เอกสารความรู้ เรอื่ ง การนิเทศ กากับ ตดิ ตามและประเมนิ ผลการจดั การศึกษา รวบรวมและเรียบเรยี งโดย ยนื ยง ราชวงษ์ แนวคิดการวิเคราะห์ขอ้ มลู สารสนเทศเพอื่ การพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา ในการพฒั นาคุณภาพการศึกษา ผู้เกย่ี วข้องตอ้ งมีข้อมูลคุณภาพ (Quality Profiles) ของหนว่ ยงาน ท่จี ะพัฒนาที่ชดั เจน ครอบคลมุ ภาระงานอยา่ งเพียงพอ เปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของการทางาน จึงจะทาให้การพัฒนา คุณภาพเป็นไปอย่างมีทิศทางและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ผู้นิเทศหรือศึกษานิเทศก์ ซึ่งมีบทบาทในการพฒั นา คุณภาพการศึกษาเป็นอย่างมาก จึงต้องมีข้อมูลพ้ืนฐานเก่ียวกับคุณภาพของสถานศึกษาท่ีเก่ียวข้องกับ นักเรียน ครู ท่ีชัดเจน ครอบคลุมและเพยี งพอ และเป็นข้อมูลท่ีสามารถนาไปใช้ประโยชน์ ในการพัฒนา คุณภาพการศึกษาได้ จึงจะทาให้การพัฒนาคุณภาพการศึกษามีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลตาม เป้าหมาย ข้อมูลสารสนเทศในการพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา ทจ่ี าเปน็ ในการนเิ ทศการศึกษาของสถานศึกษา ประกอบดว้ ย ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกลุ่มสาระการเรียนรู้ NT O-NET LAS ผลการประเมินมาตรฐาน การศกึ ษาตามการประเดน็ คณุ ภาพการศึกษาภายในและภายนอก SAR ผลการนเิ ทศ กากับ ติดตาม ตรวจสอบและประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา ของหนว่ ยงาน ซง่ึ ขอ้ มลู สารสนเทศที่นามาวเิ คราะหต์ ้องมีความ ต่อเน่อื งอย่างน้อย 3 ปี เพอื่ วเิ คราะห์ให้เห็นทศิ ทางหรอื แนวโน้มของการพัฒนาหรอื สภาพปญั หาไดช้ ดั เจน ยิ่งขึน้ ตวั อย่าง การศกึ ษาการวิเคราะห์สภาพของสถานศกึ ษา (SWOT) S – Strength - นกั เรียนมผี ลการทดสอบสูงกวา่ ระดับประเทศ - นกั เรียนมีวินยั ในตนเอง - ครูส่วนใหญ่มคี วามรับผดิ ชอบสูง มีความมงุ่ ม่ันตั้งใจในการสอน มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ - ครูปรมิ าณงานท่ีรบั ผดิ ชอบมจี านวนมาก แตส่ ามารถปฏบิ ตั ิการ/ดาเนินการไดท้ นั เวลา สนอง นโยบายได้ดี - ครูสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ได้ดี - ครูบางคนมีวิสยั ทัศน์กว้างไกล มองทะลถุ ึง goal สุดทา้ ยของงานทรี่ ับผิดชอบไดอ้ ยา่ งชัดเจน W – Weakness - มจี านวนครไู มเ่ พียงพอ สดั ส่วนไมส่ ันพนั ธ์กับปรมิ าณงาน - มจี านวนครูไมค่ รบและไม่ตรงตามวชิ าเอกในการจดั การเรยี นการสอน - ครมู ีปริมาณงานมาก ล้นมอื - ครูสอนตามหนงั สอื สอนเน้นการบรรยาย ครูสอนโดยไม่ยดึ หลักสูตร - ครูสอนไมป่ รบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม สอนโดยไมใ่ ชส้ อื่ นวัตกรรม - ครูขาดทักษะในการสรา้ งเครอ่ื งมือวัดและประเมนิ ผล - ครูขาดขวัญกาลังใจในการปฏบิ ตั ิงาน - ครูสอนโดยไมม่ กี ารเตรียมการ ไม่เขียนแผนการสอน - สถานศึกษาขาดวสิ ยั ทัศน์ทช่ี ัดเจนในเรอื่ งการนเิ ทศ กากบั ตดิ ตามการจดั การศึกษา มงุ่ ทางาน แบบนักวิชาการ มคี วามลาเอยี งและอคตติ ่อบางคน
- ผ้นู ิเทศ กากับติดตาม ไมร่ อบรงู้ านทกุ เรอ่ื ง จงึ ไมส่ ามารถนเิ ทศ ติดตาม กากบั ได้ทุกเรือ่ ง - โรงเรยี นไมเ่ ป็น “หนึง่ เดียว (Unity)” ต่างคนตา่ งทางาน ไม่คอ่ ยเห็นภาพของการปรกึ ษาหารอื กัน - งานทีเ่ กิดจากความสร้างสรรคแ์ ละสามารถแก้ปญั หาได้ตรงจดุ มีน้อย ขาดสอ่ื /เครอ่ื งมือการนเิ ทศ กากบั ตดิ ตาม ในแต่ละรายวชิ า/กลุ่มสาระหรอื งานทร่ี บั ผิดชอบ ทีเ่ กดิ จากความคดิ สร้างสรรค์ - การนเิ ทศ กากบั ตดิ ตาม ไม่ไดใ้ ช้สอ่ื และเครอื่ งมอื การนิเทศ ขาดความตอ่ เนอ่ื ง ซึ่งนบั วา่ น้อยมาก O – Opportunity - ครูมีโอกาสไดร้ บั การพฒั นาศกั ยภาพในรูปแบบต่างๆ - มีเครือข่ายความรว่ มจากหนว่ ยงานทางการศึกษา - มสี ื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยี มากมาย - มแี หล่งการเรียนรทู้ ี่หลากหลาย T - Treatment - รฐั บาลมนี โยบาย ทศิ ทางการจดั การศึกษา ไม่ชดั เจน และขาดความตอ่ เน่อื ง - สอ่ื สังคมมีผลกระทบตอ่ พฤติกรรมของนักเรยี น - ผปู้ กครองขาดการดแู ล เอาใจใสใ่ นพฤตกิ รรมการเรยี นของบุตรหลาน ตัวอย่าง การศึกษาการวิเคราะห์สภาพข้อมูลของสถานศกึ ษาท่รี บั ผิดชอบ ผลการทดสอบทางการศึกษาขั้นพนื้ ฐานระดับชาติตั้งแตป่ ีการศกึ ษา ๒๕๕๙-๒๕๖๑ จาแนกราย โรงเรียนและกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ผลการประเมินการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ตัง้ แตป่ ีการศกึ ษา ๒๕๕๙-๒๕๖๑ จาแนกรายโรงเรียนและกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ผลการประเมินภายนอกรอบสองและรอบสาม จาแนกรายมาตรฐานและตัวบง่ ชี้ ผลการนเิ ทศติดตามการจัดการเรยี นรู้ของครูจาแนกตามกลมุ่ สาระการเรยี นร้/ู ระดบั ช้ัน แนวคดิ การนิเทศ กากับ ตดิ ตามและประเมินผลการจัดการศกึ ษา ในช่วงหลายปที ่ผี า่ นมา ระบบราชการไทยมกี ารเปลย่ี นแปลงเกดิ ขนึ้ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การบริหารทรัพยากรบุคคลแนวใหมท่ ี่มงุ่ เน้นการพฒั นาทรพั ยากรบุคคลในองคก์ รใหเ้ ป็นผทู้ ่ีมคี วามรรู้ อบ ดา้ นมใิ ช่เพยี งรลู้ ึกในงานด้านใดดา้ นหนง่ึ เพยี งอย่างเดียว ความรอบรรู้ อบด้านท่ีวา่ น้ีวธิ กี ารหนงึ่ คือการส่งเสริมให้มกี ารหมนุ เวียนงาน (Job Rotation) ซ่ึงขอ้ ดี ก็คอื เปิดโอกาสให้คนในหนว่ ยงานไดเ้ รียนรหู้ าประสบการณจ์ ากงานใหม่ ๆ เปลี่ยนสภาพแวดลอ้ มการ ทางานใหมเ่ ป็นการกระตุ้นให้ไดพ้ ฒั นาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ อีกทง้ั ยังเป็นการเตรียมผนู้ าใน อนาคตทม่ี คี วามรู้และประสบการณ์เกีย่ วกบั งานด้านตา่ ง ๆ ในหน่วยงาน ซงึ่ จะชว่ ยให้การบรหิ ารงานเป็นไป อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ตลอดจนพฒั นาไปสคู่ วามเปน็ องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) อยา่ งไรก็ดี การหมนุ เวียนงานอาจทาใหห้ ลายคนเกดิ ความกงั วลวา่ งานจะตอ้ งเกดิ การสะดุด ขาดความ ต่อเนอื่ ง เน่ืองจากการทางานต้องใชเ้ วลาในการสัง่ สมความชานาญและโอกาสในการเรียนรงู้ านใหม่ของแต่ ละคนอาจจะแตกต่างกนั ไปขึ้นอยกู่ บั สภาพแวดลอ้ มและวฒั นธรรมการทางานของแตล่ ะหน่วยงานซง่ึ ยากจะ คาดเดาได้ว่าการถา่ ยทอดความรู้ที่จาเป็นในงานจะมมี ากน้อยเพยี งใด ดงั น้ันจาเป็นใช้วธิ กี ารทเี่ หมาะสมและ ยดื หยนุ่ ในการพฒั นาศกั ยภาพของบุคลากร นั่นคอื การนเิ ทศ ความหมายการตดิ ตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษา ไวด้ งั นี้
การตดิ ตาม (Monitoring) หมายถึง การศกึ ษาความก้าวหนา้ การบรหิ ารจัดการศกึ ษาและ การดาเนินการของหนว่ ยงานและสถานศกึ ษา การตรวจสอบ (Inspection) หมายถึง การกากบั ดูแล เพอื่ ปรับปรงุ พฒั นาการบรหิ ารจดั การศกึ ษาและการดาเนินการใหเ้ ป็นไปตามมาตรฐานการศกึ ษาท่ีกาหนดไว้ การประเมินผล (Evaluation) หมายถงึ การตีค่าผลการบรหิ ารจดั การการศกึ ษาและการ ดาเนนิ งานและการดาเนนิ การตามมาตรฐานการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน โดยเปรียบเทยี บกบั เกณฑแ์ ละเป้าหมาย ท่กี าหนดไว้ การนเิ ทศการศกึ ษา (Supervision) หมายถึง กระบวนการทางานร่วมกนั ระหว่างผนู้ เิ ทศและผรู้ บั การนิเทศ เพอื่ ปรับปรงุ การช่วยเหลอื ใหค้ าปรกึ ษา แนะนา ชแี้ นะ เปน็ พี่เลย้ี ง สง่ เสรมิ ช่วยเหลอื ใหก้ าร สนับสนุน ใหค้ วามร่วมมอื และเพมิ่ ประสทิ ธิภาพการปฏบิ ตั งิ านของผรู้ ับการนเิ ทศในการพฒั นาคณุ ภาพ การศกึ ษา พฒั นาการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน แกไ้ ขปรับปรงุ การเรียนการสอน ท่ีสง่ ผลตอ่ การพฒั นา คณุ ภาพผเู้ รยี นใหเ้ กิดการเรยี นรู้ ผเู้ รียนไดพ้ ัฒนาเตม็ ตามศกั ยภาพ มผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสงู ข้ึน บรรลผุ ล ตามจดุ หมาย อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ และกอ่ ใหเ้ กิดขวญั และกาลังใจแกผ่ เู้ กีย่ วขอ้ ง รวมทงั้ สรา้ งความสัมพนั ธ์ อนั ดรี ะหว่างบคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ในการทางานร่วมกัน จะต้องสร้างบรรยากาศแห่งกลั ยาณมิตร ยวั่ ยุ และ สรา้ งความเขา้ ใจอนั ดีตอ่ กันใหผ้ รู้ ับการนเิ ทศรสู้ กึ ว่า จะชว่ ยใหเ้ ขาคน้ พบวธิ ที ีด่ ีกว่าในการพัฒนางานเพ่ือ บรรลผุ ลสาเรจ็ ตามวัตถุประสงค์ ดงั นนั้ การติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนเิ ทศการศกึ ษา เปน็ กระบวนการท่ที างานเชื่อมโยง สมั พันธ์กนั ในการสง่ เสรมิ สนับสนุน การพฒั นาคุณภาพการจดั การศกึ ษาใหบ้ รรลตุ ามมาตรฐาน จุดเน้น หรอื นโยบายทไ่ี ดก้ าหนดไว้ หลกั การนเิ ทศการศึกษา หลักการนเิ ทศสาหรบั ผู้นเิ ทศ ดังนี้ 1. ต้องเปน็ ประชาธิปไตย ตอ้ งเคารพในความแตกตา่ งของบคุ คล เน้นความร่วมมือร่วมใจกนั ในการ ดาเนนิ งานและใช้ความรคู้ วามสามารถในการปฏบิ ตั งิ านเพอื่ ให้งานน้ันไปสูเ่ ป้าหมายทตี่ ้องการ 2. ตอ้ งเปน็ การส่งเสริม สร้างสรรค์ (Creativity) ต้องทาใหค้ รูเกดิ พลังทจ่ี ะคดิ เรม่ิ สงิ่ แปลก ๆ ใหม่ ๆ หรือทางานดว้ ยตนเองได้ เปน็ การแสวงหาความสามารถพเิ ศษของบุคคลแลว้ เปิดโอกาสใหไ้ ดแ้ สดงออกและ พฒั นาความสามารถเหลา่ นัน้ อยา่ งเต็มที่ 3. ตอ้ งอาศัยความรว่ มมอื จากทกุ ฝา่ ย (Cooperation) ที่กระทาร่วมกันและรวมพลงั ทัง้ หมดเพือ่ แกป้ ญั หาดว้ ยกนั โดยยอมรบั และยกยอ่ งผลของความรว่ มมอื ในการปรับปรงุ การเรยี นการสอนจากหลายฝ่าย และทาหน้าทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบชดั แจง้ ในการจดั องค์การ การประเมนิ ผล ตลอดจน การประสานงาน 4. ต้องคานึงถึงความถนดั ของแต่ละบคุ คล ควรสอดคลอ้ งกบั ความต้องการของครู 5. ต้องคานงึ ถึงหลกั การเหน็ ใจ (Considerateness) ตวั บคุ คลท่รี ว่ มงานด้วยการเหน็ ใจ ตระหนกั ในคณุ ค่าของมนษุ ย์ ส่งเสริมความรู้สกึ อบอุ่นให้แก่ครู และการสรา้ งมนุษยสมั พันธ์อันดรี ะหว่างหม่คู ณะ 6. ตอ้ งเรม่ิ ตน้ จากสภาพการณป์ จั จบุ นั ท่ีกาลงั ประสบอยู่ ควรใชก้ ระบวนการวจิ ยั และพยายามหาทาง ให้ครูศึกษางานวิจัยแลว้ นามาแกป้ ญั หาหรอื ปฏิบัตติ ามนน้ั ตอ้ งทราบความต้องการ ปญั หาตา่ ง ๆของครู แล้ววางแผนการนเิ ทศเพ่ือตอบสนองความตอ้ งการ และทาความเข้าใจกบั ปัญหา แยกแยะและวิเคราะห์ ปัญหาร่วมกนั ในปญั หานน้ั ๆ แลว้ พจิ ารณาหาทางชว่ ยแก้ไข
7. ต้องใชว้ ธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ตั้งอยบู่ นหลักการและเหตผุ ล เป็นไปอย่างมีระเบยี บ มีการ ปรบั ปรงุ และประเมินผลการนิเทศ มกี ารรวบรวมข้อมลู และการสรปุ ผลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพเปน็ ทเ่ี ช่ือถอื ได้ 8. ต้องเปน็ การส่งเสริมความก้าวหนา้ และความพยายามของครูใหส้ ูงขึน้ 9. ต้องสง่ เสรมิ และปรบั ปรงุ สมรรถวสิ ยั ทัศนคตแิ ละข้อคดิ เหน็ ของครูใหถ้ ูกต้อง 10. พยายามหลกี เลยี่ งการกระทาทเ่ี ปน็ พธิ กี ารมาก ๆ 11. ตอ้ งใชส้ ่ือ เครื่องมือ และกลวิธีง่าย ๆ 12. ตอ้ งมจี ุดมงุ่ หมายท่ีแน่นอน และสามารถประเมินผลได้ดว้ ยตนเอง 13. ตอ้ งมคี วามถูกตอ้ งตามหลกั วิชาการนเิ ทศการศึกษาที่ดี เปน็ ไปตามวัตถปุ ระสงคแ์ ละนโยบาย ทีว่ างไว้ เปน็ ไปตามความจริงและกฎเกณฑท์ แี่ นน่ อน 14. ตอ้ งถอื หลกั วา่ เปน็ การบรกิ าร ซงึ่ ครเู ป็นผ้ใู ช้บรกิ าร 15. ต้องถอื หลกั การบูรณาการ (Integration) เปน็ กระบวนการซง่ึ รวมส่ิงกระจัดกระจาย ไมเ่ ป็น ระบบ ไมเ่ ปน็ หมวดหมู่ ให้เกดิ ความเชอื่ มโยงสมบรู ณ์ มองเหน็ ได้ 16. ต้องถอื หลกั การมุ่งชมุ ชน (Community) เปน็ การแสวงหาปจั จยั ทส่ี าคัญในชมุ ชน ปรบั ปรุง ปัจจยั เหลา่ นนั้ หาทางใหส้ ถานศกึ ษา ชุมนุมชน องคก์ ารหรอื หน่วยงานทเ่ี กยี่ วข้องทีใ่ กลเ้ คียง มี ความสมั พันธ์กันและชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั เพ่อื สง่ เสรมิ ความเปน็ อยใู่ นชมุ ชนใหด้ ีขนึ้ 17. ต้องถือหลกั การวางแผน (Planning) หมายถึงกระบวนการวิเคราะห์ซงึ่ เกี่ยวกบั การแสวงผล ในอนาคตการกาหนดจุดประสงค์ทต่ี ้องการลว่ งหน้า การพฒั นาทางเลือกเพอ่ื ปฏบิ ัติให้บรรลุถงึ จดุ ประสงค์ และการเลอื กทางปฏบิ ัติใหเ้ หมาะสมทสี่ ุด 18. ต้องถอื หลกั การยดื หยนุ่ (Flexibility) หมายถึง ความสามารถที่จะถูกเปล่ียนแปลงได้และพร้อม อยู่เสมอ ที่จะสนองความตอ้ งการสภาพทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป 19. ต้องถือหลกั วตั ถุวิสัย (Objectivity) หมายถึงคณุ ภาพทเ่ี ป็นผลจากหลกั ฐานตามสภาพความจรงิ มากกวา่ ความเหน็ บุคคล 20. ต้องถอื หลกั การประเมินผล (Evaluation) การหาความจรงิ โดยการวัดที่แน่นอนและหลายอยา่ ง ทั้งผนู้ เิ ทศและผรู้ บั การนิเทศ 21. ต้องหาทางให้ครรู จู้ กั ชว่ ยและพงึ่ ตัวเอง มีความเชื่อมน่ั ในตนเอง ไม่ใชค่ อยจะอาศัยและหวงั พงึ่ ศกึ ษานิเทศกห์ รอื คนอ่ืนตลอดเวลา สามารถวิเคราะหแ์ ละแยกแยะปญั หาตา่ ง ๆ ด้วยตนเองได้ควรเปิด โอกาสใหค้ รไู ดใ้ ชค้ วามคดิ และลงมอื กระทาเองใหม้ ากท่ีสุด 22. ต้องรบั ฟงั ความคดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ ของครู แลว้ นามาพจิ ารณารว่ มกัน 23. ตอ้ งชว่ ยจัดหาแหลง่ วิทยากร จดั หาเอกสาร หนงั สอื ตาราตา่ ง ๆ อุปกรณก์ ารสอน ตลอดจน เคร่ืองมอื เครอื่ งใช้ตา่ ง ๆ ใหแ้ กค่ รู รวมทง้ั ชว่ ยให้ครูรจู้ ักจัดหาหรือจัดทาวสั ดุอปุ กรณ์การสอนที่ขาดแคลน ดว้ ยตนเองโดยใชว้ สั ดุในท้องถิ่นทมี่ ีอยู่ 24. ต้องยอมรบั นับถอื บุคลากรทรี่ ว่ มงานในโรงเรียนนน้ั ๆ และแสดงใหเ้ ขาเห็นว่าเขามคี วามสาคัญ ในสถานศึกษานน้ั ๆ ดว้ ย 25. ต้องทาความเขา้ ใจกบั ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาในสว่ นทเ่ี ปน็ หน้าทแี่ ละความรบั ผิดชอบของกันและ กัน ทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั เร่ืองราวต่าง ๆ ของการศกึ ษาอยา่ งแจม่ แจง้ เพ่ือจะได้ดาเนนิ การให้บรรลุ เป้าหมาย
สรปุ ไดว้ ่า หลกั การนิเทศการศึกษา เนน้ การมสี ่วนร่วมทง้ั ผู้นเิ ทศ ผรู้ บั การนเิ ทศและผทู้ เี่ ก่ียวขอ้ ง บรรยากาศของการนเิ ทศต้องยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ซ่งึ กันและกัน การดาเนินงานตั้งอยู่บนพ้ืนฐานความ เป็นจรงิ เป็นวิทยาศาสตร์ มงุ่ เนน้ ใหผ้ ู้รบั การนเิ ทศค้นหาวธิ กี ารแกป้ ญั หาด้วยตนเอง สรา้ งความไว้วางใจ ให้ผรู้ ับการนเิ ทศศรัทธา เช่อื ถือ ยอมรบั รปู แบบการนเิ ทศการศกึ ษา การนเิ ทศมีรปู แบบที่หลากหลาย เมื่อพจิ ารณาจากอดีตมาถงึ ปจั จุบนั จะพบวา่ มีนักวิชาการ แบ่งรปู แบบการนเิ ทศไว้แตกต่างกันตามยคุ สมัยทงั้ ในประเทศและต่างประเทศ แต่เน่ืองจากรปู แบบ และลกั ษณะการนเิ ทศไม่แตกต่างกันนกั ดังน้ี 1. การนเิ ทศแบบตรวจตรา (Inspection Supervision) การนิเทศแบบนเี้ ปน็ แบบเก่าแก่ทม่ี ใี ช้ มานาน ผูน้ ิเทศจะตรวจการทางานของสถานศกึ ษาให้เปน็ ไปตามกฎเกณฑร์ ะเบยี บของหลักสตู รทก่ี าหนดไว้ 2. การนิเทศแบบเนน้ ผลงาน (Supervision as Production) การนเิ ทศแบบนจี้ ะดผู ลงานของ สถานศกึ ษาว่าสามารถผลิตผเู้ รียนออกสสู่ ังคมอย่างมปี ระสิทธภิ าพหรอื ไม่มากนอ้ ยเพียงใด บางคนเรียก การนิเทศแบบวทิ ยาศาสตร์ เพราะมกี ารวางแผนการทางานอยา่ งเปน็ ระบบระเบียบตรวจสอบ ยอ้ นกลบั ได้ อยา่ งเปน็ ขั้นตอนท่ชี ดั เจน 3. การนเิ ทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) การนิเทศแบบนเ้ี นน้ ท่ีการปรับปรุง กระบวนการ เรียนการสอนในลกั ษณะทพ่ี ิจารณาและแกไ้ ขตามความเหมาะสมของผไู้ ดร้ บั การนเิ ทศแตล่ ะแหง่ จงึ คล้ายกบั การรกั ษาอาการเจบ็ ป่วยของคนไขใ้ ห้มกี ารฟน้ื ฟสู ภาพไดด้ ขี ึน้ แตก่ ารนิเทศการศกึ ษาจะมุ่งให้ผไู้ ดร้ บั การ นเิ ทศเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการเรยี นการสอนใหม้ คี วามเหมาะสมโดยผ้นู เิ ทศและผูไ้ ดร้ บั การนเิ ทศจะได้ พบปะเผชญิ หนา้ กนั และรบั คาแนะนาไปปรับใชต้ ามความเหมาะสมและความจาเปน็ เพือ่ ประโยชน์ของการ ใช้งาน 4. การนิเทศแบบเนน้ การพัฒนา (Developmental Supervision) การนเิ ทศแบบนเ้ี น้นพฒั นา ผไู้ ด้รับการนเิ ทศใหม้ คี วามร้คู วามสามารถในการแกไ้ ขปญั หาของตนเองไดต้ ามสถานการณ์ทเี่ กิดขึ้นใน สถานศึกษา 5. การนิเทศการสอนแบบคสู่ ญั ญา (Buddy Supervision) คอื การนิเทศโดยตรงทเี่ ปิดโอกาสให้ ครู 2 คน ไดด้ ึงเอาศกั ยภาพทางการสอนทีม่ ีอย่ใู นตวั ของแตล่ ะคนออกมาแลกเปลี่ยนเรยี นรกู้ ัน โดยเรมิ่ ต้น จากการจบั ค่สู ัญญา เพื่อสร้างมิตรสมั พันธอ์ นั ดตี อ่ กนั และใช้สมั พันธภาพอนั ดนี ้ี เปน็ ตัวนาไปสกู่ จิ สัมพันธ์ หรือความสาเร็จในการจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบน้ใี ชร้ ะบบกระบวนการทางานแบบกล่มุ สัมพนั ธ์ (Group Process) และใช้ แนวคิดท่ีม่งุ ทั้งการพัฒนาคนและพฒั นางาน คือ เน้นมิตรสมั พันธ์ (Concern for People) และกจิ สมั พันธ(์ Concern for Production)เป็นหลกั เพราะทุกคนยอ่ มมที งั้ ข้อดแี ละข้อเสียอยู่ใน ตวั เอง โดยถ้ามีความชอบที่เหมอื นกนั จะทาใหเ้ ป็นเพ่ือนกนั ไดง้ ่ายข้นึ การนิเทศกจ็ ะเปน็ ไปอย่างราบรื่น 6. การนิเทศแบบกัลยาณมิตร เป็นการช้แี นะและช่วยเหลอื ด้านการเรยี นการสอนของครู มหี ลักการ นิเทศท่ีเน้นประเด็นสาคญั 7. การนเิ ทศแบบรว่ มพัฒนา (Cooperative Development Supervision) เปน็ ปฏสิ มั พนั ธ์ ทางการนเิ ทศระหว่างผู้บรหิ ารสถานศึกษา ศกึ ษานเิ ทศก์และครผู สู้ อนในกระบวนการนิเทศการศึกษาทมี่ ุ่ง แก้ปัญหาและพฒั นาการเรียนการสอนอยา่ งเปน็ ระบบ โดยใช้เทคนคิ การนเิ ทศการสอนเป็นปจั จัยหลกั บน พื้นฐานของสมั พันธภ์ าพแห่งการรว่ มคิด รว่ มทา พง่ึ พาช่วยเหลือ ยอมรบั ซง่ึ กันและกัน ใหเ้ กยี รติและจริงใจ ตอ่ กนั ระหวา่ งผ้นู เิ ทศ ผสู้ อนและ คสู่ ัญญา เพอ่ื ร่วมกันพัฒนาทักษะวิชาชีพอนั จะสง่ ผลโดยตรงต่อการ
พฒั นาคุณภาพการศึกษา การนิเทศแบบนม้ี ุ่งแกป้ ญั หาและพฒั นาการเรยี นการสอนอยา่ งเปน็ ระบบเพอื่ ยกระดบั คณุ ภาพการเรียนของผเู้ รยี น โดยการปรบั ปรุงการปฏิบตั ิงานของผสู้ อนใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพสงู ข้นึ 8. การนิเทศแบบช้ีแนะ (Coaching) การนเิ ทศแบบชีแ้ นะ (Coaching) เปน็ กระบวนการนเิ ทศอยา่ งหนึง่ บางครงั้ เรยี กว่าเทคนคิ การ นิเทศแบบชแ้ี นะ การนิเทศแบบการสอนงาน ทใี่ ชท้ กั ษะการส่อื สารแบบสองทาง (Two way Communication) ซ่งึ ทาอยา่ งเปน็ ทางการและ/หรือไม่เป็นทางการก็ได้ โดยมปี ฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งผู้นเิ ทศ และผรู้ บั การนเิ ทศ ทาใหผ้ นู้ ิเทศและผรู้ ับการนเิ ทศไดร้ ว่ มกนั แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในการจัดกจิ กรรม การเรียนรู้ กอ่ ใหเ้ กิดความสมั พนั ธ์ พันธมิตรอันดรี ะหวา่ งผู้ชแ้ี นะ (Coach) และผ้ถู ูกชแ้ี นะ (Coachee) เปน็ วธิ ีการนากจิ กรรมตา่ ง ๆ ทางการนิเทศไปใช้ในการปฏิบตั ิงานอย่างเหมาะสมกับบคุ คล สถานที่ เวลา หรือสถานการณ์นัน้ ๆ เป็นวิธีการพฒั นาสมรรถภาพ พัฒนาศักยภาพ (Potential) ผลักดนั ใหเ้ กิดการใช้ ศักยภาพสงู สดุ กระต้นุ สรรค์สร้างความคิดและพฒั นาวธิ ีคดิ ให้เกดิ ความเขา้ ใจความเป็นจรงิ ในปจั จบุ ัน (Understand Current Realities) อนั นาไปส่กู ารพฒั นาหรอื สรา้ งการเปลย่ี นแปลงเชงิ บวกในเชิง พฤติกรรมและแสวงหาทางเลอื ก (Explore Alternatives) กาหนดวิธกี ารดาเนนิ การ (Develop Actions) ในการจดั การกบั สถานการณท์ ีเ่ กดิ ขน้ึ อย่างเหมาะสม ช่วยให้สามารถนาความรู้ความเขา้ ใจท่มี ีอยแู่ ละหรือ ได้รับการพฒั นามา ในลกั ษณะเรยี นรูไ้ ปพร้อม ๆ กับการปฏบิ ัติงานให้สามารถปฏิบตั ิงานได้ตามเปา้ หมาย อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ เกิดผลลัพธ์ทั้งในส่วนของชวี ติ การทางาน/วิชาชีพและผลการปฏบิ ัตงิ านของตนเอง (Individual Performance) สอดคลอ้ งกบั ความเป็นจริง ของผ้ถู กู ชี้แนะ (Coachee) เปน็ สาคญั ซงึ่ ถือเป็น สงิ่ ทสี่ าคัญอยา่ งยง่ิ ภายใตส้ ภาพแวดลอ้ มทไี่ ม่แน่นอนและซบั ซ้อนในปจั จุบนั โคช้ จะใหเ้ กยี รตผิ รู้ บั การโค้ชวา่ เปน็ ผู้เชี่ยวชาญในชีวิตของตนเอง และเชอ่ื วา่ ผรู้ บั การโคช้ ทกุ คนมีความคดิ สรา้ งสรรค์ รอบรูแ้ ละสมบรู ณใ์ น ตนเอง ซึง่ การช้ีแนะทดี่ จี ะเกดิ ไดก้ ็ตอ่ เมอ่ื มีความพร้อมโดยเป็นความพรอ้ มของทง้ั ผชู้ แี้ นะ (Coach) และผู้ ถกู ช้แี นะ (Coachee) ร่วมกันเพอื่ เสรมิ สร้างและพฒั นาใหม้ คี วามรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skills) และ คุณลกั ษณะเฉพาะตัว (Personal Attributes) ในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ตาม เปา้ หมายท่กี าหนดไว้ (Result Oriented) โดยจะตอ้ งมกี ารตกลงยอมรบั ร่วมกนั (Collaborative) ระหวา่ ง ผชู้ ี้แนะ (Coach) และผูถ้ ูกช้แี นะ (Coachee) การนเิ ทศแบบช้ีแนะ (Coaching) ผู้ที่มีบทบาทสาคญั อาจเปน็ ศกึ ษานิเทศกห์ รอื ผู้นเิ ทศ ผูบ้ ริหาร สถานศึกษา รวมท้ังเครือขา่ ยการนเิ ทศทีส่ ามารถเปน็ ผู้ช้แี นะได้ ผไู้ ด้รบั การชีแ้ นะส่วนใหญเ่ ปน็ ครทู อี่ ยู่ใน สถานศกึ ษา ทีเ่ ข้ามามสี ว่ นรว่ มในการนเิ ทศการศกึ ษา การดาเนินการเพื่อเพม่ิ ศักยภาพในการจดั การเรยี นรู้ ใหแ้ กค่ รูและผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ให้สามารถจัดการเรยี นรู้ได้อย่างมีคณุ ภาพและไดม้ าตรฐาน การนา เทคนิคการนิเทศแบบช้ีแนะ มาใชใ้ นการนิเทศการศกึ ษา จึงเปน็ วิธีการหนึ่งทีจ่ ะชว่ ยในการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของสถานศึกษาให้มีประสทิ ธิภาพมากข้ึนได้ เป้าหมายการนิเทศแบบชีแ้ นะ 3 ประการ คอื 1) การแกป้ ญั หาในการทางาน 2) การพัฒนาความรู้ ทักษะ หรอื ความสามารถในการทางาน 3) การประยกุ ตใ์ ช้ทกั ษะหรอื ความรใู้ นการทางาน ท่ีตง้ั อยบู่ นหลักการของการเรียนรรู้ ว่ มกัน (Co- Construction) โดยยึดหลกั ว่าไมม่ ใี ครรูม้ ากกวา่ ใคร จงึ ตอ้ งเรยี นไปพร้อมกันเพอื่ ใหค้ น้ พบวิธีการแก้ไข ปัญหาดว้ ยตนเอง ความรบั ผดิ ชอบการนิเทศแบบชแ้ี นะ
1) เปิดเผย สรา้ งความกระจ่างแจ้ง และปรับใหส้ อดคลอ้ งกบั ส่งิ ท่ีผรู้ บั การโค้ช ตอ้ งการบรรลุ 2) กระต้นุ การค้นพบตนเองของผรู้ บั การโคช้ 3) ชว่ ยให้ผรู้ บั การโคช้ พฒั นาวิธีแก้ปญั หาและกลยทุ ธ์ 4) ถือวา่ ความรับผดิ ชอบน้ันเปน็ ของผรู้ ับการโค้ช หลกั การสาคญั ท่ีเป็นพื้นฐานในการการนิเทศแบบชีแ้ นะ ไดแ้ ก่ 1) การเรยี นรรู้ ่วมกนั (co-construction) คอื ไมม่ ีใครรู้มากกวา่ ใคร จงึ ตอ้ งเรยี นไปพร้อมกนั 2) การเรียนรู้วธิ กี ารทางาน ลักษณะการเรียนรเู้ ปน็ การเรียนรจู้ ากการปฏบิ ตั งิ าน พัฒนางานจาก ผูเ้ ชยี่ วชาญทเี่ สนอแนะนาอย่างใกลช้ ดิ 3) ผเู้ ปน็ Coach หรือผเู้ ชย่ี วชาญ มีความเช่ียวชาญเพียงพอทีจ่ ะเป็นผู้แนะนา 4) บรรยากาศของการ Coaching เปน็ บรรยากาศของความเปน็ กลั ยาณมติ ร 5) การเสรมิ พลงั อานาจ (empowerment) เป็นการช่วยค้นหาพลงั ในตัวบคุ คล เมอื่ คน้ เจอกค็ นื พลงั นนั้ ใหเ้ ขาไป นั่นคือตอ้ งช้ใี ห้คน้ พบวธิ ีการแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง เทคนิคทใี่ ช้ในการนิเทศแบบช้แี นะ ดงั นี้ 1) C-Commitment สรา้ งความสมั พนั ธภาพท่ีดรี ะหว่างผู้ทท่ี าหน้าทเี่ ป็น Coach และผู้ทไี่ ดร้ บั การ แนะนาซึ่งเปน็ สมั พันธภาพท่สี รา้ งความไวว้ างใจ สัมพันธภาพที่อบอ่นุ ความสบายใจ ยินดีร่วมในแนวทาง ของ Coaching techniques ซง่ึ นบั วา่ บทบาทสาคัญของ Coach จะตอ้ งดาเนนิ การศึกษาขอ้ มลู ของผทู้ ี่ รับการแนะนา เชน่ จดุ เดน่ ผลงานเด่น อัธยาศยั และนาข้อมลู มาเปน็ แนวทางในการสรา้ งสัมพนั ธภาพการ ใหค้ าชมเชย การสรา้ งบรรยากาศที่ดี 2) Q-Question ใชค้ าถามท่เี ป็นเชิงของความคิดเหน็ ไม่ใหผ้ ้ตู อบจนมุม หรอื เกิดความไมส่ บายใจท่ี จะตอบคาถาม ซงึ่ ผเู้ ปน็ Coach อาจจะต้องใชค้ วามเหมาะสมของผู้รบั คาแนะนาและสภาพปญั หา 3) C-Correct เป็นการเสนอแนะแนวทางแก้ไข หรือการพัฒนางาน ในข้นั ตอนนีผ้ ู้เปน็ Coach ควร ให้ความสาคัญตอ่ ขั้นตอนทส่ี บื เนอ่ื งจากขัน้ Question นาคาตอบของผรู้ บั การแนะนามาวิเคราะหแ์ ละ เสนอแนะแนวทางแก้ไขในลักษณะการแลกเปลี่ยนเรียนรรู้ ว่ มกัน ในส่วนที่ยงั บกพรอ่ ง และสงั เคราะหเ์ ปน็ แนวทางการปฏบิ ตั หิ รือพฒั นางานในลกั ษณะการแลกเปลีย่ นเรยี นรู้รว่ มกนั และในขัน้ ตอนนีค้ วรกาหนด บทบาทในการปฏิบตั แิ ตล่ ะเรอื่ งใหช้ ดั เจน 4) D-Demonstrate นาขอ้ เสนอหรือแนวทางรว่ มกนั คดิ หรอื ทีต่ กลงกันไวใ้ นขัน้ ตอนของ C-Correct หรอื แผนการใชน้ วัตกรรม ใหผ้ รู้ บั การนิเทศปฏิบัติ ผเู้ ป็น Coach คอยให้คาแนะนาอยา่ งใกล้ชิด หรอื อาจ ต้องสาธิตใหด้ ู 5) มลี กั ษณะเปน็ กระบวนการ ประกอบด้วยวิธีการหรือเทคนิคต่าง ๆ ที่วางแผนไวอ้ ย่างดี ดาเนนิ การ ตามข้นั ตอน จนกระทั่งบรรลเุ ป้าหมาย 6) มลี กั ษณะปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผชู้ แี้ นะกบั ผรู้ บั การชแ้ี นะ คอื เปน็ กลมุ่ เลก็ หรอื รายบคุ คล (one- on-on relationship and personal support) และใชเ้ วลาในการพฒั นาอย่างตอ่ เนอื่ ง 7) เป็นกระบวนการที่เปน็ สว่ นหนึ่งของการพัฒนาวชิ าชพี กล่าวคือ ในการพฒั นาวิชาชพี ตอ้ งมี ความสมั พนั ธ์กบั วิธกี ารพฒั นาอน่ื ๆ ลาพังการช้ีแนะอยา่ งเดยี วไมอ่ าจทาให้การดาเนนิ งานสาเรจ็ ได้ การสรา้ งวัฒนธรรมการช้แี นะ ใหเ้ กิดข้นึ ในหนว่ ยงาน จะเปน็ ประโยชน์ต่อทกุ ฝา่ ย หวั หนา้ งานกไ็ ด้ ประโยชนจ์ ากการชแ้ี นะ ตรงทผ่ี รู้ บั การโคช้ ทางานได้ถกู ตอ้ ง ทนั เวลา รบั รถู้ งึ ปญั หาอุปสรรคในการทางาน และความคาดหวังของผู้รบั การโคช้ สร้างสภาพแวดลอ้ มที่ดใี นการทางานและชมเชยใหก้ าลงั ใจการทางาน
ท่ีมีประสทิ ธภิ าพของผรู้ บั การโค้ช สว่ นผรู้ บั การโค้ช ก็จะไดร้ บั รูแ้ ละเขา้ ใจเป้าหมายการทางานของ หน่วยงานและความคาดหวงั ของหวั หน้า รจู้ ดุ แข็งและจุดออ่ นในการทางานของตนเองมกี าลงั ใจในการ ทางาน เมอื่ ทงั้ หวั หน้าและผรู้ บั การโคช้ ได้รบั ประโยชน์จากการชีแ้ นะ ผลการปฏบิ ัติงานของหนว่ ยงานกจ็ ะ บรรลตุ ามเปา้ หมายท่วี างไวไ้ ด้ดีย่งิ ข้นึ นอกจากนีก้ ารสอ่ื สารสองทางทเ่ี กดิ ขน้ึ ในการกระบวนการชีแ้ นะ ยงั ชว่ ยเตรยี มความพรอ้ มรบั การเปลยี่ นแปลงที่เกดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 9. การนเิ ทศแบบเป็นพเี่ ลี้ยง (Mentoring) Mentor (พี่เลยี้ ง) หรือ ผูใ้ หค้ าปรกึ ษาแนะนา เปน็ ผมู้ ปี ระสบการณ์ มที กั ษะ หรอื มคี วามชานาญท่ี ได้รับความไวว้ างใจ และมอบหมายจากหนว่ ยงาน ใหเ้ ปน็ ผูใ้ หค้ วามชว่ ยเหลอื บุคคลอ่นื ผ่านรปู แบบของการ ใหค้ าปรึกษาแนะนา เพอ่ื ใหบ้ ุคคลเกดิ ความเขา้ ใจ สามารถกา้ วข้ามผา่ นปญั หาอุปสรรค และเอาชนะความ ทา้ ทายตา่ ง ๆ ในการทางานได้ ระบบพี่เล้ียง (mentoring system) เปน็ กระบวนการถา่ ยทอดความรแู้ บบตัวต่อตัว แบบระยะยาว จากเพอื่ นรว่ มงานท่มี ีความรปู้ ระสบการณแ์ ละความเข้าใจงานมากกวา่ ไปยงั พนกั งานใหมห่ รือเพ่อื น ร่วมงานทมี่ คี วามรแู้ ละประสบการณน์ อ้ ยกวา่ ระบบพเ่ี ลย้ี งอาจจะถือเปน็ การฝึกงานรูปแบบหนึง่ เนื่องจาก เป็นกระบวนการพฒั นาเชิงสนบั สนนุ และให้กาลงั ใจในระบบพ่ีเล้ียง อาจจะมีการนาประเด็นทเี่ ปน็ เร่ือง สว่ นตวั มาปรึกษาหารือกันไดด้ ว้ ย พ่เี ล้ยี งกบั นอ้ งเลีย้ งกจ็ ะมคี วามสัมพันธท์ ่ใี กลช้ ดิ กนั มากกวา่ โดยพ่เี ล้ียง ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเปน็ หัวหน้างาน แตอ่ าจจะเป็นเพอ่ื นร่วมงานท่มี ตี าแหน่งสูงกวา่ และประสบการณ์มากกว่า ซึง่ อยูใ่ นหนว่ ยงานเดียวกันหรือตา่ งหน่วยงานกนั กไ็ ด้ โดยทวั่ ไประบบพี่เล้ียงจะใช้เวลาคอ่ นขา้ งนาน เพราะ ทง้ั สองฝ่ายจะตอ้ งสรา้ งความคุ้นเคย ความสมั พนั ธ์และความเข้าใจซง่ึ กนั และกัน นอกจากนพ้ี ่เี ล้ียงยงั เปน็ ทป่ี รกึ ษาให้แกผ่ ู้อยู่ในความดแู ลเมื่อมปี ัญหาหรือเกดิ ความสบั สนและทส่ี าคัญพเี่ ลย้ี งจะต้องเป็นแบบอย่างที่ ดที ้งั ในเร่อื งพฤตกิ รรม จริยธรรมและการทางานให้สอดคลอ้ งกับความต้องการขององคก์ รด้วย ดงั นน้ั กจิ กรรมต่าง ๆ ของระบบพ่ีเลย้ี งน้นั มีเปา้ หมายทง้ั ในระดับองค์กรและระดบั บคุ คล การสรา้ งระบบพเ่ี ลย้ี งในท่ีทางานจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ทกุ ฝ่าย ไม่ว่าจะเปน็ พนกั งานใหมห่ รอื พนกั งาน ทอ่ี ยใู่ นองคก์ ร พี่เลีย้ งและองคก์ ร โดยนอ้ งเลี้ยง (Mentee หรือ Protégé) กจ็ ะไดป้ รับปรงุ การทางาน ได้รับ ความช่วยเหลอื และคาแนะนาเพ่ือสรา้ งความกา้ วหน้าในอาชีพ (Career Path) โดยได้รบั Feedback แบบ รายบุคคล สามารถกาหนดเปา้ หมายทางอาชพี ทเ่ี ป็นไปไดจ้ ริงและบรรลุเปา้ หมายนน้ั ไดร้ ับการฝกึ ภาวะ ความเปน็ ผ้นู า เป็นโอกาสในการสร้างเครอื ขา่ ยและบทบาททง้ั ภายในและภายนอกหน่วยงาน เข้าใจ วฒั นธรรมและค่านยิ มขององค์กรมากข้นึ ไดฝ้ ึกงานกบั ต้นแบบอยา่ งใกล้ชดิ มีโอกาสไดร้ ับมอบหมายงานท่ี ทา้ ทายและไดร้ บั การสนบั สนุนให้ก้าวหนา้ ได้มากขึน้ สาหรบั พเ่ี ล้ยี ง (Mentor) จะได้รบั รู้มมุ มองใหม่ ๆ พัฒนาภาวะผนู้ าหรอื การเปน็ ผบู้ งั คับบัญชาที่ดแี ละทักษะการสือ่ สารและการสร้างสมั พนั ธภาพท่ีดกี ับบุคคล อื่น ขยายเครือข่ายความรว่ มมือใหก้ ว้างขวางข้นึ เป็นตน้ แบบทไ่ี ด้รบั การยอมรบั และชืน่ ชมจากทรัพยากร บคุ คลในองค์กรในแง่ขององค์กร หนว่ ยงาน การมรี ะบบพเี่ ลยี้ งเป็นกระบวนการสร้างกลมุ่ คนทมี่ ศี กั ยภาพใน การทางานสงู และรักษาคนเกง่ คนดไี วใ้ นหน่วยงาน โดยสรา้ งบรรยากาศการเรยี นรทู้ ่ีสง่ เสรมิ ให้กล้าแสดง ความคดิ เห็น มีความคดิ รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ พรอ้ มรับความทา้ ทายใหม่ ๆ ทจี่ ะเกดิ ข้ึน นอกจากนีย้ ังเป็นการ สรา้ งความสมั พนั ธ์ที่ดีในหนว่ ยงาน ความแตกตา่ งของการโคช้ (การช้แี นะ) (Coaching) กบั การเป็นพเี่ ลี้ยง (Mentoring) Mentor (พีเ่ ลีย้ ง) อาจเป็นคนท่ีทางานอยใู่ นหนว่ ยงานเดียวกนั กบั ผรู้ ับคาปรกึ ษาแนะนา หรอื อาจ เป็นบคุ คลภายนอกทห่ี นว่ ยงาน จา้ งมา Mentor แตกตา่ งจากโค้ชตรงท่ี Mentor สามารถแบง่ ปนั
ประสบการณ์ เทคนคิ และให้คาแนะนาตามทไี่ ด้รบั การรอ้ งขอ ขณะทโ่ี ค้ชจะหลกี เลีย่ งการให้คาแนะนา หรือให้คาแนะนาเท่าทจี่ าเป็น แตจ่ ะมงุ่ เน้นกระตุ้นให้โคช้ ชคี่ ดิ จนเกิดความเขา้ ใจดว้ ยตนเองเปน็ หลัก โค้ช สามารถใหค้ าแนะนาไดต้ ามที่โค้ชช่รี ้องขอ หรอื ใหค้ าแนะนาเสริมในประเด็นปลีกยอ่ ย ภายหลงั จากโค้ชช่ไี ด้ กาหนดวิธดี าเนนิ การ (Action) ทีต่ นเองรสู้ กึ พงึ พอใจ และสอดคล้องกบั สถานการณแ์ ล้ว การช้แี นะและระบบพเี่ ล้ียง จงึ เปน็ วิธีที่ช่วยปูพน้ื ฐานใหพ้ นกั งานใหมห่ รอื ผทู้ เี่ ปลยี่ นไปทางานใน ตาแหนง่ ใหม่ หลายคนอาจจะสับสนว่าการสอนกบั ระบบพ่ีเล้ยี งเหมอื นกนั เพราะใชท้ กั ษะเดยี วกัน ไดแ้ ก่ ทักษะในการติดตอ่ สือ่ สารและสรา้ งสมั พนั ธภาพท่ดี กี บั บคุ คลอ่ืน แต่แมว้ ่าจะทงั้ สองกระบวนการจะใช้ ทักษะเดียวกนั แตก่ ็มคี วามแตกตา่ งกัน ซึ่งการเลอื กใชใ้ หเ้ หมาะกบั สถานการณแ์ ละวัตถุประสงค์กจ็ ะเป็น ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาทรัพยากรบคุ คลในองคก์ รไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและบรรลุตามเป้าหมายได้ดยี ิ่งขนึ้ การชแ้ี นะ (Coaching) เป็นการพฒั นาความรู้และทกั ษะของบุคคลเพอื่ ใหม้ ผี ลการปฏบิ ตั งิ านท่ีดขี ึ้น หรอื อกี นัยหนงึ่ การชีแ้ นะ มงุ่ เน้นใหเ้ กิดผลการปฏิบัติงานทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพสงู และการทางานได้ดีขึ้น ในการ ช้ีแนะ ผู้ชแี้ นะมีประสบการณ์ทางานมากกว่าจะใหค้ าแนะนาวิธีปฏิบัตงิ านแก่รับการช้แี นะหรือพนกั งานใหม่ โดยเปน็ กระบวนการที่ใชเ้ วลาไมน่ านและมกั จะมลี ักษณะเปน็ การพดู คยุ หารอื กันเป็นครงั้ คราว เพอ่ื ปรบั ปรุง การทางานในด้านใดดา้ นหนง่ึ แบบมีเปา้ หมายทชี่ ดั เจนและเฉพาะเจาะจง ดังน้นั การชแ้ี นะจะเปน็ กระบวนการทผี่ ชู้ แี้ นะใชใ้ นการพฒั นาศกั ยภาพของผรู้ ับการโค้ชให้มีความรู้ ทกั ษะ และพฤตกิ รรมในการ ทางานใหบ้ รรลผุ ลตามเป้าหมายท่ีต้ังไว้ โดยเนน้ ผลการปฏิบตั ิงานหรอื เนอ้ื หาของงานเปน็ สาคญั โดยใช้ การสอื่ สารทง้ั แบบเป็นทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ เชน่ การสอบถามถึงปัญหาอปุ สรรคในการทางานและ ปรกึ ษาหารอื เพือ่ ร่วมกันแก้ไขปญั หาต่าง ๆ เพือ่ เปิดโอกาสใหพ้ นักงานไดแ้ สดงความคิดเหน็ และรับรู้ถงึ เป้าหมายและยทุ ธศาสตร์ขององค์กร หนว่ ยงาน แมว้ า่ การช้แี นะกบั ระบบพี่เลี้ยงจะแตกตา่ งกัน แต่กเ็ ป็นกระบวนการที่ช่วยพฒั นาและเพิ่ม ประสิทธิภาพของทรพั ยากรบุคคลในองค์กร หน่วยงาน ใหท้ างานได้อยา่ งเตม็ ศักยภาพและส่งเสรมิ ให้เกิด องค์กร หนว่ ยงาน แห่งการเรียนรทู้ ี่พรอ้ มรับความเปลยี่ นแปลง ดังนนั้ การใชร้ ะบบทัง้ สองควบคูก่ ันไปใน บรบิ ททเี่ หมาะสมจงึ น่าจะเปน็ ทางเลอื กทดี่ สี าหรบั องค์กร หนว่ ยงาน ตา่ ง ๆ ในสภาวะปจั จบุ นั นี้ 10. กระบวนการนิเทศดว้ ยรูปแบบการนิเทศ LOR กระบวนการนเิ ทศเพอื่ ยกระดบั ผลสมั ฤทธท์ิ างการโรงเรยี นขยายโอกาสทางการศกึ ษา ท่นี าแนวคดิ ของ L: Lesson Study O: Open Approach R:Reflective Coaching มาผสมผสานการนเิ ทศท่ี สอดคลอ้ งกบั สภาพบรบิ ทของเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสระบรุ ี เขต 1 11. การนเิ ทศแบบลงแขก เปน็ กระบวนการนิเทศ ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการบรหิ ารจดั การตามบทบาทและหน้าที่ ของสานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษา ท่ีได้นาแนวคิด หลักการ การนิเทศ ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผล การบรหิ ารแบบเครอื ขา่ ยความรว่ มมอื วฒั นธรรมการลงแขกเก่ียวขา้ ว หลักการจงั หวดั เคล่ือนทีข่ อง กระทรวงมหาดไทย ทเี่ นน้ กระบวนการทเี่ กดิ จากความร่วมมอื ร่วมแรง รว่ มใจและความเสียสละของ คณะกรรมการนเิ ทศ ทตี่ อ้ งไปคน้ หาจุดเดน่ เพอื่ นามาช่ืนชมยกย่องและเปน็ แบบบอยา่ งใหก้ ับโรงเรียนอื่น คน้ หาจดุ ทค่ี วรพฒั นาเพอ่ื ให้การชว่ ยเหลือ ชแ้ี นะ ใหค้ าปรึกษา สร้างทางเลอื ก เตมิ เตม็ ต่อยอด ด้วยวิธีการ จากการพูดคยุ สนทนา ซักถาม สงั เกต ตรวจสอบ ทเ่ี น้นเชิงประจักษต์ ามสภาพจรงิ ทเี่ ป็นไปตามบรบิ ทของ แต่ละโรงเรยี น
จากรปู แบบการนเิ ทศดังกล่าวสรุปได้ว่า รูปแบบการนิเทศมอี ยา่ งหลากหลาย อาทิ การให้ คาแนะนา การตรวจตรา การเนน้ ผลงาน แบบคลนิ กิ แบบการร่วมพฒั นา แบบคสู่ ญั ญา แบบกลั ยาณมิตร การนิเทศสอนงาน เป็นตน้ การจะเลือกใชร้ ูปแบบใดควรคานงึ ถึงบริบทและเป้าหมายการนเิ ทศและสามารถ นาหลายรปู แบบมาบูรณาการ ประยกุ ตใ์ ช้เพือ่ ความเหมาะสมได้ กระบวนการนิเทศจะตอ้ งเปิดใจกวา้ งและ เรยี นรูร้ ่วมกนั ทุกฝ่าย ทกุ คน เพอ่ื แกป้ ญั หาในห้องเรียนและสถานศกึ ษาใหอ้ ยู่ในระดบั มาตรฐานทส่ี งั คม ยอมรบั ได้ การมีปฏสิ มั พันธ์อนั ดจี ะกอ่ ให้เกดิ มติ รภาพทงี่ ดงาม สานตอ่ ในการนเิ ทศครง้ั ถดั ไปด้วยจงึ ควรใช้ ถอ้ ยคาและท่าทางที่เป็นมติ รในการแนะนาช่วยเหลือ เรยี นรไู้ ปพร้อมกนั สกู่ ารค้นพบวิธกี ารทเ่ี หมาะสม ซ่ึงรปู แบบการนเิ ทศการศกึ ษาของไทยจะมลี กั ษณะของความสัมพันธท์ างใจเขา้ มาเก่ียวของโดยจะ เปน็ การช่วยเหลือกนั อยา่ งจรงิ ใจเพ่ือใหง้ านดาเนนิ ไปในทิศทางทถ่ี กู ตอ้ งตามความต้องการของผนู้ เิ ทศและ ผไู้ ด้รับการนเิ ทศรว่ มกนั กระบวนการนเิ ทศการศึกษา 1. กระบวนการนเิ ทศ PIDRE เปน็ กระบวนการนเิ ทศการศกึ ษาของไทย ประกอบไปด้วยขนั้ ตอน ดังต่อไปน้ี ขนั้ ที่ 1 การวางแผนการนิเทศ (P-Planning) ขน้ั นผ้ี ูน้ ิเทศจะประชมุ ปรกึ ษาหารอื เพื่อให้ได้มาซ่งึ ปัญหา ความต้องการ ความจาเปน็ ของส่งิ ที่จะต้องมีการนเิ ทศ รวมทั้งวางแผนถึงขน้ั ตอนการปฏบิ ัติงาน เก่ยี วกับการนเิ ทศท่จี ะจัดขน้ึ อกี ดว้ ย ขั้นที่ 2 ใหค้ วามรู้ในสิ่งท่ีจดั ทา (I-Informing) เปน็ ข้ันตอนของการให้ความรคู้ วามเขา้ ใจถงึ สงิ่ ทจ่ี ะ ดาเนินการวา่ จะตอ้ งอาศัยความรู้ ความสามารถอยา่ งไรบา้ ง จะมขี ัน้ ตอนในการดาเนินการอยา่ งไรบ้าง และจะทาอยา่ งไรจึงจะทาให้ผลงานออกมาอยา่ งมคี ณุ ภาพ ข้ันนีจ้ าเป็นทุกครงั้ สาหรบั การเรมิ่ การนิเทศท่ี จัดข้นึ ใหมไ่ ม่วา่ จะเปน็ เรอื่ งใดก็ตาม และมีความจาเป็นสาหรบั งานนเิ ทศทเี่ ปน็ อย่างไมไ่ ด้ผล หรอื ได้ผลยงั ไม่ ถึงข้ันทพ่ี อใจ ซง่ึ จาเป็นจะตอ้ งทาการทบทวนใหค้ วามรใู้ นการปฏบิ ัตงิ านทถ่ี กู ต้องอกี ครงั้ หนง่ึ ขั้นที่ 3 การปฏบิ ัติงาน (D-Doing) การปฏิบตั ิงานประกอบดว้ ย 3 ลกั ษณะ คอื 3.1 การปฏบิ ัติงานของผรู้ ับการนิเทศ เป็นขน้ั ทผ่ี รู้ บั การนเิ ทศลงมอื ปฏบิ ตั งิ านตามความรู้ ความสามารถที่ได้รบั มาจากการดาเนนิ การในข้ันท่ี 2 3.2 การปฏิบัตงิ านของผใู้ หก้ ารนเิ ทศ ขนั้ นี้ผู้ใหก้ ารนเิ ทศจะทาการนเิ ทศและควบคมุ คณุ ภาพใหง้ าน สาเรจ็ ออกมาทันตามกาหนดเวลาและมคี ุณภาพสงู 3.3 การปฏิบัติงานของผสู้ นับสนนุ การนิเทศ ผบู้ รหิ ารจะใหบ้ รกิ ารสนบั สนุนในเรอื่ งวสั ดุอปุ กรณ์ ตลอดจนเครือ่ งใชต้ ่าง ๆ ท่จี ะช่วยให้การปฏิบัตงิ านเปน็ ไปอย่างได้ผล ขั้นที่ 4 การสรา้ งขวญั และกาลงั ใจ (R-Reinforcing) ขน้ั น้ีเปน็ ขัน้ ของการเสรมิ แรงของผู้บริหาร เพือ่ ใหผ้ ู้รบั การนเิ ทศมีความมนั่ ใจและบงั เกดิ ความพงึ พอใจในการปฏบิ ัตงิ าน ขนั้ นอ้ี าจดาเนนิ การไปพรอ้ ม ๆ กนั ขณะที่ผรู้ บั การนเิ ทศกาลงั ปฏบิ ตั ิงานหรือการปฏิบัตงิ านได้เสรจ็ สน้ิ ลงไปแลว้ ก็ได้ ขนั้ ที่ 5 ประเมนิ ผลและกระบวนการดาเนินงาน (E-Evaluation) ผู้นเิ ทศจะทาการประเมินผลงาน และประเมินผลการดาเนินงานทผี่ ่านไปแลว้ ว่าเป็นอย่างไร หลงั จากการประเมินผลการนเิ ทศไดพ้ บว่า มี ปัญหาหรอื อุปสรรคอย่างหนึง่ อยา่ งใดท่ีทาให้การดาเนินงานไม่ได้ผล กส็ มควรจะต้องทาการปรบั ปรงุ แกไ้ ข อาจทาโดยใหค้ วามรู้ในสงิ่ ทีท่ ามาคร้ังหนง่ึ ถ้าผลงานออกมาไม่ถึงขนั้ ทีพ่ อใจ ควรดาเนนิ การปรบั ปรงุ วธิ ีการ ดาเนินงานทั้งหมด สาหรบั กรณีที่กระบวนการดาเนนิ งานเปน็ ไปไมไ่ ดผ้ ล ถา้ หากการประเมินผลงานและการ ดาเนนิ งานได้ผลดสี ามารถดาเนินการต่อไปได้
2. กระบวนการนิเทศ PDCA กระบวนการนิเทศการศกึ ษา ได้ใชก้ ระบวนการ PDCA ในการดาเนินการมขี นั้ ตอนของการวางแผน การนิเทศเปน็ สว่ นสาคัญ ดงั นี้ ขั้นตอนที่ 1 ดาเนินการวางแผน เปน็ ขน้ั เตรยี มการนเิ ทศ โดยศึกษาขอ้ มลู สารสนเทศ ประมวล สภาพปญั หาและความต้องการในการพฒั นาการศึกษา กาหนดจุดมุ่งหมายการนิเทศ จดั ทาแผนการนเิ ทศ กาหนดเนื้อหาการนเิ ทศ ออกแบบการนเิ ทศ ส่อื นเิ ทศ จัดเตรยี มเครอื่ งมือนเิ ทศ กาหนดกรอบการประเมิน วธิ กี ารติดตามและการรายงานผลการนเิ ทศ และขออนมุ ัตโิ ครงการ งบประมาณ ขัน้ ตอนที่ 2 ดาเนินการตามแผนนเิ ทศ โดยประชมุ เพอ่ื ทบทวนจุดมุ่งหมายการนเิ ทศ แบง่ หนา้ ที่ ภารงานในการนเิ ทศ ประสานงานบุคคลทเี่ กีย่ วข้อง และนิเทศตามแผนด้วยรปู แบบ เทคนคิ วิธีการท่ีกาหนด ขั้นตอนที่ 3 ดาเนนิ การตรวจสอบและประเมินผล เพอื่ ประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านวา่ เป็นไปตาม จุดมงุ่ หมายหรอื ไม่ และมสี ภาพการจัดการเรยี นการสอนทคี่ รปู ฏิบตั จิ รงิ ปญั หา อปุ สรรค ทเี่ ป็นข้อมลู สารสนเทศทตี่ ้องตรวจสอบดใู หม่ แลว้ ปรับปรงุ การนเิ ทศตอ่ ไป ขน้ั ตอนที่ 4 การนาผลการประเมินมาปรบั ปรุง เม่อื ส้นิ สุดผลการนเิ ทศแต่ละครัง้ ควรรายงานผล ใหผ้ ู้บงั คบั บญั ชาทราบโดยทาเป็นบนั ทึกข้อความ หรือแบบรายงานทีก่ าหนดไว้ในหวั ขอ้ ประเด็นตา่ ง ๆ เชน่ ผู้นิเทศ ผรู้ ับการนเิ ทศ วันเดือนปที ีน่ ิเทศ กจิ กรรมทนี่ เิ ทศ เนอ้ื หาสาระท่นี เิ ทศ การประเมนิ ผลของผรู้ บั การ นิเทศ และข้อควรพฒั นา 3. กระบวนการนเิ ทศวธิ กี ารเชิงระบบ (system approach) เปน็ กระบวนการทที่ าใหก้ ารนิเทศบรรลผุ ลสาเรจ็ อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและประสิทธผิ ลตอ่ ผลลัพธ์ท่ี กาหนดอยบู่ นพืน้ ฐานหลกั การความต้องการเป็นรปู แบบหนงึ่ ของการแก้ปญั หาเชิงตรรกวทิ ยา ซ่ึง ประกอบดว้ ย ส่งิ ท่ปี ้อนเขา้ ไป (Input) กระบวนการหรอื การดาเนินงาน (Process) ผลผลิตหรอื การ ประเมนิ ผล (Output) ในการดาเนินงานนเิ ทศภายใน ดงั น้ี ข้นั ท่ี 1 สิ่งท่ีป้อนเขา้ ไป (Input) เปน็ ขั้นตอนการเตรยี มการสง่ิ ต่าง ๆ ท่จี าเปน็ ต้องใช้ในกระบวนการนิเทศ ดังนี้ 1) กาหนดเกณฑใ์ นการพฒั นาคุณภาพการเรียนการสอนตามนโยบายโดยวิธี วิเคราะห์ตคี วามตาม นโยบาย กาหนดพฤติกรรมที่สนองนโยบาย กาหนดเกณฑ์ (ระดบั ) ของพฤติกรรมข้นั ต่าทบี่ รรลเุ ป้าหมาย 2) สภาพปัจจุบัน อาจสรุปจากขอ้ มลู ทมี่ อี ยู่ เช่น ผลการเรียน หรอื โดยการสรา้ ง เครือ่ งมอื วัดตาม ประเดน็ และนามากาหนดเป็นเกณฑ์ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากกลุ่มตัวอยา่ งตา่ ง ๆ ทเ่ี หมาะสม 3) ประเมินสภาพความต้องการจาเปน็ ของสถานศึกษา โดยเปรียบเทยี บข้อมลู สถานศึกษากบั เกณฑจ์ ดั ลาดบั ความสาคญั ของปญั หาและวเิ คราะหส์ าเหตขุ องปญั หา 4) กาหนดเป้าหมายเพือ่ แกป้ ญั หาโดยศกึ ษาจากแหลง่ วทิ ยาการต่าง ๆ ศกึ ษาขอ้ จากัดต่าง ๆ เพอ่ื กาหนดเป็นเป้าหมาย ทงั้ ด้านคณุ ภาพ/ด้านปริมาณ 5) วางแผนการแกป้ ัญหา (หาทางเลือก) ศกึ ษาสภาพปัญหาและศึกษาวธิ กี ารแก้ปญั หาจากแหล่ง ตา่ ง ๆ เช่น จากเอกสาร การศกึ ษาดงู าน การเชิญวิทยากร การเชญิ ผเู้ ช่ยี วชาญ หรอื การระดมพลงั สมอง เพื่อหาทางเลือกและประเมนิ ทางเลือกโดยพิจารณาจากทรพั ยากรและข้อจากัดต่าง ๆ และเลือกทางเลือกท่ี เหมาะสมทสี่ ดุ เช่น การวจิ ัย ผลิตสื่อ การจัดอบรม ใหก้ าหนดกจิ กรรมและทาแผนปฏิบัตกิ าร (เขยี น โครงการ) ขน้ั ท่ี 2 กระบวนการหรือการดาเนนิ งาน (Process)
เปน็ การนาเอาสงิ่ ทป่ี อ้ นเขา้ ไปมาจดั กระทา เพื่อใหเ้ กิดผลบรรลุตามวตั ถปุ ระสงคท์ ีต่ อ้ งการ โดย ดาเนินการตามแผน โดยการประชมุ คณะทางานดาเนนิ การนิเทศตามแผน ติดตามและประเมนิ ตามแผนท่ี ได้ดาเนินการ ขั้นท่ี 3 ผลผลติ หรือการประเมนิ ผล (Output) เป็นผลทไ่ี ดจ้ ากการกระทาในขั้นทสี่ อง เปน็ สภาพการดาเนินงานของสถานศึกษา ทัง้ เชิงปริมาณ เชิงคณุ ภาพ สภาพปัญหา และแนวทางการพัฒนาปรบั ปรงุ ให้มคี ณุ ภาพ การติดตามและประเมนิ ผลได้ กาหนดเคร่อื งมอื ในการตดิ ตามและประเมินผลตามเกณฑเ์ ครอ่ื งมอื ในการติดตามและประเมินผล กระบวนการและกาหนดกระบวนการในการติดตามและประเมนิ ผล 4. กระบวนการการนเิ ทศ ตามแนวคิดของ Harris เป็นกระบวนการวางแผนการนเิ ทศที่ได้พัฒนาใหม้ ีความสมบูรณ์เหมาะสมกับการนิเทศมากขนึ้ โดย เนน้ การวางแผนการปฏบิ ัติงาน มากกว่าการควบคุมงานเหมอื นทีเ่ คยแบง่ ไว้ ทาให้มีขน้ั ตอนเพม่ิ ขน้ึ เปน็ 6 ขนั้ ตอนดังนี้ ข้นั ตอนที่ 1 การประเมนิ สภาพการทางาน (Assessing) เปน็ กระบวนการศึกษาถงึ สภาพต่าง ๆ เพอื่ ใหไ้ ด้ข้อมลู เพื่อเปน็ ตัวกาหนดการเปลยี่ นแปลง มี กระบวนการย่อยๆ ดังนี้ -การวิเคราะห์ขอ้ มลู เพ่อื จะศกึ ษาถงึ ธรรมชาติและความสมั พนั ธ์ของเรอ่ื งต่างๆ -การสงั เกตเปน็ การมองสงิ่ รอบตัวด้วยความละเอียดถ่ีถ้วน -การทบทวนเปน็ การตรวจสอบสงิ่ รอบตวั อย่างตงั้ ใจ -การวัดพฤติกรรมการทางาน –การเปรยี บเทียบพฤตกิ รรมการทางาน ข้ันตอนท่ี 2 การจัดลาดบั ความสาคญั ของงาน (Prioritizing) เป็นกระบวนการกาหนดความสาคัญของงานตามเปา้ หมายวตั ถุประสงคแ์ ละกิจกรรมตามลาดบั ความสาคญั ซงึ่ ประกอบด้วยหวั ข้อต่อไปนี้ -การกาหนดเป้าหมาย -การกาหนดวัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ -การกาหนดทางเลอื ก -การจัดลาดบั ความสาคญั ของงาน ขน้ั ตอนท่ี 3 การออกแบบวธิ ีการทางาน (Designing) เป็นกระบวนการวางแผนหรอื กาหนดโครงการต่าง ๆ เพ่อื กอ่ ให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงโดย ประกอบดว้ ยกระบวนการย่อย ๆ ดังน้ี -การจัดสายงานเป็นการจดั สว่ นประกอบตา่ งๆของงานใหส้ มั พันธ์กัน -การหาวิธีการนาเอาทฤษฎีหรอื หลักการไปสกู่ ารปฏิบตั ิ -การเตรียมการต่างๆใหพ้ ร้อมทจ่ี ะทางาน -การจัดระบบการทางาน -การกาหนดแผนในการทางาน ขัน้ ตอนที่ 4 การจัดสรรทรพั ยากร (Allocating Resources)
เปน็ กระบวนการกาหนดทรพั ยากรต่าง ๆ ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สุดในการทางาน ซง่ึ ประกอบดว้ ย กระบวนการยอ่ ยๆ ดังน้ี -การกาหนดทรพั ยากร ที่ต้องใช้ความตอ้ งการของหนว่ ยงานตา่ งๆ -การจัดสรรทรพั ยากรไปใหห้ น่วยงานตา่ งๆ -การกาหนดทรัพยากรทจ่ี าเป็นจะตอ้ งใช้สาหรบั ความมงุ่ หมายเฉพาะอย่าง -การมอบหมายบคุ ลากรใหท้ างานในแตล่ ะโครงการหรอื แตล่ ะเป้าหมาย ขน้ั ตอนท่ี 5 การประสานงาน (Coordination) เปน็ กระบวนการทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั งาน เวลา วสั ดุ อุปกรณ์ และสงิ่ อานวยความสะดวกทกุ ๆอย่าง เพือ่ ใหก้ ารเปลย่ี นแปลงบรรลผุ ล ซง่ึ ประกอบด้วย กระบวนการย่อยๆ ดังน้ี -การประสานการปฏิบตั งิ านในฝ่ายตา่ งๆให้ดาเนินการไปด้วยความราบร่นื -การสรา้ งความกลมกลนื และความพร้อมเพรียงกัน -การปรบั การทางานในสว่ นตา่ งๆใหม้ ปี ระสิทธภิ าพให้มากทสี่ ุด -การกาหนดเวลาในการทางานในแตล่ ะชว่ ง -การสรา้ งความสมั พนั ธ์ใหเ้ กดิ ข้ึน ขน้ั ตอนท่ี 6 การอานวยการ (Directing) เป็นกระบวนการทมี่ อี ิทธพิ ลตอ่ การปฏิบัติ เพ่อื ให้เกดิ สภาพทเี่ หมาะสมทจ่ี ะสามารถบรรลผุ ลแหง่ การเปล่ียนแปลงให้มากทสี่ ุด มกี ระบวนการยอ่ ย ๆ ดังน้ี -การแตง่ ตงั้ บุคลากร -การกาหนดแนวทางหรอื กฎเกณฑ์ในการทางาน -การกาหนดระเบียบแบบแผนเกีย่ วกบั เวลา ปรมิ าณ หรืออตั ราเรง่ ในการทางาน -การแนะนาการปฏิบตั ิงาน -การตดั สนิ ใจเกี่ยวกับทางเลอื กในการปฏิบตั ิงาน 5. กระบวนการนเิ ทศการสอนแบบคูส่ ญั ญา 4 ขนั้ ตอน ดังนี้ ขัน้ ที่ 1 การเสนอนแนวคิด 1) ผู้นิเทศเสนอแนวคดิ เกย่ี วกบั การนเิ ทศการสอนแบบคสู่ ญั ญาให้กับผรู้ ับการนเิ ทศนาไปปฏิบัติ ภายใต้การสนับสนุนทุกรปู แบบ 2) เมอื่ ผรู้ ับการนเิ ทศยอมรับหลกั การแลว้ ใหผ้ ู้รบั การนเิ ทศจบั คู่สัญญาทม่ี ปี ัญหาการเรียนการสอน ในวชิ าเดียวกนั หรอื ชนั้ เดียวกนั เพือ่ ร่วมกนั วางแผนการนเิ ทศ เชน่ สังเกตการสอน เขียนแผนการจัดการ เรยี นร้แู ละเตรยี มส่ือการสอน เปน็ ต้น 3) ค่สู ญั ญาแต่ละคนเขยี นแผนการจดั การเรียนรใู้ นวิชาทีม่ ปี ญั หาโดยต่างฝ่ายตา่ งเขยี นแผนการ จัดการเรยี นรู้ตามแนวคิดของตน ขน้ั ที่ 2 การสาธิต (สมมตวิ า่ ผ้รู บั การนิเทศ A เปน็ คูส่ ัญญากับผ้รู ับการนิเทศ B) 1) ผรู้ ับการนเิ ทศ A สาธิตการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ของตน โดยมผี ูร้ บั การนเิ ทศ B เปน็ ผู้ สงั เกตการสอนและบันทึกจุดเดน่ จดุ ด้อยของผรู้ ับการนเิ ทศ A ตามแบบสงั เกตการสอน 2) ผูร้ บั การนเิ ทศ B สาธิตการสอนตามแผนการจัดการเรยี นรู้ของตนในวชิ าทีม่ ีปญั หาเดียวกับผ้รู บั การนิเทศ A โดยมีผรู้ ับการนเิ ทศ A เปน็ ผสู้ ังเกตการสอนและบันทกึ จุดเด่น จดุ ดอ้ ยตามแบบสงั เกตการสอน เชน่ เดยี วกนั
3) ผู้รับการนเิ ทศ A และผูร้ บั การนเิ ทศ B รว่ มกนั วเิ คราะห์วจิ ารณ์จุดเดน่ จดุ ด้อยของกนั และกนั เพอื่ นาจดุ เด่นของแตล่ ะคนมาพฒั นาให้ดยี ่งิ ข้ึนและช่วยกันปรับปรุงแก้ไขจุดดอ้ ย 4) ผรู้ บั การนเิ ทศ A และผรู้ บั การนเิ ทศ B นาจดุ เด่นของแตล่ ะคนมาบรู ณาการเพื่อสรา้ งนวตั กรรม หรือแนวทางแกป้ ญั หาในรปู แบบใหมท่ ีน่ าเอาสว่ นดขี องแต่ละคนมาผสมผสานกัน ขนั้ ท่ี 3 การปฏิบัติ 1) ผรู้ บั การนเิ ทศ A และผรู้ บั การนเิ ทศ B นาวธิ กี ารสอนทไ่ี ดร้ ับการปรบั ปรงุ ตามขนั้ ที่ 2 ข้อท่ี 4 มาใชป้ ฏบิ ตั กิ ารสอนในวิชาเดิมหรือในบทเรียนตอ่ ไป 2) ผู้รบั การนเิ ทศ A และผู้รบั การนเิ ทศ B นิเทศการสอนซ่งึ กันและกันอกี ครง้ั หนงึ่ แลว้ สรปุ ผลการ นิเทศการสอน ขนั้ ที่ 4 การวัดและประเมินผล 1) ผูร้ บั การนเิ ทศ A และผู้รบั การนเิ ทศ B รว่ มกนั วดั และประเมินผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของ ผ้เู รยี นหากยงั ไมบ่ รรลจุ ุดประสงค์การเรยี นรู้ คสู่ ญั ญาตอ้ งกลบั ไปค้นควา้ หาความรู้หรอื แนวคิด ทฤษฎที ี่ เก่ยี วขอ้ งกบั ปัญหานน้ั เพม่ิ เตมิ เพอ่ื นามาแลกเปลย่ี นเรียนรู้และใชแ้ ก้ปญั หารว่ มกันอนั จะนาไปส่วู ธิ ีการ แกป้ ัญหาใหม่ 2) ถา้ ผเู้ รยี นมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นบรรลุตามวตั ถุประสงค์แล้ว คู่สัญญาควรแสดง ความยนิ ดรี ว่ มกัน เพ่ือเป็นขวัญกาลังใจและเป็นแรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธ์ใิ นการทางาน 6. กระบวนการนิเทศการสอนแบบรว่ มพัฒนา มลี กั ษณะคลา้ ยกระบวนการของการนเิ ทศแบบคูส่ ัญญา แตม่ ีข้นั ตอนมากกวา่ ดังน้ี 1) คู่สัญญาตกลงรว่ มกัน 2) วิเคราะหป์ ญั หาการเรยี นการสอนรว่ มกัน 3) กาหนดวตั ถุประสงคใ์ นการแกป้ ญั หาหรือพัฒนา 4) วางแผนการจดั การเรยี นรู้และผลิตสอ่ื 5) วางแผนการนเิ ทศการสอน 6) สอนและสังเกตการสอน 7) วิเคราะหผ์ ลการสอนและผลการสังเกตการสอน 8) ให้ขอ้ มูลปอ้ นกลับซึง่ กันและกัน 9) วางแผนการจดั การเรยี นรู้และการนเิ ทศการสอนตอ่ เนอ่ื ง 7. กระบวนการของการนเิ ทศแบบกัลยาณมติ ร มีกระบวนการดังนี้ 1) ไม่มุ่งเน้นปริมาณ เน้นความชดั เจนของข้นั ตอน วธิ กี าร 2) สานพลงั อาสา เริม่ ที่ศรัทธา อาสาสมคั ร ไมใ่ ช่การสง่ั การ 3) เสวนารว่ มกัน ใชอ้ ปริหานิยธรรม 7 ดังนี้ - หมนั่ ประชมุ เป็นเนืองนิตย์ – พร้อมเพรียงทากจิ ทพี่ งึ ทา - ปฏบิ ตั ิตามหลกั การท่ีวางไว้ สงิ่ ใดดอี ยรู่ รู้ กั ษา - ศรัทธา ยอมรบั นับถือกนั และกนั - ไมบ่ งั คับ ไม่หา้ ห่นั ลแุ กอ่ านาจบงั คับบัญชา - พัฒนาไปตามสภาพจรงิ ของสถานศึกษาทเ่ี ปน็ เร่อื งชดั แจ้ง
-คมุ้ ครองเสรมิ แรง ใหก้ าลงั ใจ 4) สร้างสรรค์ความเป็นมติ ร ชักชวนใหร้ ว่ มกนั พฒั นา 5) ฝึกคิดมุ่งม่นั มคี วามเพียร อดทน รูจ้ กั ใชเ้ หตผุ ล 6) ทกุ วนั ปฏบิ ตั ิ ทาอย่างต่อเนือ่ ง 7) จัดทาบนั ทกึ แนวทาง รจู้ ักสงั เกตแลว้ บันทกึ กระบวนการนิเทศการสอนแบบรว่ มพัฒนา 8) การนิเทศการสอนแบบกลั ยาณมติ ร มหี ลักการนเิ ทศทเี่ นน้ ประเดน็ สาคัญ 4 ประการ คอื 8.1) การสรา้ งศรทั ธา ผ้นู เิ ทศจะต้องสรา้ งศรทั ธาเพ่ือใหค้ รยู อมรบั และเกดิ ความสนใจทจ่ี ะใฝร่ ทู้ ีใฝ่ ปรับปรงุ การจดั กระบวนการเรียนรู้ 8.2) การสาธิตรปู แบบการสอน ผู้ใหก้ ารนิเทศจะต้องแสดงใหเ้ ปน็ ที่ประจักษ์ชดั ว่าการสอนท่เี นน้ ผู้เรียนเป็นสาคญั นน้ั สามารถปฏบิ ตั แิ ละทาได้จรงิ ๆ และครสู ามารถนารูปแบบไป ประยกุ ตใ์ นช้ันเรยี นได้ 8.3) การร่วมคิดแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ผ้นู เิ ทศและผู้รบั การนเิ ทศ จะต้องมีการพบปะกันอยา่ ง สม่าเสมอ มกี ารรว่ มคิดแก้ปัญหาและแลกเปล่ียนเรียนรู้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ซง่ึ กนั และกัน 8.4) การติดตามประเมินผลตลอดกระบวนการ ผู้นิเทศจะตอ้ งบันทกึ การนเิ ทศอยา่ งสมา่ เสมอ สังเกตและรับฟังข้อมลู ปอ้ นกลบั จากเพอื่ นครผู ูร้ บั การนเิ ทศ ศึกษาปัญหาและแนวทางแกไ้ ข เพ่ือสร้างสงั คม แห่งการเรียนรู้ขึ้นใหม่อย่างเปน็ ระบบและต่อเนอื่ งสบื ไป จุดประสงคข์ องการนเิ ทศแบบนี้ เพือ่ พฒั นา กระบวนการเรยี นรซู้ งึ่ ประกอบดว้ ยการเปิดใจ การให้ใจ การรว่ มใจ ตั้งใจสร้างสรรคค์ ณุ ภาพและเง่อื นไขที่ ไมเ่ นน้ ปรมิ าณงานแต่เน้นคุณภาพ 8. กระบวนการนิเทศด้วยรปู แบบการนิเทศ LOR รูปแบบการนเิ ทศ LOR การนาแนวคิดของ L: Lesson Study O: Open Approach R:Reflective Coaching มาผสมผสานการนเิ ทศทส่ี อดคลอ้ งกับสภาพบรบิ ทของเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษา ประถมศกึ ษาสระบรุ ี เขต 1 ประกอบด้วย 3 ข้นั ดงั น้ี ข้นั ท่ี 1 การนเิ ทศก่อนการจัดการเรยี นรู้ 1.1 ผู้นเิ ทศพบผบู้ รหิ ารโรงเรยี นและครผู รู้ บั การนเิ ทศทุกคน แนะนาผู้นิเทศทกุ คนและชแ้ี จงให้ ผู้บริหารโรงเรยี นและครผู รู้ บั การนเิ ทศเข้าใจถงึ วัตถปุ ระสงคก์ ารนเิ ทศครง้ั น้ีวา่ เพอ่ื ช่วยเหลือการปรบั ปรุง การเรยี นการสอนทีส่ ง่ ผลตอ่ คุณภาพนกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้นท่ีเนน้ จดุ ประกายขายความคิด ขยาย/ต่อยอดความคิด กระตุ้น ถามหา ยว่ั ยุ ทา้ ทาย ยกยอ่ ง ชมเชย ใหก้ าลังใจ/สร้างแรงบันดาลใจ ตอบ ดว้ ยคาถาม เพ่อื ใหส้ ามารถคดิ เองได้ ไมส่ ง่ั ไม่สอนและใช่เปน็ การจบั ผดิ 1.2 ครูผู้รบั การนเิ ทศและผนู้ เิ ทศ ศกึ ษาและสนทนาเกี่ยวกบั แผนการจัดการเรยี นร้ทู จี่ ะใหส้ งั เกต การจดั การเรียนรคู้ รั้งนี้ ร่วมกนั ขน้ั ที่ 2 การนเิ ทศระหวา่ งการจัดการเรียนรู้ ท่ใี ชว้ ธิ แี บบเปดิ (O:Open Approach) ผนู้ เิ ทศ สงั เกตการจดั การเรียนรขู้ องครูผรู้ ับการนเิ ทศ ตามแผนฯทก่ี าหนด ทเ่ี น้นการจัดการเรียนรู้ โดยใชว้ ิธแี บบเปดิ (O:Open Approach) ตามขนั้ ตอน 4 ข้ัน ตอ่ ไปน้ี 2.1 ขน้ั นาเสนอสถานการณ/์ คาถาม/ปัญหาปลายเปดิ 2.2 ขัน้ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองของนกั เรียน 2.3 ขัน้ อภิปรายและเปรยี บเทยี บแนวคิดของนักเรยี น 2.4 ขน้ั สรุปโดยเชือ่ มโยงแนวคิดของนกั เรียน
ขัน้ ท่ี 3 การนิเทศหลังการจดั การเรียนรู้ เน้นการสะทอ้ นผลการจดั การเรียนรู้ (Reflective Coaching) 3.1 ครูผ้รู บั การนเิ ทศสะทอ้ นผลการจดั การเรยี นรู้ (Reflective Coaching) เปน็ ผสู้ ะทอ้ นคนแรก โดยสะท้อนตามประเด็น ตอ่ ไปนี้ 3.1.1 วเิ คราะห์การจัดการเรียนการสอนคร้ังนี้วา่ บรรลตุ ามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรหู้ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด 3.1.2 พฤตกิ รรมการเรยี นรูห้ รือแนวคิดของนักเรยี นทเ่ี กิดขนึ้ ในช้นั เรียน มีแนวคดิ ใดบา้ ง และไดร้ บั การบรหิ ารจดั การจากครอู ยา่ งทวั่ ถงึ หรือไม่ อยา่ งไร 3.1.3 พฤตกิ รรมการสอนของครู การใชส้ อ่ื การสอน และการวดั และประเมนิ ผลเป็น อย่างไร 3.1.4 จดุ เด่นของการจัดการเรยี นการสอนครง้ั นี้ มหี รอื ไม่ อยา่ งไร 3.1.5 ระบุประเดน็ ปญั หา ท่ีเป็นจุดควรพฒั นาการจัดการเรยี นการสอนครั้งนี้ มหี รอื ไม่ พร้อมเสนอแนะแนวทางตอ่ ยอดการพฒั นาการจัดการเรียนการสอน ในครั้งตอ่ ไป 3.2 ผู้นเิ ทศเป็นผสู้ ะทอ้ นผลการจดั การเรยี นรู้ (Reflective Coaching) โดยเน้นการเสริมแรงเชงิ บวกและต่อยอดจากการสะท้อนของครผู ูร้ บั การนเิ ทศ ตามประเดน็ การสะทอ้ น ดังนี้ 3.2.1 วิเคราะห์การจดั การเรียนการสอนคร้งั นวี้ ่าบรรลตุ ามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรหู้ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด 3.2.2 พฤติกรรมการเรียนรหู้ รือแนวคิดของนกั เรียนทเ่ี กิดขนึ้ ในชนั้ เรยี น มีแนวคดิ ใดบา้ ง และไดร้ บั การบรหิ ารจดั การจากครอู ย่างท่วั ถึงหรอื ไม่ อย่างไร 3.2.3 พฤตกิ รรมการสอนของครู การใชส้ อ่ื การสอน และการวัดและประเมนิ ผลเปน็ อยา่ งไร 3.2.4 จดุ เดน่ ของการจัดการเรยี นการสอนครง้ั น้ี มหี รอื ไม่ อย่างไร 3.2.5 ระบปุ ระเด็นปญั หา ท่ีเปน็ จดุ ควรพฒั นาการจดั การเรียนการสอนคร้งั นี้ มหี รอื ไม่ พร้อมเสนอแนะแนวทางต่อยอดการพฒั นาการจดั การเรียนการสอน ในครงั้ ต่อไป 3.3 ผนู้ ิเทศบันทกึ ผล ตามแบบบนั ทึกการนเิ ทศ 3.4 ผ้นู ิเทศบนั ทกึ สมดุ นิเทศของโรงเรียนทร่ี ับการนเิ ทศ 9. กระบวนการนเิ ทศแบบลงแขก โดยมขี น้ั การนิเทศ ดังนี้ ขน้ั ที่ 1 การเรยี นรู้ (Learning) เปน็ ขั้นให้ความรแู้ ก่โรงเรยี นในเรือ่ ง แผนยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายกระทรวงศึกษาธกิ าร ยทุ ธศาสตร์กระทรวงศึกษาธกิ าร นโยบายจุดเนน้ ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพืน้ ฐานและ สานักงานเขพน้ื ท่ีการศึกษา การบรหิ ารจดั งานงาน 4 ด้าน ดว้ ยวิธตี ่าง ๆ ได้แก่ การประชมุ อบรม ประชมุ ปฏิบตั กิ าร ศกึ ษาดงู าน การศกึ ษาเอกสาร การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ การศึกษาดว้ ยตนเองจากแหลง่ เรียนรู้ตา่ ง ๆ เพ่อื ใหเ้ กิดการเรียนรทู้ แ่ี ท้จริง ขน้ั ท่ี 2 นาส่กู ารปฏบิ ตั ิ (Implement) โรงเรียน โดยผู้บริหารโรงเรียน ครู คณะกรรมการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานและผู้เกี่ยวขอ้ ง ไดน้ าสง่ิ ท่ีได้จาก การเรยี นร้นู าไปสกู่ ารปฏิบัติ ตามบทบาทและหนา้ ที่ของแตล่ ะตาแหนง่ และสายงาน ขัน้ ท่ี 3 ค้นหา (Search for)
คณะกรรมการการนิเทศแบบลงแขก โดยสานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษา ออกไปเยี่ยมเยียนให้ กาลังใจเพอื่ คน้ หาจุดเดน่ จุดทีค่ วรพฒั นาและขอ้ เสนอแนะ เพ่อื ยกย่องใหก้ าลังใจแกผ่ ู้บรหิ าร ครู นักเรยี น และผเู้ ก่ยี วขอ้ ง ทเ่ี น้นหลักฐานเชงิ ประจกั ษท์ ่ีเกิดกบั นักเรยี นทกุ คน ครูทกุ คนในห้องเรยี น เปน็ หลกั ข้ันที่ 4 สะทอ้ นผล (Reflective) ประกอบด้วย 2 กจิ กรรม คือ กจิ กรรมท่ี 1 คณะกรรมการการนิเทศแบบลงแขกแตล่ ะโรงเรยี น นาผลทีไ่ ดจ้ ากการค้นหา มา นาเสนอให้กับผบู้ รหิ าร ครแู ละผเู้ กย่ี วขอ้ งในโรงเรยี นทนั ที พร้อมกับชื่นชมและให้กาลังใจในสิง่ ทีโ่ รงเรียน ประสบผลสาเรจ็ และชีแ้ นะทางเลอื กใหก้ บั โรงเรยี น ในสงิ่ ทโ่ี รงเรียนยงั ไม่ประสบผลสาเรจ็ กจิ กรรมท่ี 2 คณะกรรมการการนเิ ทศแบบลงแขกแตล่ ะคณะ นาผลท่ีไดจ้ ากการค้นหาของแตล่ ะ โรงเรยี น นาเสนอใหก้ บั ผู้บรหิ าร ครวู ชิ าการของแตล่ ะโรงเรยี นในแตล่ ะวันทีท่ าการนเิ ทศและคณะกรรมการ นเิ ทศลงแขกทกุ โรงเรยี นไดร้ ่วมแลกเปลย่ี นเรียนรู้ เพอื่ นาผลทีไ่ ด้จากการคน้ หาไปพฒั นาต่อยอดต่อไป ขัน้ ท่ี 5 ทบทวนหลังการปฏิบตั กิ ิจกรรม (After Action Review) หลงั จากท่ีคณะกรรมการการนเิ ทศแบบลงแขก ไดด้ าเนนิ การนิเทศลงแขกครบทกุ กลมุ่ โรงเรียนและ ทุกโรงเรยี นแล้ว มาประชุมสรปุ ผลการนเิ ทศในภาพรวมทง้ั หมด ว่าท่ดี าเนินการทงั้ หมดเปน็ ไปวตั ถปุ ระสงค์ และเปา้ หมายทกี่ าหนดหรอื ไม่ มปี ระเดน็ ใดหรือเรอื่ งใดทบี่ รรลผุ ลสาเร็จ มปี ระเดน็ ใดหรอื เร่อื งใดที่บงั บรรลผุ ลสาเร็จและเกิดจากสาเหตุใด จะมีวธิ กี ารแกป้ ญั หาอยา่ งไร และจะมวี ิธีการอยา่ งไรใหเ้ กิด ประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลสูงสูดในการดาเนนิ การนิเทศลงแขกครง้ั ตอ่ ไป 10. การนิเทศแบบ Coaching ขน้ั ตอนการนเิ ทศแบบใหค้ าชแ้ี นะ (Coaching) ข้นั ตอนการนิเทศแบบใหค้ าช้ีแนะเพ่ือเพม่ิ ศักยภาพครูและผบู้ รหิ ารสถานศึกษาใหส้ ามารถจัดการ เรียนรแู้ ละยกระดบั คณุ ภาพการศึกษาของสถานศึกษาใหส้ งู ข้นึ มีขั้นตอนหลักสาคญั อยู่ 3 ข้ันตอน ดังนคี้ ือ ข้นั ตอนที่ 1 การเตรียมการกอ่ นการให้คาชีแ้ นะ การเตรยี มการก่อนการให้คาชแ้ี นะ เปน็ การเตรยี มองค์ความรู้ในการนาไปใช้ในการชแ้ี นะ โดยมี วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ช่วยใหค้ รสู ามารถจดั กิจกรรมการเรียนร้ใู ห้กบั ผ้เู รยี นอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ซงึ่ ผู้นเิ ทศจะคอยแนะนา ให้คาปรึกษา ช่วยเหลือ ให้ครูสามารถจดั กจิ กรรมการเรยี นรอู้ ย่างต่อเนื่อง นอกจากผู้ช้ีแนะจะเสนอแนะแล้ว ต้องใหค้ รไู ด้วิเคราะหต์ นเอง ให้สามารถจัดกจิ กรรมการเรยี นร้ไู ด้ อยา่ งมคี ุณภาพ ในสภาวะแวดลอ้ มตา่ ง ๆ และสามารถแกป้ ญั หาอปุ สรรคในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ให้ หมดไป การใหค้ าช้แี นะจะชว่ ยให้ครสู ามารถสะทอ้ นภาพการปฏิบัติงานของครู เพือ่ ให้ตระหนักวา่ การจดั กิจกรรมการเรียนรูน้ ้นั จะตอ้ งใช้วิธกี ารจดั การเรียนรอู้ ยา่ งไร เพือ่ ท่ีจะใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรูอ้ ยา่ งมีคุณภาพจาก การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนของครู ขณะเดยี วกันผใู้ หค้ าช้ีแนะจะไดข้ ้อมลู ความรทู้ จ่ี าเปน็ ซึ่งครูยังขาด อยู่ ดงั นน้ั การให้คาช้ีแนะที่มปี ระสิทธิภาพไม่เพียงขนึ้ อยู่กบั ทักษะของผนู้ เิ ทศ และความสามารถในการรบั การนเิ ทศ (Receptiveness) ของครูเทา่ น้ัน แตย่ ังขึ้นอยู่กบั องค์ประกอบแวดลอ้ มหลายประการด้วยกนั ผู้ ชแี้ นะควรจะตอ้ งเปน็ ผูร้ ักการอ่าน รกั การแสวงหาความรู้ และจะต้องมกี ารขวนขวายหาขอ้ มลู ความร้ใู หม่ อย่ตู ลอดเวลา รวมทงั้ จาเป็นอยา่ งยง่ิ ทผ่ี ้ใู หค้ าชแ้ี นะ จะต้องมคี วามพรอ้ มก่อนการให้คาชแี้ นะดงั ต่อไปน้ี 1.1 การสรา้ งองค์ความรู้ ผทู้ าหนา้ ทใ่ี ห้คาชแ้ี นะ ตอ้ งมกี ารสรา้ งองค์ความร้เู รือ่ งตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1.1 การจดั การเรยี นรู้ หลักสูตรและการออกแบบการเรยี นรู้ 1.2 การวิจัยในชน้ั เรยี น
1.3 การจัดการเรียนร้โู ดยใช้โครงงาน 1.4 การใชส้ ื่อเทคโนโลยเี พ่อื พฒั นาการเรียนการสอน 1.5 เรือ่ งอ่ืน ๆทเี่ ก่ียวขอ้ ง 1.2 การสรา้ งทมี งาน ปจั จยั ท่ีสาคัญในการทางานให้ประสบผลสาเรจ็ คือ คน ซงึ่ มผี ลกระทบตอ่ บรรยากาศในการทางาน ของกล่มุ วา่ จะราบร่ืนเป็นไปในทางสร้างสรรค์ มกี ารสนบั สนนุ เกื้อกลู ซง่ึ กันและกนั การชว่ ยเหลือกนั ในการ แกไ้ ขปญั หา อปุ สรรค และขอ้ ยุง่ ยากใหผ้ ่านพน้ ไปได้น้ัน ตอ้ งอาศัยการทางานเป็นทมี ศกั ยภาพของคนในกลมุ่ เพอ่ื การทางานร่วมกนั คดิ ร่วมกนั วางแผนรว่ มกนั และแกป้ ญั หาร่วมกนั นับว่าเป็นการรวมพลงั ของทมี งาน ซง่ึ จะสง่ ผลใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ในการทางานมากยง่ิ ข้ึน ดงั นนั้ การทางานเปน็ ทมี จึงเปน็ วธิ ีการท่ีไดผ้ ลมากทส่ี ดุ การมสี ว่ นรว่ ม มคี วามผกู พนั และสร้างความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมาชิกในทมี งานเปน็ อย่างดี การสร้างทมี งานที่ ประสบผลสาเรจ็ มแี นวทางการสร้างทมี งาน ดังนี้ 1.2.1 กาหนดทิศทางอยา่ งเร่งด่วน สมาชิกทมี ตอ้ งการความแน่นอนในการตง้ั วัตถุประสงค์ และความ คาดหวงั ของทีม ซ่ึงต้องมตี วั บ่งชท้ี ช่ี ัดเจนท่จี ะเป็นแนวทางในการทางานใหบ้ รรลผุ ลสาเรจ็ 1.2.2 การเลอื กต้งั สมาชิกทมี ควรจัดใหอ้ ยบู่ นพืน้ ฐานของทกั ษะและศกั ยภาพทมี่ อี ยู่ และทมี จาเป็นตอ้ งมที กั ษะทจี่ ะทาให้เกิดความสมบรู ณข์ ้ึนภายใน 3 ประการ คอื ทกั ษะทางเทคนิคในหน้าทีก่ ารงาน ทกั ษะในการแก้ไขปญั หาเฉพาะหน้า และทักษะความสมั พันธ์ระหวา่ งบคุ คล 1.2.3 การประชมุ หรอื พบปะกนั ครัง้ แรก ต้องทาด้วยความพถิ ีพิถันต้งั ใจ เพ่ือสรา้ งความประทบั ใจ ใหเ้ กิดขึ้น มีกาหนดระยะเวลาให้ทกุ คนรแู้ น่นอน และมกี ารย้าเตือนโดยผู้นาทีมหรอื ผู้บรหิ ารอาจใชอ้ านาจ หนา้ ท่คี อยดแู ลภายในทมี 1.2.4 ตั้งกฎในทมี ปฏบิ ตั ิใหช้ ดั เจน การพัฒนาทมี ท่แี ทจ้ รงิ โดยนากฎเกณฑ์มาช่วยให้พบกบั ความสาเรจ็ ในเร่ืองวัตถุประสงค์และจุดมงุ่ หมายในการปฏิบตั งิ าน จดุ เน้นทคี่ วรสนับสนนุ คอื การ เปิดเผยจรงิ ใจตอ่ กนั การสรา้ งให้เกดิ ความไว้วางใจกันและกนั การมขี ้อตกลงร่วมกันอย่างมีความเหมาะสม ต่อการปฏบิ ัติงาน 1.2.5 จดุ มงุ่ หมายและความเหมาะสมในการปฏบิ ัตงิ านที่ตง้ั ข้ึน จะไม่ยดึ ตดิ กับผบู้ รหิ าร แตจ่ ะ ต้ังขนึ้ โดยสมาชกิ มสี ว่ นรว่ ม เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสาเรจ็ ตามทีไ่ ดต้ ้ังจดุ มงุ่ หมาย 1.2.6 สรา้ งความท้าทายให้กบั กลมุ่ ในการทางาน ด้วยการนาขอ้ มลู ข่าวสารขอ้ เทจ็ จริงใหมๆ่ มา ช่วยสนับสนุนการทางานของสมาชิกในทมี 1.2.7 ใหเ้ วลาแก่กันและกันใหม้ ากทีส่ ดุ อาจเปน็ เวลาตามท่ีนดั หมายกันไวห้ รอื ไมไ่ ด้นดั หมายกไ็ ด้ 1.2.8 การใช้อานาจบารมีให้เกดิ ประโยชน์ เชน่ การใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับในทางบวก ความเอาใจใส่ซึง่ กนั และกัน การให้รางวลั เป็นต้น 1.3 องค์ประกอบของทมี งานพัฒนาคุณภาพ ทีมงานพฒั นาคณุ ภาพทม่ี ีประสทิ ธภิ าพควรมลี กั ษณะดังนี้ คือ เป็นทีมงานทที่ างานเพอื่ เปา้ หมายร่วมกนั มี ความขดั แยง้ ระหว่างสมาชกิ น้อยมาก สมาชิกแตล่ ะคนมีพฤติกรรมสนบั สนุนซง่ึ กนั และกนั การตดิ ต่อสอ่ื สาร เปน็ ไปโดยเปิดเผย และสมาชกิ ทางานร่วมกันอย่างมคี วามสขุ ดงั นน้ั การทางานเป็นทมี จะสมบูรณ์ได้ จาเป็นตอ้ งใชค้ วามพยายามอย่างเป็นระบบและตอ่ เนือ่ งยาวนาน เปน็ ท่ี พึงพอใจของสมาชกิ ทุกคน จะทาให้ สมาชิกสามารถรักษาสถานภาพทีด่ ีของทีมไว้ เพื่อพฒั นางานใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ตอ่ ไป โดยการสร้างพลัง
ความสาเรจ็ ของทีมจะต้องสร้างความเช่อื มนั่ สร้างเปา้ หมายรว่ มกัน สรา้ งความภูมใิ จและความเปน็ เจา้ ของ และสรา้ งความศรทั ธาและความไว้วางใจ ซ่ึงองคป์ ระกอบของทีมงานพฒั นาคุณภาพ ควรประกอบดว้ ย 1.3.1 ทมี นา ประกอบด้วย ผู้เชยี่ วชาญ ผทู้ รงคุณวุฒิ คณะกรรมการนิเทศการศกึ ษา 1.3.2 ทีมทา ประกอบดว้ ย ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ครู ศึกษานิเทศก์ 1.4 การจดั ทาข้อมลู และสารสนเทศของสถานศึกษาเพอ่ื ใช้ในกระบวนการใหค้ าชแ้ี นะ ปัจจบุ ันขอ้ มลู สารสนเทศมคี วามจาเปน็ อย่างย่ิง สาหรบั การบรหิ ารการศึกษาโดยเฉพาะการบรหิ าร สถานศึกษา การมีขอ้ มลู และระบบสารสนเทศทีด่ ี ถกู ต้อง เปน็ ปัจจบุ นั จะทาใหผ้ บู้ รหิ ารสถานศกึ ษาตัดสินใจได้ ถกู ต้อง แมน่ ยา ทนั กาลมากขึน้ โดยเฉพาะในการวางแผนการศกึ ษาและการยกระดบั คุณภาพการศึกษา ซึง่ ผู้บรหิ ารสถานศึกษานอกจากการปฏิบัติหนา้ ท่ีในงานที่ตอ้ งใชค้ วามรคู้ วามสามารถแล้วยงั ต้องใช้ขอ้ มลู สารสนเทศ เปน็ เคร่ืองมือในการบรหิ ารจัดการโดยมเี ป้าหมายการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของผู้เรยี น และสถานศึกษาขนาด เล็กใหม้ ปี ระสทิ ธิผลและประสทิ ธภิ าพยิ่งข้นึ ขอ้ มูลและระบบสารสนเทศทดี่ คี วรครอบคลมุ องคป์ ระกอบพ้นื ฐาน ของการจดั การศึกษา และต้องมกี ารจัดเกบ็ อย่างเปน็ ระบบ ง่ายต่อการนาไปใช้อันจะส่งผลใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุด ตามนโยบายการจดั การศึกษา ซึ่งอาจแบง่ ไดด้ ังนี้ 1.4.1 ขอ้ มูลและสารสนเทศพื้นฐานของสถานศกึ ษา ไดแ้ ก่ ขอ้ มูลทว่ั ไปของสถานศึกษาและชุมชน อาคารเรียน อาคารประกอบ และสงิ่ อานวยความสะดวกทีม่ อี ยใู่ นสถานศึกษา เชน่ หอ้ งเรยี น ห้องปฏบิ ัตกิ าร วัสดุ อุปกรณก์ ารเรียนการสอน หอ้ งสมดุ ตลอดถึงแหลง่ เรยี นร้ทู ้ังในและนอกสถานศึกษา เป็นต้น 1.4.2 ข้อมลู และสารสนเทศท่เี ก่ียวกับผเู้ รยี น ผูเ้ รียนเปน็ องค์ประกอบทีส่ าคัญของสถานศกึ ษา การ เก็บรวบรวมข้อมูลของผเู้ รยี นรายบุคคล เช่น ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน คอื NT O-NET แลว้ ยังตอ้ งเกบ็ รวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับดา้ นภมู หิ ลงั ทางครอบครวั และชุมชนทีน่ ักเรยี นอาศัยอยู่ 1.4.3 ข้อมูลและสารสนเทศทีเ่ กี่ยวกับครูและการจดั การเรียนการสอน เช่น จานวนครู คุณวฒุ ิ การศกึ ษา ตาแหนง่ หน้าที่ วิชาทีส่ อน ผลงานทางวชิ าการ การจดั แผนการเรยี น/ชนั้ เรียน อปุ กรณก์ ารสอน แหลง่ ขอ้ มลู เรยี นรู้ ระเบยี นสะสม ตารางสอน และผลการปฏิบัติงานของครู รวมถงึ บุคคลภายนอกทม่ี คี วามรู้ ความสามารถพเิ ศษในด้านตา่ ง ๆ สามารถเปน็ วิทยากร ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิหรอื ครูภมู ปิ ญั ญาไทย เปน็ ตน้ ขอ้ มลู ใน ด้านกระบวนการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ ลกั ษณะของวิธีการสอน ตารางสอน การมสี ว่ นรว่ มของนกั เรยี น การใชต้ ารา เรยี น ส่อื การสอน การประเมนิ ผลการเรยี นการสอน การรายงานผลการเรียน การสอนซ่อมเสรมิ วิธแี ละการใช้ เครอ่ื งมือประเมิน การวางแผนการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นนาไปพฒั นาผเู้ รียน การพจิ ารณากิจกรรมแนะแนว กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน การวิจัยในชั้นเรยี น เปน็ ต้น 1.4.4 ข้อมูลและสารสนเทศทีเ่ ก่ียวกับการบรหิ ารงานวชิ าการ ซ่ึงจัดเป็นหัวใจของงานด้าน การศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชนและหนว่ ยงานต่าง ๆ ใหค้ วามสนใจและต้องการทราบขอ้ มลู ทถี่ กู ตอ้ งรวดเร็ว เชือ่ ถอื ได้ เชน่ หลกั สตู ร แผนการจดั การเรียนรู้ คมู่ ือ การพฒั นาหลกั สูตรการสารวจความตอ้ งการของชมุ ชน และการใช้ตาราเรียนของครูและนกั เรยี น การจดั ทาคลงั ขอ้ มลู คลงั ขอ้ สอบทเ่ี ปน็ ระบบและเปน็ ปจั จุบนั เปน็ ตน้ 1.5 แผนการนเิ ทศและเคร่อื งมือการนเิ ทศ การวางแผนเพื่อการใหค้ าชแ้ี นะ จะต้องกาหนดเปา้ หมายและตัวชว้ี ัดในการชี้แนะให้ครอบคลมุ ชัดเจน ต่อการยกระดบั คุณภาพการศกึ ษา ใช้กระบวนการรว่ มคิด ร่วมทาในการวางแผน การชีแ้ นะ หานวตั กรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ งและสอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของสถานศกึ ษา ซ่ึงทาใหส้ ามารถรว่ มกันกาหนด แนวทางในการพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา และทุกคนรู้สกึ เป็นเจา้ ของทจี่ ะพฒั นา และร่วมกันพฒั นาอยา่ งเตม็ ที่ ซ่ึงจะสง่ ผลให้การดาเนนิ การการยกระดับคุณภาพการศึกษาสงู ขน้ึ
แผนการให้คาชี้แนะจะตอ้ งมงุ่ พฒั นาเจาะลกึ และเปน็ แผนใหค้ าชีแ้ นะทส่ี ามารถในการนาไปใช้ในการ ยกระดบั คุณภาพการศึกษา แผนและเครอ่ื งมอื การช้แี นะสามารถนาไปใช้ในการแกป้ ญั หาและพัฒนาคณุ ภาพ การศกึ ษาไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ซง่ึ มอี งคป์ ระกอบของแผนการใหค้ าชแ้ี นะ ดงั น้ี 1) วัตถปุ ระสงค์ 2) เป้าหมาย 3) ประเด็นการใหค้ าชีแ้ นะ/กจิ กรรม - การจดั การเรียนรู้ หลกั สตู รและการออกแบบการเรียนรู้ - การวิจยั ในชนั้ เรียน - การจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน - การใชส้ ื่อเทคโนโลยีเพือ่ พฒั นาการเรยี นการสอน - เรอ่ื งอนื่ ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง 4) ระยะเวลา 5) ผู้ชแี้ นะ ผรู้ บั การให้คาช้แี นะ 6) สื่อ เครื่องมอื 7) สรปุ ประเมนิ ผลการนิเทศ ขัน้ ตอนที่ 2 การดาเนินการใหค้ าชีแ้ นะ ข้นั ตอนการดาเนนิ งานให้คาชี้แนะเป็นขัน้ ตอนทีศ่ ึกษานิเทศก์หรอื ผูช้ ้ีแนะ ช่วยใหค้ รนู าความรู้ ความเข้าใจท่ีมอี ยู่ หรือทไ่ี ดร้ ับจากการอบรมไปปฏิบตั ใิ หเ้ กดิ ผลสาเรจ็ ตามศกั ยภาพหรอื ความสามารถของ ครแู ตล่ ะคน เป็นการพฒั นากลุม่ ครจู านวนนอ้ ยหรอื รายบุคคลอยา่ งเขม้ ข้น ทางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เช่น การสงั เกตการสอนในช้นั เรยี น พจิ ารณาผลงานนักเรยี นร่วมกนั กบั ครู เป็นการพฒั นาในบรบิ ทการทางานใน สถานศึกษา ขน้ั ตอนการให้คาชี้แนะประกอบด้วย 3 ขน้ั ตอนย่อย ดังน้ี 2.1 การศึกษาต้นทุนเดมิ เปน็ ขั้นทศ่ี กึ ษานเิ ทศกห์ รอื ผ้ใู หค้ าชแี้ นะทาความเขา้ ใจวิธคี ดิ วิธีการทางาน และผลทเี่ กดิ ขน้ึ จากการทางานของคณุ ครูวา่ อย่ใู นระดบั ใด เพอื่ เปน็ ขอ้ มลู ในการตอ่ ยอดประสบการณใ์ นระดบั ท่ี เหมาะสมกบั ครแู ตล่ ะคน ซึง่ ในขน้ั นี้อาจใช้วิธกี ารต่าง ๆ กนั ไปตามสถานการณ์ ไดแ้ ก่ 2.1.1 การใหค้ รบู อกเล่า อธบิ ายวิธีการทางานและผลท่ีเกิดข้ึน 2.1.2 การพจิ ารณารอ่ งรอยการทางานรว่ มกนั เชน่ แผนการจัดการเรียนรู้ ชน้ิ งานของนกั เรยี น 2.1.3 การสังเกตการสอนในชนั้ เรยี น 2.2 การใหค้ รปู ระเมินการทางานของตนเอง เป็นขัน้ ท่ชี ว่ ยให้ครไู ด้ทบทวนการทางานที่ ผ่านมาของตนเอง โดยใช้ตัวอย่างทเ่ี ป็นรปู ธรรม ได้แก่ การสอนทเ่ี พง่ิ สอนจบไปแล้ว ชิ้นงานท่นี กั เรียนทา เสรจ็ มาใช้ประกอบการประเมนิ จดั ให้ครูมโี อกาสได้ “นึกย้อนและสะท้อนผลการทางาน” ชว่ ยใหค้ รไู ด้ ทบทวนและไตร่ตรองวา่ ตนเองไดใ้ ชค้ วามรู้ ความเขา้ ใจไปสกู่ ารปฏบิ ัตอิ ยา่ งไร มอี ปุ สรรคปัญหาใดเกิดขน้ึ บ้าง คาถามท่มี ักใชก้ นั ในขน้ั นม้ี ี 2 คาถามหลัก คือ “อะไรทท่ี าไดด้ .ี ” “จะให้ดกี วา่ น้ี ถา้ ...” 2.3 ขนั้ ต่อยอดประสบการณ์ เป็นขน้ั ทศ่ี กึ ษานเิ ทศก์หรอื ผูใ้ หค้ าชีแ้ นะมีขอ้ มูลจากการสังเกต การ ทางานและฟงั ครูอธบิ ายความคิดของตนเอง แลว้ จึงลงมอื ตอ่ ยอดประสบการณใ์ นเรอ่ื งเฉพาะน้นั เพมิ่ เติม ซง่ึ ศึกษานิเทศกห์ รือผชู้ ีแ้ นะตอ้ งอาศยั ปฏภิ าณในการวนิ จิ ฉยั ใหไ้ ด้ว่าครตู ้องการความชว่ ยเหลือในเรือ่ งใด หากไมแ่ นใ่ จกอ็ าจใช้วิธีการสอบถามขอขอ้ มลู เพิม่ เตมิ ในข้นั ต่อยอดประสบการณม์ กั มีการดาเนินการใน 2 ลกั ษณะ ดังน้ี
2.3.1 เมือ่ พบว่าคุณครูมีความเขา้ ใจทผี่ ดิ พลาดบางประการ หรอื มีปัญหา กจ็ าเปน็ ต้องแกไ้ ข ปรบั ความรคู้ วามเขา้ ใจใหถ้ กู ต้องและชว่ ยเหลอื ในการแก้ไขปญั หา 2.3.2 เมอ่ื พบวา่ คุณครเู ข้าใจหลกั การสอนดี แต่ยงั ขาดประสบการณ์ในการออกแบบการเรียนการ สอน ก็จาเป็นเพมิ่ เติมความรู้ แบง่ ปนั ประสบการณ์ ข้ันตอนที่ 3 การสรปุ ผลการให้คาชแ้ี นะ การสรปุ ผลการใหค้ าชีแ้ นะเปน็ ขั้นตอนท่ีศกึ ษานเิ ทศก์ หรือผู้ใหค้ าชี้แนะเปิดโอกาสให้ครูไดส้ รปุ ผล การให้คาชีแ้ นะเพอ่ื ให้ได้หลักการสาคญั ไปปรับปรงุ หรือพฒั นาการเรยี นการสอนของตนเองตอ่ ไป มีการ วางแผนท่ีจะกลบั มาช้แี นะรว่ มกันอีกครง้ั ว่า ความรู้ความเขา้ ใจใหมท่ ไ่ี ดร้ ับการช้แี นะครัง้ นจ้ี ะเกิดผลในทาง ปฏบิ ัตเิ พียงใด รวมไปถงึ การตกลงรว่ มกนั เรอื่ งใหค้ วามช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น หาเอกสารมาใหศ้ กึ ษา ประสานงานกบั บคุ คลอืน่ ๆ แนะนาแหลง่ เรียนรเู้ พมิ่ เตมิ เปน็ ต้น 3.1 การทา AAR หรอื การตรวจสอบผลหลังการปฏิบัติงาน AAR ยอ่ มาจากคาวา่ After Action Review ซึ่งเป็นเครอ่ื งมอื อยา่ งหนงึ่ ทีใ่ ชใ้ นการทบทวนความรู้ ทไ่ี ด้หลงั จากการให้คาช้แี นะ (Coaching) เสรจ็ สิ้นแตล่ ะครั้ง เน้นการแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ ไม่มี ถูก – ผิด เป็นการทบทวนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อแกป้ ัญหาทเี่ กิดขนึ้ หรอื ไมใ่ หเ้ กดิ ปญั หาข้ึนอกี ใน ขณะเดียวกันก็คงไว้ซึง่ วธิ ีการที่ดที สี่ ดุ โดยศกึ ษานิเทศก์หรือผูใ้ หค้ าชแ้ี นะ ควรกระตนุ้ ใหค้ รตู อบคาถาม ใหก้ ับตัวเอง ดังนี้ 3.1.1 สงิ่ ท่คี าดวา่ จะไดร้ บั จากการนเิ ทศ คืออะไร 3.1.2 ส่งิ ท่ีเกิดข้นึ จริง คอื อะไร 3.1.3 ทาไมส่ิงที่คาดหวงั กบั สงิ่ ท่ีเกิดขนึ้ จรงิ จงึ แตกตา่ งกนั เพราะเหตุใด 3.1.4 สิง่ ที่ไดเ้ รยี นรู้และวิธกี ารลดหรอื แกไ้ ขความแตกตา่ ง คอื อะไร เม่อื ศกึ ษานิเทศก์หรือผใู้ หค้ าชแ้ี นะได้ทาการใหค้ าชแ้ี นะใหก้ ับครูและผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาในแต่ละ เรอ่ื งเพอ่ื ให้เห็นภาพของความสาเรจ็ ในการใหค้ าชีแ้ นะ จึงมคี วามจาเปน็ ที่จะตอ้ งทา AAR เพ่ือให้ไดค้ าตอบ ตามข้อคาถามดังกลา่ วขา้ งต้น จะช่วยให้ครู ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาไดร้ ับรวู้ า่ ผลการชี้แนะในคร้ังนเ้ี ป็นอย่างไร แต่ผลที่ไดร้ ับนนั้ ไม่ใช่คาตอบสดุ ทา้ ย เพราะเม่อื เวลาผ่านไปย่อมทาใหเ้ กดิ ปญั หาใหมไ่ ด้ตลอดเวลา การทา AAR ควรคานึงถึงหลักในการดาเนนิ การดังนี้ 1) ควรทา AAR ทนั ทีหลงั จากจบสิน้ การให้คาชี้แนะ 2) ไมม่ ีการกล่าวโทษ ซ้าเติม ตอกยา้ ซ่งึ กันและกนั โดยใหม้ บี รรยากาศเป็นกนั เอง 3) คอยอานวยความสะดวก กระตุ้น ตง้ั คาถามให้ครู ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาได้แสดงความคดิ เห็น ข้อเสนอแนะของตน 4) ควรถามตวั เองวา่ สิ่งทไ่ี ด้รับคืออะไร 5) หนั กลบั มาดวู ่าสงิ่ ทเี่ กิดขึน้ จรงิ คอื อะไร 6) ความแตกตา่ งคืออะไร ทาไมจงึ แตกต่างกนั 7) จดบนั ทกึ เพอื่ เตือนความจาว่าวิธีการใดบา้ งท่ศี ึกษานเิ ทศก์หรอื ผใู้ หค้ าช้ีแนะไดเ้ คยนามาแกป้ ญั หา แล้ว 3.2 การสรุปผลการให้คาชแี้ นะ ขัน้ ตอนต่อมาหลังจากศกึ ษานิเทศกห์ รือผูใ้ หค้ าช้ีแนะได้ดาเนินการทา AAR แลว้ คือ การสรุปผลการใหค้ า ชี้แนะทศ่ี กึ ษานเิ ทศก์ และครผู สู้ อนหรือผ้บู ริหารสถานศึกษาได้มกี ารเรยี นรรู้ ว่ มกัน เชน่
การจดั การเรยี นรู้ การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และการใชส้ ่ือเทคโนโลยเี พอื่ พฒั นาศกั ยภาพการเรยี นรู้ ตามแนวทางการยกระดบั คณุ ภาพผูเ้ รียน เป็นตน้ และควรสรุปผลการให้คาชีแ้ นะในประเด็นตา่ ง ๆ เชน่ 3.2.1 ระดบั การรบั รู้ในเนอื้ หา สาระ รายละเอียดของวธิ ีการจัดการเรียนรู้ 3.2.2 ความสามารถในการจดั การเรียนรู้ 3.2.3 การใช้สื่อ/แหลง่ เรียนรู้ 3.2.4 ปญั หา อุปสรรค และขอ้ เสนอแนะ 3.3 การวางแผนการให้คาชแ้ี นะครั้งต่อไป การใหค้ าช้แี นะเป็นกระบวนการท่ีชว่ ยให้ครไู ดค้ ้นพบพลัง หรือวธิ ีการทางาน สามารถพงึ่ พา ความสามารถของตนเองได้ เปา้ หมายของการใหค้ าช้แี นะ คือ การให้ครสู ามารถพัฒนาการจดั กระบวนการ เรยี นรู้ไดด้ ้วยตนเอง ดงั น้นั การใหค้ าชแี้ นะของศึกษานเิ ทศก์หรอื ผู้ให้คาชแี้ นะเพียงครงั้ เดยี วจงึ ไม่ สามารถบรรลผุ ลได้ ศกึ ษานิเทศกห์ รือผ้ใู ห้คาช้ีแนะจาเปน็ ตอ้ งวางแผนการใหค้ าชแี้ นะในครงั้ ตอ่ ไปรว่ มกบั ครู ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา เพ่อื เชือ่ มโยงต่อยอดการจดั การเรียนร้ใู นแต่ละเรือ่ ง ตามบรบิ ทของสถานศึกษาเพื่อใหเ้ กดิ ผลสาเรจ็ ทเี่ ป็นรูปธรรม ผู้เรียนเกดิ การเรียนรูอ้ ย่างมคี ุณภาพและ ยกระดบั คุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษาใหส้ งู ขน้ึ มคี ณุ ภาพตามมาตรฐานการศกึ ษา ซ่งึ สถานศกึ ษาควรดาเนินการ ดงั น้ี 3.3.1 วางแผนการพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา โดยผู้ให้คาชแ้ี นะและสถานศกึ ษาวางแผนการทางาน ร่วมกนั ดังน้ี 1) การจัดทาแผนพฒั นาคณุ ภาพสถานศึกษาใหม้ องเหน็ ทิศทางในการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาท่ี ชดั เจน สอดคลอ้ งกบั สภาพปญั หาและความจาเป็นอยา่ งเปน็ ระบบ มแี ผนปฏบิ ตั กิ ารประจาปี ทม่ี ีโครงการ กิจกรรมรองรบั 2) การกาหนดสภาพความสาเรจ็ ของการพฒั นาไว้อยา่ งต่อเนอื่ ง ชัดเจนเป็นรปู ธรรม 3) การกาหนดวธิ ีการดาเนินงานทม่ี หี ลักการ มีผลการวจิ ยั หรือขอ้ มลู เชิงประจักษ์ทอ่ี ้างองิ ได้ ครอบคลมุ การพฒั นาหลกั สูตร การจัดกระบวนการเรียนรู้ การสง่ เสริมการเรยี นรู้ การวัดและประเมินผล การเรยี นรู้ การพฒั นาบุคลากร และการบรหิ ารจดั การ 4) ควรสง่ เสรมิ ใหเ้ กิดการมสี ่วนรว่ มของครู ผู้บริหารสถานศกึ ษา บดิ ามารดา ผ้ปู กครอง บุคลากรใน ชุมชน โดยเฉพาะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐานของสถานศึกษาซ่ึงมบี ทบาทในการกากับ ติดตาม และให้ ความเห็นชอบตอ่ แผนการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา ซงึ่ จะชว่ ยใหก้ ารคณุ ภาพการจดั การศึกษาบรรลผุ ลตาม เจตนารมณ์ 3.3.2 นาเสนอผลการปฏิบัติงานทเ่ี ป็นเลศิ (Best Practices) หลังจากสถานศึกษาได้พฒั นาการจดั การเรยี นรทู้ ่ีส่งผลใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรอู้ ย่างมคี ุณภาพ และทาให้ สถานศึกษามคี ุณภาพการศกึ ษาสูงขน้ึ เพื่อให้เกดิ ความภูมิใจในการปฏบิ ัตงิ าน สถานศกึ ษาควรคัดเลือกผลการ ปฏบิ ัตงิ านที่เปน็ เลศิ นาเสนอและเผยแพร่ โดยมปี ระเดน็ ท่ีควรนาเสนอดังนี้ 1) ชือ่ ผลงาน Best Practice 2) หลกั การ/ แนวคดิ /ทฤษฎี 3) วัตถุประสงค์ 4) กล่มุ เปา้ หมาย 5) การดาเนินการ
6) ปัจจยั สู่ความสาเรจ็ 7) ผลการดาเนนิ การ เงือ่ นไขความสาเร็จของการใหค้ าช้แี นะ การใหค้ าช้ีแนะเปน็ วิธกี ารท่ีมสี ่วนชว่ ยให้ครูและผู้บรหิ ารสถานศึกษาได้รับการพฒั นาสมรรถภาพการ ทางานในหนา้ ทใ่ี ห้สาเรจ็ ตามเปา้ หมาย หรอื ช่วยใหค้ รู ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา สามารถนาความรู้ ความเข้าใจ ทม่ี ีอยแู่ ละหรอื ทไี่ ด้รบั การอบรมมาสู่การปฏบิ ัติได้ เพื่อใหก้ ารใหค้ าชแี้ นะประสบผลสาเรจ็ ศกึ ษานิเทศก์ หรอื ผูท้ าหนา้ ที่ใหค้ าช้ีแนะ ควรมหี ลักการใหค้ าช้แี นะดังนี้ 1. มคี วามรูใ้ นเนอ้ื หาสาระที่จะทาการใหค้ าช้ีแนะ การให้คาช้แี นะในแต่ละคร้งั ผูใ้ ห้คาชี้แนะควรมี การศกึ ษาค้นควา้ และทาความเข้าใจในเนอื้ หาสาระทจ่ี ะทาการชแ้ี นะ และเตมิ เตม็ ความรู้ในส่วนท่ียังขาด ความรู้ความเข้าใจ เพอ่ื พร้อมท่ีจะใหค้ าช้แี นะแกค่ รแู ละผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาให้ไดร้ บั ความรู้ ท่ีถกู ต้อง สมบรู ณ์ 2. มขี อ้ มลู เก่ยี วกบั ความรคู้ วามเข้าใจของผรู้ บั การให้คาช้แี นะ ผู้ให้คาช้ีแนะจะชแ้ี นะ และ ถา่ ยทอด ความรไู้ ปยงั ผู้รบั การให้คาชแี้ นะได้ดี จะต้องมขี ้อมลู เก่ียวกับผรู้ บั การให้คาชแ้ี นะว่า ณ ขณะนม้ี รี ะดบั ความรูแ้ คไ่ หน จะไดส้ ามารถเติมเตม็ พัฒนาสมรรถภาพใหส้ ามารถจดั การเรียนรูไ้ ด้อย่างมี คุณภาพ และยงั ชว่ ยให้การชแี้ นะดาเนินไปด้วยความราบรื่น มีประสทิ ธิภาพ 3. ให้คาชแี้ นะแบบมเี ป้าหมายและมจี ดุ เน้นรว่ มกัน ผู้ใหค้ าชี้แนะและผรู้ บั การใหค้ าชแ้ี นะควรมกี าร ตกลงร่วมกนั วา่ เป้าหมายสดุ ท้ายท่ตี อ้ งการใหเ้ กดิ คอื อะไร ชว่ ยกนั หายุทธวิธตี ่าง ๆ เพ่อื จะนาไปสเู่ ป้าหมาย น้นั 4. มีระบบการตดิ ตาม นเิ ทศ ประเมินผลการทางานของครู ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาควรมีขอ้ มลู ท่ี สะทอ้ นผลการทางานเพ่อื จะไดน้ าไปคิดทบทวนการทางานให้สามารถพฒั นาให้ดีขึ้น การตดิ ตาม นเิ ทศ ประเมินผลเปน็ ขั้นตอนสาคัญที่ผูใ้ ห้คาชีแ้ นะหรือเครือขา่ ย เข้ามาตดิ ตาม นิเทศ ประเมนิ ผลผรู้ บั การชีแ้ นะ อย่างตอ่ เน่ือง ยอ่ มส่งผลใหก้ ารจัดการเรียนรู้ของครู และผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษามีประสทิ ธิภาพ การออกแบบนเิ ทศการศกึ ษา การออกแบบการนเิ ทศการศึกษา เป็นการกาหนดเปา้ หมายการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาท่ี ครอบคลมุ ท่ีมีความเชอื่ มโยง ตลอดแนวท่ชี ัดเจน โดยมกี ารร่วมคดิ ร่วมวางแผน ร่วมปฏบิ ตั ิและร่วม สะทอ้ นผล ในการวางแผนการพฒั นาระบบการนเิ ทศ นวัตกรรมการนเิ ทศ ของผเู้ กีย่ วขอ้ งอยา่ งทัว่ ถึง จะทา ให้การกาหนดแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ตรงและสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความ ต้องการของสถานศึกษา และครูกลมุ่ เป้าหมายทุกคน ทาใหท้ กุ คนรสู้ ึกเป็นเจ้าของงานทจี่ ะพฒั นา และ รว่ มกนั พฒั นาอย่างเตม็ ที่ อันจะทาใหก้ ารดาเนนิ การพฒั นามีคณุ ภาพมากข้นึ การออกแบบการนิเทศการศกึ ษา จะมีรปู แบบ เทคนิควิธีการนิเทศ ติดตามและประเมินผลทเ่ี หมาะสม จะเปน็ การกาหนดนวัตกรรมการนเิ ทศท่ีดีมีคุณภาพ สอดคล้องกบั กระบวนการนเิ ทศการศึกษา สามารถ นาไปใชใ้ นการพัฒนาสมรรถภาพการทางานของครู ช่วยใหส้ ามารถนาความร้คู วามเข้าใจ ประสบการณท์ มี่ ี อยู่ และ/หรอื ไดร้ บั การพฒั นาศักยภาพ นาไปสู่การปฏิบตั งิ านหรือพฒั นางานไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและ เกดิ ประสทิ ธผิ ล ส่อื เครอ่ื งมือการนิเทศการศึกษา การนเิ ทศเพ่อื พฒั นาคุณภาพการศึกษาน้นั ต้องมวี ัตถปุ ระสงคท์ ีแ่ น่นอนว่า การนเิ ทศจะทาเพอ่ื แกป้ ญั หาเรอ่ื งใด จะทาการนเิ ทศเม่ือไร นเิ ทศอย่างไรและรว่ มกบั ใคร ต้องทาให้การนิเทศมรี ะบบทีด่ ี มี
ความต่อเนื่องและสามารถนิเทศไดอ้ ยา่ งตรงจุดอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ สามารถตรวจสอบและวิเคราะหผ์ ลได้ อย่างครอบคลุมและแมน่ ยา ส่อื การนเิ ทศการศึกษา สื่อ นวตั กรรมการนเิ ทศ ติดตามและประเมนิ ผลการศกึ ษา เคร่ืองมือสาหรบั ส่งเสรมิ คณุ ภาพ การศึกษา ที่ใชใ้ นการนิเทศการศึกษาเพ่ือพัฒนาดา้ นการเรยี นการสอนของผรู้ บั การนเิ ทศ ผู้นเิ ทศ จาเปน็ ตอ้ งใช้สอ่ื หรอื นวัตกรรม เพือ่ ใหผ้ รู้ บั การนเิ ทศมองเหน็ ทางเลือกที่เหมาะสมกบั ตน ปรบั ปรุงแกไ้ ข ปัญหาการทางานของตนใหม้ ีประสิทธภิ าพยงิ่ ขึ้น เชน่ ผลงานด้านการจัดทาส่อื การเรียนการสอน ผลงาน ด้านการคิดพฒั นารปู แบบนวตั กรรมทีน่ า มาใชใ้ นการปฏิบตั งิ านทา ใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพสูงขน้ึ ซงึ่ อาจจดั ทา เปน็ เอกสาร หรอื สอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ หรอื ส่ิงประดิษฐ์ตา่ ง ๆ รวมทง้ั เทคนคิ วิธกี าร รปู แบบการนเิ ทศ ต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการปรบั ปรุงและพฒั นาการจัดการเรียนการสอนของครหู รอื ผรู้ บั การนิเทศ เช่น เอกสารการนเิ ทศ เอกสารเสรมิ หลกั สตู รเพ่ือการเรยี นการสอน เอกสารคมู่ อื ครู เป็นต้น เครอ่ื งมอื การนิเทศการศกึ ษา เครื่องมือการนเิ ทศ เป็นส่งิ ทช่ี ว่ ยให้ได้มาซง่ึ ขอ้ มลู เกยี่ วกับการปฏิบตั ิการนิเทศ ติดตามและ ประเมนิ ผล เพื่อแกป้ ญั หาและการพฒั นาการทางานของครู บคุ ลากร เพอ่ื ตรวจสอบผลการดาเนนิ งาน ว่า ผลการปฏบิ ตั งิ านเปน็ อย่างไร บรรลจุ ุดมงุ่ หมาย/วตั ถปุ ระสงค์ทีว่ างไวห้ รอื ไม่ ระดบั ใดเมื่อเทยี บกบั เกณฑ์ ทราบปรมิ าณและคุณภาพของงาน ขอ้ มลู ท่ไี ดน้ ใ้ี ชใ้ นการตดั สินใจของผนู้ เิ ทศว่า จะต้องปรบั ปรงุ แกไ้ ข ส่งเสริม สนบั สนนุ การดาเนินงานอย่างไร โดยพจิ ารณาจากท่มี า สาเหตุของปญั หา ความต้องการ เพอื่ การ วางแผนแกป้ ญั หาได้ถกู ตอ้ ง สดุ ท้ายคือ ทาใหก้ ารปฏิบัตงิ านของผนู้ ิเทศและผรู้ บั การนเิ ทศประสบผลสาเรจ็ ตามวตั ถุประสงคแ์ ละเป้าหมายทกุ ประการ ความสาคัญของเครอ่ื งมอื นิเทศการศึกษา ความสาคญั ของเคร่อื งมือ มคี วามสาคัญต่อการนเิ ทศ คอื 1. ช่วยให้การนเิ ทศเป็นระบบและเปน็ วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ 2. ชว่ ยใหร้ วู้ า่ งานท่ีดาเนินอยนู่ ้ันเปน็ อยา่ งไรและจะทาตอ่ เนอ่ื งอยา่ งไรจงึ จะไดผ้ ลสมบรู ณม์ ี คณุ ภาพ 3. ชว่ ยให้ทราบคุณภาพของงาน สาเหตขุ องปัญหา อนั จะเป็นประโยชนใ์ นการหาแนวทางแกไ้ ข ส่งเสริม สนบั สนุนงาน ใหต้ รงกบั ความจริง 4. เปน็ สือ่ กลางนาความมุ่งหวัง นาประเด็นเชงิ คุณภาพลงไปในพ้ืนท่ี กระตนุ้ ใหเ้ กดิ การอภิปราย เพื่อเกดิ ความเข้าใจรว่ มกันเกีย่ วกบั องค์ประกอบของคุณภาพดา้ นการจัดกจิ กรรม โดยเฉพาะการเรยี นการ สอน 5. ช่วยสนบั สนนุ กระบวนการนเิ ทศ ติดตาม การพฒั นาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศกึ ษา ใหส้ ามารถจัดการศึกษาตามมาตรฐาน โดยเฉพาะการเรียนการสอนไดค้ ุณภาพตามเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ ชนิดของเคร่ืองมอื การนิเทศการศึกษา เคร่อื งมอื นเิ ทศเปน็ สงิ่ สาคญั ทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล สาหรับตรวจสอบคุณภาพการศึกษา ที่ เปน็ ผลทเี่ กดิ จากการนิเทศ โดยทว่ั ไปจะใช้วธิ กี ารเกบ็ รวบรวม 3 วธิ ใี หญ่ ๆ ได้แก่ การสังเกต การสอบถาม และการทดสอบ ดงั นั้นเคร่ืองมือการนเิ ทศ จงึ ประกอบด้วย แบบสังเกต เปน็ เคร่ืองมือทใ่ี ชส้ ังเกตการสอนของครู ใชส้ งั เกตการณจ์ ดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ของครผู สู้ อน เป็นการสงั เกตพฤติกรรมการแสดงออกของผรู้ บั การนเิ ทศตามสภาพท่เี ป็นจรงิ สว่ นใหญ่การ
รวบรวมขอ้ มลู ด้วยวิธสี งั เกต ผู้รบั การนเิ ทศจะรู้ตวั วา่ กาลงั สงั เกต เช่น การสังเกตการใชค้ าถาม การ เสรมิ แรง การใชส้ ่อื อุปกรณ์ ผลทไี่ ดโ้ ดยวิธสี ังเกตนีเ้ ปน็ ความสามารถทางสมอง ความคิดจติ ใจ และทกั ษะ กระบวนการตา่ ง ๆ เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้จะเปน็ พวกแบบสงั เกตหรอื แบบบนั ทกึ เปน็ ต้น แบบทดสอบ เปน็ เครื่องมอื ทจ่ี ัดทาขน้ึ เพอ่ื ตรวจสอบความพร้อมความรู้พื้นฐานทางดา้ นการเรยี น ของนักเรียน หรอื แบบทดสอบครผู สู้ อนเก่ยี วกบั เรื่องหลกั สตู รการเรยี นการสอน ซึง่ เปน็ การวัดทกี่ าหนด เงื่อนไขหรือสถานการณ์ใหผ้ ู้รบั การนิเทศแสดงความสามารถสงู สุด (maximum performance) ของตน ออกมา โดยทผ่ี รู้ ับการนเิ ทศรู้ตัวว่ากาลงั ถกู วดั และรูว้ า่ ถกู วัดความสามารถในเรอ่ื งใด สิ่งทผี่ รู้ บั การนิเทศ ตอบ สามารถตดั สินไดว้ ่าถูกหรอื ผิด โดยมากจะเปน็ ความสามารถทางสมองของผรู้ บั การนิเทศ เช่น ความรู้ ความเข้าใจในเรอ่ื งต่างๆ ความถนัด ความคดิ สร้างสรรค์ ความคิดวเิ คราะห์ เปน็ ต้น แบบสอบถาม แบบสารวจ แบบประเมิน เปน็ เครอื่ งมอื ท่ีใช้รวบรวมข้อมลู และรายละเอยี ดท่ี ตอ้ งการ เชน่ ข้อมลู ส่วนตัว ความคิดเหน็ เจตคติ ซ่ึงอาจใชส้ อบถามครูผสู้ อน และบคุ ลากรทเ่ี กย่ี วข้อง ซ่ึงแตกตา่ งไปจาก “การทดสอบ” ตรงทีก่ ารสอบถามเป็นการกาหนดเงอ่ื นไข หรือสถานการณ์ให้ ผู้รบั การนเิ ทศแสดงคุณลกั ษณะเฉพาะตัว (typical performance) หรือความเป็นจรงิ ของตนออกมา โดยไมม่ กี ารตัดสนิ ว่าสง่ิ ทผ่ี รู้ บั การนเิ ทศตอบหรอื แสดงออกมานั้นถกู หรอื ผิด ส่วนใหญจ่ ะเก่ียวกับความคดิ จิตใจ เชน่ ความสนใจ ความคิดเห็น บุคลิกภาพ ทศั นคติ เปน็ ต้น เครื่องมอื ท่ีใช้กบั วธิ นี ี้เป็นพวก แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ หรอื แบบบันทกึ แนวทางการสร้างเครอื่ งมอื นเิ ทศ 1. การสรา้ งแบบสังเกตพฤติกรรม ด้านต่างๆ ของผรู้ บั การนเิ ทศ มขี ้นั ตอน ดงั น้ี 1.1 กาหนดวัตถปุ ระสงคใ์ นการสรา้ งการสงั เกตพฤตกิ รรม 1.2 นยิ ามพฤตกิ รรมทสี่ งั เกตให้ชัดเจน 1.3 เลือกประเภทของเครอ่ื งมอื เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั การนยิ าม 1.4 เขียนขอ้ ความ/รายการ (ใหส้ อดคลอ้ งกบั ประเภทเครอ่ื งมือ) 1.5 จัดทาแบบสังเกตฉบบั สมบรู ณ์ 2. การสรา้ งแบบสอบถาม ของครูท่มี ตี อ่ ผ้นู เิ ทศ มีขนั้ ตอนดาเนินการ ดงั น้ี 2.1 ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวิจัยเกย่ี วกบั ความพงึ พอใจ 2.2 กาหนดวัตถปุ ระสงค์ในการสอบถาม นยิ ามพฤติกรรมในการสอบถาม 2.3 เลือกประเภทของเคร่ืองมือเพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั การนิยาม 2.4 เขยี นขอ้ ความ/รายการ (ให้สอดคลอ้ งกบั ประเภทเคร่ืองมือ) 2.5 จดั ทาแบบสอบถามฉบับสมบรู ณ์ 3. การสรา้ งแบบทดสอบ มขี น้ั ตอน ดงั น้ี 3.1 กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ในการสร้าง การวดั พฤติกรรม 3.2 กาหนดพฤตกิ รรมย่อย ๆ ทีท่ าการทดสอบ 3.3 นิยามพฤตกิ รรมยอ่ ย ๆ 3.4 เลอื กประเภทของเคร่อื งมือเพื่อใหส้ อดคล้องกบั การนยิ าม 3.5 เขียนข้อความ/สร้างข้อสอบ (ใหส้ อดคลอ้ งกบั ประเภทเครอ่ื งมอื ) 3.6 จดั ทาแบบทดสอบฉบับสมบรู ณ์ หลักการ แนวการสรา้ ง และการใช้เครอ่ื งมอื การนิเทศ ควรคานงึ ถงึ หลกั การต่าง ๆ เหลา่ น้ี
1. ตัดสนิ ใจว่าจะเลอื กใชเ้ ครอื่ งมอื ใดบ้าง โดยพจิ ารณาจากขอ้ มลู การศึกษาสภาพปจั จบุ นั กลุ่มเป้าหมายท่ีให้ขอ้ มลู ปัญหา และความตอ้ งการว่ามปี ญั หาเรอ่ื งใด ควรปรบั ปรุงแกไ้ ขอย่างไร ปญั หามี สาเหตุมาจากอะไร แล้วจงึ เลือกเครอื่ งมอื ให้เหมาะสมกบั ความตอ้ งการ 2. ศึกษารายละเอียดของเคร่ืองมือ ทพี่ ิจารณาเลอื กไวใ้ นขอ้ แรกว่ามีรายละเอยี ดปลีกย่อยจุดเด่น จดุ ดอ้ ย อะไร 3. ดาเนินการสร้างเครื่องมือ โดยมเี กณฑ์ว่าต้องตรวจสอบได้ ตามมาตรฐาน และตอ้ งคานงึ ถึงเรอื่ ง ต่าง ๆ ดังน้ี 3.1 กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ 3.2 กาหนดขอบข่าย/กรอบเนอ้ื หา 3.3 การดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 3.4 การวเิ คราะหข์ ้อมูล 3.5 การนาข้อมลู ไปใช/้ การรายงานผล 4. การทดลองใชเ้ ครื่องมือทุกชนดิ ทส่ี รา้ งข้นึ ทุกครงั้ ก่อนนาไปใช้ตอ้ งนาไปทดลองใช้กับกลุม่ ตัวอย่าง เพื่อหาขอ้ บกพร่อง 5. การประเมินผล การใชเ้ ครอ่ื งมอื ควรคานึงถงึ การนาผลที่ได้ไปปรบั ปรงุ พฒั นางาน การทจ่ี ะนาเครอ่ื งมอื ประเภทใดมาใช้นน้ั จะต้องพจิ ารณาถงึ จดุ มุง่ หมายและเปา้ หมายของโครงการ นิเทศ ตดิ ตามและกจิ กรรมนเิ ทศทว่ี างไว้ เช่น 1. แบบสอบถาม เปน็ ชดุ ของคาถามหรอื ขอ้ ความ เพื่อใหผ้ ถู้ ูกสอบถามตอบคาถาม มกั จะถาม เกยี่ วกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ความคดิ เห็นหรอื ความชอบของผถู้ กู สอบถาม ซงึ่ อาจใช้ถามผรู้ บั ผิดชอบงานผรู้ บั การ นเิ ทศ ตลอดจนผเู้ กย่ี วข้อง แบบสอบถาม เหมาะสมสาหรบั ใช้กบั บคุ คลมาก ๆ เพราะสะดวกและประหยดั ใช้เวลาน้อย ผตู้ อบไมจ่ าเปน็ ต้องลงชอ่ื กไ็ ด้ ซงึ่ เป็นผลดีตอ่ ความร้สู กึ ของผู้ตอบและจะได้ขอ้ มลู ท่ีถูกตอ้ งตรง กบั ความเปน็ จริงมากข้นึ แต่จะมขี อ้ เสยี อยบู่ ้างเลก็ น้อยในแงข่ องผตู้ อบ บางคนตอบแบบสอบถามไมค่ รบทุก ข้อและบางครง้ั คาตอบอาจขาดคณุ ภาพเพราะผูต้ อบอาจรบี เรง่ หรอื ตอบไมจ่ รงิ ใจ ชนดิ ของคาถามของ แบบสอบถาม มี 2 ชนิด คาถามแบบปิดและแบบเปดิ 1.1 คาถามแบบปดิ เป็นการใหผ้ ู้ตอบตอบจากคาตอบท่ีใหไ้ ว้ อาจเป็นการตรวจสอบรายการ ใช่ ไม่ ใช้ ปฏบิ ัติ ไม่ปฏิบตั ิ หรือแบบมาตราสว่ นประมาณคา่ ส่วนเสียของการตอบแบบน้คี ือ ผ้ตู อบไม่มโี อกาสให้ เหตผุ ลของคาตอบแต่ละคาตอบได้ สว่ นดี คือ ง่ายต่อการสรุป 1.2 คาถามแบบเปดิ เปน็ คาถามทเี่ ปิดโอกาสใหผ้ ้ตู อบได้เขยี นบรรยายแสดงความคิดเหน็ ใหเ้ หตผุ ล ข้อดี คือ ทาให้ทราบความคดิ เหน็ ทราบเหตผุ ลของผู้ตอบและผตู้ อบตอบไดเ้ ต็มท่ี ขอ้ เสีย คอื ยากต่อการ สรปุ 2. แบบสงั เกต วิธีการสังเกต นบั ว่าเป็นประโยชนอ์ ย่างมากในการหาขอ้ มลู บางอย่าง ซงึ่ วิธีการอื่นทา ไดค้ ่อนขา้ งยาก เช่น การสงั เกตการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนของครู การสงั เกตพฤติกรรมการมสี ่วน ร่วมของผู้เรียน ผรู้ บั บรกิ ารหรือสงั เกตสถานการณ์ สังเกตสงิ่ แวดล้อม บรรยากาศการเรียนการสอน เป็นต้น ในการรวบรวมขอ้ มลู อาจสงั เกตดว้ ยตนเองแตใ่ นบางสถานการณ์อาจจะตอ้ งอาศยั ผอู้ น่ื ร่วมสงั เกตดว้ ย ขอ้ มลู ที่ไดข้ น้ึ อยูก่ บั ความสามารถของผสู้ งั เกตในการรบั รแู้ ละรายงานอยา่ งเป็นปรนัย ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลเก่ียวกับการสงั เกตนั้น จดั ทาโดยการบนั ทกึ พฤตกิ รรมท่ีเก่ียวขอ้ ง ฉะน้นั ในการสังเกตจะตอ้ งกาหนด วา่ พฤตกิ รรมทเ่ี ราตอ้ งการสงั เกตคืออะไร ดงั นั้น ผสู้ งั เกตจะตอ้ งดาเนินการ คือ
1) รู้จุดประสงคข์ องพฤติกรรมทส่ี ังเกตอย่างแน่นอน 2) หมวดหมขู่ องพฤตกิ รรมที่จะสังเกตตอ้ งชัดเจน 3) ใชเ้ ครือ่ งมอื ประกอบการสังเกต 4) สามารถวเิ คราะหพ์ ฤติกรรมทจี่ ะสงั เกต ขอ้ ดี ของการสงั เกต คือ สามารถศึกษาพฤติกรรมในสถานการณ์จรงิ และในขณะทพี่ ฤติกรรมเหลา่ น้ัน กาลังเกดิ ขนึ้ พฤติกรรมแบบนี้ไมส่ ามารถใช้เครอื่ งมืออย่างอนื่ เกบ็ รวบรวมได้ ขอ้ เสีย หากผทู้ เี่ ราสงั เกต รตู้ ัวว่ากาลงั ถูกสงั เกต อาจจะเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมไปในทางดหี รือเลวก็ ได้ ทาใหไ้ ม่เปน็ ธรรมชาตแิ ละการสงั เกตกจ็ ะต้องใช้เวลานานและอาจสังเกตในแต่ละเร่อื งหลายครงั้ 3. แบบสัมภาษณ์ การสมั ภาษณเ์ ปน็ วิธกี ารทต่ี อ้ งเสียคา่ ใชจ้ า่ ยสงู และตอ้ งใช้เวลามาก แตบ่ างครั้งก็ จาเป็นทจ่ี ะตอ้ งใช้วิธสี ัมภาษณ์ การสัมภาษณโ์ ดยท่ัวไปมกั จะถามในเร่ืองทตี่ ้องการคาตอบทลี่ กึ ซงึ้ ตอ้ งการ ความคิดเห็น การสมั ภาษณจ์ ะไดผ้ ลมากนอ้ ย ข้ึนอยูก่ บั ทกั ษะและความสามารถของผสู้ มั ภาษณ์ การ สมั ภาษณแ์ บง่ ออกเปน็ 2 แบบ คอื การสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ ง และแบบไม่มโี ครงสร้าง 1) การสัมภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ ง การสมั ภาษณ์แบบนี้จะตอ้ งมีแบบสมั ภาษณ์ทกี่ าหนดคาถามไว้ ก่อนอย่างชดั เจน ผถู้ ูกสัมภาษณท์ กุ คนจะต้องตอบคาถามเดยี วกันในลักษณะเดยี วกัน การกล่าวนา การพดู จะต้องเหมือนกันทกุ อย่าง ขอ้ ดี ของการสมั ภาษณ์น้ี คาตอบท่ีไดจ้ ากทกุ คนสามารถนามาวเิ คราะหร์ ่วมกันได้ ข้อเสีย คอื ไม่สามารถท่ีจะถามได้ลกึ ซงึ้ ตามทตี่ อ้ งการ 2) การสมั ภาษณ์แบบไมม่ ีโครงสรา้ ง การสมั ภาษณ์แบบนี้ จะมแี บบสัมภาษณท์ ่ีกาหนดคาถามให้มี ความยดื หยนุ่ ถึงแมว้ า่ จะมกี ารเตรยี มคาถามไว้กอ่ นแลว้ ก็ตามแต่เวลาสมั ภาษณจ์ ริง ๆ กส็ ามารถ เปลยี่ นแปลงใหเ้ ข้ากบั สภาพการณแ์ ละผถู้ กู สมั ภาษณ์ได้ ขอ้ ดี คือ ผถู้ กู สมั ภาษณ์มโี อกาสแสดงความ คดิ เห็นของตนเองได้เตม็ ทสี่ ามารถถามไดล้ กึ ซง้ึ ข้อเสีย คือ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลของผู้ถกู สมั ภาษณห์ ลาย ๆ คน ค่อนข้างยากและซบั ซ้อน แบบสัมภาษณ์ ผู้ใหส้ ัมภาษณ์ ควรปฏิบตั ดิ ังนี้ 1) เม่ือถึงเวลาสมั ภาษณ์จรงิ ๆ ควรจะได้สร้างความคุ้นเคยกบั ผถู้ ูกสมั ภาษณเ์ สยี ก่อน 2) ช้ีแจงใหผ้ สู้ ัมภาษณ์เขา้ ใจวา่ ไม่ตอ้ งวติ ก กังวลในเรอื่ งคาตอบว่าจะถกู หรือผิด ใหต้ อบไปตามทคี่ ิด และตรงกบั สภาพความเปน็ จรงิ เพราะคาตอบไมม่ ีผลกระทบกระเทอื นใด ๆ ทงั้ สิน้ 3) ถามครงั้ ละ 1 คาถาม ทบทวนคาถาม จนแน่ใจว่าผถู้ ูกสมั ภาษณเ์ ขา้ ใจคาถามจริง ๆ 4) ฟงั คาตอบอยา่ งตงั้ ใจ อย่าสอดแทรกออกมากอ่ น 5)ไม่ควรแสดงอารมณ์อย่างหนึ่งอยา่ งใดออกมา เมื่อไดร้ ับคาตอบทไี่ ม่คาดคดิ การวิเคราะหผ์ ล เมื่อได้ขอ้ มลู มาแลว้ กจ็ ะมกี ารวิเคราะหข์ ้อมลู รว่ มกันระหวา่ งผนู้ เิ ทศและผู้รบั การนิเทศ ถา้ จะให้ดี ควรมผี ู้บรหิ ารด้วย แล้วร่วมกันหาแนวทางปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหก้ ารดาเนนิ งานของผรู้ ับการนเิ ทศเป็นไปอยา่ งมี ประสทิ ธิภาพและก่อใหเ้ กดิ คุณภาพกับงานตอ่ ไป โดยการนาข้อมูลที่ไดจ้ ากการนาเครือ่ งมอื ไปใชใ้ นการ ปฏบิ ัติ การนิเทศมาวเิ คราะหผ์ ล ทงั้ เชิงคุณภาพ และเชงิ ปรมิ าณ มาวิเคราะห์ และสงั เคราะหเ์ ป็น สารสนเทศเพ่อื นา ไปใช้ในการประเมนิ ผลและรายงานผลการนิเทศ การวิเคราะหข์ อ้ มูลเชิงคณุ ภาพ เปน็ การวิเคราะหข์ ้อมลู ทีไ่ ดจ้ ากการเขยี นบรรยายสภาพ ความ คิดเห็นข้อเสนอแนะต่าง ๆ
การวิเคราะหข์ อ้ มลู เชงิ ปริมาณ สว่ นมากใช้สถติ พิ ื้นฐานในการวเิ คราะหข์ ้อมลู เพอื่ ทาใหส้ ามารถ เข้าใจไดง้ า่ ย หรอื สามารถนาไปใชเ้ ทียบกับเกณฑท์ ่ีกาหนดได้ สถิตทิ ่ีใช้ เชน่ ความถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี สว่ น เบีย่ งเบนมาตรฐาน เปน็ ตน้ การรายงานผลการนิเทศ การสรปุ ผล และการรายงานผลการนเิ ทศ เป็นสง่ิ ที่สาคัญมาก ตอ้ งสรปุ ผลการจากการวเิ คราะห์ ข้อมูลท่ไี ดจ้ ากเครื่องมอื ท่นี าไปใชใ้ นการปฏิบัตกิ ารนเิ ทศ สว่ นการรายงานผล ตอ้ งรายงานผลตาม วตั ถปุ ระสงคข์ องการนเิ ทศในกจิ กรรม นนั้ ๆ รวมทงั้ ควรนาเสนอจุดเดน่ จดุ ท่ีควรพฒั นา จึงจะทาใหก้ าร นเิ ทศน้นั มีประสทิ ธิภาพ ประสิทธผิ ล โดยรายงานผลใหผ้ ู้ทเ่ี กย่ี วข้องทราบ เพอ่ื นาไปใช้ในการวางแผนการ พฒั นาการศกึ ษาตอ่ ไป การรายงานผลการนเิ ทศ ผนู้ ิเทศต้องดาเนินการสรุปทกุ ครงั้ หลังการนเิ ทศ และควรสรุปใน ภาพรวมรายครง้ั รายสปั ดาห์ รายเดอื น รายภาค และรายปี เพือ่ รายงานผเู้ ก่ียวขอ้ งทั้งระดบั สถานศกึ ษา และหนว่ ยงานตน้ สงั กดั เพือ่ นาข้อสรปุ จากการนิเทศไปประกอบการตดั สนิ ใจพฒั นา หรือปรบั ปรงุ งาน ให้มีคณุ ภาพและมปี ระสทิ ธิภาพ ข้อควรคานึงถึงในการเขยี นรายงานผลการนเิ ทศ 1. กาหนดประเดน็ หรือเรอื่ งการนเิ ทศให้ชัดเจน 2. สรปุ ผลการนเิ ทศตามประเดน็ ใหก้ ระชบั รัดกุม สือ่ ความหมายได้ตรงตามวัตถุประสงคห์ รือ ประเด็นนิเทศ 3. มขี อ้ เสนอแนะจากการนเิ ทศ 3.1 จุดเดน่ 3.2 จุดท่ีควรพัฒนา 4. สาระการนาเสนอในรายงาน ตอ้ งสรา้ งสรรค์ จงู ใจ หรอื กระตุ้นใหผ้ เู้ กย่ี วขอ้ งนาผลการนเิ ทศไปใช้ ในการพฒั นางาน 5. ความยาวในการสรุปหน้าบนั ทกึ ผลการนเิ ทศ ไม่ควรเกิน 2 หน้ากระดาษบนั ทึก สว่ ยรายละเอียด ในการรายงานผลการนเิ ทศทเ่ี ปน็ เอกสารแนบรายงานผลการนเิ ทศ รายไตรมาส รายครง่ึ ปี และรายปี เอกสารอา้ งองิ กิตมิ า ปรีดลิ ก. (2541). การบริหารและการนิเทศการศึกษาเบ้ืองต้น. กรงุ เทพมหานคร : อกั ษราพพิ ฒั น์. กล่มุ นเิ ทศ ตดิ ตามและประเมินผลการจดั การศกึ ษา . (2561). รายงานการนิเทศ ติดตาม ตรวจสอบและ ประเมนิ ผลการจัดการศกึ ษา การนเิ ทศแบบลงแขก ภาคเรยี นท่ี 2/2560 สพป.สระบรุ ี เขต 1. กลุม่ นเิ ทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผลการจดั การศึกษา สานกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษา สระบรุ ี เขต 1. อดั สาเนา. เฉลมิ ชัย พันธเ์ ลศิ . (2549). กระบวนการเสริมสมรรถภาพการชแ้ี นะของนักเรียนโดยใช้การเรียนรู้ แบบประสบการณใ์ นการอบรม โดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐาน. ดุษฎนี ิพนธ์ สาขาหลกั สตู ร และการสอน จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลยั , อดั สาเนา บูรชัย ศิริมหาสาคร. (2545). แผนการจดั การเรยี นรู้ทเ่ี น้นผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง. กรงุ เทพฯ : บุ๊คพ้อยท.์ ปรยี าพร วงศ์อนุตรโรจน.์ (2548). การนเิ ทศการสอน. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทพมิ พด์ ีจากัด.
วิจติ ร วรุตบางกรู . (2542). การนิเทศการศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: พิฆเฌศ. วนิ ัย เกษมเศรษฐ. หลักการและเปา้ หมายของการนเิ ทศ. หนว่ ยศกึ ษานเิ ทศก์ กรมสามัญศกึ ษา, ม.ป.ป. อัดสาเนา. ศิรวิ รรณ ฉายะเกษตรนิ . (2551). การคน้ ควา้ จากเอกสารเกย่ี วกับความหมายของการนิเทศ การบริหาร และความมงุ่ หมายของการนเิ ทศการศึกษาในประเทศไทย. อดั สาเนา. สุมน อมรวิวัฒน.์ (2545). การปฏิรปู กระบวนการเรยี นรู้ในโรงเรียนนารอ่ ง. นนทบุรี : โรงพมิ พ์ พลับพลาศิร.ิ สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาต.ิ (2542). พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542. กรงุ เทพมหานคร : สานักนายกรฐั มนตรี . สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน. (2553). การพัฒนาศกึ ษานเิ ทศก์แนวใหม่. สานักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. อัดสาเนา. สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน. (2558). แนวทางการดาเนนิ งานของคณะกรรมการ ติดตาม ตรวจสอบ ประเมนิ ผลและนเิ ทศการศกึ ษาของเขตพน้ื ท่ีการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พอ์ ักษรไทย (น.ส.พ.ฟ้าเมอื งไทย). สุมน อมรวิวัฒน.์ (2545). การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียนนาร่อง. นนทบุรี : โรงพมิ พ์ พลบั พลาศิร.ิ อญั ชลี ธรรมะวิธกี ลุ . (2552). เทคนิคการนเิ ทศ : การสอนงาน (Coaching) : http://panchalee. wordpress.com /2009/07/27/coaching/ สบื ค้นเมอ่ื วันที่ 25 สงิ หาคม 2554. Glickman, Carl D. (1981). Developmental Supervision: Alternative Practices for Helping Teachers Improve Instruction. Washington D.C. : Association for Supervision and Curriculum Development. Harris, Ben M. (1985). Supervision Behavior in Education. 3rd ed. Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice-Hall.
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: