ในการแก้ปญั หา เชน่ ไมโครซอฟต์เวริ ์ด ไมโครซอฟตเ์ พาเวอร์พอ ยนต์ ไมโครซอฟตเ์ อกซเ์ ซล ไมโครซอฟตแ์ อกเซส ซอฟตแ์ วร์โปรเดสท็อบ เป็นตน้ ซ่งึ โปรแกรม ต่าง ๆ เหล่านจ้ี ะสามารถชว่ ยแก้ปญั หาในการทางานได้ ดังน้ี ซอฟต์แวรไ์ มโครซอฟตเ์ วิร์ด(Microsoft Word) ชว่ ยแกป้ ญั หาในการจัดทางาน เอกสารต่าง ๆ
ซอฟตแ์ วรไ์ มโครซอฟต์เอกซ์เซล(Microsoft Excel) ชว่ ยแกป้ ัญหาเกย่ี วกบั การ คานวณตวั เลข จัดทาตารางขอ้ มลู แผนภมู ิและกราฟ ซอฟตแ์ วร์ไมโครซอฟต์แอกเซส(Microsoft Access) ชว่ ยแก้ปญั หาการจัดเก็บ ขอ้ มลู โดยจัดเก็บข้อมูลจานวนมากใหเ้ ปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ย สะดวกตอ่ การค้นหาและนามาใช้
ซอฟตแ์ วร์ไมโคซอฟตเ์ พาเวอร์พอยต(์ Microsoft PowerPoint) ชว่ ยแกป้ ัญหาการ นาเสนองาน โดยทาใหก้ ารสร้างงานนาเสนอทาได้งา่ ย และนา่ สนใจกวา่ การนาเสนองาน ตามปกตทิ ไ่ี ม่ใชค้ อมพิวเตอร์ ซอฟตแ์ วรโ์ ปรเดสท็อป (Pro/DESKTOP) ชว่ ยแกป้ ญั หาในการออกแบบและสรา้ ง ชนิ้ งานจาลอง โดยอานวยความสะดวกในการออกแบบและสร้างช้นิ งานจาลองด้วยเครื่องมือตา่ ง ๆ ทม่ี ใี นซอฟต์แวรซ์ ึ่งมีความแมน่ ยา และทราบผลทนั ที รวมถงึ ประหยดั ค่าใช้จา่ ยในการซื้อ วัสดุ อุปกรณม์ าเขียนแบบหรอื สร้างชน้ิ งานจาลอง
2.การเขียนโปรแกรมเพอ่ื แก้ปญั หา เป็นการใช้ความรูค้ วามสามารถด้านภาษาคอมพิวเตอร์และ ประสบการณ์การใช้งานคอมพิวเตอรแ์ ละซอฟต์แวร์ในด้านตา่ ง ๆ มาประยกุ ต์ใช้ในการ แกป้ ญั หา ดงั ตัวอยา่ ง ภาษาคอมพิวเตอร์ การใช้งาน ภาษาฟอรแ์ ทน(Fortran) ภาษาโคบอล(COBOL) ใชแ้ กป้ ัญหาดา้ นการคานวณทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และงานวจิ ยั ต่าง ๆ ภาษาเบสกิ (BASIC) ใช้แก้ปญั หาด้านงานธรุ กิจ ภาษาปาสคาล(Pascal) ภาษาซแี ละซีพลสั พลสั (C ใชแ้ กป้ ัญหาต่าง ๆ ได้ทกุ สาขาวชิ า เหมาะสาหรบั ผ้ทู ไ่ี มใ่ ช่นักเขียนโปรแกรมอาชีพ และผู้ และ C++) ฝกึ เขียนโปรแกรมใหม่ ๆ ภาษาวชิ วลเบสิก(Visual Basic) ใชใ้ นการเรียนเขียนโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ภาษาจาวา(Java) ใชใ้ นการเขียนโปรแกรมควบคมุ การทางานของอปุ กรณค์ อมพิวเตอร์ และเขยี นโปรแกรมเชงิ ภาษาเดลไฟ(Delphi) วตั ถุ ใชส้ ร้างโปรแกรมประยุกตท์ ี่ใชง้ านได้หลากหลายบนระบบปฎิบตั ิการวนิ โดวส์ และใช้เปน็ โปรแกรมแบบรูปภาพ เชน่ ปุ่มคาสั่งตา่ ง ๆ ใช้เขียนโปรแกรมประยุกตส์ าหรบั เชอ่ื มต่อเข้าสอู่ ินเทอร์เน็ต และซอฟตแ์ วรท์ ่ใี ช้ใน อนิ เทอร์เนต็ ใชใ้ นการเขียนโปรแกรมเชงิ จินตภาพเพ่ือสรา้ งสว่ นตดิ ต่อผู้ใชท้ ่ีเป็นแบบรูปภาพ เชน่ ปมุ่ คาสง่ั ต่าง ๆ
โปรแกรมเชงิ วตั ถแุ ละโปรแกรมเชงิ จนิ ตภาพแตกตา่ งกันอย่างไร? โปรแกรมเชงิ วตั ถุ ผพู้ ัฒนาซอฟต์แวร์ จะแยกงานออกเป็นสว่ นย่อย ๆ เรียกวา่ วัตถุ เพอื่ ใหง้ ่ายตอ่ การเรยี กใช้ โดยสามารถนามาประกอบและรวมกันได้ แตจ่ ะเห็นผลลพั ธเ์ มอ่ื พฒั นาซอฟตแ์ วร์เสรจ็ แลว้ ในขณะที่โปรแกรมเชิงจินตภาพ ผู้พัฒนาซอฟต์แวรส์ ามารถมองเหน็ ผลลพั ธ์ของงานได้ตงั้ แต่เรม่ิ พัฒนาโปรแกรมโดยไม่จาเปน็ ต้องรอให้การพฒั นานน้ั เสร็จสมบูรณ์ โปรแกรมเมอร/์ นักเขยี นโปรแกรม(Programmer) เปน็ อาชีพท่ที างานเก่ียวกบั การเขยี นชดุ คาสงั่ ของคอมพิวเตอร์ เพือ่ ใช้ในการทางานและ แก้ปญั หาต่าง ๆ โดยตอ้ งมคี วามรูค้ วามสามารถในเร่อื งภาษาคอมพวิ เตอร์และการใช้อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี วธิ ีการแกป้ ญั หา วิธีการแกป้ ัญหาเปน็ หน่งึ ในข้ันตอนการประมวลผลของกระบวนการเทคโนโลยี สารสนเทศ ซ่งึ แบ่งได้ ข้นั ตอน ดังนี้ 1.การวิเคราะห์และกาหนดรายละเอยี ดของปัญหา เป็นขนั้ ตอนการทาความเข้าใจกบั ปัญหา เพอ่ื แบ่งแยกใหช้ ัดเจนโดยใชค้ าถามตอ่ ไปนี้ ขอ้ มูลท่กี าหนดมาในปญั หาหรอื เง่ือนไขของปัญหาคอื อะไร เพื่อ ระบขุ ้อมูลเขา้ สิ่งท่ตี ้องการคืออะไร เพือ่ ระบขุ อ้ มลู ออก วธิ กี ารทใ่ี ช้ประมวลผลคอื อะไร เพอ่ื กาหนดวธิ ีการประมวลผล 2. การวางแผนในการแก้ปญั หาและถา่ ยทอดความคิดอยา่ งมขี นั้ ตอน เป็นข้ันตอนการ จาลองความคิดในการแกป้ ญั หาที่ยงุ่ ยากซบั ซอ้ น โดยผู้ทีเ่ กยี่ วขอ้ งในการแกป้ ัญหาสามารถเข้าใจ และปฎบิ ตั ิตามไปในแนวทางเดียวกัน ซึง่ ทาได้ 2 รูปแบบ ดงั น้ี 2.1. การใช้ข้อความหรือคาบรรยาย เป็นการเขียนเค้าโครงแผนงานด้วยขอ้ ความหรอื คาบรรยายทมี่ นุษยใ์ ช้สอ่ื สารกนั หรือภาษาคอมพิวเตอร์ เพ่ือให้ทราบข้นั ตอนการทางานของการ แก้ปัญหาแต่ละข้นั ตอน ดังตวั อย่าง ตัวอยา่ ง การวางแผนหาพนื้ ทส่ี ่ีเหลย่ี มผืนผ้าโดยใช้ข้อความหรือคาบรรยาย เริ่มตน้ 1.กาหนดค่าความกว้าง
2.กาหนดค่าความยาว 3.คานวณหาพ้นื ทส่ี ่ีเหล่ียมผนื ผ้าจากสูตร กวา้ ง x ยาว 4.แสดงผลค่าพน้ื ทส่ี ่เี หลยี่ มผนื ผา้ สน้ิ สดุ 2.2.การใชส้ ญั ลักษณเ์ ขียนผังงาน การเขยี นผงั งาน ผงั งาน (flowchart ) คอื แผนภาพซ่งึ แสดงลาดับขั้นตอนของการทางาน โดยแต่ละ ขั้นตอนจะถูกแสดงโดยใชส้ ญั ลักษณ์ซ่ึงมีความหมายบ่งบอกว่าขนั้ ตอนน้นั ๆมลี กั ษณะการทางาน แบบใด และจะถกู เชอื่ มโยงกันด้วยลูกศรเพอื่ แสดงลาดับการทางาน ทาให้งา่ ยตอ่ การทาความ เขา้ ใจวา่ ในการทางานนั้นๆมขี ้ันตอนอะไรบ้าง และมลี าดับอยา่ งไร สญั ลักษณ์ทใ่ี ช้ในการเขยี นผังงาน ( FLOWCHARTING SYMBOLS ) การเขียนผงั งาน เป็นการเขียนแผนภาพเพื่อแสดงขนั้ ตอนการทางาน โดยนาภาพ สญั ลักษณต์ า่ งๆ มาเรยี งตอ่ กัน สัญลักษณท์ ีน่ ยิ มใช้ในการเขยี นผังงานน้นั หนว่ ยงานทชี่ ือ่ วา่ American National Standards Institute ( ANSI ) และ International Standard Organization ( ISO) ได้รว่ มกันกาหนดสญั ลกั ษณม์ าตรฐานเพอ่ื ใช้ในการเขียนผงั งาน
หลักเกณฑ์ในการเขยี นผังงาน 1.สญั ลักษณท์ ใ่ี ชอ้ าจมีขนาดต่างๆ กันได้ แตจ่ ะต้องมรี ปู ร่างเปน็ สัดส่วนตามมาตรฐาน 2.ทิศทางของลกู ศรในผงั งาน ควรจะมีทศิ ทางจากบนลงล่าง หรอื จากซ้ายไปขวาเสมอ 3.ผงั งานควรมคี วามเรยี บรอ้ ย สะอาด พยายามหลีกเล่ียงการเขยี นลกู ศรที่ทาให้เกิด จุดตัด เพราะจะทาให้ผังงานอา่ นและทาความเข้าใจไดย้ าก และถ้าในผังงานมกี ารเขียนข้อความ อธิบายใดๆ ควรทาให้สัน้ กะทัดรัดและได้ใจความ
ลักษณะโครงสรา้ งของผงั งาน ผงั งานโดยทั่วไปจะประกอบดว้ ยโครงสรา้ งพ้นื ฐาน 3 รูปแบบต่อไปนค้ี ือ 1.โครงสรา้ งแบบเป็นลาดบั (sequence structure) 2.โครงสรา้ งแบบมีการเลอื ก (selection structure) 3.โครงสร้างแบบทาซา้ (iteration structure) 3.การดาเนนิ การแกป้ ญั หา เป็นข้นั ตอนการลงมอื แกป้ ัญหาตามท่วี างแผนไว้ โดยอาศัย ซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์หรอื ใชก้ ารเขยี นโปรแกรมภาษาคอมพวิ เตอร์เขียนโปรแกรมแกป้ ญั หา ซง่ึ ผู้ แกป้ ญั หาตอ้ งศกึ ษาวธิ ีใชซ้ อฟต์แวรป์ ระยกุ ตห์ รือการเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอรใ์ หเ้ ข้าใจ และเชยี่ วชาญตลอดจนรู้จักปรับเปลี่ยนแนวทางการแก้ปญั หาที่ดกี ว่าเสมอ 4.การตรวจสอบและปรบั ปรงุ เปน็ ข้นั ตอนการตรวจสอบผลลัพธท์ ่ไี ด้จากการดาเนินการ แกป้ ัญหาว่าถกู ต้องสอดคลอ้ งกับขอ้ มูลเข้า ขอ้ มูลออก และวธิ ีการประมวลผลหรือไม่ ถ้ายังพบ ขอ้ บกพร่องตอ้ งปรบั ปรุงแก้ไขให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีทสี่ ดุ การใชข้ ัน้ ตอนที่ 4 นี้เพอื่ แกป้ ญั หาตา่ ง ๆ รวมถงึ การเขียนหรอื พฒั นาโปรแกรม คอมพวิ เตอรจ์ ะชว่ ยให้สามารถประสบความสาเร็จไดเ้ ป็นอย่างดี
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: