เปรต สนิท ไชยวงศค์ ต ที่ปรกึ ษาอธกิ ารบดีด้านการบรหิ าร มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๑. ความนำ� ความหมายของคำ� ว่า “เปรต” คำ� วา่ เปรต หมายถึง1๑. ผลู้ ะโลกนี้ไปแล้ว, คนท่ตี ายไปแล้ว ๒. สตั ว์จำ� พวกหนง่ึ ซึง่ เกิดอยใู่ น อบายช้นั ทเ่ี รยี กว่า ปิตตวิสยั หรอื เปตติวสิ ยั (แดนเปรต) ไดร้ ับความทุกขท์ รมานเพราะอดอยาก ไม่มี จะกิน แมเ้ มือ่ มีกินกก็ นิ ไม่ได้ หรอื กินได้โดยยาก ค�ำว่า เปรต หมายถึง2 สัตว์พวกหน่ึง เกิดในอบายภูมิ คือแดนทุกข์, ผีเลวจ�ำพวกหนึ่ง มีหลายชนิด ชนิดหน่ึงตามท่ีว่ากันว่า มีรูปร่างสูงโย่งเย่งเท่าต้นตาล กินแต่เลือดและหนองเป็นอาหาร มักร้องเสียงดังว๊ีด ๆ ในตอนกลางคืน, ค�ำเรียกเป็นเชิงแช่งด่าหรือปรามาสคนท่ีอดอยากผอมโซ เทย่ี วรบกวนขอเขากนิ หรอื เมอ่ื มใี ครไดโ้ ชคลาภกเ็ ขา้ มาขอแบง่ ปนั เปน็ อยา่ งขอแบง่ สว่ นบญุ หรอื ทำ� นอง เช่นน้นั ว่า เปรต หรือ อา้ ยเปรต อีกนัยหนึ่ง3 ค�ำว่า เปรต มาจากค�ำสันสกฤตว่า เปรฺต ตรงกับค�ำบาลีว่า เปตะ แปลได้ ๒ ความหมาย คอื : ๑) เปรต แปลวา่ ผลู้ ะไปแลว้ หรอื ผทู้ ต่ี ายจากโลกนไี้ ปแลว้ หมายถงึ ดวงวญิ ญาณของบรรพบรุ ษุ หรือวิญญาณผ้ทู ตี่ ายไปแลว้ ดงั เชน่ ค�ำในประโยคว่า นาย ก. ได้ท�ำบุญอุทศิ ใหก้ บั เปตชน ค�ำว่า เปตชน ในท่นี ี้ หมายถงึ ญาติที่ล่วงลับไปแลว้ ของนาย ก. นั่นเอง ซ่ึงอาจจะไปผดุ ไปเกดิ แลว้ หรอื ยงั ไม่ได้ไปผดุ ไปเกิดกต็ าม ๒) เปรต แปลว่า ผู้หา่ งไกลจากความสุข หมายถงึ ปศี าจจำ� พวกหน่ึงทีเ่ คยก่ออกุศลกรรมเอาไว้ และต้องมารับใช้ผลกรรมนั้นอย่างทุกข์ทรมาน โดยแต่ละตนจะมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว และ เสวยผลกรรมในลักษณะท่ีแตกตา่ งกนั ออกไป ข้นึ อย่กู บั กรรมทีต่ นได้ท�ำไว้ 1 พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสนฉ์ บบั ประมวลธรรม, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๑๒, (กรงุ เทพ- มหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หนา้ ๒๔๘. 2 ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๔, (กรงุ เทพมหานคร : ศริ วิ ฒั นา อินเตอร์ปรนิ้ ท์, ๒๕๕๖), หนา้ ๗๕๕. 3 ศกั ดส์ิ ิทธ์ิ พนั ธ์ุสัตย,์ ระวังจะเป็นเปรต, (กรุงเทพมหานคร : เลย่ี งเซยี ง เพียรเพื่อพุทธศาสน,์ มปพ.) หน้า ๑๔. 08. ���� (86-112).indd 86 30/4/2561 19:42:25
เปรต 87 เปรตในความหมายของคนไทยทั่วไป กค็ ือ ผชี นดิ หน่ึง จึงมกั เรียก เปรตวา่ ผเี ปรต มีบางทา่ น ไดจ้ ดั ผบี างจำ� พวก เชน่ ผีกระสือ ผกี ระหงั ผปี อบ แต่ทจ่ี รงิ ผีเหลา่ นัน้ กค็ อื เปรต น่ันเอง แตบ่ างทา่ น ก็กล่าวแย้งว่าบรรดาผี ๆ ทค่ี นไทยเราร้จู ักนั้นน่าจะเปน็ อสรุ กาย มากกว่าจะเป็นเปรต ก็วา่ กันไป ! ๒. ภูมิของเปรต ในพระพุทธศาสนาได้จัดภพภูมิที่สรรพสัตว์ผู้ยังมีกิเลสท้ังหลายจะต้องเวียนว่ายตายเกิดว่า มที ั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ เรยี กว่า “วฏั สงสาร ๓๑ ภมู ”ิ แบง่ เป็น ๓ ระดบั คือ4 : ๑) กามาวจรภมู ิ คอื ภูมิของผูย้ งั แสวงหาความสุขจากกามคณุ ๕ ได้แก่ รปู เสียง กลิ่น รส และ สัมผัสท่ีน่าพอใจ มี ๑๑ ภูมิ คือ อบายภมู ิ ๔, มนุสสโลก ๑ และ สวรรค์ ๖5 ๒) รปู าวจรภมู ิ คอื ภมู ขิ องผเู้ สพสขุ จากการเขา้ รปู ฌานตง้ั แตป่ ฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตตยิ ฌาน และ จตุตถฌาน มี ๑๖ ภมู ิ นับตัง้ แต่พรหมปาริสชั ชาขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐพรหม6 ๓) อรูปาวจรภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของผู้เจริญสมาธิจนถึงระดับอรูปฌาน ๔ เป็นผู้เสพสุข อนั เกดิ จากการเขา้ อรปู ฌาน มี ๔ ภูมิ ตามล�ำดับของอรปู ฌานมอี ากาสานัญจายตนภูมิ เปน็ ต้น7 บรรดาสัตว์ผู้ยังมีกิเลสท้ังหลายเกิดใน ๓๑ ภูมิน้ีเท่าน้ัน ไม่มีนอกเหนือจากนี้ ส่วนใครจะเกิด ในภพภูมิใด ข้ึนอยู่กับกรรมเป็นตัวก�ำหนดจัดสรรให้ ใครท�ำกรรมดี ย่อมเกิดในภพภูมิท่ีดี ใครท�ำช่ัว ย่อมไปเกิดในภพภมู ทิ ่ีชว่ั ตามกรรมทต่ี นไดส้ ร้างไว้ ภพภูมิของเปรตจัดเป็นหน่ึงในอบายภูมิ ๔ และจัดเป็นภพภูมิส�ำหรับลงโทษผู้ที่กระท�ำบาป ที่ถอื วา่ เปน็ อนั ดบั ๒ รองจากนรก กลา่ วกนั วา่ ผทู้ เ่ี กดิ ในนรกนนั้ จะถูกลงโทษให้ทกุ ขท์ รมานอยตู่ ลอด เวลา โดยไม่มผี ่อนหนักผ่อนเบา ไมม่ ีหยุดพักแม้เสยี้ ววนิ าที สว่ นผทู้ เี่ กดิ ในภมู ขิ องเปรตแมจ้ ะตอ้ งรบั กรรมเชน่ เดยี วกบั สตั วน์ รก แตก่ ม็ ผี อ่ นหนกั ผอ่ นเบาบา้ ง ในบางครั้งบางคราว เชน่ เปรตปากเทา่ รเู ข็ม มคี วามหวิ โหยอย่างแรง แต่ก็มผี อ่ นปรนใหห้ ากนิ ประทัง 4 อ้างแล้ว, หน้า ๑๕-๑๖. 5 อบายภมู ิ ๔ : ๑) นรก ๒) เปรตวสิ ัย ๓) อสรุ กายภมู ิ และ ๔) ก�ำเนดิ สตั ว์ดริ จั ฉาน ๕) มนุษย,์ สวรรค์ ๖ : ๖) จาตมุ หาราชกิ า ๗) ดาวดงึ ส์ ๘) ยามา ๙) ดสุ ติ ๑๐) นมิ มานรดี ๑๑) ปรนิมมิตวสวตั ตี. 6 รูปพรหม ๑๖ : ๑) พรหมปารสิ ชั ชา ๒) พรหมปโุ รหิตา ๓) มหาพรหมา ๔) ปริตตาภา ๕) อัปปมาณาภา ๖) อาภัสสรา ๗) ปรติ ตสภุ า ๘) อัปปมาณสุภา ๙) สภุ กิณหา ๑๐) อสัญญสี ัตตา ๑๑) เวหปั ผลา ๑๒) อวหิ า ๑๓) อตัปปา ๑๔) สทุ สั สา ๑๕) สทุ ัสสี และ ๑๖) อกนิฏฐา 7 อรปู พรหม ๔ : ๑) อากาสานัญจายตนะ ๒) วิญญาณัญจายตนะ ๓) อากิญจัญญายตนะ และ ๔) เนวสัญญา- นาสัญญายตนะ 08. ���� (86-112).indd 87 30/4/2561 19:42:26
88 สารนพิ นธพ์ ุทธศาสตรบณั ฑติ ๒๕๖๑ ความหิวได้ เปน็ ต้น แตถ่ ึงกระนน้ั ก็ยงั ทกุ ขท์ รมานแสนสาหัสนบั เป็นรอ้ ยเปน็ พนั ปี หรืออาจมากกว่านั้น เปน็ กัปเปน็ กลั ป์กม็ ี ๓. ประเภทของเปรต8 ๑) จำ� แนกตามทมี่ า มี ๒ ประเภท : ๑. เปรตท่ไี ปจากโลกมนุษย์ ได้แก่ เปรตจ�ำพวกทท่ี �ำกรรมไม่หนกั พอท่ีจะไปรับโทษในนรก ท�ำกรรมท่ีมโี ทษพอเหมาะพอสมจะไปเกิดในภูมิของเปรต พอตายไปก็ไปเกดิ เป็นเปรตชดใชก้ รรมทนั ที ไม่ต้องลงนรกกอ่ น ๒. เปรตทมี่ าจากนรก ไดแ้ ก่ ผทู้ ที่ ำ� กรรมหนกั เอาไว้ เมอ่ื ครงั้ ยงั มชี วี ติ อยู่ หลงั จากตายไปแลว้ กไ็ ปชดใชก้ รรมนนั้ ในนรกขมุ ตา่ ง ๆ ตามนำ�้ หนกั ของกรรม เมอื่ ใชก้ รรมในนรกหมดแลว้ แตย่ งั มเี ศษกรรม ติดตัวอยู่ ก็จะมาเกดิ เป็นเปรตเพอ่ื ชดใชเ้ ศษกรรมที่เหลอื อยู่ ๒) จ�ำแนกตามลกั ษณะการเสวยผลกรรม มี ๕ ประเภท : ๑. ขปุ ปิปาสกิ เปรต : เปรตหวิ กระหาย ไดแ้ ก่ เปรตที่เสวยผลกรรมด้วยความอดยากหิวโหย มรี ูปรา่ งผอมโซ เทีย่ วแสวงหาของกินไปตามท่ีต่าง ๆ แต่กไ็ ม่พบสง่ิ ท่เี ป็นอาหารใด ๆ เปรตบางจำ� พวก วบิ ากกรรมบันดาลให้ไปพบแม่น้�ำ ข้าวปลาอาหารวางอยู่ตรงหนา้ ด้วยความหวิ กระหายเปรตเหลา่ น้ัน ก็ว่งิ เข้าหาหมายจะกินให้อ่ิมหน�ำ แตเ่ ม่ือจะเอาเข้าปาก น�ำ้ อาหาร เหลา่ นนั้ กก็ ลายเป็นหิน เปน็ ทราย เปน็ แกลบ ไมส่ ามารถจะกนิ จะดมื่ ได้ เปรตเหลา่ นนั้ กไ็ ดแ้ ตค่ รำ่� ครวญ รอ้ งไหอ้ ยา่ งนา่ เวทนา เปรตบางตน มปี ากเทา่ รูเขม็ จะกนิ อะไรกก็ ินไดท้ ลี ะนอ้ ย ไม่อาจกนิ ใหส้ าแกค่ วามหวิ ได้ ทีเ่ ปน็ ดงั น้ี เพราะผลกรรม ทีเ่ กดิ จากความตระหนีถ่ ี่เหนียว หวงแหนในทรัพย์ของตน ไมเ่ คยท�ำบุญ ท�ำทาน แม้ท�ำกท็ ำ� ด้วยความ เสยี ดาย ๒. วนั ตาสเปรต : เปรตกินของสกปรก ไดแ้ ก่ เปรตท่ีเสวยผลกรรมดว้ ยการกินของสกปรก เป็นอาหาร เช่น กินอุจจาระ ซากศพ น�้ำลาย เสลด น�้ำเหลือง น้�ำหนอง กินลูกของตัวเอง เป็นต้น เป็นผลมาจากกรรมที่พูดจาไมด่ ี โกหกมดเทจ็ พูดสบถสาบาน พดู ค�ำหยาบ ดูถูกดูหมนิ่ ผู้มีพระคุณหรอื ผ้ทู รงศลี เปน็ ตน้ ๓. ปรทัตตูปชวี เี ปรต : เปรตขอสว่ นบุญ ได้แกเ่ ปรตทีม่ คี วามหิวโหย แต่ไม่สามารถจะกนิ อาหารอยา่ งอนื่ ได้ นอกจากขอรบั สว่ นบญุ จากญาตอิ ทุ ศิ ให้ เปรตจำ� พวกนจี้ ะมโี ทษเบาบาง คอื ไมไ่ ดส้ รา้ ง เวรสร้างกรรมท่ีหนักหนาสาหัส ถ้าเปรียบเหมือนนักโทษก็คือนักโทษท่ีก่อคดีไม่รุนแรง พร้อมท่ีจะให้ ญาติประกันตัว อีกส่วนหน่ึงคือ เปรตท่ีท�ำกรรมหนักแต่ได้ชดใช้กรรมน้ันเบาบางหรือเหลือน้อยเต็มที 8 อ้างแล้ว, หน้า ๒๐-๒๓. 08. ���� (86-112).indd 88 30/4/2561 19:42:26
เปรต 89 เม่อื ได้รบั การอุทศิ บุญจากญาติกจ็ ะพน้ จากความเป็นเปรตทันที เปรยี บเหมือนนกั โทษคดีร้ายแรง แต่มี ความประพฤตดิ ี เมอื่ รบั โทษใกล้ครบแลว้ หากไดร้ ับการอภยั โทษกจ็ ะได้รับการปล่อยตวั ก่อนกำ� หนด ๔. ณชิ ฌามตณั หิกเปรต : เปรตไฟเผา9 ได้แก่ เปรตท่เี สวยผลกรรมด้วยการถูกไฟแผดเผา ร่างกาย โดยมากเป็นผลกรรมจากการใชไ้ ฟเผาทรัพย์สินหรือใชไ้ ฟเผาท�ำร้ายคนอนื่ ๕. เวมานกิ เปรต : เปรตมีวมิ าน10 ไดแ้ ก่เปรตท่ีมีวิมานหรือทอี่ ยูเ่ ป็นหลกั แหลง่ ของตนเอง เปรตจำ� พวกนเี้ คยเปน็ อบุ าสกิ ารกั ษาศลี อโุ บสถ แตไ่ ดเ้ ลน่ ชนู้ อกใจสามี เมอื่ ตายไปเกดิ เปน็ เปรต มรี า่ งกาย สวยงาม และไดอ้ ยใู่ นวมิ านทพิ ยห์ ลังใหญ่ ดว้ ยอานสิ งสแ์ หง่ ศลี ท่ีตนเคยรกั ษา แตพ่ อตกกลางคืนต้องลง จากวิมานใหส้ นุ ขั รุมกดั ดว้ ยผลแห่งกรรมเลน่ ชแู้ ละโกหกสามี ๔. เปรตอยู่ทไี่ หน ภพภูมิหรือท่ีอยู่ของเปรตนั้นท่านกล่าวว่า11 อยู่ในโลกของมนุษย์น้ีเอง เพียงแต่ว่าอยู่คนละมิติ ไม่อาจมองเห็นหรือติดต่อส่ือสารกันได้โดยประสาทสัมผัสท้ัง ๕ นอกจากผู้มีญาณวิเศษเท่าน้ันจึงจะ สามารถเหน็ หรอื ตดิ ตอ่ กบั เปรตผา่ นมติ ไิ ด้ หรอื อกี ทางหนง่ึ คอื เปรตเปน็ ผตู้ ดิ ตอ่ เราเอง โดยเปรตปรากฏ กายหยาบจนเราสามารถมองเห็นหรือรับรู้ด้วยประสาทสมั ผสั ทางใดทางหนง่ึ แหล่งท่ีอยู่ของเปรตก�ำหนดแน่นอนไม่ได้ ข้ึนอยู่กับว่าเปรตตนนั้นท�ำกรรมที่ผูกพันกับสถานท่ี ใดไว้ เช่น เปรตบางตนมีความหวงแหนในทรัพย์สมบัติในวัดวาอารามท่ีตนได้สร้างไว้ หรือเคยเป็น เจา้ อาวาสปกครองก็มกั จะเกิดในวดั หรือสถานท่ีน้นั ๆ คอยเฝา้ หวงแหนทรพั ยข์ องตน หรอื เปรตบางตน สมยั เปน็ มนุษยเ์ คยใชช้ วี ติ อยูใ่ นหมบู่ ้านน้ี มคี วามเก่ียวพนั กบั ญาตพิ ีน่ อ้ ง กม็ กั จะไปเกดิ ในทใ่ี กลห้ มบู่ ้าน แหง่ นน้ั เปรตบางตนไดท้ ำ� ดเี อาไว้ ผลบญุ สง่ ใหไ้ ดว้ มิ านทพิ ยเ์ มอื่ ตายไปกไ็ ปอยใู่ นวมิ านของตน ซงึ่ วมิ านนน้ั อาจตงั้ อยู่ในปา่ ในเขา ในถำ้� แต่เปรตส่วนมากมักจะอยู่ไมเ่ ปน็ หลกั แหล่ง จะเที่ยวสัญจรแสวงหาสว่ นบุญไปเรอื่ ย ๆ ท่ใี ดมคี น ไปทำ� บุญมาก ๆ เปรตกม็ ักจะไปรวมตัวกนั อยใู่ นทน่ี ั้น ๆ เพ่อื รอรบั ส่วนบุญทเ่ี ขาอทุ ศิ ใหด้ ังน้นั เราจงึ มัก จะเหน็ เปรตในวดั มากกวา่ ทอ่ี น่ื 9 มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , เปรต ๑-๔ : หนงั สอื พระสตู รและอรรถกถาแปล เลม่ ที่ ๓๙ (ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ) เล่มท่ี ๑ ฉบับมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๒๕), หน้า ๒๙๙. 10 มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , อรรถกถาภาษาไทย พระสตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย เปตวตั ถุ ฉบบั มหาจฬุ า- ลงกรณราชวทิ ยาลัย (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๖), หน้า (๑๕) 11 ศักดส์ิ ทิ ธ์ิ พันธ์สุ ตั ย์, ระวงั จะเปน็ เปรต, (กรุงเทพมหานคร : เล่ยี งเซียง เพยี รเพอ่ื พทุ ธศาสน์, ม.ป.พ.) หน้า ๑๕-๑๖. 08. ���� (86-112).indd 89 30/4/2561 19:42:26
90 สารนิพนธ์พุทธศาสตรบัณฑติ ๒๕๖๑ ๕. กรรมทีท่ ำ� ใหไ้ ปเกิดเป็นเปรต12 เปรต มีมากมายหลายชนิดด้วยกัน ซ่ึงเปรตชนิดไหนจะมีรูปร่างและมีความเป็นอยู่อย่างไรน้ัน ขนึ้ อยกู่ บั บาปกรรมทต่ี นไดก้ ระทำ� ซง่ึ บาปกรรมทว่ี า่ นนั้ อาจเปน็ เศษกรรมทหี่ ลงเหลอื จากนรก หรอื เปน็ บาปกรรมทท่ี ำ� ไว้ในโลกมนุษย์ทีส่ ง่ ผลให้ไปเกดิ เปน็ เปรตโดยตรง ในโลกของเปรต แม้จะเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความอดอยากหิวโหย แต่ใช่ว่าเปรตทุกตนจะต้อง รับกรรมด้วยความหิวโหยเสมอไป เพราะเปรตที่รับกรรมด้วยถูกไฟเผาไหม้ร่างกายก็มี ถูกสุนัขกัดก็มี ถูกหนอนเจาะตามร่างกายกม็ ี ถูกหอกดาบทม่ิ แทงก็มี และยังมรี ูปแบบอน่ื อกี มากมาย เปรตตนไหนจะรับกรรมอย่างไร ขึ้นอยู่กับรูปแบบของกรรมท่ีท�ำ ซ่ึงท่านจ�ำแนกไว้ ๑๐ อย่าง เรยี กวา่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ แยกเปน็ : ๑) กายทจุ รติ ๓ : ฆ่าสตั ว์ ลกั ทรพั ย์/มิจฉาชีพ ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๒) วจที จุ ริต ๔ : พดู เท็จ พูดส่อเสยี ด พูดคำ� หยาบ พูดเพ้อเจ้อ ๓) มโนทุจรติ ๓ : คิดโลภอยากได้ของเขา คดิ พยาบาททำ� ลาย เห็นผิดท�ำนองคลองธรรม ๖. ตัวอยา่ งเปรตชนิดตา่ ง ๆ ๑. เปรตสมยั พทุ ธกาล13 บุคคลแรกที่ยืนยันว่า เปรตมีจริง คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมีหลักฐานเป็น พระพุทธพจน์ท่ีจารึกไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ซ่ึงเป็นคัมภีร์ท่ีเก่าแก่ที่สุดในพระพุทธศาสนา ปัจจุบัน มที ัง้ หมด ๔๕ เล่ม ในพระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๑๖ (สงั ยุตตนิกาย นิทานวรรค) มีพระสตู รท่ีบนั ทกึ เร่ืองราว บพุ กรรมของเปรตเอาไว้ ๒๑ เร่อื ง และในพระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๒๖ (ขุททกนกิ าย วมิ านวตั ถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา) ได้บนั ทึกเรอื่ งราวบพุ กรรมของเปรตต่าง ๆ เอาไว้ ๕๑ เร่ือง นอกจากนี้ยังมีเร่ืองราว 12 อ้างแล้ว, หน้า ๓๕. 13 อ้างแล้ว, หน้า ๑๐. 08. ���� (86-112).indd 90 30/4/2561 19:42:26
เปรต 91 ของเปรตที่กระจัดกระจายอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มอ่ืนอีกมากมาย เช่น ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ (ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต) ได้กล่าวถึงบุพกรรมของเปรตงู และเปรตกา เป็นตน้ ๑) เปรตเศรษฐบี ุตร : โลหกุมภนี รกหมนุ เร็วมาก14 เป็นเรอ่ื งแสดงผลกรรมช่วั ของบุตรเศรษฐี ๔ คน ในกรงุ สาวตั ถที ่ไี ด้ประพฤติล่วงละเมิดภรรยา ของผู้อ่ืน และท�ำชั่วอย่างอื่นอีกมาก ตายแล้วไปเกิดในนรกช่ือโลหภุมภี ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส อยากจะระบายความทุกข์จึงผุดจากก้นนรกขึ้นมากล่าวได้คนละ ๑ อักษรตัวแรก ก็จมดิ่งลงสู่ก้นนรก ตอ่ ไป เสยี งอกั ษรตวั แรกท่ีแตล่ ะตนเปลง่ ออกมาคือ ส น ทุ โส กลบั ดังกกึ กอ้ งถึงพระโสตของพระเจ้า ปเสนทิโกศล ผู้บรรทมไม่หลับ เพราะทรงรอคอยให้ถงึ เวลารงุ่ อรุณเรว็ ๆ จะไดท้ รงชมเชยสตรีรูปงาม ที่ทอดพระเนตรในวันนั้น และรับส่ังให้สามีของนางไปหาดินสีอรุณมาจากสระแห่งหนึ่ง ณ ท่ีไกล แลว้ กลับมาให้ทันเวลาทรงสนานของพระองค์ ซ่ึงเปน็ อบุ ายที่จะประหารชวี ติ สามีของนาง ด้วยความกลัวเสียงนั้น พอรุ่งอรุณ พระองค์เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคตามค�ำแนะน�ำของ พระนางมลั ลกิ าเทวี พระผมู้ พี ระภาคจงึ ตรสั เลา่ เรอื่ งเปรตเศรษฐบี ตุ รถวาย และขณะนน้ั สามขี องสตรนี น้ั ได้มาน่ังฟังอยู่ดว้ ย เพราะกลบั มาทนั เวลา แตป่ ระตูพระนครปดิ กอ่ นกำ� หนด จงึ เอาดนิ สอี รุณแขวนไว้ที่ ประตพู ระนคร แล้วมารอจะเขา้ เฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ พระเชตวัน พระพุทธองคไ์ ด้ตรสั ว่าอกั ษร ๔ ตัว คือ ส น ทุ โส ทเ่ี ปรต ๔ ตนกลา่ วนน้ั ความจรงิ พวกเขา ต้องการกล่าวค�ำเตม็ แต่โลหกุมภีนรกน้นั หมนุ เร็วมาก จงึ กล่าวได้เพียงตนละ ๑ ตัวอักษร “อักษร ส มาจากค�ำว่า สฏฺวสสฺ สหสฺ านิ (๖ หมน่ื ปี) เขาตอ้ งการจะบอกวา่ สฏฺ วสสฺ สหสฺสานิ ปริปุณฺณานิ สพฺพโส นิรเย ปจจฺ มานานํ กทา อนโฺ ต ภวสิ สฺ ติฯ เมอ่ื พวกเราหมกไหม้อย่ใู นนรก ๖ หมนื่ ปคี รบถว้ นบริบูรณ์ เมื่อไรจักมีความส้นิ สดุ อักษร น มาจากค�ำว่า นตฺถิ (ไมม่ )ี คอื เขาต้องการจะบอกว่า นตถฺ ิ อนฺโต กุโต อนโฺ ต น อนฺโต ปฏทิ ิสฺสติ ตถาหิ ปกตํ ปาปํ มม ตุยหฺ ญจฺ มารสิ ฯ 14 มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย พระสุตตันต- ปฎิ ก ขุททกนิกาย วมิ านวตั ถุ เปตวตั ถุ, เถรคาถา, เถรีคาถา เล่มที่ ๒๖ (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณ- ราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ [๕๑]-[๕๒] และหน้า ๓๐๐. 08. ���� (86-112).indd 91 30/4/2561 19:42:26
92 สารนพิ นธพ์ ุทธศาสตรบัณฑติ ๒๕๖๑ ความส้ินสุดไมม่ ี ความสน้ิ สดุ จะมีท่ีไหน ความส้นิ สุดจกั ไม่ปรากฏ เพื่อนยาก เพราะเราและท่านไดท้ �ำกรรมช่วั ไวอ้ ยา่ งนน้ั อักษร ทุ มาจากค�ำวา่ ทชุ ชฺ ีวติ ํ ชีวมหฺ (มชี ีวิตอย่อู ยา่ งล�ำบาก) เขาตอ้ งการจะบอกว่า ทุชชฺ ีวิตํ ชวี มฺห เย สนเฺ ต น ททมมฺ เส สนเฺ ตสุ เทยฺยธมฺเมส ุ ทีปํ นากมฺหมตฺโตฯ พวกเรา เมื่อไทยธรรมมอี ยู่ ไมใ่ ห้ของทีม่ ีอยู่ จงึ มีชวี ิตอยู่อยา่ งลำ� บาก เมือ่ ไทยธรรมมอี ยู่ พวกเราไม่ได้ทำ� ท่ีพ่งึ แกต่ น อกั ษร โส มาจากค�ำว่า โสหํ (เราน้นั ) คือเขาตอ้ งการจะบอกวา่ โสหํ นนู อโิ ต คนฺตวฺ า โยนึ ลทฺธาน มานุสึ วทญญฺ ู สลี สมฺปนโฺ น กาหามิ กุสลํ พหํฯ เราน้นั จากเปตโลกน้ีไปแล้ว ได้เกิดเป็นมนษุ ย์ จกั รคู้ วามประสงค์ของผู้ขอ สมบรู ณด์ ว้ ยศีล ท�ำกุศลให้มากเปน็ แน่” พระศาสดาครน้ั ตรสั คาถาเหลา่ นี้ จงึ ทรงแสดงธรรมโดยพสิ ดาร เมอื่ จบเทศนา บรุ ษุ ผนู้ ำ� ดนิ เหนยี ว และดอกอบุ ลด�ำรงอยใู่ นโสดาปตั ตผิ ล พระราชาทรงเกิดธรรมสังเวช ทรงละความเพง่ เล็งในหญงิ ทผ่ี ู้อนื่ หวงแหน ไดเ้ ปน็ ผูย้ นิ ดแี ต่ภรรยาของตนฯ ๒) เปรตกนิ ข้ี : บาปแกลง้ เอาขีถ้ วายพระ15 ในสมยั ของพระพทุ ธเจา้ พระนามวา่ กสั สปะ มพี ราหมณช์ าวเมอื งราชคฤหค์ นหนง่ึ ไมม่ จี ติ เลอ่ื มใส ในพระพุทธศาสนา ปรารถนาจะแกลง้ พระภิกษใุ ห้อับอาย จึงใหค้ นไปนิมนตพ์ ระมาฉนั ทบี่ ้าน เมื่อพระ มาแลว้ ก็ให้คนยกส�ำรบั มาถวายพระ แตพ่ อพระเปดิ สำ� รบั จะฉนั เท่านนั้ ถึงกบั ผงะหงายหลัง เพราะสิ่งท่ี พราหมณน์ ำ� มาถวายคอื “ข้ี” พราหมณ์ได้พูดกับพระว่า “ขอพวกท่านฉันได้เต็มที่นะ ถ้าไม่พอขอใหม่ได้” ว่าแล้วก็หัวเราะ ชอบใจ ด้วยผลกรรมท่ีเขาได้ท�ำกับพระในคร้ังน้ัน เม่ือตายไปแล้วได้ไปเกิดเป็นเปรตตนหน่ึงในหลุมขี้ เมือ่ มนุษยม์ าถา่ ยกอ็ ้าปากรบั กนิ อจุ จาระ และใชม้ อื ท้งั สองกอบคถู กนิ ด้วยความหวิ สาสมแก่บาปกรรม ทท่ี �ำไว้ 15 ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ พนั ธส์ุ ตั ย,์ ระวงั จะเปน็ เปรต, (กรงุ เทพมหานคร : เสยี่ งเซยี ง เพยี รเพอ่ื พทุ ธศาสน,์ ม.ป.พ.), หนา้ ๕๐. 08. ���� (86-112).indd 92 30/4/2561 19:42:26
เปรต 93 ๓) เปรตรา่ งทรง : บาปหลอกคนใหง้ มงาย16 สมยั หนง่ึ พระมหาโมคคลั ลานะ กำ� ลงั จะลงจากเขาเพอ่ื บณิ ฑบาตในเวลาเชา้ มดื ทา่ นไดพ้ บเปรต หญงิ ตนหนง่ึ สวมเสอ้ื ผา้ ขาดรงุ่ รง่ิ ผวิ พรรณดำ� หยาบกรา้ น เนอ้ื ตวั เตม็ ไปดว้ ยแผลเนา่ มนี ำ�้ หนองไหลเยม้ิ สง่ กลน่ิ เหมน็ ราวกบั ซากศพลอยอยใู่ นอากาศ ถกู นกแรง้ นกกาตามจกิ กรดี รอ้ งดว้ ยความเจบ็ ปวดทรมาน พระเถระทูลถามบุพกรรมของเปรตตนนั้นกับพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ตรัสว่าเปรตตนน้ีในอดีต เคยเปน็ หญงิ อยใู่ นเมอื งราชคฤหแ์ หง่ น้ี นางไดต้ งั้ ตวั เปน็ รา่ งทรง สามารถตดิ ตอ่ กบั เทพเจา้ และสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ ต่าง ๆ ได้ ท�ำให้คนหลงเช่ือและได้ความเคารพนับถือมากมาย นางได้เข้าทรงหลอกลวงคนอ่ืนหากิน อย่างน้ีจนตลอดชีวิต คร้ันตายไปได้ไปเกิดในนรก เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็ได้มาเกิดเป็นเปรตร่างเน่า นางไดอ้ าศยั รา่ งกายของตนหลอกลวงคนอนื่ วา่ เปน็ รา่ งทรงประกอบมจิ ฉาชพี จงึ ตอ้ งมาทนทกุ ขท์ รมาน มีร่างกายเนา่ เชน่ น้ี เรื่องน้ีเป็นอุทาหรณ์อย่างดีส�ำหรับผู้ท่ีคิดจะท�ำมาหากินบนความเชื่อความงมงายของคนอ่ืน เพราะนอกจากจะเปน็ การทำ� มาหากินที่ไร้ศกั ดิ์ศรีแล้ว ยงั เสีย่ งต่อการเป็นเปรตอกี ด้วย ๔) เปรตถกู ไฟไหม้ : ผลของการผิดศลี 17 เปรตตนนอี้ าศยั อยู่ทเ่ี ชิงเขาแหง่ หนง่ึ ในเมืองราชคฤห์ มีลักษณะคล้ายกับพระห่มจวี ร จีวรทเี่ ขา หม่ มเี ปลวไฟลกุ โชตชิ ว่ งแผดเผาทว่ มกาย รอ้ งโอดโอยดว้ ยความเจบ็ ปวดทรมาน เปน็ ทน่ี า่ เวทนาอยา่ งยงิ่ พระมหาโมลคลั ลานะเปน็ ผพู้ บเหน็ จงึ ไดก้ ราบทลู ถามถงึ บพุ กรรมของเปรตดงั กลา่ ว พระพทุ ธองค์ ตรสั วา่ ในอดตี ชาตเิ ปรตตนนเี้ คยบวชเปน็ พระภกิ ษใุ นศาสนาของพระกสั สปพทุ ธเจา้ ประพฤตยิ อ่ หยอ่ น ในพระธรรมวินัย ล่วงละเมิดสิกขาบทน้อยใหญ่ทั้งหลาย โดยไม่เกรงกลัวต่อบาป เป็นพระแต่เพียง รปู ลักษณภ์ ายนอกที่ปลงผมหม่ ผา้ เหลืองเท่าน้นั สว่ นข้อวตั รปฏบิ ัตหิ าใช่พระไม่ ด้วยผลกรรมท่ีกระท�ำย่�ำยีพระธรรมวินัยและอาศัยผ้าเหลืองบังหน้า หลอกคนอ่ืนเลี้ยงชีพ เมื่อมรณภาพไปแลว้ ไปเกิดในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ครน้ั หมดกรรมในนรกแลว้ จงึ มาเกิดเป็นเปรตพระ นุ่งห่มจวี รทมี่ ีไฟลุกโชน ผู้ท่ีอยู่ในเครื่องแบบ แล้วอาศัยเคร่ืองแบบหลอกลวงคนอ่ืนหากินโปรดระวัง เครื่องแบบนั้น จะกลายเปน็ ไฟเผากายตนในชาตหิ น้า 16 อ้างแล้ว, หนา้ ๕๒. 30/4/2561 19:42:26 17 อ้างแล้ว, หนา้ ๕๕. 08. ���� (86-112).indd 93
94 สารนิพนธพ์ ทุ ธศาสตรบณั ฑติ ๒๕๖๑ ๕) เปรตปากเนา่ : โทษของการยยุ งใหเ้ ขาแตกกนั 18 เปรตตนน้ีมีผิวพรรณท่ีงดงามดั่งทอง มีรัศมีสว่างไสวลอยอยู่ในอากาศราวกับเทพ แต่เมื่อเปรต ตนนอ้ี า้ ปากขน้ึ กลนิ่ เหมน็ เหมอื นซากศพเนา่ กฟ็ งุ้ กระจายออกมาจากปาก หมหู่ นอนนบั รอ้ ยนบั พนั ขนาด เท่านิ้วมือชอนไซเจาะกินปากเต็มไปหมด อ้าปากทีหน่ึงหมู่หนอนก็ร่วงหล่นจากปาก ในอดีตเคยบวช เปน็ พระภิกษใุ นศาสนาของพระกัสสปพุทธเจา้ มีอุปนิสัยชอบพดู สอ่ เสยี ดยยุ งให้คนอน่ื แตกคอกัน วนั หนง่ึ เขายยุ งใหพ้ ระเถระสองรปู ทร่ี กั กนั ดงั พนี่ อ้ งแตกคอกนั เพอ่ื ทต่ี นจะไดเ้ ปน็ เจา้ อาวาสแทน พระเถระท้ังสองรปู ท่ีถูกยุยงได้ทะเลาะกนั และหนอี อกจากวดั ไปคนละทาง ไมพ่ บกนั นานนับสบิ ปี ภายหลังพระเถระทั้งสองได้พบและปรับความเข้าใจกัน เร่งปฏิบัติธรรมจนส�ำเร็จพระอรหันต์ ฝา่ ยพระทช่ี อบพดู สอ่ เสยี ด เมอื่ ตายไปไดไ้ ปเกดิ ในนรกอเวจี พน้ จากนรกแลว้ จงึ มาเกดิ เปน็ เปรตปากเนา่ ผลกรรมจากการพูดส่อเสยี ด ทำ� ใหม้ ีปากเนา่ เหม็น และดว้ ยอานสิ งสแ์ ห่งการรักษาศลี ไม่ท�ำผิด วนิ ัยข้ออื่น ๆ ส่งผลใหม้ ผี วิ พรรณงดงามผอ่ งใส ๖) เปรตแช่งทาน : โทษของการสาปแช่งดา่ คนท�ำด1ี 9 เปรตตนน้ีอดีตเคยเป็นภรรยาของหัวหน้านายช่างหูกในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเป็นคนตระหน่ี ถเี่ หนียว และยงั มีความเห็นผิด ไม่ยินดใี นการท�ำบญุ คราหน่งึ มพี ระกรรมฐาน ๑๒ รูปเดินธุดงคผ์ า่ นไป ท่ีหมู่บ้าน นายช่างหูกและชาวบ้านมีความเล่ือมใส จึงนิมนต์ให้ท่านจ�ำพรรษา ณ ที่ใกล้หมู่บ้านและ แบง่ กนั รบั อปุ ฏั ฐากภกิ ษคุ นละรปู สว่ นหวั หนา้ นายชา่ งหกู รบั อปุ ฏั ฐาก ๒ รปู การรบั อปุ ฏั ฐากพระครงั้ น้ี สรา้ งความไมพ่ อใจแกภ่ รรยาของเขาเปน็ อยา่ งมาก แตเ่ ขากไ็ มใ่ สใ่ จ ตงั้ ใจอปุ ฏั ฐากพระดว้ ยความศรทั ธา จนกระทง่ั ออกพรรษา ในวันออกพรรษานายช่างหูกได้จัดถวายภัตตาหารพร้อมกับถวายผ้าเน้ือดีแก่พระท่ีตนอุปัฏฐาก สรา้ งความไมพ่ อใจแกภ่ รรยาจนทนไมไ่ หวถงึ กบั ดา่ พระสาปแชง่ สามวี า่ “ขอใหข้ า้ วนำ�้ อาหารทที่ า่ นถวาย แก่พระในม้ือน้ี จงกลายเป็นขี้ เป็นเลือด เป็นน้�ำหนองให้ท่านกิน ส่วนผ้าเน้ือดีท่ีถวายจงกลายเป็น แผน่ เหล็กแดงใหท้ ่านสวมใสใ่ นชาติหน้าเถิด” ดว้ ยผลกรรมทไ่ี มใ่ สใ่ จตอ่ การทำ� บญุ ใหท้ าน และสาปแชง่ ความดที ส่ี ามที ำ� สง่ ผลใหน้ างไปเกดิ เปน็ เปรตทนทุกข์ทรมานด้วยความหิวกระหาย ส่วนสามีของนางไปเกิดเป็นรุกขเทวดามีวิมานอยู่บนต้นไม้ แห่งหน่งึ นางเปรตเมอื่ ทราบวา่ สามขี องตนเกดิ เปน็ รกุ ขเทวดาจงึ ไปขอขา้ วปลาอาหาร นำ�้ และเครอ่ื งนงุ่ หม่ รุกขเทวดาได้ให้ทุกอย่างตามท่ีขอ แต่ของท่ีให้ทุกอย่าง เม่ือตกถึงมือนางก็กลายเป็นข้ี เป็นเย่ียว 18 อา้ งแล้ว, หนา้ ๖๒. 19 อา้ งแล้ว, หนา้ ๖๖-๖๗. 08. ���� (86-112).indd 94 30/4/2561 19:42:26
เปรต 95 เป็นเลือด เป็นน้�ำหนองทั้งหมด แม้เสื้อผ้าที่ให้ไปก็กลายเป็นแผ่นเหล็กแดงเผาเน้ือจนไหม้เกรียม ปวดแสบปวดร้อนยิง่ นกั ๗) เปรตผพู้ ิพากษา : โทษของการพดู วจีทจุ ริต20 สมยั หนง่ึ ขณะทพี่ ระนารทเถระลงจากภเู ขา เพอ่ื ไปรบั บณิ ฑบาต ทา่ นเหน็ เปรตตนหนงึ่ มผี วิ พรรณ งดงามด่ังทอง ประดับประดาด้วยเครอ่ื งประดับสวยงาม มีหญงิ สาวเป็นบริวารมากมาย นั่งฉีกเนอื้ หลัง ของตวั เองกนิ เป็นอาหาร รอ้ งไห้ดว้ ยความเจ็บปวด ทา่ นจึงถามถึงบพุ กรรมทเ่ี ปรตตนน้ันไดท้ ำ� ไว้ เปรตตนนนั้ เลา่ ใหฟ้ งั วา่ ในอดตี ตนเคยเกดิ เปน็ ผพู้ พิ ากษา รบั ราชการสนองงานพระเจา้ พมิ พสิ าร ในเมืองราชคฤห์ กระทำ� การทุจรติ รบั สนิ บนตัดสินคดีดว้ ยความอยตุ ธิ รรม แถมยังมักกลา่ วคำ� สอ่ เสียด โกหกหลอกลวง ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถืออุโบสถศีลเดือนละ ๖ วัน ท�ำให้ ขา้ ราชการสว่ นใหญถ่ อื ตามพระองค์ ยกเวน้ ขา้ พเจา้ คนเดยี ว เมอ่ื ถกู พระราชาถามวา่ “เธอรกั ษาอโุ บสถ หรอื ไม”่ กก็ ราบทลู โกหกวา่ “รกั ษา พะยะคะ่ ” เพอื่ นคนหนงึ่ รวู้ า่ ขา้ พเจา้ พดู ไมจ่ รงิ จงึ ขอรอ้ งใหข้ า้ พเจา้ ถืออุโบสถศลี ครงึ่ วันในวันนัน้ ข้าพเจ้าตกลงและได้สมาทานอุโบสถศีลในวันน้ัน พอตกกลางคืนได้เสียชีวิตลงด้วยโรคปัจจุบัน ด้วยอานิสงส์แห่งการรักษาอุโบสถศีลท�ำให้ข้าพเจ้ารูปงาม มีผิวพรรณดั่งทอง มีวิมานและหญิงบริวาร มากมาย แตท่ ต่ี อ้ งฉกี เนอื้ หลงั ของตวั เองกนิ เปน็ อาหารน้ี กเ็ พราะผลกรรมทรี่ บั สนิ บนและตดั สนิ คดดี ว้ ย ความไม่เป็นธรรม ๒. เปรตสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ เรอ่ื งของเปรต ๔ เรอื่ งตอ่ ไปนี้ คณุ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ พนั ธส์ุ ตั ย์ พทุ ธศาสตรบณั ฑติ รนุ่ ท่ี ๔๓ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้กรุณาถอดความจากค�ำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ ๓ ท่าน คือ หลวงปู่ม่ัน ภรู ทิ ตโฺ ต หลวงป่จู นั ทา ถาวโร และหลวงปู่ชอบ านสโม โปรดอา่ นด้วยโยนิโสมนสกิ าร ไปตามลำ� ดับ : ๑) เปรตหวงกระดูก :21 หลวงปมู่ นั่ ภูรทิ ตฺโต วัดป่าสทุ ธาวาส ตำ� บลธาตุเชงิ ชุม อ�ำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ๔๗๐๐๐ เกิดเมอื่ วนั ท่ี ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๑ ในตระกลู “แก่นแกว้ ” ณ บา้ นคำ� บง อำ� เภอโขงเจยี ม จงั หวัดอบุ ลราชธานี อปุ สมบทเม่ือวันท่ี ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ มรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ สริ อิ ายุ ได้ ๗๙ ปี ๕๖ พรรษา 20 อ้างแล้ว, หน้า ๙๐. 21 อา้ งแล้ว, หนา้ ๑๐๙-๑๔๓. 08. ���� (86-112).indd 95 30/4/2561 19:42:26
96 สารนิพนธ์พุทธศาสตรบณั ฑิต ๒๕๖๑ ค�ำสอน : ชวี ติ ทยี่ งิ่ ใหญ่ คือชีวิตทีอ่ ย่ดู ว้ ยทาน ศีล เมตตา และกตญั ญู หลวงปู่เล่าวา่ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๙๐ ณ วัดปา่ บ้านหนองผือ อ�ำเภอเมืองสกลนคร จงั หวัดสกลนคร คืนวนั หนงึ่ เวลาใกล้รงุ่ ขณะทห่ี ลวงปกู่ ำ� ลังน่งั ภาวนาอยู่บนกฎุ กิ ็ได้ยนิ เสียงร้องคร่ำ� ครวญวา่ “ฮือ ๆ ๆ ลูกจา๋ เมียจา๋ ” หลวงปสู่ งสยั วา่ ใครหนอมารอ้ งไหร้ ำ� พงึ รำ� พนั อยแู่ ถวนี้ ณ ปา่ ชายทงุ่ ทา้ ยหมบู่ า้ นหนองผอื ไมไ่ กล จากวัดปา่ บา้ นหนองผอื ปรากฏเสยี งรอ้ งรำ� พึงร�ำพันวา่ “ฮือ ๆ ฮือ ๆ เมยี จา๋ ลูกจ๋า” หลวงปจู่ งึ ถอดจติ คอ่ ย ๆ เดนิ ไปทางเสยี งทด่ี งั มา พรอ้ มกบั พดู เสยี งเบา ๆ วา่ “ผใู้ ดหนอมารอ้ งไห้ เป็นหมาเฝา้ ไหกระดกู อยนู่ ี่” ทันใดน้ันก็ปรากฏร่างเปรตเพศชายตนหน่ึงโผล่ออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับตะโกนลั่นว่า “อ๊าก ! ผีพระหลอก!!” หลวงปู่จึงพูดวา่ “อาตมาไม่ใชผ่ ี อาตมาไดย้ นิ เสียงร้องไห้ จึงถอดจติ มาดูวา่ แตเ่ จา้ ชื่ออะไร ท�ำไม จงึ ไมไ่ ปผดุ ไปเกดิ ?” “ข้าน้อยชื่อตาเซียงจวง (เซียง : เป็นภาษาอีสานใช้เรียกคนที่เคยบวชเป็นสามเณรมาก่อน) ขา้ น้อยคดิ ถงึ ลกู คิดถึงเมยี หลาย หลวงปูช่ ว่ ยพาลกู เมียข้าน้อยมาหาขา้ น้อยหนอ่ ยเถอะ” หลวงปู่จงึ กล่าววา่ “ตัวเจา้ น้มี ัวแต่หลงยดึ มั่นถอื ม่ันวา่ ลกู กู เมยี กู จนตอ้ งตายกลายมาเปน็ เปรต เฝ้ากระดูกเหมือนหมาหวงกระดูก ทกุ ข์ทรมานมา ๕๐๐ ปแี ลว้ ยงั ไม่รตู้ วั อกี ลกู เมยี เจ้าป่านนไี้ ปเกิด เป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้ แต่เจ้ากลับมานั่งหวงกระดูกที่เปล่าประโยชน์อยู่นี่ มันน่าเวทนานัก ความยึดม่ัน ถอื มนั่ มนั ทำ� ใหเ้ ป็นทุกข์ ตายไปกไ็ ม่ไดไ้ ปผุดไปเกดิ เหมือนกบั คนอื่นเขา ปลอ่ ยวางซะ จะมานั่งร้องไห้ เป็นผีอด ๆ อยาก ๆ กบั ไหกระดูกมนั บ่คมุ้ กันดอก” เปรตเซยี งจวงนั่งประนมมือฟงั หลวงปู่ด้วยความเศรา้ สลด และได้กม้ ลงกราบหลวงปู่ พรอ้ มกบั กลา่ ววา่ “ข้านอ้ ยเข้าใจทีห่ ลวงปพู่ ูดแลว้ ขอบพระคณุ หลวงปู่ทเ่ี มตตา” จากนนั้ ได้หายแวบ๊ ไป หลวงปู่ “ไปดีนะ เซยี งจวง” อกี ๒ วนั ตอ่ มา ขณะท่ีหลวงปูก่ ำ� ลงั นัง่ อยู่ทกี่ ฎุ ิ ก็มชี าย ๒ คนอุม้ ไหคนละใบ มานมัสการหลวงปู่ หลวงปู่ถามว่า “โยมทั้งสองมีธุระอะไรหรือ?” ชายคนหนึ่งนั่งประนมมือนมัสการหลวงปู่ว่า “เร่อื งคือวา่ นายเคนไปไถนา ไปนอนหลับใต้ตน้ ไม้ และมีเปรตตนหนง่ึ มาเขา้ ฝนั ครบั หลวงป”ู่ นายเคนเล่าว่า “เปรตตนนั้นบอกให้ข้าน้อยไปเอาไหสองใบมาให้หลวงปู่ขอรับ ในฝันน้ันเปรต บอกว่าชื่อตาเซียงจวง เมื่อสองวันท่ีแล้ว ได้ฟังเทศน์จากหลวงปู่ ท�ำให้ได้สติ ไม่ยึดมั่นในไหกระดูก อกี ต่อไป บดั นี้เขาจะไปเกดิ แลว้ จึงขอให้น�ำไหท้ังสองใบมาถวายหลวงปู่ ขอรับ” หลวงปจู่ งึ ถามวา่ “แล้วไปเจอไหท่ีไหนล่ะ?” “เจอตอนไถนาครบั หลวงปู”่ 08. ���� (86-112).indd 96 30/4/2561 19:42:26
เปรต 97 หลวงปูจ่ ึงกลา่ วกบั ชายท้ังสองว่า “น่ีแหละโยม ความรกั ความห่วงหาอาลยั เป็นเหตุใหค้ น ไปเกิดเป็นผีเปรต หวงส่ิงใดมาก ก็ไปเกิดเป็นเปรตเฝ้าส่ิงน้ัน จนลืมวันลืมคืน ผ่านไปเป็นร้อย เป็นพนั ปกี ็ยงั ไมร่ ู้ตัว ระวังนะโยม หวงอะไรมาก ๆ ตายไปจะเป็นผีเปรตเฝ้าทรพั ย์” ๒) เปรตหญงิ มชี ู้ :22 หลวงปู่จนั ทา ถาวโร วดั ป่าเขาน้อย อ�ำเภอวังทรายพนู จังหวัดพิจิตร เกดิ ในตระกลู “ไชยนิตย์” เม่ือวนั ที่ ๑๐ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ ณ บ้านแดง อ�ำเภอเมืองร้อยเอ็ด จงั หวดั รอ้ ยเอด็ อุปสมบทเม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๐ มรณภาพเม่ือวนั ที่ ๒๑ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ สิรอิ ายไุ ด้ ๙๐ ปี ๖๕ พรรษา คำ� สอน : ถ้าเรามพี ระไตรสรณคมน์และศลี ธรรมบรสิ ทุ ธ์ิแล้ว ทุกอยา่ งชนะหมดทั้งสิ้น ไม่ต้อง หวั่นไหว นอกนนั้ กเ็ ป็นมหาเสน่ห์ มหานิยม หลวงปเู่ ลา่ วา่ เม่อื พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปไู่ ด้จำ� พรรษาที่ป่าช้าวดั บ้านหัวดง อ�ำเภอเมืองนครพนม จงั หวดั นครพนม คนื วนั หนงึ่ ขณะทหี่ ลวงปกู่ ำ� ลงั เดนิ จงกรมอยนู่ นั้ จติ ของทา่ นรวมเปน็ หนงึ่ เกดิ แสงสวา่ ง วาบข้ึนในใจ ทันใดน้ัน ก็มีแสงสว่างวาบออกจากหน้าอกข้างซ้าย ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ ขณะเดยี วกันหลวงปกู่ ็ได้กลิ่นเหมน็ เน่าลอยมา จึงลืมตาข้นึ ดู สง่ิ ทีป่ รากฏต่อหนา้ คอื เปรตหญงิ ๓ ตน มีร่างกายสูงใหญ่ราวภูเขาตัดผมทรงกระทุ่ม เหมือนคนอีสานโบราณ ไม่ใส่เสื้อผ้า ยืนห่างจากหลวงปู่ ประมาณ ๒ วา เปรตท้ัง ๓ ตนสง่ เสยี งรอ้ งวด๊ี ๆ ๆ ๆ ๆ เยน็ ยะเยือก มรี า่ งกายเหม็นเน่า เต็มไปดว้ ย น�้ำหนองไหลเย้ิม พากันเอาของลับถูกับเครือไม้ ต้นไม้ ขณะเดียวกันก็มีหนอนปากขอร่วงลงมาจาก บรเิ วณของลบั แลว้ กพ็ ากนั ไตก่ ลบั ขนึ้ ไปใหม่ เปรตทงั้ ๓ ตนกรดี รอ้ งดว้ ยความเจบ็ ปวดและทรมานมาก หลวงปู่จึงถามบุพกรรมของเปรตทั้ง ๓ ตนว่า “พวกเจ้าไปก่อกรรมอะไรมาหรือ ถึงต้องมารับ กรรมอันน่าเวทนาเช่นน้”ี เปรตทั้ง ๓ ตนร้องไห้ และบอกบุพกรรมของตน พร้อมกับขอร้องให้หลวงปู่ช่วย “แต่ก่อนเรา ทั้ง ๓ เกิดในหมู่บ้านน้ี ได้กระท�ำกรรมเล่นชู้ นอกใจสามี ส�ำส่อนกับผู้ชายไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแม้แต่ พระสงค์องคเ์ จ้า ขอหลวงปู่ไดโ้ ปรดช่วยอนุเคราะหพ์ วกดฉิ นั ด้วยเถิด” หลวงปู่นัง่ หลบั ตา กำ� หนดจิต จึงทราบว่าทา่ นกับเปรตทั้ง ๓ เคยเกดิ เป็นญาติกนั มาในชาติก่อน จงึ ไดก้ ลา่ ววา่ “อาตมาจะชว่ ย แตพ่ วกเจา้ กต็ อ้ งชว่ ยตวั เองดว้ ยนะ” หลวงปใู่ หเ้ ปรตทงั้ ๓ รบั ไตรสรณคมน์ และศีล ๕ สอนให้รู้จักการสวดมนตแ์ ละภาวนา “พทุ โธ” “ไมม่ สี ิ่งใดจะชว่ ยลบล้างความทุกข์ของพวกเจา้ ได้ นอกจากพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ขอให้พวกเจ้าต้ังจิตภาวนา “พุทโธ” อยตู่ ลอดเวลานะ พร่งุ นีอ้ าตมาจะบอกชาวบ้านท�ำบญุ อทุ ศิ ไปให้ พวกเจ้าอกี แรงหนึ่ง” 22 อ้างแล้ว, หนา้ ๑๑๘-๑๒๖. 08. ���� (86-112).indd 97 30/4/2561 19:42:26
98 สารนพิ นธ์พทุ ธศาสตรบณั ฑติ ๒๕๖๑ เปรตทั้ง ๓ ตนรบั “สาธ”ุ พร้อมก้มลงกราบหลวงปู่ และค่อย ๆ หายตัวไป เช้าวันต่อมาหลวงปู่เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน และเล่าเรื่องท้ังหมดให้โยมฟัง “เมื่อคืนนี้เปรต ผหู้ ญิงเปลอื ยกาย ๓ ตน มาหาอาตมาน่าเวทนายง่ิ นัก อยากให้ญาตโิ ยมช่วยทำ� บญุ อุทศิ ไปใหพ้ วกเขา อย่างนอ้ ยเปรต ๓ ตนนนั้ กเ็ คยเกิดเปน็ คนในหมู่บา้ นนแี้ ละอาจเปน็ ญาติกับใครในท่ีน้กี ไ็ ด”้ ชาวบ้านฟังคำ� หลวงปูแ่ ล้ว ไดพ้ รอ้ มใจกันถวายอาหารบณิ ฑบาตและผ้าจีวรแดห่ ลวงปู่ และอุทศิ สว่ นกศุ ลไปให้เปรตทง้ั ๓ ตนน้นั “บุญทขี่ า้ พเจา้ ได้ทำ� ในวันนี้ ขา้ พเจา้ ขออทุ ศิ ใหแ้ กเ่ ปรตทัง้ ๓ ตนท่ีมา พบหลวงปู่ ขอให้เปรตทงั้ ๓ ตน จงพ้นทกุ ข์ มคี วามสุขด้วยเถดิ ” เวลาผา่ นไปหลายเดอื น...คืนหน่งึ ขณะทห่ี ลวงปกู่ �ำลงั ยืนภาวนาอยู่กลางปา่ ช้า เปรตทั้ง ๓ ตน ไดป้ รากฏตัวต่อหน้าหลวงปู่อกี ครง้ั แต่คราวนีก้ ลบั มีลกั ษณะผวิ พรรณที่สวยงามมีรศั มีออกจากกาย เปรตท้ัง ๓ ตนได้พร้อมกันคุกเข่าและก้มลงกราบหลวงปู่ และกล่าวว่า “พวกดิฉันมากราบ ขอบพระคุณหลวงปทู่ ีเ่ มตตาชว่ ยอนุเคราะห์พวกดฉิ ันให้พ้นจากความทุกข์ทรมานเจ้าค่ะ” หลวงปู่จึงกล่าวว่า “น่ีแหละ พวกเจ้าจงจ�ำไว้บุญบาปมีจริง จึงอย่าได้ท�ำบาปเพราะเห็นแก่ ความสขุ สนุกสนานชัว่ ครู่ชัว่ คราว เพราะผลกระทบทีต่ ามมามันสุดแสนจะทกุ ขท์ รมาน อย่างที่พวกเจ้า ได้ประจักษ์ดว้ ยตนเองแล้ว” เปรตทง้ั ๓ ตน กล่าวพร้อมกนั ว่า “สาธุ เจ้าคะ” และก้มลงกราบหลวงป่ดู ว้ ยความเคารพ ๓) เปรตพระ :23 หลวงป่จู ันทา ถาวโร เล่าว่า เม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๓ ณ เทอื กเขาภูพาน จังหวดั สกลนคร หลวงปู่ พร้อมคณะสงฆ์ได้เดินทางไปปฏิบัติธรรม ณ ถ�้ำจ�ำปาอันเงียบสงบ เป็นสถานท่ีสัปปายะส�ำหรับการ ปฏบิ ตั ิธรรมอย่างย่งิ เมือ่ คณะหลวงปเู่ ดินทางไปถึงถ้�ำจำ� ปาน้นั เปน็ เวลาพลบค่�ำแล้ว แต่ก็ยังมญี าตโิ ยม หลายคนที่รว่ มกันสร้างทีพ่ กั ใหพ้ ระสงฆ์ได้พำ� นกั ปฏิบตั ธิ รรม หลวงปู่ “ขอบใจทุกคนมากนะ ท่ีมาช่วยกันสรา้ งทพี่ กั ให”้ ญาติโยม “ไม่เป็นไรครบั หลวงปู่ ว่าแต่ เออ้ ...หลวงปู่ไมก่ ลวั ผีหรอื ครับ ทน่ี ี่มันเฮ้ยี นมากนะครับ” หลวงปู่ “ผีอะไร มันก็ไม่เฮี้ยนเท่ากิเลสหรอกนะโยม ผีการพนัน ผีสุรายาเมา ผีเจ้าชู้ ผียาบ้า ผีพวกนัน้ นา่ กลัวกว่า ‘ผจี ริง’ อกี นะโยม” ญาตโิ ยม “โดนหลวงปเู่ ทศนจ์ นได้...ง้นั พวกกระผมขอกราบลาละครับ” ตกดกึ คนื นน้ั ณ บรเิ วณปากถำ้� จำ� ปา ขณะทหี่ ลวงปกู่ ำ� ลงั นงั่ สมาธิ “พทุ โธ พทุ โธ พทุ โธ...” อยนู่ น้ั หลวงปูไ่ ด้ยนิ เสียง “ฟวิ้ ๆ ๆ, ขวับ ๆ ๆ” และ “ตกึ ๆ ๆ” คลา้ ยเสียงคนเดนิ ลงเท้าหนัก ๆ พร้อมกบั 23 อา้ งแล้ว, ๑๓๒-๑๓๖. 08. ���� (86-112).indd 98 30/4/2561 19:42:26
เปรต 99 วญิ ญาณเปรต ๓ ตน ค่อย ๆ ปรากฏกายขึน้ ตรงหน้าหลวงปู่ เปน็ ร่างเปรต ๓ ตน เป็น “เปรตพระ” ศรี ษะโล้น ตนหนึง่ น่งุ สบงและใส่อังสะ อีก ๒ ตน นุง่ เฉพาะสบง ทัง้ ๓ ตนนง่ั ชันเข่ายกมอื ไหว้หลวงปู่ หลวงปจู่ ึงถามวา่ “พวกเจ้าท้ัง ๓ เป็นใคร เคยท�ำบาปกรรมอะไรหรือจึงมาเกิดเปน็ เปรตอย่างนี้ เปน็ ถงึ พระสงฆอ์ งคเ์ จ้า ตายแลว้ ท�ำไมจงึ มีสภาพเช่นนี้เลา่ ?” เปรตจึงเรียนหลวงปู่ว่า “พวกเราเคยบวชเป็นพระอยู่บริเวณใกล้ ๆ นี้ สมัยท่ีพวกกระผมบวช เป็นพระน้ัน ไม่มีอุปัชฌาย์คอยส่ังสอน เป็นเหตุให้เราทุกคนต่างพากันท�ำผิดศีลมากมาย ท้ังกินเหล้า เพราะรสชาตมิ นั ดแี ท้ ลวนลามผหู้ ญงิ ฉนั อาหารยามวกิ าล เพราะเนอื้ ตม้ มนั แซบ่ จรงิ ๆ ครบั ขอหลวงปู่ ได้โปรดเมตตาช่วยอนเุ คราะห์พวกกระผมดว้ ยเถิด อย่อู ยา่ งนีม้ นั ทกุ ขท์ รมานเหลอื เกนิ ครบั ” หลวงปู่ “อาตมาจะสอนการเจริญกรรมฐานให้เอาไปต้ังใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และบอกต่อ กันนะ จะได้พน้ กรรม” ๓ เดือนต่อมา...วันหน่ึง ขณะที่หลวงปู่ก�ำลังเดินจงกรม ก็ปรากฏร่างแม่ชีคนหน่ึงขึ้นตรงหน้า เธอกม้ ลงกราบหลวงปแู่ ละกลา่ ววา่ “แมช่ อี ยทู่ นี่ ่ี และไดป้ ฏบิ ตั ธิ รรมตามทห่ี ลวงปบู่ อก บดั นพี้ น้ กรรมแลว้ จึงมาขอกราบลาเจ้าคะ่ ” หลวงปู่ “เจรญิ พร แลว้ เปรตพระท้ัง ๓ ตนล่ะ เด๋ียวน้ีไมเ่ หน็ เลย” แม่ชี “ท้ัง ๓ ทา่ นพน้ กรรม ไป เกดิ ใหม่แลว้ เจา้ คะ่ ” หลวงปู่ “ระลกึ ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆไ์ วน้ ะโยม” แม่ชี “เจ้าคะ่ ดฉิ นั ขอกราบลาเจ้าค่ะ” หลวงปู่ “ไปดีนะโยม” ๔) เปรตแม่สมภาร :24 หลวงปชู่ อบ านสโม วดั ปา่ สมั มานสุ รณ์ อำ� เภอวงั สะพงุ จงั หวดั เลย เกดิ ในตระกลู “แกว้ สวุ รรณ” เมอื่ วนั ที่ ๑๖ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ อุปสมบท ณ วดั สร่างโศก เมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๖๗ มรณภาพเม่ือวนั ท่ี ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘ สริ ิอายุได้ ๙๔ ปี ๗๑ พรรษา ค�ำสอน : ให้พจิ ารณาความตาย นั่งก็ตาย นอนก็ตาย ยนื กต็ าย เดินกต็ าย หลวงปู่เลา่ ว่า ราวปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ณ วัดแห่งหน่ึงในชนบททางภาคเหนือ เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม มบี างสงิ่ กำ� ลงั เคลอื่ นไหว เสยี งดงั ฟว้ิ ๆ ๆ เยน็ ยะเยอื ก ขณะทส่ี นุ ขั ภายในวดั กห็ อนประสานเสยี งกนั อยา่ ง โหยหวน “บรวู๋ ววว” ทำ� ใหผ้ ไู้ ดย้ นิ เสยี งหอนขนลกุ ขนชนั พรอ้ มกบั มรี า่ ง ๆ หนงึ่ สงู โยง่ ลากกระสอบปา่ น และแบกสง่ิ ของอยบู่ นบา่ มงุ่ หนา้ ไปยงั กฎุ ทิ ห่ี ลวงปชู่ อบ พระผทู้ รงอภญิ ญาสายหลวงปมู่ นั่ กำ� ลงั นงั่ อยกู่ บั พระบวชใหม่ ๒ รูป พระรูปหน่ึง “หลวงปู่ครับ ท�ำไมวันนี้หมามันหอนเสียงโหยหวนชวนขนลุกผิดปกติ?” พระอีก รปู หนง่ึ “นน่ั สิครบั หลวงป”ู่ 24 อา้ งแล้ว, หนา้ ๑๓๘-๑๔๓. 08. ���� (86-112).indd 99 30/4/2561 19:42:26
100 สารนพิ นธ์พทุ ธศาสตรบัณฑิต ๒๕๖๑ ทนั ใดนน้ั หลวงปชู่ อบไดห้ นั หนา้ ไปจอ้ งทางหนา้ ตา่ งกฏุ ิ พระรปู หนงึ่ ถามหลวงปดู่ ว้ ยความตน่ื เตน้ “มีอะไรหรือครับหลวงปู่?” หลวงปู่ช้ีมือไปทางหน้าต่างพร้อมกับพูดว่า “โน้นไง...ต้นเหตุของเสียง หมาหอน เปรตมนั ยนื อยโู่ นน่ ...” พระใหม่ทัง้ ๒ รูป หันขวับไปทางหน้าต่างดว้ ยความตระหนก ก็มอง เหน็ รา่ งของเปรตผหู้ ญงิ ตนหนงึ่ รา่ งสงู ชะลดู แตง่ กายดว้ ยเสอ้ื สขี าว ผา้ ถงุ สดี ำ� ขาดกะรงุ่ กะรงิ่ บา่ ขา้ งขวา แบกของสง่ิ หนงึ่ มอื ซา้ ยลากกระสอบปา่ นใสข่ องเตม็ พรอ้ มกบั รอ้ งครวญครางดว้ ยความทกุ ข์ “ฮอื ๆ ๆ” แลว้ วางสง่ิ ของลง น่ังประนมมอื หนั หนา้ มาทางหลวงปู่ พระรูปหนึง่ “หลวงปู่ครบั ! เปรตตนน้มี ะมะมัน มาทำ� ไมขอรบั ?” พระอีกรูปหนงึ่ “เขาท�ำกรรม อนั ใดไว้ ขอรบั ?” หลวงปู่ “ถ้าพวกทา่ นอยากรู้ เดี๋ยวจะถามใหน้ ะ” เปรตตนนั้นได้เล่าถวายให้หลวงปู่ฟัง สรุปได้ว่า แต่ก่อนตนเคยเกิดเป็นแม่ของสมภารวัดนี้ ได้หยิบเอาหน่อไม้และข้าวสารอาหารแห้งที่เขามาท�ำบุญ น�ำกลับบ้าน โดยคิดว่าจะท�ำให้ตนกินอิ่ม ไปหลายมื้อ แม้จะมีเพือ่ นบ้านมาตกั เตือน ไม่ให้ทำ� เพราะมนั จะบาป แตน่ างกไ็ มฟ่ งั เพื่อนบ้าน “แม่อุ๊ย...แม่อุ๊ย อย่าท�ำอย่างนี้เลย มันบาปนะ ท�ำอย่างน้ีไม่ถูกนะ ขโมยของสงฆ์ โบราณว่าตายไปจะเป็นเปรต แมอ่ ุย้ !” แมส่ มภารหนั ขวบั ไป “หนอย หนอย มารคอหอย นนี่ างรงุ้ แกมสี ทิ ธอ์ิ ะไรมาสอนฉนั ขนาดสมภาร ลกู ชายฉนั เขายงั ไมว่ า่ อกี อย่าง ของน้กี ไ็ มใ่ ชข่ องแกสกั หน่อย” หลวงปู่ “นี่แหละคนเรา เห็นแก่ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงยอมท�ำบาป หารู้ไม่ว่าความสุข เล็กนอ้ ยนนั้ มนั จะเป็นบาปให้ตนเองตอ้ งทนทุกขท์ รมานมหันตใ์ นภายหลงั ... ไปเถอะ พร่งุ นีจ้ ะทำ� บุญ ไปให้” เปรตแม่สมภารก้มลงกราบหลวงปู่ แล้วยืนขน้ึ แบกของและหยบิ กระสอบปา่ นลากเดนิ ไปพรอ้ ม กับครวญคราง “ฮอื ๆ ๆ” และแว้บหายตวั ไป หลวงปู่ “เร่อื งนเ้ี ปน็ อทุ าหรณ์สอนใจ จ�ำไวน้ ะบาปกรรมนัน้ มีจริง ทำ� ดีได้ดี ท�ำช่ัวไดช้ ว่ั ไมม่ ี ใครหนพี น้ นะโยม!” ๗. เปรตในคราบมนุษย์ :25 เปรต หรือ ความเป็นเปรตนั้นอยู่ใกล้ตัวเรามาก และง่ายมากท่ีคนจะกลายเป็นเปรต อันท่ี จริงแล้วความเป็นเปรตน้ัน ไม่ต้องรอให้ตายก่อนค่อยเป็นเปรต คนที่มีชีวิตอยู่นี้แหละก็กลายเป็น เปรตได้ พระพทุ ธเจ้าเรยี กวา่ มนุสสเปโต แปลว่า มนษุ ยเ์ ปรต หรอื เปรตในคราบมนษุ ย์ ซึ่งถ้าวา่ กันโดยแก่นแท้แล้ว ความที่คนจะเปน็ คนหรือเป็นอะไรน้นั ไมไ่ ด้ขนึ้ อยูก่ ับรา่ งกายทีเ่ ป็น มนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพของจิตว่ามีคุณธรรมความดีมากน้อยแค่ไหน ดังท่ีพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ�ำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ท่านได้จ�ำแนกมนษุ ยอ์ อกเปน็ ๗ จำ� พวก คือ 25 อ้างแลว้ , หน้า ๑๔๕-๑๔๗. 08. ���� (86-112).indd 100 30/4/2561 19:42:26
เปรต 101 ๑) มนสุ สนิรโย : มนุษยส์ ตั ว์นรก หรือสตั ว์นรกในคราบมนุษย์ คือรา่ งกายเป็นมนษุ ย์ แต่จติ ใจ และพฤติกรรมกลับชั่วช้าเลวทราม ก่อกรรมท�ำบาปได้เย่ียงสัตว์นรก เช่น ลูกท่ีฆ่าพ่อฆ่าแม่ ลูกท่ีเสพ ยาบ้าแล้วข่มขืนแม่บังเกิดเกล้าของตน คนเช่นน้ีแม้ว่าร่างกายจะเป็นมนุษย์ แต่พฤติกรรมของเขา ชา่ งเหีย้ มโหด ชั่วชา้ ไมต่ า่ งอะไรกบั สัตว์นรก ๒) มนุสสเปโต : มนุษยเ์ ปรต หรือเปรตในคราบมนุษย์ คือรา่ งกายเปน็ มนุษย์แต่จิตใจเปน็ เปรต เปรต แปลว่า ผู้ละไปแล้ว หมายถึงผู้ยอมละท้ิงความดี หรือยอมกระท�ำช่ัวทุจริตทุกอย่างเพ่ือให้ตน ได้สนองความอยาก ความหิว เช่น คนท่ีติดยาเสพติด ยอมเป็นโจรลักเล็กขโมยน้อย ปล้นร้านทอง เพื่อน�ำเงินไปซื้อยามาเสพ หรือเจ้าหน้าที่บางคน นักการเมืองบางรายที่ยอมทุจริตคอรัปชั่นคดโกง ประเทศชาติเพื่อให้ตนร่�ำรวย โดยไม่ใส่ใจเรื่องบุญบาป วันๆ จิตใจคิดแต่จะเอา ไม่เคยคิดจะให้ คนประเภทน้ีจึงมกั จะถูกดา่ อยู่เสมอวา่ “ไอ้เปรต” ๓) มนุสสอสรุ กาโย : มนุษย์อสุรกาย คอื รา่ งกายเป็นมนษุ ยแ์ ต่จติ ใจโหดร้าย เต็มไปดว้ ยโทสะ ความอาฆาตพยาบาทชิงชัง ประกอบกรรมท�ำชั่วด้วยความอ�ำมหิตไร้ความปรานี มีพฤติกรรมเหมือน ยักษเ์ หมือนมาร ชอบใชค้ วามรนุ แรง มีอุปนิสยั กกั ขฬะ หยาบกระดา้ ง ใจไมไ้ ส้ระก�ำ เช่น คนทฆ่ี า่ คน แล้วกินเป็นอาหาร พวกชอบเปิบพิสดารกินจู๋หมี ยาดองสัตว์ เน้ือดิบ พวกท่ีค้าขายมนุษย์ด้วยกัน รวมถงึ พวกที่มวั เมาในกาม ถงึ ขั้นฆา่ ขม่ ขนื พวกนี้ทา่ นจัดเปน็ อสุรกายในคราบมนษุ ย์ ๔) มนุสสติรัจฉาโน : มนษุ ยด์ ริ ัจฉาน คือรา่ งกายเปน็ มนษุ ย์ แตจ่ ิตเป็นสตั วด์ ริ จั ฉาน คอื มากไป ดว้ ยโมหะ เหน็ อะไรทเี่ ปน็ ความสขุ ของตวั เองกท็ ำ� ตามใจ ไมร่ จู้ กั แยกแยะชวั่ ดี มพี ฤตกิ รรมเยย่ี งสตั ว์ เชน่ ในเรื่องกามก็สมสู่ไม่เลือกหน้า ไม่สนใจว่าผู้นั้นจะเป็นลูกเขา เมียใคร หรือเป็นพ่อ แม่ ลูก หรือญาติ ของตน บางครั้งอยากได้อะไรของใครกใ็ ชก้ �ำลังขม่ เหงรังแกเอา ซึง่ บางคนทุบตีได้ แม้กระทง่ั พ่อแม่ บังเกดิ เกลา้ ทพ่ี กิ ลพกิ ารเพราะขอเงินแล้วไมใ่ ห้ ซึ่งคนประเภทนม้ี ักถกู ดา่ ให้เปน็ สตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ ๕) มนุสสมนุสโส : มนษุ ย์แท้ คือทัง้ ตวั และหวั ใจเป็นมนุษย์ มนษุ ย์แปลวา่ ผู้มจี ติ ใจสูง คอื สงู กว่า สัตว์นรก เปรต อสรุ กาย สัตวด์ ิรจั ฉาน มจี ติ ท่ปี ระกอบดว้ ยความเมตตา ร้จู กั แยกแยะดี-ชวั่ ไม่ประกอบ กรรมอันเป็นอกุศลเพราะเห็นแก่ตัว เป็นผู้ตั้งม่ันในศีล ๕ มีละเว้นจากการฆ่าและเบียดเบียนสัตว์อื่น เปน็ ตน้ ซงึ่ ศีล ๕ นีถ้ ือเป็นธรรมท่เี ป็นมาตรฐานสำ� หรบั รองรบั ความเปน็ มนุษยน์ ั่นเอง ๖) มนุสสเทโว : มนุษย์เทพ คือผู้ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นเทวดา คือเป็นผู้มีหิริ ความละอายในการท�ำชั่วทั้งทางกาย วาจา และใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลวั ตอ่ ผลบาปทจี่ ะตามสนอง บคุ คลเช่นนจี้ ะไมท่ ำ� ความชัว่ เลยทง้ั ต่อหนา้ และลบั หลงั อกี ทง้ั ยังเปน็ ผู้ฝกั ใฝใ่ นการท�ำความดชี ่วยเหลือ ผูอ้ น่ื อยูเ่ สมอ 08. ���� (86-112).indd 101 30/4/2561 19:42:26
102 สารนิพนธ์พุทธศาสตรบณั ฑิต ๒๕๖๑ ๗) มนุสสอริโย : มนษุ ย์ผเู้ ปน็ อริยบคุ คล ได้แก่บคุ คลทีม่ รี า่ งกายเปน็ มนุษย์แต่จิตใจปราศจาก กิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง มีจิตอยู่เหนือความยึดม่ันในตัวตน เป็นอิสระจากทุกข์ไม่หวั่นไหว ด้วยอำ� นาจของโลกธรรม ๘ คือ มีลาภ เสอ่ื มลาภ มียศ เลอื่ มยศ สรรเสรญิ นินทา สขุ ทกุ ข์ เราคงสงั เกตเหน็ มนุษย์ในปัจจุบันมคี รบทัง้ ๗ ประเภท แต่ประเภทที่ ๑-๔ น้ันน่าจะมีจ�ำนวน มากกวา่ ประเภทท่ี ๕-๗ หรอื ท่านผ้อู า่ นมคี วามเหน็ อย่างไร ๘. เปรตแสดงตนเพอื่ อะไร ท่านพระครูบวรธรรมพินิจ แห่งวัดธรรมบวร บ้านค�ำบิด อ�ำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เคยเล่าเรอื่ งเปรตทว่ี ัดร้างกลางหมบู่ า้ นให้คณุ ศกั ด์สิ ิทธิ์ พันธุส์ ตั ย์ ขณะยังบวชเปน็ สามเณรฟัง ซึ่งท�ำให้ สามเณรศกั ดส์ิ ิทธร์ิ สู้ ึกกลวั มากและจำ� ไดแ้ ม่นย�ำมาจนถึงทกุ วนั นี้ ความว่า26 ที่วัดร้างกลางหมู่บ้าน เม่ือหลายสิบปีก่อน มีเปรตตนหน่ึงอาศัยอยู่ คืนหนึ่งราว ๓ ทุ่มกว่า มีเด็กชายในหมู่บ้านคนหน่ึง อายุประมาณ ๑๐ ขวบไปซ้ือบุหร่ีให้พ่อ ซ่ึงเส้นทางจากบ้านไปยัง ร้านค้านั้นต้องเดินทางผ่านวัดร้าง และที่วัดร้างน้ันมีต้นโพธิ์ใหญ่ต้นหนึ่งอายุราวร้อยปี มีก่ิงโพธิ์ใหญ่ ก่ิงหน่ึงยนื่ ออกมาทางถนน ผูท้ เี่ ดนิ สญั จรไปมาตอ้ งผ่านใตก้ ิ่งโพธิ์นัน้ ไป เมอื่ เดก็ ชายไปถงึ รา้ นคา้ และซอื้ บหุ รใ่ี หพ้ อ่ เรยี บรอ้ ยแลว้ กเ็ ดนิ ทางกลบั สมยั นนั้ ไฟฟา้ เพง่ิ เรม่ิ เขา้ หมู่บ้าน มีไฟฟ้าไม่ก่ีหลังคาเรือน แม้จะหัวค่�ำอยู่แต่หมู่บ้านก็เงียบมาก พอเด็กชายเดินมาถึงวัดร้าง จะผา่ นต้นโพธิ์ ทันใดนั้น กงิ่ โพธิท์ ี่ยื่นออกมาก็มเี สียงคลา้ ยกับมคี นขยม่ อย่างแรง เดก็ ชายจงึ แหงนหนา้ ข้ึนดูตามเสียง ปรากฏว่าส่ิงที่เขาเห็นคือร่างด�ำทะมึนของเปรตท่ีสูงใหญ่เกือบเท่าต้นโพธ์ิ นั่งห้อยขา ขย่มกิ่งโพธิ์ ตาแดงก�่ำ เท่านั้นเองเด็กน้อยก็ไม่อาจยับย้ังสติไว้ได้ ว่ิงเตลิดเปิดเปิง พร้อมกับร้องว่า ช่วยด้วย! ... ผหี ลอก ๆ ๆ กระท่ังผู้ใหญใ่ นหมู่บา้ นแตกต่ืน พากันวิง่ ไลจ่ บั ตัวเอาไว้ การทเี่ ปรตปรากฏตวั ใหเ้ ห็นนั้น ทา่ นพระครูบวรธรรมพินิจบอกว่ามเี หตุอยู่ ๓ ประการ คอื ๑. ตอ้ งการขับไล่ไมใ่ ห้เข้ามายุ่งเก่ียวกบั สิ่งท่ตี นหวงแหน ๒. ตอ้ งการมาส่งข่าวหรอื บอกกล่าวอะไรบางอย่าง ๓. ตอ้ งการมาขอสว่ นบุญ แต่เท่าท่ีได้อ่านประวัติของเปรตแต่ละตนจากพระไตรปิฎก และจากหนังสืออัตชีวประวัติของ พระเกจอิ าจารย์หลาย ๆ ทา่ น เปรตท่ีปรากฏใหเ้ ห็นน้นั สว่ นใหญจ่ ะมาขอส่วนบุญ หรอื ฝากขา่ วถงึ ญาติให้ชว่ ยท�ำบุญไปให้มากกวา่ จุดประสงคอ์ ืน่ 26 อา้ งแลว้ , หน้า ๒๕-๒๖. 08. ���� (86-112).indd 102 30/4/2561 19:42:27
เปรต 103 ลกั ษณะการตดิ ตอ่ สอ่ื สารของเปรต ถา้ สอื่ สารกบั พระผมู้ ญี าณวเิ ศษมกั ปรากฏใหเ้ หน็ ตวั กนั จะ ๆ แตถ่ า้ ต้องการสอ่ื สารกับบคุ คลทว่ั ไปทไี่ มม่ ีญาณวเิ ศษอะไร โดยมากจะไม่ปรากฏตวั ใหเ้ หน็ แตจ่ ะติดตอ่ ทางความฝนั หรอื สง่ เสยี งใหไ้ ดย้ นิ เชน่ เปรตทเ่ี ปน็ ญาตขิ องพระเจา้ พมิ พสิ ารมาสง่ เสยี งใหพ้ ระองคไ์ ดย้ นิ เพื่อเตอื นใหพ้ ระองค์อทุ ิศบุญให้กับพวกตนเปน็ ต้น ดงั นน้ั เมอื่ ทา่ นผอู้ า่ นไดร้ บั การตดิ ตอ่ จากเปรตหรอื จากญาตทิ ล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ พงึ ตงั้ สนั นษิ ฐาน ไว้ก่อนว่า เขาต้องการส่วนบุญจากท่าน แล้วท่านก็ควรท�ำบุญแล้วอุทิศให้แก่เขาเพื่อเป็นการ อนุเคราะหแ์ กญ่ าติ และเสริมสรา้ งบญุ แก่ตวั เองอกี ทางหน่ึง ๙. เปรตเทา่ น้นั สามารถรบั ส่วนบุญได้ ในบรรดาสรรพสตั ว์ท่ียงั เวยี นวา่ ยตายเกดิ อยู่ในสังสารวัฏทั้ง ๓๑ ภูมิน้ัน มเี พียงสัตวท์ ่เี กิดในภูมิ ของเปรตเท่าน้นั สามารถรับเอาสว่ นบญุ ท่ญี าติทง้ั หลายอทุ ศิ ไปใหไ้ ด้ ถา้ เกดิ ในภพภมู นิ อกจากนกี้ ็จะ ไมไ่ ดร้ ับ ดงั พระพทุ ธด�ำรสั แกช่ านสุ โสณิพราหมณ์ ความวา่ 27 ดกู อ่ นพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกน้ี เปน็ ผฆู้ ่าสัตว์ ลักทรพั ย์ ประพฤตผิ ิดในกาม พดู เทจ็ ฯลฯ เป็นมจิ ฉาทฏิ ฐิ บคุ คลนนั้ หลงั จากตายไปแลว้ หากไปเกดิ ในนรก เขาย่อมมีชีวิตอยู่ ดำ� รงอยูใ่ นนรกนนั้ ดว้ ยอาหารของสตั วน์ รก บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปน็ ผูฆ้ า่ สตั ว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเทจ็ ฯลฯ เปน็ มจิ ฉาทิฏฐิ บุคคลนั้นหลังจากตายไปแล้ว หากไปเกิดในก�ำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เขาย่อมมีชีวิตอยู่ ด�ำรงอยู่ในก�ำเนิด สัตว์ดริ จั ฉานนน้ั ดว้ ยอาหารของสัตว์ดริ จั ฉาน บุคคลบางคนในโลกนี้ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ฯลฯ เป็นสัมมาทิฏฐิ บุคคลน้ันหลังจากตายไปแล้ว หากเข้าถึงความเป็นมนุษย์ เขาเล้ียงชีวิต ด�ำรงอยู่ ในมนษุ ยโลกดว้ ยอาหารของมนษุ ย์ บคุ คลบางคนในโลกนี้ เวน้ จากการฆา่ สตั ว์ ลกั ทรพั ย์ ประพฤตผิ ดิ ในกาม พดู เทจ็ ฯลฯ เปน็ สมั มา- ทฏิ ฐิ บคุ คลนน้ั หลงั จากตายไปแลว้ หากเขา้ ถงึ ความเปน็ เทวดา เขายอ่ มเลย้ี งชวี ติ ดำ� รงอยใู่ นเทวโลกนนั้ ด้วยอาหารของเทวดา ดูก่อนพราหมณ์ เหล่าน้ีไม่อยู่ในฐานที่จะได้รับส่วนบุญท่ีอุทิศให้ ผลทานที่ญาติอุทิศให้ย่อมไม่ ส�ำเร็จแกเ่ ขาเหลา่ นัน้ สว่ นวา่ บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปน็ ผฆู้ า่ สตั ว์ ลกั ทรพั ย์ ประพฤตผิ ดิ ในกาม พดู เทจ็ ฯลฯ เปน็ มจิ ฉา- ทิฏฐิ บคุ คลน้นั หลงั จากตายไปแลว้ ไปเกิดในก�ำเนิดของเปรต เขาย่อมเลย้ี งชีวติ อยู่ ด�ำรงอยู่ในกำ� เนดิ 27 อ้างแล้ว, หน้า ๒๗-๒๘. 08. ���� (86-112).indd 103 30/4/2561 19:42:27
104 สารนพิ นธ์พทุ ธศาสตรบัณฑติ ๒๕๖๑ ของเปรตนั้น ด้วยอาหารของเปรตน้ัน หรือว่าด้วยผลแห่งทานท่ีพวกมิตร อ�ำมาตย์ หรือพวกญาติ สายโลหิตของเขาอทุ ศิ เพิม่ ให้จากมนุษยโลกน้ี ดูกอ่ นพราหมณ์ เปรตทัง้ หลายจงึ อยใู่ นฐานะทีจ่ ะไดร้ ับสว่ นบญุ ทอี่ ทุ ศิ ให้ ผลทานที่ญาตอิ ทุ ศิ ให้ ย่อมสำ� เร็จแก่เปรตเหล่านั้น ดังน้ัน การท่ีเราทำ� บญุ อุทิศใหแ้ กผ่ ู้ตาย อาทิ ทำ� บุญ ๕๐ วนั ๑๐๐ วนั ท�ำบญุ ถวายสังฆทาน หรอื ทำ� บญุ อ่ืน ๆ เพอื่ อทุ ิศให้แกผ่ ู้ตายนนั้ จงึ เปน็ การท�ำบุญแบบเผ่ือไว้กอ่ น หรือจะเรยี กวา่ เป็นการ ทำ� บญุ แบบสมุ่ ไปกอ่ นกว็ า่ ได้ เพราะเราไมอ่ าจทราบแนว่ า่ ญาตขิ องเราทต่ี ายไปนน้ั ไปเกดิ ในภพภมู ใิ ด แตเ่ รากท็ ำ� บญุ อทุ ศิ ไปใหน้ น้ั เผอื่ วา่ ญาตขิ องเราไปเกดิ เปน็ เปรต เมอื่ เปน็ เชน่ นน้ั เขาจะไดร้ บั สว่ นบญุ จากเรา แลว้ จะพน้ จากความเป็นเปรตไปเกิดในสุคติภูมิต่อไป ๑๐. พฤตกิ รรมเสย่ี งท่ีจะเปน็ เปรต ผมเป็นห่วงคฤหัสถเ์ ราทีอ่ ยู่ใกลว้ ดั , ใกลพ้ ระสงฆม์ ากกวา่ เป็นหว่ งพระสงฆ์ เกรงวา่ คฤหสั ถเ์ ราจะ เป็นเปรตเร็ว, ง่าย เพราะไม่ส�ำรวมกาย วาจา ใจ ท้ังโดยต้ังใจและไม่ได้ต้ังใจ บางคนอยู่ใกล้วัดและ พระสงฆม์ านานเลยถือวสิ าสะขาดการสำ� รวม และตกอยูใ่ นความประมาท อยา่ ลมื วา่ พระสงฆ์นน้ั ทา่ นเปน็ หนึง่ ในพระรตั นตรัย คฤหัสถเ์ ราถอื แคศ่ ลี ๕ ข้อกย็ งั ลำ� บากแลว้ แต่พระสงฆน์ ั้นทา่ นต้องรักษาศีลถึง ๒๒๗ ขอ้ ดงั นั้น เราจึงควรให้ความเคารพในพระสงฆต์ ลอดเวลา อย่าตตี นเสมอท่านเป็นอันขาด เพราะเส่ยี งตอ่ “ความเป็นเปรต” อยา่ งย่งิ ! เพ่ือเป็นเคร่ืองเตือนสติของพวกเราให้สังวรกาย วาจา ใจ ไม่ตกอยู่ในความประมาท ผมจึงขอ ยกตวั อย่างพฤตกิ รรมท่ผี มเหน็ วา่ เสีย่ งตอ่ ความเปน็ “เปรต” อยา่ งย่งิ ดงั ต่อไปน้ี ๑. ไม่พิจารณาเวลาฉนั เป็นหน้ี ไปเกิดเปน็ ควาย :28 สมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธรี ์ ปณุ ณฺ กมหาเถร ป.ธ. ๙) คณบดีคณะพทุ ธศาสตร์รปู แรก อธกิ ารบดี รูปที่สอง และคณบดีคณะอาเซียอาคเนย์ รูปแรก ของ มจร ได้เมตตาประทานโอวาทและค�ำแนะน�ำ ในวันเปิดประชุมปฐมนิเทศการซ้อมสวดมนต์และศาสนพิธีปฏิบัติ ณ อุโบสถวัดจักรวรรดิราชาวาส กรงุ เทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยาน พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๑๔.๐๐ น. ข้อความตอนหน่งึ ว่า ...การบริโภคบณิ ฑบาต กใ็ ห้พิจารณาดว้ ยบทบิณฑบาตวา่ ปฏิสงฺขา โยนโิ ส ปิณฺฑปาตํ ปฏิเสวามิ เนว ทวาย ไม่เพือ่ คะนอง 28 สนทิ ไชยวงศค์ ต, มหาจฬุ าฯ บุรพาจารย์ ใน พทุ ธจักร ปีท่ี ๗๖ ฉบับที่ ๖ มถิ ุนายน ๒๕๖๐, (กรุงเทพ- มหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐), หน้า ๙-๑๐. 08. ���� (86-112).indd 104 30/4/2561 19:42:27
เปรต 105 น มทาย ไม่เพอื่ มัวเมา น มณฑฺ นาย ไมเ่ พื่อตกแตง่ ร่างกาย น วิภสู นาย ไม่เพ่ือทำ� ใหผ้ วิ พรรณผอ่ งใส ให้รา่ งกายอ้วนพี ยาวเทว อมิ สสฺ กายสสฺ ฐติ ิยา ยาปนาย วิหึสปุ รตยิ า พรฺ หมฺ จริยานคุ ฺคหาย อิติ ปุราณญจฺ เวทนํ ปฏหิ งฺขามิ นฺวญฺจ เวทนํ น อุปปฺ าเทสฺสามิ ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสติ อนวชฺชตา จ ผาสวุ ิหาโร จาติ. เพื่อบรรเทาความหิว เวทนา ความหิวเกา่ และไม่ให้เวทนาใหม่เกดิ ขน้ึ เพื่อรา่ งกายมันตั้งอยูน่ าน เพอ่ื อนเุ คราะหแ์ ก่พรหมจรรย์ เพ่ือไดป้ ระพฤติธรรม เพ่ือได้ประพฤตพิ ระธรรมวนิ ัย ไมใ่ ชเ่ พื่อแขง็ แรง ล�่ำสนั เพ่ือเล่นมวยปล�ำ้ หรอื เลน่ ชกมวยกนั พวกเณร ๆ ในหลายคณะ ชอบออกเอ็กเซอร์ไซส์ โดยไม่ควรแก่สมณสารปู คงจะเอาแบบอยา่ ง ในโทรทัศน์ อย่างนี้เป็นการไม่ถูกวินัย ไม่ถูกสิกขาบท เราฉันข้าวไม่ใช่เพ่ือมีก�ำลังไปเล่นชกต่อยกัน มีก�ำลังเพ่ือให้มีอายุยืนยาวไปเพื่อจะได้อนุเคราะห์พรหมจรรย์ เพ่ือบรรเทาความหิว ไม่ให้ความหิว อันเป็นสาเหตุให้เกิดเวทนาขึ้น ตัดความหิวเก่าที่ก�ำลังเป็น ป้องกันไม่ให้เวทนาใหม่เกิดข้ึน ท่านมุ่งให้ พิจารณาอยา่ งนน้ั เม่ือว่าบาลีไปแล้ว นึกในใจให้รู้จักความหมายความแปลด้วย จะเป็นคุณประโยชน์ เรียกว่า “เสกขา้ วกอ่ นฉนั ” ความจรงิ ทา่ นใหพ้ จิ ารณาแลว้ จงึ บรโิ ภค ไมใ่ ชเ่ สกเพอ่ื เปน็ บญุ เปน็ กศุ ล ถา้ ไมพ่ จิ ารณา บริโภคเข้าไป ก็ตกอยู่ในลักษณะแห่งการเป็น “อิณบริโภค” คือ บริโภคอย่างเป็นหนี้เขา ท่านแสดง การบริโภคไว้ ๔ อย่าง ดังปรากฏในอรรถกถา มชั ฌิมนกิ าย ปปัญจสูทนี วา่ เถยฺยปรโิ ภค ลักเขาบริโภค อิณปริโภค เป็นหนีเ้ ขาบริโภค ทายชชฺ ปริโภค บรโิ ภคมรดกท่ีเขาให้ สามบี ริโภค บรโิ ภคโดยความเปน็ เจา้ ฉะนนั้ ผ้บู รโิ ภคปัจจยั โดยไม่ได้พิจารณา ท่านวา่ เปน็ หนเ้ี ขา โบราณทา่ นเล่าว่า ตายไปแล้วเกิด เป็นววั เปน็ ควายใหเ้ ขาใช้ รบั ใช้หน้ีเขา บางคนบอกวา่ เขายาว ๆ (วัว-ควาย) นี้ คอื ตวั สมภารล่ะ! ฉะน้นั จะต้องเอาใจใส่ในการท่อง ปฏิสงขฺ า โย...อชชฺ มยา... สวดประจำ� ในเวลาเยน็ ในเวลาเช้า เวลาเยน็ สวดมนต์แลว้ กส็ วด ปฏิสงฺขา โย... ด้วย สวดบทต่าง ๆ ที่สำ� คัญทส่ี ุดก็คอื นโม, พทุ ฺธ,ํ อิตปิ โิ ส ภควา, พาหํุ, มหาการณุ โิ ก แล้วสวด ปฏสิ งฺขา โย...ยถาปจฺจยํ...อชฺช มยา ส�ำหรบั บท อชชฺ มยา นัน้ 08. ���� (86-112).indd 105 30/4/2561 19:42:27
106 สารนิพนธ์พุทธศาสตรบณั ฑิต ๒๕๖๑ เราสวดใช้พิจารณาเวลาเราฉัน เราใช้อะไร ไม่ได้พิจารณาจึงใช้บท อชฺช มยาคือพิจารณาเป็นอดีต ปัจจเวกขณะตามภายหลงั จึงจะพน้ จากการบรโิ ภคเปน็ หน้ี อยา่ เขา้ ใจวา่ รบั ทานของทายกมาแล้ว ถอื ว่าไมเ่ ป็นหนีไ้ มไ่ ด้ ถ้าไม่พิจารณาถือวา่ เปน็ หน้ี ฉะน้ัน ตอ้ งพิจารณาปจั จเวกขณะ คือ ปฏิสงขฺ า โย...ยถาปจฺจย.ํ ..อชชฺ มยา... คงตอ้ งฟงั “สมเดจ็ ฯ ทา่ น” นะครบั มฉิ ะน้นั ก็ “เสย่ี งท่ีจะเป็นเปรต!” ๒. กรรมสนองสมภารขโมยศาสนสมบตั 2ิ 9 ทา่ นอาจารย์ธนิต อย่โู พธิ์ เปรียญธรรม ๙ ประโยค อดตี อธบิ ดีกรมศิลปากร ผู้โด่งดงั ไดบ้ นั ทกึ ประสบการณ์ตรงของท่านไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี เมือ่ ครัง้ ผู้บันทึก (อาจารย์ธนติ อยโู่ พธ)์ิ รับราชการในหนา้ ท่อี ธิบดกี รมศิลปากร (พ.ศ. ๒๔๙๙- ๒๕๑๑) ได้เดินทางไปส�ำรวจโบราณวัตถุสถานในจังหวัดภาคเหนือเป็นประจ�ำทุกปี เม่ือได้ไปนมัสการ พระธาตุแช่แห้ง ต�ำบลม่วงต๊ิด อ�ำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน แล้วเดินเวียนทักษิณาวรรต เห็นมี ทรงสณั ฐานงามแปลกจากพระธาตเุ จดยี อ์ น่ื จงึ ขอใหช้ า่ งภาพทไี่ ปดว้ ยกนั ถา่ ยรปู ไว้ แตเ่ ปน็ ทนี่ า่ เสยี ดาย ในเวลาน้นั ทองจังโกทหี่ ุม้ พระธาตุผกุ ร่อนและพังหลดุ รว่ ง ภาพทีถ่ ่ายมากไ็ ม่งามเท่าท่ีควร ในปีต่อมา เม่ือขึ้นไปตรวจราชการในจังหวัดภาคเหนือ ก็เตรียมถ่ายรูปพระธาตุแช่แห้งอีก คราวนท้ี างวดั ไดร้ อื้ เอาแผน่ ทองจงั โกทหี่ มุ้ ลงมากองชอ้ นไว้ เหน็ องคพ์ ระธาตทุ กี่ อ่ อฐิ ปนู ผพุ งั เมอ่ื สอบถาม ดูกม็ ีผู้บอกว่า สมภารวัด (ซึ่งเปน็ เจา้ คณะจงั หวดั น่านด้วย) สง่ั ให้รอ้ื ลงมาเพอ่ื เตรียมปฏิสงั ขรณ์ ในปีตอ่ ๆ มา ได้ขึน้ ไปนมัสการอกี ก็ยงั มิไดซ้ อ่ ม และไมเ่ หน็ แผ่นทองจงั โกของเก่าจึงสอบถาม มีชายสงู อายุผู้หน่ึง ซงึ่ คงจะมารักษาศลี เป็นประจ�ำในวดั ได้กรณุ าเลา่ ให้ฟงั ว่า ท่านสมภารไดส้ ่ังใหข้ าย แผ่นทองจงั โกนั้นไปแลว้ ว่าจะเอาเงินไปสมทบซื้อแผ่นทองเหลอื งใหมม่ าปฏิสงั ขรณอ์ งคพ์ ระธาตุ ถามว่า : แลว้ ท�ำไมยังไม่ซ่อม ทา่ นผนู้ ้นั บอกว่า : สมภารสกึ ไปเสียแลว้ ถาม : แล้วเงนิ ละ่ ? ตอบ : คงเอาไปด้วย ถาม : สึกแลว้ ไปอยทู่ ีไ่ หน ? บอกพร้อมกับยกมือช้ีว่า : อยูบ่ ้านโน้น ถาม : ได้เมียหรอื ยัง ? ตอบ : ได้แล้ว 29 สนทิ ไชยวงศค์ ต, ศลี ๕ พาโลกส่สู นั ต,ิ พมิ พค์ รงั้ ที่ ๖, งานพระราชทานเพลิงศพคุณแม่ทุม ไชยวงศค์ ต เปน็ กรณีพเิ ศษ, (นนทบุรี : นติ ิธรรมการพิมพ,์ ๒๕๖๐), หน้า ๑๘๙-๑๙๒. 08. ���� (86-112).indd 106 30/4/2561 19:42:27
เปรต 107 แลว้ ชายสูงอายนุ น้ั กป็ รารภขน้ึ วา่ สมภาร... แสดงว่าอยากจะพูดตอ่ ขา้ พเจ้าจึงมองหาท่นี ั่งแล้วนงั่ ลงสนทนากนั ท่านผู้น้ันเล่าให้ฟังรวมความได้ว่า สมภารวัดพระธาตุแช่แห้ง เจ้าคณะจังหวัดน่านด้วยผู้นั้น เมอ่ื ขายทองจังโกเกา่ ทร่ี ้อื ลงมาจากองค์พระธาตุ โดยอ้างวา่ จะเอาเงินไปสมทบซอื้ แผน่ ทองใหม่มาซ่อม แตแ่ ล้วกเ็ อาไปขายและสกึ เอาเงนิ ไปแตง่ เมยี อยู่ดว้ ยกันมีลกู ชายคนหนง่ึ เกิดมาไมม่ หี นงั หุ้มกาย มแี ต่ เน้อื และมีเน้ือเยือ่ บาง ๆ ห้มุ และมีนำ้� เหลืองหรอื เลอื ดจาง ๆ ซมึ ออกมา เมอื่ วางใหน้ อนบนเบาะหรอื ผา้ ปูนอน เลือดหรือน้�ำเหลืองทตี่ ัวเดก็ กแ็ หง้ ติดกรงั อยกู่ ับผา้ เวลาเด็กเคล่ือนไหวก็เจ็บปวดครวญคราง น่าสงสาร ทรมานกายทรมานใจพ่อแม่และผู้พบเห็นเป็นอย่างย่ิง ต้องเอาใบกล้วยหรือใบตองตึงสด ๆ มาปใู หน้ อน ถามว่า : เด๋ียวนีเ้ ด็กยงั มชี วี ิตอย่หู รือ ? ตอบ : ตายแล้ว แตส่ มภารก�ำลงั เป็น ถาม : เป็นอะไร ตอบ : เปน็ เหมือนลกู ชาย ถาม : เปน็ อย่างไร ตอบ : เป็นหนังลอกเหลือผิวบาง ๆ และมีน้�ำเหลืองหรือเลือดจาง ๆ ซึมออกมา นอนบนฟูก บนผ้าไม่ได้ น�้ำเหลืองหรือเลือดแห้งติดกรังท่ีผ้า แกะออกก็เจ็บ ต้องหาใบตองตึงหรือใบกล้วยสด ๆ มาปนู อน เช่นเดียวกบั ลูกชายทีต่ ายไปแล้ว ถาม : เดยี๋ วน้ี สมภารยงั มชี ีวติ อยู่หรอื ? ตอบ : ยงั อยู่ ! แลว้ ข้าพเจา้ ก็ชวนคุยเรื่องอน่ื และลาจากกนั พลางนึกในใจว่า กรรมทันตาเห็น นา่ สยดสยอง ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าพ้นหน้าท่ีราชการแล้ว มิได้ข้ึนไปนมัสการพระธาตุแช่ห้องที่จังหวัดน่านอีก ทราบวา่ ไดป้ ฏสิ ังขรณเ์ รียบร้อยนานแลว้ แตว่ ันหน่งึ ราว พ.ศ. ๒๕๑๔ ข้าพเจา้ ไปนมสั การและสนทนา กบั ทา่ นเจา้ คุณพระศรสี มโพธิ (บุญลอย) วัดสงั เวชวิศยาราม กรงุ เทพฯ (ตอ่ มาเปน็ เจ้าอาวาสวดั คฤหบดี และเจ้าคณะเขตพระโขนง) ทา่ นเจ้าคณุ พระศรสี มโพธเิ ป็นชาวจงั หวดั น่าน คุยไปคยุ มาอย่างไรไมท่ ราบ ได้วกไปถึงสมภารเกา่ วัดพระธาตแุ ช่แหง้ ผูน้ ้ัน ท่านบอกวา่ รู้จักกนั ดี ข้าพเจา้ จงึ เรยี นถามทา่ นว่า เด๋ียวน้ี ยังมีชีวิตอยหู่ รือไม่ ไม่ทราบ ทา่ นบอกว่า ตายแล้ว ทรมานมาก เม่ือ ๒-๓ วันนี้ ภรรยาเขายงั มาพบท่นี ้ี บอกวา่ จะลงมาหางานทำ� ในกรุงเทพฯ ท่านผู้อ่านท่ีเคารพ ผมอยากให้ท่านพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการว่าเป็นเร่ืองของกรรมสนอง ทันตาเหน็ หรือไม่ เพราะผู้กระทำ� ไดร้ บั ผลกรรมในชาตนิ ้ี เปน็ เรื่องที่ “เส่ยี งตอ่ ความเป็นเปรตอยา่ งย่งิ !” 08. ���� (86-112).indd 107 30/4/2561 19:42:27
108 สารนพิ นธพ์ ุทธศาสตรบัณฑิต ๒๕๖๑ ๓. เงนิ ทอนวัด ในช่วงวันที่ ๒-๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ผมได้ติดตามข่าวส�ำคัญเรื่องหน่ึง คือ เร่ือง “เงนิ ทอนวัด” จากหนังสอื พิมพร์ ายวนั ๔ ฉบบั คอื คมชดั ลกึ , เดลินิวส,์ ไทยรัฐ, และมติชน สรุปความ ไดว้ ่า จากการสอบสวนของกองบงั คบั การปราบปรามการทจุ รติ และประพฤตมิ ชิ อบ (บก.ปปป.) พบวา่ มีการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม และเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์และ พัฒนาวัด หรือเงินทอนวัดจ�ำนวนมากของเจ้าหน้าที่สังกัดส�ำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยมี การทุจริตในลักษณะเดียวกันต่อเน่ืองมาหลายปีแล้ว ท�ำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐจ�ำนวนหลายร้อย ล้านบาท เฉพาะทเ่ี กี่ยวข้องกบั วดั ๑๒ วัด คือในจงั หวดั ล�ำปาง ๕ วัด ล�ำพูน ๑ วัด อำ� นาจเจรญิ ๓ วดั พระนครศรอี ยธุ ยา ๑ วัด ชุมพร ๑ วัด และเพชรบุรี ๑ วัด สรา้ งความเสยี หายแก่รฐั ถึง ๖๐.๕ ลา้ นบาท มีผ้อู ยู่ในขา่ ยกระท�ำความผดิ จ�ำนวน ๑๐ คน ตามมาตรา ๑๔๗ และมาตรา ๑๕๗ ในสว่ นนไี้ ดส้ ่งส�ำนวน ให้ ปปช. ชี้มูลความผิดพร้อมขยายผลผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งเตรียมน�ำกฎหมายฟอกเงินมาด�ำเนินคดีกับ ผ้รู ่วมกระท�ำผดิ ไม่ว่าจะเปน็ เจ้าหน้าทรี่ ฐั หรือบุคคลธรรมดา ต่อมาเมือ่ วันที่ ๑๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ปปช. ไดช้ ม้ี ลู ความผดิ ของบุคคลระดับผอู้ �ำนวยการ ส�ำนักงานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ๒ ราย ระดับรองผอู้ �ำนวยการ ๑ ราย และระดับเจา้ หน้าทผ่ี ้ปู ฏิบตั ิ ๑ รายว่ามคี วามผิดรว่ มกัน พฤตกิ รรมออื้ ฉาวกระทบความรสู้ กึ ของประชาชนโดยเฉพาะชาวพทุ ธทชี่ ดั เจนไดแ้ กก่ ารถวายเงนิ อุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด เช่น ถวาย ๑ ล้านบาท แล้วแจ้งให้ส่งคืน ๒ แสนบาท ถวาย ๑๐ ลา้ นบาท ให้ส่งคืน ๒ ลา้ นบาท ซ่ึงนยิ มเรียกเงินท่ีสง่ คืนนี้ว่า “เงินทอนวัด” ส่วนส่งคืนแล้ว จะไปเข้ากระเป๋าใคร ก็คงไม่ต้องเดาให้ยาก แต่ผู้ที่น่าสงสารท่ีสุดคือเจ้าอาวาสของวัดที่ส่งเงินคืน เพราะไมท่ ราบวา่ พฤตกิ รรมนนั้ เปน็ การ “ใหค้ วามรว่ มมอื ” กบั เจา้ หนา้ ทสี่ งั กดั สำ� นกั งานพระพทุ ธศาสนา แหง่ ชาตกิ ระทำ� การทจุ รติ โดยรเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณ์ ทำ� ความผดิ เองยงั ไมพ่ อ กบั พว่ งเอาเจา้ อาวาส ไวยาวจั กร และคณะกรรมการวดั ตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งเขา้ ไปเปน็ ผรู้ ว่ มกระทำ� ความผดิ หรอื ใหค้ วามรว่ มมอื กบั ผกู้ ระทำ� ความผดิ ดว้ ย ถ้าหากวา่ เรือ่ งน้เี ปน็ ความจริง เจ้าหน้าทส่ี �ำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ผเู้ ก่ียวขอ้ งกับเรอื่ ง นี้ท้ังหมดก็ “เส่ยี งอยา่ งย่งิ ท่จี ะเปน็ เปรต!” ๔. เซ็นสัญญา : ไดเ้ ท่าไร ต้ังแต่ช่วงท่ีผมยังรับราชการ เคยมีผู้เล่าให้ฟัง และหลังจากเกษียณอายุราชการแล้วก็ยังมีผู้เล่า ให้ฟังเกย่ี วกบั “เซ็นสญั ญา : ได้เท่าไร” นั่นคอื ในวงการกอ่ สร้างถาวรวัตถทุ งั้ ในสว่ นราชการและส่วน 08. ���� (86-112).indd 108 30/4/2561 19:42:27
เปรต 109 ของวดั ท่มี ีการก่อสรา้ งโครงการใหญ่ ๆ ท่มี ูลคา่ นบั ๑๐ – ๑๐๐ ล้านบาท ขึ้นไปต้องมเี อกสารสัญญา เป็นลายลักษณ์อักษรตามกฎหมาย เพื่อรับประกันการก่อสร้างว่าจะต้องเสร็จเรียบร้อยตามท่ีสัญญา ระบุไว้ และประกันการจ่ายเงินค่าก่อสร้างเป็นงวด ๆ จนกว่าการก่อสร้างจะเสร็จเรียบร้อย มีการ ทุจรติ กันตั้งแตก่ อ่ นลงมือกอ่ สรา้ งแล้ว ตอนไหนล่ะ? กต็ อนทจี่ ะลงนาม/เซ็นสญั ญาน่ันแหละ! พฤตกิ รรมดังกลา่ วสรา้ งความเสยี หายแกร่ ฐั และวดั ต่าง ๆ อย่างมากมาย เพราะสิ่งก่อสรา้ งทมี่ ี ผู้ท�ำการทุจริต “กินหัวคิว” มากเกินไป จะส่งผลกระทบต่อส่ิงก่อสร้างอย่างรุนแรง คือ ผลงาน ขาดคุณภาพ ไม่คงทนถาวร เพราะจ�ำนวนเงินค่าก่อสร้างที่ก�ำหนดไว้แต่แรกจะพอดีและเหมาะสม กับงานที่ผู้ท�ำสัญญาเป็นผู้รับจ้างได้รับ แต่เมื่อต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ (ค่าลงนามในสัญญา) จำ� นวนมาก คณุ ภาพของวสั ดกุ ่อสรา้ งกจ็ ะลดลงไป/ดอ้ ยคุณภาพ/ไม่ไดม้ าตรฐานไปด้วย เรามักจะเห็นโครงการก่อสร้างอาคารใหญ่โตหลายแห่งทั้งของรัฐและของวัด ที่ติดต้ังป้าย เริ่มก่อสร้างไว้ล่วงหน้าตั้งนาน แต่ไม่มีการลงมือก่อสร้างจริง ๆ เสียที มีพรายกระซิบว่าผู้มีหน้าท่ี/ มอี ำ� นาจไมย่ อมลงนามในสญั ญาในฐานะผวู้ า่ จา้ ง เพราะผรู้ บั เหมา “จา่ ยนอ้ ย” เขาจงึ ไมย่ อมเซน็ สญั ญา ฝ่ายผู้รับเหมาก็ไม่ยอมลงมือก่อสร้าง มีการต่อรองกัน เช่น ผู้มีอ�ำนาจลงนามจะเอา ๕ เปอร์เซ็นต์ แตผ่ ู้รับเหมาใหไ้ ดเ้ พียง ๓ เปอรเ์ ซ็นต์ ๕ เปอรเ์ ซ็นต์ของงบประมาณ ๑๐๐-๔๐๐ ล้านบาท โปรดคิด เอาเองว่าจะเป็นเงินเท่าไร เป็นการค้ากำ� ไรเกินควรหรอื ไม?่ ผมเหน็ วา่ ผู้มอี ำ� นาจลงนามในสัญญา ไมย่ อมลงนามในสัญญาในฐานะผูว้ ่าจ้าง เพราะยังไม่ไดร้ บั เงินเปอร์เซ็นต์ตามที่ขอเป็นผู้ขาดหิริและโอตตัปปะอย่างยิ่ง เขาจะต้องไปเกิดในภพภูมิของเปรต อยา่ งแนน่ อนทสี่ ดุ เพราะเบยี ดบงั เอาเงนิ ของรฐั หรอื ของวดั มาเปน็ สมบตั ขิ องตนเองอยา่ งหนา้ ดา้ นทส่ี ดุ ทเี่ หน็ ความเสยี หายของการทจุ รติ ทชี่ ดั เจนอยา่ งหนงึ่ คอื โครงการกอ่ สรา้ งถนนในชนบท เนอื่ งจาก มกี ารทจุ รติ กนั อยา่ งมโหฬาร มกี ารกนิ เหลก็ อฐิ หนิ ปนู ทรายกนั มาก ทำ� ใหค้ ณุ ภาพของถนนหลายแหง่ ไม่ได้มาตรฐาน พอก่อสร้างเสร็จถูกฝนตกลงมาเซาะเพียงปีเดียว ถนนขาด/ช�ำรุดตลอดสาย ท�ำความ ล�ำบากและเดือดร้อนใหช้ าวชนบทผจู้ �ำเปน็ ตอ้ งเดนิ ทางไปมาอย่างยงิ่ ช่างนา่ สงสารพวกเขาจริง ๆ ! พฤตกิ รรม “เซน็ สัญญา : ไดเ้ ทา่ ไร” น้ี ถา้ เปน็ ความจรงิ ผมเห็นว่านา่ จะ “เส่ียงตอ่ ความเปน็ เปรตอย่างยิง่ !” ๕. ผลงานของมนสุ สเปโต ผมก�ำลังจะจบบทความเร่ืองนี้ ก็ได้อ่านข่าวท่ีเส่ียงจะเป็นเปรตอีกเร่ืองหนึ่งในหนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” ฉบับวันพธุ ท่ี ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ หน้า ๓ เปน็ เร่ืองท่ีน่าสนใจและสอดคล้องกับบทความ เรือ่ งน้ดี ว้ ย จงึ ขออนญุ าตหนงั สือพมิ พไ์ ทยรัฐนำ� มาเสนอท่านผู้อา่ นดังตอ่ ไปน3ี้ 0 30 หนงั สอื พมิ พ์ “ไทยรฐั ” : พุธที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๑,หน้า ๓ 08. ���� (86-112).indd 109 30/4/2561 19:42:27
110 สารนพิ นธ์พทุ ธศาสตรบณั ฑิต ๒๕๖๑ น่าประหลาดใจในยุครัฐบาล คสช. ท่ีประกาศให้การปราบปรามการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ แม้แต่รัฐธรรมนูญก็อ้างว่าเป็น “ฉบับปราบโกง” แต่ท�ำไมการโกงกินจึงยังเฟื่องฟู ซ�้ำยังแพร่ระบาด ถึงระดับรากหญา้ จากกระทรวงการพฒั นาสังคมและความมัน่ คงของมนษุ ย์ ถึง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร แมจ้ ะเป็นยุคประเทศไทยไร้นกั การเมืองทเ่ี คยถูกตราหนา้ วา่ เป็นคนโกงตัวพ่อ รฐั มนตรวี า่ การและปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ ารรว่ มกนั แถลงวา่ พบการทจุ รติ เงนิ กองทนุ เสมาพฒั นา อาชีพ ข้าราชการโอนเงินเข้าบัญชีคนอื่น ไม่ใช่เพ่ิงจะท�ำกันแต่งาบมาแล้วนับสิบปี ต้ังแต่ปี ๒๕๕๑ ถงึ ๒๕๖๑ เป็นเงนิ กว่า ๘๘ ลา้ นบาท กองทุนนี้มงุ่ ชว่ ยเหลือคนจน ส่วนหนึง่ เปน็ ทุนการศกึ ษาเดก็ หญิง ที่ถกู “ตกเขียว” พ่อแมร่ บั เงินนายทนุ มาและขายลูกสาวให้เมือ่ โตข้นึ จากการตรวจสอบเบ้ืองต้นพบว่ามีข้าราชการเกี่ยวข้อง ๕ ราย มีระดับซี ๘ เป็นผู้รับผิดชอบ มาโดยตลอด และยอมรับสารภาพ แสดงวา่ มีลกั ษณะตรงกันกบั การงาบเงนิ คนไร้ที่พ่งึ คือการเบกิ จา่ ย เงินหละหลวม ข้าราชการระดับกลางมีอ�ำนาจในการก�ำหนดว่าจะจ่ายเงินให้ใคร ไม่มีการตรวจสอบ อยา่ งเข้มงวด มแี ต่ขา้ ราชการตรวจสอบกันเอง แมจ้ ะมสี ำ� นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. แตม่ กั จะเขา้ มาตรวจหลงั จากที่ถูกร้องเรียน และ ป.ป.ท. กเ็ ปน็ หนว่ ยงานราชการในสงั กัดกระทรวงยุติธรรม อยใู่ ตบ้ งั คบั บญั ชาของนกั การเมอื ง ไมเ่ ปน็ อสิ ระแท้ ป.ป.ช. ซง่ึ เปน็ องคก์ รอสิ ระ กถ็ กู สงั คมมองดว้ ยความ สงสัย ยังดำ� รงความเปน็ อิสระหรอื ไม่ ถูกการเมอื งแทรกแซงหรือไม่ อาจถือได้ว่า เป็นการโกงกินรูปแบบใหม่ เปล่ียนจากการกินคร้ังละร้อยล้าน พันล้าน ในยุค นักการเมอื ง มาเปน็ การขูดเลอื ดคนจน คนไรท้ ีพ่ ง่ึ ซ่ึงเมอื่ ก่อนเรียกวา่ “คนอนาถา” โกงกนิ คร้งั ละ พนั สองพนั บาท แตเ่ มอื่ รวมแลว้ กลายเปน็ เงนิ กอ้ นโต ตวั อยา่ งเชน่ งบสงเคราะหค์ นจนตงั้ แตป่ ี ๒๕๕๙ รวมเปน็ เงินถึง ๑.๓๖ พนั ลา้ นบาท ไม่ทราบวา่ ถึงมือคนจนกบี่ าท การโกงกินเงินทุนการศึกษาคนจนมีมาแล้วนับสิบปี ทั้งในช่วงรัฐบาลเลือกตั้งและรัฐบาล รัฐประหาร ส่วนเงนิ สงเคราะห์คนอนาถา เพ่ิงจะมีการทุจรติ ในชว่ งรฐั บาล คสช. เกดิ ขนึ้ ในชว่ งทร่ี ะบบ ตรวจสอบอ่อนแอ ข้าราชการตรวจสอบกันเองเป็นส่วนใหญ่ กรณีการทุจริตเงินสงเคราะห์คนอนาถา น่าจะเงยี บไม่เปน็ ขา่ ว ถา้ นักศกึ ษาฝกึ งานไมเ่ ปดิ โปง ในยคุ รฐั บาลทป่ี กครองประเทศดว้ ยอำ� นาจเบด็ เสรจ็ เดด็ ขาด และเปน็ รฐั บาลทมี่ าจากขา้ ราชการ ไม่น่าเช่ือว่าจะมีข้าราชการคนใดกล้าท้าทายอ�ำนาจ งาบเงินช่วยเหลือคนอนาถา งาบเงินการศึกษา ท่ีมีวัตถุประสงค์อันประเสริฐเพื่ออุ้มเด็กหญิงให้พ้นจากนรก ผู้กล้าคือมนุษย์ท่ีภาษาพระเรียกว่า “มนสุ สเปโต” แปลตรง ๆ วา่ “มนษุ ย์เปรต” ผหู้ ิวโซ ! พฤตกิ รรมดังกล่าว ถา้ เป็นเรอ่ื งจรงิ กเ็ สย่ี งอย่างยิ่งท่จี ะเปน็ เปรตอย่างไมต่ ้องสงสยั ! 08. ���� (86-112).indd 110 30/4/2561 19:42:27
เปรต 111 เอกสารอา้ งองิ นที ลานโพธ์,ิ หลวงพอ่ จรญั เลา่ เร่ืองกรรม, กรุงเทพมหานคร : เอส.เค.เอส. อนิ เตอร์ปรนิ้ ท์, ๒๕๕๙. บรรจบ บรรณรจุ ิ, ปาฏิหารยิ แ์ หง่ กรรม (The Miracle of Karma) ภาค ๒, กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๑. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบบั ประมวลธรรม, กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑. , พจนานกุ รมพทุ ธศาสนฉ์ บบั ประมวลศพั ท,์ กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั เล่มที่ ๒๖ พระสตุ ตันตปิฎก ขุททกนกิ าย วมิ านวตั ถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรคี าถา, กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. , อรรถกถาภาษาไทย พระสุตตันตปิฎก ขทุ ทกนิกาย เปตวัตถุ ฉบบั มหาจุฬาลงกรณ- ราชวทิ ยาลัย, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๖. ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ สถาน พ.ศ. ๒๕๔๔, กรุงเทพมหานคร : ศริ วิ ฒั นา อินเตอร์ปริ้นท์, ๒๕๕๖. ศกั ดิ์สิทธิ์ พนั ธส์ุ ัตย์, ระวงั จะเป็นเปรต, กรุงเทพมหานคร : เลีย่ งเชยี ง เพยี รเพอ่ื พุทธศาสน์, ม.ป.พ. , พระเปน็ เปรต, กรุงเทพมหานคร : เลย่ี งเชียง เพยี รเพื่อพทุ ธศาสน์, ม.ป.พ. สนทิ ไชยวงศค์ ต, ศลี ๕ พาโลกสู่สันติ พมิ พ์ครั้งท่ี ๖, นนทบุรี : นิติธรรมการพิมพ์, ๒๕๖๐. , มหาจฬุ ฯ บรุ พาจารย์ ในพทุ ธจกั ร ปที ่ี ๗๑ ฉบบั ท่ี ๖ มถิ นุ ายน ๒๕๖๐, กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐. หนังสอื พิมพร์ ายวนั ๑๘ ฉบบั : คมชดั ลึก : วนั ที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. เดลนิ วิ ส์ : วันที่ ๒, ๓, ๕, ๖, ๗, ๑๓, ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ และ ๔ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ไทยรฐั : วนั ที่ ๕, ๖, ๘, ๙, ๑๐, ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. มติชน : วนั ท่ี ๓, ๑๒, ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. 08. ���� (86-112).indd 111 30/4/2561 19:42:27
112 สารนพิ นธ์พทุ ธศาสตรบณั ฑิต ๒๕๖๑ เปรตในคราบมนษุ ย์ เปรต หรือ ความเป็นเปรต อยใู่ กลต้ ัวเรามาก และง่ายมากทค่ี นจะกลายเปน็ เปรต อนั ทีจ่ ริงแล้ว ความเปน็ เปรตนน้ั ไมต่ ้องรอใหต้ ายกอ่ น ค่อยเปน็ เปรต คนท่ยี งั มชี วี ติ อยนู่ ่แี หละ ก็กลายเปน็ เปรตได้ พระพุทธเจ้าตรัสวา่ มนสุ สเปโต แปลว่า มนุษย์เปรต หรอื เปรตในคราบมนษุ ย์ ศักดิ์สิทธ์ิ พันธุ์สัตย์ “ระวงั จะเป็นเปรต” หนา้ ๑๔๕. 08. ���� (86-112).indd 112 30/4/2561 19:42:27
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: