มทั นะพาธา ตานานรกั ดอกกหุ ลาบ
สารบญั ๑.สาระสาคญั ๒.ความเป็นมา ๓.ประวัตผิ ้แู ตง่ ๔.ลกั ษณะคาประพันธ์ ๕.ตวั ละคร ๖.เร่ืองยอ่ ๗.ข้อคดิ ทไ่ี ดจากเรอ่ื ง
สาระสาคัญ มทั นะพาธา เป็นวรรณคดีประเภท “บทละครพูด” พระราชนพิ นธข์ องพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ ๖ ที่แสดงให้เหน็ ถึงพระปรชี าสามารถทางดา้ นอกั ษร ศาสตรข์ องพระองค์
สาระสาคัญ(ต่อ) บทละครเร่อื งนี้ ได้รบั ยกย่องจากวรรณคดสี โมสรวา่ “เป็นยอด ของบทละครพูดคาฉันท์”ดว้ ยการเลอื กถอ้ ยคาท่ีสือ่ อารมณ์ความร้สู กึ ของ ตัวละครได้ดเี ยีย่ ม ตลอดจนมีการวางโครงเรอ่ื งท่ีชวนให้ติดตาม ทง้ั ยัง สอดแทรกคตสิ อนใจเร่ืองความรกั ไดอ้ ยา่ งซาบซ้งึ กินใจอกี ดว้ ย.
ความเป็นมา มทั นะพาธา แปลว่า “ความเจบ็ ปวดหรอื ความเดือดรอ้ นเพราะ ความรกั ” บทละครพดู คาฉันท์ เรอื่ ง มัทนะพาธา หรือ ตานานดอกกหุ ลาบ มี ลักษณะเปน็ บทละครพดู คาฉนั ท์ จานวน ๕ องค์ (ตอน) แบง่ เป็น ๒ ภาค คือ ภาคสวรรค์และภาคพน้ื ดนิ เปน็ บทพระราชนิพนธ์จากจินตนาการใน พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หัว (รัชกาลท่ี ๖)
ความเป็นมา(ต่อ) นางเอกของเรอ่ื งมีนามว่า “มทั นา”ซงึ่ มคี วามหมายว่า “ความ ลมุ่ หลง หรือความรัก”แทนคาวา่ “กุพชกะ” ทีแ่ ปลว่าดอกกุหลาบ บท ละครพูดคาฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้า เจ้าอยูห่ ัว ทรงเรมิ่ พระราชนิพนธ์เม่อื วันที่ ๒ กนั ยายน ๒๔๖๖ ณ พระราชวังพญาไท และเสรจ็ สมบูรณ์ในวันท่ี ๑๘ ตลุ าคม ปีเดียวกนั ( ๑ เดอื น ๑๖ วัน ) เมอ่ื พระราชนพิ นธเ์ สรจ็ ก็พระราชทานแก่สมเดจ็ พระนาง เจ้าอินทรศกั ดิศ์ จพี ระวรชาย
ประวัตผิ ูแ้ ตง่ o พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั รชั กาลที่ ๖ o มีพระนามเดิมวา่ มหาวชริ าวธุ o เป็นโอรสองคท์ ่ี ๒๙ ในพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว รชั กาล ที่ ๕
ประวตั ิผ้แู ต่ง เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันท่ี ๒๓ ตลุ าคม ๒๔๕๓ ขณะมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา สวรรคตเม่ือวนั ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ ( ครองราชย์ ๑๕ ปี พระชนมายุ ๔๕ พรรษา)
ประวัติผแู้ ตง่ วัตถปุ ระสงคใ์ นการพระราชนิพนธ์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา ทรงต้งั พระทัยเพ่ือเปน็ หนงั สืออา่ นกวีนพิ นธ์ท่สี นกุ สนานในดา้ น เนือ้ หา และเป็นคติสอนใจให้เห็นถึงอานภุ าพของความรัก
ลกั ษณะคาประพนั ธ์ ๒. ฉนั ท์ ๒๑ ชนิด เชน่ วิชชุมมาลาฉนั ท์ ๘ ๑. กาพย์ ๓ ชนดิ คอื กาพยย์ านี ๑๑ อนิ ทรวเิ ชียรฉันท์ ๑๑ อปุ ชาตฉิ นั ท์ ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ ภชุ งคประยาตฉนั ท์ ๑๒ อินทวงศ์ฉันท์ ๑๒ วสนั ตดลิ กฉันท์ ๑๔ เป็นตน้
ความรักเหมอื นโรคา บนั ดาลตาใหม้ ืดมน ตัวอยา่ งคาประพันธ์ ไมย่ ินและไม่ยล อุปสรรคใดใด ความรักเหมือนโคถึก กาลงั คึกผขิ งั ไว้ ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขงั ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดงึ ไปด้วยกาลัง ยงิ่ ห้ามกย็ ่ิงคล่ัง บ หวนคิดถึงเจ็บกาย
สุเทษณะ จิตระเสน เทพบตุ ร์ ตวั ละคร จติ ระรถ มายาวิน (ชาวฟ้า) มัทนา
พระกาละทรรศิน, โสมะทัต (คณาจารย์อย่ใู นปา่ หมิ ะ (หวั หนา้ ศษิ ยข์ องพระกา วัน) ละทรรศนิ ) ตวั ละคร นาค ศุน ( ศษิ ยข์ องพระกา (ชาวดิน) (ศิษยข์ องพระกา ละทรรศิน) ละทรรศนิ ) ท้าวชัยเสน, ศภุ างค์, (กษตั รยิ จ์ ันทรวงศผ์ ทู้ รง (นายทหารคนสนิธของ ราชย์ในนครหัสตนิ าปรุ ะ) ท้าวชยั เสน)
นนั ทวิ รรธนะ วทิ ูร (อมาตยข์ องท้าว (พราหมณห์ มอเสน่ห)์ ชยั เสน) ตวั ละคร พระนางจัณฑี ปริยัมวะทา (ชาวดนิ ) (มเหสขี องทา้ วชัยเสน) (นางกานลั ของท้าวชัย เสน) อราลี เกศนิ ี (ฃา้ หลวงพระนางจณั ฑ)ี (นางค่อมฃ้าหลวง พระนางจัณฑ)ี
เรอ่ื งย่อ “มทั นะพาธา” มทั นะพาธาเปน็ เร่ืองสมมตุ วิ ่าเกดิ ในอินเดียโบราณเนื้อเร่ืองกล่าวถงึ เหตุการณบ์ นสวรรค์ เทพบุตรสุเทษณ์หลงรักเทพธิดามัทนาแต่นางไม่ปลงใจดว้ ย สุ เทษณ์จึงขอให้วิทยาธรมายาวนิ ใชเ้ วทมนตรส์ ะกดเรยี กนางมา มัทนาเจรจาตอบสเุ ทษณ์ อยา่ งคนไมร่ ้สู ึกตัว สุเทษณ์จงึ ไม่โปรดเม่ือขอใหม้ ายาวนิ คลายมนตร์ มทั นากร็ ู้สกึ ตัวและ ตอบปฏเิ สธสุเทษณ์ สุเทษณ์โกรธจงึ สาปใหเ้ ธอจุติไปเกดิ บนโลกมนุษย์ มทั นาขอไปเกิด เป็นดอกกหุ ลาบ สุเทษณ์กาหนดวา่ ใหด้ อกกหุ ลาบดอกน้ันกลายเปน็ มนุษยเ์ ฉพาะวันเพ็ญ เพียงวันและคนื เดยี วตอ่ เม่อื มคี วามรักจงึ จะพ้นสภาพจากเปน็ ดอกไม้ และหากเปน็ ความ ทกุ ข์เพราะความรกั ก็ให้วิงวอนต่อพระองคพ์ ระองคจ์ ะชว่ ย
เร่ืองย่อ “มทั นะพาธา”(ต่อ) ณ กลางป่าหมิ ะวัน ฤษกี าละทรรศินพบ ต้นกหุ ลาบจงึ ขดุ ไปปลกู ไว้ทอ่ี าศรมเมอื่ มัทนา กลายเป็นมนุษย์กเ็ ลี้ยงดรู ักใครเ่ หมือนลูกท้าวชัยเสนกษัตรยิ ์แห่งเมืองหสั ตินาปรุ ะเสด็จไปล่าสตั ว์ได้ พบนางมัทนาก็เกดิ ความรกั มัทนาก็มใี จเสน่หาตอ่ ชัยเสนดว้ ยเช่นกันทั้งสองจงึ สาบานรกั ต่อกัน และมัทนาไมต่ อ้ งกลบั ไปเป็นกุหลาบอกี แตเ่ มอ่ื ชยั เสนพามทั นาไปยังเมืองหัสตินาปุระของพระองค์ พระนางจณั ฑมี เหสีของชยั เสนหึงหวงและแคน้ ใจมากนางขอใหพ้ ระบิดาซึ่งเป็นพระราชาแควน้ มคธ ยกทพั มาตหี สั ตินาปรุ ะ จณั ฑยี ังใชใ้ ห้นางคอ่ มขา้ หลวงทากลอุบายวา่ มทั นารกั กับศภุ างค์ทหารเอก ของชัยเสนชยั เสนหลงเช่อื จงึ สั่งให้ประหารมัทนาและศภุ างค์แต่ต่อมาเม่อื ชัยเสนรู้ว่ามัทนาและ ศุภางคไ์ มม่ คี วามผดิ ก็เสียใจมากอามาตย์เอกจึงทลู ความจริงวา่ ยังมิไดส้ ังหารนาง และศิษยข์ อง พระกาละทรรศินไดพ้ านางกลบั ไปอยใู่ นปา่ หิมะวันแล้วส่วนศุภางคก์ ็เป็นอิสระเชน่ กัน และไดอ้ อก ตอ่ สู้กบั ขา้ ศกึ จนตายอยา่ งทหารหาญ
เร่ืองยอ่ “มทั นะพาธา”(ตอ่ ) ชยั เสนจึงเดนิ ทางไปรบั นางมัทนา ขณะนั้นมทั นาทลู ขอให้สุเทษณร์ ับ นางกลบั ไปสวรรคส์ เุ ทษณข์ อให้นางรบั รักตนก่อน แตม่ ัทนายงั คงปฏิเสธสเุ ทษณ์ กรวิ้ จึงสาปให้มทั นาเป็นกหุ ลาบตลอดไป ชยั เสนมาถึงแต่ก็ไมท่ ันการณจ์ ึงไดแ้ ต่นา ตน้ กุหลาบกลับไปยงั เมืองหัสตนิ าปรุ ะ
ขอ้ คดิ ทีไ่ ดจ้ ากเรอ่ื ง • นา้ และอาหารน้ันเปน็ ปัจจัยสาคญั ที่ทาใหร้ า่ งกาย ยงั ยืนหยดั อยู่ไดแ้ ต่สง่ิ ท่ีสาคัญมากกวา่ น้ันคอื สภาพของ จิตใจ หากว่าขาดอารมณแ์ หง่ รักน้ีแล้ว การดารงอยูข่ อง รา่ งกายก็คงไรค้ วามหมาย หากแมว้ า่ ความรักจักนามา ซง่ึ ความทุกข์แต่เชื่อได้ว่าเหตแุ หง่ ทกุ ข์ที่เกดิ จากรักยอ่ ม เบาบางกว่าเหตแุ ห่งทุกขท์ ี่เกิดจากความเกลียดชงั .
ข้อคิดที่ได้จากเรือ่ ง(ตอ่ ) • อารมณ์แหง่ ความรักคอื สง่ิ ท่ชี ักนาให้คนเราลุกข้นึ ส้อู ยา่ งเขม้ แขง็ และเดด็ เด่ียวกบั อปุ สรรคทเี่ ขา้ มา ขดั ขวางรวมถึงเป็นแรงกายและแรงใจที่จะทา กิจการใดๆทงั้ ปวงให้สาเร็จลลุ ว่ งลงได.้
จัดทาโดย นางสาวอัสมา ตีซา รหัสนกั ศกึ ษา ๔๐๖๐๐๑๐๒๕ สาขาวชิ าภาษาไทย (ค.บ.) ช้ันปที ่ี ๓ มหาวิทยาลยั ราชภัฏยะลา
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: