Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กาลเวลา

กาลเวลา

Published by thiwadon jirapunyo, 2021-12-30 15:13:00

Description: สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
วัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม

Search

Read the Text Version

กาลเวลา พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ธรรมบรรณาการ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔



กาลเวลา © พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ISBN พมิ พค รั้งท่ี ๑ — มีนาคม ๒๕๔๕ - กลมุ ขนั ธห า พมิ พในวาระที่ คุณเจอื จนั ทน อัชพรรณ (“มิสโจ”) จากไปครบ ๑ ป ๒๖ มี.ค. ๒๕๔๕ - ธรรมบรรณาการ จากคณุ รัมภา วนากุล พมิ พค รั้งท่ี ๒ (จดั ปรบั รปู แบบ)— มกราคม ๒๕๕๔ ……. เลม - แบบปก: ท่พี มิ พ:



สารบัญ ก อนุโมทนา ๑ นาํ เรือ่ ง: อนโุ มทนากอนผานปเ กา ๓ กาลเวลา ๓ ๑. เกา -ใหม: กาวไปสูค วามสขุ ความเจรญิ ๓ ๕ สง ปเ กา รบั ปใ หม ๗ อาศยั กาลเวลา ทีม่ ากบั ความเปลยี่ นแปลง ๙ ๑๓ ความเปลย่ี นแปลง คกู นั ไปกบั กาลเวลา ๑๖ ชีวติ คน คกู นั มากับการทาํ กรรม เม่ือมีชวี ติ อยูไ ป กรรมกส็ ัง่ สมขึ้นมากมาย ตองรูจกั ทง้ั ตดั และตอ จึงจะมีชีวิตท่ีดีได ถารูเขาใจธรรม ก็ปด ก้นั กรรมเองได เม่อื สงิ่ ทงั้ หลายเปล่ยี นแปลงไป คนจะทันมันได กต็ องไมประมาท กาลเวลายง่ิ ผา นไป เราย่ิงไดท ําส่งิ มีคุณคา มากมาย จงึ เปน สริ มิ งคล มีแตค วามสขุ ความเจริญ

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ค ๒. พนเกา-ใหม: สูความสดใสอมตะตลอดกาล ๑๙ มใี หม ก็ตองมีเกา ๑๙ อยากไดใหม ๒๑ ๒๔ ก็ตอ งการเรอ่ื ยไป ไมมที ี่สิน้ สุด ๒๖ ใหมแท อยกู บั ใจทสี่ ดใส ๒๘ ไมร จู ักเกา จติ ใจใหมสดใส เพราะมีธรรมคํ้าชูอยขู า งใน ใหมแ ทค อื ธรรม ที่พน เกา พนใหม เปนอมตะ ท่ีใหมแทต ลอดไป



นาํ เรื่อง อนุโมทนากอนผา นปเกา ขอเจรญิ พร วันน้โี ยมญาตมิ ิตรมาประชมุ พบปะ และพรอ มกัน ทาํ บญุ ถวายภตั ตาหารพระสงฆ แลว กม็ กี ารสงั สรรคก นั ในหมญู าตมิ ติ ร อกี ครั้งหนง่ึ คราวนเี้ ปน รายการของเดือนธนั วาคม ซง่ึ เปน เดือนสดุ ทา ยของป พ.ศ. ๒๕๓๑ กเ็ ลยถอื วา การทาํ บญุ คร้งั น้ี เปนการสง ปเกา และตอนรับ ปใ หมไปดวย เพราะวา ปใหมก จ็ ะมาถงึ ในเวลาอกี สปั ดาหเดียว คือ ๗ วันขางหนาน้แี ลว แตกอนที่จะไดพูดแสดงธรรมกถาเกี่ยวกับเร่ืองกาลเวลาอัน สาํ คญั น้ัน กข็ อถอื โอกาสอนุโมทนาเสียกอ น ในชว งนี้ พอดคี ณุ โยมมสิ โจไดท ราบวา อาตมภาพมปี ญ หาเกยี่ ว กับเรอื่ งตา ก็เปน หวงสุขภาพ ก็เลยไดจ ัดยาของทานล้ือโจว ถวาย โดย มอบใหค ณุ ทรงวาทและคณุ ประจวบลาภนาํ ไปถวาย ขออนโุ มทนาไวใ น ทีน่ ี้ดว ย ทีค่ ณุ โยมพรอ มท้งั โยมญาตมิ ิตรไดเปน หวงใย และตองการให อาตมภาพมีสขุ ภาพแขง็ แรง เพ่อื จะไดท าํ งานพระศาสนาตอ ไป อกี ดา นหนง่ึ คุณมกุ ดาเปนหว งเรอ่ื งเครอ่ื งบันทึกเสียง ซง่ึ ตอน นัน้ เคร่ืองเกา ไดป ระสบอบุ ตั ิเหตุเลก็ นอ ย โยมอยากใหพ ระมีเครื่องใช ในการบนั ทึกเสยี งทส่ี ะดวก จะไดใ ชง านโดยไมต อ งหวงกังวล ไมต อ ง

๒ กาลเวลา มี ปลิโพธ∗ ในการทํางาน เพราะวางานในดา นการพูดน้นั เครอื่ ง บนั ทกึ เสียงกเ็ ปนอุปกรณส ําคัญที่จะชวยใหรักษาหลักฐานไว และชว ย ใหสิง่ ที่พดู ไวน้ี สามารถนําไปคัดลอก พิมพ หรือเอาไปถายทอดตอกัน เปน ประโยชนไ ดก วา งขวาง คณุ มกุ ดาจงึ พยายามจะใหอ าตมภาพมี เครือ่ งใชท ส่ี ะดวก ตอนน้นั ก็นาํ เอาเครอ่ื งชนดิ หน่ึงซึง่ ดมี ากไปถวาย แตด เี กินไปสําหรับอาตมภาพ พอไดโ อกาสก็เลยตองขอคนื ถึงกระน้นั คณุ มุกดาก็ยังไมลม เลกิ ความตั้งใจ ในท่ีสุดก็ไดจ ัดซอ้ื หาเคร่ืองบนั ทึก เสียง AIWA มาถวาย ซ่ึงกําลังทดลองใชอ ยใู นบัดนี้ อีกสวนหน่งึ คือ คณุ กุงกบั คณุ สมศรี ไดเ ปน ผูอาสาสมคั รในการ ไปรับอาตมภาพมาแสดงธรรมกถาที่น้ีเปนประจาํ หลายคร้ังหลายคราว วันน้ีก็เชนเคย ก็ไดไ ปรับมาอกี เปน การอปุ ถมั ภศาสนกจิ ของพระสงฆ อกี ดา นหนง่ึ กข็ อถอื โอกาสอนโุ มทนาไวพ รอมกันดว ย อยางที่อาตมภาพไดกลาวแลววา วนั นีเ้ ปน การทาํ บุญครั้งสุด ทายสําหรับป ๒๕๓๑ จึงถอื วาเปน การสงปเ กาตอ นรบั ปใ หม ∗ ปลิโพธ เคร่ืองผกู พันหรอื หนว งเหนยี่ ว เปน เหตใุ หใจพะวักพะวนหวงกังวล, เหตุ กงั วล, ขอ ตดิ ของ

กาลเวลา∗ -๑- เกา-ใหม: กาวไปสูความสขุ ความเจรญิ สง ปเ กา รบั ปใหม อาศัยกาลเวลา ท่ีมากบั ความเปลี่ยนแปลง เรอ่ื งการสง ปเ กา ตอนรบั ปใหมน นั้ กไ็ ดเคยพูดมาหลายคร้ัง แลววา ท่จี ริงนั้นเปน เรือ่ งสมมติ คอื กาลเวลาก็หมุนเวียนเรอ่ื ยๆ ไปตามปกตธิ รรมดา เราก็มาแบงจัดเปนเดอื นๆ มกี ารกําหนดวา เดือนนนั้ มเี ทา นนั้ เทา นี้วนั อะไรทํานองนี้ โดยคํานวณจากจํานวน วันทัง้ หมด ๓๖๕ หรอื ๓๖๖ วนั ท่โี ลกหมนุ รอบดวงอาทิตย การทจี่ ะแบงเปน เดอื นนน้ั เดือนน้ี มีเทาน้นั เทา นว้ี นั อะไรนี่ เปน เร่อื งของสมมติ ซ่งึ เราจะตดั ตอนเอาตรงไหนเปนปใหมกไ็ ด เพราะฉะน้ัน เรื่องของโลกสมมตินีจ้ งึ ไมเ หมือนกนั บางแหง และ บางยคุ บางสมยั ก็ถอื วนั ขึน้ ปใ หมท ่จี ดุ หนึง่ พอเปล่ียนไปยุคสมัย ∗ ธรรมกถา แสดงทีบ่ า นคณุ โยมมิสโจ เมือ่ วันท่ี ๒๔ ธนั วาคม ๒๕๓๑

๔ กาลเวลา หนึง่ หรือเปล่ยี นถนิ่ ฐานไป ก็มปี ระเพณตี า งออกไป มีการกําหนด วันสง ปเ กาวันข้ึนปใ หมอกี ตอนหนึง่ ดงั จะเห็นวา มกี ารสง ปเกา -ขึน้ ปใ หมแ บบไทยเดมิ หรือแบบ สงกรานตก ็มี หรอื แบบเคยถอื เดือนอา ยกม็ ี ตลอดกระทง่ั วา แบบ จนี กม็ ตี รษุ จีน แบบฝรั่งก็มีตรษุ ฝร่ัง อะไรทํานองน้ี แลว กม็ าถือเปน สากล วา วนั ที่ ๑ มกราคม อยางทเ่ี ราจะจดั ตามทีถ่ ือกันในบัดนี้ รวมแลว ก็คือเปน เร่อื งของกาลเวลา กาลเวลาเปนเรื่องของการเปล่ยี นแปลง และการเปล่ียนแปลง น้แี หละทเ่ี ปนเร่อื งสาํ คัญ เปนเร่อื งของธรรมะ สัจธรรมหรือความจริงในเรื่องของวันส้ินปเกาและวันข้ึนป ใหมนนั้ กอ็ ยูท ี่กาลเวลาซ่งึ มกี ารเปล่ียนแปลงนเ้ี อง การเปลย่ี น แปลงนท้ี ําใหเรามีการแบง เวลาออกไป การท่เี ราบอกวามปี ใหมป  เกาน้ัน ถา วา โดยสาระสาํ คญั แลว ก็เปน เร่อื งของกาลเวลาท่เี ราแบง เปนอดีต ปจจบุ นั และอนาคต ทีว่ า เกากบั ใหมน ั้น เกา เราบอกไดวา เปน อดีต คือเรอื่ งทีผ่ า น ไปแลว สวนทีว่ า ใหมนี้ยังกาํ้ ๆ กง่ึ ๆ ในแงห นึ่งคอื กาํ ลงั เปล่ียนจาก เกามาเปน ใหม ใหมก ็คอื เวลานี้ ที่พบอยูเ ดย๋ี วน้ี ซึ่งถอื วา เปน ปจจบุ นั แตตอ จากปจ จบุ นั ไปยังมีอนาคตอกี เพราะฉะนนั้ ถา จะแบงกาลเวลาใหค รบถว นแลว เกากับ ใหมยังไดเวลาไมครบทีเดียว ถาจะใหครบตองแบงเปนอดีต ปจ จบุ นั และอนาคต รวมเปน ๓ กาล

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๕ ความเปลยี่ นแปลง คูกันไปกบั กาลเวลา ชีวิตคน คกู ันมากับการทํากรรม เรอ่ื งของกาลเวลาก็มี ๓ กาลนีแ้ หละ คอื มอี ดตี ปจ จุบนั และ อนาคต ซึ่งเปนเรื่องทส่ี าํ คญั มากเกย่ี วกับชวี ติ ของมนษุ ย ชวี ิตมนษุ ยน น้ั เปน เรอื่ งของการสบื ตอ คอื สืบตอจากอดีตมา ปจจุบนั แลว จะสืบทอดไปขา งหนา เรียกวา อดีต ปจจบุ ัน อนาคต และท้ังสามน้ันไมใชตัดตอนขาดจากกัน ไมใชวาเม่ือเราพูดแบง เปนอดีต ปจจบุ ัน และอนาคต แลว แตละอยา งจะเปนเรอื่ งของแต ละตอน ไมใ ชอ ยา งนน้ั ความจรงิ อดีต ปจจุบนั และอนาคตนนั้ สืบตอ กนั เปน ของ ตอ เนอ่ื ง เหมอื นอยา งชีวติ ของเรานี้ กส็ บื ทอดมาตัง้ แตเ ดก็ จน กระท่ังปจจุบันนี้ แลวยังจะสืบทอดตอไปอีกเทาไรจนถึงอายุขัย ซ่งึ กไ็ มแ นนอนวาจะสิน้ สดุ ลงเม่ือใด แตท ั้งหมดนน้ั ก็เปนเร่ืองของ การสบื ตอ ทง้ั สิ้น ทีนี้ การสืบตอท่ีสําคัญในชีวิตของเราอยางหน่ึงก็คือ เรื่อง ของ “กรรม” กรรมนัน้ เปน การสบื ตอทีส่ าํ คญั เรียกกันวา การสั่ง สม ชวี ิตของเราน้นั มกี ารสงั่ สมกรรม พระพุทธศาสนาสอนไววา มนุษย “แตละคนมีกรรมเปน ของๆ ตน แตล ะคนเปน ทายาทของกรรม” ทว่ี าเปน ทายาทของ กรรมเพราะอะไร ก็เพราะวา เราไดสรางกรรมไว เมื่อเราสรา ง

๖ กาลเวลา กรรมไวอยา งไร เรากเ็ ปนทายาทของกรรมนั้น และเปน ผรู บั ผล ของกรรมนัน้ เม่ือกรรมเกิดจากการสะสม มันก็เปนเรื่องของกาลเวลา ท่ี เรยี กวา อดีต ปจ จุบัน อนาคต เราสงั่ สมกรรมมาในอดตี แลว มนั ก็สืบทอดมาถึงปจจบุ ันน้ี ตัวเราในปจ จบุ ันนก้ี เ็ ปนผลของการสัง่ สมของกรรมท้งั หมดในอดตี แลวกรรมทเ่ี ราทาํ ในปจ จุบนั น้ี กจ็ ะรวมเขา กับกรรมทไ่ี ดสัง่ สมไว หรือทุนเดิมที่มีอยูทั้งหมดนั้น และเพ่ิมทุนเขาไปอีก สาํ หรับไปใหผ ลในอนาคตตอไปขางหนา เพราะฉะน้ัน การมีชีวิตในปจจุบันแตล ะเวลา กค็ ือการเพิ่ม ทนุ สะสมเพมิ่ เขา ไปในกองเสบยี งทุน ที่เราทาํ ไวทงั้ หมดน้นั ใหมี ผลยิง่ ๆ ขึน้ ไป ดวยเหตุนี้ ทางพระพุทธศาสนาทานจึงสอนใหเราไม ประมาท เพราะวา เม่อื รูวาชวี ติ ของเราเปน การสงั่ สมกรรม เราก็ ควรจะส่ังสมกรรมที่ดี ดังที่มีพระพุทธพจนสอนไววา อยาดูถูก กรรมไมวา ดีหรอื ช่ัว แมจ ะมีประมาณนอ ย ตามพุทธภาษติ วา “มาวะมญั เญถะ ปาปส สะ นะ มตั ตงั อาคะมสิ สะติ” แปลวา “อยาดูหมนิ่ กรรมช่ัวหรือบาปวาเล็กนอ ย คงจะไมม า ถึงตวั ” เปรยี บเหมือนนํา้ หยดทีละนอยๆ ก็ทําใหตมุ นํา้ ที่ใหญโ ต เต็มไปดว ยนาํ้ ได ฉนั ใด คนเราก็เชน เดยี วกัน เมือ่ สงั่ สมกรรมท่ี เปนบาปทีละนอ ยๆ แลว ชวี ติ ก็เตม็ ไปดว ยบาปได ฉันน้นั

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๗ ในทางตรงกนั ขาม บญุ กเ็ ชน เดยี วกนั ทา นก็สอนวา “มาวะมัญเญถะ ปญุ ญัสสะ นะ มตั ตัง อาคะมสิ สะต”ิ แปลวา “อยาดูหม่นิ บุญวา เปน ของเลก็ นอย คงจะไมเ กดิ ผล” เปรียบเหมอื นตมุ นาํ้ ใหญ ยอ มเต็มดวยน้ําทห่ี ยดทีละเลก็ ทลี ะนอ ย ได ฉนั ใด คนเราดําเนนิ ชีวิตที่ประกอบดวยการทําความดหี รือบญุ กม็ ีชีวิตทเี่ ตม็ เปย มไปดว ยบญุ ได ฉนั น้ัน อันน้เี ปนคตเิ ตอื นใจ ใหเ ราพยายามใชเวลาในการท่จี ะทาํ แต กรรมดีงาม ใหเ ปนประโยชน ซึ่งเปน เร่อื งการสืบตอ ของชีวติ และ เปน การสบื ตอของกรรมไปดวย เมอ่ื มีชีวติ อยูไ ป กรรมก็ส่งั สมขึน้ มากมาย ตองรูจกั ท้งั ตัดและตอ จงึ จะมชี ีวติ ท่ีดีได สําหรับมนุษยน้ัน กรรมกับชีวิตไมสามารถแยกจากกันได เมอื่ มีชีวติ ก็มกี รรม เพราะเหตุที่มีกรรมนัน้ แหละ จึงทําใหชีวติ สืบ ตอ ไป เพราะฉะนนั้ กรรมกอ็ ุดหนุนชีวิต และเมือ่ มชี วี ติ กท็ ํากรรม กนั ตอไป ขอ สาํ คญั อยทู วี่ า เราจะใชชีวติ น้นั ทํากรรมอะไร พระพุทธเจาทรงสอนใหเราทาํ กรรมดี และตรงนี้ก็เปนแง ของการท่ีจะสืบตอ คนเราจึงตองใชการสืบตอใหเปนประโยชน หมายความวา ชีวิตทเ่ี ปน การส่ังสมกด็ ี สบื ตอก็ดี เราควรจะทาํ ให เปน การสืบตอ และเปนการส่งั สมที่เปนบญุ เปน กุศล ถาสบื ตอ ดี ก็ เกดิ บญุ เกิดกุศลมาก ชวี ติ นก้ี จ็ ะเตม็ เปย มไปดว ยบญุ ดวยกศุ ล

๘ กาลเวลา แตในเวลาเดยี วกัน พระพุทธเจา ก็ทรงสอนใหเ รารจู ักตดั ดวย เหมอื นกนั ไมใชใหสบื ตอ อยา งเดยี ว สืบตอในแงท ่จี ะทําใหเ กิด ประโยชนแ กชีวิต แตในทางจิตใจของเราน้ี ถาเราไมร ูจักตัด มันก็ ทาํ ใหเ กดิ ความทุกขได อยา งคนบางคนทาํ กรรมไว แมจ ะทาํ บาปไวเ พยี งนดิ หนอย แลวกม็ าเปน หว งเปนกงั วลกับบาปหรอื กรรมไมด ีที่เคยทาํ ไว แลว จิตใจก็ไมมีความสขุ ดา นนพ้ี ระพุทธเจา ทรงสอนวา ตอ งรจู กั ตัด เมื่อกนี้ ้ีตองรจู ักตอ ตอ ใหด กี ค็ ือสงั่ สมแตส วนทีด่ ี ทีนี้ สวนที่ เปนโทษก็รจู ักตัด รจู ักตัดอยา งไร ตดั อยางท่ีหนึ่ง คอื ตดั ในความคิดของเรานแ้ี หละ ดงั ทพี่ ระ พทุ ธเจา ตรัสสอนไววา “ไมควรมัวหวนละหอยถงึ ความหลงั หรือ ส่งิ ทลี่ ว งแลว และก็ไมค วรฝนเพอถงึ อนาคตดวยเชน เดยี วกัน สิง่ ท่ี เปน อดีตก็ลว งไปแลว สง่ิ ทีเ่ ปนอนาคตก็ยังมาไมถ ึง ควรดาํ รงอยู ดว ยสิง่ ทเี่ ปนปจ จุบัน” ถาเราพิจารณารูชัดวากรรมนี้ดี เปนสิ่งท่ีเปนปจจุบันอยู เฉพาะหนา แลว กพ็ ยายามขวนขวายทําปจ จบุ นั นน้ั ใหด ี กจ็ ะมีชวี ติ ทดี่ งี ามได ตัดอยา งท่ีสอง เปน ไปตามหลักความจริงทวี่ า คนเรานเ้ี ปลย่ี น แปลงได เพราะเปน อนจิ จงั และเปน ไปตามเหตปุ จจยั หมายความ วา จะเปล่ยี นไปอยางไร กเ็ ปนไปตามเหตุปจ จยั เพราะฉะนน้ั กรรม ที่ทํามาแลว ถาแมวา ไดท าํ อกศุ ลมา กส็ ามารถที่จะละเลิกแลว หัน มาทํากศุ ล มีพทุ ธพจนตรสั ใหกาํ ลังใจไวว า

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๙ “โย จะ ปุพเพ ปะมชั ชิตวฺ า ปจ ฉา โส นัปปะมัชชะติ โสมงั โลกัง ปะภาเสติ อัพภา มตุ โตวะ จันทิมา” คาถานแี้ ปลความไดวา “บุคคลใดเคยประมาทแลวในกาลกอน มาภายหลงั เลกิ ละ หนั มาเปลีย่ นเปน ไมประมาท บคุ คลน้นั ยอ มยงั โลกนใ้ี หส วา งไสว เหมอื นดงั ดวงจนั ทรท พี่ น จากเมฆหมอก” พทุ ธภาษติ นีห้ มายความวา ถาเราเคยทาํ อกศุ ลกรรมหรือบาป อะไรไว และถา หากเรารแู ลววา สงิ่ นัน้ เปน โทษ ไมดไี มง าม เราก็ เลกิ ละเสยี แลว หันมาทําสงิ่ ท่ีดีงามดวยความไมประมาท กจ็ ะกลบั เกิดเปน บุญเปน กศุ ล และจะทําใหชีวิตนี้สวา งไสวขนึ้ มา ต้งั แตจิต ใจของตนเองก็จะปลอดโปรง เบิกบาน แจมใสได เรียกวา พน จากเมฆหมอก เหมือนดงั ดวงจนั ทรทวี่ า เม่อื พนจากเมฆหมอกออก มาได กส็ องแสงสวา งใหโ ลกนี้แจมจา งดงามสดใสได ฉันนน้ั ถารเู ขาใจธรรม ก็ปดก้ันกรรมเองได ยังมคี าถาอีกคาถาหนึ่ง ทีต่ รัสใหกําลงั ใจไวสําทับความให ชดั ยง่ิ ขึ้นวา “ยัสสะ ปาปง กะตงั กมั มงั กสุ ะเลนะ ปถ ยี ะติ โสมัง โลกงั ปะภาเสติ อพั ภา มุตโตวะ จนั ทมิ า” แปลความวา “บคุ คลใดกระทาํ บาป คือกรรมช่ัวไวแ ลว ภาย หลังปดก้ันกรรมช่ัวนั้นเสียดวยกุศล บุคคลนั้นยอมยังโลกนี้ให สวางไสว เหมอื นดงั ดวงจนั ทรท ่ีพนจากเมฆหมอก”

๑๐ กาลเวลา คาถานี้ก็เชน เดียวกนั ทวี่ าแตกอ นประมาทนน้ั คืออะไร กอ น น้ันประมาทกค็ อื ไมทนั คิด ไมท ันไดพ จิ ารณา ยังไมม คี วามรู ไมม ี ความเขาใจ กอ็ าจจะทําสิง่ ทเ่ี ปน บาป เปนอกศุ ลไว ตอมาไม ประมาท คือเกิดสติ และไดพิจารณา มีความรคู วามเขา ใจแลว ก็ เลิกละอกศุ ล เปล่ยี นมาทํากศุ ลแทน กเ็ อากุศลนน้ั มาปด บาปเสีย ทีว่ า ปดนน้ั ไมใชป ดบงั แตว าปด รายการทีเดียว ปดบังน้นั เปนคนละเร่อื งกัน การที่จะปดบงั บาปน้นั ปด บงั ในใจเราไมได แต ตอ งเอากศุ ลมาปด หมายความวา จบรายการของอกศุ ลหรอื บาปนั้น โดยเอากุศลเขา มาแทน ก็ทาํ ใหเกดิ ความดงี ามข้นึ มา เมื่อกุศลเกิด ขึน้ แลว กป็ ดอกศุ ลหรอื ปดบาปเสีย ใหจ บส้นิ รายการไป เพราะฉะนนั้ แมว า คนเรานี้ เมอ่ื มชี วี ติ อยู อาจจะทาํ กรรมดี บา งช่ัวบางได แตกรรมทีท่ าํ ไวชวั่ นั้น ถาเรารเู ขา ใจแลว และรูจัก ปฏิบัติใหถ ูกตอ ง โดยมีโยนิโสมนสกิ าร คือทาํ ในใจไวโดยแยบ คาย แลว ทํากศุ ลขึน้ มาแทน ก็สามารถปด กั้นอกศุ ลนนั้ ใหห มดพษิ สงไปได บาปท่ที าํ ไว ทท่ี า นวา ไมหายไปไหนนั้น เมอื่ ทําบญุ ไปๆ บาปกถ็ ูกยบั ยงั้ ถูกครอบงาํ หรือถูกทว มทบั หมดฤทธิ์ เพราะบญุ มี กําลังเหนอื กวา บาปกถ็ ูกปดถูกก้นั ไมสามารถแสดงผลได เปรยี บเหมอื นกบั วา เราเอาน้ําสีแดงหรือสีเขียวหรือสสี กปรก อยางใดอยางหนึง่ อาจจะเปน สดี ํากไ็ ด มาใสไวใ นภาชนะ เมื่อเรา ใสแตนํา้ สดี าํ สกปรกลงไป เราก็เห็นชดั วาน้ํานัน้ สกปรก เชนวา น้ําสีดําลติ รหนง่ึ ใสล งไป ก็เหน็ ชัดเลยวาเปนนํา้ สกปรก เปน นํา้ สี

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๑ ดํา เหมือนกบั กรรมชวั่ ที่ทําไว ทนี ตี้ อมา เราไดส ติ และรูเ ขา ใจแลว ก็ไมป ระมาท เราก็ไม ทํากรรมชว่ั นนั้ เพม่ิ อีก น้าํ สีดาํ ทสี่ กปรกมีจาํ นวน ๑ ลติ ร กอ็ ยแู ค ๑ ลติ รน้ัน ทีนี้ ตอจากน้นั เราทําแตกรรมดี เราทํากรรมดมี ากข้ึนๆ เหมือนกับใสนํ้าใสลงไปๆ ใสเ รอื่ ย เติมอยูเร่ือย จนกระท่ังวานํา้ ใส นัน้ มปี ริมาณมากมายตงั้ หลายถัง แลว ในท่ีสุดก็จะปรากฏชัดเจนวา น้าํ ทีเ่ ปนสีแดง หรอื สีดาํ ลติ รเดยี วนนั้ นะ มองไมเ ห็นเลย ในนาํ้ ทมี่ ปี รมิ าณมากมาย ซ่ึงมีจาํ นวนตงั้ พันลิตร หมน่ื ลิตร น้ําสีดําทม่ี ีเพยี งลติ รเดียวน้ัน มองไมเ หน็ เลย เจือจางไปหมด ท้ังๆ ที่ ความจรงิ นาํ้ สแี ดงสดี าํ นนั้ กย็ งั มอี ยู แตม องไมเ หน็ ไมม คี วามหมาย นา้ํ ทั้งหมดน้ันกลายเปน สใี สไปหมด เรอ่ื งน้กี เ็ หมอื นกนั เมื่อทํากรรมท่ีเปนกศุ ล ทาํ บญุ มากข้นึ ๆ บาปทีม่ ีเลก็ นอ ยนนั้ มีก็เหมือนไมม ี เลยหมดความหมายไปเอง อุปมาอีกอยางหน่ึงวา ในกรณีที่ถาสามารถทํากุศลท่ีเปนโล กุตตระขึ้นมา โลกุตตรกุศลน้ันจะตัดกรรมช่ัวใหหมดไปได เหมือนกับวามีนํ้าสีใสล งไปในภาชนะ คราวนี้เราไมไดเติมน้าํ ใส แตเราเอาสารเคมชี นิดหนงึ่ ใสล งไป พอใสส ารเคมนี น้ั ลงไป นา้ํ สี นั้นก็กลายเปนน้าํ ใสไปเลย การใสโลกตุ ตรกศุ ลลงไปเหมอื นกับ เปน สารเคมี เปลยี่ นใหส นี า้ํ ที่แดงน้นั กลายเปน น้าํ ใสไปได เพราะฉะน้นั กุศลนี่แหละเปนตัวปด กน้ั เปน ตัวตัดผลทเ่ี ปน วบิ ากอนั ชว่ั ของกรรมท่ีเปน บาปไปเสียได ฉนั น้ัน

๑๒ กาลเวลา เพราะฉะนั้นจึงไดบ อกวา พระพทุ ธเจา นอกจากทรงใหร จู ัก ตอแลว กท็ รงใหร จู กั ตดั ดว ย ในแงต อ ก็คือใหรูวา อดีต ปจ จบุ ัน และอนาคตนน้ั เปน กระบวนการอันเดียวกนั ท่ีไหลเนอ่ื งสืบตอกนั ไป เพราะฉะนน้ั เรา จงึ ใชป จ จบุ นั นใ้ี นการใสส ิ่งใหมท ด่ี ีเตมิ เขา ไป หรือเพิ่มทนุ หรอื วา ทาํ กรรมใหมเพ่ิมเขาไปในกระบวนการแหง กรรมของเรา เราทําแต กรรมดี เพอ่ื ใหกระบวนการสบื ตอชีวติ ของเรานนั้ เปนกระบวนการ ที่ดี อนั นเี้ ปน การรูจกั ตอ แตใ นเวลาเดยี วกัน กใ็ หร ูจกั ตดั คือปฏบิ ัติตามพทุ ธภาษติ ท่ี พระพทุ ธเจา ตรสั ไววา “อะตีตัง นานวาคะเมยยะ นปั ปะฏิกงั เข อะนาคะตัง” แปลวา “ไมค วรหวนละหอ ยถงึ ความหลงั ท่ีลว งไปแลว ไม ควรฝน เพอถึงสิ่งทีย่ งั ไมมาถงึ สง่ิ ใดเปน ปจจบุ ันอยูเฉพาะหนา มองพจิ ารณาใหเ หน็ ชดั แลว พงึ ขวนขวายทําสิง่ น้ันใหดที สี่ ดุ ” อยางน้ีเปนการตัดเรื่องเกาดวยความคิดที่ถูกตองประการ หน่ึง แลวกต็ ัดเสียดว ยการทที่ าํ กุศลปดก้นั ดังท่ีพทุ ธพจนไดก ลาว มานน้ั อีกประการหนึง่ กจ็ ะทาํ ใหอ ดีตทีผ่ านไปน้นั กลายเปนอดตี ท่ี ไมสามารถแสดงผลในทางท่เี ปน อกศุ ลวบิ าก อันนกี้ เ็ ปนวิธีการท่ี พระพุทธเจาทรงสัง่ สอนไวตามความเปน จรงิ ของธรรมชาติ

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๓ เมอื่ ส่งิ ทั้งหลายเปล่ยี นแปลงไป คนจะทันมันได กต็ องไมประมาท กาลเวลานี้ ทาํ ใหเราคิดถึงเร่ืองใหมแ ละเกา เพราะเปน โอกาส เกยี่ วกับปใหมแ ละปเกา ทีน้ี ปเกาก็เปน เวลาที่กําลงั จะผา นพนไป ปใ หมก ็เปน เวลาท่ี เปน ปจ จุบนั และก็เปนอนาคตทจี่ ะมตี อ ไปดวย จงึ สมควรนาํ คติ เกย่ี วกับเรือ่ งกาลเวลา ทีเ่ ปนอดีต ปจจบุ ัน และอนาคตน้ีมากลา ว ไว เพ่ือวา เราจะไดใชธรรมะใหประโยชนในเรอื่ งเก่ียวกับกาล เวลา ใหกาลเวลาเกา ที่ผา นไปนีม้ ีผลดีแกเ ราใหม ากท่ีสุด ถา เปนกาลเวลาที่เปน บุญเปนกุศล ก็ใหเ ปนสวนท่ีอยูในทุน ของเราที่จะเอาไปใช และเราก็จะเพ่มิ ทุนสว นดนี ้ันตอไป เปน สวน ของการตอ ใหด ี สบื ตอใหเปนบญุ ใหเ ปนประโยชน ใหเ ปน กุศล ถา เปนเวลาเกา ท่ีเปน โทษ เปนบาป เปนอกุศล กใ็ ชวิธตี ัด ดว ยวธิ ีทีก่ ลาวมาแลว คอื ตัดโดยใชวิธีมนสิการอยา งถูกตอง แลวก็ ใชว ธิ ีของการปดกน้ั ดว ยกุศล ใหก ลายเปนสว นของการสืบตอ ใน อนาคตทดี่ งี ามสืบไป ทแ่ี สดงมาน้ี ก็เปน คติเกี่ยวกับการข้ึนปใ หม ซึ่งรวมแลวก็ เปนเรอื่ งของกาลเวลา ทว่ี าเปน เรอ่ื งของอดีต ปจ จุบนั อนาคต แลว ก็เปนเรื่องของการเปลี่ยนแปลง พระพทุ ธศาสนาสอนหลักสาํ คญั คอื เรื่องของความเปลี่ยน แปลงนี้ และความเปลี่ยนแปลงนั้นกเ็ ปน ไปตามหลกั อนจิ จงั ทว่ี า

๑๔ กาลเวลา สง่ิ ทัง้ หลายไมค งท่ี ไมเ ท่ยี งแท มีการเปล่ียนแปลงไปตลอดเวลา แตต องยํ้าและจาํ ใหช ดั วา การเปลี่ยนแปลงเปน ไปตามเหตตุ ามปจ จยั ทีนเี้ ม่ือเปล่ียนแปลงไปตามเหตุปจจยั ถาเหตปุ จ จยั ดี ก็ทํา ใหเกิดผลดี ถา เหตุปจจัยไมด ี กท็ ําใหเกิดผลไมด ี เมอ่ื เราตอ งการ ผลท่ีดี ก็สรา งเหตุปจจยั ทด่ี ี เพราะฉะนนั้ กาลเวลากเ็ ตอื นใหเ รามาระลกึ ถงึ ความเปลยี่ นแปลง วา ความเปลีย่ นแปลงนนั้ จะทาํ ใหดีได เราก็ตอ งมคี วามไมป ระมาท ดวยเหตุนี้พระพุทธเจา จะทรงสอนอยเู สมอ ทรงยา้ํ เตือนพทุ ธ ศาสนิกชนใหไ มประมาท แมกระทง่ั ในวาระสุดทา ย เมอ่ื พระองค จะปรินิพพาน กย็ งั ตรัสปจฉิมวาจา เปน พุทธพจนคร้ังสดุ ทาย ทรงย้าํ เตือนวา “วะยะธัมมา สงั ขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ” แปลวา “สงั ขารทั้งหลายมีความเสอื่ มสนิ้ หรือสลายไปเปน ธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไมประมาทใหถ งึ พรอ ม” หรอื ขยายความออกไปวา จงทําประโยชนต นและประโยชนท านใหถ งึ พรอ มดว ยความไมป ระมาท อันนเี้ ปนเร่อื งทพ่ี ระพุทธเจาทรงเตอื น การทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงเตอื นเราในเร่ืองความไมป ระมาทนน้ั เพราะ ๑. กาลเวลามีจํากัด คนเราจะมีโอกาสในการกระทาํ สงิ่ ตางๆ ก็ตอ งขน้ึ ตอ จงั หวะของมันดว ย เพราะเวลาสาํ หรับทําส่งิ น้ันๆ มี จาํ กัด ถา เราไมเ รงทําในเม่ือโอกาสหรอื เวลามาถงึ โอกาสน้นั ผา น

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๕ ไป เราไมไดทํา เรากเ็ สยี โอกาสไป ก็เปนอนั วา เหลวลมไป ไม สําเร็จ เพราะฉะนน้ั เม่อื โอกาสมาถึงแลว จะตองมีความไม ประมาท เรง ทําใหส าํ เรจ็ ใหได ขอสําคญั ก็คือ โอกาสน้ีมันมาอาํ นวยใหทง้ั ความประมาท และความไมประมาท โอกาสบางอยาง เมอื่ มา มันจะชวนใหเ รา เกดิ ความประมาท ใหเกดิ ความหลงมวั เมาและพลาดพลง้ั ไป ถา โอกาสเชนนน้ั มา เราตอ งระวงั ไมถลาํ ตัวไปใชโ อกาสน้ันในทาง ประมาท ทีจ่ ะทาํ ใหเ กิดโทษแกตนเองหรือแกใครๆ แตเราจะตอ ง ใชโอกาสน้ัน ในการเรงทําสิ่งทด่ี งี ามเปน ประโยชน เพราะฉะนัน้ เรอ่ื งของโอกาส เรื่องของกาลเวลาทจี่ าํ กดั และ จังหวะของสิ่งทง้ั หลายนี้ กเ็ ปน ขอ เตือนอยางหน่งึ ทที่ าํ ใหเ ราตองไม ประมาท ๒. ความไมเ ท่ียงแทแนนอน การเปลี่ยนแปลงนั้นบอกใหรู ดว ยวา ทุกส่ิงทุกอยา งนไ้ี มแนน อน แมแ ตชวี ติ ของเรากไ็ มเ ทย่ี งแท แนน อน เพราะเหตุท่มี ันไมเ ท่ยี งแทแ นน อน กท็ าํ ใหเ ราจะตองไม ประมาท ถาเราไปมัวเมาเพลินอยูวา ชวี ิตของเราจะอยไู ดอ กี นาน หรือ เดี๋ยวนรี้ างกายของเราแขง็ แรงดี เรอ่ื งนีย้ ังไมต อ งรีบหรอก เอาไวทาํ เมอ่ื โนน เมอ่ื นี้กไ็ ด อยางนเ้ี รียกวาประมาท คือเราไมร วู า ความ เปลยี่ นแปลงจะเกดิ ขน้ึ เม่ือไร แกรางกายของเรากต็ าม แกช วี ติ ของ เราก็ตาม แกส ภาพแวดลอ มรอบตวั เรากต็ าม เพราะฉะนน้ั เมอื่ ทํา อะไรใหด ีได ก็ควรจะรีบทาํ เสียทเี ดียว

๑๖ กาลเวลา พระพทุ ธเจาทรงสอนเราใหไมป ระมาททงั้ ในแงที่วา กาล เวลา โอกาส และจงั หวะนี้มจี ํากดั อยา งหน่งึ และความเปล่ียนแปลง นั้นบง ช้คี วามไมแนนอนวาอะไรจะเกิดขึ้นอยางหน่ึง ทั้ง ๒ อยา งนเ้ี ปนเรือ่ งเตอื นใจใหไ มป ระมาท กาลเวลายิ่งผา นไป เรายิ่งไดท ําสง่ิ มีคุณคา มากมาย จงึ เปนสริ ิมงคล มีแตค วามสขุ ความเจรญิ ปเ กา-ปใ หม เปน เรอ่ื งของการเปล่ยี นแปลง และเปนเรอ่ื ง ของกาลเวลาที่ผานลวงไป จงึ เปน โอกาสอันสมควร ทเี่ ราจะนาํ หลกั ความไมป ระมาทมาใช ถา นาํ หลกั ความไมประมาทมาใชแ ลว ชีวติ กจ็ ะเจรญิ งอกงามยงิ่ ขึน้ พระพุทธเจากไ็ ดต รัสสอนไว อยา งที่อาตมภาพไดย กมาอาง แลว พระองคต รัสเตือนอยูเสมอวา วนั เวลาอยา ปลอยใหล วงไป เปลา ทา นสอนวา “จงทําวันทุกวันนใ้ี หไ มวางเปลา” พดู ตามคาํ บาลวี า “อะโมฆัง ทิวะสัง กะยริ า” พึงกระทําวนั แตล ะวนั นี้ ไมใ หวางเปลา “อปั เปนะ พะหเุ กนะ วา” ใหไ ดอ ะไรบาง ไมมากก็นอ ย

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๗ หมายความวา ตองทําอะไรใหไ ดส กั อยาง ไมไ ดท างกาย ก็ได ทางวาจา ไมไ ดท างวาจา ก็ไดทางใจ เริ่มตง้ั แตง านภายนอก อาจ จะเปนงานเขียนหนังสือบา ง งานเก่ยี วกบั การทาํ อาชีพบา ง งานแต ละอยางน้ีควรพยายามทาํ ไปใหค ืบหนา ไดว นั ละเล็กละนอ ย ยง่ิ ได มากกย็ ่งิ ดี ถา ไมไ ดมาก ก็ตองใหไ ดบ า งเลก็ นอ ย ถา ไมไ ดภ ายนอก ก็ใหไ ดเขามาในใจ อยางนอยภายในใจ ของเราน้ี กท็ ําใหเกดิ ภาวนา ใหเ กดิ สตปิ ญญา หรอื ใหเกดิ ความ ผองใส ใหเ กดิ การพฒั นาในทางจติ ใจ ใหเ กดิ การเจรญิ สมาธิ เจริญปญญา กุศลธรรมอะไรก็ตาม ใหไดบ า งไมม ากก็นอย แลว วันเวลานนั้ จะเปนสงิ่ ท่มี ีคา แลวชวี ติ กจ็ ะเปน ชีวติ ที่มีคา เจริญงอก งามไปดวย ตอนนี้จะถงึ โอกาสปใหมแลว อาตมภาพก็เลยขอนํา ธรรมกถาน้มี ากลาว เปน เร่ืองของอนจิ จัง ความเปล่ียนแปลง ความ ไมเทยี่ งแทแ นน อน และเรอื่ งของความไมป ระมาท ทั้งหมดนกี้ เ็ ปนเรื่องเดยี วกนั ซง่ึ นาํ มาเปน คติ ในการทจี่ ะ พัฒนาชีวติ ใหเกดิ ความสุขความเจรญิ ยิ่งๆ ขึน้ ไป ในโอกาสแหงวันสาํ คัญที่จะมาถึงในเวลาอันใกลนี้ ขอให เราทัง้ หลายมองในแงดี มองในแงว าเปน กาลเวลาทีเ่ ปน สริ มิ งคล และการทจ่ี ะเปน สิรมิ งคลนนั้ กด็ ว ยการที่เราทาํ กรรมดที างกาย ทางวาจา และทางใจ

๑๘ กาลเวลา เร่มิ ดว ยปญญาที่เขาใจธรรมของพระพุทธเจา ซึง่ เปน คติวา ใหรจู ักทง้ั ตดั และตอ คอื ตดั ในส่งิ ที่เปน โทษ ตอ ในทางทเ่ี ปน คณุ ทาํ จิตใจใหดี แลว ออกมาทางวจีกรรม การพูด การกลา ว การแนะ นํา ตกั เตอื นกนั ในทางท่ีดงี าม และออกมาทางกายกรรม คือการ กระทาํ ทางกายทชี่ ว ยเหลือเอือ้ เฟอ แกก ันระหวา งเพอ่ื นมนุษย มี ความสัมพนั ธตอกันในทางท่ีดงี าม กระทาํ กรรมท้งั หลายท่ีเกื้อกลู เปน ประโยชน กจ็ ะกลายเปน มงคล แลว กาลเวลาท่ีเปนมงคลนน้ั ก็ จะนํามาซงึ่ ความสขุ ความเจริญ ในโอกาสทีเ่ ปน มงคลอยา งน้ี อาตมภาพก็ขออา งอิงคณุ พระ รตั นตรัย อวยชัยใหพ ร “ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนตั ตะยะเตชะสา” ดว ย อานุภาพคุณพระพุทธเจา คณุ พระธรรม และคุณพระสงฆ อันเปน ท่ีพึ่ง ท่ีเคารพสักการะของเราชาวพุทธศาสนิกชนท้ังหลาย พรอม ท้งั บุญกศุ ลทีญ่ าตโิ ยมทุกทา นไดช วยกนั รว มกันบําเพญ็ แลว จงเปน ปจ จัยอนั มกี าํ ลงั อภบิ าลรกั ษาใหท กุ ทานเจริญดว ยจตุรพธิ พรชัย ใน กาลเวลาปใหมอ นั เปนสิริมงคลน้ี จงประสบสุขเปนผลยงิ่ ๆ ขึน้ ไป ตลอดปใ หม และตลอดกาลอันเปนนิจนริ ันดร พรอ มทัง้ จงมคี วาม รม เย็นเปน สขุ งอกงามในพระธรรมคําสอนของพระสมั มาสัมพทุ ธ เจา ตลอดกาลนาน เทอญฯ

-๒- พนเกา-ใหม: สคู วามสดใสอมตะตลอดกาล๑ มีใหมก ็ตอ งมีเกา ขอเจรญิ พร วันนเ้ี ปน รายการมาพบปะสนทนาธรรมกนั อีก ครั้งหนงึ่ ในรายการของโยม ทตี่ ้ังชื่อวา “คณะขันธ ๕” (คอื กลุม ขนั ธหา ) ซง่ึ มีคุณโยมมสิ โจเปนประธาน โดยจดั เปนรายการประจาํ ในทุกๆ เดอื น สําหรับเดอื นนี้ เปน เดือนท่มี วี นั สาํ คญั วันหนง่ึ เปน เดือนแหง การขึ้นปใ หม ความจริง แทบทกุ เดอื นในปหน่งึ น้ี กม็ วี ันสาํ คัญเกอื บครบ อยางเดอื นนี้มวี นั ข้ึนปใ หม เพราะเปน เดือนมกราคม ตอ ไปเดอื น หนา กุมภาพันธ ก็จะมีวันมาฆบชู า แตไมแ นนอนเสมอไป ถามี เดอื นแปด ๒ หน กเ็ ลอื่ นไปเปนเดือนมนี าคม ตอไปกจ็ ะมวี ันสําคัญ เชน วันสงกรานตใ นเดอื นเมษายน วนั วิสาขบชู าในเดอื นพฤษภาคมหรอื มถิ ุนายน วันเขาพรรษาในเดือน ∗ ธรรมกถา แสดงที่บา นคณุ โยมมสิ โจ เม่อื วันท่ี ? มกราคม ๒๕๓๑ (กอนเรื่องแรก ๑๑ เดอื น)

๒๐ กาลเวลา กรกฎาคม อยา งนเี้ ปนตน หมายความวา ตลอดปน ้ี มีวันสาํ คญั อยู เรอ่ื ยๆ เพราะฉะนั้น เรากม็ โี อกาสทจ่ี ะพดู ถงึ เหตุการณต า งๆ ท่มี ี แงคดิ เกีย่ วกับวันสําคญั น้นั ๆ สําหรับเดือนน้ี ดังทไ่ี ดก ลา วแลว วา เปน เดือนแหงการข้นึ ป ใหม ถา มองในแงหน่ึง เหมือนกับวาเปน วันสาํ คัญมาก ไมใ ชเ ปน วนั สําคัญเฉพาะเดือน แตเปนวันเร่ิมตน ของปทง้ั ปท ีเดียว เรือ่ งของปใหมน ้ี ถาวา ในแงข องชาวพุทธแลว เราเรียกได วา เปนเร่อื งของการสมมติ ชาวโลกมาตกลงกําหนดกันข้ึน วัน เวลาหมุนเวียนของมันเรื่อยไป แลวแตเราจะตกลงกาํ หนดเมื่อไร เปน วันอะไรข้นึ วันขึ้นปใหมน้ี สมยั กอ น ถอยหลงั ไปเมอ่ื หลายสิบปมาแลว เคยกาํ หนดเดอื นเมษายน วันท่ี ๑ เปน วันข้ึนปใหม ตอ มา เรยี กกนั วา ทําตามสากลนยิ ม ประเทศอนื่ ๆ จาํ นวนมาก โดยเฉพาะประเทศตะวนั ตก เขาถอื เอาวันท่ีหน่งึ มกราคมเปนวันขน้ึ ปใหม เรากเ็ ปล่ียนมาถอื ตามสอดคลองกับเขาไปดวย เลยกาํ หนด เอาวนั ที่ ๑ มกราคม เปนวนั ขน้ึ ปใหม ตลอดมานานแลว สําหรบั ชาวพทุ ธ กใ็ หรูเทาทันวา น่ีเปน เร่อื งสมมติ สมมติ ในกรณนี ้ี ก็เปน เรื่องของใหม-ของเกา ท่ีจรงิ วนั กใ็ หมทุกวนั พอถึงพรงุ นก้ี เ็ ปน วนั ใหม วนั ตอ ไปก็ เปน วันใหม อยา งนี้เรื่อยไป จนกระทง่ั ถึงวนั ทีก่ ําหนดสนิ้ สุดป เมื่อไรครบ พอเลยจากนนั้ ไป กข็ น้ึ ปใ หม

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๑ เรอื่ งใหมก็ตอกันกับเรอื่ งเกา ตอ งมเี กา จึงมีใหมได เปน ของ คกู ันมาตลอด ความใหมกับความเกา นี้ มักจะมคี วามหมายสาํ หรบั มนุษยเ รา คนโดยทั่วไปชอบใหม ไมคอ ยชอบเกา เพราะคําวา “เกา ” มักจะมีความหมายเปน เรื่องทรดุ โทรม เหย่ี วแหง เปนของที่จะพงั ทลายแตกสลายไป แตถา “ใหม” กม็ ี ความรสู กึ เหมือนวา อยใู นสภาพที่สมบูรณ เปน ของที่สดใส ทําให จิตใจสบาย ชืน่ ใจ พอใจ เพราะฉะน้ัน คนทงั้ หลายจึงชอบของใหม เรากพ็ ยายามทีจ่ ะ ทําใหไดพ บไดเห็นส่งิ ทงั้ หลายทใี่ หมๆ อยูเ รือ่ ย อยากไดใ หม ก็ตอ งการเร่ือยไป ไมม ที ีส่ นิ้ สดุ แตการท่จี ะไดพบไดเ ห็นสิง่ ใหมน้ี บางทีกเ็ กีย่ วกบั เร่อื ง ความตอ งการ ซ่งึ ทําใหเรามีความอยากไดสง่ิ ตา งๆ เพ่มิ เขามา การที่ตองการสง่ิ ใหมๆ เขา มานี้ ถา ไมร ูจักใชส ติ ไมร ูจักใช ธรรมะเขามาควบคุม ก็จะกลายเปนความตองการทีท่ างพระทาน เรียกวา “ตณั หา” ตัณหาเปนความปรารถนา ซง่ึ มีลักษณะอยางหนึง่ คอื แสวง หาความยินดีพอใจในสง่ิ ใหมๆ เรอื่ ยไป พอไดพบส่ิงน้ีแลว สงิ่ นี้ก็ กลายเปน ส่งิ เกา แลวกแ็ สวงหาสง่ิ ใหมๆ อยางอน่ื ตอไปอกี ไมรูจบ ส้นิ

๒๒ กาลเวลา ถา ไมมหี ลกั ในการควบคุมความตอ งการ ความตองการน้ันก็ จะไมม ที ีส่ ิ้นสุด เขา ลักษณะท่ที างพระบอกไวว า “นตถฺ ิ ตณหฺ าสมา นที” แมน้ําเสมอดว ยตัณหาไมมี ธรรมดา แมน ้าํ จะมีนา้ํ ไหลเร่อื ยไป นาํ้ เกา ไปและมีน้ําใหมมา แมวา ตามปกตจิ ะไมค อ ยเตม็ งา ยๆ แตถึงกระนน้ั ในบางโอกาสกย็ งั มกี ารเตม็ ทว มทน ได ไมเ หมอื นกบั แมน าํ้ คอื ความตอ งการ หรอื ความ ปรารถนาของมนุษยน ้ี ไมรจู กั จบส้ิน พระพุทธเจาตรสั วา “แมแ ตจ ะเนรมติ ภเู ขาใหเปนทองคําท้ังลูก ก็ยงั ไมเ ต็ม ความปรารถนาของคนคนเดยี ว” เคยมเี ร่ืองเปนชาดกเลาวา พระเจา แผน ดนิ องคหนงึ่ พระ นามวาพระเจา มันธาตุราช ตอ งการครอบครองทุกส่งิ ทุกอยา งใน โลกนี้ ตอนแรกก็มีอาณาจกั รเลก็ ๆ จงึ ตอ งการไดดนิ แดนใหมเพ่มิ เขา มา พระองคม อี าํ นาจ และมีความสามารถ กร็ บราแผข ยายดนิ แดนออกไป ไดด นิ แดนเพิ่มมาเรอ่ื ย เพ่ิมไปเพมิ่ มา จนกระทง่ั หมดทั้งโลก ตอนแรกกย็ งั คิดแคใ นโลกวา ใหเ ราไดค รองโลกทัง้ หมดเถดิ พอครองโลกไดส มจรงิ ก็อยากจะครองตอ ไปอีก ทรงดาํ ริวา เอ มีดนิ แดนทไี่ หนเหลอื อกี ถา ไดค รองสวรรค ดวยคงดี พอดีตอนนัน้ โอกาสอํานวยใหข น้ึ ไปครองสวรรคดวย ก็ เลยไปครองดนิ แดนสวรรคช้ันจาตมุ ฯ

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๓ ตอ มาก็คดิ ที่จะครองสวรรคชนั้ สงู ตอ ไปอีก แลว กไ็ ดขึน้ ไป ครองสวรรคช ้นั ดาวดงึ ส รวมกับทา วสักกะคอื พระอนิ ทร ทีแรกแบงครองคนละครึง่ อยตู อๆ มา กค็ ดิ อีกวา เอ ทาํ อยางไรเราจะครองสวรรคช ้ันดาวดงึ สทั้งหมดเสยี คนเดียว ตอนน้กี ค็ ดิ จะฆาพระอนิ ทร แตพระอนิ ทรน ้ันใครกฆ็ าไมได ตองรอใหต ายเองตามกาลเวลา เมอ่ื เปน อยางน้ี จากการปรารถนา เลยขอบเขตของตน ก็เปนเหตใุ หจิตใจเหี่ยวแหง เพราะวา ความ ปรารถนาถกู ขดั ขวาง เมอ่ื ปรารถนาแลวทําไมไ ด จติ ใจท่ีเคยฟูเคยพอง กย็ บุ ลงไป ทง้ั ๆ ทตี่ นมีอยแู ลวมากมายไมร ูเทา ไร กห็ าไดเ กดิ ความสดชื่นพอ ใจกับสิง่ ท่มี ีอยูแ ลวไม แตไปเหี่ยวแหง ในสง่ิ ทตี่ นไมได ใจเหยี่ ว แหง กห็ มดบญุ อยบู นสวรรคไมไ ด กเ็ ลยรวงหลน ตุบ จากสวรรค ลงมาบนดนิ กเ็ ลยไดคตวิ า แมแ ตม ีบญุ ใหญ มีอาํ นาจลนฟา ตองการอะไร กไ็ ด ไดค รอบครองสวรรค กย็ ังไมร ูจักพอ เพราะฉะน้ัน เรอื่ งความปรารถนาของคนนี่จึงไมร จู ักจบส้นิ ทาํ อยางไรจึงจะมคี วามสขุ ท่ีแทจรงิ

๒๔ กาลเวลา ใหมแ ท อยกู บั ใจที่สดใส ไมร จู ักเกา การทีจ่ ะมคี วามสุขท่แี ทจ รงิ นั้น มใิ ชอยูท ก่ี ารปรารถนาแลว ไดสมปรารถนาทกุ อยา ง หาเปน เชนนั้นไม แตอ ยูทวี่ า เราทําอยางไรจะรจู กั วา สมควรแกความปรารถนา ของเราแลว ทาํ ใหอ ยไู ดเปนสุข ทาํ จติ ใจของเราใหเ ปน สขุ ได อัน น้นั กจ็ ะทําใหไดความสุขท่แี ทจริง ความสขุ แทมิใชอ ยูท ่ีการสนอง ความปรารถนาเรอื่ ยไป ทไี่ มจ บส้ิน อีกประการหนงึ่ ทง่ี า ยๆ กค็ ือ ใหม คี วามปรารถนาท่ีชอบ ธรรม เอาธรรมะมาเปน เคร่ืองจํากดั ความปรารถนา นีก่ ็พูดเลยออก ไปจากเร่ืองความใหม คอื มนษุ ยป รารถนาสิง่ ใหมเขา มาอยเู ร่อื ยๆ ก็จะตองรูจักปฏิบัติใหถูกตองตอเรื่องความใหมและความเกา ความใหมบ างทเี ราก็ไมอ าจจะไดเรื่อยไป ยกตัวอยา งงา ยๆ รา งกายของเรา เราไมส ามารถจะใหเ ปน ราง กายทใ่ี หมไ ดตลอดกาล เม่ือวนั เวลาลว งผาน มนั กเ็ ปนไปตาม ธรรมชาติ ตอนแรกกต็ อ งมีการเจรญิ เติบโตข้ึนไป เม่อื เตบิ โตขึน้ สู วยั หนุม วยั สาวแลว ตอจากน้นั กต็ องมีความชราเขามาเบียดเบยี น ครอบงาํ รา งกายของเรากเ็ สอื่ มโทรมลงไป ทนี ้ี ถาเราปรับใจไมได เราตอ งการแตค วามใหมเ รอื่ ยไป ก็ เกิดอาการขดั แยงกบั ความปรารถนา เพราะคนเราไมอ าจจะไดใ หม เรื่อยไป แตจ ะตองเจอกับเกา ดวย เพราะมสี ิง่ ที่จําเปน จะตอ งเกา และสิง่ ใหมที่มี ก็ตองกลายเปนเกา นอกจากน้นั ก็มีสิ่งเกา ท่ีเราจะ

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๕ ตองเขาไปเกี่ยวของ เพราะเราอยใู นโลก โลกนเี้ ปน เร่อื งของสงั ขาร สงั ขารนั้นมหี ลักธรรมดาวา ยอม เปนไปตามกฎของพระไตรลกั ษณ คอื มีความไมเที่ยง เปนทกุ ข เปน อนตั ตา ตองเปลย่ี นแปลง มคี วามเกิดขน้ึ ตั้งอยู ดับไป ใหมแลว ก็กลายเปนเกา เมอื่ เราจาํ เปนตอ งประสบพบกบั สิ่งท่เี กา เราจะทําอยางไร ความเกา -ความใหมทแ่ี ทจ รงิ อยูที่ไหน ความเกา ท่ีเปนสภาวะตามธรรมชาตขิ องสังขารน้ี ก็อยา ง หน่ึง แตค วามเกาความใหมท่มี ผี ลตอ จติ ใจของเราน้ี อยทู ี่จติ ใจของ เรานเี่ องแทๆ ถาเรามีความรูสึกหดหู ใจคอไมส บาย จติ ใจวา เหวหงอย เหงา ก็เปน ลกั ษณะของจิตใจทเี่ กา ถา เปน จิตใจทีส่ ดชื่น เบกิ บาน ผองใส อันนีก้ ็คือจิตใจทีใ่ หม ถา รูห ลกั นีแ้ ลว เรากท็ ําความใหมใหเ กดิ ขนึ้ ไดเสมอ คอื ทํา ใจของเราใหใ หมอ ยูเ สมอ เพราะฉะนั้น สง่ิ ท้ังหลายจะเกากไ็ มมี ปญหาอะไรมาก ถา เรารจู กั ทําใจของเราใหใ หมอ ยเู สมอ ถา เปนชาวพทุ ธ กต็ อ งรจู กั ทําจติ ใจใหใ หม ทาํ ใจใหใ หมก็ คอื ทําใจใหส ดช่นื เบกิ บานผอ งใสอยูตลอดเวลา แมแ ตก ารทเ่ี รามากาํ หนดกันวา ใหมีปใ หม ท้ังๆ ท่ีวัน เดอื น ป กห็ มุนเวยี นอยธู รรมดาอยางน้นั มันกเ็ ปน อบุ ายอยา งหนง่ึ ของ ชาวโลก ทจ่ี ะทาํ จิตใจของตนใหเ บกิ บานผองใส มีความราเริง

๒๖ กาลเวลา เมอื่ มองลกึ ลงไปก็จะเห็นวา ท่ชี าวโลกเขามีความเบกิ บาน ผอ งใสสดชื่นน้ัน เปนดวยอะไร ก็เปน ดวยจิตใจของเขานเ่ี อง ไมใ ช เปนเพราะวนั เกา วันใหมอะไรจริงเลย จิตใจใหมสดใส เพราะมธี รรมค้ําชูอยขู างใน ความใหมท ่เี ปน ของประณตี กค็ อื เวลาขึ้นปใหม ซึง่ เปน วันที่ เรากําหนดกันวาเปนสิริมงคลน้ัน คนมาแสดงความรักความ ปรารถนาดีตอกนั มไี มตรจี ติ มิตรภาพ อยางพอ แม กแ็ สดงเมตตาตอลูก คนทั้งหลายกไ็ ปแสดงความ เคารพนบั ถอื กนั สงความสุขใหแกก นั ในปใหม สง การด สง บัตร อวยพร แสดงความปรารถนาดี คนที่รับก็มีความสุขสดชื่นขึ้นมา จากไมตรีจติ มติ รภาพความปรารถนาดีของผอู ื่น หรอื อยางถงึ วนั ปใหมเชนน้นั ลูกๆ อาจจะเขา มาแสดงความ ปรารถนาดี แสดงความรักตอ คณุ พอคุณแม เอาดอกไมมามอบให หรือเอาส่ิงใดสง่ิ หน่ึงมาแสดงน้ําใจ หรอื เอาถอยคาํ ทีเ่ ปน มงคลมา สอ่ื ใจ เปนการแสดงถงึ ความรูสึกปรารถนาดีและความรกั นั้น จิตใจ ของพอแมก็มีความสุขสดชน่ื เบกิ บาน หรอื วาคุณพอคณุ แมแ สดง ความรักตอลูกกเ็ ชนเดยี วกัน ท้ังหมดน้ีแสดงวา ความใหมท ีม่ ีผลตอจติ ใจอยางแทจ รงิ ก็ เปนเรอื่ งของธรรมะนน่ั เอง ความรักความปรารถนาดตี อกัน หรือ ไมตรีจิตมิตรภาพนนั้ เปน ธรรมอยางหนึ่ง ในธรรมทม่ี ีอยูม ากมาย

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๗ ธรรมะทาํ ใหจ ิตใจสดชืน่ เบิกบานผองใส แลวความใหมก ็เกิดข้นึ เหมอื นอยางในวันทาํ บญุ คราวนี้ คณุ โยมคณะขันธ ๕ มาทาํ หนังสือขึ้นเลมหน่งึ โดยปรารภถึงวนั เกดิ ของอาตมา ในเดือน มกราคม กเ็ ปน การแสดงความปรารถนาดี แตม องดอู กี ที วันเกดิ ท่ีมาถึงนี้ เราบอกวาเปน วนั เกดิ วันใหม หมายความวา มาถงึ วาระครบรอบข้นึ ปใ หมของการเกิดน้ัน วนั เกิด ปใ หม เปน วนั เร่ิมตน ของอายุในรอบปต อ ไป กเ็ ปนความใหม แตค วามจริง เมื่อมองในดา นตรงขา ม ก็คอื เปนความเกา เพราะวา เมื่อวนั เกดิ เวยี นมาใหม ก็แสดงวาอาตมานเ้ี กา ลงไปอกี ป หนึ่ง ความจรงิ น้นั เปน เกา แตม องอกี แงห นง่ึ วาเปนใหม ทนี ี้ จะใหมห รอื จะเกา จะมคี วามหมายอยางไร ก็อยทู ่วี า เรา จะเอาธรรมะมาใชไหม ถา เอาธรรมะมาใช มาพิจารณา ทาํ จติ ใจให สดชืน่ เบกิ บานผอ งใส ดว ยสตทิ ่รี ะลึกถกู ทาง และดวยมปี ญ ญารูจกั คดิ พิจารณาถูกตอ ง พรอ มทัง้ มคี วามปรารถนาดที ว่ี าเมอ่ื กี้ ความ ใหมที่มคี วามหมายกม็ าทันที โยมมคี วามปรารถนาดีตอ อาตมา กท็ าํ หนงั สอื นข้ี นึ้ เปน การ แสดงออกโดยอวยชัยใหพ รอะไรตา งๆ โยมเองกม็ จี ติ ใจเบิกบาน ผองใสในการท่ไี ดท าํ อยางนี้ จิตใจของโยมกใ็ หม ใหมดวยความ สดช่นื ผอ งใสน้นั เมือ่ อาตมารับเอาพรและความปรารถนาดีของ โยม ก็เปนจิตใจที่เบิกบานผอ งใส เกิดเปน ความใหมพ รั่งพรอ มกนั ฉะนน้ั ส่ิงที่จะทาํ ใหใหม ก็คือธรรมะนเี่ อง

๒๘ กาลเวลา ผูที่รูเขาใจอยา งน้แี ลว กไ็ มต องรอวันเวลาที่เปน เรอ่ื งสมมติ ในทางโลกมาชวยใหเ กดิ ความใหม แตสามารถเอาธรรมะมาใชทํา จติ ใจของตนใหใหมไ ดเ สมอไปตลอดกาล เม่อื รูหลักอยางนีแ้ ลว ก็ปฏบิ ตั ิธรรมเชนเมตตา (ความรกั ความปรารถนาดี) ศรัทธา (ความเช่อื ความเลือ่ มใสในพระรตั นตรัย) ธรรมเหลา นี้เกดิ ข้ึนในจติ ใจเม่อื ไร กม็ คี วามสดชื่นเบิกบานเมือ่ นน้ั แลวกจ็ ะมีความใหมอยูเสมอ ฉะนั้น เราทั้งหลายผูตองการความใหม ก็ควรจะเอาธรรมะ มาไวใ นใจ แลว จะไมม ีความเกา เลย จะเปน คนใหมอ ยูตลอดเวลา แลว ก็ไมก ลวั ความเกา ใหมแ ทค อื ธรรม ที่พนเกา พนใหม เปนอมตะ ทใ่ี หมแทตลอดไป ธรรมะ ท่วี า ใหมอยเู สมอน้นั วาท่ีจรงิ แลว คือไมข ึน้ ตอกาล เวลานน่ั เอง ความจริงนัน้ ธรรมะไมม ีเกา ไมม ีใหม เปนของทีค่ ง อยูอ ยา งเดิมตลอดเวลา มพี ุทธภาษติ บทหนึง่ วา ชีรนตฺ ิ เว ราชรถา สุจิตฺตา ราชรถท่ตี กแตง ประดับประดาอยา งดี กย็ งั มวี นั เกาครํ่าคราไป แต สตฺจ ธมโฺ ม น ชรํ อุเปติ ธรรมะของสัตบุรุษท้งั หลายไมแกชราเลย

พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๙ ธรรมะคือหลกั ความจริง ความจรงิ เปน ส่งิ คงท่ี เปน สิง่ ที่ไม ตาย ไมร จู กั เกา และเม่ือไมเ กา ก็ไมใ หมดว ย เปน ความจริงอยอู ยา ง นั้น ความดีงามก็เชน เดยี วกนั เราประพฤติเม่อื ใด ก็เปนความดี งามเม่ือนน้ั เพราะฉะนนั้ ธรรมะนีเ้ ปนส่งิ ทไ่ี มม เี กา-ไมมใี หม เปน ความจริงทีด่ ํารงอยตู ลอดไป เราท้ังหลายทตี่ องการใหต นพน จากการครอบงาํ ของกาลเวลา ท่ีวาจะเกาจะใหมน้ัน ก็นําเอาธรรมะเขามาไวในจิตใจของตน ประพฤติปฏบิ ัติตามธรรมะแลว กจ็ ะไมมคี วามใหมค วามเกา แตจ ะ กลายเปนอมตะ กลายเปนไมต าย ชีวติ ของเรากจ็ ะไมต ายดวยรูเทาทนั สิง่ ทั้งหลาย เหมอื นคนท่ี อยเู หนอื กาลเวลา ไมม คี วามเกา ไมมคี วามใหม กาลเวลาไมสามารถ ครอบงําจิตใจของเขาได จิตใจของเขาเปนอิสระหลุดพน เพราะ ปราศจากกเิ ลส เพราะปราศจากความครอบงาํ ของกาลเวลา ดังที่ กลา วมาแลว เพราะฉะนนั้ พทุ ธศาสนิกท้ังหลาย สามารถถอื เอาประโยชน จากเร่อื งความเกา ความใหมข องกาลเวลาได ทั้งในแงท ี่วา หน่ึง ทาํ ตวั เองใหเปน คนใหมอยูตลอดเวลา ดว ยการมจี ิตใจ ทส่ี ะอาดบรสิ ทุ ธิ์ผอ งใสเบกิ บาน สอง ทําชีวติ ของตนใหเปนอมตะ เปน ชวี ติ ทไี่ มต าย ดว ย การเอาธรรมะที่เปน สงิ่ อันไมต าย ท่ไี มข ้ึนตอ กาลเวลาน้ัน เขา มา ไวในจิตใจและการประพฤติปฏบิ ัติของตน

๓๐ กาลเวลา คณุ ของพระธรรมอยา งหนง่ึ นน้ั ทานระบุวา “อกาลิโก” เรา สวดบทพระธรรมคุณกันอยูเสมอ “สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฐิโก อกาลโิ ก” “อกาลโิ ก” แปลวา ไมข ึน้ ตอกาลเวลา คือ ไมว า จะประพฤติ เวลาใดก็ตาม ก็เกิดผลดีเวลานน้ั เมตตาธรรม ความรกั ความปรารถนาดี เรานําเขา มาใสไ วใ น ใจเวลาใด เวลาน้ัน จิตใจของเราก็สดชื่นเบิกบาน เปนจติ ใจที่ดี งาม ศรทั ธา เราปลูกฝง ขึ้นไวใ นใจ นกึ ถงึ พระพทุ ธเจา นกึ ถึงพระ รตั นตรัย นกึ ถึงบุญกุศลข้ึนมาเวลาใด จติ ใจของเรากผ็ องใสมพี ลัง ข้ึนมาในเวลานนั้ สติ เกิดขึน้ ในใจเวลาใด ใจของเราก็มีหลกั สามารถยั้งหยุด จากความชั่วรายทั้งหลายได และหันไปหยิบยกเอาส่ิงที่ดีงามข้ึนมา คดิ มาทาํ ปญญา เกิดข้ึนในใจเวลาใด เวลาน้ันจิตใจของเรากส็ วาง โลง รเู หน็ เขา ใจเทาทนั สิ่งทง้ั หลาย ตามความเปน จริง รูท ิศรูทางท่ี จะเดินหนาไป เพราะฉะนน้ั ธรรมะจงึ เปน อกาลโิ ก แปลวา ไมข นึ้ ตอ กาลเวลา และก็ทาํ ใหเ ปน อมตะดว ย นีค่ ือหลกั ท่จี ะทําใหพทุ ธศาสนกิ ชนได ประโยชนจากเรอื่ งกาลเวลา และความเกา ใหมนน้ั

พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๓๑ เปนอันวา เราชาวพุทธทั้งหลายมาชักชวนกันใหรูเทาทัน เรือ่ งกาลเวลา เพอื่ ทาํ ใหเกิดความใหมข้ึนในจิตใจอยูเสมอทุกวัน เวลา แลวในที่สดุ กท็ าํ ใหอ ยูพนอํานาจของกาลเวลา เหนือกาล เวลา เขาถงึ สัจธรรม อันเปน ส่งิ ท่ีไมต ายสืบตอไป ในโอกาสน้ี ขออนุโมทนาคณะญาติโยมทีไ่ ดมาสนทนาธรรม กัน มาพบปะสังสรรค มาถวายภัตตาหาร เปนการทําบุญทําทาน ให จติ ใจโนม เขา มาสธู รรมะ ซงึ่ เปน การทาํ จติ ใจใหส ดชน่ื เบกิ บานผอ งใส เราควรจะทําใหไดอ ยา งนนั้ จริงๆ คอื ทาํ ใหจ ิตใจสดชน่ื เบิก บานผอ งใสเอบิ อม่ิ ในธรรม แลว ก็นําธรรมนอ มเขามาในใจของตน เอง ดว ยสติปญ ญาทรี่ ูเ ขาใจความจรงิ ใหจติ ใจของตนอยูกับธรรมะ อนั เปน สิ่งอมตะ แลวกจ็ ะไดร บั ผลดคี อื ความสุขความเยน็ ใจทีเ่ ปน ความใหมตลอดไป ดว ยอานภุ าพคณุ พระรัตนตรัย ขออนุโมทนาญาตโิ ยมทุกทาน และขอคุณพระพทุ ธ คุณพระธรรม และคณุ พระสงฆ พรอมท้ังบญุ กุศลทไ่ี ดบ ําเพ็ญ จงเปน เคร่ืองอภิบาลรกั ษา ใหญาตโิ ยมคณะขนั ธ ๕ และญาตมิ ติ รทง้ั หลาย จงไดป ระสบจตุรพธิ พรชัย เจริญงอกงามดว ย กําลงั กาย กําลงั ใจ กําลังสตปิ ญ ญา ในการปฏบิ ตั กิ จิ หนา ทก่ี ารงาน และปฏบิ ตั ิธรรม ใหกาวหนา มีความรม เย็นเปนสุขในพระธรรมคาํ สอนของพระสมั มาสัมพทุ ธเจา ตลอดกาลนาน เทอญ.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook