ค่มู ือสวสั ดิการรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ กรมบญั ชกี ลาง
สารบญั หนา้ บทที่ 1 บทนา 1 1.1 ความสาคัญและความเปน็ มา 1 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ 2 1.3 ขอบเขต 2 บทที่ 2 สาระสาคญั ของกฎหมายและระเบยี บทเี่ กี่ยวข้อง 3 2.1 พระราชบญั ญตั ิการกาหนดหลกั เกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตาม งบประมาณรายจา่ ย พ.ศ. 2518 3 2.2 พระราชกฤษฎกี าเงินสวสั ดิการเกยี่ วกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 และ ทีแ่ ก้ไขเพ่มิ เติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 3 2.3 หลักเกณฑก์ ระทรวงการคลงั วา่ ดว้ ยวธิ กี ารเบิกจา่ ยเงินสวสั ดิการเกยี่ วกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 4 2.4 คาจากดั ความ 5 2.5 การเกิดสิทธิ และหมดสิทธขิ องบุคคล 8 2.6 การถกู จากัดสิทธิ (มาตรา 10) และสทิ ธิซาซ้อน 8 2.7 การรายงานข้อมูล และการเลือกสทิ ธิ 10 2.8 ค่าตรวจสขุ ภาพประจาปี 10 2.9 การเบิกค่ารักษากรณีมีประกัน 12 2.10 การเบกิ ค่ารักษา (กรณี พ.ร.บ.คุม้ ครองผ้ปู ระสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535) 12 2.11 การเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนเปน็ ครงั คราว 13 2.12 กรณีสถานพยาบาลส่งผู้ปว่ ยไปซอื ยา อุปกรณ์และอวยั วะเทยี มหรือรับการตรวจ ทางหอ้ งทดลอง หรือเอกซเรย์จากสถานที่อื่นซ่ึงอยใู่ นประเทศไทย 13 2.13 การเบกิ ค่ารักษากรณีของการแพทย์แผนไทย 13 2.14 การเบกิ จ่ายเงนิ สวัสดิการเกี่ยวกบั การรกั ษาพยาบาล 14 2.15 โครงการเบิกจ่ายตรงสวสั ดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ 19 2.16 โครงการเบิกจา่ ยตรงผู้ปว่ ยล้างไต 19 2.17 โครงการเบิกจา่ ยตรงผู้ป่วยโรคมะเรง็ (ยามะเร็ง 6 ชนดิ ) 20 2.18 โครงการเบิกจา่ ยตรงค่ารถ REFER 20 2.19 ระบบการเบิกจา่ ยเงินผปู้ ว่ ยในโดยระบบ DRG 23 บทที่ 3 แนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบยี บท่ีเกีย่ วข้อง 25 3.1 การเบิกจา่ ยคา่ รักษาพยาบาล 25 บทท่ี 4 บทสรุป 41 บทที่ 5 คาถาม – คาตอบ ทีพ่ บบ่อย 43 เอกสารอา้ งองิ
สารบญั (ต่อ) ภาคผนวก - พระราชบัญญัติการกาหนดหลกั เกณฑเ์ กยี่ วกับการจา่ ยเงินบางประเภท ตามงบประมาณรายจา่ ย พ.ศ. 2518 - พระราชกฤษฎีกาเงินสวสั ดกิ ารเก่ยี วกบั การรกั ษาพยาบาล พ.ศ. 2553 และ ที่แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2555 - หลักเกณฑ์กระทรวงการคลงั วา่ ด้วยวธิ ีการเบกิ จ่ายเงนิ สวัสดกิ ารเกยี่ วกับ การรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 - แบบ 7129 – 7140 ที่ใชใ้ นการเบิกจา่ ยคา่ รักษาพยาบาล
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ควำมสำคญั และควำมเป็นมำ ภำพรวมระบบสวัสดิกำรรกั ษำพยำบำลในประเทศไทย ประเทศไทยได้มีการพัฒนาระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลมาอย่างตอ่ เน่ืองตลอดมา ซึ่งแสดงให้ เห็นได้วา่ รฐั บาลใหค้ วามสาคญั ในส่วนของสุขภาพของประชาชน และเปน็ การสร้างความมน่ั คงใหก้ ับชวี ิต ของประชาชนคนไทย ซึ่งสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลระบบแรก ๆ ท่ีเร่ิมข้ึน ก็คือ ระบบสวัสดิการ รักษาพยาบาลข้าราชการ โดยมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ. 2521 ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ. 2523 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (รวมจานวน 8 ฉบับ) และในปัจจุบันระบบสวัสดิการ รักษาพยาบาลข้าราชการอ้างอิงพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกยี่ วกบั การรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพมิ่ เตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2555 ระบบสวัสดิการลาดับต่อมา ก็คือ ระบบประกันสังคมซึ่งเริ่มดาเนินการในปี พ.ศ. 2533 โดย อาศัยอานาจตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองลูกจ้าง ผู้ประกันตน และกองทุนสุดท้ายที่เร่ิมก่อต้ังในปี พ.ศ. 2545 เป็นกองทุนที่ให้การดูแลประชาชน ส่วนใหญ่ของประเทศ โดยมีหน่วยงานท่ีรับผิดชอบ ก็คือ สานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นองค์กรท่จี ดั ตั้งข้นึ ตามพระราชบญั ญตั หิ ลักประกันสขุ ภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. 2545 เพอ่ื สานต่อนโยบาย รัฐบาลในการสร้างหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมประชาชนคนไทยทุกคน เพื่อให้ทุกคนได้รับการ บริการที่มีคุณภาพตามความจาเป็น อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ด้วยระบบบริหารจัดการและ การจัดบริการที่มีประสิทธิภาพ โดยคานึงถึงสิทธิของประชาชนในการเลือกหน่วยบริการของตนเอง รวมถึงการทผ่ี ู้ใหบ้ ริการมีความสุข และสัมพนั ธภาพทดี่ กี บั ผ้รู ับบรกิ าร จากท่ีกล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นได้ว่า ประชาชนคนไทยไม่ว่าจะมีอาชีพหรือไม่ ทุกคนได้รับ การดูแลด้านการรักษาพยาบาลจากรัฐไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากรับราชการก็มีระบบสวัสดิการ รักษาพยาบาลขา้ ราชการดูแล หากทางานในภาคเอกชนกม็ รี ะบบประกันสงั คมดูแล หรือหากไม่ทางานก็ มรี ะบบหลักประกนั สุขภาพถ้วนหน้าดูแล จึงอาจกล่าวได้ว่า “ไม่มีคนไทยคนใดไม่มีสทิ ธิดา้ นสวัสดกิ าร รกั ษาพยาบาลทรี่ ัฐจัดให้” ท้ังน้ี ประชาชนคนไทยที่หมายถึงก็คือ คนไทยที่มีเลขบัตรประจาตัวประชาชน (13 หลัก) โดย ระบบสวัสดิการในปัจจุบันทั้ง 3 ระบบมีการเช่ือมโยงข้อมูลกันตลอดเวลา โดยใช้เลขบัตรประจาตัว ประชาชนเป็นเลขอ้างอิงในการตรวจสอบสิทธิของประชาชนคนไทย เพ่ือแยกแยะผู้มีสิทธิแต่ละระบบ และป้องกันปัญหาสิทธซิ ้าซ้อน ซึ่งครอบคลุมประชาชนคนไทยเกนิ ร้อยละ 90 ของประชาชนทั้งประเทศ โดยประชาชนส่วนที่เหลือก็มีหน่วยงานท่ีรองรับอยู่ เช่น รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ ราชการส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งจะมีกฎหมายเฉพาะของหน่วยงานน้ัน ๆ ที่กาหนดสิทธิสวัสดิการให้กับพนักงานหรือ เจ้าหน้าทีข่ องตนไว้ จากท่กี ล่าวมาแล้ววา่ “คนไทยทุกคนต้องมีสิทธิสวสั ดิการรกั ษาพยาบาล 1 สิทธิ” โดยสงั เกตได้ ดังน้ี หากบุคคลน้ันทางานภาคเอกชน (เป็นลูกจ้าง) หรือทางานในภาคราชการในตาแหน่งลูกจ้าง ชัว่ คราวหรือพนักงานราชการ บุคคลกลมุ่ นจี้ ะเป็น “ผูป้ ระกันตน และมสี ิทธใิ นระบบประกันสังคม” หาก รับราชการหรือเป็นผู้รับเบ้ียหวัดบานาญหรือเป็นลูกจ้างประจา จะเป็น “ผู้มีสิทธิในระบบสวัสดิการ รักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งรวมทั้งบุคคลในครอบครัวของบุคคลดังกล่าวด้วย” และหากเป็นพนักงาน คู่มือสวสั ดิการรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๑
รฐั วิสาหกิจ พนักงานองค์กรอิสระ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ก็จะเปน็ ผู้มีสิทธิสวัสดกิ ารรักษาพยาบาลตาม ระบบนน้ั ๆ หากคนไทยรายดังกล่าวไม่ใช่บุคคลท่ีกล่าวมาข้างต้นทั้งหมด คนไทยคนนั้นก็จะเป็นผู้มีสิทธิใน ระบบหลักประกนั สขุ ภาพถ้วนหน้าทันที ทั้งนี้ สิทธิหลักประกนั สุขภาพถว้ นหน้าไม่ถือว่าเปน็ สิทธิซา้ ซ้อน กับสิทธิอ่ืนแต่อย่างใด กล่าวคือ หากไม่มีสิทธิด้านสวัสดิการใด ๆ แล้ว สามารถขอรับสิทธิหลักประกัน สุขภาพถ้วนหน้าได้ ณ สานักงานเขต กรณีอยู่ในกรุงเทพมหานคร หรือสถานีอนามัย กรณีอยู่ใน ตา่ งจังหวัด หรือตดิ ตอ่ 1330 เพอื่ ขอทราบข้อมลู เพมิ่ เตมิ คาถามที่ว่า คนไทย 1 คน มีมากกว่า 1 สิทธิได้หรือไม่ คาตอบคือ ได้ ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. เป็นข้าราชการมีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และไปรับงานรักษาความปลอดภัยในวันหยุด จึงมีสิทธิประกันสังคมด้วย ในกรณีน้ี นาย ก. สามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิจากระบบสวัสดิการ รักษาพยาบาลข้าราชการ หรือใช้สิทธิประกันสังคม และหากเลือกใช้สิทธิประกันสังคม นาย ก. จะไม่มี สทิ ธิสวสั ดกิ ารรักษาพยาบาลข้าราชการตามมาตรา 10 แหง่ พระราชกฤษฎกี าเงินสวัสดิการเก่ยี วกับการ รกั ษาพยาบาล พ.ศ. 2553 สาห รับกรณีท่ีบุคคลในครอบครัวมีสิทธิได้รับเงิน ค่ารักษาพยาบาล ตามสิทธิของตนเองจาก หน่วยงานอ่ืน ผู้มีสิทธิไม่มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลสาหรับบุคคลในครอบครัว ตามมาตรา 10 วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาเงินสวสั ดิการเกี่ยวกับการรกั ษาพยาบาล พ.ศ. 2553 เว้นแต่ค่ารักษาพยาบาลท่ีได้รับน้ันต่ากว่าเงินสวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาลท่ีมีสิท ธิจะได้รับตาม พระราชกฤษฎีกานี้ ให้ผู้มีสิทธิมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลสาหรับบุคคลใน ครอบครวั เฉพาะส่วนที่ขาดอย่ไู ด้ หากกรณีท่ีบุคคลในครอบครัวเป็นผู้อาศัยสิทธิของผู้อ่ืนซ่ึงมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาล สาหรับบุคคลในครอบครัวจากหน่วยงานอ่ืนในขณะเดียวกัน ก็ให้ผู้มีสิทธิมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการ เก่ียวกับการรักษาพยาบาลสาหรับบุคคลในครอบครัวตามมาตรา 10 วรรคสาม แห่งพระราชกฤษฎีกา เงินสวสั ดิการเกี่ยวกบั การรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 ได้ 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ให้ทราบถึงระบบเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๒. เพอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทางในการปฏิบัตเิ กยี่ วกบั ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๓. เพ่ือให้การเบิกจ่ายเงินสวัสดิการท่ีรฐั จัดสรรให้เป็นไปด้วยความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และ วธิ ีปฏบิ ัติ 1.3 ขอบเขต ระบบสวัสดกิ ารรักษาพยาบาลข้าราชการอา้ งอิงตามพระราชกฤษฎีกาเงนิ สวสั ดกิ ารเก่ียวกับการ รกั ษาพยาบาล พ.ศ. 2553 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. 255๕ และหลักเกณฑ์กระทรวงการคลัง ว่าด้วยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 รวมถึงหนังสือเวียนต่าง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง คมู่ ือสวสั ดิการรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๒
บทที่ 2 สาระสาคญั ของกฎหมายและระเบียบท่ีเกี่ยวขอ้ ง กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานกลางในการเบิกจ่ายเงินของแผ่นดิน ซึ่งมีอีกภารกิจที่สาคัญ คอื การดูแลบุคลากรภาครัฐ ไม่วา่ จะเป็นข้าราชการ ลูกจ้างประจา ลูกจ้างช่ัวคราว และพนักงานราชการ ที่เป็นกาลังสาคัญในการขับเคล่ือนระบบราชการให้มีความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับฐานะ ไม่เดือดร้อนจาก การรับราชการ มีความมั่นคงในชีวติ และหากเจ็บป่วย ทางราชการก็สามารถให้เบกิ ค่ารักษาพยาบาลได้ โดยกรมบัญชกี ลางได้กาหนดกฎหมายและหลักเกณฑท์ ่เี กยี่ วข้องไว้ ดังน้ี 2.1 พระราชบัญญัติการกาหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตาม งบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2518 พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายหลักที่ให้อานาจกระทรวงการคลังในการกาหนด หลกั เกณฑ์ต่าง ๆ เก่ยี วกบั ระบบสวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ ตามมาตรา 3 (6) ได้กาหนดให้การ จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายเป็นเงินสวัสดิการจากทางราชการให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงิน ค่ารักษาพยาบาลนั้นเป็นสวัสดิการจากทางราชการอย่างหนึ่ง จึงต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ฉะน้ัน พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดกิ ารเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลจึงเปน็ กฎหมายซง่ึ ฝา่ ยบรหิ ารเป็นผกู้ าหนดขึ้น โดยอาศัยอานาจตามพระราชบัญญัตดิ ังกลา่ ว 2.2 พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 และ ที่แกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2555 พระราชกฤษฎกี าฉบบั นี้ ได้มกี ารยกเลิกฉบับเดิมรวม 8 ฉบับ โดยใหย้ กเลิก 1. พระราชกฤษฎกี าเงนิ สวสั ดิการเกี่ยวกบั การรักษาพยาบาล พ.ศ. 2523 2. พระราชกฤษฎีกาเงนิ สวสั ดิการเกี่ยวกบั การรกั ษาพยาบาล (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2528 3. พระราชกฤษฎีกาเงินสวสั ดกิ ารเกย่ี วกับการรกั ษาพยาบาล (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2532 4. พระราชกฤษฎกี าเงนิ สวัสดิการเกี่ยวกบั การรกั ษาพยาบาล (ฉบบั ท่ี 4) พ.ศ. 2533 5. พระราชกฤษฎกี าเงนิ สวัสดิการเก่ยี วกับการรักษาพยาบาล (ฉบับท่ี 5) พ.ศ. 2534 6. พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกบั การรกั ษาพยาบาล (ฉบบั ท่ี 6) พ.ศ. 2540 7. พระราชกฤษฎีกาเงนิ สวสั ดิการเกี่ยวกบั การรักษาพยาบาล (ฉบบั ที่ 7) พ.ศ. 2541 8. พระราชกฤษฎกี าเงนิ สวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาล (ฉบบั ที่ 8) พ.ศ. 2545 พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2555 - สว่ นท่แี ก้ไข : การเข้ารับการรกั ษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชน (มาตรา 8 (3)) เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 คือ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล เพ่ือให้สอดคล้องกับการให้บริหารทางการแพทย์และระบบประกันสุขภาพอื่น และเพื่อ พัฒนาระบบสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของรัฐ โดยขยายสิทธไิ ด้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการ รักษาพยาบาลในการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนให้กว้างขึ้นและกาหนดให้ การเสริมสร้างสุขภาพและการป้องกันโรคเป็นการรักษาพยาบาลด้วย รวมท้ังกาหนดให้มีการนาระบบ การเบิกจา่ ยตรงมาใช้กับการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกบั การรกั ษาพยาบาล อนั เป็นการลดขั้นตอนการ ดาเนินการ เพ่ิมประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จา่ ยของรัฐ และอานวยความสะดวกใหแ้ กผ่ ู้มสี ิทธไิ ด้รับ เงินสวสั ดกิ ารเก่ยี วกับการรกั ษาพยาบาลมากยงิ่ ข้นึ จึงจาเปน็ ตอ้ งตราพระราชกฤษฎีกาน้ี คู่มอื สวสั ดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๓
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 คือ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงสิทธิในการรับเงินสวัสดิการเก่ียวกับ การรักษาพยาบาลสาหรับการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนของผู้มีสิทธิได้รับ เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ท้ังประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน เฉพาะกรณีท่ีผู้มีสิทธิหรือ บุคคลในครอบครัวเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน จึงจาเป็นต้องตรา พระราชกฤษฎีกานี้ 2.3 หลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการ รกั ษาพยาบาล พ.ศ.2553 หลักเกณฑ์กระทรวงการคลังน้ี กาหนดข้ึนเพ่ือเป็นแนวทางในการปฏิบัติกาหนดวิธีปฏิบัติของ ผู้มีสทิ ธิและส่วนราชการใหถ้ ือปฏบิ ัติ หลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 ให้มผี ลบงั คบั ใชต้ ง้ั แต่วนั ที่ 29 กนั ยายน 2553 โดยให้ยกเลกิ ระเบยี บ 2 ฉบับ คือ 1. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2545 2. ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาล (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2553 ในปัจจุบันสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของทางราชการ มีหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน งบประมาณรายจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลท่ีใช้บังคับโดยพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2555 ส่วนวิธีการเบิกจ่ายเงิน สวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาล เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกาหนดตาม หลกั เกณฑก์ ระทรวงการคลงั วา่ ดว้ ยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวสั ดิการเกย่ี วกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 และหนงั สือเวียนหรือหนังสอื ซ้อมความเข้าใจวธิ ีปฏิบตั ใิ นการเบิกจ่ายเงินคา่ รักษาพยาบาล แผนภาพท่ี 1 : ทีม่ าของกฎหมาย พระราชบญั ญัติ ทีม่ าของกฎหมาย พระราชกฤษฎกี า ก า รก า ห น ด ห ลั ก เก ณ ฑ์ เก่ี ย ว กั บ ก า ร จ่ า ย เงิน บ า งป ร ะเภ ท ต า ม หลกั เกณฑ์ งบประมาณรายจา่ ย พ.ศ. 2518 หนังสอื เวยี นตา่ ง ๆ เงิน สวัสดิ การเก่ียวกั บ การรักษ าพ ยาบ าล พ .ศ . 2 5 5 3 และที่แกไ้ ขเพิม่ เติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2555 กระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับ การรกั ษาพยาบาล พ.ศ. 2553 คมู่ ือสวสั ดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๔
2.4 คาจากัดความ “สวัสดิการ” คือ ผลประโยชน์ที่รัฐจัดให้ ซ่ึงสามารถเปล่ียนแปลง เพิ่ม ลด ได้ตามความ เหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานะการเงินการคลังของประเทศไทยในขณะนั้น เช่น ค่ารักษาพยาบาล คา่ ศึกษาบุตร เป็นต้น คาว่า “สวัสดิการ” จะต่างกับ “ค่าตอบแทน” ตรงท่ี สวัสดิการทุกคนต้องได้สิทธิ เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการระดับสูงหรือระดับล่าง แต่ค่าตอบแทนไม่จาเป็นต้องเท่าเทียมกัน เพราะเดือดร้อนไม่เท่ากัน เชน่ คา่ เช่าบา้ น ข้าราชการระดับสูงจะได้ค่าเช่าบ้านมากกวา่ ข้าราชการระดับล่าง “คา่ รกั ษาพยาบาล” หมายความวา่ คา่ ใช้จ่ายทเี่ กิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล ดงั ต่อไปนี้ (1) ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ค่าเลือดและส่วนประกอบของเลือดหรือ สารทดแทน ค่าน้ายาหรืออาหารทางเส้นเลือด ค่าออกซิเจน และอ่ืน ๆ ทานองเดียวกันท่ีใช้ในการ บาบดั รกั ษาโรค (2) ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบาบัดรักษาโรค รวมทั้งค่าซ่อมแซมอวัยวะเทียมและ อุปกรณ์ดังกล่าว (3) ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการทางการพยาบาล ค่าตรวจวินิจฉัยโรค ค่าวิเคราะห์โรค แต่ไม่รวมถึงค่าธรรมเนียมแพทย์พิเศษ ค่าจ้างผู้พยาบาลพิเศษ ค่าธรรมเนียมพิเศษ และค่าบริการอื่น ทานองเดยี วกนั ท่มี ีลักษณะเป็นเงนิ ตอบแทนพิเศษ (4) ค่าตรวจครรภ์ ค่าคลอดบตุ รและการดแู ลหลังคลอดบุตร (5) คา่ หอ้ งและค่าอาหาร ตลอดระยะเวลาท่ีเขา้ รับการรักษาพยาบาล (6) คา่ ใช้จ่ายเพือ่ เปน็ การเสริมสร้างสุขภาพและป้องกนั โรค (7) คา่ ฟน้ื ฟูสมรรถภาพร่างกายและจติ ใจ (8) ค่าใชจ้ า่ ยอ่ืนทจี่ าเปน็ แก่การรักษาพยาบาลตามทก่ี ระทรวงการคลงั กาหนด “สถานพยาบาล” หมายความวา่ สถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลของเอกชน - “สถานพยาบาลของทางราชการ” หมายความว่า สถานพยาบาลซึ่งเป็นส่วนราชการตาม กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และให้หมายความรวมถึงสถานพยาบาลของ มหาวิทยาลัยของรัฐ สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทาง การศึกษา องค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณ กรุงเทพมหานคร สภากาชาดไทย และองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก โรงพยาบาล ประสานมิตร และสถานพยาบาลอนื่ ตามทีก่ ระทรวงการคลงั กาหนด - “สถานพยาบาลของเอกชน” หมายความว่า สถานพยาบาลท่ีมีลักษณะการให้บริการเป็น โรงพยาบาล ซง่ึ ไดร้ ับอนุญาตใหป้ ระกอบกจิ การและดาเนนิ การตามกฎหมายวา่ ด้วยสถานพยาบาล “ผูม้ ีสิทธิ” หมายความว่า (1) ข้าราชการและลูกจ้างประจาซ่ึงได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างประจาจากเงินงบประมาณ รายจ่าย งบบุคลากรของกระทรวง ทบวง กรม เว้นแต่ข้าราชการตารวจชั้นพลตารวจซึ่งอยู่ในระหว่าง รับการศกึ ษาอบรมในสถานศกึ ษาของสานกั งานตารวจแหง่ ชาติก่อนเข้าปฏบิ ตั ิหน้าท่รี าชการประจา (2) ลูกจ้างชาวต่างประเทศซ่ึงมีหนังสือสัญญาจ้างท่ีได้รับค่าจ้างจากเงินงบประมาณรายจ่าย และสญั ญาจา้ งนนั้ มไิ ด้ระบุเก่ียวกับคา่ รักษาพยาบาลไว้ (3) ผู้ได้รับบานาญปกติหรือผู้ได้รับบานาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพตามกฎหมายว่าด้วย บาเหน็จบานาญข้าราชการหรือกฎหมายว่าด้วยกองทุนบาเหน็จบานาญข้าราชการ และทหารกองหนุน มเี บย้ี หวดั ตามขอ้ บงั คับกระทรวงกลาโหมวา่ ดว้ ยเงินเบ้ยี หวดั ค่มู อื สวสั ดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าท่ี ๕
คาอธิบายเพมิ่ เติมในสว่ นของผ้มู ีสทิ ธิ : กรณีข้าราชการและลูกจ้างประจาท่ีจะเป็นผู้มีสิทธนิ ั้น จะต้องเป็นข้าราชการและลูกจา้ งประจา ซึ่งได้รับเงินเดือน หรือค่าจ้างประจาจากเงินงบประมาณรายจ่ายหมวดเงินเดือน และค่าจ้างประจาของ กระทรวง ทบวง กรม (ปัจจุบัน คือ งบบุคลากร) โดยข้าราชการซ่ึงได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณ รายจา่ ยหมวดเงินเดือนและค่าจา้ งประจา ประกอบด้วย 1. ขา้ ราชการพลเรือน ตามกฎหมายว่าดว้ ยระเบยี บข้าราชการพลเรือน 2. ข้าราชการครู ตามกฎหมายวา่ ด้วยระเบียบข้าราชการครู 3. ข้าราชการฝ่ายตุลาการ ตามกฎหมายว่าดว้ ยระเบียบขา้ ราชการฝา่ ยตุลาการ 4. ขา้ ราชการฝา่ ยอยั การ ตามกฎหมายวา่ ด้วยระเบยี บข้าราชการฝา่ ยอัยการ 5. ขา้ ราชการพลเรือนในมหาวทิ ยาลัยตามกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบียบขา้ ราชการพลเรือนในมหาวทิ ยาลัย 6. ข้าราชการฝ่ายรฐั สภา ตามกฎหมายว่าด้วยขา้ ราชการฝา่ ยรัฐสภา 7. ขา้ ราชการตารวจ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบยี บขา้ ราชการตารวจ 8. ข้าราชการทหาร ตามกฎหมายว่าด้วยระเบยี บขา้ ราชการทหาร 9. ข้าราชการการเมอื ง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบขา้ ราชการการเมือง จะเห็นได้ว่า ข้าราชการส่วนท้องถ่ิน พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐ พนักงาน ราชการจึงมใิ ชผ่ ู้มสี ิทธติ ามพระราชกฤษฎีกาเงินสวสั ดิการเกยี่ วกบั การรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 กรณีของลูกจ้างประจาน้ัน จะเป็นผู้มีสิทธิก็ต่อเมื่อได้รับค่าจ้างจากเงินงบประมาณรายจ่าย หมวดเงินเดือนและค่าจ้างประจาเท่าน้ัน ลูกจ้างประจาที่ได้รับค่าจ้างจากเงินประเภทอื่น ๆ ลูกจ้างท่ี ได้รับเงินจากเงินนอกงบประมาณไม่ใช่ผู้มีสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 กรณีลูกจ้างชาวต่างประเทศซึ่งจะเป็นผมู้ ีสิทธิได้กต็ อ่ เม่ือผา่ นเง่อื นไข 2 ขอ้ คอื 1. คา่ จ้างได้รบั จากเงินงบประมาณรายจ่าย 2. สญั ญาจา้ งมไิ ด้ระบเุ ก่ยี วกับการชว่ ยเหลือในด้านการรักษาพยาบาลไว้ ดังน้ัน หากลูกจ้างชาวต่างประเทศซึ่งจ้างจากเงินงบประมาณรายจ่าย แต่ในสัญญาจ้างระบุว่า ให้ได้รับการช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลจากการทาประกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้มีสิทธิตาม พระราชกฤษฎกี าเงนิ สวัสดิการเกย่ี วกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 กรณีผู้รับบานาญ/เบี้ยหวัด ท่ีจะถือว่าเป็นผู้มีสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับ การรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 จะต้องเป็นผู้รบั บานาญปกตติ ามมาตรา 9 แห่งพระราชบญั ญตั ิบาเหน็จ บานาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 หรือผู้รับบานาญพิเศษเหตุทุพพลภาพตามมาตรา 36 แห่ง พระราชบัญ ญั ติบาเหน็จบานาญ ข้าราชการ และทหารกองหนุนมีเบี้ยหวัดตามข้อบังคับ กระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบ้ียหวัด พ.ศ. 2495 เท่านั้น ผู้รับบาเหน็จตามกฎหมายบาเหน็จบานาญ ข้าราชการไมใ่ ช่ผมู้ สี ทิ ธติ ามพระราชกฤษฎกี านี้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ผู้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลตามนัยพระราชกฤษฎีกาฯ หมายถึง บุคคลดังกล่าวข้างต้น เท่านั้น บุคคลในครอบครัวของผู้มีสิทธิดังกล่าวมิใช่ผู้มีสิทธิได้รับเงิน ค่ารักษาพยาบาลตามพระราชกฤษฎีกาฯ ด้วย แต่ตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการนี้ ได้กาหนดให้ ผู้มีสิทธิดังกล่าวนอกจากจะมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลสาหรับตนเองแล้วยังมีสิทธิได้รับเงิน คา่ รกั ษาพยาบาลสาหรับบคุ คลในครอบครวั ไดด้ ้วย (พระราชกฤษฎกี าฯ มาตรา 5) คมู่ อื สวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๖
แผนภาพที่ 2 : ผมู้ ีสทิ ธิ ผรู้ ับบานาญปกติ ลูกจ้างประจา ผู้มสี ทิ ธิ ขา้ ราชการ ลูกจา้ งชาวต่างชาติ ผรู้ บั เบย้ี หวัด ผู้รบั บานาญพิเศษ เหตุทุพพลภาพ “บคุ คลในครอบครวั ” หมายความวา่ (1) บุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มีสิทธิซ่ึงยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เป็น คนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถซ่ึงอยู่ในความอุปการะเล้ียงดูของผู้มีสิทธิ แต่ทั้งนี้ ไมร่ วมถงึ บุตรบุญธรรมหรอื บุตรซึง่ ได้ยกใหเ้ ป็นบตุ รบุญธรรมของบคุ คลอ่ืน (2) คู่สมรสทีช่ อบด้วยกฎหมายของผู้มสี ิทธิ (3) บิดาหรือมารดาทชี่ อบด้วยกฎหมายของผู้มีสิทธิ คาอธิบายเพ่ิมเติมในส่วนของบคุ คลในครอบครัว : บุคคลในครอบครัวของผู้มีสิทธิ ที่ผู้มีสิทธิสามารถนาค่ารักษาพยาบาลมาเบิกจ่ายเป็น ค่ารักษาพยาบาลตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 ได้น้ัน ประกอบด้วยบิดา มารดา คู่สมรส และบุตร ซ่ึงต้องเป็นบุคคลในครอบครัวท่ีชอบด้วยกฎหมายด้วย สาหรับคาว่า “ชอบด้วยกฎหมาย” น้ัน หมายถึงจะต้องเป็นบุคคลในครอบครัวท่ีถูกต้องตามกฎหมาย โดยมหี ลกั ฐานทางราชการรบั รองความถกู ตอ้ ง แผนภาพท่ี 3 : บคุ คลในครอบครัว คสู่ มรส บดิ า บุตร (3 คน) บุคคลในครอบครัว มารดา คมู่ ือสวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๗
“ฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ” หมายความวา่ ขอ้ มูลของขา้ ราชการ ลูกจา้ งประจา ผู้รับเบย้ี หวัด บานาญ และลูกจ้างชาวต่างประเทศ รวมถึงบุคคลในครอบครัว เพื่อประโยชน์ในการจัดทาฐานข้อมูล เก่ยี วกับการรกั ษาพยาบาล “นายทะเบียนบุคลากรภาครัฐ” หมายความว่า นายทะเบียนระดับกรม และส่วนภูมิภาคที่ ได้รับแต่งตั้งจากหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมในส่วนกลาง หรือหัวหน้าหน่วยงานในส่วนภูมิภาค ซ่ึงมี รหัสผู้ใช้งาน (Username) และรหัสผ่าน (Password) ท่ีกาหนดโดยกรมบัญชีกลาง มีหน้าท่ีดูแลข้อมูล (ตรวจสอบ เพ่ิมเติม ปรับปรุง หรือแก้ไขข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน) ของข้าราชการ ลูกจ้างประจา ลูกจ้าง ชาวตา่ งประเทศในสงั กัด และบคุ คลในครอบครัว “นายทะเบียนผู้รบั บาเหน็จบานาญ” หมายความว่า ข้าราชการ ยกเว้นข้าราชการที่ช่วยราชการ ทไี่ ด้รับแต่งตั้งจากหัวหนา้ สว่ นราชการระดับกรมในส่วนกลาง หรือหัวหน้าหน่วยงานในส่วนภูมิภาค ซึง่ มี รหัสผู้ใช้งาน (Username) และรหสั ผ่าน (Password) ที่กาหนดโดยกรมบัญชีกลาง มีหนา้ ท่ีดูแลประวัติ ของผรู้ บั เบ้ียหวัด บาเหน็จ บานาญ และเงนิ อนื่ ในลักษณะเดียวกัน รวมทั้งบุคคลในครอบครัว “ผูป้ ว่ ยใน” หมายความว่า ผเู้ ขา้ รบั การรกั ษาพยาบาลตอ้ งพกั รักษาตัวในสถานพยาบาล “ผู้ป่วยนอก” หมายความว่า ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาลไม่ได้พักค้างในสถานพยาบาล (ตรวจ และรับยาแล้วใหก้ ลบั บา้ นได)้ โดยท่ีพระราชกฤษฎกี าเงินสวสั ดกิ ารเก่ยี วกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 ได้มีการปรับปรุง แก้ไขในสาระสาคัญของคานิยาม “การรักษาพยาบาล” ให้หมายความรวมถึงการตรวจสขุ ภาพ การสร้าง เสรมิ สุขภาพและการป้องกนั โรค โดยมเี จตนารมณ์ในการเพมิ่ สิทธิประโยชน์ดา้ นการ “สรา้ งเสริมป้องกัน โรค” ใหค้ รอบคลมุ ผู้มีสิทธิ และบคุ คลในครอบครัว (มาตรา 4) 2.5 การเกดิ สทิ ธิ และหมดสทิ ธขิ องบคุ คล ผู้มสี ทิ ธิจะมีสทิ ธติ ้งั แต่วันท่ีได้รับการบรรจแุ ตง่ ตั้ง และหมดสิทธเิ มื่อเกษียณอายุราชการ ลาออก ถกู ไล่ออก หรอื เสยี ชีวิต และกรณถี ูกระงบั สทิ ธิเพราะถูกพักราชการ สาหรับบุคคลในครอบครัวของผู้มีสิทธินั้น อิงการเกิดสิทธิ และหมดสิทธิของผู้มีสิทธิ กล่าวคือ เม่ือผู้มีสิทธเิ กิดสิทธิ ก็จะมีสทิ ธิเบิกค่ารักษาพยาบาลของบุคคลในครอบครวั ไปด้วยพร้อมกัน และเม่ือผู้มี สทิ ธิหมดสิทธิกจ็ ะไม่มีสิทธิเบิกค่ารกั ษาพยาบาลของบุคคลในครอบครัวเช่นเดยี วกัน นอกจากนี้ ผ้มู ีสิทธิ อาจไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลของบุคคลในครอบครัวได้เน่ืองจากเหตุอ่ืนท่ีระบุไว้ในกฎหมายด้วย เช่น บุตรของผ้มู สี ทิ ธบิ รรลนุ ิตภิ าวะ ผมู้ สี ทิ ธิจดทะเบยี นหยา่ กบั คู่สมรส เป็นต้น 2.6 การถูกจากดั สิทธิ (มาตรา 10) และสทิ ธซิ ้าซอ้ น กรณีการถกู จากัดสิทธิ และสทิ ธซิ ้าซ้อนนั้น ได้มกี ารบญั ญัติไวใ้ นมาตรา 10 แห่งพระราชกฤษฎีกา เงนิ สวสั ดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 โดยบญั ญัตไิ ว้ ดังนี้ มาตรา 10 วรรคหน่ึง บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีท่ีผู้มีสิทธิมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาล จากหน่วยงานอื่น ให้ผู้มีสิทธิเลือกว่าจะใช้สิทธิรับเงินสวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาลตาม พระราชกฤษฎีกานี้ หรือใช้สิทธิรับเงินค่ารักษาพยาบาลจากหน่วยงานอ่ืน และหากเลือกใช้สิทธิจาก หน่วยงานอ่ืน ผู้น้ันไม่มีสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาน้ี ท้ังน้ี การเลือกและการเปล่ียนแปลงการใช้สิทธิ ใหเ้ ป็นไปตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการทีก่ ระทรวงการคลงั กาหนด” คมู่ อื สวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๘
ตัวอย่าง : ข้าราชการตอนเย็นไปทางาน Part time ที่บริษัทเอกชน หรือผู้รับบานาญ เกษียณอายุแล้วโดยเข้าโครงการเออร์ร่ี และเข้าไปทางานภาคเอกชนโดยส่งเงินสมทบเข้าสานักงาน ประกันสังคม ทาให้เกิดสิทธิประกันสังคม แสดงว่า ข้าราชการหรือผู้รับบานาญคนน้ัน มีสิทธิ 2 สิทธิ (สิทธิซ้าซ้อน) คือ สิทธิในฐานะข้าราชการหรือผู้รับบานาญและสิทธิประกันสังคม ซึ่งกฎหมายเดิม ตามพระราชกฤษฎีกาฯ พ.ศ. 2523 จะให้ไปใช้สิทธิประกันสังคมก่อน แต่กฎหมายใหม่ตาม พระราชกฤษฎกี าฯ พ.ศ. 2553 ให้สามารถเลือกใช้สิทธไิ ด้ โดยถ้าเลือกใชส้ ทิ ธิประกันสังคมจะหมดสทิ ธิ จากทางราชการ ดังนนั้ ในการเลือกใชส้ ทิ ธคิ วรเลือกในส่ิงที่ดีที่สุด โดยถา้ เลือกสิทธจิ ากหน่วยงานอื่นแล้ว จะหมดสิทธจิ ากกรมบญั ชีกลาง) มาตรา 10 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า “ในกรณี ที่บุคคลในครอบครัวมีสิทธิได้รับเงิน ค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิของตนเองจากหน่วยงานอ่ืน ผู้มีสิทธิไม่มีสิทธิได้รบั เงินสวสั ดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาลสาหรับบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกาน้ี เว้นแต่ค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับน้ัน ต่ากว่าเงนิ สวสั ดกิ ารเกี่ยวกับการรกั ษาพยาบาลทีม่ ีสทิ ธจิ ะได้รบั ตามพระราชกฤษฎีกานี้ ให้ผู้มีสิทธิมีสิทธิ ได้รบั เงนิ สวสั ดิการเกีย่ วกับการรักษาพยาบาลสาหรบั บุคคลในครอบครวั เฉพาะสว่ นทีข่ าดอยู่” ตัวอย่าง : คู่สมรสของข้าราชการ ไปทางานเอกชน เกิดสิทธิประกันสังคม หรือบิดามารดา ข้าราชการ ทางานเอกชน เกิดสทิ ธิประกันสังคม กรณีนี้บิดามารดา คู่สมรสของข้าราชการนัน้ มีสิทธิของ ตนเอง คือ สิทธิประกันสังคม แต่กอ็ าศัยสิทธขิ องข้าราชการในฐานะบคุ คลในครอบครวั ซง่ึ ตามกฎหมาย กาหนดว่า ต้องใช้สิทธิของตนเอง และเลือกสิทธิไม่ได้เพราะบุคคลในครอบครัวเป็นเพียงผู้อาศัยสิทธิ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย เพราะฉะน้ันข้อจากัดสิทธิจึงมีมากกว่าผู้มีสิทธิ ฉะนั้นจึงเลือกสิทธิไม่ได้ ต้องไปใช้สิทธิของตนเองก่อน แต่หากค่ารักษาพยาบาลท่ีได้รับนั้นต่ากว่าเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการ รักษาพยาบาลที่มีสิทธิจะได้รับตามพระราชกฤษฎีกาน้ี ก็ให้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการ รกั ษาพยาบาลเฉพาะส่วนทขี่ าดอยจู่ ากสิทธไิ ด้ มาตรา 10 วรรคสาม บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่บุคคลในครอบครัวเป็นผู้อาศัยสิทธิของผู้อ่ืนซ่ึง มสี ิทธไิ ดร้ ับเงินค่ารักษาพยาบาลสาหรับบคุ คลในครอบครวั จากหน่วยงานอื่นในขณะเดียวกัน ให้ผู้มีสิทธิ มีสทิ ธิได้รบั เงนิ สวสั ดิการเกยี่ วกบั การรกั ษาพยาบาลสาหรับบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกานี้” ตวั อย่าง : บิดาอยู่กรมบัญชีกลาง มารดาอยู่กรมการบินพลเรือน บุตรท่ีเกิดจะเบิกใครก็ได้ และ ถ้าบิดาอยู่กรมบัญชีกลาง มารดาอยู่รัฐวิสาหกิจ บุตรมี 2 สิทธิ (อาศัยสิทธิบิดา หรืออาศัยสิทธิมารดา ก็ได้) หรือบิดาอยู่กรมบัญชีกลาง มารดาอยู่องค์การบริหารส่วนจังหวัด บุตรท่ีเกิดจะเบิกใครก็ได้ ซึ่งจะ เห็นได้ว่า บุตรเป็นผู้อาศัยสิทธิของทั้ง 2 ฝ่าย หากเป็นข้าราชการพลเรือนเหมือนกันก็ไม่มีปัญหาอะไร แตถ่ า้ บิดาเปน็ ข้าราชการพลเรอื นซึง่ ใช้สิทธิกรมบัญชีกลาง และมารดาอยู่ อบจ. ซงึ่ ใช้สิทธิจากหน่วยงาน อื่น (เนื่องจากคนละกฎหมายกัน) จะมีปัญหาตามมาคือ ใช้สิทธิไหนก่อนเน่ืองจากกฎหมายของ อบจ. ก็ล้อกฎหมายไปจากกรมบัญชีกลาง ฉะน้ันตามกฎหมายใหม่น้ี จึงได้กาหนดให้ใช้สิทธิตาม พระราชกฤษฎกี าน้ีได้ คาว่า “หน่วยงานอ่ืน” ในที่นี้ หมายถึง รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอิสระ ส่วนราชการส่วนท้องถิ่น บริษัทประกัน ระบบประกันสุขภาพอ่ืน ๆ พระราชบัญญัติผู้ประสบภัยจากรถ และรวมถึง พระราชบัญญตั ิประกันสังคม แต่ไมร่ วมถึงพระราชบญั ญตั หิ ลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตัวอย่างสาหรับคาว่า “ส่วนที่ขาดอยู่จากสิทธิ” : นาย ก. เป็นข้าราชการ และได้ทาประกัน สุขภาพไว้กับบริษัทประกัน A ต่อมา นาย ก. เจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในในโรงพยาบาล ข. โดยเข้าพักในห้องพิเศษราคา 2,000 บาทต่อคืน เป็นเวลา 3 วัน บริษัทประกัน A จ่ายค่าห้องให้ วันละ 800 บาท เป็นเงินรวม 2,400 บาท นาย ก. จึงไม่สามารถเบิกค่าห้องจากราชการได้อีก คมู่ อื สวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๙
เน่ืองจากบริษัทประกัน A จ่ายค่าห้องในอัตรา 800 บาทต่อคืนซึ่งสูงกว่าอัตราท่ีทางราชการจ่ายให้ (600 บาทต่อคืน) แต่หากบริษัทประกัน A จา่ ยค่าห้องในอัตรา 400 บาทต่อคืน นาย ก. ก็จะสามารถ เบกิ ส่วนที่ขาดอยู่จากสิทธิอกี จานวน 200 บาทตอ่ คืน (เบกิ จากทางราชการไดเ้ ท่ากับเพดานท่ีกาหนด) 2.7 การรายงานขอ้ มูล และการเลือกสทิ ธิ มาตรา 5 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า “เพื่อประโยชน์ในการจัดทาฐานข้อมูลเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล ให้ผู้มีสิทธิมีหน้าท่ีรายงานข้อมูลเก่ียวกับตนเองและบุคคลในครอบครัวของตนต่อ ส่วนราชการเจ้าสังกัดพร้อมทั้งรับรองความถูกต้องของข้อมูล ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กระทรวงการคลังกาหนด” (หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนท่ีสุด ที่ กค 0422.2/ว 376 ลงวันที่ 30 กนั ยายน 2553) การรายงานข้อมูลของผูม้ สี ทิ ธิ และบุคคลในครอบครวั - ผู้มีสิทธิมีหน้าที่รายงาน และรับรองข้อมูลของตนเองและบุคคลในครอบครัวภายใน 1 เดือน นบั แตว่ นั บรรจเุ ข้ารับราชการ หรือวนั ที่ขอ้ มลู มกี ารเปลีย่ นแปลง - ผูม้ ีสิทธิกรอกแบบคาขอเพิ่ม/ปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ (แบบ 7127) พร้อม แนบเอกสารประกอบ เช่น สาเนาบตั รประชาชน สาเนาทะเบยี นสมรส สาเนาสตู ิบัตร - ข้อมูลท่ีต้องรายงาน ประกอบด้วย ข้อมูลตัวบุคคลของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว และ ขอ้ มลู สถานะทางราชการ - ข้อมูลท่ีอยู่ในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐก่อนวันที่ 29 กันยายน 2553 ถือว่าผู้มีสิทธิรับรอง ความถกู ต้องแลว้ การเลือกสทิ ธิของผมู้ ีสิทธิ - ผ้มู ีสทิ ธเิ ลอื กว่าจะใชส้ ิทธิตามพระราชกฤษฎีกาฯ หรอื จากหนว่ ยงานอื่น (มาตรา 10 วรรคหน่งึ ) - บุคคลในครอบครัวไม่สามารถเลือกได้ ต้องใช้สิทธิของตนเอง (กรณีมีสิทธิในฐานะเจ้าของ สิทธจิ ากหนว่ ยงานอื่น) - ผู้มีสิทธิมีหน้าที่แจ้งการเลือกสิทธิ หรือเปลี่ยนแปลงสิทธิภายใน 1 เดือน นับจากมีการ เปล่ียนแปลง ซึ่งสามารถแจ้งเปลยี่ นแปลงสิทธิได้ปีละ 1 คร้ัง (ภายในเดอื นตลุ าคมของทุกปี) หากไม่แจ้ง ถอื วา่ ประสงคใ์ ช้สทิ ธิราชการ/ไมป่ ระสงค์เปลย่ี นแปลง 2.8 ค่าตรวจสุขภาพประจาปี การตรวจสุขภาพประจาปี เปน็ การส่งเสริมป้องกันโรค มิใชก่ ารรักษาพยาบาล ซ่ึงตามกฎหมาย เดิมได้กาหนดยกเว้นเป็นกรณีพิเศษให้เฉพาะผู้มีสิทธิ (ข้าราชการ ลูกจ้างประจา และผู้รับเบ้ียหวัด บานาญ) สามารถเบิกคา่ ตรวจสขุ ภาพประจาปีได้ปีละ ๑ ครั้ง ตามรายการและอัตราท่ีกระทรวงการคลัง กาหนด ซ่ึงแบ่งการตรวจเปน็ ๒ ช่วงอายุ คือ ผู้มีอายุไม่เกิน ๓๕ ปีบริบูรณ์ ตรวจได้ ๗ รายการ และผู้มี อายุมากกว่า ๓๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ตรวจได้ ๑๖ รายการ โดยมีสิทธิเบิกปีละ ๑ คร้ัง ตามปีงบประมาณ แต่สามารถย่ืนเบิกได้ตามปีปฏิทิน (๑ ปี) นับถัดจากวันที่ปรากฏในใบเสร็จรับเงิน และบุคคลในครอบครัว ของผ้มู ีสิทธไิ ม่สามารถเบิกค่าตรวจสขุ ภาพประจาปีได้ (พระราชกฤษฎกี าฯ มาตรา ๑๘) สิทธิประโยชน์ในปจั จบุ นั ด้านการตรวจสุขภาพประจาปี ประกอบด้วย 1. ตรวจได้เฉพาะผู้มีสทิ ธิ ซึ่งประกอบดว้ ย ข้าราชการ ลูกจา้ งประจา และผรู้ ับเบี้ยหวดั บานาญ ไมร่ วมถงึ บุคคลในครอบครัว คู่มือสวสั ดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๑๐
2. แบ่งชุดการตรวจเปน็ 2 กลุม่ คือ อายุต่ากวา่ 35 ปีบรบิ ูรณ์ เบิกได้ 7 รายการ และอายตุ ้ังแต่ 35 ปีบรบิ ูรณข์ ึ้นไป เบิกได้ 16 รายการ 3. การตรวจให้ตรวจไดป้ ีละ 1 ครง้ั (ตามปงี บประมาณ) 4. การเบิก เบิกไดต้ ามรายการ และอัตราทก่ี รมบญั ชีกลางกาหนด 5. ใหผ้ ู้มสี ิทธิทดรองจา่ ยไปก่อน และนาใบเสร็จมาเบิกจากสว่ นราชการต้นสังกัด (หา้ มจ่ายตรง) 6. ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ท่ี กค 0422.2/ว 362 ลงวันท่ี 5 ตุลาคม 2554 คา่ Chest X-ray ค่าเอ็กซเรย์ปอดมีการนาระบบดิจิตัล จึงยกเลิกหลักเกณฑ์เบิกเดิม (170+50) และกาหนดให้ เบิกได้เท่าท่ีจ่ายจริงไม่เกิน 170 บาท โดยไม่ต้องระบุรหัส ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ค่าตรวจสขุ ภาพประจาปี (อายุต่ากว่า 35 ป)ี ลาดบั รายการ ราคา (บาท) 1 Film Chest ตามจา่ ยจรงิ 2 Mass Chest ไม่เกนิ 170 บาท ไมล่ งรหัส 3 Urine Examination/Analysis (31001) 4 Stool Examination-Routine direct smear (31201) รว่ มกบั 50 70 Occult blood (31203) 5 Complete Blood Count:CBC แบบ Automation (30101) 90 6 ตรวจภายใน (55620) 100 7 Pap Smear (38302) 100 ค่าตรวจสุขภาพประจาปี (อายตุ ง้ั แต่ 35 ปีข้นึ ไป) ราคา(บาท) ลาดับ รายการ 40 1 รายการตรวจอายุไมเ่ กนิ 35 ปีบริบูรณท์ กุ รายการ 60 2 Glucose (32203) 60 3 Cholesterol (32501) 50 4 Triglyceride (32502) 50 5 Blood Urea Nitrogen:BUN (32201) 50 6 Creatinine (32202) 50 7 SGOT (AST) (32310) 50 8 SGPT (ALT) (32311) 60 9 Alkaline Phosphatase (32309) 10 Uric Acid (32205) คมู่ ือสวัสดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๑๑
2.9 การเบกิ ค่ารกั ษากรณมี ีประกัน ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ทาประกันสุขภาพไว้ สามารถเบิกค่ารักษาได้ 2 ทาง คือ เบิกจากบริษัทประกนั และเบกิ จากกรมบญั ชีกลาง (สมทบ) แต่ไม่เกนิ จานวนเงนิ ค่ารกั ษาทจ่ี ่ายไปจริง ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0422.2/ว 380 ลงวันที่ 30 กันยายน 2553 และฉบับซ้อมความเข้าใจ ท่ี กค 0422.2/ว 45 ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 ได้กาหนดหลักเกณฑ์ การเบกิ จ่าย มีรายละเอยี ด ดงั นี้ 1. ให้นาใบเสร็จคา่ รักษาพยาบาลไปวางเบกิ ท่ีบรษิ ัทประกันก่อน 2. บริษัทประกันจา่ ยค่ารกั ษาพยาบาลให้ และรบั รองว่าเบิกจ่ายรายการใดบา้ ง 3. นาสาเนาใบเสรจ็ (ตามข้อ 2) มาเบิกกบั สว่ นราชการตน้ สงั กดั โดยสามารถเบิกไดต้ ามสทิ ธิ กรมบัญชีกลาง แตไ่ มเ่ กนิ ค่ารักษาทจ่ี า่ ยจริง ดังตวั อย่างในตาราง รายการ โรงพยาบาล บรษิ ทั ส่วนขาด สทิ ธติ าม เบิกได้ เรียกเก็บ ประกันภัย (3)=(1)-(2) พระราชกฤษฎีกา ตามกฎหมาย (1) จ่าย (4) (5)* (2) คา่ รกั ษาพยาบาล 8,700 5,000 3,700 7,200 3,700 (รวม) (5)* จะเบิกได้ตาม (4) หาก (4)≤(3) แตห่ าก (4)>(3) ให้เบกิ ได้ = (3) ในแตล่ ะรายการ 2.10 การเบิกคา่ รกั ษา (กรณี พ.ร.บ.คุม้ ครองผปู้ ระสบภยั จากรถ พ.ศ. 2535) การเบิกจ่ายตอ้ งตรวจ พ.ร.บ.รถฯ ว่า พ.ร.บ.รถฯ ขาดหรือไม่ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ดังน้ี กรณีที่ 1 มี พ.ร.บ.รถฯ เม่ือเกิดอุบตั ิเหตุ เจ็บป่วย สามารถขอรับไดจ้ ากบรษิ ัทประกนั ภัย ซึ่งรถโดยสารและรถยนต์ที่เกิดเหตุแต่ละคันจะต้องทาประกันภัยไว้ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัย จากรถ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.รถฯ) สาหรับส่วนทเ่ี กินเบกิ จากกรมบัญชีกลาง กรณที ี่ 2 พ.ร.บ.รถฯ ขาด แบ่งตามผลการสอบสวนเปน็ 2 ประเภท คอื 1. กรณีผู้ประสบภัย (ข้าราชการ/ลูกจ้างประจา) เป็นฝ่ายถูก ให้เรียกคา่ เสียหายจากฝั่งคู่กรณี ได้เลย หรือ ยื่นเรื่องเบิกจากกองทุนผู้ประสบภัยจากรถ (คปภ.จังหวัด) ซ่ึงกองทุนดังกล่าวจะจ่าย คา่ รักษาพยาบาลไปก่อนเพอ่ื บรรเทาเบื้องตน้ ใหร้ ายละไม่เกิน 15,000 บาท 2. กรณผี ้ปู ระสบภัย (ข้าราชการ/ลกู จ้างประจา) เปน็ ฝา่ ยผิด ขอ้ ปฏิบัติ คอื 2.1 ให้ย่ืนเร่ืองเบิกจากกองทุนผู้ประสบภัยจากรถ (คปภ.จังหวัด) ซ่ึงกองทุนดังกล่าวจะ จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนเพ่ือบรรเทาเบื้องต้น ให้รายละไม่เกิน 15,000 บาท สาหรับส่วนเกิน 15,000 บาท เบกิ จากกรมบัญชีกลางได้ 2.2 หากผลสอบสวนปรากฏว่า ผู้ประสบภัย (ข้าราชการ/ลูกจ้างประจา) เป็นฝ่ายผิด กองทุนฯ จะมีหนังสือเรียกเงินคืน (จานวนเงินท่ียื่นขอเบิกจากกองทุนฯ) พร้อมเบ้ียปรับ ร้อยละ 20 ของเงินคา่ รกั ษาพยาบาลที่มายืน่ 2.3 ผู้ประสบภัย (ข้าราชการ/ลูกจ้างประจา) คืนเงินให้กับกองทุนฯ (ข้อ 2.2) และให้ ร้องขอต่อกองทุนฯ เพื่อขอคืนต้นฉบับหลักฐานการรับเงินค่ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลออกให้ กองทุนฯ พรอ้ มทงั้ ใบเสรจ็ รบั เงนิ จากกองทนุ ฯ ท่ีแสดงการรับคนื เงินคา่ เสยี หายเบ้อื งตน้ จากผู้ประสบภยั คมู่ ือสวัสดิการรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๑๒
2.4 ใหย้ ่นื ใบเบิกเงินสวัสดิการคา่ รักษาพยาบาล (สิทธิกรมบญั ชกี ลาง) พร้อมหลกั ฐานการ รับเงนิ คา่ รักษาพยาบาลทส่ี ถานพยาบาลออกให้กองทุนฯ พร้อมทัง้ ใบเสร็จรับเงินจากกองทุนฯ (ขอ้ 2.3) ต่อผู้บังคับบัญชาท่ีเป็นผู้รับรองการใช้สิทธิภายใน 1 ปี นับแต่วันท่ีได้คืนเงินค่าเสียหายเบ้ืองต้นแก่ กองทนุ ฯ (ดูรายละเอยี ดเพม่ิ เติม ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค 0526.5/ว 82 ลงวนั ท่ี 25 สิงหาคม 2543) 2.11 การเข้ารบั การรกั ษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนเป็นคร้ังคราว พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 มาตรา 8 (4) กาหนดให้ ผู้ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของเอกชนประเภทผู้ป่วยนอกในกรณีท่ีเป็น การเข้ารับการรกั ษาพยาบาลเป็นครั้งคราวเพราะเหตทุ ่ีสถานพยาบาลของทางราชการมคี วามจาเป็นต้อง ส่งตัวให้แก่สถานพยาบาลของเอกชนน้ัน ให้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามที่หลักเกณฑ์ ประเภท และ อัตราที่กระทรวงการคลงั กาหนด กระทรวงการคลังได้อาศัยอานาจตามหลักการข้างต้น กาหนดหลกั เกณฑ์และอัตราการเบิกจ่าย ค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่สถานพยาบาลของทางราชการส่งตัวผู้ป่วยไปฟอกเลือด ด้วยวิธีไตเทียม ท่ีสถานพยาบาลของเอกชน (ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนท่ีสุด ที่ กค 0417/ว 160 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549) แต่ไม่รวมถึงการส่งต่อผู้ป่วยไปทาการรักษาพยาบาลเกี่ยวกับโรคอื่น ๆ ซ่ึง กระทรวงการคลังยังไม่ได้กาหนดให้เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการ เช่น การส่งตัวผู้ป่วย ไปผา่ ตัดสลายนวิ่ ฉายรังสีรักษา เปน็ ตน้ 2.12 กรณีสถานพยาบาลส่งผู้ป่วยไปซ้ือยา อุปกรณ์และอวัยวะเทียม หรือรบั การตรวจทาง ห้องทดลอง หรือเอกซเรย์จากสถานท่ีอื่นซ่ึงอยู่ในประเทศไทย (พระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา 13) ในกรณีที่สถานพยาบาล ไม่มี (1) ยา เลือดและส่วนประกอบของเลือดหรือสารทดแทน น้ายา หรืออาหารทางเส้นเลือด ออกซิเจน (2) อวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบาบัดรักษาโรคจาหน่าย หรือ (3) ไม่อาจให้การตรวจทางห้องทดลองหรือโดยวิธีการเอกซเรย์ได้ เม่ือแพทย์ผู้ตรวจรักษาหรือหัวหน้า สถานพยาบาลลงลายมือชื่อรับรองตามแบบท่ีกระทรวงการคลังกาหนด ก็ให้ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ซ้ือ หรือรับการตรวจทางห้องทดลองหรือโดยวิธีการเอกซเรย์จากสถานท่ีอ่ืนซึ่งอยู่ในประเทศไทยแล้ว นามาเบิกได้ตามหลักเกณฑ์ในหัวข้อการเบิกจ่ายในสถานพยาบาลของทางราชการและการเบิกจ่ายใน สถานพยาบาลของเอกชน แล้วแตก่ รณี ท้ังนี้ สาหรับกรณดี ังกล่าวไม่สามารถใช้สิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงได้ 2.13 การเบกิ คา่ รักษากรณีของการแพทย์แผนไทย การรักษาด้วยวิธีแพทย์ทางเลือก หรือแพทย์แผนไทยโดยวิธีธรรมชาติบาบัด ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ หรอื ยาแผนปัจจุบัน แตใ่ ช้ยาจากพืช สมนุ ไพรแทน โดยในปี พ.ศ. 2547 กรมบัญชีกลางได้มแี นวปฏิบัติ ในการเบิกค่ารักษาพยาบาลด้วยวิธีการทางการแพทย์แผนไทยขึ้น (หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ท่ี กค 0417/ว 14 ลงวันท่ี 6 กุมภาพนั ธ์ 2547) โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี 1. การบาบัดรักษาโรคโดยวิธีการทางการแพทย์แผนไทยทจ่ี ะเบิกจ่ายได้ ตอ้ งเปน็ กรณีเพอื่ การ รักษาพยาบาลหรือฟ้ืนฟูสมรรถภาพเท่านั้น การบาบัดเพ่ือการส่งเสริมสุขภาพหรือป้องกันโรค ไมส่ ามารถเบกิ จา่ ยได้ คู่มอื สวัสดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าท่ี ๑๓
2. จะต้องมีแพทย์แผนปัจจุบัน (มีใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม) ออกหนังสือ รับรองให้ว่าผู้ป่วยจาเป็นต้องรักษาหรือฟ้ืนฟูสมรรถภาพด้วยวิธีการทางการแพทย์แผนไทย เพ่ือนาไป ประกอบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลดังกล่าว และต่อมาได้มีการเพิ่มผู้มีอานาจออกหนังสือรับรองข้ึน อกี 2 กล่มุ บคุ คล (หนังสอื กระทรวงการคลัง ด่วนที่สดุ ท่ี กค 0417/ว 7 ลงวนั ที่ 11 มกราคม 2548) คือ (1) แพทย์แผนไทย (มีใบประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทยประเภทเวชกรรม หรอื สาขาแพทย์แผนไทยประยกุ ต์) (2) ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุข) ทั้งนี้ จะต้องแนบ สาเนาหลักฐานวา่ บคุ คลดังกล่าวสามารถประกอบโรคศิลปะด้วยศาสตรก์ ารแพทยแ์ ผนไทยด้วย 2.14 การเบิกจ่ายเงนิ สวสั ดกิ ารเกย่ี วกบั การรกั ษาพยาบาล หลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 วางวธิ ีปฏิบตั ิในการเบกิ จา่ ยเงนิ ค่ารกั ษาพยาบาลไว้ดังต่อไปน้ี การใช้สทิ ธิเบิกเงนิ ค่ารกั ษาพยาบาล แบง่ ออกได้ดังน้ี 1. การใช้สิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้มีสิทธิมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจาก หน่วยงานอ่ืน ให้ผู้มสี ิทธเิ ลือกว่าจะใช้สิทธิตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ยี วกบั การรกั ษาพยาบาล พ.ศ. 2553 หรือใช้สิทธิจากหน่วยงานอื่น โดยกรอกข้อมูลตามแบบแจง้ การเลือกสิทธิและเปลยี่ นแปลง การใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล (แบบ ๗๑๓๑) พร้อมลงลายมือช่ือรับรองความถูกต้อง เสนอต่อ หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม หรือหัวหน้าหน่วยงานในส่วนภูมิภาค แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ การเลือกหรือ การเปลยี่ นแปลงการใช้สทิ ธใิ ห้เป็นไปตามหลกั เกณฑ์กระทรวงการคลงั วา่ ด้วยการเลอื กหรือเปลยี่ นแปลง การใช้สทิ ธิสวสั ดิการรกั ษาพยาบาล (หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0422.2/ว 377 ลงวันที่ 30 กนั ยายน 2553) 2. การใช้สิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้มีสิทธิมีบุคคลในครอบครัวเป็นผู้มีสิทธิ เชน่ เดยี วกนั ให้ต่างฝ่ายตา่ งใช้สทิ ธเิ บกิ เงินค่ารักษาพยาบาลของตนเอง 3. การใช้สิทธิเบิกเงนิ ค่ารกั ษาพยาบาลสาหรบั บุตร (หลกั เกณฑ์ฯ ข้อ 5) กาหนดไวด้ ังน้ี 3.1 กรณีผู้มีสทิ ธิมคี ู่สมรสเป็นผู้มีสิทธิเช่นเดียวกัน ให้คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเป็นผู้ใช้สิทธิ เบิกเงินคา่ รักษาพยาบาลสาหรับบตุ รทุกคนแต่เพยี งฝา่ ยเดียว โดยใหป้ ฏบิ ตั ดิ ังนี้ - ถ้าอยู่ส่วนราชการผู้เบิกแห่งเดียวกัน ผู้ใช้สิทธิจะต้องรับรองตนเองในใบเบิกเงิน ค่ารักษาพยาบาลว่าตนเปน็ ผู้ใช้สิทธเิ บิกเงินคา่ รกั ษาพยาบาลสาหรบั บุตรแต่เพยี งฝ่ายเดียว - ถ้าอยู่ต่างส่วนราชการผู้เบิก หรือต่างส่วนราชการเจ้าสังกัด หรือมีการเปล่ียน ส่วนราชการภายหลังจากท่ีมีการใช้สิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลไปแล้ว ผู้ใช้สิทธิจะต้องขอให้ ส่วนราชการของตน แจ้งการใช้สิทธิตามแบบ 7132 ให้ส่วนราชการของคู่สมรสอีกฝ่ายหน่ึงทราบ แล้วแต่กรณี และให้ส่วนราชการทไี่ ด้รับแจง้ ดาเนินการตอบรบั ตามแบบ 7133 (หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนทส่ี ุด ที่ กค 0422.2/ว 379 ลงวนั ท่ี 30 กนั ยายน 2553) 3.2 กรณีผู้มีสิทธิมีคู่สมรสเป็นผู้มีสิทธิเช่นเดียวกันสาหรับกรณีการหย่า ไม่ว่าการหย่าจะ เกดิ ขนึ้ กอ่ นหรือหลังจากทม่ี ีการใช้สทิ ธิเบิกเงนิ ค่ารักษาพยาบาลไปแล้ว กใ็ ห้ปฏบิ ัติเช่นเดียวกับข้อ 3.1 คมู่ ือสวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๑๔
4. การใช้สิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลสาหรับบุคคลในครอบครัวกรณีผู้มีสิทธิมีหลายราย ให้ผู้มีสิทธิคนหน่ึงคนใดเป็นผู้ขอใช้สิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลให้กับบุคคลดังกล่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว กไ็ ด้ โดยให้ปฏิบัติเชน่ เดียวกบั ขอ้ 3.1 5. การใช้สิทธเิ บิกเงนิ คา่ รักษาพยาบาลให้กับบคุ คลในครอบครัวซึ่งมีสิทธไิ ด้รับเงินคา่ รกั ษาพยาบาล ตามสิทธิของตนเองจากหน่วยงานอ่ืน ให้ผู้มีสิทธิใช้สิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลได้เฉพาะส่วนท่ีต่ากว่า สิทธิทีพ่ ึงได้รบั ตามพระราชกฤษฎกี านเ้ี ทา่ นัน้ (หลกั เกณฑ์ฯ ข้อ 7 วรรคหนง่ึ ) 6. การใช้สิทธเิ บกิ เงนิ ค่ารักษาพยาบาลให้กับบุคคลในครอบครัวซ่ึงเป็นผู้อาศัยสิทธิของผ้อู ืน่ ซึ่ง มีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลสาหรับบุคคลในครอบครัวจากหน่วยงานอื่นเช่นเดียวกัน ให้ผู้มีสิทธิ มีสิทธิเบกิ เงนิ ค่ารักษาพยาบาลสาหรบั บุคคลในครอบครัวตามหลักเกณฑน์ ี้ได้ (หลกั เกณฑ์ฯ ข้อ 7 วรรคสอง) การรบั รองสิทธิ ให้ผู้มีสิทธิเป็นผู้รับรองการมีสิทธิของตนเองและของบุคคลในครอบครัวซึ่งอาศัยสิทธิของตน ตามแบบ 7130 (หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนท่ีสุด ท่ี กค 0422.2/ว 379 ลงวันท่ี 30 กันยายน 2553) ทัง้ นี้ สถานะความเปน็ ผู้มสี ทิ ธิและผอู้ าศัยสิทธิใหเ้ ปน็ ไปตามหลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วย การจดั ทาฐานขอ้ มลู บคุ ลากรภาครัฐ (หนังสือกรมบัญชกี ลาง ดว่ นท่ีสดุ ท่ี กค 0422.2/ว 376 ลงวนั ที่ 30 กนั ยายน 2553) ผ้มู ีอานาจอนุมัติการเบกิ เงินค่ารักษาพยาบาลของขา้ ราชการหรอื ลกู จ้างประจาในสงั กัด 1. ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลาง ผู้มีอานาจอนุมัติ ได้แก่ (1) หัวหน้าส่วนราชการ ระดับกรม หรือ (2) ผู้ท่ีหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมมอบหมาย ซึ่งดารงตาแหน่งไม่ต่ากว่าประเภท ทั่วไป ระดับชานาญงาน หรือตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชานาญการหรือเทียบเท่า หรือดารง ตาแหน่งไม่ตา่ กวา่ ระดบั 6 หรอื เทียบเท่า หรอื ผทู้ ่มี ียศตง้ั แต่พันโท นาวาโท หรือพนั ตารวจโทขน้ึ ไป การเบิกเงินค่ารกั ษาพยาบาลของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ให้ผู้บังคับบัญชาเหนือข้ึน ไปหน่ึงชั้นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือผู้ที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ซึ่ง ปฏิบัตงิ านอยูส่ ่วนราชการระดับกรมแห่งน้ันเป็นผู้อนุมัติค่ารกั ษาพยาบาลของหัวหน้าส่วนราชการระดับ กรม ทัง้ นี้ การมอบหมายตอ้ งมใิ ชห่ วั หน้าสว่ นราชการระดับกรม ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลางที่มีสานักงานอยู่ในภูมิภาค หรือแยกต่างหากจาก กระทรวง กรม หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมจะมอบหมายให้หัวหน้าสานักงานเป็นผู้อนุมัติสาหรับ หน่วยงานนั้นก็ได้ เว้นแต่ การเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลของหัวหน้าสานักงาน ให้หัวหน้าส่วนราชการ ระดับกรม หรือผู้ที่หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมมอบหมาย ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในสานักงานแห่งน้ันเป็น ผู้อนุมตั ิค่ารกั ษาพยาบาลของหวั หนา้ สานักงาน ทัง้ น้ี การมอบหมายตอ้ งมิใชห่ ัวหน้าสานกั งาน 2. ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค ผู้มีอานาจอนุมัติ ได้แก่ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้เบิก เว้นแต่ การเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลของหัวหน้าส่วนราชการ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย เป็นผู้อนุมัติค่ารักษาพยาบาลของหัวหน้าส่วนราชการ ท้ังนี้ การ มอบหมายต้องมิใช่หัวหน้าส่วนราชการ 3. ผู้มีอานาจอนุมัติการเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลของผู้ได้รับบานาญหรือเบี้ยหวัด ได้แก่ หวั หนา้ สว่ นราชการผู้เบิกบานาญหรือเบ้ียหวดั หรอื ผู้ทห่ี วั หน้าสว่ นราชการผู้เบิกมอบหมาย 4. กรณีผู้มีสิทธิได้รับคาส่ังให้ไปช่วยปฏิบัติราชการหรือไปปฏิบัติราชการ ซึ่งอยู่ต่างส่วนราชการ ผ้เู บิก ใหบ้ ุคคลตามขอ้ 1 หรอื ขอ้ 2 ณ สถานที่ท่ีไปชว่ ยปฏบิ ตั ิราชการเปน็ ผ้มู อี านาจอนุมัติ คมู่ ือสวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๑๕
การยืน่ ขอเบิกเงนิ และการขอหนงั สอื รับรองฯ 1. การใช้สทิ ธเิ บิกเงินคา่ รักษาพยาบาลให้ยื่นใบเบิกเงนิ ค่ารกั ษาพยาบาล (แบบ 7131) ต่อผู้มี อานาจอนุมัติตามข้อ 1 ข้อ 2 หรือข้อ 3 ณ ส่วนราชการเจ้าสังกัด หรือส่วนราชการผู้เบิก แล้วแต่กรณี เว้นแต่ กรณดี งั ต่อไปนี้ (1) กรณีผู้มีสิทธิได้รับคาสั่งให้ไปช่วยปฏิบัติราชการหรือไปปฏิบัติราชการซึ่งอยู่ต่าง ส่วนราชการผู้เบิก ให้ย่ืนใบเบิกเงินค่ารักษาพยาบาล ณ ส่วนราชการที่ไปช่วยปฏิบัติราชการหรือ ไปปฏิบตั ิราชการ (2) กรณผี มู้ ีสทิ ธิพ้นสภาพความเป็นผู้มสี ิทธกิ อ่ นทจ่ี ะใช้สทิ ธิ ใหย้ น่ื ใบเบกิ เงินคา่ รักษาพยาบาล ณ สานักงานทร่ี บั ราชการครงั้ สดุ ท้าย 2. ก่อนการใช้สิทธิเบิกเงินคา่ รักษาพยาบาล ผู้มีสิทธิที่ได้รับคาสั่งให้ไปช่วยปฏิบัติราชการหรือ ไปปฏิบัติราชการซ่ึงอยู่ต่างส่วนราชการผู้เบิก ต้องมีหนังสือแสดงเจตนาขอเบิกเงินค่ารักษาพยาบาล (แบบ 7134) แจ้งต่อส่วนราชการที่ไปช่วยปฏิบัติราชการหรือไปปฏิบัติราชการ และเม่ือส่วนราชการท่ี ไปช่วยปฏิบัติราชการได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ให้ส่งคู่ฉบับหรือภาพถ่ายหนังสือซึ่งมีการรับรองความ ถูกต้องใหส้ ว่ นราชการผู้เบิกของผู้มสี ิทธิทราบดว้ ย 3. การขอหนังสือรับรองการมีสิทธิรับเงินค่ารักษาพยาบาลเพ่ือเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็น ผู้ป่วยในสถานพยาบาล ให้ย่ืนคาขอตามแบบ 7129 ต่อผู้มีอานาจอนุมัติตามข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 หรือ ข้อ 4 แล้วแต่กรณี และให้ส่วนราชการผู้ออกหนังสือจัดทาหนังสือรับรอง 2 ฉบับ ตามแบบ 7130 โดยมอบต้นฉบับให้ผู้ย่ืนคาขอเพ่ือนาไปมอบให้แก่สถานพยาบาล และให้ส่วนราชการผู้ออกหนังสือ เก็บสาเนาคู่ฉบบั ไว้ 1 ฉบบั 4. กรณีผู้มีสิทธิไม่สามารถลงลายมือชื่อในใบเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลหรือไมส่ ามารถยื่นคาขอ หนงั สือรบั รองการมีสิทธริ ับเงนิ คา่ รกั ษาพยาบาลดว้ ยตนเอง ให้ดาเนนิ การดังน้ี (1) กรณีผู้มสี ิทธถิ ึงแก่กรรม ให้ทายาทตามกฎหมายหรอื ผู้จดั การมรดก เปน็ ผูย้ ื่นใบเบิกเงิน คา่ รกั ษาพยาบาลหรือคาขอหนงั สอื รับรอง (2) กรณีผู้มีสิทธมิ สี ตสิ ัมปชัญญะ แต่ไมส่ ามารถลงลายมือชอื่ ได้ ใหพ้ ิมพ์ลายนวิ้ มอื แทนการ ลงลายมือช่ือพร้อมทั้งให้มีพยานสองคนลงลายมือชื่อรับรอง และให้บุคคลในครอบครัวเป็นผู้ย่ืนใบเบิก เงินคา่ รกั ษาพยาบาลหรือยื่นคาขอหนังสือรบั รองฯ (3) กรณีผ้มู ีสทิ ธไิ ม่รู้สกึ ตวั หรือไม่มีสติสัมปชญั ญะ แตย่ ังไม่มีคาส่ังศาลให้เปน็ ผไู้ รค้ วามสามารถ หรอื เสมือนไร้ความสามารถ ให้บุคคลในครอบครัวเป็นผู้ยื่นใบเบิกเงินสวัสดิการพร้อมกับหนังสือรับรอง ของแพทย์ผ้ทู าการรักษาว่าผู้มีสทิ ธิไม่รู้สึกตัวหรือไมม่ ีสติสัมปชัญญะเพียงพอที่จะดาเนินการได้ หากไม่มี บคุ คลดงั กล่าว ใหอ้ ยใู่ นดุลยพินจิ ของผู้บังคบั บญั ชาทีจ่ ะพจิ ารณาเห็นสมควรใหผ้ ้ใู ดดาเนนิ การแทน การเบิกเงินค่ารกั ษาพยาบาล (ณ สว่ นราชการเจ้าสังกดั ) 1. กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกสถานพยาบาลของทางราชการ หรอื กรณี เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนประเภทผู้ป่วยในกรณีประสบอุบัติเหตุ อุบัติภัย เหตจุ าเปน็ เร่งดว่ น ซ่งึ หากมไิ ด้รบั การรกั ษาพยาบาลทนั ทที นั ใดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือกรณีใชส้ ิทธิ เบิกเพ่ิมเฉพาะส่วนท่ียังขาดอยู่ ให้ยื่นใบเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลพร้อมด้วยหลักฐานการรับเงินของ สถานพยาบาลต่อผู้มีอานาจอนุมัติตามข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 หรือข้อ 4 แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลา 1 ปีนับถัดจากวันท่ีปรากฏในหลักฐานการรับเงิน หากพ้นกาหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้มีสิทธิ ไม่ประสงค์เบิกเงินค่ารักษาพยาบาลในคร้ังนั้น และให้ส่วนราชการเจ้าสังกัดหรือส่วนราชการผู้เบิกของ คู่มอื สวสั ดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๑๖
ผู้มีสิทธิเป็นผู้เบิกเงินกับกรมบัญชีกลาง หรือสานักงานคลังจังหวัด แล้วแต่กรณี และเม่ือส่วนราชการ ได้อนุมัติจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิดังกล่าวแล้ว ให้เจ้าหน้าที่การเงินประทับตราข้อความว่า “จ่ายเงินแล้ว” โดยลงลายมือชื่อรับรองการจ่ายและระบุช่ือผู้จ่ายเงินด้วยตัวบรรจง พร้อมวันเดือนปีที่จ่ายกากับไว้ใน หลักฐานการรบั เงนิ ทกุ ฉบับเพือ่ ประโยชน์ในการตรวจสอบ หลักฐานการรับเงินของสถานพยาบาลของเอกชนอย่างน้อยต้องมีสาระสาคัญตาม แบบ 7138 2. กรณีผู้มีสิทธิถูกสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน และปรากฏในภายหลังว่า ได้รับเงินเดือนในระหว่างถูกส่ังพักหรือในระหวา่ งถูกสงั่ ให้ออกจากราชการไว้กอ่ น ใหผ้ ู้มีสิทธดิ ังกล่าวย่ืน ใบเบกิ เงินค่ารกั ษาพยาบาลภายใน 1 ปี นบั แตว่ ันที่กรณถี ึงทสี่ ุด 3. กรณีผู้มีสิทธิออกจากราชการ และอยู่ในระหว่างการพิจารณาส่ังจ่ายเงินบานาญหรือ เบ้ียหวัด ให้ผู้มีสิทธิดังกล่าวย่ืนใบเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลภายใน 1 ปี นับแต่วันท่ีมีคาสั่งจ่ายเงิน บานาญหรือเบย้ี หวดั 4. กรณีผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกและ สถานพยาบาลของทางราชการได้ออกหนังสือรับรองตามแบบ 7135 ให้ซ้ือยา เลือดและส่วนประกอบ ของเลือด หรือสารทดแทน น้ายาหรืออาหารทางเส้นเลือด ออกซิเจน อวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการ บาบัดรักษาโรค หรือเข้ารับการตรวจทางห้องทดลองหรือเอกซเรย์จากสถานที่อ่ืนซ่ึงอยู่ในประเทศไทย ให้ผู้มีสทิ ธินาหนงั สือรับรองดงั กล่าวพร้อมกบั หลักฐานการเงินยืน่ ขอเบกิ เงนิ ค่ารักษาพยาบาลตามขอ้ 1 การเบิกเงินค่ารกั ษาพยาบาลด้วยระบบเบิกจ่ายตรง 1. กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางราชการ หรือกรณี เข้ารบั การรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในสถานพยาบาลของเอกชนตามหลักเกณฑ์ท่ีกระทรวงการคลัง กาหนด หรือกรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนเป็นคร้ังคราวเพราะเหตุ สถานพยาบาลของทางราชการมีความจาเป็นต้องส่งตัวให้แก่สถานพยาบาลของเอกชน ให้สถานพยาบาล เป็นผู้เบิกเงินค่ารักษาพยาบาลโดยตรงกับกรมบัญชีกลาง เว้นแต่กรณีผู้มีสิทธิถูกส่ังพักราชการหรือให้ ออกจากราชการไว้ก่อน และปรากฏในภายหลังว่าได้รับเงินเดือนในระหว่างถูกส่ังพักหรือในระหว่าง ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน หรือกรณีผู้มีสิทธิออกจากราชการ และอยู่ในระหว่างการพิจารณา สั่งจ่ายเงินบานาญหรือเบี้ยหวัด ให้ผู้มีสิทธิทดรองจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล และนาหลักฐานการรับเงิน ดงั กล่าวมายนื่ ขอเบิก แลว้ แตก่ รณี การขอเบิกเงนิ คา่ รกั ษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกสถานพยาบาลของทางราชการ ผู้มีสิทธิ หรอื บุคคลในครอบครัว ซ่งึ เขา้ ส่รู ะบบเบกิ จา่ ยตรงแลว้ อาจขอให้สถานพยาบาลเป็นผูเ้ บิกแทนกไ็ ด้ 2. กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางราชการ ให้ผู้มีสิทธิ ยื่นคาขอหนังสือรับรองการมีสิทธิรับเงินค่ารักษาพยาบาล (แบบ 7129) หรือให้สถานพยาบาล ขอเลขอนุมัติผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกับหน่วยงานท่ีกรมบัญชีกลางมอบหมาย เพื่อใช้เป็น หลกั ฐานประกอบการเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลก็ได้ การตรวจสอบและการเรยี กคนื เงนิ 1. ให้ส่วนราชการ สถานพยาบาลของทางราชการเก็บรักษาหลักฐานการรับเงินหรือเอกสาร แบบพิมพ์ที่ใช้ในการเบิกจ่ายเงินไว้ให้สานักงานตรวจเงินแผ่นดิน กรมบัญชีกลางหรือหน่วยงานท่ี กรมบัญชีกลางมอบหมายตรวจสอบ และให้กรมบัญชีกลางหรือหน่วยงานที่กรมบัญชีกลางมอบหมาย สามารถเรียกเอกสารต่าง ๆ ที่เก่ียวกับการรักษาพยาบาลผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวใน ค่มู อื สวัสดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๑๗
ส ถ า น พ ย า บ า ล ข อ ง ท า ง ร า ช ก า ร เพ่ื อ ป ร ะ โ ย ช น์ ใน ก า ร ต ร ว จ ส อ บ ค ว บ คุ ม ดู แ ล ก า ร เบิ ก จ่ า ย เงิ น ค่ารกั ษาพยาบาลได้ 2. กรณีผู้มีสิทธิหรือสถานพยาบาลเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลไม่เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกา เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 หรือเกินสิทธิที่จะได้รับตามพระราชกฤษฎีกา ดังกลา่ ว ใหด้ าเนนิ การสง่ เงินคืนกระทรวงการคลังตามหลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วยการส่งเงินคืนคลงั แผนภาพที่ 4 : กระบวนงานวิธกี ารเบิกจา่ ยค่ารกั ษาพยาบาล (ตามหลกั เกณฑก์ ระทรวงการคลงั ว่าดว้ ยวิธกี ารเบกิ จา่ ยเงนิ สวัสดิการเกยี่ วกบั การรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553) ค่ารกั ษาพยาบาล ผมู้ สี ิทธิ และบคุ คลในครอบครวั การใชส้ ทิ ธิ การรับรองสทิ ธิ การย่ืนขอเบกิ เงิน การเบกิ เงิน การตรวจสอบ และการอนุมัติ และการขอ คา่ รกั ษาพยาบาล และการเรยี กคนื เงิน หนงั สือรบั รองฯ การเบกิ เงิน การเบิกเงนิ ค่ารกั ษาพยาบาล ณ คา่ รักษาพยาบาลดว้ ย ส่วนราชการเจ้าสังกดั ระบบเบกิ จา่ ยตรง แบบ 7129 – 7140 ระบบเบิกจ่ายตรง ระบบเบิกจา่ ยตรง ที่ใช้ในการเบิกจา่ ยคา่ รักษาพยาบาล ผปู้ ว่ ยนอก ผปู้ ่วยใน หลกั ฐานประกอบการเบกิ จา่ ยเงิน ขอเบกิ เงินค่ารักษาพยาบาล คู่มอื สวสั ดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๑๘
2.15 โครงการเบกิ จา่ ยตรงสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โครงการเบกิ จา่ ยตรงสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการเป็นโครงการแบบสมัครใจ ผูม้ สี ทิ ธิหรือ บุคคลในครอบครัวไม่ต้องการทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน หรือยุ่งยากที่จะต้องเดินทางมาขอ หนังสือรับรองฯ จากต้นสังกัด สามารถสมัครเข้าโครงการเบิกจ่ายตรงฯ ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อลดภาระ ของผู้มสี ิทธิ และบคุ คลในครอบครัว โดยเฉพาะบุคคลทป่ี ่วยด้วยโรคท่มี ีคา่ ใช้จา่ ยสงู รวมท้ังระบบยังช่วย ลดภาระงานของกองคลังของส่วนราชการที่จะต้องตรวจเอกสาร หลักฐาน และเบิกจ่ายค่า รกั ษาพยาบาลให้กับบคุ คลในสงั กัด โครงการเบิกจ่ายตรงฯ นั้น กรมบัญชีกลางเป็นผู้ดาเนินการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลของ ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวให้กับสถานพยาบาลแทนส่วนราชการต่าง ๆ โดยการส่งข้อมูลผู้มีสิทธิ และบุคคลในครอบครัว ข้อมูลการรักษาพยาบาล ข้อมูลการจ่ายเงิน เป็นการดาเนินการด้วยระบบ อิเล็กทรอนิกส์ทั้งสิ้น ซ่ึงสามารถแบ่งเป็น 2 ระบบด้วยกัน คือ ระบบเบิกจ่ายตรงผู้ป่วยนอก และระบบ เบิกจ่ายตรงผู้ป่วยใน ท้ังนี้ ผู้มีสิทธิ หรือบุคคลในครอบครัวที่มีสิทธิซ้าซ้อน (เช่น มีสิทธิประกันสังคม สิทธิองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน สิทธิรัฐวิสาหกิจ สิทธิองค์กรอิสระ เป็นต้น) จะไม่สามารถเข้าร่วม โครงการเบิกจ่ายตรงฯ ได้ ทั้งนี้ หนังสือเวียนหลัก ๆ ของกรมบัญชีกลางท่ีเวียนแจ้งส่วนราชการเก่ียวกับโครงการเบิกจ่าย ตรงสวสั ดกิ ารรักษาพยาบาลข้าราชการ ได้แก่ - หนงั สือกรมบญั ชีกลาง ด่วนที่สดุ ที่ กค 0417/ว 34 ลงวันท่ี 4 กันยายน 2549 เรือ่ ง การ บริหารจัดการฐานขอ้ มลู บคุ ลากรภาครฐั - หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนท่ีสุด ท่ี กค 0417/ว 196 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2549 เร่ือง ขยายระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของนายทะเบียนสว่ นภูมิภาค เพ่ือดาเนินการจัดทาฐานข้อมูลบุคลากร ภาครฐั 2.16 โครงการเบิกจา่ ยตรงผปู้ ่วยล้างไต โครงการเบิกจ่ายตรงผู้ป่วยล้างไต ได้เริ่มดาเนินการต้ังแต่วันที่ 15 กันยายน 2548 ตาม หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนท่ีสุด ท่ี กค 0417/ว 122 ลงวันท่ี 31 สิงหาคม 2548 โดยมี วัตถุประสงค์เพ่ือลดภาระให้กับผู้ป่วย เน่ืองจากการรักษาพยาบาลมีค่าใช้จ่ายสูงและจาเป็นต้องทาการ รักษาอย่างต่อเนื่อง ท้ังนี้ ระบบจ่ายตรงผู้ป่วยล้างไตเป็นระบบเดียวท่ีผู้ป่วยสามารถไปรักษ าใน สถานพยาบาลเอกชนได้ (ลา้ งไต) โดยไมต่ อ้ งทดรองจ่ายเงนิ คา่ รักษาพยาบาลไปกอ่ น ผู้มีสิทธิ และบุคคลในครอบครัวที่มีสิทธิและได้สมัครเข้าร่วมโครงการจ่ายตรงผู้ป่วยล้างไต สามารถเขา้ รบั การลา้ งไตในสถานพยาบาลทส่ี มคั รได้ โดยเบิกได้ในอัตราคร้ังละ 2,000 บาท หากสถานพยาบาลของทางราชการท่ีสมัครเข้ารับการล้างไต ไม่มีเคร่ืองล้างไตหรือมีแต่ไม่ เพียงพอ สถานพยาบาลจะทาการส่งผ้มู สี ทิ ธิ หรอื บคุ คลในครอบครัวไปล้างไตในสถานพยาบาลเอกชนได้ จะตอ้ งเปน็ สถานพยาบาลเอกชนที่เข้ารว่ มโครงการเบิกจ่ายตรงผ้ปู ่วยลา้ งไตดว้ ย ซ่งึ ผมู้ สี ทิ ธหิ รือบคุ คลใน ครอบครัวสามารถไปล้างไตในสถานพยาบาลเอกชนได้ และเบิกได้ในอัตราคร้ังละ 2,000 บาท เชน่ เดยี วกับสถานพยาบาลของทางราชการ คมู่ อื สวสั ดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๑๙
2.17 โครงการเบกิ จา่ ยตรงผู้ป่วยโรคมะเร็ง (ยามะเร็ง 6 ชนิด) โครงการเบิกจ่ายตรงผู้ป่วยโรคมะเร็ง ได้เริ่มดาเนินการต้ังแต่วันที่ 1 กันยายน 2549 ตาม หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนท่ีสุด ที่ กค 0417/ว 68 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2549 โดยมี วัตถปุ ระสงค์เพ่ือลดภาระค่าใช้จา่ ย และอานวยความสะดวกให้กับผู้ปว่ ย ทั้งนี้ ไดก้ าหนดการเบิกจ่ายเงิน สวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาลตามโครงการเบิกจ่ายตรงผู้ป่วยโรคมะเร็งซ่ึงจาต้องใช้ ยานอกบัญชี ยาหลักแห่งชาตทิ มี่ ีคา่ ใชจ้ ่ายสูง 6 ชนิด ได้แก่ (1) Imatinib ใช้ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเร้ือรัง และมะเร็งลาไส้ ชนดิ gastrointestinal stromal tumor (GIST) (2) Rituximab ใชใ้ นการรักษามะเร็งต่อมน้าเหลอื ง (3) Trastuzumab ใช้ในการรักษามะเรง็ เตา้ นมระยะแพร่กระจาย (4) Bivacizumab ใชใ้ นการรกั ษามะเรง็ ลาไส้ใหญร่ ะยะแพร่กระจาย (5) Erlotinib ใช้ในการรักษามะเร็งปอดระยะแพร่กระจายที่ไม่ตอบสนองต่อยา กลมุ่ Platinum และ Docetaxel แลว้ (6) Gefitinib ใช้ในการรักษามะเร็งปอดระยะแพร่กระจายที่ไม่ตอบสนองต่อยา กลุ่ม Platinum และ Docetaxel แล้ว ผู้มีสิทธิ และบุคคลในครอบครัวที่มีสิทธิและได้สมัครเข้าร่วมโครงการจ่ายตรงผู้ป่วยโรคมะเร็ง สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่สมัครได้ โดยแพทย์ผู้ทาการรักษาจะต้องส่งข้อมูลทาง การแพทย์เพ่ือประกอบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลทางอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่ระบบจ่ายตรงกับ กรมบัญชีกลาง ซึ่งผมู้ ีสิทธิจะไม่สามารถนาใบเสร็จรับเงินคา่ ยานอกบญั ชียาหลักแห่งชาติท่ีมคี ่าใช้จ่ายสูง 6 ชนิดดังกล่าวมาเบิกกับส่วนราชการต้นสังกัดได้ แต่ให้สถานพยาบาลของทางราชการเป็นผู้เบิกจ่าย โดยตรงกับกรมบัญชีกลาง (หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนท่ีสุด ท่ี กค 0417/ว 37 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2550) 2.18 โครงการเบิกจ่ายตรงค่ารถ REFER ค่ารถ REFER เบิกจ่ายในระบบเบิกจ่ายตรงเท่าน้ัน การจ่ายแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เบิกในอัตรา เหมาจ่าย (ค่ารักษาค่าบริการในรถฉุกเฉิน) อัตรา 500 บาท/ครั้ง และจ่ายตามระยะทาง (คิดตาม ระยะทางไป - กลับ) ในอัตรา 4 บาท/กโิ ลเมตร เบิกได้เฉพาะกรณีการส่งต่อระหว่างโรงพยาบาลเท่าน้ัน ไม่รวมการส่งต่อจากจุดเกิดเหตุ ไปโรงพยาบาล คมู่ อื สวสั ดิการรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๒๐
แผนภาพท่ี 5 : ขน้ั ตอนการสมัครเข้าโครงการเบกิ จา่ ยตรงเงินสวสั ดกิ ารคา่ รักษาพยาบาล สถานพยาบาลตรวจรายชื่อผู้มีสทิ ธิ ในฐานข้อมูลบุคลากรภาครฐั ของกรมบญั ชกี ลาง มีรายชอ่ื ไมม่ ี ผ้มู สี ิทธิตดิ ต่อกับนายทะเบยี น ในฐานขอ้ มลู ของ สรก.ทส่ี ังกดั เพื่อปรบั ปรุงฐานขอ้ มูลของตน มี - ลงทะเบยี นเขา้ โครงการฯ - แสกนลายนว้ิ มือ เขา้ ตรวจหลงั ไม่ใช่ ลงทะเบยี น 15 วนั จา่ ยเงนิ สด ใช่ ใชส้ ิทธิเบกิ จ่ายตรง สถานพยาบาล บันทกึ คา่ รักษาในระบบ อิเล็กทรอนกิ ส์ คมู่ ือสวัสดิการรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าท่ี ๒๑
แผนภาพที่ 6 : ขัน้ ตอนการปฏบิ ัติงานของสถานพยาบาล (กรณีใชส้ ิทธิเบิกจา่ ยตรง) ผู้ปว่ ยเข้ารบั การรักษา แสดงบัตรจา่ ยตรง ตรวจสอบสทิ ธิ เบกิ ไม่ได้ จา่ ยเงินสด เบกิ ได้ บนั ทึกค่าใชจ้ า่ ย ในระบบฯ ส่วนเกนิ ไม่มี บันทึกคา่ ใช้จ่าย มี ในระบบฯ ชาระสว่ นเกิน พมิ พใ์ บเสรจ็ รบั เงนิ พิมพใ์ บแสดง รายการคา่ รักษา ผูป้ ่วย/ผูร้ บั ยาแทน ลงลายมอื ชอ่ื รับยา คมู่ ือสวัสดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๒๒
2.19 ระบบการเบิกจ่ายเงินผปู้ ่วยในโดยระบบ DRG ระบบ Diagnosis Related Groups : DRGs หรือระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยในโดย เกณฑ์กลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม โดยการนาระบบ DRGs มาใช้ในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ประเภทผูป้ ว่ ยในในสถานพยาบาลของทางราชการ เป็นการเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงินระหวา่ งกรมบัญชกี ลาง กับสถานพยาบาลของทางราชการ จากเดิมท่ีจ่ายตามรายการที่สถานพยาบาลเรียกเก็บ (Fee for Services) เป็นการตกลงการจ่ายล่วงหน้าตามกลุ่มโรค (Case Base) ซ่ึงกรมบัญชีกลางได้เร่มิ ดาเนินการ จ่ายด้วยระบบ DRGs ต้ังแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นมา ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนท่ีสุด ท่ี กค 0417/ว 204 ลงวันท่ี 13 มถิ ุนายน 2550 ระบบ DRGs ทกี่ รมบญั ชีกลางใช้ในการจา่ ยค่ารักษาพยาบาลให้กับสถานพยาบาลนน้ั เป็นเพียง ค่ารักษาเพียงส่วนหน่ึงของยอดเงินทั้งหมดที่จ่าย และสาหรับอัตราท่ีจ่ายให้กับสถานพยาบาลน้ันเป็น อัตราที่คานวณการจ่ายจากค่ารักษาพยาบาลอ่ืน ๆ เช่น ค่าตรวจ ค่ายา ค่าผ่าตัด ค่าการพยาบาล เป็น ต้น ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยใน สถานพยาบาลของทางราชการตามกลุ่มวนิ ิจฉัยโรคร่วม (DRGs) ท้ังน้ี สาหรับรายการที่กรมบัญชีกลางมี การประกาศอัตราหลักเกณฑ์ไว้แล้ว ให้เบิกจ่ายตามอัตรานั้น ทั้งในส่วนของค่าห้องค่าอาหาร และค่า อุปกรณ์ในการบาบัดรักษาโรค และอวัยวะเทียม (ประกาศกระทรวงการคลัง เร่ือง อัตราค่าบริการ สาธารณสุขเพื่อใช้สาหรับการเบกิ จ่ายค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ) ทีไ่ ม่เกีย่ วกบั การรกั ษาโดยตรง ผปู้ ่วยรับผดิ ชอบเอง ส่วนเกินสทิ ธิ เบกิ ได้ตามอัตราท่กี าหนด คา่ ห้องค่าอาหาร จา่ ยตาม DRGs อวยั วะเทยี ม+อปุ กรณ์ คา่ รักษาพยาบาลอื่น ๆ ตามสิทธิ แผนภาพท่ี 7 : การเบกิ จา่ ยค่ารกั ษาด้วยระบบ DRGs ค่มู อื สวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๒๓
หลกั เกณฑก์ ารเบกิ จ่ายในระบบ DRG มี ๒ ระบบ ๑. ระบบ DRGs สถานพยาบาลของทางราชการ การเบิกจ่ายค่ารกั ษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยใน โดยระบบ DRGs เป็นลักษณะของการจ่ายแบบตกลงราคาล่วงหน้า ทาให้สถานพยาบาลทราบว่าการ รักษาโรคชนิดหน่ึง ๆ ตามมาตรฐานการรักษาของสถานพยาบาลจะได้รับค่ารักษาในอัตราเท่าไร ทาให้ สถานพยาบาลพัฒนาการรักษาใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากข้ึน ท้ังนห้ี ากสถานพยาบาลรักษาผู้ป่วยด้วยตน้ ทุน ต่ากว่าอัตราที่กรมบัญชีกลางตกลงท่ีจะจ่าย จานวนเงินที่เหลือ สถานพยาบาลนาไปเป็นรายได้ของ สถานพยาบาลได้เลย แต่หากมีต้นทุนสูง สถานพยาบาลต้องรับผิดชอบส่วนเกินสิทธิน้ันเอง ห้ามเรียกเก็บ จากผปู้ ่วย ระบบ DRGs ไม่ครอบคลุมรายการคา่ ห้องค่าอาหาร รายการอุปกรณ์ในการบาบดั รกั ษาโรคและ อวัยวะเทียม ดังนั้น หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาและนอนห้องพิเศษ โดยมีส่วนเกินสิทธิ ผู้ป่วยต้อง รบั ภาระคา่ ใชจ้ ่ายเอง เป็นตน้ ฉะน้ัน หากมีกรณีส่วนเกินสิทธิ ที่สถานพยาบาลเรียกเก็บ ให้สอบถามสถานพยาบาลว่า เป็นค่าใช้จ่ายอะไร หากเป็นค่าห้องและค่าอาหาร ให้จ่ายได้ แต่หากเป็นค่ารักษาพยาบาล ไม่ต้องจ่าย เพราะเปน็ ขอ้ ตกลงทท่ี างโรงพยาบาลทากับกรมบญั ชีกลางแลว้ ๒. ระบบ DRGs สถานพยาบาลเอกชน เร่ิมดาเนินการในเดือนเมษายน 2554 โดยเริ่มกับ สถานพยาบาลเอกชนทเี่ ข้ารว่ มโครงการกับกรมบัญชีกลาง โดยมขี ้อปฏิบัติ ดังน้ี (1) ต้องเป็นโรคท่ีกรมบัญชีกลางประกาศ ซึ่งจะต้องเป็นโรคที่ต้องมีการนัดผ่าตัดล่วงหน้า (Elective Surgery) เช่น การคลอดบตุ ร (2) การเบิกจ่ายจะต้องเป็นการเบิกจ่ายตรงเท่านั้น โดยค่ารักษาพยาบาลในส่วนที่เบิกได้ กรมบญั ชกี ลางจะจ่ายเงินเข้าบัญชีของสถานพยาบาลเอกชนโดยตรง ส่วนค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินสทิ ธิ ผู้ป่วยตอ้ งรบั ภาระเอง และไมส่ ามารถนาใบเสรจ็ รบั เงินมาเบิกจากทางราชการได้ ขนั้ ตอนการใช้สิทธิ ผ้ปู ว่ ยต้องดาเนนิ การ ดังนี้ (1) ตรวจสอบสถานพยาบาล โรคที่จะรักษา และประมาณการส่วนร่วมจ่ายจาก website กรมบญั ชีกลาง (http://www.cgd.go.th) (2) ติดต่อสถานพยาบาลที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ โดยสถานพยาบาลจะสรุปแจ้ง รายการส่วนเกินท่ีต้องชาระ (ส่วนที่เบิกกับกรมบัญชีกลางไม่ได้) หากผู้ป่วยตกลงเข้ารับการรักษา จะต้องลงนามในหนงั สอื เพอื่ ยนื ยัน ท้งั นี้ หากไมป่ ระสงค์เขา้ รบั การรกั ษา ผปู้ ่วยสามารถปฏิเสธได้ (3) เม่ือออกจากสถานพยาบาล สถานพยาบาลจะเรียกเก็บส่วนเกินจากผู้ป่วย ส่วนที่เบิกได้ สถานพยาบาลจะวางเบกิ จากกรมบญั ชกี ลางโดยตรง คมู่ อื สวสั ดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๒๔
บทท่ี ๓ แนวทางการปฏบิ ัติตามกฎหมายและระเบยี บท่เี กยี่ วข้อง ๑. บุคคลท่ีเข้ารับราชการซ่ึงได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างประจาจากเงินงบประมาณรายจ่าย หมวดเงินเดือน และค่าจ้างประจาของกระทรวง ทบวง กรม (งบบุคลากร) จะต้องยื่นรายงานข้อมูล บุคลากร เพื่อประโยชน์ในการจัดทาฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ (มาตรา ๕ วรรคสอง) (หนังสือ กรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๒๒.๒/ว ๓๗๖ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง หลักเกณฑ์การ จดั ทาฐานขอ้ มลู เก่ยี วกบั การรักษาพยาบาล) ๒. เมื่อมีรายการค่าใช้จ่ายเกิดข้ึน ผู้รับสวัสดิการฯ กรอกแบบฟอร์มใบเบิกค่าสวัสดิการ เก่ียวกับการรักษาพยาบาล (แบบ ๗๑๓๑) สง่ ฝ่ายการเงิน 3.1 การเบิกจา่ ยคา่ รกั ษาพยาบาล มี ๒ กรณี ดังน้ี กรณีท่ี ๑ ผู้ปว่ ยใน : สถานพยาบาลของทางราชการ ผู้ใช้สิทธิแจ้งความประสงคไ์ ด้ ๒ กรณี คอื (๑) กรณีฐานข้อมูลในระบบสมบูรณ์ ใหข้ อเลขอนุมัติ (๒) กรณีฐานข้อมูลในระบบไม่สมบูรณ์ ให้ใช้หนังสือรับรองการมีสิทธิรับเงินค่ารักษาพยาบาล โดยให้ยน่ื กับสถานพยาบาลกอ่ นส้ินสุดการรกั ษาพยาบาลในคร้ังน้ัน - เจตนารมณ์ของกฎหมาย : ให้ยกเลิกการเรียกเก็บเงินในลักษณะเงินมัดจา ๙๐ วัน สาหรบั กรณีทไ่ี มอ่ าจยน่ื หนังสอื รบั รองฯ ได้ - ให้ผู้ใช้สิทธิทาคาขอหนังสือรับรองการมีสิทธิฯ (แบบ ๗๑๒๙) จานวน ๒ ฉบับ เพ่ือขอ หนังสือรับรองการมีสิทธิฯ (แบบ ๗๑๓๐) จานวน ๒ ฉบับ ยื่นต่อสถานพยาบาลก่อนท่ีทาง สถานพยาบาลจะสิ้นสุดการรักษาในครัง้ นน้ั สถานพยาบาลของเอกชน การเขา้ รบั การรกั ษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนท้ังผูป้ ่วยนอกและผู้ป่วยในจะตอ้ งเป็น ผู้ป่วยฉุกเฉินตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน (พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑) และ ไม่สามารถนาใบเสร็จรับเงินในการเข้ารักษาพยาบาลมาเบิกจ่ายจากส่วนราชการต้นสังกัดได้ ท้ังนี้ สถานพยาบาลจะต้องไปดาเนินการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจากสานักงานหลักประกัน สขุ ภาพแหง่ ชาติ (ส.ป.ส.ช.) — กรณีผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉินเข้ารับบริการในโรงพยาบาลทั้งผ่านระบบสายด่วน 1669 และ Walk in โรงพยาบาลให้บริการทันทีโดยไม่ต้องสอบถามสิทธิ และผู้ป่วยไม่ต้องจ่ายเงิน ซึ่งโรงพยาบาล จะลงทะเบียนแจ้งการใหบ้ ริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน ผา่ นระบบ Clearing house และหลงั จากการใหบ้ รกิ าร แล้ว จะบันทึกข้อมูลการให้บริการผ่านระบบ Clearing house เพ่ือเบิกจ่ายค่าบริการ (ผู้ป่วยนอก : เบิกตามอัตรากรมบญั ชีกลาง และสาหรบั ผ้ปู ว่ ยใน : อตั รา 10,500 บาทตอ่ RW) โดยหนว่ ย Clearing house จะประมวลผลข้อมูล จัดทารายงานและจ่ายเงินชดเชยให้โรงพยาบาล จากน้ันส่งใบแจ้งหน้ีไปยัง กองทุนทเ่ี ก่ียวขอ้ ง เพือ่ เรยี กเก็บเงินตามทมี่ ีการจา่ ยจรงิ ให้กบั โรงพยาบาลต่อไป ซง่ึ กองทุนจะจ่ายเงนิ คืน ให้ Clearing house — คู่มือสวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๒๕
แผนภาพท่ี 8 : แผนผังระบบ Clearing House กรณที ี่ ๒ ผ้ปู ว่ ยนอก : สถานพยาบาลของทางราชการ (๑) ผู้ใชส้ ิทธิกรอกใบเบกิ เงนิ สวสั ดิการเก่ียวกับการรกั ษาพยาบาล (แบบ ๗๑๓๑) ดังน้ี คูม่ อื สวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๒๖
แบบฟอร์มใบเบกิ เงนิ สวสั ดิการเก่ยี วกับการรกั ษาพยาบาล ค่มู อื สวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๒๗
ค่มู ือสวสั ดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๒๘
คาอธิบายขัน้ ตอนการกรอกแบบฟอร์มใบเบิกเงนิ สวัสดกิ ารเก่ยี วกบั ค่ารักษาพยาบาล (แบบ 7131) 1. ช่อื – นามสกลุ /ตาแหนง่ /สังกัดของผ้ขู ออนุมตั เิ บิกเงินสวสั ดิการค่ารกั ษาพยาบาล 2. ให้ทาเครื่องหมาย ในช่องวา่ ง ขอเบิกเงนิ คา่ รกั ษาพยาบาลของผู้มีสทิ ธิ/ผอู้ าศัยสิทธิ ตามใบเสร็จรบั เงนิ 2.1 กรณีเบิกค่ารกั ษาพยาบาลของบิดา/มารดา/คู่สมรส/บุตร ให้ระบสุ าระสาคัญ - ช่ือ – นามสกลุ เลขประจาตวั - บุตร ให้กรอกข้อมูล ชื่อ – นามสกุล/เกิดเม่ือ/เป็นบุตรลาดับที่ (ของบิดา)/ (มารดา)/ยงั ไมบ่ รรลนุ ติ ิภาวะ/เปน็ บุตรไรค้ วามสามารถ 2.2 ระบุโรคทร่ี ักษา 2.3 ระบุชือ่ สถานพยาบาลทร่ี ับการรกั ษา 2.4 ให้ทาเครือ่ งหมาย ในช่องวา่ ง หนา้ สถานพยาบาลทางราชการ/หรือเอกชน 2.5 ต้งั แตว่ นั ที่ ถึง วนั ที่สน้ิ สดุ ทท่ี าการเบิกสวสั ดิการคา่ รกั ษาพยาบาล 2.6 ระบุตัวเลขเงินรวมเป็นเงินท้ังสิ้น (โดยคิดจากยอดเงินรวมท้ังหมดที่ทาการรักษา) จานวนรวมทงั้ สนิ้ กฉี่ บบั ทขี่ อเบกิ 2.7 ตามใบเสร็จรับเงนิ ตามจานวนทีแ่ นบ (ฉบบั ) 3. ให้ทาเคร่ืองหมาย ในช่องสิทธิท่ีได้รับตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล 3.1 ให้ทาเครอ่ื งหมาย ในช่องสทิ ธิของผรู้ บั สทิ ธสิ วัสดิการค่ารกั ษาพยาบาล 4. ฝ่ายการเงินเสนอผูม้ อี านาจลงนามอนุมัติ 4.1 ผูข้ อรบั เงนิ สวัสดกิ ารลงลายมือช่อื และเขยี นชอ่ื – นามสกลุ ตวั บรรจง 4.2 วนั /เดือน/ปี ทีข่ อรับเงินสวัสดิการคา่ รกั ษาพยาบาล 5. ผู้มอี านาจลงนามอนมุ ตั ิลงลายมอื ชื่อและเขยี นชอ่ื – นามสกลุ ตัวบรรจงพร้อมทัง้ ตาแหน่ง 6. ใหผ้ ู้มสี ทิ ธิรบั เงินเขยี นจานวนเงินทไ่ี ดร้ ับ ลงลายมือชอ่ื และเขยี นชอื่ – นามสกลุ ตวั บรรจง 7. ให้ผู้รบั เงินลงลายมือชื่อและเขียนชอ่ื – นามสกลุ ตัวบรรจง 8. ใหผ้ ู้รับจ่ายเงินลงลายมอื ชือ่ และเขยี นชื่อ – นามสกลุ ตวั บรรจง 9. ลงวนั ที่จ่ายเงินสวสั ดกิ ารค่ารกั ษาพยาบาล (๒) ฝ่ายการเงินดาเนนิ การตรวจสอบความถูกต้อง ขัน้ ตอนการตรวจสอบ : ๑. ตรวจสอบสทิ ธิ เจ้าหน้าท่ีการเงินจะต้องตรวจสอบสิทธิของผู้ขอเบิกกับระบบฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ โดยมีรายละเอยี ดและเอกสารแนบ ดงั น้ี บดิ า บิดาของผู้มีสิทธิที่ผู้มีสิทธิสามารถนาค่ารักษาพยาบาลมาเบิกจากทางราชการได้น้ัน จะต้องเป็นบิดาโดยสายเลือดและเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย ท้ังนี้การพิจารณาถึงความชอบด้วย กฎหมายน้ันจะพิจารณาได้ คือ บิดาจะต้องจดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้มีสิทธิ หากบิดาไม่ได้ จดทะเบียนกับมารดา ผู้มีสิทธิอาจใช้หลักฐานอื่นในการรับรองว่าเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายได้ คู่มอื สวสั ดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าท่ี ๒๙
ซ่ึงหลักฐานดังกล่าว คือ ทะเบียนรับรองบุตร หรือคาพิพากษาของศาลว่าผู้มีสิทธิเป็นบุตรชอบด้วย กฎหมายของบิดา การจดทะเบียนรับรองบุตร บิดาจะต้องย่ืนคาร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตรต่อ นายทะเบียนผู้มีอานาจ ณ สานักทะเบียน ตามท่ีกาหนดในกฎกระทรวงซ่ึงออกโดยอาศัยอานาจตาม ความในพระราชบัญญัตจิ ดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 เช่น (1) กรณีอยู่ในกรงุ เทพมหานคร จะตอ้ ง ยื่นคาร้อง ณ สานักงานเขต (2) กรณีอยู่ในภูมิภาค จะต้องยื่นคาร้อง ณ ท่ีว่าการอาเภอ หากมารดา เสียชีวติ แลว้ จะไม่สามารถจดทะเบียนรบั รองบุตรได้ ตอ้ งยนื่ คาร้องขอต่อศาลเพยี งกรณีเดยี ว การร้องต่อศาลเพ่ือให้ศาลมีคาพิพากษาว่าผู้มีสิทธิเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดา สามารถติดตอ่ ไดท้ ่ีศาลแผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของผู้มสี ทิ ธโิ ดย เอกสารอ้างองิ 1. จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผูม้ สี ิทธิ 1. ทะเบียนสมรส หรือ 2. จดทะเบยี นรับรองบุตร 2. ทะเบียนหย่า (กรณีหย่ากันตามกฎหมาย) 3. คาพพิ ากษาของศาล ทะเบียนรับรองบุตร (แบบ คร.11) 4. อยูก่ ินกับมารดาของผู้มสี ิทธกิ ่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2478 คาสั่งศาลหรือคาพิพากษาของศาลวา่ ผู้มีสทิ ธิเป็น บุตรชอบด้วยกฎหมายของบดิ า หนงั สือรับรองของผู้ควรเชือ่ ถอื ได้ทรี่ ับรองว่าบิดา มารดาของผู้มีสิทธิอยู่กินกันฉันสามีภรรยาก่อน วนั ท่ี 1 ตุลาคม 2478 มารดา มารดาของผู้มีสิทธิ ที่ผู้มีสิทธิสามารถนาค่ารักษาพยาบาลมาเบิกจากทางราชการได้น้ัน จะต้องเป็นมารดาโดยสายเลือดและเป็นมารดาชอบด้วยกฎหมาย ซ่ึงตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ “เด็กที่เกิดจากหญิง ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงน้ัน” โดยไม่จาเป็นว่ามารดา ต้องจดทะเบียนสมรสหรือไม่ หลักฐานทางราชการที่ใช้ในการยืนยันว่าเป็นมารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ของผูม้ สี ทิ ธิ คอื สูติบัตรของผู้มีสทิ ธิ หรือทะเบียนบ้านของผู้มีสิทธิซง่ึ จะมชี ่ือของมารดาปรากฏอยู่ เปน็ มารดาชอบด้วยกฎหมายของผู้มสี ิทธิโดย เอกสารอ้างองิ 1. สายเลือด 1. สตู ิบัตรของผมู้ ีสทิ ธิ หรอื 2. ทะเบยี นบ้านของผ้มู ีสิทธิ คสู่ มรส คู่สมรสของผู้มีสิทธิ ท่ีผู้มีสิทธิสามารถนาค่ารักษาพยาบาลมาเบิกจากทางราชการได้น้ัน จะต้องเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านนั้ คือ ผมู้ ีสิทธจิ ะต้องจดทะเบียนสมรสกับคู่สมรส หากไม่ได้ จดทะเบยี นกนั ถึงแม้จะอย่กู ินกันฉนั ท์สามีภรรยา ก็ไม่สามารถเบิกจา่ ยคา่ รกั ษาพยาบาลให้กับคู่สมรสได้ คูม่ ือสวัสดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๓๐
โดยหลักการผู้มีสิทธิจะเบิกค่ารักษาพยาบาลให้กับคู่สมรสได้เพียง 1 คนเท่าน้ัน แต่มี ข้อยกเว้นให้สาหรับผู้มีสิทธิ (ชาย) ที่นับถือศาสนาอิสลาม และมีภูมิลาเนาอยู่ใน 4 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสตูล) และจดทะเบียนสมรสตามหลักศาสนาอสิ ลาม (จดทะเบียน สมรส ณ สานกั งานคณะกรรมการกลางอิสลามใน 4 จังหวดั ชายแดนภาคใต้) หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดงั กลา่ วผูม้ ีสทิ ธสิ ามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลใหก้ ับคู่สมรสได้ 4 คน เป็นคสู่ มรสชอบด้วยกฎหมายของผู้มีสทิ ธิโดย เอกสารอา้ งอิง 1. จดทะเบียนสมรส ทะเบียนสมรส บุตร บุตรของผู้มีสิทธิ ที่ผู้มีสิทธิสามารถนาค่ารักษาพยาบาลมาเบิกจากทางราชการได้ หมายถึง บุตรชอบด้วยกฎหมาย ซ่ึงยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถซ่ึงอยู่ในความอุปการะเล้ียงดูของบิดาหรือมารดา ซ่ึงเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงิน สวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาล แต่ทั้งนี้ ไม่รวมถึง บุตรบุญธรรมหรือบุตรซ่ึงได้ยกให้เป็น บุตรบุญธรรมบุคคลอ่นื แล้ว การเปน็ “บุตรชอบด้วยกฎหมาย” ของผู้มสี ทิ ธิ แยกพจิ ารณาเป็น 2 กรณี 1. กรณีมารดาเป็นผู้มีสิทธิ เด็กท่ีเกิดจากหญิงผู้เป็นมารดาผู้ให้กาเนิด ย่อมเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมายของหญิงน้ันเสมอไม่วา่ กรณีใด ๆ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 “เดก็ เกดิ จากหญงิ ทม่ี ไิ ดม้ ีการสมรสกับชายให้ถือว่าเปน็ บุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนนั้ ”) เปน็ บุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มสี ทิ ธิโดย เอกสารอา้ งองิ 1. สายเลือด 1. สูตบิ ตั รของบุตร หรือ 2. ทะเบียนบา้ นของบุตร 2. กรณีบดิ าเป็นผู้มีสทิ ธิ แยกพจิ ารณาได้ 2 ประการ (1) เด็กท่ีเกิดในระหว่างการสมรสของชายและหญิงผู้ให้กาเนิดแล้วถือว่าเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมายของชาย และนอกจากนี้กฎหมายยังให้ข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เด็กซ่ึงเกิดแต่หญิง ภายใน 310 วัน นับแตว่ นั ทีก่ ารสมรสสิน้ สดุ ลง เปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของผชู้ ายผู้เป็นสามี หรือเคย เป็นสามีหรือนับแต่วันที่คาพิพากษาถึงที่สุดของศาลให้การสมรสเป็นโมฆะ แล้วแต่กรณี (ประมวล กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1536) (2) เด็กซึ่งเกิดนอกสมรส เด็กซ่ึงเกดิ ก่อนการจดทะเบียนสมรสหรอื บดิ ามารดาไมไ่ ด้ จดทะเบียนสมรสกันจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้เมื่อ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 ประกอบกับมาตรา 1557) - บดิ ามารดาของเด็กได้ทาการจดทะเบยี นสมรสกันในภายหลัง - บิดาไดจ้ ดทะเบียนรบั รองว่าเป็นบุตรของตน มผี ลนบั แตว่ นั จดทะเบียนเด็กเปน็ บุตร - มคี าพิพากษาของศาลว่า เปน็ บุตรของตน มผี ลนบั แตว่ ันทมี่ คี าพพิ ากษาถงึ ทีส่ ดุ ทั้งน้ี ผลของความเปน็ บุตรชอบด้วยกฎหมายจะย้อนหลังไปจนถงึ วนั ที่บุตรเกิด คู่มือสวัสดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าท่ี ๓๑
เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มีสิทธโิ ดย เอกสารอ้างอิง 1. จดทะเบยี นสมรสกบั มารดาของบุตร 1. ทะเบยี นสมรส หรือ 2. จดทะเบยี นรบั รองบตุ ร 2. ทะเบียนหยา่ 3. คาพพิ ากษาของศาล ทะเบยี นรบั รองบตุ ร (แบบ คร.11) คาสง่ั ศาลหรือคาพิพากษาของศาลว่าผู้มีสทิ ธิเป็น บดิ าชอบด้วยกฎหมายของบตุ ร “บรรลุนิติภาวะ” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แบง่ เปน็ 2 กรณี คอื 1. บรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 19) 2. บรรลุนิติภาวะโดยการจดทะเบียนสมรส (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 20) โดยจะกระทาไดเ้ มือ่ บุตรอายุครบ 17 ปบี ริบูรณ์ “คนไร้ความสามารถ” คอื คนวกิ ลจริต และศาลสัง่ ให้เป็นคนไรค้ วามสามารถ (ประมวล กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 28) “คนเสมือนไร้ความสามารถ” คือ บุคคลท่ีไม่สามารถจัดทาการงานของตนได้ เพราะ กายพิการหรือจิตฟ่ันเฟือนไม่สมประกอบ หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็นอาจิณหรือเพราะเป็น คนติดสุรายาเมา และศาลได้ส่ังเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32) บุตรบุญธรรมหรือบุตรที่ได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้อ่ืนแล้ว ไม่อยู่ในข่ายได้รับการ ช่วยเหลือคา่ รกั ษาพยาบาลตามพระราชกฤษฎกี าฯ ตัวอย่าง : นาย ก. เป็นข้าราชการ มีบุตรคือ ค. ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่นาย ก. ได้ยก บุตรของตนให้เป็นบุตรบุญธรรมของนาย ข. ซ่ึงเป็นข้าราชการ หาก ค. ป่วยต้องเข้ารับกา ร รักษาพยาบาล ในสถานพยาบาล ท้ัง นาย ก. และนาย ข. ก็ไม่มีสิทธิเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลของ ค. ตามพระราชกฤษฎีกานี้ การนับลาดับบุตร ผู้มีสิทธิสามารถนาค่ารักษาพยาบาลของบุตรมาเบิกจ่ายได้เฉพาะ บุตรลาดบั ที่ 1 – 3 โดยนบั เรียงลาดบั การเกดิ ก่อนหลัง ทั้งน้ี ไม่วา่ จะเป็นบตุ รทเ่ี กดิ จากการสมรสครงั้ ใด หรืออยู่ในอุปการะเล้ียงดู หรืออยู่ในอานาจปกครองของตนหรือไม่ (พระราชกฤษฎีกาฯ มาตรา 6 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม) สาหรับผู้มีสิทธิที่มีบุตรเกิน 3 คน และต่อมาบุตรคนใดคนหน่ึงใน 3 คนแรกนั้นตายลง ก่อนบรรลุนิติภาวะ ผู้มีสิทธิสามารถนาบุตรในลาดับถัดไป ซึ่งแต่เดิมไม่สามารถนาค่ารักษาพยาบาล มาเบิกจากทางราชการเข้าแทนที่บุตรที่ตายลงก่อนบรรลุนิติภาวะ และสามารถใช้สิทธิเบิกค่า รกั ษาพยาบาลได้จนกว่าบุตรคนน้ันจะบรรลุนิติภาวะ หากบุตรลาดับท่ี 1 ถึง ลาดับท่ี 3 บรรลุนิติภาวะ แล้ว หรอื เสยี ชีวิตภายหลังบรรลนุ ิติภาวะ ก็ไมส่ ามารถนาบุตรลาดบั ถดั ไปมาแทนท่ไี ด้ (พระราชกฤษฎกี าฯ มาตรา 6 วรรคสอง) บุตรแฝด หากผู้มีสิทธิหรือคู่สมรสของผู้มีสิทธิที่ยังไม่มีบุตร หรือมีบุตรแล้วแต่ยังไม่ครบ 3 คน ถ้าต่อมามีบุตรแฝดและทาให้มีบุตรเกิน 3 คน ก็ให้เบิกค่ารักษาพยาบาลให้กับบุตรได้ท้ังหมด (พระราชกฤษฎกี าฯ มาตรา 7 วรรคหนึ่ง) คู่มือสวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๓๒
ตัวอยา่ ง : - นาย ก. มีบุตร 5 คน เรียงลาดับการเกิดแล้ว คนที่มีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล คือ บุตร คนที่ 1, บตุ รคนท่ี 2 และบตุ รคนที่ 3 - นาย ก. สมรสกับนาง ข. มีบุตรด้วยกัน 5 คน โดยบุตรท้องแรก จานวน 2 คน (บุตรแฝด) และบุตรท้องท่ี 2 จานวน 3 คน (บุตรแฝด) ผมู้ สี ทิ ธสิ ามารถเบกิ คา่ รกั ษาพยาบาลให้กบั บตุ รทั้ง 5 คนได้ - หากบุตรท้องแรก จานวน 3 คน (บุตรแฝด) และบุตรท้องท่ี 2 จานวน 2 คน (บุตรแฝด) ผู้มีสิทธสิ ามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลให้กับบุตรได้เพยี ง 3 คน (บุตรแฝดท้องแรก) สาหรับบุตรท้องท่ี 2 จานวน 2 คน ไม่สามารถเบกิ คา่ รักษาพยาบาลได้ - หากบตุ รท้องแรก จานวน 3 คน (บุตรแฝด) และบุตรท้องท่ี 2 จานวน 1 คน ผู้มีสิทธิ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลให้กับบุตรได้เฉพาะบุตรแฝดท้องแรกท้ัง 3 คนเท่านั้น บุตรท้องที่ 2 ไมส่ ามารถนามาเบกิ ได้ เพราะเปน็ บตุ รลาดับที่ 4 - หากบุตรท้องแรก จานวน 1 คน และบุตรท้องที่ 2 จานวน 4 คน (บุตรแฝด) ผู้มีสิทธิ สามารถเบิกค่ารกั ษาพยาบาลใหก้ บั บตุ รทงั้ 5 คนได้ ๒. ตรวจสอบรายการและอัตราที่เบิกจ่าย (โดยให้ย่ืนเบิกได้ภายใน ๑ ปี นับถัดจาก วนั ทปี่ รากฎในหลักฐานการรบั เงินของสถานพยาบาล) ดงั นี้ ค่ายา หลักเกณฑ์การเบิกค่ายา คอื ยาท่จี ะเบิกได้นัน้ ตอ้ ง 1. มีคณุ สมบตั ิในการรักษาโรค 2. ไมใ่ ชเ่ พือ่ การเสริมสวย ไมป่ ้องกัน 3. อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ กรณียานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ไม่ได้สั่งห้ามแพทย์ จ่ายยา หรือห้ามเบิกค่ายานอกบัญชียาหลักแต่อย่างใด ถ้าจาเป็นต้องใช้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ กใ็ ชไ้ ด้ ตามหนงั สือด่วนท่สี ดุ ท่ี กค 0422.2/ว 111 เม่ือวันที่ 24 กันยายน 2555 ใหข้ ้นึ อยู่กบั แพทย์ ผูท้ าการรักษาเป็นผวู้ ินิจฉัยและออกใบรับรองในการสง่ั ใช้ยานอกบัญชียาหลักแหง่ ชาติ ตามเง่ือนไขต่าง ๆ ได้โดยงา่ ย คือ ใสต่ วั อกั ษร A – F โดยตวั อักษรมคี วามหมาย ดงั น้ี A เกดิ อาการไมพ่ ึงประสงค์จากยาในบัญชยี าหลักแหง่ ชาติ หรอื อาการแพย้ า B รักษาโดยใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติตามมาตรฐานแล้วไม่บรรลุและมีหลกั ฐาน เชงิ ประจกั ษ์เชือ่ ไดว้ ่าใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติแล้วช่วยใหเ้ ป้าหมายการรักษาดีกว่ายาเดิม C ไม่มีกลุ่มยาในบัญชียาหลักแห่งชาติให้ใช้ แต่ผู้ป่วยมีความจาเป็นต้องใช้ยาตาม ข้อบ่งใช้ของยาท่ีข้ึนทะเบียนกับสานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และแพทย์พิจารณาแล้วมี หลกั ฐานสนบั สนุนว่าใชย้ าน้ีแล้วว่ามีประสิทธผิ ล ปลอดภยั D ผู้ป่วยมีภาวะหรือโรคท่ีห้ามใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติอย่างสมบูรณ์ หรือมี ข้อหา้ มในการใช้บญั ชานีแ้ ล้วว่ามีประสิทธิผล ปลอดภัย E ยาในบญั ชยี าหลกั แห่งชาตมิ รี าคาแพงกวา่ (หมายถงึ ค่าใชจ้ า่ ยตอ่ คอรส์ ของการรักษา) F ยาท่ผี ปู้ ่วยร้องขอจากแพทย์ซึ่งไมเ่ กีย่ วข้องกบั การรกั ษาในครงั้ นัน้ ลักษณะ A – E น้ันสามารถเบิกค่ารักษาได้ ส่วนกรณีข้อ F ผู้ป่วยต้องรับภาระ ค่าใช้จา่ ยเอง คู่มอื สวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๓๓
ตวั อยา่ งกลุ่มยา และคา่ ใช้จา่ ยอืน่ ๆ ท่ีเบิกไมไ่ ด้ 1. ยาทาบรรเทาอาการปวด หรอื อักเสบตา่ ง ๆ 2. แชมพขู จดั รังแค 3. อาหารเสริม 4. นา้ ตาเทยี ม 5. ยาปอ้ งกันสิว ฝา้ 6. ยาปลูกผม 7. ยารกั ษาโรคผมร่วง 8. ยาลดความอว้ น 9. วัคซนี ป้องกันโรค ยกเวน้ ป้องกันพิษสนุ ขั บ้า ป้องกนั บาดทะยัก ป้องกันพิษงู ข้อยกเว้น : ยามะเร็ง ๖ ชนิด, ยากลุ่มโรครูมาติ และสะเก็ดเงิน, ยาสมุนไพร และ ยาแผนไทย, วิตามินและแร่ธาตุ, ยาควบคุม ๙ กลุ่ม จะมีวิธีปฏิบัติพิเศษเป็นการเฉพาะ ไม่ได้นา วิธีปฏบิ ตั โิ ดยทว่ั ไปมาใช้ - ยามะเร็ง ๖ ชนิด, ยากลุ่มโรครูมาติก และสะเก็ดเงิน, ยาควบคุม ๙ กลุ่ม จะบังคับให้ ใช้วธิ ีจ่ายตรงเท่านน้ั - ยาสมุนไพร และยาแผนไทย สามารถเบกิ ไดต้ ามรายการท่กี าหนดไว้ ๔ ประเภท ดงั นี้ (๑) ตามบญั ชียาหลักแห่งชาติ (ไม่รวมน้ามันไพล เจลพริก) (๒) ยาสามญั ประจาบา้ นแผนโบราณตามประกาศ สธ. (๓) เภสัชตารับโรงพยาบาล (โรงพยาบาลผลิตเอง) เช่น ยาของโรงพยาบาล เจา้ พระยาอภัยภูเบศก์ สามารถเบิกไดท้ ัง้ หมด ไม่วา่ จะอยใู่ นรูปผงหรือนา้ หรอื แพก็ เกจใด (๔) ยาท่ปี รุงสาหรับผูป้ ่วยเฉพาะราย เชน่ ยาหม้อ สาหรับการส่ังใช้ยาให้เปน็ ไปตามการส่ังใช้ของแพทย์แผนปัจจุบนั หรือแพทยแ์ ผนไทย ซึ่งมีใบประกอบโรคศิลปะ สาขาแพทย์แผนไทยประเภทเวชกรรมแผนไทย หรือสาขาแพทย์แผนไทย ประยุกต์ (หนังสือกระทรวงการคลัง ท่ี กค ๐๔๒๒.๒/ว ๓๓ ลงวันท่ี ๑๑ เมษายน ๒๕๕๔ เรื่อง หลกั เกณฑ์การเบกิ จา่ ยค่ารกั ษาพยาบาลดว้ ยวิธีการทางการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก) ขอ้ สงั เกต : - คา่ ยา ไมต่ ้องลง “รหสั ” ในใบเสรจ็ รับเงิน - คา่ อุปกรณ์และอวยั วะเทยี ม ใบเสรจ็ รับเงนิ จะต้องลง “รหสั ” - ค่าบริการ และค่าตรวจวิเคราะห์ ใบเสร็จรับเงินจะต้องลง “รหัส” ยกเว้นในหมวด ๑๑ (ค่าหัตถการในห้องผ่าตัด) และหมวด ๑๔ (กายภาพ เวชกรรมฟ้ืนฟู) ไม่ต้องลง “รหัส” ให้เบิกได้ตามท่ี โรงพยาบาลเรียกเก็บ ประเภทและอตั ราอุปกรณ์ในการบาบัดรักษาโรค และอวยั วะเทียม ผมู้ ีสิทธิสามารถเบิกค่าอปุ กรณ์ในการบาบัดรกั ษาโรค และอวัยวะเทียม รวมทั้งคา่ ซ่อมแซม ได้ตามรายการท่ีกระทรวงการคลังกาหนด (หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๑๗/ว ๗๗ ลงวันท่ี ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘, ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๑๗/ว ๑๖๕ ลงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐, ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๑๗/ว ๓๗๐ ลงวันท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ และด่วนท่ีสุด ที่ กค ๐๔๒๒.๒/ว ๒๓๖ ลงวันท่ี ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑) ซ่ึงมีทง้ั หมด ๓๘๑ รายการ ๑๐ หมวด โดยแบ่งเป็น คูม่ ือสวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๓๔
หมวด ๑ : ระบบประสาท (๑๐ รายการ) หมวด ๒ : ตา หู คอ จมูก (๔๑ รายการ) หมวด ๓ : ระบบทางเดนิ หายใจ (๑๓ รายการ) หมวด ๔ : หวั ใจและหลอดเลือด (๑๑๐ รายการ) หมวด ๕ : ทางเดนิ อาหาร (๒๙ รายการ) หมวด ๖ : ทางเดินปัสสาวะ และสบื พันธ์ุ (๑๔ รายการ) หมวด ๗ : กระดูก ขอ้ ตอ่ กลา้ มเน้อื เส้นเอ็น (๕๔ รายการ) หมวด ๘ : วสั ดุ/อุปกรณด์ ้านเวชศาสตรฟ์ ้ืนฟู (๗๔ รายการ) หมวด ๙ : อน่ื ๆ (14 รายการ) หมวดวัสดุสนิ้ เปลืองท่เี ปน็ วสั ดุทางการแพทย์ (๒๒ รายการ) สาหรับการเบิกค่าอุปกรณ์ในการบาบัดรักษาโรค และอวัยวะเทียมนั้น ผู้มีสิทธิเบิกได้ สูงสุดไม่เกินอัตราท่ีกาหนดในหนังสือเวียนทั้ง ๔ ฉบับ และหากอุปกรณ์หรืออวัยวะเทียมใด ไม่ปรากฎ อยใู่ นหนังสือเวยี น ผูม้ สี ิทธิไมส่ ามารถนามาเบิกจา่ ยได้ ขอ้ สงั เกต : วิธีดูใบเสรจ็ รับเงินกรณมี รี ายการอปุ กรณ์ หรืออวัยวะเทยี ม - ใบเสร็จรับเงินค่าอุปกรณ์ หรืออวัยวะเทียม สถานพยาบาลต้องใส่รหัส (ตามท่ีระบุใน หนังสือเวียน) ของอุปกรณ์ หรืออวัยวะเทียมรายการนั้น ๆ ในใบเสร็จรับเงินด้วย เพ่ือให้กองคลังของ ส่วนราชการสามารถเทยี บเคยี งรายการ เพอ่ื เบกิ จา่ ยตามอตั ราที่กาหนดได้ - วัสดุสิ้นเปลืองที่เป็นวัสดุทางการแพทย์ มีสิทธิสามารถเบิกจ่ายได้ตามอัตราที่กาหนด โดยไม่ต้องใส่รหัสเหมือนอุปกรณ์หรืออวัยวะเทียม เพราะไม่ได้มีการกาหนดรหัสไว้ เช่น อุปกรณ์ในการ เตรียมเลือดชนดิ ถุงเดียว ราคา ๕๒ บาท (หนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ท่ี กค ๐๔๑๗/ว ๗๗ ลงวนั ท่ี ๑๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๘ - สาหรับวัสดุสิ้นเปลือง/วัสดทุ างการแพทย์อ่ืน ไม่มีการกาหนดไว้ในหนังสือเวียน ว ๗๗ ดังกล่าว สามารถเบิกจ่ายได้เฉพาะกรณีท่ีผู้ป่วยใช้ในสถานพยาบาลเท่านั้น ดังน้ัน กรณีซ้ือกลับบ้าน ไม่สามารถเบกิ จ่ายได้ ซึ่งวสั ดุส้ินเปลอื ง/วัสดุทางการแพทย์ ก็คอื สาลี เขม็ ฉีดยา พลาสเตอร์ เปน็ ตน้ อตั ราค่าบรกิ ารสาธารณสุขเพอื่ การเบกิ จ่าย ค่าบริการสาธารณสุข หมายถึง ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรค ท่ีสถานพยาบาลเรียกเก็บในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโดยท่ัวไปตามปกติ สามารถเบิกได้ เช่น ค่าห้อง ผ่าตัด ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการทางการพยาบาล ค่า X-ray ค่าตรวจ MRI เป็นต้น แต่ไม่รวม ค่าธรรมเนียมพิเศษ ค่าตอบแทนพิเศษ และค่าบริการอื่นที่มีลักษณะพิเศษ เช่น ค่าจ้างพยาบาลพิเศษ สาหรบั ดแู ลผูป้ ่วย ค่าธรรมเนียมแพทย์พเิ ศษ การกาหนดอัตราค่าบริการสาธารณสุขเพื่อการเบิกจ่าย (ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรค และอื่น ๆ ที่สถานพยาบาลเรียกเก็บ และเมื่อผู้ป่วยรับบริการจากทาง สถานพยาบาลแล้วมีรายการค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรค ผู้มีสิทธิจะเบิกได้สูงสุด ไมเ่ กินอัตราท่ีกาหนด (หนังสือกรมบญั ชีกลาง ด่วนทส่ี ุด ท่ี กค ๐๔๑๗/ว ๑๗๗ ลงวนั ที่ ๒๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๙, ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๑๗/ว ๓๐๙ ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๐ และด่วนที่สุด ท่ี กค ๐๔๑๗/ ว ๔๑๔ ลงวันท่ี ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๐) ทั้งนี้ หากรายการใดยังไม่ได้กาหนดไว้ ผู้มีสิทธิสามารถ เบกิ จ่ายได้ตามจานวนเงนิ ทีส่ ถานพยาบาลเรยี กเก็บ คู่มอื สวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๓๕
หนังสอื กรมบัญชีกลาง ดว่ นทีส่ ุด ท่ี กค ๐๔๑๗/ว ๑๗๗ ลงวนั ที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ มที ้งั หมด ๑๖ หมวด ดังนี้ หมวด ๑ : คา่ หอ้ งและคา่ อาหาร หมวด ๒ : คา่ อวยั วะเทียมและอุปกรณ์ หมวด ๓ : คา่ ยาและสารอาหารทางเสน้ เลอื ด หมวด ๔ : ค่ายากลบั บ้าน หมวด ๕ : ค่าเวชภัณฑท์ ่ไี มใ่ ช่ยา หมวด ๖ : ค่าบรกิ ารโลหติ และสว่ นประกอบ หมวด ๗ : ค่าตรวจวนิ จิ ฉยั ทางเทคนิคการแพทยแ์ ละพยาธิ หมวด ๘ : คา่ ตรวจวนิ ิจฉยั และรกั ษาทางรงั สวี ิทยา หมวด ๙ : คา่ ตรวจวินจิ ฉัยโดยวธิ พี เิ ศษอื่น ๆ หมวด ๑๐ : ค่าอุปกรณ์ของใชแ้ ละเคร่ืองมอื ทางการแพทย์ หมวด ๑๑ : คา่ ทาหตั ถการ และวิสัญญี หมวด ๑๒ : คา่ บรกิ ารทางการพยาบาล หมวด ๑๓ : ค่าบริการทางทันตกรรม หมวด ๑๖ : คา่ บริการอน่ื ๆ ทีไ่ ม่เกย่ี วกับการรกั ษาโดยตรง รายการแนบทา้ ย : คา่ ตรวจสขุ ภาพประจาปี เมือ่ พิจารณาหมวดค่าบริการสาธารณสขุ ข้างตน้ จะพบวา่ ไม่มหี มวด ๑๔ และหมวด ๑๕ เน่ืองจากกรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างกาหนดอัตราเพื่อประกาศใช้ ซึ่งหมวด ๑๔ คือ กายภาพบาบัด และ เวชกรรมฟื้นฟู และหมวด ๑๕ คือ ฝังเข็ม และแพทย์แผนไทย ดังนั้น หากสถานพยาบาลเรียกเก็บ ค่าบริการสาธารณสุขในหมวด ๑๔ – ๑๕ ผู้ป่วยสามารถนาใบเสร็จรับเงินมาเบิกได้เต็มตามจานวนท่ี สถานพยาบาลเรียกเกบ็ (ยกเว้น ค่านวด) ข้อสังเกต : วธิ ีดูใบเสรจ็ รบั เงนิ กรณมี คี ่าบรกิ ารสาธารณสขุ - ใบเสร็จรับเงินคา่ รกั ษาท่ีมกี ารระบุค่าบริการสาธารณสุข เช่น คา่ บริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ MRI เป็นต้น ต้องใส่รหัสค่าบริการสาธารณสุขรายการนั้น ๆ ในใบเสร็จรับเงินด้วย เพื่อให้ กองคลงั ของส่วนราชการสามารถเทียบเคียงรายการเพอ่ื เบิกจ่ายตามอตั ราทกี่ รมบัญชกี ลางกาหนด - คา่ หตั ถการในห้องผ่าตัด คา่ กายภาพบาบดั คา่ เวชกรรมฟ้นื ฟู ค่าฝังเข็ม และค่าบริการ แพทย์แผนไทย ไมต่ ้องใส่รหสั ในใบเสร็จรับเงนิ เนอ่ื งจากหมวด ๑๔ (กายภาพบาบดั และเวชกรรมฟ้ืนฟู) และหมวด ๑๕ (ฝังเข็มและแพทย์แผนไทย) ยังไม่มีการกาหนดรหัสและอัตราให้เบิกจ่าย จึงไม่มีรหัสให้ สถานพยาบาลบันทกึ ในใบเสร็จรับเงิน สาหรับค่าหตั ถการในห้องผา่ ตัด (หมวด ๑๑) ไมม่ กี ารกาหนดรหัส ให้เบิกจ่าย ดังน้ัน การเบิกจ่ายรายการที่กล่าวมาท้ังหมด สามารถเบิกจ่ายได้ตามที่สถานพยาบาล เรยี กเก็บ โดยไมต่ อ้ งใสร่ หสั แตอ่ ย่างใด คา่ ห้อง และคา่ อาหาร ค่าห้อง และค่าอาหาร ผู้มีสิทธิสามารถเบิกได้ตามอัตราที่กาหนด ตามหนังสือ กรมบญั ชีกลาง ด่วนที่สุด ท่ี กค ๐๔๑๗/ว ๑๗๗ ลงวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ (หมวด ๑) ซง่ึ แบง่ เป็น ๓ กรณี คือ คู่มอื สวัสดิการรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าท่ี ๓๖
(๑) เตียงสามัญ เบิกได้รวมค่าอาหารในราคาไม่เกิน ๓๐๐ บาทต่อวัน ไม่จากัด จานวนวนั (๒) ห้องพิเศษ เบิกไดร้ วมค่าอาหารในราคาไม่เกิน ๖๐๐ บาทต่อวนั ไม่เกนิ ๑๓ วัน หากเกิน ๑๓ วัน ต้องมีคณะกรรมการแพทย์ท่ีผู้อานวยการสถานพยาบาลแต่งตั้ง วินิจฉัยและออก หนังสือรับรอง โดยผู้มีสิทธิจะสามารถเบิกค่าห้องพิเศษได้ในอัตราไม่เกิน ๖๐๐ บาทต่อวัน ตามจานวน วนั ที่คณะกรรมการแพทยร์ บั รอง (๓) เตียงสังเกตอาการ (เฉพาะกรณีผู้ป่วยนอก) ผู้ป่วยสามารถเบิกได้ในอัตรา ๑๐๐ บาท ตอ่ คร้งั ตอ่ วัน 3. ตรวจสอบการเบกิ จ่าย ตรวจสอบความครบถว้ น ซึง่ ประกอบด้วย (1) ใบเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (แบบ 7131) ตรวจสอบว่า มีลายมือช่ือผู้ขอเบิก ผู้อนุมัติการเบิกจ่าย เจ้าหน้าท่ีตรวจสอบหลักฐานขอเบิก และกรอกข้อมูล รายละเอยี ดครบถว้ น มีการประทับตรา “จ่ายเงินแลว้ ” พรอ้ มลงลายมอื ชื่อผู้จา่ ยเงินและวนั ท่ีทีจ่ ่ายเงนิ (2) ใบเสรจ็ รับเงินของสถานพยาบาล ตรวจสอบข้อมูล ดังนี้ - มชี อ่ื ทอี่ ยู่ ของสถานพยาบาล - ช่อื นามสกลุ ในใบเสร็จรบั เงนิ ตรงกบั ทร่ี ะบใุ นใบเบกิ เงินสวัสดกิ ารฯ - วัน เดอื น ปี ในใบเสร็จรบั เงนิ ไม่เกนิ 1 ปี นบั ถงึ วนั ท่ีใชส้ ทิ ธเิ บิก - จานวนเงิน ตรวจสอบว่ามรี ายการใดเบกิ ไดห้ รือไม่ - ลายมอื ชือ่ ผู้รบั เงิน (3) มีหนังสือรับรองจากแพทย์ผู้รักษาของสถานพยาบาลว่า ผู้ป่วยจาเป็นต้องใช้ ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งในการสั่งใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ต้องมีการระบุเหตุผลการใช้ ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติเพ่ือใช้ประกอบการเบิกจ่าย ต้ังแต่ข้อ A - E หากเป็น F ไม่สามารถเบิกได้ (หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สดุ ท่ี กค 0422.2/ว 111 เมือ่ วนั ท่ี 24 กันยายน 2555) (4) มีหนังสือรับรองของแพทย์ผู้ตรวจรักษาหรือหัวหน้าสถานพยาบาลตามแบบที่ กระทรวงการคลังกาหนด ในกรณีท่ีมีการซื้อหรือรับการตรวจทางห้องทดลอง หรือเอ็กซเรย์จากสถานท่ีอ่ืน เน่ืองจากสถานพยาบาลของทางราชการท่ผี มู้ ิสทิ ธเิ ขา้ รบั การรกั ษาไมม่ จี าหนา่ ยหรือไมม่ ีบริการ (5) กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในจากสถานพยาบาลเอกชน ต้องมีหนังสือรับรองจากแพทย์ของสถานพยาบาลว่าผู้ป่วยมีความจาเป็นรีบด่วน หากมิได้รับการ รกั ษาพยาบาลในทันทที นั ใดอาจเปน็ อนั ตรายต่อชวี ติ ตรวจสอบความถูกต้องของการเบกิ จา่ ยเงนิ ว่าเป็นไปตามหลักเกณฑด์ ังนหี้ รือไม่ (1) สถานพยาบาลของทางราชการ (ทั้งผปู้ ่วยนอกและผู้ป่วยใน) (1.1) ค่ารกั ษาพยาบาลเบกิ ไดเ้ ต็มจานวนที่ไดจ้ ่ายไปจริง (1.2) ประเภทและอัตราค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบาบัดรักษาโรค รวมทัง้ ค่าซ่อมแซม คา่ หอ้ งและคา่ อาหารได้เบิกถกู ต้องตามท่กี รมบัญชีกลางกาหนด (1.3) กรณเี บิกคา่ ตรวจสขุ ภาพประจาปี - ให้เบกิ ได้เฉพาะผมู้ สี ทิ ธิ ไม่รวมบุคคลในครอบครวั - ต้องเป็นสถานพยาบาลของทางราชการ - เบิกไดใ้ นอตั ราท่กี ระทรวงการคลงั กาหนด ปงี บประมาณละ 1 ครัง้ ค่มู ือสวสั ดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๓๗
(2) สถานพยาบาลของเอกชน กรณีผ้ปู ่วยภายใน (2.1) ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบาบัดรักษาโรค รวมทั้งค่าซ่อมแซม ค่าหอ้ งและคา่ อาหารเบกิ ไดเ้ ช่นเดยี วกับผ้เู ขา้ รับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของทางราชการ (2.2) ค่ารักษาพยาบาลประเภทอ่นื ๆ เบิกได้ครึ่งหน่ึงของจานวนที่ได้จ่ายไปจริง ไม่เกินอัตราท่ีกระทรวงการคลงั กาหนด กรณีเข้ารับการรักษาเป็นคร้ังคราว เน่ืองจากสถานพยาบาลของทางราชการ มีความจาเป็นต้องส่งตัวให้แก่สถานพยาบาลของเอกชน (มีหลักฐานแนบ) การเบิกจ่ายเป็นไปตาม หลักเกณฑแ์ ละอตั ราท่ีกระทรวงการคลงั กาหนด ขอ้ สังเกต : - ใบเสร็จรับเงินท่ีเกิดจากการรักษาผู้ป่วยในโดยเกณฑ์กลุ่มวินิจฉันโรคร่วม (DRGs) ไม่สามารถนามาเบกิ จากสว่ นราชการตน้ สงั กดั ได้ เนื่องจากเป็นระบบเหมาจา่ ยเฉพาะกลมุ่ โรค - ในกรณีผู้มีสิทธิถูกสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนและอยู่ในระหว่างการ พิจารณาจา่ ยเงนิ เบ้ียหวดั บานาญ ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดข้ึนระหวา่ งนั้น ผู้มีสิทธิสามารถนาคา่ รกั ษาพยาบาล มาเบิกได้ภายใน ๑ ปี นับจากวันทรี่ ับทราบคดีหรือคดถี ึงทส่ี ุดหรือรับทราบการส่งั จ่ายเงินเบ้ียหวัดบานาญ กรณี “ไมถ่ กู ตอ้ ง” ให้สง่ เอกสารกลับคืนใหแ้ ก่ผ้มู ีสทิ ธเิ พอ่ื ดาเนนิ การแก้ไขต่อไป (๓) เสนอผูม้ ีอานาจลงนามเพอ่ื ขออนุมัตติ ามลาดบั สายการบังคบั บัญชา ผมู้ ีอานาจลงนาม : - กรณีส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลาง : ให้เป็นอานาจของหัวหน้าส่วนราชการ ระดบั กรมหรอื ผู้ท่ีหัวหนา้ ส่วนราชการระดบั กรมมอบหมาย - กรณีส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลางท่ีมีสานักงานอยู่ในภูมิภาคหรือ แยกตา่ งหากจากกระทรวง ทบวง กรม : ให้หัวหน้าสานักงานเปน็ ผอู้ นุมัตสิ าหรบั หนว่ ยงานนั้นกไ็ ด้ - กรณีส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค : ให้หัวหน้าส่วนราชการผู้เบิกเป็น ผู้อนุมัติ เว้นแต่การเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลของหัวหน้าส่วนราชการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่ ผ้วู ่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นผอู้ นุมัตคิ า่ รกั ษาพยาบาลของหัวหนา้ ส่วนราชการ (๔) เม่อื ผมู้ อี านาจอนุมัตลิ งนามเรยี บร้อยแล้ว ให้ส่งเอกสารแก่ฝ่ายการเงิน (5) ฝา่ ยการเงินเบิกเงินให้กบั ผขู้ อรบั เงินสวัสดกิ ารฯ ทาได้ ๒ กรณี คอื - กรณีเบิกจากเงนิ ทดรองราชการ - กรณีเบิกจากเงินงบประมาณ รายจ่ายงบกลาง (ขบ.๐๒) (6) การจ่ายเงนิ ใหก้ ับผ้ขู อรบั เงนิ สวสั ดกิ ารฯ เมื่อส่วนราชการได้อนุมัติจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิแล้ว ให้เจ้าหน้าที่การเงินประทับตรา ข้อความว่า “จ่ายเงินแล้ว” โดยลงลายมือช่ือรับรองการจ่ายและระบุช่ือผู้จ่ายเงินด้วยตัวบรรจง พร้อมวันเดือนปีท่ีจ่ายกากับไว้ในหลักฐานการรับเงิน (แบบ ๗๑๓๑) (หลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงิน สวัสดิการฯ พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๒๕) และให้ประทับตราข้อความว่า “จ่ายเงนิ แล้ว” ในใบเสร็จรับเงินของ สถานพยาบาล (ตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนาเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๓๗) คู่มอื สวสั ดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๓๘
แผนภาพที่ 9 : ข้นั ตอนและระยะเวลาการเบิกจา่ ยเงนิ สวัสดกิ ารคา่ รกั ษาพยาบาล ผูร้ บั สวสั ดกิ าร กรอกแบบฟอรม์ ใบเบิกคา่ สวสั ดิการ ขน้ั ตอนที่ 1 เก่ยี วกบั การรกั ษาพยาบาล สง่ ฝา่ ยการเงนิ ฝ่ายการเงิน ดาเนนิ การ ข้ันตอนที่ 2 ตรวจสอบความถูกต้องของ เอกสารไม่ถกู ต้อง เอกสาร เอกสารไมถ่ กู ตอ้ ง เสนอผมู้ อี านาจลงนาม ขน้ั ตอนที่ 3 อนมุ ตั ิตามลาดบั ขั้นตอนที่ 4 ข้นั ตอนท่ี 5 ผู้มีอานาจลงนามอนมุ ัตแิ ลว้ สง่ คนื ขั้นตอนท่ี 6 ฝา่ ยการเงิน ฝ่ายการเงิน เบิกเงนิ ทดรอง/วาง ขบ เพอ่ื เบิกเงินให้กับผู้ขอรับเงนิ สวสั ดิการ ฯ จ่ายเงนิ ใหก้ บั ผู้ขอรับเงนิ สวสั ดกิ าร คมู่ อื สวสั ดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๓๙
คาอธิบายขนั้ ตอนการเบิกเงินสวัสดิการเก่ียวกับคา่ รักษาพยาบาล ขั้นตอนที่ 1 ผู้ขอรับเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลยื่นใบเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการ รักษาพยาบาล (แบบ 7131) ที่มีลายมือช่ือผู้ขอรับเงินสวัสดิการและลงวันที่ย่ืนขอรับเงินฯ พร้อมกับ แนบใบเสร็จรบั เงินฯ ใหก้ บั ฝ่ายการเงิน ขั้นตอนที่ 2 ฝ่ายการเงินทาการตรวจสอบความถูกต้องของใบเบิกฯ และใบเสร็จรับเงิน ฯ หากถูกต้องแล้วเสนอผู้มีอานาจอนุมัติ ลงนามพร้อมช่ือ – นามสกุลตัวบรรจงและตาแหน่งตามลาดับ หากไม่ถกู ตอ้ งส่งคนื กลบั ผู้ขอรบั สวัสดิการเพื่อทาการแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งต่อไป ข้นั ตอนท่ี 3 ผู้มีอานาจลงนาม* ลงนามอนุมัติในใบเบิ กฯ ตามตามห ลักเกณ ฑ์ กระทรวงการคลังวา่ ด้วยวธิ กี ารเบกิ จา่ ยเงินสวสั ดิการเกย่ี วกบั การรกั ษาพยาบาล พ.ศ. 2553 ขนั้ ตอนที่ 4 ผมู้ ีอานาจอนุมัติลงนามแล้วส่งคืนให้ฝ่ายการเงินเพ่ือทาการเบิกจ่ายเงินให้กับ ผขู้ อรบั เงนิ ฯ ขน้ั ตอนที่ 5 ฝา่ ยการเงิน ทาการเบิกเงินทดรองกบั เจา้ หน้าท่ีผู้ถือเงินทดรอง หรือถา้ เงนิ ทดรอง มไี ม่พอ ใหเ้ บกิ จ่ายจากเงนิ งบประมาณ ขัน้ ตอนท่ี 6 จ่ายเงินให้กับผู้ขอรับเงินสวัสดิการและลงลายมือชื่อพร้อมชื่อ – นามสกุลตัวบรรจง ทั้งผ้รู บั และผจู้ า่ ยเงนิ ๆ ลงวนั ท/ี่ เดือน/ปี ทีจ่ ่ายเงินใหค้ รบถ้วน คูม่ ือสวัสดิการรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๔๐
บทท่ี ๔ บทสรุป สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เป็นสิทธิประโยชน์สาหรับข้าราชการ ลูกจ้างประจา และ ผู้รับบานาญ ซึ่งสามารถเบิกเงินสวัสดิการได้ตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 และมีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการสาหรับตนเอง บิดา มารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย คู่สมรสและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีบุตร เบิกได้ไม่เกิน 3 คน เรียงลาดับการเกิดก่อนหลัง ไม่ว่าจะอยู่ในอานาจปกครองของตนหรือไม่ และยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือ บรรลุนิติภาวะแลว้ แต่เป็นผู้ไรค้ วามสามารถหรอื เสมือนไร้ความสามารถท่ีอยู่ในความอุปการะของตนเอง (ไม่รวมบุตรบุญธรรมและบุตรท่ยี กให้เป็นบุตรบญุ ธรรมของผูอ้ ่ืน) หากมีบุตรเกิน 3 คน ต่อมาบุตรคนใด คนหนึ่งตายก่อนที่จะบรรลุนิติภาวะ ให้สามารถนาบุตรมาเบิกค่ารักษาเพ่ิมเท่าจานวนบุตรที่ตายได้ โดยนับบุตรที่อยู่ในลาดับถัดไปก่อน และให้เบิกจนบุตรคนที่มาแทนจะบรรลุนิติภาวะ กรณียังไม่มีบุตร ถึง 3 คน แต่ต่อมามีบุตรแฝดทาให้มีบุตรเกิน 3 คน สามารถเบิกได้ต้ังแต่บุตรคนแรกจนถึงบุตร คนสดุ ท้าย แต่ตอ้ งเป็นบุตรที่ถูกตอ้ งตามกฎหมายของตนเอง ค่ายา : - ยาทจ่ี ะเบกิ จา่ ยได้ จะต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาโดยมีคุณสมบตั ิในการรักษาโรค ไม่ใช่เสรมิ ความงาม - เป็นยาในบญั ชยี าหลักแหง่ ชาติ - หากจาเป็นต้องใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ เบิกได้แต่ต้องมีหนังสือรับรองของแพทย์ ผู้ทาการรักษา และระบุเหตุผลตามข้อบ่งช้ี (A – E) ท้ังนี้ หากระบุเหตุผลข้อบ่งช้ี (F) ซึง่ ผ้มู ีสิทธิประสงค์ ใชย้ าเอง จะนามาเบกิ ไม่ได้ นอกจากหลักเกณฑ์หลักของการเบิกจ่ายยาแล้ว ยังมีหลักเกณฑ์ย่อยเฉพาะ เพ่ือควบคุมการ เบิกจา่ ยยาบางกลมุ่ คือ ยามะเรง็ 6 ชนิด ยากลุ่มโรครูมาติก สะเก็ดเงนิ ยาสมุนไพร และยาแผนไทย วิตามิน และแรธ่ าตุ ยาควบคมุ 1 กล่มุ อปุ กรณ์และอวยั วะเทียม : อุปกรณ์ในการบาบัดรักษาโรค และอวัยวะเทียมที่จะเบิกจากทางราชการได้จะต้องมีรายการ กาหนดอยูใ่ นหนงั สอื เวียนของกรมบัญชีกลาง ซงึ่ ปจั จุบนั มี ๔ ฉบบั ได้แก่ - ด่วนที่สดุ ท่ี กค ๐๔๑๗/ว ๗๗ ลงวันท่ี ๑๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๘ - ดว่ นท่ีสุด ท่ี กค ๐๔๑๗/ว ๑๖๕ ลงวนั ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ - ดว่ นทีส่ ดุ ท่ี กค ๐๔๑๗/ว ๓๗๐ ลงวันท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ - ด่วนทส่ี ุด ท่ี กค ๐๔๒๒.๒/ว ๒๓๖ ลงวันท่ี ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ซึง่ รวมรายการทสี่ ามารถเบิกได้ทัง้ สิ้น ๓๘๑ รายการ “อปุ กรณใ์ นการบาบัดรกั ษาโรค และอวยั วะเทยี มจะตอ้ งมีรหสั และเบกิ ไดต้ ามอัตราที่กาหนด” คมู่ อื สวัสดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๔๑
ระบบ Diagnosis Related Groups : DRGs หรือระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยในโดย เกณฑ์กลุ่มวนิ ิจฉัยโรครว่ ม : หลกั เกณฑ์การเบิกจา่ ยในระบบ DRG มี ๒ ระบบ ๑. ระบบ DRGs สถานพยาบาลของทางราชการ ๒. ระบบ DRGs สถานพยาบาลเอกชน ขน้ั ตอนการใชส้ ทิ ธิ ผ้ปู ่วยตอ้ งดาเนินการ ดงั น้ี (1) ตรวจสอบสถานพยาบาล โรคที่จะรักษา และประมาณการส่วนร่วมจ่ายจาก website กรมบญั ชกี ลาง (http://www.cgd.go.th) (2) ติดต่อสถานพยาบาลทป่ี ระสงค์จะเขา้ ร่วมโครงการ โดยสถานพยาบาลจะสรปุ แจ้งรายการ สว่ นเกินท่ีต้องชาระ (ส่วนที่เบิกกับกรมบัญชีกลางไม่ได้) หากผู้ปว่ ยตกลงเขา้ รับการรักษา จะตอ้ งลงนาม ในหนงั สอื เพือ่ ยืนยนั ทงั้ นี้ หากไม่ประสงคเ์ ขา้ รับการรักษา ผ้ปู ว่ ยสามารถปฏิเสธได้ (3) เม่ือออกจากสถานพยาบาล สถานพยาบาลจะเรียกเก็บส่วนเกินจากผู้ป่วย ส่วนท่ีเบิกได้ สถานพยาบาลจะวางเบิกจากกรมบญั ชกี ลางโดยตรง ระบบการใหบ้ ริการเจ็บปว่ ยฉุกเฉินสาหรบั ประชาชนทกุ สิทธิ ต า ม น โย บ า ย ข อ ง รั ฐ ท่ี ต้ อ ง ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ บ ป ร ะ กั น สุ ข ภ า พ แ ล ะ บู ร ณ า ก า ร ร ะ บ บ ก า ร รักษาพยาบาลของประชาชนทุกสิทธิให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันของกองทุนสุขภาพ ๓ กองทุน คือ กรมบัญชีกลาง สานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ส.ป.ส.ช.) และสานักงานประกันสังคม (สปส.) ภายใต้แนวคดิ “เจ็บป่วยฉุกเฉิน รกั ษาทกุ ท่ี ท่ัวถึงทกุ คน” คมู่ อื สวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าที่ ๔๒
บทท่ี 5 คำถำม – คำตอบ ทพี่ บบอ่ ย คำถำม : บตุ รภายใน 3 ลาดบั เสียชวี ติ สามารถเล่อื นบุตรลาดบั ตอ่ ไปขน้ึ มาแทนได้ไหม คำตอบ : การแทนท่ีจานวนบุตร ได้กาหนดไว้ในมาตรา 6 – 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาเงิน สวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2553 ซึ่งกรณีท่ีบุตรภายใน 3 ลาดับ ณ วันท่ีเสียชีวิต ได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่สามารถเล่ือนบุตรลาดับถัดไปมาแทนที่ได้ เว้นแต่วันท่ีเสียชีวิตยังไม่บรรลุ นติ ิภาวะ จึงจะสามารถเลอื่ นบุตรลาดับถดั ไปมาแทนทไี่ ด้ คำถำม : บุตรอายุ 17 ปี ต้ังครรภ์โดยไม่จดทะเบียนสมรส ค่าคลอดบุตรสามารถอาศัยสิทธิ ของบิดา ซง่ึ เป็นขา้ ราชการไดห้ รือไม่ คำตอบ : ได้ เพราะบุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ (อายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ และไม่ได้จดทะเบียน สมรส) ซึง่ ค่าคลอดบตุ รเป็นค่ารกั ษาพยาบาล คำถำม : กรณีไม่มีข้อมูลในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐเป็นผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทาง ราชการ สามารถนาใบเสร็จมาเบิกได้หรือไม่ คำตอบ : ไม่ได้ กรณีเป็นผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางราชการ หากไม่มีฐานข้อมูลบุคลากร ภาครัฐ จะต้องทาหนังสือส่งตัวให้กับทางสถานพยาบาลก่อนที่สถานพยาบาลจาหนา่ ยผู้ป่วย ไม่สามารถ นาใบเสร็จรับเงนิ มาเบิกได้ คำถำม : กรณีบิดาของข้าราชการได้หย่ากับมารดาแล้ว อยากทราบว่าบิดาของข้าราชการ ยงั สามารถใชส้ ทิ ธเิ บกิ ค่ารกั ษาพยาบาลได้หรอื ไม่ คำตอบ : เบิกได้ เพราะบุตรยังเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาหลังการหย่า จนกว่าบิดา จะเสยี ชีวติ หรอื ผมู้ ีสิทธิหมดสทิ ธิ คำถำม : การเบิกจ่ายค่าอาหาร (ห้องพิเศษ) ของผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางราชการ หากผู้ปว่ ยรายดงั กลา่ ว จาเป็นตอ้ งทานอาหารเสรมิ หรอื อาหารพเิ ศษตา่ ง ๆ จะเบิกค่าใช้จา่ ยอย่างไร คำตอบ : การเบิกค่าอาหารในสถานพยาบาลของทางราชการสาหรับห้องพิเศษ หากผู้ป่วยต้อง ทานอาหารเสริมหรืออาหารพิเศษ ค่าอาหารดังกล่าวให้รวมเบิกกับค่าห้องและค่าอาหาร อัตราวันละ 600 บาท สาหรบั ห้องพเิ ศษ (300 บาท สาหรบั เตียงสามัญ) หากมสี ว่ นเกิน ผปู้ ่วยตอ้ งรับภาระเอง คำถำม : การเบิกคา่ ครอบฟนั และคา่ ฟนั ปลอม จะเบิกในระบบจ่ายตรงไดห้ รอื ไม่ คำตอบ : การเบิกค่าครอบฟัน และค่าฟันปลอม ให้ใช้ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลแบบเดิม (ผู้ป่วยนอก) ไม่สามารถเบิกในระบบจ่ายตรงได้ เนื่องจากระบบจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบัน ยงั ไม่ครอบคลุมถงึ เร่ืองการครอบฟันและการทาฟันปลอม สาหรับเจ้าหน้าท่ีการเงินต้องจัดทาทะเบียนคุม รายการดังกลา่ วใหค้ รบถว้ นด้วย คำถำม : ลูกจ้างประจาเสียชีวิต แต่มีค่ารักษาพยาบาลท่ีเกิดข้ึนก่อนเสียชีวิต สามารถนามา เบกิ จ่ายได้หรอื ไม่ คำตอบ : ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นก่อนเสียชีวิต สามารถนามาเบิกจ่ายกับทางราชการได้ โดยให้ทายาทหรอื ผูจ้ ดั การมรดกเปน็ ผูย้ ่นื การเบกิ จา่ ย เนอ่ื งจากคา่ รักษาดงั กลา่ วเป็นมรดก ค่มู ือสวัสดกิ ารรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าท่ี ๔๓
คำถำม : คา่ ถงั ออกซเิ จนเบกิ จ่ายไดห้ รอื ไม่ คำตอบ : ถังออกซิเจนไม่สามารถเบิกจ่ายได้ เพราะไม่ใช่อุปกรณ์ที่กระทรวงการคลังกาหนด เบิกไดเ้ ฉพาะคา่ ออกซเิ จนเท่านัน้ คำถำม : ข้าราชการมีสิทธิประกันสังคม แล้วเลือกใช้สิทธิประกันสังคม บุคคลในครอบครัวจะ ยงั สามารถใช้สิทธิสวัสดิการของทางราชการได้หรือไม่ คำตอบ : บุคคลในครอบครัวยังคงสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการได้ ตามปกติ ทงั้ ระบบใบเสร็จรับเงินและระบบเบิกจา่ ยตรง สิทธไิ มไ่ ดห้ ายไปหรอื ถูกระงบั คำถำม : ค่าบริการ “หัตถบาบัด” และ “หัตถการ” เป็นลักษณะเดียวกันหรือไม่ และต้องมี รหัสประกอบการเบกิ จา่ ยหรอื ไม่ คำตอบ : ไม่ใช่ลักษณะเดยี วกนั สามารถแยกได้ ดงั นี้ “หัตถบาบดั ” เปน็ การนวด ไมต่ ้องมรี หัส มีใบรบั รองแพทย์ เบกิ ได้ตามอตั ราท่ีกาหนด “หัตถการ” เป็นการผ่าตัดในหอ้ งผ่าตัด ไม่มีรหสั เบิกได้เท่าท่สี ถานพยาบาลเรียกเก็บ คำถำม : บดิ า มารดา ของผู้มีสทิ ธิเบกิ ค่าตรวจสุขภาพประจาปีไดห้ รือไม่ คำตอบ : ไม่สามารถเบิกได้ ค่าตรวจสุขภาพประจาปีเบิกได้เฉพาะผู้มีสิทธิเท่าน้ัน ปัจจุบัน คา่ ตรวจสุขภาพประจาปี เบิกได้เฉพาะผู้มีสิทธิ สาหรับบุคคลในครอบครัว หลักเกณฑ์ยังไม่ได้กาหนดให้ เบิกจ่าย คำถำม : ผ้มู ีสิทธริ ับบตุ รบุญธรรม สามารถเบกิ จ่ายคา่ รักษาพยาบาลไดห้ รอื ไม่ คำตอบ : เบิกไมไ่ ด้ เพราะไม่ไดเ้ ป็นบตุ รทชี่ อบดว้ ยกฎหมาย คำถำม : กรณีท่ีผู้มีสิทธิเสียชีวิตและมีค่ารักษาพยาบาลค้างเบิก ผยู้ ื่นคาขอเป็นใคร และต้องใช้ เอกสารประกอบการเบิกจา่ ยอย่างไร เงนิ ที่จ่ายสมควรจา่ ยใหใ้ คร และถือเปน็ มรดกหรือไม่ คำตอบ : ค่ารักษาพยาบาลท่ีค้างเบิกถือเป็นมรดก ดังนั้น ผู้มีสิทธิรับเงินค่ารักษาพยาบาล ค้างเบิก ได้แก่ ทายาทแห่งกองมรดกตามประมวลกฎหมาแพ่งและพาณิชย์ และเป็นผู้ลงลายมือชื่อใน เอกสารขอเบกิ เงินค่ารกั ษาพยาบาล คำถำม : ผู้รับบานาญมีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และมีสิทธิประกันสังคมด้วย จะสามารถใช้สิทธจิ ากหน่วยงานใดเวลาเข้ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการ คำตอบ : ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเก่ียวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ กาหนดเรื่องสิทธิซ้าซ้อน สาหรับกรณีท่ีผู้มีสิทธิมีสิทธิหลักมากกว่า ๑ สิทธิ สามารถเลือก ได้ว่าจะใช้สิทธิใด ท้ังน้ี เมื่อเลือกสิทธิอ่ืนแล้ว ไม่สามารถใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการใน ปีนั้น ๆ ได้อีก และหากมีส่วนเกินสิทธิประกันสังคม หรือส่วนที่ประกันสังคมไม่ครอบคลุม ก็ไม่สามารถ นาส่วนเกินดังกล่าวมาเบิกจากทางราชการได้อีก (รายละเอียดตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ท่ี กค ๐๔๒๒.๒/ว ๓๗๗ ลงวนั ที่ ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๓) คู่มอื สวัสดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๔๔
คำถำม : ข้าราชการท่ีเกษียณอายุและอยู่ระหว่างรอคาส่ังเป็นผู้รับเบ้ียหวัดบานาญ จะเบกิ เงนิ สวสั ดิการคา่ รักษาพยาบาลอยา่ งไร คำตอบ : การเบิกเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลในระหว่างรอรับบานาญ ข้าราชการท่ี เกษียณอายุและอยู่ระหว่างรอคาสั่งเป็นผู้รับเบ้ียหวัดบานาญ หากข้าราชการหรือบุคคลในครอบครัว เจ็บป่วย และเข้ารักษาในสถานพยาบาลท้ังกรณีผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ให้ข้าราชการหรือบุคคลใน ครอบครัวจ่ายเงนิ คา่ รกั ษาดังกล่าวไปกอ่ น และเกบ็ ใบเสร็จรับเงินไว้ เมื่อมคี าส่ังเป็นผู้รับเบีย้ หวัดบานาญ (ได้รับใบแนบหนังสืออนุมัติสั่งจ่ายเบี้ยหวัดบานาญ) สามารถนาใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไปย่ืนเบิกเพื่อ ขอรับเงินได้ ณ ส่วนราชการผู้เบิกบานาญ อน่ึง ข้าราชการท่ีย่ืนขอรับบาเหน็จ หรือลูกจ้างประจา ทย่ี น่ื ขอรบั บาเหน็จหรอื บาเหนจ็ รายเดือน ไมม่ ีสิทธเิ บกิ เงนิ สวสั ดิการค่ารักษาพยาบาล คำถำม : ข้าราชการโอนยา้ ยหนว่ ยงาน นายทะเบยี นบคุ ลากรภาครฐั มหี น้าท่ีอยา่ งไร คำตอบ : ๑) นายทะเบียนหน่วยงานเดิม มีหน้าท่ีตรวจสอบฐานข้อมูลของข้าราชการที่จะ โอนย้ายรวมทั้งบุคคลในครอบครัวว่า ข้อมูลสมบูรณ์หรือไม่ จากนั้นจึงเลือกหัวข้อโอนย้ายที่อยู่ใน หน้าประวัติเจ้าของสิทธิ (บรรทัดสุดท้ายของจอ) เม่ือดาเนินการแล้ว หน้าจอจะแสดงข้อมูลสังกัด จังหวัด หน่วยเบิกของส่วนราชการเดิม (ทางด้านซ้าย) และมีช่องให้กรอกข้อมูลของสังกัด จังหวัด หน่วยเบิกของส่วนราชการใหม่ที่จะโอนย้ายไป (ทางด้านขวา) เม่ือดาเนินการกรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จึงกดปุ่มบันทึกที่อยู่มุมบนขวามือ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการโอนย้ายข้อมูล ท้ังนี้ นายทะเบียน หน่วยงานเดิมจะต้องประสานนายทะเบยี นหนว่ ยงานใหมใ่ หร้ บั ทราบด้วยวา่ มีการโอนขอ้ มลู ให้แลว้ ๒) นายทะเบียนหน่วยงานใหม่ มีหน้าท่ีรับข้อมูลข้าราชการท่ีโอนย้ายมา โดยเข้า หัวข้อ “สอบถาม” จากนั้นให้เลือกหัวข้อ “ตรวจสอบการรับโอน-โอนย้ายหน่วยงาน” แล้วดาเนินการ เลือกหัวข้อ “ข้อมูลที่รับโอนจากหน่วยงานอ่ืน” แล้วกดปุ่มค้นหาท่ีอยู่มุมบนขวามือ เม่ือดาเนินการ ค้นหาแล้ว ระบบจะแสดงข้อมูลบุคคลที่ถูกโอนย้ายมา หลังจากน้ันนายทะเบียนมีหน้าที่ตอบรับว่า ยินยอมรับโอนข้อมูลดังกล่าวหรือไม่ หากยินยอม ให้กดปุ่มรับข้อมูล จึงจะถือว่า การรับโอนข้อมูลนั้น สมบูรณ์ คำถำม : ข้าราชการในสังกัดมีการโอนย้ายหน่วยงานไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นายทะเบยี นบคุ ลากรภาครัฐจะตอ้ งดาเนนิ การอยา่ งไร คำตอบ : นายทะเบียนบุคลากรภาครัฐ จะต้องดาเนินการปรับปรุงฐานข้อมูลทะเบียนประวัติ ของข้าราชการรายดังกล่าว โดยเลือกเหตุท่ีออก เป็น “ลาออก” พร้อมทั้งใส่วันที่/เดือน/ปี ที่มีคาสั่งให้มี การโอนย้ายไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งถือว่า เป็นผู้ไม่มีสิทธิในการเบิกเงินสวัสดิการ รกั ษาพยาบาลขา้ ราชการตามพระราชกฤษฎกี าเงินสวสั ดิการเกีย่ วกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ หากนายทะเบียนฯ มิได้ดาเนินการใส่เหตุท่ีออกของข้าราชการที่มีการโอนย้ายไป องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ภายหลังกรมบัญชีกลางตรวจสอบ พบว่า มีบุคลากรในสังกัดของ ส่วนราชการที่มีการโอนย้ายแล้ว แต่นายทะเบียนมิได้ดาเนินการปรับฐานข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน กรมบัญชีกลางจะดาเนินการแจ้งตน้ สงั กัดเพื่อดาเนินการตามกฎหมาย และส่วนราชการผู้เบิกระดับกรม มหี น้าที่ตดิ ตามนาเงนิ ที่ไดเ้ บิกจ่ายไปส่งคืนคลัง คมู่ อื สวัสดิการรกั ษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ที่ ๔๕
คำถำม : หากนายทะเบียนบุคลากรภาครัฐของหน่วยงานปรับปรุง แก้ไขข้อมูล และเปล่ียน สถานะเป็น “สมบูรณ์” แล้ว แตเ่ ม่ือไปตรวจสอบข้อมูลที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลแจ้งว่า ไม่มีสิทธิ เป็น เพราะเหตุใด คำตอบ : เนื่องจากกรมบัญชีกลาง มีการตัดรอบการส่งข้อมูลบุคลากรภาครัฐให้สถานพยาบาล ตรวจสอบสิทธิ ๒ รอบต่อเดือน คือ ทุก ๆ ๑๕ วัน ประมาณวันที่ ๔ และ ๑๘ ของเดือน ดังนั้น นายทะเบียนฯ ต้นสังกัด จะต้องปรับปรุงข้อมูลรอบแรกก่อนวันที่ ๑๕ แล้วสิทธิจะข้ึนในวันท่ี ๑๘ และ รอบท่ี ๒ จะต้องปรับปรุงกอ่ นวนั ที่ ๓๐ สิทธิจะขึ้นในวนั ท่ี ๔ ของเดือนถดั ไป คำถำม : ลกู จ้างประจาหญงิ เกษยี ณอายุราชการในปนี ้ี หากสามีเป็นผรู้ ับบานาญอยากทราบว่า ภายหลงั จากเกษียณอายรุ าชการแล้ว จะสามารถอาศัยสิทธสิ ามใี นการเบกิ จ่ายตรงคา่ รักษาพยาบาลไดห้ รือไม่ คำตอบ : กรณีดังกล่าวลูกจ้างรายนี้ หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว สามารถอาศัยสิทธิเบิก ค่ารักษาพยาบาลจ่ายตรงได้ในฐานะของคู่สมรสของสามี โดยสามีจะต้องติดต่อนายทะเบียนบุคลากร ภาครัฐของส่วนราชการต้นสังกัดให้จัดทาฐานข้อมูลจ่ายตรงให้กับภรรยา ซึ่งจะต้องเปลี่ยนอาชีพเดิมใน ฐานข้อมูลจากลูกจ้างประจา เป็น “ไม่ทางาน” หรืออาชีพอื่น ๆ จากน้ันจะสามารถใช้สิทธิ จา่ ยตรงได้ตามรอบในการประมวลผล คอื ทุกวนั ท่ี ๑๘ และ ๔ ของเดอื น คำถำม : ข้าราชการสงั กดั องค์การบรหิ ารส่วนท้องถิ่น สามารถใช้สิทธเิ บกิ จา่ ยตรงไดห้ รอื ไม่ คำตอบ : ข้าราชการสังกัดองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ไม่สามารถใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงได้ เน่ืองจากโครงการเบิกจ่ายตรงสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เป็นโครงการท่ีอานวยความสะดวก เกี่ยวกับการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลเฉพาะผู้มีสิทธิ และบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกา เงินสวัสดิการเกย่ี วกับการรกั ษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ ซ่ึงผู้มีสทิ ธิตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไม่รวมถึง ขา้ ราชการในสงั กดั องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่น คำถำม : ข้าราชการตารวจถูกพักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนเน่ืองจากถูกตั้ง กรรมการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรงและไม่ได้รับเงินเดือน หากตนเองหรือบุคคลในครอบครัว เจ็บป่วยตอ้ งเขา้ รับการรกั ษาพยาบาล จะสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้หรือไม่ คำตอบ : กรณีดังกล่าว หากผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วย ระหว่างที่ผู้มีสิทธิถูกสั่ง ให้พกั ราชการหรือให้ออกจากราชการไวก้ ่อน และอยรู่ ะหวา่ งตั้งกรรมการสอบสวนความผิดวินัยรา้ ยแรง และไม่ได้รับเงินเดือน ก็ให้ทดรองจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลไปก่อนทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน และ จะต้องรอจนกว่าคาส่ังคดีจะถึงท่ีสุดว่าไม่ผดิ และได้รับเงินเดือนย้อนหลัง จึงจะสามารถนาใบเสร็จรับเงิน ที่ได้ทดรองจ่ายไปขอเบิกเงินได้ ท้ังนี้ใบเสร็จฯ มีระยะเวลา ๑ ปี นับถัดจากวันที่มีคาสั่งคดีถึงที่สุด (หลักเกณฑ์กระทรวงการคลงั ว่าด้วยวธิ กี ารเบิกจา่ ยเงินสวัสดิการเกี่ยวกบั การรกั ษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๑๕) คำถำม : คา่ ยาแผนไทย สามารถนามาเบิกกับทางราชการไดห้ รอื ไม่ คำตอบ : ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ท่ี กค ๐๔๒๒.๒/ว ๓๓ ลงวันท่ี ๑๑ เมษายน ๒๕๕๔ กาหนดให้ค่ายาแผนไทยสามารถเบิกกับทางราชการได้ โดยให้เบิกได้เฉพาะค่ายาที่ใช้ในการบาบัด รกั ษาโรคโดยตรงเท่าน้ัน ส่วนยาแผนไทยที่ใช้เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ และ/หรือเพื่อการนวดบรรเทา อาการ เช่น น้ามนั ไพล เจลพริก เป็นต้น สาหรบั ผลติ ภัณฑ์สมุนไพรประเภทเครื่องสาอาง หรอื มีลักษณะ เป็นอาหาร ห้ามเบิกจ่ายจากทางราชการ โดยการเบิกจ่ายต้องเป็นไปตามรายการยาและเง่ือนไขการใช้ ยาทกี่ าหนดตามหนังสือเวียนดังกลา่ วข้างตน้ คมู่ ือสวสั ดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หนา้ ท่ี ๔๖
คำถำม : ผู้ป่วยในท่ีจาเป็นต้องนอนรักษาตัวในสถานพยาบาลของทางราชการเกิน ๑๓ วัน ยังคงต้องใช้หนังสือรับรองจากคณะกรรมการแพทย์ที่ผู้อานวยการโรงพยาบาลแต่งตั้ง ประกอบการ เบิกจ่ายหรือไม่ คำตอบ : การเบิกค่าห้องพิเศษ จากสถานพยาบาลของทางราชการ ในกรณีที่เกิน ๑๓ วัน สถานพยาบาล (โดยคณะกรรมการแพทย์) ไม่ต้องออกหนังสือรับรองความจาเป็นต้องรักษาเกินกว่า ๑๓ วัน (ตามหนังสือกรมบญั ชกี ลาง ด่วนทส่ี ดุ ท่ี กค ๐๔๒๒.๒/ว ๑๑๒ ลงวันที่ ๒๔ มนี าคม ๒๕๕๔) คำถำม : กรณีข้าราชการสังกัดสานักงานเกษตรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับคาส่ังให้ไป ช่วยปฏิบัติราชการที่กองอานวยการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ (กอ.รมน.) ต้องยื่นใบเบิกเงิน คา่ รักษาพยาบาล ณ ส่วนราชการใด คำตอบ : ตามหลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ หมวดท่ี ๓ ขอ้ ๑๕ (๑) กาหนดว่า กรณีผู้มีสิทธไิ ด้รับคาส่ังให้ไปช่วยปฏิบัติ ราชการหรือไปปฏิบัติราชการซ่ึงต่างส่วนราชการผู้เบิก ให้ย่ืนใบเบิกเงินค่ารักษาพยาบาล ณ ส่วนราชการที่ไปชว่ ยปฏิบัติราชการหรือไปปฏิบัติราชการ สาหรบั กรณีนข้ี ้าราชการรายดงั กล่าวสามารถ ยน่ื ใบเบกิ เงินคา่ รกั ษาพยาบาล ณ กองอานวยการรกั ษาความมัน่ คงภายในประเทศ (กอ.รมน.) คำถำม : ลูกจ้างประจาในสังกัดป่วยหนัก ต้องการเบิกเงินค่ารักษาพยาบาล แต่ไม่สามารถ ลงลายมือชือ่ ในใบเบิกเงนิ คา่ รกั ษาพยาบาลได้ จะต้องดาเนนิ การอย่างไร คำตอบ : ตามหลักเกณฑ์กระทรวงการคลังว่าด้วยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเก่ียวกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ หมวดท่ี ๓ ข้อ ๑๕ (๒) กาหนดว่า ในกรณีที่ผู้มีสิทธิมีสติสัมปชัญญะ แต่ไม่สามารถลงลายมือช่ือได้ ให้พิมพ์ลายน้ิวมือแทนการลงลายมือชื่อ พร้อมท้ังให้มีพยาน ๒ คน ลงลายมอื ชื่อรบั รอง และให้บุคคลในครอบครัวเป็นผยู้ ่นื ใบเบิกเงนิ ค่ารักษาพยาบาล คำถำม : กรณีท่ีมีบุตรเป็นข้าราชการ หากมีบิดาหรือมารดาเป็นลกู จ้างประจาเกษียณออกจาก หนว่ ยงานราชการแลว้ สามารถอาศัยสทิ ธบิ ุตรทีเ่ ป็นข้าราชการเข้ารว่ มโครงการจ่ายตรงไดห้ รือไม่ คำตอบ : กรณีลูกจ้างประจาที่เกษียณจะได้รับบาเหน็จเพียงอย่างเดียว จึงทาให้หมดสิทธิ สวสั ดิการของตนเอง รวมทัง้ บคุ คลในครอบครัวดว้ ย ส่วนข้าราชการที่เกษียณสามารถเลือกรับบาเหน็จหรือบานาญได้ หากเลือกรับ บาเหน็จ สิทธิสวัสดิการของตนเองและบุคคลในครอบครัวก็จะหมดสิทธิไป ถ้าเลือกรับบานาญ สิทธิ สวัสดิการของตนเองและบุคคลในครอบครัวจะยังมีสิทธิต่อไป กรณีน้ีบิดาและมารดาสามารถจะอาศัย สิทธิกับบุตรท่ีเป็นข้าราชการได้ แต่บุตรท่ีเป็นข้าราชการจะต้องบันทึกข้อมูลของบิดาและมารดาใน ฐานข้อมลู บคุ ลากรภาครฐั ให้ \"สมบรู ณ\"์ จงึ จะสามารถเข้ารว่ มโครงการจ่ายตรงได้ คำถำม : ใบเสร็จรับเงินทีจ่ ะนามาเบกิ ได้ มอี ายุเทา่ ไร คำตอบ : โดยหลัก ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ. 2538 ข้อ 9 (1) กรณีเข้ารับการรักษาสถานพยาบาลของทางราชการ ประเภท ผปู้ ่วยนอก หรือเขา้ รับการรักษาในสถานพยาบาลเอกชน หรือกรณีใชส้ ิทธิส่วนทย่ี ังขาดอยู่ ให้ผู้มีสิทธยิ ื่น ใบเบิกสวัสดิการรักษาพยาบาลเก่ียวกับการรักษาพยาบาล พร้อมหลักฐานการรับเงิน (ใบเสร็จรับเงิน) ของสถานพยาบาลต่อผู้บังคับบัญชา ภายในหน่ึงปีนับถัดจากวันท่ีปรากฏในหลักฐานการรับเงิน ดังนั้น ใบเสรจ็ รบั เงนิ จึงมอี ายุหนง่ึ ปี นับแตว่ นั ทีอ่ อกใบเสร็จรับเงนิ คมู่ ือสวัสดกิ ารรักษาพยาบาลขา้ ราชการ หน้าท่ี ๔๗
Search