แนวทางการบารุงรักษาเข่ือนระบายนา/ ทดนา และประตูระบายนา ฉบบั พกพา (Barrage/Diversion Dam and Head Regulator Maintenance Guidelines : Pocket Manual) เข่ือนนเรศวร จ.พษิ ณุโลก จดั ทาโดย ฝา่ ยบารงุ รกั ษาหัวงาน สว่ นปรับปรงุ บารุงรกั ษา สานักบรหิ ารจัดการนาและอทุ กวทิ ยา พฤษภาคม 2561 ๑
คานา แนวทางการบารุงรักษาเข่ือนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้า เป็นเอกสารทางวิชาการเร่ืองหน่ึงที่ได้จัดทาข้ึน เพื่อเป็นแนวทางสาหรับ ผู้ปฏิบัติงานในการดูแลบารุงรักษาอาคารชลประทานประเภทเขื่อนระบายน้า/ ทดน้า และประตูระบายน้าของกรมชลประทาน เพ่ือท่ีจะได้นาไปปฏิบัติและ ประยุกต์ใช้ในงานให้ถูกต้องตามหลักวิชาการให้เป็นในแนวทางเดียวกัน โดย ผจู้ ดั ทาได้ศึกษาและเรียบเรียงจากหนงั สอื คู่มือ เอกสารวิชาการหลายเล่ม และ เพิ่มเติมบางส่วนที่สาคัญให้ครอบคลุมกับลักษณะอาคารหัวงานประเภทเขื่อน ระบายน้า/ทดนา้ และประตูระบายนา้ ทีก่ รมชลประทานมีใช้งานอยใู่ นปัจจบุ ัน ฝุายบารุงรักษาหวั งาน สว่ นปรับปรงุ บารงุ รักษา สานกั บริหารจัดการน้าและอุทกวทิ ยา พฤษภาคม 2561 ๒
กติ ติกรรมประกาศ ขอขอบคณุ หน่วยงานท่ีใหก้ ารสนบั สนนุ เอกสารทางด้านวิชาการ ได้แก่ สานกั เครอื่ งจกั รกล สานกั ออกแบบวศิ วกรรมและสถาปตั ยกรรม โครงการส่งน้า และบารุงรักษาต่างๆ รวมถึงผู้ท่ีเก่ียวข้องท่ีได้ช่วยดาเนินการ และตรวจความ ถูกต้อง ตลอดจนให้ข้อคิดเห็นแนะนาอันเป็นประโยชน์ ซ่ึงทาให้แนวทางการ บารุงรักษาเข่ือนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้านี้มีความสมบูรณ์มาก ย่ิงขึ้น หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับโครงการชลประทานและโครงการส่งน้าและ บารุงรักษานาไปใช้งานต่อไป ๓
สารบญั หน้า คานา 2 กติ ติกรรมประกาศ 3 บทที่ 1 บทนา (Introduction) 8 หลกั การเหตผุ ล 8 วตั ถุประสงค์ 9 บทที่ 2 เขื่อนระบายนา/ทดนา และประตรู ะบายนา (Barrage/Diversion Dam and Head Regulator) 10 คาจากดั ความ 10 ปจั จัยท่ีมีผลในการบารุงรักษาประตรู ะบายน้า 15 การวิเคราะหค์ วามมนั่ คงของเข่ือนระบายนา้ /ทดนา้ และประตู ระบายน้า 19 บทที่ 3 การตรวจสภาพเข่ือนระบายนา/ทดนา และประตูระบายนา (Barrage/Diversion Dam and Head Regulator Inspection) 20 การปรบั ปรุง-บารงุ รกั ษา 20 การบารงุ รักษา 22 บทท่ี 4 บทสรปุ (Conclusion) 41 สรุป 41 เอกสารอ้างองิ 42 ภาพเขอ่ื นระบายนา/ทดนา และประตรู ะบายนาของกรมชลประทาน 44 ๔
สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 12 12 1 เขื่อนเจา้ พระยา จ.ชยั นาท 12 2 เขอ่ื นแม่กลอง จ.กาญจนบรุ ี 12 3 เขอื่ นราศไี ศล จ.ศรสี ะเกษ 13 4 เขอื่ นเพชร จ.เพชรบุรี 13 5 เขื่อนบางนรา จ.นราธวิ าส 13 6 ประตรู ะบายนา้ ในลาน้าปงิ จ.เชียงใหม่ 13 7 ประตรู ะบายน้าชอ่ งแค จ.ลพบุรี 14 8 ประตรู ะบายน้าคลองรัตภูมิ จ.สงขลา 14 9 แปลนทวั่ ไปประตรู ะบายน้าบ้านแก่นเจรญิ จ.เชยี งราย 16 10 รูปตดั ประตรู ะบายน้าบา้ นแกน่ เจริญ จ.เชยี งราย 17 11 กาแพงคอนกรตี สึกกรอ่ น 17 12 เหล็กเกิดสนิม ทาใหส้ ูญเสยี ฟังกช์ ่ันการทางานบรเิ วณร่องบาน 17 13 ตัวบานและลอ้ เกดิ สนิมจนไมส่ ามารถใชง้ านได้ 18 14 การกัดเซาะของดินถมขา้ งกาแพง 18 15 กัดเซาะลาดดา้ นทา้ ยน้า 25 16 กดั เซาะบริเวณส่วนสลายพลงั งาน 25 17 สภาพของบานและลอ้ ที่หมดสภาพ 28 18 สภาพเหล็กถูกกดั กร่อน 28 19 การหลอ่ ลืน่ ชดุ เฟืองขบั เครื่องกว้าน 30 20 ชุดเฟืองขับเครือ่ งกว้าน 30 21 ชุดเฟืองทดมอเตอร์ 32 22 การหลอ่ ล่นื ชดุ เฟอื งทดมอเตอร์ 32 23 ชดุ ม้วนลวด 37 24 การบารุงรักษาชุดมว้ นลวด 28 25 ลักษณะของลาดทท่ี าจากหนิ กอ่ 39 26 ลักษณะของลาดที่ทาจากหนิ เรียง 27 ลกั ษณะของลาดทีท่ างานหินเรียงในลวดกลอ่ งตาข่าย ๕
สารบัญภาพ (ต่อ) หน้า 40 ภาพที่ 28 ลกั ษณะของลาดท่ีทาจากหนิ ท้ิง ๖
สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า 1 การบารุงรักษาบานระบายตรง (Fixed Wheel Gate) (ชนิดใช้ 26 ลวดเกลียวยกบาน) 27 36 2 การบารุงรักษาบานระบายโค้ง (Radial Gate) (ชนิดใช้ลวด เกลียวยกบาน) 3 การบารุงรักษาเครื่องกว้าน ชนิดใช้ลวดเกลียว (Gate Hoist) และ Gear Motor ๗
บทท่ี 1 บทนา (Introduction) หลกั การเหตุผล กรมชลประทานได้ดาเนินการพัฒนาโครงการชลประทานไว้จานวนมาก มีลักษณะหัวงานประเภทต่าง ๆ เช่น เขื่อน อ่างเก็บน้า ฝาย ประตูระบายน้า สถานีสูบน้า เป็นต้น ท้ังที่เป็นอาคารหัวงานและในระบบส่งน้า เป็นระยะเวลา กว่ารอ้ ยปี การบารงุ รกั ษาหวั งานประเภทต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม ใช้งาน จงึ มีความสาคัญอย่างย่ิง หากปล่อยท้ิงไว้ไม่มีการดูแลบารุงรักษาอาคาร ชลประทานนั้นๆ ไม่สามารถทางานได้ตามวัตถุประสงค์ อีกท้ังยังเป็นการลด คา่ ใช้จ่ายในการซอ่ มแซม ในทน่ี ี้หวั งานชลประทานประเภทเข่ือนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้าถือเป็นหัวงานประเภทหนึ่งท่ีต้องดูแลบารุงรักษาอย่าง สม่าเสมอ เนื่องจากโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นเหล็ก หากขาดการบารุงรักษาหรือ บารุงรกั ษาไม่ถกู วิธี จะทาให้ประสิทธภิ าพการทางานของอาคารดังกล่าวลดลง เมื่อเกิดน้าหลากหรืออุทกภัยในเขตโครงการจะทาให้การควบคุมปริมาณน้าไม่ ทันเวลาและเป็นไปตามแผนทีว่ างไว้ อาจส่งผลให้เกดิ นา้ ท่วมในบริเวณกวา้ งและ เกดิ ความเสยี หายแกช่ ีวติ และทรัพย์สนิ เป็นจานวนมาก และในฤดูแล้งอาจทาให้ คณุ ภาพน้าในลานา้ ธรรมชาตไิ ม่ไดค้ ณุ ภาพตามมาตรฐานสง่ ผลเสียหายต่อระบบ นิเวศน์ เข่ือนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้าบางแห่งได้ก่อสร้างและใช้ งานมาเป็นเวลานานเกือบร้อยปีหรือมากกว่าห้าสิบปี แบบก่อสร้าง คู่มือการใช้ งานและบารงุ รกั ษาเปน็ ภาษาต่างประเทศ เช่น องั กฤษ จีน หรือคู่มือเกิดการสูญหาย การปฏิบัติงานจะใช้จากประสบการณ์และความชานาญงานของเจ้าหน้าท่ีเอง เม่ือเจ้าหน้าท่ีย้ายหรือเกษียณอายุราชการย่อมมีผลกระทบต่อการดูแล บารุงรกั ษาเขือ่ นระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้า ซึ่งจะเกิดผลกระทบต่อ การบริหารจดั การนา้ ของโครงการในอนาคตตอ่ ไปด้วย ดังนั้น จึงจาเป็นท่ีจะต้องศึกษาและจัดทาแนวทางการบารุงรักษา เขื่อนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้าท่ีถูกต้องตามหลักวิชาการไว้เป็น มาตรฐาน เพ่ือเผยแพร่เป็นแนวทางปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีที่เก่ียวข้องสาหรับ โครงการต่างๆ และสามารถนาไปประยุกต์ใชอ้ ย่างเหมาะสมตอ่ ไป ๘
วตั ถุประสงค์ 1. เพ่ือเป็นเอกสารทางวิชาการสาหรับเผยแพร่ความรู้เก่ียวกับแนว ทางการดูแลบารุงรกั ษาเขอื่ นระบายน้า/ทดนา้ และประตรู ะบายน้า 2. เพ่ือจัดทามาตรฐานแนวทางในการดูแลบารุงรักษาเขื่อนระบายน้า/ ทดนา้ และประตรู ะบายนา้ ๙
บทท่ี 2 เข่ือนระบายนา/ทดนา และประตูระบายนา (Barrage/Diversion Dam and Head Regulator) คาจากดั ความ 1) เขือ่ นระบายน้า/ทดนา้ (barrage, diversion dam) เข่อื นระบายน้า เปน็ อาคารทดน้าหรือเขื่อนทดน้าที่ต้นน้าของหัวงาน โครงการชลประทานประเภททดน้า ซ่งึ สร้างขวางลาน้าสาหรบั ทดน้าท่ีไหลมาให้ มีระดับสูงจนสามารถส่งเข้าคลองส่งน้าได้ตามปริมาณที่ต้องการในฤดูกาล เพาะปลูกเช่นเดียวกับเข่ือนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้าแต่เขื่อน ระบายน้าจะระบายนา้ ผา่ นเขือ่ นไปได้ตามปริมาณท่กี าหนดโดยไม่ยอมให้น้าไหล ลน้ ข้ามเหมอื นเขอื่ นระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายนา้ และเมอ่ื เวลานา้ หลาก มาเต็มทใี่ นฤดูฝนเขื่อนระบายน้านี้ยังสามารถระบายน้าใหผ้ า่ นไปไดท้ ันที เขื่อนระบายน้าสร้างขน้ึ โดยการแบง่ ความกว้างของแม่น้าออกเป็น ช่อง ๆ ดว้ ยตอม่อ โดยทั่วไปกวา้ งช่องละ ๖.๐๐ เมตร ถงึ ๑๒.๕๐ เมตร แต่จะมี ก่ีช่องนั้นแล้วแต่ปริมาณน้าที่ไหลผ่านเข่ือนมีมากหรือน้อย ช่องระบายน้า ระหว่างตอม่อทุกช่องมีบานประตู (gate) ปิดไว้ซ่ึงจะยกข้ึนเพ่ือระบายผ่านไป หรอื หย่อนลงเพอื่ ทดนา้ ไดท้ ุกระดับ ในเวลานา้ ใหญไ่ หลหลากมาบานประตูเขื่อน ทกุ บานจะถูกยกสงู พน้ ระดบั นา้ ทั้งสองข้างปล่อยให้น้าไหลผ่านไปได้เต็มที่โดย ระดับน้าในแม่น้าด้านเหนือน้าของเขื่อนไม่สูงกว่าระดับน้าปกติตามธรรมชาติ มากเกินไป บานประตูของเข่ือนระบายน้าซึ่งมักเรียกกันว่าบานระบายน้านั้นมี รูปร่างต่าง ๆ กนั เชน่ เป็นบานเดี่ยวต้ังตรงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (slide gate) หรือ เป็นบานเด่ียวรูปโค้ง (radial gate) ซ่ึงสร้างด้วยวัสดุหลายชนิด เช่น ไม้ เหล็ก หรอื ไม้และเหลก็ รว่ มกนั 2) ประตรู ะบายนา้ (Regulator Gate) ประตูระบายน้า (ปตร.) คือ ส่ิงก่อสร้างในบริเวณทางน้าที่ใช้ ควบคุมการไหลของน้าในแม่น้า คลอง ทะเลสาบ เขื่อนระบายน้า/ทดน้า และ ประตรู ะบายน้า อ่างเกบ็ นา้ ประตูระบายน้าจะใช้สาหรับในการปรับปริมาณน้า ๑๐
ท่ีต้องการให้ไหลผ่าน ปรับความเร็วของน้า หรือใช้ในการกักเก็บน้าได้ ใน ขณะเดยี วกนั ประตรู ะบายน้ายงั ช่วยปอู งกันในกรณที ีม่ พี ายุหรือเกดิ นา้ ทว่ ม หากไม่มปี ระตรู ะบายนา้ จะก่อให้เกิดความเสียหายหลายประการ ดงั นี้ 1) น้าจะไหลเข้าคลองสายใหญม่ ากเกินกว่าปรมิ าณนา้ ทต่ี อ้ งการใช้ทา การเพาะปลูก จนตอ้ งระบายน้าส่วนเกินทิง้ ไป หรือปล่อยให้รวั่ ซึมลึกลงไปใต้ดิน ซึ่งเป็นการสญู เสยี น้าโดยไม่ไดป้ ระโยชน์ 2) หากปริมาณน้าไหลเขา้ คลองสายใหญ่มากเกนิ ความจคุ ลองที่จะรับ ได้ทาให้คลองพัง น้าจะไหลออกทางช่องขาดทาให้เกิดน้าท่วมบริเวณช่องขาด เสยี หาย พื้นท่ีเพาะปลูกทางปลายคลองจะไม่ได้รับน้าหรือได้รับน้าน้อยไม่พอใช้ การส่งน้าไม่สะดวกเพราะระดับน้าในคลองสายใหญ่จะต่ากว่าระดับน้าใช้การ เต็มที่ (Full supply level) ที่ได้กาหนดไว้ รวมถึงต้องเสียค่าซ่อมแซมคลอง ดว้ ย 3) คลองสายใหญ่บางตอนจะตื้นเขนิ เพราะดนิ บรเิ วณตวั คลองและคัน คลองทถ่ี กู น้ากัดพังทลายลงมาเนอ่ื งจากนา้ ไหลเขา้ คลองเกินความจุของคลองจะ ตกทับถมอยู่ในคลองน้ัน ทาให้คลองสายใหญ่ส่งน้าไม่ได้ตามปริมาณที่ต้องการ และตอ้ งเสียค่าขดุ ลอกคลองดว้ ย 4) ปริมาณน้าทีไ่ หลเขา้ คลองสายใหญ่มากเกินความต้องการจะทาให้ เกิดนา้ ทว่ มบริเวณพ้ืนทล่ี ุ่มในเขตโครงการชลประทาน 5) ประตูระบายปากคลองสายใหญ่บางแห่งสามารถปูองกันตะกอน ทรายเข้าคลองได้ โดยมีระดับธรณีประตู (Sill level) สูงกว่าระดับพ้ืนประตู (Floor level) หรือมีบานประตูเป็นชนิดให้น้าไหลข้ามสันบาน (Overpour type gates) ซึ่งเหมาะกับท้องถ่ินท่ีมีตะกอนทรายในแม่น้ามาก ถ้าไม่มีประตู ระบายน้าปากคลองสายใหญ่ ตะกอนทรายจะหลดุ เขา้ คลองทาให้คลองตื้นอย่าง รวดเรว็ สง่ น้าไมไ่ ดต้ ามท่ตี อ้ งการ และเสียค่าขุดลอกคลอง ๑๑
ภาพที่ 1 เข่ือนเจา้ พระยา จ.ชยั นาท ภาพที่ 2 เขอ่ื นแมก่ ลอง จ.กาญจนบรุ ี ภาพที่ 3 เขื่อนราศไี ศล จ.ศรสี ะเกษ ภาพที่ 4 เข่อื นเพชร จ.เพชรบรุ ี ๑๒
ภาพที่ 5 เข่ือนบางนรา จ.นราธวิ าส ภาพที่ 6 ประตรู ะบายน้าในลานา้ ปงิ จ.เชยี งใหม่ ภาพท่ี 7 ประตูระบายนา้ ช่องแค จ.ลพบุรี ภาพท่ี 8 ประตูระบายน้าคลองรตั ภูมิ จ.สงขลา ๑๓
ภาพท่ี 9 แปลนทั่วไปประตรู ะบายนา้ บ้านแก่นเจรญิ จ.เชียงราย ภาพท่ี 10 รปู ตดั ประตรู ะบายน้าบ้านแก่นเจรญิ จ.เชียงราย ๑๔
ปจั จยั ทม่ี ีผลในการบารุงรกั ษาประตูระบายนา (1) ส่วนท่เี ป็นคอนกรตี น้าสามารถจัดได้ว่าเป็นสภาวะแวดล้อมท่ีรุนแรงที่สามารถทาให้ คอนกรีตเกิดการแตกตัวได้ การขยายตัวของผลึกเกลือในสารละลายเกลือ บริเวณผิวหน้าของคอนกรีตก็มีผลกระทบต่อคอนกรีตคล้ายๆ กับกระบวนการ แตกตัวของคอนกรีตไม่ได้เกิดขึ้นได้เฉพาะจากปัจจัยภายนอกเท่านั้น ปฏิกิริยา ระหว่างอัลคาไลกับมวลรวมซึ่งเป็นวัสดุที่มีอยู่ในเนื้อคอนกรีตก็เป็นสาเหตุให้ คอนกรีตเกิดการแตกตัวออกได้ โดยเป็นผลมาจากการขยายตัวของมวลรวมท่ี เกดิ ปฏกิ ริ ยิ า การเกิดโพรง (Cavitation) ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะ (Erosion) เป็นสาเหตุทาให้คอนกรีตถูกกัดเซาะเน่ืองจากการสลายตัวของฟองอากาศ (Vapor Bubbles) ซ่ึงเกิดจากการเปลี่ยนแปลงแรงดันของน้าท่ีไหลด้วย ความเร็วสูง ฟองอากาศเกิดขึ้นในน้าและไหลลงมาตามน้า เมื่อฟองอากาศไหล เข้าสูบ่ ริเวณทมี่ ีแรงดันสูงจะสลายตัวพร้อมกับการเกิดแรงกระแทกอย่างรุนแรง การเกิดข้ึนของฟองอากาศแล้วมีการสลายตัวนี้เรียกว่า การเกิดโพรง (Cavitation) พลังงานซ่ึงปลดปล่อยออกมาจากปรากฏการณ์นี้เป็นสาเหตุให้ คอนกรีตถูกกัดเซาะ โพรงท่ีเกิดขึ้นจะอยู่บริเวณโค้งน้าหรือส่วนท่ียื่นออกมา ขวางทางน้า หรือบริเวณที่เกิดน้าวน ปรากฏการณ์การเกิดโพรง (Cavitation) จะทาให้เน้ือคอนกรีตกร่อนไป เหลือเพียงแต่มวลรวมซึ่งมีความแข็งแรงกว่า อยา่ งไรกต็ ามถา้ น้ามีความเร็วสูงมาก แรงที่เกิดจากปรากฏการณ์ การเกิดโพรง (Cavitation) อาจมมี ากพอทจี่ ะทาใหเ้ นอื้ คอนกรีตปริมาณมากล่อนหลุดออกไป ได้ การหลกี เล่ียงการกัดเซาะจากปรากฏการณ์การเกดิ โพรง (Cavitation) ทาได้ โดยการทาผิวหน้าคอนกรีตให้เรียบ และหลีกเลี่ยงส่วนที่ย่ืนโผล่มากีดขวางทาง น้า สาหรับการขัดสี (Abrasion) ซ่ึงเป็นการสึกกร่อนของพื้นผิวของ คอนกรีตเนือ่ งจากการ ถไู ถและการเสียดสี โดยปกติพ้ืนผิวจะหลุดออกไปเท่า ๆ กันตลอดท้ังในส่วนของเน้ือคอนกรีตและมวลรวม ปัจจัยที่มีผลในการต้านการ ขัดสีประกอบด้วย ๑๕
ภาพท่ี 11 กาแพงคอนกรตี สึกกรอ่ น 1. กาลังรับแรงอัดของคอนกรตี (Compressive Strength) 2. คุณสมบตั ิของมวลรวม (Aggregate Properties) 3. วธิ ีการปาดแตง่ ผิวหนา้ คอนกรตี (Finishing Method) 4. การใชว้ สั ดุปดิ ทับผิวหน้าคอนกรตี (Use of Method) 5. การบม่ คอนกรตี (Curing) (2) สว่ นทเี่ ป็นเหล็ก ปฏิกิริยาการเกิดสนิมเหล็ก เป็นปฏิกิริยาที่พบเห็นได้ง่าย ๆ กับ ส่ิงก่อสรา้ งต่างๆ ทม่ี เี หล็กเป็นองค์ประกอบ แต่เป็นปฏิกิริยาท่ีก๊าซไนโตรเจนได ออกไซด์ (NO2) ในอากาศ เมื่อถูกแสงอาทิตย์จะสลายตัวเป็นก๊าซไนตริกออก ไซด์ (NO) และอะตอมอิสระของออกซิเจนเกิดข้ึนอย่างช้า ๆ อาจจะกินเวลา ยาวนาน เกิดขึ้นเม่ือมีเหล็กสัมผัสกับน้าและความชื้น โดยจะค่อย ๆ สึกกร่อน ซึ่งสามารถรวมตัวกับก๊าซ O2 เป็น O3 กลายเป็นเหล็กออกไซด์หรือท่ีเรารู้จัก กันว่า สนิมเหล็ก (Fe2O3) สังเกตได้จากสีและลักษณะอ่ืน ๆ ท่ีแตกต่างจาก เหล็ก (Fe) สนิม (rust) เป็นโลหะส่วนที่มีการเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม เนอ่ื งจากไดร้ ับปฏิกิรยิ าเคมีที่มอี ากาศ น้า หรอื ความร้อนเปน็ ตวั การสาคัญทาให้ โลหะมีคุณสมบัติแตกต่างไปจากเดิม เช่น สีที่เปลี่ยนไป มีความแข็งแรงลดลง และทาใหเ้ กดิ การผกุ ร่อน ตวั อยา่ งทเี่ ราพบเห็นอยูบ่ ่อย ๆ ได้แก่ เหล็ก จะมีสนิม อยู่ 2 ชนิด คอื สนิมสีน้าตาลอมแดง หรือ สนิมสีแดง และสนิมสีดา นอกจากนี้ โลหะแต่ละชนิดจะมสี ีสนิมที่แตกต่างกนั ดว้ ย ๑๖
ภาพท่ี 12 เหลก็ เกดิ สนมิ ทาใหส้ ญู เสยี ฟังก์ช่นั การทางานบริเวณรอ่ งบาน ภาพท่ี 13 ตวั บานและลอ้ เกดิ สนมิ จนไมส่ ามารถใชง้ านได้ (3) ส่วนปูองกันการกดั เซาะ ส่วนปูองกันการกัดเซาะ ประกอบด้วย หินท้ิง (Riprap) หินก่อ (Stone masonry) หินเรียงยาแนว(Stone pitching) ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจาก การกดั กรอ่ นและการผพุ ังของหนิ ด้านทา้ ยอาคารประตรู ะบายน้า การเติบโตของ วัชพืชบนหินท้ิง หินก่อ หรือหินเรียงยาแนวทาให้เกิดการทรุดตัวหรือรั่วซึม นอกจากนั้นยังมีปัญหาเร่ืองการไหลของน้าที่มีความเร็วสูงผ่านประตูระบายน้า ทาให้เกิดการกัดเซาะทางดา้ นทา้ ยน้าดังนั้นจึงควรมมี าตรการเพ่อื ลดการกดั เซาะ ให้เกิดขน้ึ น้อยท่สี ุด ภาพที่ 14 การกัดเซาะของดนิ ถมขา้ งกาแพง ๑๗
ภาพที่ 15 กดั เซาะลาดด้านทา้ ยนา้ ภาพที่ 16 กัดเซาะบรเิ วณส่วนสลายพลังงาน (4) ส่วนทเ่ี ปน็ ระบบต้นกาลงั ส่วนท่เี ป็นระบบต้นกาลงั จะประกอบด้วยเคร่ืองกว้านบานระบาย ทาหน้าท่ีเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการยกบานระบายให้เคล่ือนท่ีข้ึนเพื่อปล่อยน้าให้ ไหลผา่ นตัวอาคารไปในปริมาณท่ีต้องการ ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น มอเตอร์ไม่หมุน มอเตอร์ร้อนเกินกาหนด มอเตอร์มีเสียงดัง ชุดเฟืองทดของกาลังมอเตอร์ร้อน ลวดสลงิ หยอ่ น เป็นตน้ (5) ระบบควบคุมระยะไกล (Supervisory Control and Data Acquisition : SCADA) ระบบควบคุมระยะไกล ทาหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลและการ ควบคุมอาคารหรืออุปกรณ์สาหรับควบคุมน้า เช่น ประตูน้า วาล์วน้า เพ่ือ ควบคุมการไหลของน้าจากระยะไกล ปัญหาที่เกดิ ขึ้น เช่น แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ชารุด เป็นต้น ๑๘
(6) ระบบโทรมาตร (Telemetering System) ระบบโทรมาตร เป็นระบบตรวจวัดข้อมูลจากสถานีสนาม เช่น ข้อมูลระดับน้า ปริมาณน้า ค่าความเค็ม โดยไม่มีอุปกรณ์ควบคุมการเปิดปิด หรือควบคุมการไหลของน้าจากระยะไหลเหมือนระบบ SCADA มีปัญหาท่ี เกิดขนึ้ เช่น แบตเตอรีเ่ สอ่ื มสภาพ เคร่ืองวัดชารุด ไม่มีอะไหลเ่ ปลยี่ น เปน็ ตน้ การวเิ คราะหค์ วามมน่ั คงของเขอ่ื นระบายนา/ทดนา และประตรู ะบายนา เขื่อนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้าจะต้องมีความม่ันคง ปลอดภยั จากกรณตี ่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ความมั่นคงต่อการเกิด Piping (Weight Creep Ratio) เพราะ การเกิด Piping ทาให้ดินฐานรากเกิดเป็นโพรง ส่งผลให้เกิดการทรุดตัวขณะท่ี นา้ ซึมผ่านชอ่ งวา่ งระหว่างเมด็ ดิน 2. ความม่นั คงต่อการเลื่อนตัว (Sliding) ประตูระบายน้าต้องมีความ ม่ันคงต่อการเลื่อนตัว เนื่องจากแรงดันของน้าที่กระทาต่อตัวประตูระบายน้า ด้านเหนอื นา้ ซ่ึงพยายามผลกั ให้เล่ือนตัว 3. ความมนั่ คงตอ่ การพลกิ คว่า (Overturning) ประตูระบายน้าต้องมี การออกแบบให้มีน้าหนักของตัวประตูระบายน้ามากพอที่จะต้านทานแรงดัน ของน้าท่ีกระทาต่อตัวประตูระบายน้าทางด้านเหนือน้าและแรงดันของน้าท่ี กระทาต่อตวั ประตรู ะบายน้าดา้ นล่างได้ (Uplift Pressure) 4. ความมั่นคงตอ่ การรับน้าหนกั กดของดนิ ใต้ฐาน (Bearing) โดยฐาน รากต้องสามารถรับแรงกดของได้ ซึ่ง Bearing Capacity ของฐานรากต้อง มากกว่า Maximum Pressure Intensity ที่เกิดจากแรงกระทาต่อตัวประตู ระบายน้า ๑๙
บทท่ี 3 การบารุงรกั ษาเขื่อนระบายนา/ทดนา และประตูระบายนา (Barrage/Diversion Dam and Head Regulator Maintenance) การปรบั ปรุง-บารงุ รกั ษา การปรบั ปรงุ -บารุงรกั ษา แบง่ ออกเป็น 2 แนวทาง คอื 1) การปรับปรุง (Rehabilitation) - เป็นการเปล่ียนแปลงส่วนใด ส่วนหนึ่งของอาคารชลประทานท่ีออกแบบ/ก่อสร้างไว้เดิม หรือมีการ ออกแบบ/ก่อสร้างข้ึนใหม่ เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพของระบบชลประทาน ทั้งการ ส่งน้าและการระบายน้าเป็นสาคัญผู้ตรวจสภาพต้องชี้จุดบกพร่องต่างๆ ที่พบ เห็น และเสนอแนะวิธีการแก้ไขข้อบกพร่องเหล่าน้ัน กาหนดแนวทางปฏิบัติ สาหรับการปฏิบัติที่ถูกต้อง (Operational Restrictions) หรือเสนอแนะให้ ดาเนินการปรับปรุงสิ่งต่างๆ ท่ีจาเป็นและเร่งด่วน เพื่อรักษาสภาพของเขื่อน ระบายน้า/ทดนา้ และประตูระบายนา้ ใหส้ ามารถใชง้ านไดด้ ีอยู่ สาเหตุจาก - อายุการใช้งานนาน สภาพอาคารชารุดเสียหายใน ปริมาณมาก หรอื มคี วามถข่ี องการเกิดการชารุดเสยี หายสงู ไม่สามารถซ่อมแซม คนื สภาพเดมิ ได้ ประสทิ ธภิ าพโครงการ/การส่งน้าต่า ไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ หรือมีความยุ่งยากในการใช้งาน สภาพภูมิประเทศเปลี่ยนแปลง สภาพการใช้ น้าเพ่ิมมากขนึ้ เป็นต้น จะตอ้ งมีผลการศกึ ษา/สารวจและออกแบบอาคาร/โครงการใหม่ การปรับปรงุ แบ่งได้ 2 ลักษณะ 1.1) การปรับปรุงตามรูปแบบเดิม หมายถึง การก่อสร้างเพื่อ ปรับปรุงให้ทั้งหมด หรือเกือบท้ังหมดตามรูปแบบเดิมในกรณีท่ีอาคารน้ันได้ ก่อสร้างและใช้งานมานานจนหมดอายุ หรือเส่ือมโทรมไปมากตามอายุไขตาม วัสดุท่ีใช้ก่อสร้าง การปรับปรุงลักษณะน้ีมักไม่ค่อยพบ สาหรับงานเข่ือนดินกัก เก็บนา้ และอาคารประกอบ ๒๐
1.2) การปรับปรุงด้วยก่อสร้างเพ่ิมเติมและแก้ไข หมายถึง การ ปรับปรุงด้วยการก่อสร้างเพ่ิมเติม หรือแก้ไขส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทาการ กอ่ สร้างใหม่ทง้ั หมดโดยเปลี่ยนรปู แบบไปจากเดิม 2) การบารุงรักษา (Maintenance) หมายถึง การซ่อมแซมหรือ ตกแต่งส่วนของอาคารหรือส่ิงก่อสร้างท่ีชารุดเสียหายให้มีสภาพดีดังเดิม และ รวมไปถึงการปรับปรุงในลักษณะต่างๆ เป็นต้นว่า การปรับปรุงตามรูป แบบเดมิ เพื่อเตมิ และแกไ้ ขอาคารเพียงบางส่วนหรือท้ังหมด เพ่ือให้อาคารหรือ ส่ิงก่อสร้างน้ันใช้งานไดผ้ ลตามจุดมุ่งหมายและมีความปลอดภยั งานบารุงรักษา เป็นงานท่ีมีความสาคัญเท่าเทียมกับงาน วางโครงการ สารวจออกแบบและก่อสร้าง ผู้ปฏิบัติงานด้านนี้จะต้องหมั่น ตรวจสอบสภาพอาคารและสิ่งก่อสร้างอย่างสม่าเสมอ มีความเข้าใจถึงการ วิเคราะห์ปัญหาเพื่อค้นหาสาเหตุของการชารุดเสียหาย และจะต้องมี ความสามารถในการวางแผนและกาหนดวิธีการซ่อมแซมหรือปรับปรุงให้ เหมาะสมกบั หลักวชิ าการไดเ้ ปน็ อย่างดอี ีกดว้ ย การบารุงรักษาอาคารชลประทานส่วนใหญ่จะเป็นการซ่อมแซม และการปรบั ปรงุ ในลักษณะต่างๆดังกล่าวไว้ เพื่อให้อาคารชลประทานท้ังหมด มีสภาพมน่ั คงแข็งแรง มีความปลอดภัยและสามารถใชไ้ ดด้ ีอยเู่ สมอ การซ่อมแซมมี 3 ลักษณะดงั นี้ 2.1) การซ่อมแซมเล็กน้อย หมายถึงการซ่อมบารุงหรือตกแต่ง สว่ นทต่ี รวจสอบพบว่ามีการชารดุ เสียหาย หรือมีความผิดปกติไปจากสภาพเดิม ไม่มากนัก การซ่อมแซมเพียงเล็กน้อยควรปฏิบัติอย่างสม่าเสมอ หรือกระทา ทันทเี ม่ือตรวจพบ โดยไมป่ ลอ่ ยทิ้งไว้ จนการชารุดเสยี หายน้นั ลกุ ลามขยายตัวไป มาก การซ่อมแซมเล็กน้อยจะสามารถกระทาได้ดีและครบถ้วน ควรมีการตรวจสภาพอาคารชลประทานส่วนต่างๆ อย่างสม่าเสมอเป็นประจา เฉพาะอย่างย่งิ ในช่วงเวลาสาคัญ เชน่ ตอนช่วงฤดูฝน เม่ือปริมาณน้าสูงเต็มท่ี และระหวา่ งหรือหลังจากมีน้าจานวนมากไหลผา่ นอาคาร เปน็ ต้น รวมทัง้ ความ เอาใจใส่ของผ้ปู ฏิบตั งิ านและผรู้ บั ผดิ ชอบดว้ ย ๒๑
2.2) การซ่อมแซมประจาปี หมายถึง การซ่อมแซมใหญ่ประจาปี จนทว่ั ตลอดท้ังตัวอาคารชลประทาน ในบริเวณท่ีมีการชารุดเสียหายให้สภาพดี เชน่ เดมิ อาคารชลประทานควรมีการกาหนดแผนซ่อมแซมสิ่ง บกพร่องต่างๆ ท่ีอาจหลงเหลืออยู่ให้มีสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนหรือใกล้เคียงกับ สภาพตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ การละเลยต่อการซ่อมแซม กับส่วนใดส่วนหน่ึงของ อาคารชลประทานซ่ึงกาลังชารุดเสียหายเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน มักเป็น สาเหตุสาคัญทาให้ต้องมีการก่อสร้างเพ่ือปรับปรุงด้วยค่าใช้จ่ายสูง หรือด้วย วิธีการที่ยากลาบากยิ่งขึ้น ดังปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ซึ่งมีอาคารชลประทาน หล ายแห่งกาลังมีการ ปรั บปรุ งเพิ่มเ ติ มเ พ่ือแก้ไ ขให้พ้นจากส ภาพใ นระ ดั บ อนั ตราย 2.3) การซ่อมแซมฉุกเฉิน หมายถึงการซ่อมแซมส่วนใดส่วนหนึ่ง ของตัวอาคารชลประทานท่ีชารุดเสียหายในทันทีทันใด เพราะหากปล่อยท้ิงไว้ อาคารนั้นๆ จะได้รับอันตราย ซ่ึงการซ่อมแซมลักษณะน้ีอาจเป็นการซ่อมไว้ เพียงช่ัวคราวเพราะความเร่งด่วน หลังจากนั้นจะทาการซ่อมแซมให้เรียบร้อย ตามแผนประจาปีต่อไป การบารุงรักษา เข่ือนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้าต้องหม่ันดูแลบารุงรักษา ให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน โดยแบ่งออก ไดด้ งั น้ี 1) การบารงุ รักษาตวั อาคารที่เป็นคอนกรตี การซ่อมคอนกรีตจะต้องกระทาโดยช่างผู้ชานาญงาน และจะ กระทาไดก้ ต็ อ่ เม่ือมีผู้ควบคุมงานกากับอยู่ด้วย คอนกรีตที่ใช้แบบหล่อ ถ้ามีการ ซ่อมจะต้องทาใหเ้ สร็จภายใน 24 ช่วั โมง หลงั จากถอดแบบหลอ่ คอนกรตี ท่ีเป็น รวงผง้ึ แตกร้าวหรือเสียหายอย่างอื่นใด จะต้องสกัดส่วนที่เสียหายออกจนหมด จากนั้นจึงซ่อมแล้วแต่งให้ได้ผิวหน้าตามแนวที่กาหนดด้วยปูนทรายแห้ง (Dry- Pack Mortar) ปนู ทรายเปียก (Mortar) คอนกรตี (Concrete) ปนู ซีเมนต์พิเศษ ประเภทรับกาลังสูง (Epoxy และ Non-shrink) ตามความเหมาะสม วิธีการ ซ่อมแซมดงั น้ี ๒๒
1.1) การซอ่ มปนู ด้วยทรายแหง้ (Dry-Pack Mortar) การซ่อมด้วยปูนทรายแห้ง ใช้ในการซ่อมผิวคอนกรีตที่มี ความเสยี หายเป็นรูเล็ก ๆ ร่องแคบ ๆ ทเ่ี ซาะข้ึนเพ่ือซ่อมรอยร้าว รูท่ออัดน้าปูน และรูหัวน็อตเหล็กยึดแบบ ซ่ึงปูนทรายแห้งน้ีห้ามใช้อุดรูคอนกรีตที่เห็นเหล็ก เสริม และจะต้องมอี ตั ราส่วนปูนตอ่ ทราย เทา่ กับ 1:2.5 โดยปรมิ าตร ทรายท่ีใช้ จะต้องร่อนผ่านตะแกรงเบอร์ 16 ผสมน้าพอสมควรท่ีจะทาให้ปูนทรายแห้งมี ความเหนียวขน้ โดยใหม้ คี า่ การยบุ ตัว (Slump) เปน็ ศูนย์หรือใกล้ศูนย์ ท้ังนี้ การ ซ่อมด้วยปูนทรายแห้งจะต้องอัดใหแ้ น่นดว้ ยกรรมวิธีที่เหมาะสม 1.2) การซอ่ มด้วยปนู ทรายเปียก (Mortar) การซ่อมด้วยปูนทรายเปียก ใช้ซ่อมผิวคอนกรีตท่ีเป็นแอ่ง หรือร่องท่ีกว้างเกินกว่าที่จะใช้ปูนทรายแห้งได้และต้ืนเกินกว่าท่ีจะใช้คอนกรีต ซ่อมได้ และจะต้องไม่ลึกจนถึงเหล็กเสริมด้านท่ีอยู่ใกล้ผิวคอนกรีต อัตราส่วน ปูนต่อทรายท่ีใช้ เท่ากับ 1:1 โดยปริมาตร วิธีการซ่อมอาจซ่อมด้วยมือหรือใช้ หวั ฉดี กไ็ ด้ 1.3) การซอ่ มด้วยคอนกรีต (Concrete) การซ่อมด้วยคอนกรีตจะใช้สาหรับซ่อมความเสียหายใน กรณตี อ่ ไปนี้ - รโู พรงทีม่ ีเน้ือที่มากกว่า 1 ตารางฟุต ลึกมากกว่า 4 น้ิว และไมม่ เี หลก็ เสริม - รโู พรงในคอนกรตี ท่มี เี หล็กเสริม ท่ีมีเน้ือท่ีระหว่าง 0.5- 1 ตารางฟุต และลึกเลยเหลก็ เสริมด้านท่ีอยู่ใกล้ผวิ คอนกรตี เข้าไป ก่อนเทคอนกรีตให้เตรียมผิวคอนกรีตเดิมโดยต้องสกัด คอนกรีตส่วนท่ีจับตัวไม่แน่นออก และทาพ้ืนผิวคอนกรีตเดิมให้สะอาด จะต้อง สกัดเอาคอนกรีตที่ติดอยู่บริเวณรอบเหล็กเสริมออกโดยรอบไม่น้อยกว่า 1 นิ้ว พร้อมทาความสะอาดเหล็กเสริม ขอบบนของรูโพรงต้องสกัดผิวให้มีความลาด เอียงประมาณ 1:3 เพื่อสะดวกในการเทคอนกรีต คอนกรีตที่ใช้จะต้องมี ๒๓
อัตราส่วนปูนต่อทรายต่อหินย่อยเท่ากับ 1:1:1 โดยปริมาตร โดยใช้หินย่อย ขนาดใหญส่ ุดไม่เกนิ 1/2 น้วิ - ในกรณีท่ีขนาดของรูโพรงเล็กกว่า 0.5 ตารางฟุต หรือ ขนาดรูโพรงตื้นกว่า 4 น้ิว อาจใช้น้ายาเชื่อมประสานเน้ือคอนกรีต (Bonding Agent) หรือทาการขยายรูโพรงนั้นจนได้ขนาดสาหรับการซ่อมด้วยคอนกรีต เพื่อให้คอนกรีตท่ีใช้ซ่อมแซมมีการยึดเกาะกับคอนกรีตเดิมได้ดี ท้ังน้ีอยู่ใน ดลุ พินิจของผคู้ วบคุมงานของผวู้ า่ จ้าง - ในกรณีที่รูโพรงท่ีมีเน้ือที่ใหญ่เกินกว่าที่ระบุข้างต้น ให้ ผู้รับจ้างเสนอวธิ กี ารซ่อมแซมต่อคณะกรรมการตรวจการจ้างพิจารณาเห็นชอบ กอ่ นดาเนินการ 1.4) การซอ่ มดว้ ยน้ายาเชื่อมประสานประเภท Epoxy การซ่อมคอนกรีตโดยการใช้น้ายาเช่ือมประสาน (Epoxy Bonding Agent) ใช้สาหรับการซ่อมส่วนของอาคารซ่ึงต้องรับกาลังสูง การ ดาเนนิ การทาไดห้ ลายวธิ กี าร ดังนี้ - การซ่อมด้วยน้ายาเช่ือมประสานผสมทราย (Epoxy Mortar) ใช้ซอ่ มคอนกรตี ที่เป็นรูโพรงซึ่งต้องรับกาลังสูงเป็นพิเศษ โดยความลึก ท่ีจะซ่อมควรอยู่ระหว่าง 1.5-6 นิ้ว หรือการใช้งานพิเศษ เช่น สมอยึด (Anchor Bar) ก่อนดาเนินการซ่อมใหท้ าความสะอาดพืน้ ผิวคอนกรีตเดิมให้แห้ง สะอาดปราศจากฝุน แล้วให้ทาพ้ืนผิวด้วยน้ายาเช่ือมประสานโดยแปรงหรือ ลูกกลิ้ง หรือการฉีดพ่น แล้วจึงทาการซ่อมด้วย Epoxy Mortar โดยจะต้อง กระทาในขณะท่ีนา้ ยาเชอื่ มประสานยังไม่แหง้ - การซ่อมด้วยน้ายาเชื่อมประสานโดยการฉีดอัดด้วย ความดัน ใช้ซ่อมคอนกรีตที่เป็นรอยแตกร้าวขนาดเล็กของคอนกรีตโครงสร้าง เช่น คาน 2) การบารุงรกั ษาบานระบาย การดูแลและบารุงรักษาบานระบายหลังการใช้งานแตกต่างกัน ตามลักษณะของบาน แต่สาหรับคู่มือการบารุงรักษาประตูระบายและอาคาร ๒๔
ประกอบเล่มนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ บานระบายตรง (Fixed Wheel Gate) และ บานระบายโค้ง (Radial Gate) โดยมรี ายละเอยี ดตามตารางที่แสดงไว้ดังน้ี ภาพที่ 17 สภาพของบานและลอ้ ทหี่ มดสภาพ ภาพที่ 18 สภาพเหล็กถกู กดั กรอ่ น ๒๕
ตารางที่ 1 การบารุงรักษาบานระบายตรง (Fixed Wheel Gate) (ชนิดใช้ลวด เกลยี วยกบาน) 136 1 10 // /// 1 √ Caltex Marfak HD √ 2 ( Rubber Seal) 3 √ √ Buckle 20 . √ 4 Mastic 5 Epoxy Color 6 Color 120 √ 200 Mastic Epoxy √ 7 (Rubber Seal) หมายเหตุ : กรณที บ่ี านประตูอยนู่ า้ เค็มน้ากร่อยหรอื ที่มีกรดด่างสงู ระยะการ บารุงรักษาลดลงครึง่ หนึ่ง ๒๖
ตารางท่ี 2 การบารุงรักษาบานระบายโคง้ (Radial Gate) (ชนดิ ใชล้ วดเกลยี วยก บาน) 136 1 10 /// // 1 Pin Bearing √ ( ) Caltex Marfak 2HD PTTEP Grease No.2 2 (Rubber Seal) √ (Arm) √ 3 √ (Turn Buckle) √ 4 20 . 5 Mastic Epoxy Color 6 Color 120 √ 200 Mastic Epoxy √ 7 Rubber Seal หมายเหตุ : กรณีท่ีบานประตูอยู่น้าเค็มน้ากร่อยหรือท่ีมีกรดด่างสูงระยะการ บารุงรักษาลดลงครึ่งหน่ึง 3) การบารงุ รกั ษาเคร่อื งกวา้ น 3 สว่ น คอื เครือ่ งกว้านทใี่ ช้สาหรับยกบานระบายน้ี มีส่วนประกอบท่ีสาคัญ - ชดุ เฟอื งขับเครอื่ งกวา้ น (Drive Unit) - ชดุ เฟืองทดมอเตอร์ (Helical Geared Motor) ๒๗
- ชุดม้วนลวด (Drum Unit) (1) การบารุงรกั ษาชดุ เฟอื งขบั เคร่ืองกว้าน (Drive Unit) ชุดเฟืองขับเคร่ืองกว้าน จะต้องหล่อลื่นด้วยน้ามัน น้ามันหลอ่ ลน่ื ทเ่ี หมาะสมจะต้องเปน็ ชนิดใช้งานหนัก (Shell Spirax H.D. 140 หรอื ของบรษิ ัทอื่นทเ่ี ทียบเท่า) การเปลยี่ นน้ามนั หลอ่ ลน่ื ตามระยะเวลาท่ีกาหนด เปิดครอบชุดเฟืองขับเคร่ืองกว้าน จุกปิดรูน้ามันล้นและจุกรูท่อน้ามันท้ิง รอ จนกระท่ังน้ามันท่ีใช้แล้วไหลออกจนหมด แล้วปิดจุกรูระบายน้ามัน เติมน้ามัน ใหม่ จนกระทั่งไหลออกจากรูน้ามันล้น ปิดจุกรูน้ามันล้นและฝาครอบให้ เรยี บร้อย ภาพที่ 19 การหล่อล่ืนชดุ เฟอื งขับเครอ่ื งกวา้ น ภาพท่ี 20 ชุดเฟืองขับเคร่ืองกว้าน ๒๘
ื ฏ (1.1) การตรวจสอบตลบั ลูกปืน - ปดิ บานระบายลงตา่ สดุ ก่อนทกุ ครง้ั - เปิดฝาปิดตลับลูกปืนที่ด้านข้างชุดเฟืองขับ ออกตรวจ เมอ่ื พบวา่ ตลบั ลกู ปืนชารดุ เสยี หายจาเปน็ ตอ้ งเปล่ยี นใหม่ (1.2) การเปลยี่ นตลับลูกปืน - ถอดสลกั เกลยี วทีย่ ดึ ระหว่างกระโปรงกว้านชิ้น บนและลา่ งออก - ยกกระโปรงกวา้ นชนิ้ บนออกจากชนิ้ ลา่ ง - ยกเฟืองและเพลาขบั ตัวท่ีต้องการเปลยี่ นออก ทาการเปลย่ี นตลับลูกปืนใหม่ - ใส่เพลาและเฟืองลงที่เดิมทุกตัวหลักจาก เปลี่ยนแลว้ - นากระโปรงกว้านตัวบนมาประกอบเข้าท่ีเดิม โดยสงั เกตจากหมดุ เครอื่ งหมายจะทาใหล้ งท่เี ดมิ - ยึดกร ะโปร งตัวบนแล ะตัวล่างให้แน่น เหมือนเดมิ แล้วปิดฝาครอบ ื - - (2) การบารุงรักษาชุดเฟืองทดมอเตอร์ (Helical Geared Motor) เกียร์มอเตอร์ ประกอบด้วยมอเตอร์ ชุดเฟืองทดและ ชุดดิสเบรค ชุดเกียร์มอเตอร์ตามปกติจะต้องหล่อล่ืนด้วยน้ามัน และจะเติมมา จากโรงงานเรียบร้อย ถูกต้องท้ังปริมาณและคุณภาพ ภายหลังจากประกอบ ๒๙
มอเตอร์เข้ากับเครือ่ งกว้านแล้ว จะต้องเปล่ียนจุกพลาสติกด้านบนเป็นจุกชนิดรู หายใจ การเปล่ียนน้ามันหล่อล่ืนเมื่อใช้ครบเวลาตามท่ีได้ กาหนดไว้ เปิดจุกที่รูเติมน้ามัน (รูหายใจ) รูน้ามันล้น และรูระบายน้ามันท้ิง ซึ่ง อยูใ่ ต้ห้องเฟือง รอจนกระท่ังน้ามันท่ีใช้แล้วไหลออกจนหมด จึงปิด จุกรูระบาย แล้วเติมน้ามันจนกระทั่งไหลออกจากรูล้น ปิดจุกรูน้ามันล้นและจุกของรูเติม น้ามันให้เรียบร้อย (ใช้น้ามันหล่อล่ืนของ Shell Spirax H.D. 90 หรือของ บรษิ ัทอนื่ ทเ่ี ทยี บเท่า) ภาพที่ 21 ชุดเฟืองทดมอเตอร์ ดังต่อไปนี้ ภาพท่ี 22 การหล่อลืน่ ชดุ เฟืองทดมอเตอร์ การเปล่ียนมอเตอร์ประกอบเฟืองทดทาตามข้ันตอน (2.1) ปดิ บานระบายใหอ้ ย่ใู นตาแหนง่ ปิดสดุ เสียก่อน (2.2) ถอดชดุ มือหมุนออก (2.3) ตัดกระแสไฟฟาู ทต่ี ้คู วบคุมในหอ้ งควบคุม (2.4) เปดิ ฝาครอบจดุ ท่ีต่อสายไฟฟูาเข้ากบั มอเตอรอ์ อก ๓๐
(2.5) ถอดสายไฟฟูาออกแล้วทาเคร่ืองหมายเพื่อ ปูองกันการผดิ พลาด (2.6) ถอดสลักเกลียว M14 ท่ียึดหน้าแปลนมอเตอร์ ออก จากนนั้ ถอดตวั มอเตอร์ พรอ้ มชดุ เฟอื งทดออกทง้ั ชดุ (2.7) นามอเตอร์สารองมาใส่เข้า โดยทาตามข้ันตอน ยอ้ นกลบั ไปจนครบ ฏ การตรวจสอบจานเบรก : - ปดิ บานระบายใหส้ ดุ ก่อน - ถอดชดุ มือหมุนออกก่อน - ถอดฝาครอบท้ายมอเตอร์ออกตรวจสอบตัวเบรก ด้วยสายตา ถ้าพบว่าสึกหรอมากควรเปลย่ี นใหมโ่ ดยทาตามขั้นตอน ดังต่อไปน้ี - ถอดใบพัดระบายความรอ้ นออกโดยถอดแหวนล็อค ออก - ถอดชดุ ขดลวดแม่เหลก็ ไฟฟาู และแผน่ กดจานเบรก ออก - ถอดแผน่ เบรกออกแล้วเปล่ยี นใหม่ - ใสช่ ดุ ขดลวดแมเ่ หลก็ ไฟฟูา - ปรบั ระยะกดแผ่นเบรกโดยใชฟ้ ิลเลอรเ์ กจตรวจสอบ ให้ความห่างระหว่างจานเบรกถงึ แผน่ กดจานเบรก 0.25-0.8 มลิ ลเิ มตร ถ้ายงั ไม่ได้ ใหป้ รบั แปนู เกลียวทเ่ี ป็นตวั กาหนดระยะกดเบรก ท่ชี ดุ ขดลวด แมเ่ หล็กไฟฟูาเขา้ หรอื ออก - จากน้นั ทดลองเปดิ ปดิ บานจนได้ตามตอ้ งการ - ปิดฝาครอบบานประกอบชุดมอื หมุนตอ่ ไป ๓๑
(3) การบารงุ รักษาชดุ มว้ นลวด (Drum Unit) ภาพท่ี 23 ชุดม้วนลวด ภาพท่ี 24 การบารุงรกั ษาชุดมว้ นลวด การหล่อล่ืนลวดสลิงให้ใช้น้ามันทาลวดสลิง Cardium Compound D ของเชลล์ ตามขน้ั ตอนต่อไปน้ี (3.1) การเปลีย่ นตลับลูกปืนท่ีชุดขับม้วนลวดให้ปฏิบัติ ตัวในกอ่ น - ปดิ บานระบายให้อยใู่ นตาแหน่งตา่ ที่สดุ ลูกปนื ตวั นอก - ถอดคัปปลงิ ต่อเพลาขับมว้ นลวดออก - เปดิ ฝาครอบต๊กุ ตาลกู ปนื ตวั ปลายสดุ ออกกอ่ น - ถอดเฟืองขับม้วนลวดออกเปลย่ี นตลับลกู ปนื - ใส่เฟอื งขับมว้ นลวดเข้าที่เดิม แล้วจึงใส่ตลับ - ประกอบเพลาจบั ม้วนลวดเข้าทเ่ี ดมิ ๓๒
(3.2) การเปลย่ี นตลับลูกปนื ลกู มว้ นลวด - เปดิ ฝาครอบตกุ๊ ตาลกู ปนื ออก - ถอดชุดโพเทนทิโอมิเตอร์ (เครื่องส่งสัญญาณ ติดตั้งอยู่ที่เพลาเฟืองขบั เครอื่ งมว้ นลวดเพ่ือวัดระยะการเปดิ ) ออก - ยกลูกมว้ นลวดออกถอดเปลยี่ นตลับลกู ปืนใหม่ - ประกอบลกู มว้ นลวดเขา้ ที่เดิม ข้อควรระวัง : ถ้าจาเป็นควรถอดฝาครอบชุด มว้ นลวดสลิงออกก่อน และควรอดั จาระบีใหมท่ กุ ครง้ั ทเี่ ปลี่ยนตลับลูกปนื 4) การวเิ คราะหป์ ญั หาและการแกไ้ ขข้อขดั ข้องในการทางานของบาน ระบาย 4.1) มอเตอร์ไม่หมุน : ไม่เคล่ือนทั้งปิดบานระบายและเปิดบาน ระบาย แก้ไข : - ตรวจตู้ฟิวส์ของระบบคอนโทรล ถา้ ขาดหรือไหม้ ให้เปล่ียนฟวิ ส์ - ตรวจดูไมโครสวิทซ์ของระบบปูองกันอันตราย ของอุปกรณป์ ดิ เปดิ ด้วยมอื - ตรวจดูโอเวอร์โหลดรีเลย์และหาเหตุผลและตั้ง ใหม่ 4.2) มอเตอร์ไม่หมุนเฉพาะทิศทางเดียว : ไม่เคลื่อนเฉพาะขาข้ึน และขาลง แก้ไข : - ตรวจดูลมิ ิตสวิทซ์และปรบั ใหม่ - ตรวจดูเบรกเกอร์และฟิวส์ ต้ังใหม่หรือเปลี่ยน และหาเหตุผล 4.3) มอเตอรร์ อ้ นเกินกาหนด : ร้อนเกิน 70 องศาเซลเซยี ส แก้ไข : - ปรบั ระยะห่างของแผ่นเบรก - ตรวจกระแสไฟฟาู ทกุ เฟส 4.4) มอเตอรเ์ สียงดัง : ดังผดิ ปกติ แก้ไข : - ตรวจดสู ภาพของตลับลกู ปนื - ตรวจดพู ัดลมระบายความรอ้ นและตัง้ ใหม่ ๓๓
4.5) ชุดเฟืองทดของกาลังมอเตอรร์ อ้ น : ร้อนผิดปกติ แก้ไข : - ตรวจดนู า้ มนั หลอ่ ลน่ื และเตมิ ให้ได้เต็ม - วัดความหนักของน้ามันหลอ่ ลนื่ และเปลี่ยนใหม่ 4.6) ลวดสลิงหย่อน : ลวดสลิงหย่อนเมื่อบานระบายอยู่ใน ตาแหน่งปิด แกไ้ ข : - ตรวจดแู ขนหมุนของลิมติ สวิทซ์และตัง้ ใหม่ - มีส่ิงกีดขวางในขณะบานระบายกาลังเปิด และ ทาความสะอาด 4.7) ขอ้ ควรระวังในการบารงุ รักษา (1) ควรตรวจสอบสลักแปูนเกลียวทุก ๆ ตัว ของอุปกรณ์ บานระบายอยู่ในสภาพท่ีแน่นหรือไม่ถ้าไม่แน่นก็ควรขันเสียให้แน่นเพื่อความ แขง็ แรงมีประสทิ ธิภาพในการใช้งาน (2) ทาความสะอาดแล้วใส่จารบีที่เกลียวของเพลาในเครื่อง ยกและตลับลูกปืนภายในเคร่ืองยก (ถ้าสังเกตจะมองเห็นท่ีข้างเคร่ืองยกจะมีรู สาหรับอัดจารบีเข้าไปหล่อล่ืนตลับลูกปืน และหล่อลื่นที่เพลาของเฟืองรับและ เฟืองตามของเครอื่ งยก) (3) เมื่อจารบีหล่อลื่นเหล่าน้ีหมดสภาพ เช่น แข็งตัวเพราะ ใช้ มานาน หรอื มีฝุนของลูกรงั เกาะแข็งตวั จนไม่มคี วามล่ืนมีแต่ความฝืดกค็ วรทา ความสะอาดขุดออกเสียใหห้ มดและใส่จารบีใหมแ่ ทน (4) ควรนาสวะหรือเศษไม้ท่ีลอยติดตามร่องบาน หรือหน้า บานออกให้หมดเปน็ ประจา (5) ควรนาทุ่นไม้หรือหินที่ตกลงไปและจมน้าอยู่ที่พ้ืนล่าง ของอาคารซึ่งบานระบายจะต้องลงในขณะปิดสุดออกให้หมดเป็นประจา (6) มีความระมัดระวงั ในการเปิด-ปดิ บานระบายและสารวจ ความเรียบรอ้ ยของช้นิ สว่ นต่าง ๆ ๓๔
4.8) ก่อนเปดิ – ปดิ บาน (1) เกลียวของเพลาบานระบายมีเศษหิน ฯลฯ ตดิ ขัดหรือไม่ ถา้ มตี อ้ งเอาออก (2) มีเศษสวะหรอื ไม้ตดิ ขัดทีร่ อ่ งบานหรอื ไม่ถา้ มีเอาออก (3) สลักแปูนเกลียวยึดเครื่องยก โครงยก หรือหูบานกับ ปลายเพลาอยู่ในสภาพดีและมีอยู่ตามปกติหรือไม่ถ้าไม่ ควรหามาใส่เสีย โดยเฉพาะหบู านกบั ปลายเพลาหรอื แจง้ ใหห้ วั หนา้ ตอนทราบเพอื่ หามาใส่ (4) บานหลุดจากร่องหรือไม่ ถ้าหลุดควรลงไปใส่เสียก่อนท่ี จะทาการเปดิ -ปิดบาน (5) เพลาคดหรือไม่ ถ้าคดห้ามหมุนเคลื่อนยก ให้แจ้ง หวั หน้าตอนทราบเพือ่ แก้ไข (6) โครงยกหลดุ ออกจากผนงั คอนกรีตและบิดงอหรือไม่ ถ้า เปน็ ห้ามหมุนเคร่อื งยกใหแ้ จง้ หวั หน้าตอนทราบเพื่อแก้ไข (7) บานขัดตัวอยู่กับร่องโครงยกหรือไม่ (ส่วนมากเกิดจาก เด็กไปหมนุ เล่นจนบานแนวตรงจึงไมข่ ดั ตวั ) แต่ถ้าเป็นกแ็ จง้ ใหห้ ัวหน้าตอนทราบ และเมื่อเปิดหรือปิดบานระบายแล้วควรใสก่ ญุ แจลอ็ คบานระบายไวใ้ หถ้ กู ตอ้ ง ๓๕
ตารางที่ 3 การบารุงรักษาเครื่องกว้าน ชนิดใช้ลวดเกลียว (Gate Hoist) และ Gear Motor) 136 1 10 /// // 1 √ Caltex Marfak 2 HD PTT.ET (Extrem Pressure Grease) #2 √ 2 √ Gear Motor √ 3 Gear Motor √ Shell Spirax HD 90 PTTGL-5 SAE 90 4 (Drive Unit) 5 (Drive Unit) 140 (PTTGL-5 140 6 ืื √ ื ื (Limit Switch) Shell Cardium Compound. D 7 √ Shell Cardium Compound. D 8 Gear Motor √ Shell Cardium Compound. D ื( ) √ 9 10 √ หมายเหตุ : กรณีท่ีบานประตูอยู่น้าเค็มน้ากร่อยหรือที่มีกรดด่างสูงระยะการ บารุงรักษาลดลงคร่งึ หนง่ึ ๓๖
4) การบารุงรกั ษาสว่ นการปูองกนั การกดั เซาะด้านเหนือนา้ -ท้ายน้า การบารงุ รกั ษาอาคารปูองกันการกัดเซาะเหนือน้า-ท้ายน้า ได้แก่ หินก่อ หินเรียง เปน็ ตน้ ดงั น้ี 4.1) งานหินก่อ (Stone Masonry) หมายถึง ส่วนปูองกันการ กัดเซาะท่ีทาด้วยหิน วางบนปูนสอ (Mortar) ก่อยึดกันด้วยปูนสอโดยรอบ กระทุ้งใหแ้ น่น ภาพท่ี 25 ลกั ษณะของลาดทที่ าจากหินก่อ (1) ก่อนจัดทาหินก่อ ต้องทาการบดอัดแน่นดินบริเวณท่ี จะทาหินกอ่ ใหม้ ีความแน่นไม่น้อยกว่าที่กาหนดในแบบ ตั้งแบบแล้วเทคอนกรีต รองพืน้ หนาประมาณ 5 เซนตเิ มตร (2) วางหินใหญ่บนคอนกรีตให้เต็มผิวหน้าคอนกรีต การ วางต้องวางให้หินชิดกันให้มากที่สุด ให้มีช่องว่างน้อยที่สุดแล้วเทคอนกรีตทับ หน้าหินที่วางช้ันแรก เม่ือเทคอนกรีตสูงพ้นผิวหินช้ันแรก ให้วางหินชั้นต่อไปได้ ทาเช่นนี้ต่อไปจนได้ความหนาตามที่กาหนดในแบบ พร้อมท้ังแต่งเกล่ียผิวหน้า ให้เรยี บรอ้ ย (3) หินใหญ่ท่ีใช้งานหินก่อควรมีขนาดประมาณ 20-40 เซนตเิ มตร หรอื ตามที่กาหนดในแบบ 4.2) งานหินเรียง (Hand-Placed Riprap) หมายถึง ส่วน ปูองกนั การกัดเซาะทที่ าข้ึนจากก้อนหินหลายขนาด จัดวางบนช้ันวัสดุกรองท่ีใช้ เป็นวสั ดุรองพืน้ โดยวางเรยี งกันในลักษณะท่ีให้ก้อนเล็กสุดอยู่ด้านในติดกับวัสดุ รองพ้ืน กอ้ นใหญ่สดุ อยูท่ ีด่ ้านนอก วางซ้อนกันคลา้ ยเกลด็ ปลา โดยเร่ิมเรียงจาก ด้านลา่ งขนึ้ ไปดา้ นบน ๓๗
ภาพที่ 26 ลักษณะของลาดทที่ าจากหนิ เรียง (1) ก่อนทางานหินเรียง ต้องทาการบดอัดแนน่ ดินบริเวณ ท่จี ะทาหินเรยี งให้มคี วามแน่นไมน่ อ้ ยกว่าตามที่กาหนดในแบบ (2) หินเรยี งตอ้ งกอ่ สร้างบนช้นั วัสดุรองพ้ืน (กรวดหรือหิน ย่อยและทราย) ทมี่ ีความแนน่ และหนาตามทก่ี าหนด วางเรียงกนั โดยให้ก้อนเล็ก สุดอยู่ด้านล่างติดกับวัสดุรองพื้น ก้อนใหญ่สุดอยู่ผิวนอก วางซ้อนกันคล้าย เกลด็ ปลา เร่ิมเรียงจากด้านล่างขึ้นไปดา้ นบนผิวหน้าของหินใหญ่แต่ละก้อนต้อง เป็นระนาบเสมอกันกบั หินกอ้ นข้างเคียงท่วั พื้นท่ี 4.3) งานหินเรียงยาแนว (Grouted Riprap) หมายถึง ส่วน ปูองกันการกัดเซาะท่ีทาข้ึนจากก้อนหินคละขนาด จัดวางบนช้ันวัสดุรองพื้น โดยวางเรียงกันในลักษณะที่จะให้ก้อนเล็กก้อนใหญ่คละกัน เพื่อให้หินเรียงชิด กันมากที่สุด พร้อมท้ังแต่งผิวหน้าของหินใหญ่แต่ละก้อนใหญ่เป็นระนาบเสมอ กันกับหนิ ก้อนข้างเคยี งและยาแนวตามแนวชอ่ งว่างระหว่างหินก้อนใหญ่ด้วยปูน สอ (Mortar) กระทุ้งให้แน่น และตกแต่งให้เรียบ เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า Stone Pitching (1) กอ่ นทางานหนิ เรยี งยาแนว ต้องทาการบดอัดแน่นดิน บริเวณทจ่ี ะทาหินเรยี งยาแนวให้มคี วามแน่นไม่น้อยกวา่ ตามทก่ี าหนดในแบบ (2) หินเรียงยาแนวต้องก่อสร้างบนชั้นวัสดุรองพ้ืน (กรวด หรือหินย่อยและทราย) ที่มีความแน่นและหนาตามท่ีกาหนด วางเรียงกันใน ลักษณะก้อนเล็ก ก้อนใหญ่คละกันเพื่อให้หินเรียงชิดกันมากท่ีสุด เริ่มเรียงจาก ด้านล่างขึ้นไปด้านบน พร้อมท้ังแต่งผิวหน้าของหินใหญ่ให้เป็นระนาบเสมอกัน กับหินก้อนข้างเคียงท่ัวพ้ืนที่ ความหนาต้องไม่น้อยกว่าที่กาหนด ราดน้าให้ชุ่ม ๓๘
ยาแนวตามช่องว่างระหว่างหินก้อนใหญ่ด้วยปูนทราย (Mortar) อัตราส่วน 1:3 กระทงุ้ ให้แนน่ และตกแตง่ ใหเ้ รียบ 4.4) งานหนิ เรยี งในกล่องลวดตาข่าย (Gabion) หมายถึง ส่วน ปูองกันการกัดเซาะที่ทาข้ึนจากกล่องทาด้วยลวดถัก ภายในบรรจุด้วยหินแบะ กรวดขนาดใหญ่ ใหไ้ ด้ในหลายรูปแบบ เช่น วางบนพ้ืนหรือตลิ่งเพ่ือปูองกันการ กัดเซาะ วางในลาน้าหรือริมทะเลเพ่ือปูองกันคล่ืน วางซ้อนกันหลายๆ ชั้น ทา เป็นฝายหรือกาแพงกันดินบริเวณลาดไหล่เขา เป็นต้น เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า Stone Mesh หรือถา้ กล่องหนานอ้ ยกวา่ 30 เซนติเมตร จะเรียกวา่ Mattress ภาพที่ 27 ลักษณะของลาดท่ีทาจากหนิ เรยี งในกล่องลวดตาขา่ ย โดยกล่องลวดตาข่ายมลี กั ษณะดงั น้ี (1) เป็นชนิดเคลือบสังกะสี (Ht dip galvanized) ประกอบข้ึนจากลวด ตาข่ายถักเป็นรูปหกเหล่ียมชนิดฟันเกลียว 3 รอบ มี 2 แบบ คอื (1.1) กล่องลวดตาข่ายแบบ Gabion มีขนาด สัดส่วนตามแบบ โดยมีขนาดช่องตาจากระยะพันเกลียว “D” ไม่มากกว่า 10×13 เซนตเิ มตร (1.2) กล่องลวดตาข่าย Mattress มีขนาดสัดส่วน ตามแบบ โดยมีขนาดช่องตาข่ายจากระยะพันเกลียว “D” ไม่มากกว่า 6×8 เซนติเมตร (2) การข้ึนโครงรูปกล่องเป็นส่ีเหลี่ยมโดยเคร่ืองจักรให้ได้ ขนาดและสัดส่วนตามแบบ และมผี นงั กนั้ ภายในทกุ 1 เมตร มีฝาปดิ -เปดิ ได้ ๓๙
(3) คุณลักษณะของลวด (wire) ที่ใช้ประกอบเป็นกล่อง ลวดตาข่ายจะต้องมีค่าความต้านทางแรงตึง (Tensile Strength) ไม่น้อยกว่า 38 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ตามวิธีการทดสอบ มอก.71 “ลวดเหล็กเคลือบ สังกะสี” 4.5) งานหินทิ้ง (Riprap/ Dumped Riprap) หมายถึง ส่วน ปูองกันการกัดเซาะท่ีทาข้ึนจากหินขนาดใหญ่ซึ่งท้ิงตามลาดตล่ิง ลาดด้านหน้า เขื่อน หรอื ทางดา้ นท้ายนา้ หรอื เหนอื นา้ ของอาคารเพอ่ื ปอู งกันการกดั เซาะ ภาพที่ 28 ลักษณะของลาดทท่ี าจากหนิ ทง้ิ ก่อนจะทาหินท้ิง ต้องทาการบดอัดดินบริเวณที่จะทาหิน ทิ้งใหม้ คี วามแนน่ ไมน่ อ้ ยกว่าตามที่กาหนดในแบบ นาหินใหญ่และคละขนาดมา ทิ้งด้วยเครื่องจักรหรือแรงคนให้มีขนาดของหิน ความหนาและความลาดเอียง ตามแบบ และตบแต่งผิวหน้าใหด้ เู รียบเสมอ ๔๐
บทที่ 4 บทสรุป สรปุ การดูแลบารุงรักษาเขื่อนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้า เป็น ง า น ที่ มี ค ว า ม ส า คั ญ อ ย่ า ง ยิ่ ง แ ล ะ ต้ อ ง ด า เ นิ น ก า ร ป ฏิ บั ติ อ ย่ า ง ส ม่ า เ ส ม อ ผู้ปฏิบัติงานด้านนี้จะต้องหมั่นตรวจสอบสภาพอาคารและสิ่งก่อสร้างอย่าง สม่าเสมอ อย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ก่อนส่งน้าและหยุดส่งน้า เพื่อหาจุดบกพร่อง และบารุงรักษา หรือแก้ไขให้กลับสู่สภาพเดิม ซ่ึงผู้ดูแลบารุงรักษาต้องมีความ เข้าใจถึงการวิเคราะหป์ ัญหาเพ่ือค้นหาสาเหตขุ องการชารุดเสยี หาย หรอื ปรกึ ษา ผู้เช่ียวชาญ เพ่ือวางแผนและกาหนดวิธีการซ่อมแซมหรือปรับปรุงให้เหมาะสม ทางวิศวกรรม และคานึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ดว้ ย ๔๑
เอกสารอ้างอิง กลุ่มงานวศิ วกรรม 2 (ออกแบบบานระบายและเครอื่ งกลไก). 2555. เอกสารเผยแพร่ผลงานเร่อื ง การตรวจสอบสภาพบานระบายและเคร่ืองกว้านให้ อยู่ในสภาพสมบูรณ์ สานักออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม กรม ชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลุ่มงานวิศวกรรม 2 เอกสารเผยแพร่ความรู้เก่ียวกับบานระบาย สานักออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม กรมชลประทาน กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ คณะกรรมการพิจารณาแบบมาตรฐาน. 2553. มาตรฐาน รายละเอียดและคุณลักษณะทางวิศวกรรมงานคอนกรีต กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คูม่ อื การใชแ้ ละบารุงรกั ษาเครอ่ื งกว้านบานระบาย เขื่อนนเรศวร ฝุาย ชา่ งกล โครงการส่งนา้ และบารุงรกั ษาเข่ือนนเรศวร สชป.3 คู่มือการใช้และบารุงรกั ษาเคร่ืองกว้านบานระบาย ส่วนเคร่ืองจักรกล สชป.13 กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คมู่ อื การทางานและการซ่อมบารุงรักษาประตูระบายโค้งและอุปกรณ์ ควบคมุ โครงการเขอ่ื นระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้าอานาจเจริญ ฝุาย ส่งน้าและบารุงรักษาที่3 ต.ปะอาว อ.เมือง จ. อุบลราชธานี กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คู่มือการบารุงรักษาประตูระบายน้าและอาคารประกอบ. 2558. สว่ นปรบั ปรงุ บารุงรักษา สานักบรหิ ารจดั การน้าและอุทกวิทยา กรมชลประทาน แนวทางการตรวจสภาพเข่ือนระบายน้า/ทดน้า และประตูระบายน้า ฉบับพกพา. 2560. ฝุายบารุงรักษาหัวงาน ส่วนปรับปรุงบารุงรักษา สานัก บรหิ ารจัดการนา้ และอุทกวทิ ยา ๔๒
สาเรงิ เจรญิ รักษ์. 2555. คมู่ อื การปฏิบัติงาน เร่ือง เครือ่ งกวา้ น-บาน ระบาย เอกสารการถา่ ยทอดความรู้ ความสามารถของโครงการเกษียณอายุก่อน กาหนด ส่วนเครอื่ งจักรกล สชป.15 สุนทร พันธุ์ศิริ เอกสารประกอบคาบรรยายโครงการฝึกอบรม หลักสตู รนายชา่ งกลโครงการ เรื่องการบารุงรักษาเคร่ืองกว้านบานระบาย กอง โรงงาน กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อภิธานศัพท์เทคนิค : ด้านการชลประทานและการระบายน้า ฉบับ ปรับปรุง พุทธศกั ราช 2553. กรมชลประทาน Khong-Che-Mun Project 1993, Rasi Salai Diversion Weir, Operation and Maintenance Instructions, Department of Energy Development and Promotion Ministry of sicene,Technology and environment ,The Royal Government of Thailand http://www.tumcivil.com/engfanatic/article_gen.php?articl e_id=1212&hit=1 ๔๓
ภาพเขอื่ นระบายนา/ทดนา และประตรู ะบายนา ของกรมชลประทาน เขอื่ นนเรศวร จ.พษิ ณโุ ลก เขื่อนทดนา้ บางปะกง จ.ฉะเชงิ เทรา เขอื่ นพระรามหก จ.พระนครศรอี ยุธยา เขือ่ นแมก่ ลอง จ.กาญจนบรุ ี ๔๔
ประตรู ะบายนา้ คลองโพธิ์ จ.อุตรดติ ถ์ ประตรู ะบายนา้ บ้านยางซ้าย จ.สุโขทยั ประตรู ะบายนา้ ปากหว้ ยสาราญ ประตรู ะบายนา้ หาดยาง จ.ปราจีนบรุ ี ๔๕
ประตรู ะบายนา้ ชอ่ งแค จ.ลพบรุ ี ประตรู ะบายนา้ บรมธาตุ จ.ชยั นาท ประตรู ะบายนา้ พลเทพ จ.ชยั นาท ประตรู ะบายนา้ บา้ นปาุ น้ารกั จ.กาญจนบรุ ี ๔๖
ประตรู ะบายนา้ ทา่ แนะ จ.พทั ลุง ประตรู ะบายนา้ รตั ภูมิ จ.สงขลา ๔๗
คณะผ้จู ัดทา 1. นายธารงศักด์ิ นคราวงศ์ ผอู้ านวยการส่วนปรบั ปรงุ บารงุ รกั ษา 2. นางสาวอรญา เขยี วคณุ า หัวหนา้ ฝาุ ยบารุงรักษาหัวงาน 3. นายธรี พงษ์ พินทอง วิศวกรชลประทานชานาญการ 4. นายสรุ ิยะ การสมชน วิศวกรชลประทานปฏบิ ตั กิ าร 5. นางสาวสพุ ัฒตรา เลาะหนะ วศิ วกรชลประทานปฏิบตั กิ าร 6. นางสาวนนั ทณัฐ เยอ่ื บางไทร วิศวกรชลประทานปฏิบตั ิการ ๔๘
Search
Read the Text Version
- 1 - 48
Pages: