Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ฮีต 12 คอง 14

ฮีต 12 คอง 14

Published by khotphet.bo, 2023-02-28 09:25:42

Description: ฮีต 12 คอง 14

Search

Read the Text Version

ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ สื่อไทยBYครูโบว์

ฮีต ๑๒ ฮีตสิบสอง หมายถึง ประเพณี 12 เดือน ที่เกี่ยว เนื่ องกับหลักทางพุทธศาสนา ความเชื่อและ การดํารงชีวิตทางเกษตรกรรมซึ่งชาวอีสาน ยึดถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณ มีแนวปฏิบัติที่ แตกต่างกันไปในแต่ละเดือน เพื่อให้เกิดสิริ มงคลในการดําเนิ นชีวิต เรียกอย่างท้องถิ่นว่า งานบุญ ชาวอีสานให้ความสําคัญกับประเพณี ฮีตสิ บสองเป็นอย่างมากและยึดถือปฏิบัติมาอย่าง สม่ำเสมอ นั บเป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสาน อย่าง แท้จริง คําว่า “ฮีตสิบสอง” มาจากคําว่า “ฮีต” อันหมายถึง จารีต การปฏิบัติที่สืบต่อกันมาจน กลายเป็นประเพณี “สิบสอง” คือประเพณีที่ ปฏิบัติตามเดือนทางจันทรคติทั้งสิ บสองเดือน สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนอ้าย – บุญเข้ากรรม งานบุญเดือนอ้ายหรือเดือนเจียง พระสงฆ์จะทําพิธีเข้ากรรมหรือที่เรียกว่า “เข้า ปริวาสกรรม” เพื่อทําการชําระมลทินที่ได้ล่วง ละเมิด พระวินั ยคือ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส การ อยู่กรรมนั้ นจะใช้เวลา 6-9 วัน ในระหว่างนี้ เอง ชาวบ้านจะเตรียมอาหารหวานคาว นํ าไปถวาย พระภิกษุทั้งเช้าและเพล เพราะการอยู่กรรมจะ ต้องอยู่ในบริเวณสงบ เช่น ชายป่าหรือที่ห่างไกล ชุมชน (หรืออาจเป็นที่สงบ ในบริเวณวัดก็ได้) ชาวบ้านที่นํ าอาหารไปถวาย พระภิกษุในระหว่าง อยู่กรรมนี้ เชื่อว่าจะทําให้ได้บุญกุศลมาก สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนอ้าย – บุญเข้ากรรม มูลเหตุของพิธีกรรม เพื่อลงโทษภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ต้องเข้า ปริวาสกรรม จึงจะพ้นอาบัติหรือพ้นโทษกลับ เป็นภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ อยู่ในพุทธศาสนาต่อไป คํา “เข้าปริวาสธรรม” นี้ ภาษาลาวและไทอีสาน ตัดคํา “ปริวาส” ออก เหลือเป็น “เข้ากรรม” ดังนั้ นบุญเข้ากรรมก็คือ “บุญเข้าปริวาสกรรม” นั่ นเอง สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนอ้าย – บุญเข้ากรรม สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนยี่ – บุญคูนลาน บุญคูนลานหรือบุญคูนข้าว เป็นพิธีกรรมฉลองภายหลังจากเสร็จสิ้ น การเก็บเกี่ยว ชาวบ้านรู้สึกยินดีที่ได้ผลผลิตมาก จึงต้องการทําบุญ โดยนิ มนต์พระสงฆ์ มาสวดมนต์ในลานข้าวและในบางแห่ง จะมีการสู่ ขวัญข้าวเพื่อฉลองความอุดมสมบูรณ์ กล่าวขอบคุณแม่โพสพและ ขอโทษที่ได้เหยียบย่ำ พื้นแผ่นดินในระหว่าการทํานา เพื่อความ เป็นสิ ริมงคลและให้ผลผลิตเป็นทวีคูณในปีต่อไป สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนยี่ – บุญคูนลาน มูลเหตุของพิธีกรรม เนื่ องมาจากเมื่อชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ จะหาบฟ่อนข้าวมารวมกันเป็น “ลอนข้าว” ไว้ที่นา ของตน ถ้าลอมข้าวของใครสูงใหญ่ก็แสดงให้ ผู้คนที่ผ่านไปมารู้ว่านาทุ่งนั้ นเป็นนาดี ผู้เป็น เจ้าของก็ดีใจ หายเหน็ ดเหนื่ อยจิตใจเบิกบาน อยากทําบุญทําทาน เพื่อเป็นกุศลส่งให้ในปีต่อไป จะได้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นอีก เรียกว่า “คูนให้ใหญ่ให้สูงขึ้น” เพราะคําว่า “คูณ” นี้ มาจาก “ค้ำคูณ” หมายถึง อุดหนุนให้ดีขึ้น ช่วยให้เจริญขึ้น สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนยี่ – บุญคูนลาน สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสาม – บุญข้าวจี่ บุญข้าวจี่ เป็นประเพณี ที่เกิดจากความสมัครสมาน ของชุมชนชาวบ้านจะนั ดหมายกันมาทําบุญ ร่วมกันโดยช่วยกันปลูกผามหรือปะรําเตรียมไว้ ในตอนบ่าย ครั้นเมื่อถึงรุ่งเช้าในวันต่อมาชาวบ้าน จะช่วยกันจี่ข้าว หรือปิ้ งข้าวและตักบาตรข้าวจี่ ร่วมกัน หลังจากนั้ นจะให้มีการเทศน์ นิ ทานชาดก เรื่องนางปุณณทาสี เป็นเสร็จพิธี สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสาม – บุญข้าวจี่ มูลเหตุของพิธีกรรม จากความเชื่อทางพุทธศาสนา เนื่ องมาจากสมัยพุทธกาล มีนางทาส ชื่อปุณณทาสี ได้นํ าแป้ง ข้าวจี่ (แป้งทําขนมจีน) ไปถวายพระพุทธเจ้า แต่จิตใจของนางคิดว่า ขนมแป้งข้าวจี่เป็นขนมของผู้ต่ำต้อย พระพุทธเจ้าคงไม่ฉัน ซึ่งพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตใจนาง จึงทรงฉัน แป้งข้าวจี่ ทําให้นางปิติดีใจ ชาวอีสานจึงเอาแบบอย่างและพากันทํา แป้งข้าวจี่ถวายพระมาตลอด อีกทั้งเนื่ องจากในเดือนสามอากาศของ ภูมิภาคอีสานกําลังอยู่ในฤดูหนาว ในตอนเช้าผู้คนจะใช้ฟืนก่อไฟ ผิงแก้หนาว ชาวบ้านจะเขี่ยเอาถ่านออกมาไว้ด้านหนึ่ งของกองไฟ แล้วนํ าข้าวเหนี ยวมาปั้ นเป็นก้อนกลม โรยเกลือวางลงบนถ่านไฟ แดงๆ นั้ นเรียกว่า ข้าวจี่ ซึ่งมีกลิ่นหอม ผิวเกรียมกรอบ น่ ารับประทานทําให้นึ กถึงพระภิกษุสงฆ์ผู้บวชอยู่วัดอยากให้ได้รับ ประทานบ้าง จึงเกิดการทําบุญข้าวจี่ขึ้น ดังมีคํากล่าวว่า “เดือนสาม ค้อย เจ้าหัวคอยปั้ นข้าวจี่ ข้าวจี่บ่มีน้ำอ้อย จัวน้ อยเช็ดน้ำตา” (พอถึงปลายเดือนสามภิกษุก็คอยปั้ นข้าวจี่ ถ้าข้าวจี่ไม่มีน้ำอ้อยยัดไส้ เณรน้ อยเช็ดน้ำตา) สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนสาม – บุญข้าวจี่ สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสี่ – บุญผะเหวด “บุญผะเหวด” เป็นสําเนี ยงชาวอีสานที่มาจากคําว่า “บุญพระเวส” หรือพระเวสสันดร เป็นประเพณีตามคติความเชื่อของ ชาวอีสานที่ว่า หากผู้ใดได้ฟังเทศน์ เรื่องพระเวสสันดร ทั้ง 13 กัณฑ์ จบภายในวันเดียวจะได้เกิดร่วมชาติภพ กับพระศรีอริยเมตไตย บุญผะเหวดนี้ จะทําติดต่อกัน สามวัน วันแรกจัดเตรียมสถานที่ตกแต่งศาลาการเปรียญ วันที่สองเป็นวันเฉลิมฉลองพระเวสสั นดร ชาวบ้านร่วมทั้งพระภิกษุสงฆ์จากหมู่บ้านใกล้เคียง จะมา ร่วมพิธีมีทั้งการจัดขบวนแห่เครื่องไทยทาน ฟังเทศน์ และแห่พระเวส โดยการแห่ผ้าผะเหวด (ผ้าผืนยาวเขียนภาพเล่าเรื่องพระเวสสั นดร) ซึ่งสมมติเป็น การแห่พระเวสสันดรเข้าสู่เมือง สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสี่ – บุญผะเหวด สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสี่ – บุญผะเหวด สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนห้า – บุญฮดสรง บุญฮดสรง หรือ บุญสงกรานต์ จัดให้มีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนห้า ซึ่งถือเป็น วันขึ้นปีใหม่ของไทยมาตั้งแต่โบราณ ในวันขึ้นปีใหม่ ของไทยมาแต่โบราณ ในวันนี้ พระสงฆ์ นํ าพระพุทธ รูปออกจากโบสถืมาไว้ที่หอสรง ตอนบ่าย ชาวบ้าน จะนํ าน้ำอบ น้ำหอม มาร่วมกันสรงน้ำพระพุทธรูป ที่หอสรงนี้ จากนั้ น ก็ออกไปเก็บดอกไม้มาจัด ประกวดประชันในการบูชาพระ ระหว่างนี้ ชาวบ้าน จะพากันเล่นแคน ฉิ่งฉาบ เพื่อความสนุกสนาน รดน้ำดําหัวญาติผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำกัน โดยชาวบ้านอาจเล่นสนุกสนานถึง 15 วัน สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนห้า – บุญฮดสรง มูลเหตุของพิธีกรรม เนื่ องจากเดือนนี้ ถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่มาแต่โบราณ โดยจะถือ เอาวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันเริ่ม ต้นการทําบุญพิธีกรรม เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนห้าเวลา บ่ายสามโมง ถือว่า “เป็นมื้อเอา พระลง” หมายถึงการนํ าเอา พระพุทธรูปทั้งหมดในวัดมาทํา ความสะอาดแล้วนํ ามาตั้งรวมไว้ที่กลางศาลาโรงเรือน หรือ “หอแจก” พิธีเริ่มจากผู้เป็นประธานนํ าดอกไม้ธูปเทียนเครื่อง สักการะพระพุทธรูป แล้วนํ ากล่าวบูชาพระรัตนตรัย อาราธนา ศีล พระสงฆ์ให้ศีลญาติโยม รับศีลแล้วผู้เป็นประ ธานอารา ธนาพระปริตรพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ จบแล้วญาติโยมก็ เอาน้ำอบน้ำหอมสรงพระพุทธรูป จากนั้ นหนุ่ มสาวก็จะพากัน หาบน้ำจากบ่อหรือหนอง บึง ไปเทไว้ใน โอ่งของวัดให้พระ ภิกษุ สามเณรได้ใช้อาบขณะเดียวกันก็จะเริ่มเล่นสาดน้ำกัน และกันเป็นที่สนุกสนาน สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนห้า – บุญฮดสรง มูลเหตุของพิธีกรรม (ต่อ) ตอนค่ำ นิ มนต์พระสงฆ์มาสวดไชยมงคล (มงคลสูตร) ที่ผาม ไชย์กลางหมู่บ้าน รุ่งเช้า (วันแรมหนึ่ งค่ำ) เป็น “มื้อเนา” ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ มีการทําบุญให้ทาน โดยนํ าข้าวปลาอาหาร มาถวายพระที่ผามไชย์การสวดไชยมงคล (มงคลสูตร) นี้ ต้อง สวดให้ครบ 7 คืน โดยมีบาตรใส่น้ำมนต์ไว้ 7 ใบพร้อมทั้ง มีถังใส่กรวดทรายไว้จํานวนหนึ่ ง เมื่อครบ 7 คืนแล้ว พระสงฆ์ จะเดินสวด ไชยมงคลไปรอบหมู่บ้าน พร้อมกับสาดน้ำมนต์ ส่วนญาติโยมจะหว่านกรวดทรายไปพร้อม ๆ กัน ถือว่าเป็นการ ขับไล่สิ่งอัปมงคล และเสนี ยดจัญไรออกไปจากหมู่บ้านทําให้ คนทั้งหมู่บ้านประสบแต่ความสุขความเจริญในปีใหม่ ที่จะมาถึง คนอีสานเรียกวันสงกรานต์ ดังนี้ คือ วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า วันสังขารล่วง วันที่ 14 วันเนา และ วันที่ 15 เรียกว่า วันสังขารขึ้น สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนห้า – บุญฮดสรง สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนหก – บุญบั้งไฟ บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีที่เกิดจากความเชื่อเกี่ยวกับแถน เมื่อถึง เดือนหกเริ่มต้นการทํานาชาวบ้านจะจุดบั้งไฟเป็นการ บูชาขอให้พญาแถนบันดาลฝนให้ตกลงมา ประเพณี บุญบั้งไฟเป็นกิจกรรมร่วมกันของชุมชนอีสานหลาย ๆ หมู่บ้าน หมู่บ้านเจ้าภาพจะปลูกโรงเรือน เรียกว่า ผามบุญ ไว้ต้อนรับชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่น และดูแลจัดหา อาหารสําหรับทุก ๆ คน เช้าของวันงานชาวบ้านจะร่วมกัน ทําบุญ ประกวดประชัน แห่และจุดบั้งไฟที่ตกแต่งอย่าง งดงาม บั้งไฟของหมู่บ้านใดจุด ไม่ขึ้นชาวบ้านหมู่บ้านนั้ น จะถูกโยนลงโคลนเป็นการทําโทษ และจะมีการเซิ้งฟ้อน กันอย่างสนุกสนาน และจะมี การเซิ้งปลัดขิกร่วมอยู่ใน ขบวนด้วยเสมอ โดยมีความเชื่อว่าเป็นการไล่ผีให้พ้นออก ไปจากหมู่บ้านและเร่งให้แถนส่งฝนลงมาเร็ว ๆ สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนหก – บุญบั้งไฟ มูลเหตุของพิธีกรรม ตามตํานานพื้นบ้านอีสานเชื่อว่าเป็นการจุดบั้งไฟเป็นสั ญญาณเตือน ให้พญาแถนรู้ว่าถึงฤดูทํานาแล้วให้พญาแถนบันดาล ให้ฝนตกและ มีปริมาณ เพียงพอแก่การปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารพิธีกรรม เมื่อได้ ประชุมกําหนดวันจะทําบุญบั้งไฟแล้ว พวกช่างปืนไฟก็จะร่วมทํา บั้งไฟ หาง บั้งไฟก่องข้าว ไว้ตามจํานวนและขนาดที่ชาวบ้านศรัทธา ร่วมกันบริจาคเงินซื้อศรัทธา ซื้อ “ขี้เกีย หรือ ขี้เจี้ย” (ดินประสิว) มาทํา “หมื่อ” ปัจจุบันมักจะมีการแข่งขัน บั้งไฟระหว่างคุ้มบอก กล่าวไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ให้ทําบั้งไฟมาแข่งขันกันตามขนาดที่กําหน ดอาจเป็น “บั้งไฟหมื่น” (มีน้ำหนั กไม่เกิน 120 กิโลกรัม) “บั้งไฟ แสน” (มีน้ำหนั กมากกวา 120 กิโลกรัม) ก็ได้พอถึง “มื้อโฮมบุญ” หรือวันรวม ชาวบ้านจะจัดทําบุญเลี้ยงพระเพล แล้วจะมี “พิธีฮดสง” พระภิกษุ ผู้มีศีลศึกษาธรรมวินั ยมาตลอดพรรษาให้ได้เลื่อนเป็นตํา แหน่ งสูงขึ้น คือ “ฮด” จากพระภิกษุธรรมดาให้เป็นภิกษุขั้น “อาจารย์” แต่เรียกสั้นๆ ว่า “จารย์” สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนหก – บุญบั้งไฟ มูลเหตุของพิธีกรรม (ต่อ) ผู้มีอายุครบบวชถ้าอยากบวช พ่อแม่มักจะจัดให้บวชในเดือนนี้ ไปพร้อมๆ กับพิธีนี้ ประมาณเวลา 15.00 น. ของมื้อโฮม นํ า “กองฮด” และ “กองบวช” มาตั้งไว้กลางศาลาโรงธรรม ทางวัดจะตีกลองเป็นสัญญาณ บอกให้ทุกคุ้มนํ าบั้งไฟมารวมกัน ที่วัดแต่ละคุ้มจะเอ้บั้งไฟ (ตกแต่งบั้งไฟ) ของตนให้สวยงาม เป็นการประกวดประชันกันเบื้องต้น มีการจัดขบวนการแห่บั้งไฟ และในขณะที่แห่บั้งไฟจะเซิ้งบั้งไฟไปพร้อม ๆ กันด้วย การเซิ้ง บั้งไฟนี้ จะมีหัวหน้ า กล่าวนํ าคําเซิ้งเป็นวรรคๆ ไปแล้วให้ผู้เข้า ร่วมขบวนแห่ทุกคนกล่าวตาม ขณะที่กล่าวก็รําให้เข้ากับจังหวะ เซิ้งนั้ นด้วยรุ่งเช้าของวันบุญบั้งไฟ ญาติโยม จะนํ าข่าวปลาอาหาร ทั้งขนมหวาน มาทําบุญตักบาตรร่วมกันที่วัด หลังจากพระฉัน จังหันเสร็จแล้วก็จะนํ าบั้งไฟมารวมกันที่วัดแล้วนํ าไปจุดที่ “ค้างบั้งไฟ” (ร้านสําหรับจุดบั้งไฟ) ที่สําคัญเวลาจุดต้องหันหัว บั้งไฟไปทางทุ่งนาหรือหนองน้ำเพื่อป้องกันอันตราย สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนหก – บุญบั้งไฟ สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนเจ็ด – บุญซำฮะ บุญซําฮะหรือชําระ เกิดตามความเชื่อที่ว่าเมื่อถึงเดือนเจ็ดต้องทําบุญ ชําระจิตใจให้สะอาดและเพื่อปัดเป่ารังควาญสิ่ ง ไม่เป็นมงคลออกจากหมู่บ้านบาง ท้องถิ่นเรียก ประเพณีนี้ ว่า บุญเบิกบ้าน ซึ่งมีพิธีกรรมทั้งทาง ศาสนาพุทธและไสยศาสตร์ ในวันงานชาวบ้าน จะพากันนํ าภัตตาหารมาถวายแด่พระภิกษุสงฆ์และ ร่วมกัน ฟังเทศน์ ฟังธรรม รวมทั้งมีการเซ่นไหว้ ศาลหลักบ้าน เพื่อขอความคุ้มครองให้พ้นจาก ภัยพิบัติและช่วยขับไล่สิ่ งไม่ดีไม่งามออกไป จากหมู่บ้าน ให้บ้านเกิดความเป็นสิริมงคล สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนเจ็ด – บุญซำฮะ มูลเหตุของพิธีกรรม มีเรื่องเล่าไว้ในคัมภีร์ธรรมบทว่าครั้งหนึ่ งเมืองไพสาลี เกิด “ทุพภิกขภัย” ข้าวยากหมากแพงประชาชนขาดแคลน อาหารเพราะฝนแล้งสัตว์เลี้ยงต่างๆ ล้มตายเพราะความ หิว ซ้ำร้ายอหิวาตกโรคหรือ “โรคห่า” ก็ระบาดทําให้ผู้คน ล้มตายกันมากมาย ชาวเมืองกลุ่มหนึ่ งจึงพากันเดินทาง ไปนิ มนต์ พระพุทธเจ้าให้มาปัดเป่าภัยพิบัติครั้งนี้ ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเมืองไพสาลีก็เกิดฝน “ห่าแก้ว” ตกลงมาอย่างหนั กจนน้ํ าฝนท่วมแผ่นดินสูงถึง หัวเข่า และน้ำฝนก็ได้พัดพาเอาซากศพของผู้คนและสั ตว์ต่างๆ ไหลล่องลอยลงแม่น้ำไปจนหมดสิ้น พระพุทธเจ้าทรงทํา น้ำพระพุทธมนต์ใส่บาตร แล้วมอบให้พระอานนท์นํ าไป ประพรมทั่วเมือง โรคภัยไข้เจ็บก็สูญสิ้นไป ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนเจ็ด – บุญซำฮะ มูลเหตุของพิธีกรรม ดังนั้ นคนลาวโบราณรวมทั้งไทยอีสานจึงทํา บุญซําฮะขึ้นในเดือน 7 ของทุกๆ ปี พิธีกรรม พอถึงวันทําบุญชาวบ้านทุกครัวเรือนจะนํ า ดอกไม้ธูปเทียน ขันน้ำมนต์ ขันใสกรวด ทรายและเฝ้าผูกแขน มา รวมกันที่ศาลากลางบ้าน ถ้าหมู่บ้านใดไม่มีศาลากลางบ้าน ถ้า หมู่บ้านใดไม่มีศาลากลางบ้าน ชาวบ้านจะช่วยกันปลูกปะรําพิธีขึ้น กลางหมู่บ้าน ตกตอนเย็นจะนิ มนต์พระสงฆ์มาสวดชัยมงคลคาถา (ชาวอีสานเรียกว่า ตั้งมุงคุน) เช้าวันรุ้งขึ้นจะพากันทําบุญตักบาตร เลี้ยงพระถวายจังหันเมื่อ พระสงฆ์ ฉันเสร็จแล้วจะให้พรและ ประพรมน้ำพุทธมนต์ให้แก่ทุกคนที่มาร่วมทําบุญ จากนั้ นชาวบ้าน จะนํ าขันน้ำมนต์ด้ายผูกแขน ขันกรวดทรายกลับไปที่ บ้านเรือนของ ตนเองแล้วนํ าน้ำมนต์ไป ประพรมให้แก่ทุกคนในครอบครัว ตลอด จนบ้านเรือนและวัวควาย เอาด้ายผูกแขน ลูกหลานทุกคนเพราะเชื่อ ว่าจะนํ าความสุขและสิริมงคลมาสู่สมาชิกทุกคน ส่วนกรวดทราย ก็จะเอามาหว่านรอบ ๆ บริเวณบ้านและที่สวนที่นา เพื่อขับไล่เสนี ยดจัญไร และสิ่ง อัปมงคล สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนเจ็ด – บุญซำฮะ สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนแปด – บุญเข้าพรรษา บุญเข้าพรรษา บุญเข้าพรรษาของภาคอีสานเป็นประเพณี ทาง พุทธศาสนาคล้ายคลึงกับทางภาคกลางคือจะมี การทําบุญตักบาตร ถวายผ้าอาบน้ำฝน สงบ จีวร และ เทียนพรรษา หากแต่ในภาคอีสานจะจัด ขบวนแห่เทียน อย่างยิ่งใหญ่ และมักมีการ ประกวดความสวยงามของเทียนจากแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งตกแต่ง สลักเสลาเทียนเป็นลวดลาย เรื่องราว ทางพุทธศาสนาอย่างสวยงาม เมื่อแห่เทียนมาถึง วัดชาวบ้านจะรับศีล รับพรฟังธรรม ตอนค่ำจะ เวียนเทียน รอบพระอุโบสถ สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนแปด – บุญเข้าพรรษา มูลเหตุของพิธีกรรม เนื่ องจากในสมัยพุทธกาล พระภิกษุเที่ยวจาริกสอน ธรรมไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตลอดทั้งปีไม่ว่าจะเป็นฤดู ฝน ฤดูหนาว หรือฤดูร้อน แต่ในฤดูฝนนั้ น ภิกษุได้ เหยียบย่ำข้าวกล้าในนาของชาวบ้านเสียหาย สัตว์ตัว น้ อยต่างๆ พลอยถูกเหยียบตายไปด้วย พระพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้ภิกษุต้องจําพรรษา 3 เดือน ในฤดู ฝนโดยมิให้ไปค้างแรมที่อื่นใดนอกจากในวัดของตน ถ้าภิกษุฝ่าฝันถือว่า “ศีลขาดและต้องอาบัติทุกกฎ” เว้นแต่กรณีจําเป็นที่เรียกว่า “สัตตาหกรณียะ” เช่น บิดามารดา ป่วย เป็นต้น แต่ต้องกลับมาภายใน 7 วัน พรรษาจึงจะไม่ขาด สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนแปด – บุญเข้าพรรษา พิธีกรรม เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนแปดตอนเช้าญาติโยมก็จะนํ าดอกไม้ ธูปเทียน ข้าวปลา อาหาร มาทําบุญตักบาตรที่วัดตอนบ่าย จะนํ าสบงจีวร ผ้าอาบน้ำ เทียนพรรษา และดอกไม้ธูป เทียนมาถวาย พระภิกษุที่วัดแล้วรับศีลฟังธรรมพระ เทศนาพอถึงเวลาประมาณ 19.00-20.00 น. ชาวบ้าน จะนํ าดอกไม้ธูปเทียนมารวม กันที่ศาลาโรงธรรมเพื่อรับ ศีล และเวียนเทียนจนครบสามรอบ แล้วจึงเข้าไปในศาลา โรงธรรมเพื่อฟังพระธรรมเทศนาจนจบจากนั้ นจะแยก กันกลับบ้าน เรือนของตน ส่วนผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้าก็จะ พากันรักษาศีลแปดจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันแรม หนึ่ งค่ำเดือนแปด อันเป็นวันเข้าพรรษา ซึ่งพระภิกษุจะ ต้องจําพรรษาในวัดของตนเป็นเวลาสามเดือน สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนแปด – บุญเข้าพรรษา สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนเก้า – บุญข้าวประดับดิน บุญข้าวประดับดิน จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนเก้าเป็นการทําบุญให้ ญาติผู้ล่วงลับ โดยการนํ าข้าวปลาอาหารคาว หวาน หมากพลู บุหรี่อย่างละเล็กละน้ อย ห่อด้วย ใบตองเป็นสองห่อกลัดติดกันเตรียมไว้ตั้งแต่ หัวค่ำ ครั้นถึงเวลาตีสาม ตีสี่ของวันรุ่งขึ้นจะนํ าห่อ อาหารและหมากพลูไปวางไว้ตามโคนต้นไม้รอบๆ วัด เพื่อให้ญาติพี่น้ องผู้ล่วงลับ รวมทั้งผีไร้ญาติ อื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าจะมาเยี่ยมญาติพี่น้ องในเวลานี้ มา รับไปเพื่อจะได้ไม่อดอยากหิวโหย นอกจากจะเป็น การทําบุญและทําทานแล้วยังแสดงถึงความ กตัญญูอีกส่ วนด้วย สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนเก้า – บุญข้าวประดับดิน มูลเหตุของพิธีกรรม คนลาวและไทยอีสานมีความเชื่อสื บต่อกันมาแต้โบราณกาลว่ากลาง คืนของเดือนเก้าดับ (วันแรมสิบสี่ค่ำเดือนเก้า) เป็นวันที่ประตูนรก เปิดในรอบปี ยมบาลจะปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติในโลก มนุษย์ ในคืนนี้ คืนเดียวเท่านั้ น ดังนั้ นจึงพากันจัดห่อข้าวไว้ให้ญาติ พี่น้ องที่ตายไปแล้วถือว่าเป็น งานบุญเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ แก่ญาติพี่น้ องผู้ล่วงลับไปแล้วพิธีกรรม ตอนเย็นของวันแรม 13 ค่ำ เดือนเก้า แม่บ้านแม่เรือนทุกครัวเรือนจะ “ห่อข้าวน้ อย” ซึ่งมีวิธีห่อ ดังนี้ ฉีกใบตองออกให้มีขนาดกว้างเท่ากับหนึ่ งฝ่ามือ ส่วนความยาว นั้ นให้ยาวสุดซี่ของใบกล้วย นํ าเอาข้าวเหนี ยวนึ่ งสุก แล้วป่นเป็น ก้อนเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ วางบนใบตองที่จะห่อ จากนั้ นแกะ เนื้ อปลา ไก่ หมู ใส่ลงไปอย่างละเล็กน้ อย (ถือว่าเป็นอาหารคาว) แล้วใส่น้ำอ้อยกล้วยสุก มะละกอสุกหรือขนมหวานอื่น ๆ ลงไปอีก นิ ด (ถือว่าเป็นของหวาน) จากนั้ นใส่หมากหนึ่ งคํา บุหรี่หนึ่ งมวน เมี่ยงหนึ่ งคํา แล้วจึงห่อใบตอบเข้าหากัน โดยใช้ไม้กลัดหัวท้ายและ ตรงกลางก็จะได้ห่อข้าวน้ อยที่มีลักษณะยาวๆ (คล้ายห่อ ข้าวเหนี ยว ปิ้ ง) สําหรับจํานวนของ ห่อข้าวน้ อยนี้ ก็ควรจะให้มีมากกว่าจํานวน ญาติพี่น้ องที่ล่วงลับไปแล้ว สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนเก้า – บุญข้าวประดับดิน มูลเหตุของพิธีกรรม ทั้งนี้ เพราะจะต้องมีจํานวนหนึ่ งเผื่อผีไม่มีญาติด้วย ครั้งถึง เวลาประมาณ 03.00-04.00 น. ของวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า พวกผู้ใหญ่ในแต่ละครัวเรือนจะนํ าเอาห่อข้าวน้ อยไปวางไว้ตาม โคนต้นไม้ในวัด ตามดินริมกําแพงวัดบ้าง ริมโบสถ์ริมเจดีย์ ในวัดบ้าง การนํ าเอาห่อข้าวน้ อยไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ในวัดนี้ เรียกว่า “การยายห่อข้าวน้อย” ซึ่งจะพากันทําเงียบ ๆ ไม่มีฆ้อง กลอง แห่แต่อย่างใด หลังจากยายห่อข้าวน้ อยเสร็จแล้ว จะ กลับบ้านเตรียมหุงหาอาหารในตอนรุ่งเช้าของวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ซึ่งญาติโยมทุกครัวเรือน จะนํ าข้าวปลาอาหารไปทํา บุญตักบาตรเลี้ยงพระ จากนั้ นพระสงฆ์จะแสดงพระธรรม เทศนาเกี่ยวกับอานิ สงฆ์ของบุญข้าวประดิบดินให้ฟังญาติโยม ถวายจตุปัจจัยไทยทาน พระสงฆ์ให้พรญาติโยมกรวดน้ำอุทิศ ส่ วนบุญกุศลไปให้ญาติผู้ล่วงลับ สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนเก้า – บุญข้าวประดับดิน สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสิบ – บุญข้าวสาก บุญข้าวสาก เป็นประเพณีในวันขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งชาวบ้านจะ จัดเตรียมสํารับอาหาร ซึ่งบรรจุข้าวเหนี ยว อาหาร แห้ง เช่น ปลาย่าง เนื้ อย่าง แจ่วบองหรือ น้ำพริก ปลาร้า และห่อข้าวเล็กๆ อีกห่อหนึ่ งสําหรับอุทิศ ให้ญาติผู้ล่วงลับและนํ าไปทําบุญที่วัด โดยจะเขียน ชื่อเจ้าของ สํารับอาหารและเครื่องไทยทาน ใส่ไว้ ในบาตร เพื่อให้พระในวัดจับสลาก หากภิกษุรูป ใดจับสลากได้ชื่อผู้ใด ก็จะได้สํารับอาหารพร้อม เครื่องไทยทานของเจ้าภาพนั้ นๆ สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสิบ – บุญข้าวสาก มูลเหตุของพิธีกรรม เพื่อจะทําให้ข้าวกล้าในนาที่ปักดําไปนั้ นงอกงามและได้ผล บริบูรณ์ และเป็นการอุทิศส่ วนกุศลถึงญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว พิธีกรรม เช้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบญาติโยมจะพากันทําบุญ ใส่บาตร ครั้นถึงเวลาพระฉันเพล ญาติโยมชาวบ้านเกือบทุก ครั้งคาเรือนจะจัด “พาข้าว” (คือสํารับกับข้าว) พร้อมทั้ง ปัจจัย ไทยทาน 1 ชุด แล้วเขียนชื่อของตนลงบนแผ่นกระดาษม้วนลง ใส่ในบาตรเดียวกัน เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ผู้เป็นหัวหน้ ากล่าว นํ าคําถวายสลากภัต ญาติโยมว่าตามจบแล้วนํ าไปให้พระเณร จับสลากที่อยู่ในบาตร พระเณรรูปใดจับได้สลากของใครผู้ เป็นเจ้าของพาข้าวและเครื่องปัจจัยไทยทานก็นํ า ไปประเคน ให้พระเณรรูปนั้ นๆ จากนั้ นพระเณรจะฉันท์เพลแล้วให้พร ญาติโยมจะพากันรับพร แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ไปให้แก่ญาติพี่น้ อง ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสิบ – บุญข้าวสาก สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสิบเอ็ด – บุญออกพรรษา บุญออกพรรษา ในเดือนสิ บเอ็ดนอกจากจะเป็นโอกาสที่พระภิกษุ สงฆ์จะแสดงอาบัติและว่ากล่าวตักเตือนกันแล้ว ชาว บ้านในภาคอีสานยังมีกิจกรรม กันอีกหลายอย่าง ทั้ง ประเพณีตักบาตรเทโว การจุดประทีปโคมไฟประดับ ประดาตามต้นไม้ บางแห่งนํ าต้นอ้อย หรือไม้ไผ่มามัด เป็นเรือจุดโคมแล้ว นํ าไปลอยในแม่น้ำที่เรียกว่า การ ไหลเรือไฟ เพื่อเป็นพุทธบูชาสําหรับหมู่บ้านที่อยู่ไกล แหล่งน้ำจะนิ ยมทําปราสาทผึ้งหรือผาสาดผึ้งทําจาก กาบกล้วย ประดับประดาด้วยขี้ผึ้ง ซึ่งทําเป็นดอกไม้ แต่ปัจจุบันมักใช้ขี้ผึ้งมาตกแต่งปราสารททั้งหลัง แล้วจัดขบวนแห่มาถวายที่วัดอย่างสนุกสนาน สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสิบเอ็ด – บุญออกพรรษา มูลเหตุพิธีกรรม เพื่อเปิดโอกาสให้ภิกษุสงฆ์ว่ากล่าว ตักเตือนกันได้ และเพื่อพระภิกษุสงฆ์จะได้ จาริกไปในที่ต่างๆ เพื่อเที่ยวสั่งสอนศีลธรรม และธรรมะแก่ประชาชน หรือ เพื่อแสวงหา ความสงบวิเวกในการปฏิบัติธรรม โดยไม่ต้อง กลับมาค้างแรมที่วัดและให้ภิกษุหา ผ้านุ่ มห่มใหม่มาผลัดเปลี่ยน สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสิบเอ็ด – บุญออกพรรษา พิธีกรรม ในเช้ามืดวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 1 พระสงฆ์จะไปรวมกัน ที่อุโบสถเพื่อแสดงอาบัติต่อกัน จากนั้ นจะทําวัตร และทําปวารณาแทนการสวดปาฏิโมกข์ (ปวารณา คือ พิธีกรรมทางศาสนาทสงฆ์ยอมให้ว่ากล่าวตัก เตือนกับการปวารณาจะทําในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษาจึงเรียกวันออกพรรษาว่า วันปวารณาหรือวันมหาปวารณา (จากพจนานุกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ฉบับพิมพ์ พ.ศ.2538) ส่วนชาวบ้านก็จะเตรียมข้าวปลาอาหาร เพื่อให้ทําบุญตักบาตรที่วัดในตอนรุ่งเข้า และถวายผ้าจํานํ าพรรษาแด่ภิกษุสามเณร ตอนค่ำมีการเวียนเทียน สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสิบเอ็ด – บุญออกพรรษา สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสิบสอง – บุญกฐิน บุญกฐินคือ บุญที่เรียกว่า “กาลทาน” มีกําหนดให้ทําได้เฉพาะใน ช่วงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึง 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุก ปี จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “บุญ เดือน 12” ชาวอีสานเชื่อว่าผู้ใดได้ ทําบุญกฐินจะไม่ตก นรกและจะได้รับผลบุญที่ทําในชาตินี้ ไว้เก็บกินในชาติหน้ า งานบุญกฐินจึงจัดเป็นงานสําคัญ ในส่วน พิธีกรรมนั้ น คล้ายคลึงกับภาคกลางแต่ที่ชาวอีสานและเครื่องบริวารกฐิน ซึ่งส่ วนมากจะเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนมาตั้งวางไว้ในที่เปิด เผยเพื่อให้ญาติพี่น้ อง หรือชาวบ้าน ใกล้เคียงนํ าสิ่งของ เช่น เสื่อ หมอน อาสนสงฆ์ ฯลฯ มาร่วมสบทบ ตอนเย็นของวันรวม ก็จะนิ มนต์ พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ตอนกลางคืน อาจ จัดให้มีมหรสพต่างๆ และที่ขาดไม่ได้ในงานบุญ กฐินก็คือ ต้อง จุด “บั้งไฟพลุ” อย่างน้ อยจํานวน 4 บั้ง เอาไว้จุดเมื่อตอนหัวค่ำ หนึ่ งลูก ตอนดึกหนึ่ งลูก ตอนใกล้สว่างหนึ่ งลูก และตอน ถวายกฐินอีกหนึ่ งลูก นอกจากจุดบั้งไฟพลุแล้วก็จะจุดบั้งไฟ ตะไลเป็นระยะ ๆ ในขณะที่แห่กฐินรุ่งเช้าเป็นขบวนแห่กฐิน จากบ้านไปถวายพระสงฆ์ที่วัด สื่อไทยBYครู โบว์

เดือนสิบสอง – บุญกฐิน บุญกฐินคือ บุญที่เรียกว่า “กาลทาน” เมื่อถึงวัดต้องแห่เครื่องกฐินเวียนขวาสามรอบ รอบศาลา โรงธรรม จากนั้ นจึงนํ าเครื่องกฐินขึ้นตั้งบนศาลาโรงแรม นํ าข้าวปลา อาหารถวายพระ ถ้าถวายตอนเช้าก็เลี้ยงพระตอน ฉันจังหัน แต่ถ้าถวายตอนบ่ายก็จะเลี้ยงพระตอนเพล เมื่อพระ สงฆ์สามเณรฉันเสร็จแล้วผู้เป็นเจ้าภาพ องค์กฐินจะจุดธูป เทียนบูชาพระรัตนตรัย นํ ารับศีลแล้วกล่าวคําถวายกฐินเป็น เสร็จพิธี ส่วนพระสงฆ์เมื่อมีกฐินมาทอดที่วัดก็จะประชุมสงฆ์ แล้วให้ภิกษุรูป หนึ่ งเสนอต่อที่ประชุมสงฆ์ว่าควรให้แก่ภิกษุ (เอ่ยนามภิกษุ) ที่สมควรจะได้รับกฐิน ส่วนมากก็เป็น เจ้าอาวาสวัดนั้ นๆ เมื่อที่ประชุมสงฆ์เห็นชอบตามที่มีผู้เสนอ ก็จะเปล่งคําว่า “สาธุ” พร้อมกันจากนั้ นญาติโยมก็จะพากัน ถวายเครื่องปัจจัยไทยทานแด่ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ทั้งวัด พระสงฆ์รับแล้วจะอนุโมทนาและให้พรเป็นเสร็จพิธี จะขาดไม่ได้ คือ การเฉลิมฉลองโดยการจุดพลุบั้งไฟ อย่างเอิกเกริกในขณะที่แห่ขบวนกฐินมาที่วัด สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนสิบสอง – บุญกฐิน มูลเหตุพิธีกรรม เพื่อให้ภิกษุสงฆ์มีโอกาสได้ผลัดเปลี่ยนไตรจีวรใหม่ เนื่ องจากของเก้าใช้นุ่ งห่มมาตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ เข้าพรรษาย่อมเก่าคร่ำคร่ามีเรื่องเล่าว่าในสมัย พระพุทธ องค์ยังทรงมีพระชนมชีพอยู่ ภิกษุชาวเมืองปาฐาจํานวน 30 รูป พากันเดินทางไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเชตุวัน มหาวิหารไม่ทันวันเข้าพรรษา จึงต้องพากันพักจําพรรษา อยู่ที่เมืองสาเกตพอออกพรรษาแล้วก็รีบพากันเดินทา งกรําแดดกรําฝนไปเฝ้าพระพุทธองค์ จีวรที่นุ่ มห่มก็เปียก ปอน เมื่อพระพุทธองค์ ทรงเห็นความยากลําบากของพระ ภิกษุเหล่านี้ ก็ทรงอนุญาตให้รับผ้ากฐินได้ เพื่อจะได้มีจีวร เปลี่ยนใหม่ เมื่อผู้มีศรัทธาประสงค์จะนํ ากฐินไปทอด ต้องไปขอจองวัดโดยปกติมักจะติดต่อ สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนสิบสอง – บุญกฐิน พิธีกรรม ตั้งแต่ตอนเช้าเข้าพรรษาใหม่ ๆ ซึ่งอาจเป็นเดือนเก้า เดือนสิบ เมื่อเจ้าอาวาสแจ้งว่าวัดนั้ นยังไม่มีผู้ใด จองกฐิน ผู้มีจิตศรัทธา ที่จะทําบุญจะปักสลากเพื่อ ประกาศให้คนทั้งหลายรู้ว่าตน เป็นผู้จองและจะนํ ากฐินมาทอดที่วัดดังกล่าวสลากต้องปักไว้ ในที่เปิดเผย เช่น ศาลาโรงธรรม หรือฝาผนั ง ด้านนอกของ โบสถ์ รายละเอียดในสลากก็จะบอกถึงชื่อที่อยู่ของผู้ที่จะนํ า กฐินมาทอด รวมทั้งบอกวันเวลาที่จะทอดด้วย เพื่อไม่ให้เจ้า ศรัทธาอื่นนํ ากฐินมาทอดรวมทั้งบอกวันเวลา ที่จะทอดด้วย เพื่อไม่ให้เจ้าศรัทธาอื่นนํ ากฐินมาทอดซ้ำซ้อนกัน เพราะ วัดหนึ่ งๆ จะรับกฐินได้ปีละหนึ่ งกองเท่านั้ น คนอีสานมีความ เชื่อว่าถ้าผู้ใดได้ทําบุญกฐิน แล้วตายไปจะไม่ตกนรก มีแต่จะได้รับผลบุญที่ตนเองกระทําเอาไว้เก็บกินในชาติหน้ า การทําบุญกฐินจึงจัดเป็นงานสําคัญ ผู้ที่จะทําบุญกฐินจึงบอก กล่าว ลูกหลาน ญาติมิตรของตนให้โดยพร่อมหน้ า ครั้นถึงวันรวมก็จะตั้งองค์กฐินที่บ้านของตน สื่อไทยB Yครู โบว์

เดือนสิบสอง – บุญกฐิน สื่อไทยBYครู โบว์

จัดทำโดย นางสาวเบญจมาศ โคตรเพชร ตำแหน่ง บรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชนอำเภอโนนสัง กศน.อำเภอโนนสัง สำนักงาน กศน.จังหวัดหนองบัวลำภู สื่อไทยBYครู โบว์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook