Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานวิทย์กลุ่ม_6_รายงาน_บทที่1-5_final

โครงงานวิทย์กลุ่ม_6_รายงาน_บทที่1-5_final

Published by Musicmmm Channel, 2021-12-17 08:14:13

Description: โครงงานวิทย์กลุ่ม_6_รายงาน_บทที่1-5_final

Search

Read the Text Version

โครงงานสง่ิ ประดษิ ฐ์ เรอื่ ง กระถางไทรย้อย จัดทาโดย เลขท่ี 8 1. ด.ญ. ญาดา จ้ยุ เจมิ เลขท่ี 16 2. ด.ช. ปธานิน เงินศภุ ลักษณ์ เลขท่ี 17 3. ด.ช. ปภาวิน เหลืองพกิ ุลทอง เลขท่ี 18 4. ด.ช. ปราณต์ เข้มคุม้ เลขท่ี 21 5. ด.ช. พฤฒากาญจน์ อนสุ ิทธ์ิ เลขที่ 35 6. ด.ช. อิทธพิ ันธ์ เปรมศรี อาจารยท์ ปี่ รกึ ษา อาจารย์ เบญจพร ปัณฑพลงั กูร โรงเรียน สาธิตแห่งมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ศนู ยว์ จิ ยั และพฒั นาการศึกษา

บทที่ 1 บทนำ ที่มำและควำมสำคญั ในปัจจบุ ันคนได้หันมาปลกู ตน้ ไมก้ ันมากขึ้นและมีคนจานวนไมน่ อ้ ยที่มีพน้ื ทีป่ ลกู ตน้ ไมไ้ ม่ มากผู้คนจึงหนั มาซ้ือกระถางตน้ ไมเ้ พ่อื ใช้ในการเพาะปลูกในพน้ื ทท่ี ่ีจากัดจึงทาให้กระถางถกู นามา ใชก้ ันเปน็ จานวนมากซงึ่ กระถางตน้ ไม้ทใ่ี ช้กนั เปน็ สว่ นมากน้ันทามาจากพลาสตกิ ท่ีเปน็ วัสดุท่ีย่อย สลายไดย้ ากและมรี าคาสงู ผู้จดั ทาได้เห็นถงึ คุณสมบัติของรากอากาศของไทรยอ้ ยใบทู่ที่วา่ มคี วามเหนียวและแข็งแรง ซึ่งนา่ จะสามารถนามาทาเปน็ กระถางต้นไมไ้ ด้และตน้ ไทรยอ้ ยใบทยู่ ังสามารถพบเจอและสามารถ ปลูกขึ้นไดง้ า่ ยในแถบภูมภิ าคเขตรอ้ นช้ืนรวมถึงระยะเวลาในการย่อยสลายของรากไทรย้อยใบทู่ นัน้ มรี ะยะเวลาในการยอ่ ยสลายสนั้ กวา่ พลาสตกิ มากซึ่งจะเปน็ แนวทางในการลดภาวะโลกร้อน และชว่ ยรกั ษาสงิ่ แวดลอ้ มมากขนึ้ จงึ ทาใหไ้ ม่ต้องกังวลเร่ืองปริมาณของต้นไทรยอ้ ยใบทใู่ น ภูมภิ าค ทาใหต้ ้นไทรยอ้ ยใบท่เู ปน็ พชื ที่เหมาะสมในการนามาทางานประดษิ ฐน์ ้ี ผจู้ ดั ทาจงึ ได้คิดเพ่อื ทีจ่ ะจัดทากระถางต้นไม้ทีเ่ ป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมข้นึ มาจากนอกจาก น้ันการใชร้ ากอากาศของต้นไทรยอ้ ยมาทากระถางต้นไมย้ ังเป็นการชว่ ยลดตน้ ทนุ และคา่ ใช้จ่าย ในการซือ้ กระถางตน้ ไมอ้ ีกด้วย ปภาวิน อทิ ธพิ นั ธ์ และ ปธานนิ

วัตถุประสงค์ 1. เพอ่ื จัดทากระถางต้นไมจ้ ากรากไทรย้อยใบทู่ 2. เพ่อื เปรยี บเทียบกระถางตน้ ไมท้ ่ีผลิตจาก รากไทรย้อยกบั กระถางตน้ ไม้พลาสติกในดา้ นตา่ งๆ พฤฒากาญจน์ ขอบเขตของกำรศึกษำ การนากระถางไทรย้อยมาทาการทดสอบและเปรียบเทยี บคุณสมบตั ิกบั กระถางพลาสตกิ ซึง่ เปน็ กระถางที่ได้รับความนยิ มและใชก้ นั อย่างแพรห่ ลาย ในหลายๆดา้ น ดงั น้ี 1.ความแขง็ แรงทนทาน 2.ความสามารถในการกกั เกบ็ น้า 3.ระยะเวลาในการยอ่ ยสลายกระถางตามธรรมชาติ ญาดา

ประโยชน์ทค่ี ำดว่ำจะได้รับ -เพอื่ ประหยัดต้นทุนในการเลือกใช้กระถางต้นไม้ -เพ่อื สรา้ งทางเลอื กใหม่ในการใช้ กระถางต้นไมท้ ่สี ามารถย่อยสลายไดต้ ามธรรมชาติ -เพ่อื ลดภาวะโลกรอ้ น ลดการใช้กระถางต้นไม้ท่ที าจาก พลาสตกิ ปราณต์

บทท่ี 2 เอกสำรทีเ่ กีย่ วข้อง ลกั ษณะทัว่ ไปของไทรยอ้ ยใบทู่ - ใบ เป็นใบเดยี่ ว เรยี งเวยี นสลบั หรือรูปไขแ่ กมรูปรี โคนใบกลม ปลายใบแหลมแต่ไม่มีตง่ิ แหลมยาวออกมา เนือ้ ใบหนา สีเขยี วเปน็ มัน กวา้ ง 2.5-5 ซม. ยาว 5-11 ซม. - ลาตน้ เป็นไม้ต้น ลกั ษณะเนอ้ื ไม้เปลือกสีน้าตาล มรี ากอากาศขนาดเล็กสีนา้ ตาลแตกย้อยลงสู่พ้นื ดินเปน็ จานวนมาก - ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกมีขนาดเลก็ เกดิ ภายในฐานรองดอกท่มี รี ูปทรงกลมคล้ายผล ออกเป็นคูจ่ ากข้างก่ิง ไม่มกี ลบี ดอก - ผล ลกั ษณะของผลเปน็ รปู ทรงกลมหรอื รี ออกผลเป็นคู่ ๆ มีขนาดเสน้ ผา่ นศูนย์กลางประมาณ 0.8 เซนตเิ มตร ผลอ่อนเป็นสเี ขยี ว เมือ่ สุกแลว้ จะเปลี่ยนเป็นสแี ดงเขม้ สีนา้ ตาล สีชมพู สสี ม้ แดง หรือสีม่วงดาเม่ือแก่ คน้ หาขอ้ มูลโดย ญาดา จยุ้ เจมิ

ชอ่ื ของไทรย้อยใบทู่ ชื่อพฤกษศาสตร์ Ficus microcarpa ชื่อพื้นเมือง ไทรกร่าง,ไทรย้อยใบทู่,ไฮฮี International Common Names English: Chinese banyan; Chinese banyan fig; curtain fig; fig; Hill's weeping fig; Indian laurel fig; Indian-laurel; laurel fig; laurel fig tree; Malay banyan; Malayan banyan; small-fruit fig Spanish: laurel de la India French: arbre de l'Intendance; laurier d'Inde Chinese: rong shu Local Common Names Dominican Republic: arbol de Washington; laurel; laurel de India; laurel de la India Germany: Lorbeer Feigenbaum Guam: nunu Indonesia/Java: bibis; bulu; kowang; wunut Japan: gajumaru Lesser Antilles: evergreen Malaysia: ara jejawi

Micronesia, Federated states of: au au Northern Mariana Islands: nunu Palau: lulk Puerto Rico: jaguey ค้นหาข้อมลู โดย อทิ ธิพนั ธ์ เปรมศรี และ พฤฒากาญจน์ อนสุ ทิ ธ์ิ

ต้นกำเนิดไทรยอ้ ยใบทู่ ลกั ษณะทางนิเวศวทิ ยา (การกระจายพันธตุ์ ามธรรมชาติ) มกี ารกระจายพนั ธ์ุในป่าดบิ แล้ง ป่าดิบชน้ื และป่าเบญจพรรณ ป่าเสอ่ื มโทรมชายทะเล หรอื เขาหนิ ปูน ความสงู ถึงประมาณ 1,100 เมตร ชนิดปา่ ที่พบ ปา่ ดบิ แล้ง ป่าดิบชื้น และป่าเบญจพรรณ ป่าเสอ่ื มโทรมชายทะเล หรอื เขาหินปนู พบทป่ี ากีสถาน อินเดีย เนปาล ศรีลงั กา จีนตอนใต้ ญี่ปุ่น ไตห้ วนั พมา่ ภูมภิ าคอนิ โดจีนและมาเลเซยี ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย ในไทยทั่วทุกภาค ข้นึ ตามปา่ ดบิ แล้ง ปา่ ดิบชื้น และป่าเบญจพรรณ ปา่ เสอื่ มโทรมชายทะเล หรอื เขาหินปนู พชื ตระกูลไทร Ficus spp ทีม่ ีมากกวา่ 750 ชนิด ทวั่ โลก มถี ิ่นกาเนดิ ในแถบทวปี เขตรอ้ น อาทิ เอเชีย ออสเตรเลยี อเมรกิ ากลาง อเมริกาใต้ และแอฟริกา ส่วนไทรในแถบประเทศเอเชีย พบมากในแถบอินเดยี และประเทศเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ รวมถงึ ประเทศจนี ตอนใต้ It is cultivated, especially in southern India, as a shade tree in coffee plantations and is widely planted in SE Asia and other tropical regions as an ornamental shade tree ค้นหาขอ้ มูลโดย อทิ ธพิ นั ธ์ เปรมศรี

สรรพคณุ ของไทรย้อยใบทู่ -รากไทรย้อยมสี รรพคุณเป็นยาแก้กาฬโลหติ (รากอากาศ) -รากอากาศมีสรรพคุณบารงุ โลหิต แก้ตกโลหิต (รากอากาศ) -รากใชเ้ ปน็ ยาแก้กระษัย (อาการปว่ ยทเี่ กิดจากหลายสาเหตุ ทาให้ร่างกายเสื่อมโทรม ซบู ผอม ปวดเม่ือย โลหิตจาง) (รากอากาศ) -รากนามาตม้ กบั นา้ กินเปน็ ยาบารุงน้านมให้สมบรู ณ์ (รากอากาศ) -ช่วยแก้อาการท้องเสีย (รากอากาศ) -ใชเ้ ปน็ ยาขบั พยาธิ (รากอากาศ) -ใชเ้ ปน็ ยาขับปสั สาวะ แกข้ ัดเบา ขบั ปัสสาวะใหค้ ลอ่ ง แกน้ ิ่ว แกป้ สั สาวะมสี ตี ่าง ๆ (รากอากาศ) -ชว่ ยแกไ้ ตพกิ าร (โรคเกยี่ วกบั ทางเดินปสั สาวะที่มปี สั สาวะขุ่นขน้ เป็นสีเหลอื งหรอื แดง และมักมอี าการแนน่ ท้อง รบั ประทานไมไ่ ด้รว่ มดว้ ย) (รากอากาศ) -ช่วยแก้อาการอักเสบหรือลดการติดเชือ้ เชน่ ฝหี รอื รอยฟกชา้ (รากอากาศ) -ตารายาไทยจะใชร้ ากไทรยอ้ ยใน “พกิ ดั ตรีธารทพิ ย”์ (ประกอบไปดว้ ยรากไทรย้อย รากราชพฤกษ์ และรากมะขามเทศ) มสี รรพคณุ เปน็ ยาบารงุ น้านม แกก้ ษัย แกท้ อ้ งร่วง ชว่ ยฆ่าเชือ้ คดุ ทะราด (รากอากาศ) ค้นหาข้อมลู โดย ปราณต์ เข้มค้มุ

ประโยชนข์ องไทรยอ้ ยใบทู่ 1. เพื่อเป็นอาหาร 2. การปลกู เปน็ ไม้ประดับ – ปลกู เป็นไมป้ ระดับในกระถาง ทส่ี ามารถยกเคลอ่ื นยา้ ยปลูกท้งั ในอาคาร และนอกอาคาร เนือ่ งจากเป็นไมท้ ที่ นต่อสภาพต่างๆไดด้ ี ทง้ั สภาพน้านอ้ ย นา้ มาก และมแี สงนอ้ ย ทาให้สถานท่ีดูรม่ รื่น เป็นธรรมชาติ รวมถงึ ชว่ ยในการกรองอากาศ ดักจบั ฝุ่น และมรี ปู ทรงสวยงาม เชน่ ไทรย้อยใบแหลมที่ไดจ้ ากก่ิงตอนจะมรี ูปทรงปริ ามดิ ฐานกว้าง และค่อยเรียวสว่ นปลาย – ปลูกเป็นไมป้ ระดับแคระ หรอื เรียก บอนไซ เน่ืองจากใบไทรบางชนิดมีรากนอ้ ย ใบขนาดเล็ก ลาตน้ และกงิ่ สามารถดัดใหเ้ กิดรปู ทรงได้ง่าย เช่น ไทรย้อยใบทู่ ไทรจนี ใบแหลม และโพธต์ิ วั ผู้ เปน็ ต้น – ปลูกเปน็ ไม้ประดับในกระถางแขวน เนือ่ งจากไทรบางชนดิ มีขนาดเล็ก เชน่ ไทรใบโพธ์หิ วั กลับ และไทรหิน เป็นตน้ – ปลกู เป็นไม้ประดับสาหรบั ไตต่ ามกาแพง หรอื ไตต่ ามเสา เชน่ ตนี ตุ๊กแก (F. pumila) และไทรเลื้อย 3. การปลูกเปน็ ไมม้ งคล และไม้ทีม่ ีความสาคญั ทางพทุ ธศาสนา

4. ใชป้ ลูกเปน็ แนวกาแพงบังลม เชน่ ปลูกเพอ่ื บงั ลมใหแ้ ก้บ้าน หรอื แนวสวนผัก ผลไม้ เป็นต้น 5. ใช้ปลกู เปน็ แนวแนวรวั้ แนวกาแพง และปลูกเพื่อแสดงเขตแดน 6. ในป่าธรรมชาติ ตน้ ไทรนบั เป็นท่ีอย่อู าศัย และผลยังเป็นแหล่งอาหารชัน้ ยอดของสัตวป์ า่ หลายชนดิ เพราะต้นไทรมลี าต้นแผ่กว้าง เตม็ ไปดว้ ยหลบื โพรง ท้งั นกนานาชนิด กระรอก ชะนี ลงิ หรอื แม้แตส่ ตั ว์ใหญ่อยา่ ง เก้ง กวาง หมูป่า ฯลฯ ตา่ งก็ชอบรับประทานผลของมนั อีกท้ังต้นไทรแตล่ ะตน้ ก็ตดิ ผลในช่วงเวลาท่ไี ม่ตรงกนั จงึ ทาให้ในป่าใหญ่ทีม่ ตี ้นไทรมาก ๆ จะมผี ลไทรสกุ ไวเ้ ป็นอาหารสาหรบั สัตว์เหล่านไ้ี ดต้ ลอดท้งั ปี จึงช่วยทาให้เกดิ สมดุลตอ่ ระบบนิเวศท้ังในป่าและในเมอื งทป่ี ลูก 7. เน้ือไมข้ องไทรบางชนดิ มคี วามเหนยี วสงู สามารถใช้ทาเป็นเครอ่ื งเรอื น เรอื และไมก้ ่อสร้างได้ เชน่ ไทรยอ้ ย 8. เปลอื กของไทรสามารถนามาจักสอยเปน็ เส้นเล็กๆใชท้ าเชือกรดั ของ เชน่ เปลอื กของไทรย้อย และมะเด่ือ 9.รากอากาศสามารถนามาพนั เป็นวงกลมเพื่อประดับดอกไม้แห้งเปน็ พวงมาลา ได้

คน้ หาขอ้ มลู โดย ปธานิน เงนิ ศภุ ลักษณ์ ข้อมลู เคร่ืองยำสมุนไพร ไทรย้อย ช่อื เครื่องยำ ไทรยอ้ ย ได้จำก รากอากาศ ช่ือพืชทีใ่ หเ้ ครื่องยำ ไทรยอ้ ย ชอ่ื อ่ืน(ของพชื ท่ใี ห้เครอื่ งย ไทรย้อยใบแหลม ไทรกระเบ้อื ง ไซรยอ้ ย ไฮ จาเรย ำ) ชื่อวทิ ยำศำสตร์ Ficus benjamina L. ชือ่ พอ้ ง ช่ือวงศ์ Moraceae ลกั ษณะภำยนอกของเคร่ืองยำ:

รากอากาศ รากเลก็ เปน็ เส้นสีนา้ ตาล กลมๆ ยาวเหมอื นเส้นลวดยอ้ ยลงมาจากตน้ รากอากาศขนาดใหญ่จะมีเนอื้ ไม้ รสจืด ฝาด ลักษณะทำงกำยภำพและเคมีท่ดี ี: ไมม่ ขี ้อมลู สรรพคณุ : ตำรำยำไทย: ใชร้ ากอากาศ ตม้ ดม่ื ขบั ปสั สาวะ แก้ขดั เบา ขับปัสสาวะใหค้ ล่อง แกน้ ิว่ แก้ปสั สาวะมสี ีต่างๆ บารุงนา้ นม แกก้ ระษยั ไตพกิ าร แกก้ าฬโลหิต ตารายาไทยมกี ารใชร้ ากไทรย้อยใน “พิกดั ตรธี ำรทพิ ย์” คือการจากดั จานวนตัวยาที่มีรสดงั น้าทิพย์ 3 อยา่ ง มีรากไทรย้อย รากราชพฤกษ์ รากมะขามเทศ สรรพคณุ บารุงนา้ นม แก้กษยั ฆ่าเชื้อคดุ ทะราด แก้ทอ้ งรว่ ง รูปแบบและขนำดวธิ ีใชย้ ำ:

ไม่มีข้อมูล องค์ประกอบทำงเคมี: ไม่มีขอ้ มลู กำรศกึ ษำทำงเภสัชวทิ ยำ: ไมม่ ขี อ้ มลู กำรศกึ ษำทำงคลนิ กิ : ไมม่ ขี อ้ มูล กำรศึกษำทำงพิษวิทยำ: ไมม่ ีข้อมูล คน้ หาขอ้ มลู โดย ปภาวิน เหลอื งพิกลุ ทอง

Roots are the principal water-absorbing organs of a plant. They are present on essentially all vascular plants, although roots are never formed on the primitive- looking whisk fern (Psilotum) and its closest relatives (Order Psilotales), on Wolfiella (the tiniest duckweed), and on the plant body of certain atmospheric epiphytes, such as Spanish moss (Tillandsia). In fact, a root, by definition, must have vascular tissues, i.e., water conduits in xylem and sugar conduits in phloem, arranged in a particular way (\"exarch\"). Much thinner, threadlike rhizoids (means \"root-like\") are present on the nonvascular plants, such as mosses and liverworts, and on gametophytes of vascular plants without seeds, such as ferns, horsetails, and club mosses. Rhizoids also absorb water but totally lack vascular tissues. There are three primary functions of roots: (1) to anchor the plant to a substrate, (2) to absorb water and dissolved minerals, and (3) to store food reserves. Typically we see roots in soil, but there are specialized types of aerial roots (air roots) that enable climbing plants and epiphytes to become attached to rocks, bark, and other nonsoil substrates. In addition, parasitic plants may form specialized haustorial roots that form an attachment disc to the host during the first stage of colonization. To absorb water and dissolved minerals, a young sector of a root commonly possesses numerous single-celled projections called root hairs, which greatly increase the absorbing surface of the root and achieve much greater contact with soil particles. Water uptake into the young root is rapid because there is little resistance through the outer cell walls, and in general these walls contain virtually no water-repellent wax (cutin). Both young and old roots can be important repositories for carbohydrates, usually in the form of starch grains located in root cortex, but in addition older roots may store massive quantities of starch and even become specialized below-ground storage organs. Storage of carbohydrates in roots and other below-ground plant organs is an important plant strategy for surviving stress and dormancy, just as certain mammals store extra fuel as fat for winter.

Roots may be assisted in their function by other organisms living in the substrate. Many plants, including the majority of vascular plants and even the free-living gamatophytes, are involved in symbiotic relationships with fungi, called mycorrhizae. Particular soil fungi grow either on the outside or on the inside of a root. This mycorrhizal association improves water absorption and the uptake of certain minerals from the soil. Certain genera of plants have roots that are inoculated with colonies of nitrogen-fixing microorganisms, especially legumes and their associated nitrogen-fixing bacteria (rhizobial bacteria). Living in tumor-like root nodules, nitrogen-fixing bacteria are able to convert atmosphere nitrogen gas to ammonia, under anaerobic conditions produced by the plant cells, and then use this fixed nitrogen to make amino acids. So, it this regard, root physiology may be involved in a very special way to deliver nutrients to the shoot. The radicle (note spelling) is the initial root of a plant, the one that is generally present on the embryo within the seed. This forms the primary root of a young plant. In certain lineages, the embryo is so tiny and immature, such as in microseeds of orchids (Family Orchidaceae), that a radicle is not present. There are several possible fates of the primary root. In gymnosperms and dicotyledons, the primary root commonly grows to become a thick central root, the taproot, which may or may not have thick lateral roots (branches). This structural organization is frequently termed a taproot system, although in many old woody plants there may be many roots that are essentially the same diameter. The easiest designation of taproot is for something like a carrot (Daucus carota), where the lateral (secondary) roots are very thin, so that plant indeed has a single, thick central root. What may appear to be a taproot can also include enlarged portions of the hypocotyl (of the seedling) or even tissues of the lower stem. In monocotyledons, the radicle is very short-lived, and before it dies other adventitious roots have already originated from shoot or mesocotyl tissue to become the new root system, called a fibrous root system. Fibrous roots are

typically thought of as slender, often with few or no lateral roots. However, many monocotyledons have below-ground adventitious roots that are thicker than a pencil, and in some the fibrous roots above-ground, such as the prop or stilt roots of screwpines (Pandanus) and certain palms (Family Arecaceae), can be as thick as an arm. Adventitious roots are the ones that form from shoot tissues, not from another (parent) root. Most commonly, adventitious roots arise out of stems, originating via cell divisions of the stem cortex or less often from axillary buds hidden in the bark. In some plants leaves can also be encouraged to form adventitious roots. The field of horticulture is based in large part on cloning plants from cuttings of stems or leaves that form adventitious roots. [More examples: adventitious roots of a palm; of a Canary Island date palm; specialized adventitious roots of an epiphytic orchid; of an aquatic plant that has unattached roots in moving water] Certain \"root crops\" that botanically are below-ground shoots, such as tubers, bulbs, rhizomes, and corms, form adventitious roots when planted in soil. Vegetative reproduction (apomixis) of cacti and other succulent plants is also achieved largely by rooting either stems or leaves using methods to stimulate adventitious root formation. คน้ หาขอ้ มลู โดยปธานนิ

ระยะเวลำในกำรยอ่ ยสลำย ของขยะแต่ละประเภท – เศษกระดาษ ใช้เวลา 2-5 เดือน – เชือก ใชเ้ วลา 3-14 เดอื น – ถว้ ยกระดาษเคลือบ ใช้เวลา 5 ปี – ก้นกรองบุหร่ี ใชเ้ วลา 15 ปี – รองเท้าหนัง ใชเ้ วลา 25-40 ปี – กระปอ๋ งอลูมิเนียม ใช้เวลา 80-100 ปี – กระปอ๋ งเหลก็ ใช้เวลา 100 ปี – ขวดพลาสติก ใชเ้ วลา 450 ปี – ถงุ พลาสติก ใชเ้ วลา 450 ปี – ฝาพลาสติก ใชเ้ วลา 450 ปี – หลอดน้า ใชเ้ วลา 450 ปี – โฟม ไมย่ ่อยสลาย – ขวดแกว้ ไมย่ ่อยสลาย คน้ หาขอ้ มลู โดย ปภาวนิ

บทที่ 3 วัสดุอปุ กรณแ์ ละวธิ ีการดาเนินงาน แผนการดาเนินโครงงาน ข้นั ตอนการทาโครงงาน ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. คิดหวั ขอ้ หาข้อมลู ทารายงานบทท1ี่ และ2 ทารายงานบทท3ี่ ประดิษฐ์ กระถาง ตรวจสอบ ประสิทธภิ าพ นาเสนอผลงาน ญาดา

วสั ดแุ ละอปุ กรณ์ทใ่ี ช้ - รากอากาศของต้นไทรย้อย 40 กรมั ตอ่ กระถาง 1 ใบ - แป้งเปยี ก - กรรไกร/มดี /คตั เตอร์ - กระถางพลาสตกิ ขนาด 4 นว้ิ 2 ใบ - สากกับครก อทิ ธิพนั ธ์

วิธดี ำเนนิ กำรศึกษำและกำรทดลอง 1. ออกแบบกระถางตน้ ไม้ โดยมีกระถางพลาสติกขนาด 4 นิ้วเปน็ ตน้ แบบ ดังภาพ ท่ีมาของรูปภาพ : https://www.thaiwatsadu.com/th/product/กระถางพลาสติกดา-PNP- ขนาด-4-น้ิว-สดี า-60208549?gclid=CjwKCAjw7-- KBhAMEiwAxfpkWEIyklAHYubCkt6__KUvHSh6nEJF4fPEI4KaJDjd_fHEENHDUi3NMRoCx DkQAvD_BwE 2. เตรยี มรากอากาศตน้ ไทรยอ้ ยโดยนารากอากาศมาบดใหล้ ะเอยี ดด้วยสากกับครก 3. นารากอากาศของต้นไทรยอ้ ยและแป้งเปยี ก มาผสมคลกุ เคล้ากันด้วยอัตราสว่ น 3:1 โดยใชม้ อื นวดใหเ้ ข้ากัน 4. นารากอากาศของตน้ ไทรยอ้ ยท่ีผสมกบั แปง้ เปยี กใส่ใน กระถางต้นไม้พลาสตกิ ที่เตรยี มไวแ้ ล้วนากระถางพลาสตกิ อีกใบมากดดา้ นบนใหแ้ น่น ดงั ภาพ

5. ทงิ้ ไว้ใหแ้ หง้ ประมาณ 2-3 วัน หรือจนกว่าจะแหง้ สนิทแลว้ ค่อยๆแกะรากอากาศของตน้ ไทรยอ้ ยที่ผสมกบั แปง้ เปยี กออกจาก กระถางพลาสตกิ 6. ตรวจสอบประสิทธิภาพและแกไ้ ขข้อบกพรอ่ งจากผลงาน ปธานนิ และ ปราณต์

วิธกี ำรตรวจสอบประสทิ ธภิ ำพ 1) ความสามารถในการกักเก็บน้า 1.นาบีกเกอรม์ ารองไว้ใต้กระถาง 2.เทน้าลงในกระถางพลาสติกและกระถางไทรย้อย กระถางละ 200ml 3.บันทึกปรมิ าตรนา้ ทไี่ หลลงมาในบกี เกอร์ ในนาทีที่ 5,10,15,20 ตามลาดับ 2) ความแข็งแรงคงทน โดยตรวจสอบด้วยการปล่อยกระถางตกจากทีส่ งู 1.นากระถางพลาสตกิ และกระถางไทรย้อยไปไว้ท่ีความสูงตา่ งๆจากจุดทต่ี ้องการให้ กระถางตกลง โดยเพ่ิมความสงู ขนึ้ ครงั้ ละ 50 เซนติเมตร คือ ปล่อยตกจาความสงู 50 100 150 เซนตเิ มตรโดยเพมิ่ ขน้ึ ไปเรอื่ ยๆตามลาดบั 2.เพ่ิมความสงู ในการปลอ่ ยตกข้นึ เรอื่ งๆจนกว่าการปล่อยตกครงั้ นน้ั กระถางจะอยู่ในสภาพ ท่ใี ชก้ ารไมไ่ ด้ 3) การย่อยสลาย นากระถางไทรยอ้ ยมาต้งั ไว้แลว้ สังเกตการเปล่ยี นแปลงและถ่ายรปู ในทกุ ๆวันจนกวา่ จะยอ่ ยสลายจนกวา่ จะไมเ่ หน็ เปน็ รูปร่างกระถาง แลว้ นามาเปรยี บเทยี บกับระยะเวลาในการยอ่ ยสลาย ของกระถางพลาสติก ปภาวนิ และ พฤฒากาญจน์

บทที่4 ผลการศึกษาค้นคว้าและผลการทดสอบประสิทธภิ าพ กระถำงไทรย้อย 1.การออกแบบกระถาง คณะผูจ้ ดั ทาได้ออกแบบกระถางดงั ภาพ รปู แบบรา่ งกระถางไทรย้อย 2.นารากอากาศมาบดให้ละเอยี ด 3.นารากอากาศของต้นไทรย้อยและแป้งเปยี ก มาผสมคลุกเคลา้ กัน

4.นารากอากาศกับแปง้ เปียกทีผ่ สมแลว้ ใส่ใน กระถางต้นไมพ้ ลาสตกิ ทเ่ี ตรยี มไว้แลว้ นากระถางพลาสติกอีกใบมากดด้านบนให้แนน่ 5.ท้ิงไวใ้ ห้แห้งเปน็ เวลา 2 วนั 6.คอ่ ยๆแกะกระถางไทรยอ้ ยออกมา จนไดเ้ ป็นกระถางไทรยอ้ ย ทกุ คน ผลกำรทดลองใชง้ ำน ในการทดลองปลกู ต้นไมใ้ นกระถางไทรย้อยได้ผลออกมามกี ารเจริญเตบิ โตได้ปกติและจะมี ขอ้ ดีเรอ่ื งการกกั เกบ็ น้ากระถางไทรยอ้ ยจะสามารถอุ้มนา้ ได้มากกว่ากระถางพลาสตกิ แตก่ ระถาง ไทรย้อยเมือ่ ใช้ไปได1้ -2เดือน กระถางเร่มิ เปอ่ื ยทาให้การใชง้ านนน้ั แยล่ ง แตใ่ นสว่ นอื่นๆมี คุณสมบัติทใี่ กลเ้ คยี งกับกระถางพลาสติก ปภาวิน

กำรตรวจสอบประสทิ ธิภำพ 1) ความสามารถในการกกั เกบ็ น้า ตารางแสดงข้อมลู ปริมาตรน้าไหลทลี่ งในบีกเกอรใ์ นเวลาต่างๆ ชนดิ ของกระถางต้นไม้ ปรมิ าตรน้าท่อี ยู่ในบีกเกอร(์ มลิ ลลิ ติ ร) ในเวลาตา่ งๆ กระถางไทรยอ้ ย 5 นาที 10 นาที 15 นาที 20 นาที 100 125 145 160 กระถางพลาสตกิ 195 200 200 200

2) ความแข็งแรงคงทน โดยตรวจสอบดว้ ยการปลอ่ ยกระถางตกจากท่ีสูง ตารางแสดงข้อมลู การเปล่ยี นแปลงสภาพของกระถางท่ปี ล่อยกระถางให้ตกอย่างอสิ ระทีร่ ะยะ ความสูงต่างๆ ชนิดของกระถางต้นไม้ ระยะท่ปี ล่อยจากท่สี งู ของกระถาง (เซนติเมตร) 50 100 150 200 250 300 กระถางไทรย้อย สภาพเชน่ มีรอยแตก มีรอยแตก มีรอยแตก สภาพใช้ สภาพใช้ กระถางพลาสตกิ เดิม เลก็ น้อย ปานกลาง มาก การไมไ่ ด้ การไม่ได้ กระถาง กระถาง แตก แตก สภาพเช่น สภาพเชน่ สภาพเช่น มีรอยแตก มีรอยแตก มีรอยแตก เดมิ เดมิ เดิม เล็กนอ้ ย ปานกลาง ปานกลาง อทิ ธิพันธ์

3) การยอ่ ยสลายของกระถางไทรยอ้ ย ตารางแสดงขอ้ มูลการเปลย่ี นแปลงลักษณะของกระถางในช่วง 64 วัน วันที่ การเปลย่ี นแปลง 1-7 ไมส่ ังเกตเหน็ การเปลี่ยนแปลง 8-21 สงั เกตเหน็ สีของกระถางคล้าขึ้นเล็กน้อย 22-35 มีรอยแตกท่ีกระถางเล็กนอ้ ย 36-42 มรี อยแตกบนกระถางเพม่ิ มากข้นึ 43-49 การถางบางส่วนเร่มิ สลายไป 50-56 กระถางสลายไปประมาณครง่ึ กระถาง 57-63 กระถางสว่ นมากเรมิ่ สลายไป 64+ สลายจนไมเ่ หน็ เป็นรูปร่างของกระถาง ปราณต์ฺ

บทที่ 5 สรปุ และอภิปรายผลการศกึ ษาค้นคว้า อภิปรำยผลกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ จากผลการศกึ ษาค้นควา้ และการทดสอบประสิทธภิ าพของกระถางไทรย้อยทปี่ ระดิษฐ์ขึน้ มาพบวา่ 1.กระถางไทรยอ้ ยมคี วามสามารถในการกักเก็บนา้ ทดี่ ีกวา่ กระถางทผ่ี ลติ จาก พลาสติกเนื่องดว้ ยกระถางพลาสติดมีรูเปน็ จานวนมาก และ รากอากาศมีความสามารถในการดูดซบั นา้ และความช้ืนได้ 2.กระถางไทรยอ้ ยมีความทนทานต่อการตกแตกไดน้ อ้ ยกวา่ กระถางพลาสตกิ เน่อื งจากพลาสติกนั้น มคี วามยดื หย่นุ ทาให้เมอ่ื ตกลงมาแลว้ แตกได้ยาก แต่กระถางไทรยอ้ ยท่ีถกู ตากจนแหง้ ทาให้มคี วามเปราะมากกว่ากระถางพลาสติก 3.กระถางไทรย้อยสามารถย่อยสลายได้เร็วกวา่ พลาสติกมาก โดยจากผลการทดลองพบว่ากระถางไทรย้อยสามารถยอ่ ยสลายได้โดยใช้เวลาประมาณ65วัน แต่ จากขอ้ มลู ในบทที2่ กระถางพลาสตกิ ทีใ่ ช้เวลาในการยอ่ ยประมาณ 450 ปี ปธานนิ

สรปุ ผลกำรศกึ ษำค้นควำ้ ได้จัดทากระถางไทรยอ้ ยซงึ่ สามารถกักเกบ็ น้าได้ดเี ม่อื เทียบกับกระถางพลาสตกิ และ กระถางไทรยอ้ ยใชเ้ วลาในการยอ่ ยสลายนอ้ ยกว่ากระถางพลาสติก แตใ่ นเรือ่ งของความแข็งแรง นนั้ กระถางพลาสติกแข็งแรงกว่า ญาดา ข้อเสนอแนะ 1.ควรเพม่ิ ชนิดของกระถางทใ่ี ช้เปรียบเทยี บในการทดสอบประสิทธภิ าพ 2.ควรปรึกษากันในกลุ่มมากขึน้ เพือ่ ให้ไดง้ านทด่ี ขี ้ึน 3.ควรนัดเวลากนั ให้ชัดเจนมากข้ึน เพอ่ื ไม่ให้เกดิ ความล้าช้าในการทางาน พฤฒากาญจน์

บรรณานุกรม • https://medthai.com/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8 9%E0%B8%AD%E0%B8%A2/ • https://puechkaset.com/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A3/ • https://medthai.com/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8 9%E0%B8%AD%E0%B8%A2/ • http://www.pttreforestation.com/Plantview.cshtml?Id=31 • https://www.cabi.org/isc/datasheet/24130 • http://www.pttreforestation.com/Plantview.cshtml?Id=31 • https://sites.google.com/site/tnthir22/laksna-bi • https://medthai.com/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8 9%E0%B8%AD%E0%B8%A2/ • http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=73 • https://puechkaset.com/ไทร/ • https://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=2850 • http://ecoforest.phsmun.go.th/?p=999 • https://web.archive.org/web/20050906080625/http://www.botgard.ucla.edu/html/bot anytextbooks/generalbotany/typesofroots/ • https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/117310.html


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook