-๙- การบริจาคโลหิตเพ่ือช่วยชีวิตเพ่ือนมนุษย์เป็นตัวอย่างของการแบ่งปันอีกประเภทหนึ่งท่ีชาวไทยซิกข์ รว่ มมอื กับสภากาชาดไทยดาเนินการด้วยดีตลอดมาจวบจนทุกวันน้ี ๔. การแตง่ กาย ชาวซิกข์ทั้งหญิงชาย จะแต่งกายแบบไหนก็ได้เพียงแต่การแต่งกายนั้นจะตอ้ งสภุ าพไม่อจุ าดสายตา แก่ผู้พบเห็น สิ่งที่สาคัญชายชาวซิกข์จะต้องโพกผ้าศีรษะท่ีเราเรียกว่า “ดัสตาร” (Dastar) ส่วนหญิงการแต่งกาย แบบสากลนิยม ถึงแม้ไม่ใช่ต้องห้ามแต่มักปรากฏว่าสตรีชาวซิกข์มักจะไม่นิยมสวมใส่นอกจากเวลาท่ีจะต้อง ไปทางานต่างสานักงานตามความจาเป็น โดยปรกติสตรีชาวซิกข์จะแต่งกายด้วยชุดซัลวาร์-กามีซ (Salwar- Kameez) คือเสอ้ื มแี ขน ความยาวของเสือ้ ถงึ เขา่ หรือยาวกว่าและกางเกงหูรูดขายาว สีสันและเน้ือผ้าให้เป็นไปตาม สมัยนิยมและรสนิยมของผู้สวมใส่ แต่ส่ิงท่ีจะขาดไม่ได้คือดูบัดตา (Dubatta) ซึ่งหมายถึงผ้าคลุมศีรษะ สีสัน และแพรพรรณก็เช่นเดียวกันให้เป็นไปตามความชอบของผู้สวมใส่ แต่จะต้องกว้างยาวพอท่ีจะคลุมศีรษะ ไดม้ ิดชดิ ดบู ดั ตาท่ไี ด้กล่าวขา้ งต้นน้ีไมใ่ ชเ่ ป็นผ้าคลุมใบหน้าเป็นเพียงแต่ผ้าคลุมศีรษะเท่านั้น ซึ่งชาวซิกข์ใช้เป็น การแสดงความเคารพตอ่ บุคคลและสถานที่ในขณะน้นั อกี ท้ังยงั เปน็ ศกั ดิศ์ รขี องผูส้ วมใส่ ๕. อาหารการกิน ไม่มกี ฎข้อใดในศาสนาซิกขท์ ีห่ ้ามทานเน้ือสตั ว์ แต่ได้มีบทบญั ญัติในพระมหาคัมภรี ค์ ุรุครนั ถ์ ซาฮิบ ว่า“หมูหรือวัวทั้งสองตัวก็มีสิทธิอยู่” อันหมายความว่าสัตว์ทุกชนิดในโลกต่างมีสิทธิในชีวิตของตนเอง จงึ ไม่ควรทจี่ ะลดิ รอนสิทธใิ นชีวิตของสัตว์เหลา่ นั้น ฉะนน้ั ศาสนาซกิ ข์จะไม่ห้ามทานเน้ือสัตว์แต่จะพยายามเล่ียง หากจาเป็นจะต้องทานเนื้อสัตว์ก็ต้องทานเนื้อสัตว์ท่ีไม่ได้ถูกชาแหละโดยวิธีทรมาน ด้วยเหตุผลที่ปรากฏ ในพระมหาคัมภีร์ว่า มนุษย์และสัตว์โลกท้ังหลายต้องการหลุดพ้นจากวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด แต่เราจะไม่บั่นทอน ชีวิตหรือเป็นผู้กาหนดชีวิตของสัตว์อ่ืน หากเรามีความจาเป็นท่ีจะต้องทานเน้ือสัตว์เราก็จะต้องปลดปล่อยชีวิต ให้หลุดพน้ อย่างทันทีทันใดโดยไมท่ รมาน เนื่องจากศาสนาซิกข์มีถ่ินกาเนิดในแดนแคว้นชมพูทวีปซึ่งในขณะนั้น
- ๑๐ - ประชากรส่วนใหญ่เป็นพี่น้องชาวฮินดูและพี่น้องชาวมุสลิม ฉะนั้นชาวซิกข์จึงไม่ทานเน้ือวัวและเล่ียงเน้ือสุกร ส่วนในศาสนสถานวัดซิกข์หรือคุรุดวาราอาหารจากครัวพระศาสดาจะเป็นเพียงแต่มังสวิรัติเท่ าน้ัน จะไม่มีส่วนประกอบใดๆ จากเน้ือสัตว์ เน่ืองจากครัวพระศาสดาเปิดกว้างสาหรับศาสนิกชนทุกศาสนา ฉะนั้นอาหารมังสวิรัติเท่าน้ันจึงจะเป็นท่ียอมรับของศาสนิกชนต่างศาสนาทุกศาสนาและให้เป็นไปตาม แนวปรชั ญาของพระศาสดาตามทไี่ ดก้ ล่าวไว้ข้างตน้ แล้ว ๖. การทกั ทาย การทักทายของชาวซกิ ข์ไมว่ ่าเด็กหรอื ผใู้ หญ่ ไมว่ ่าชายหรือหญงิ จะกลา่ วคาว่า วาเฮ่ครุ ุยกี าคาลซ่า วาเฮ่คุรุญีกีฟาเต้ (Wahe Guru Ji Ka Khalsa Wahe Guru Ji Ki Fateh) ซ่ึงหมายความว่า”ข้าน้อยคือสาวก ผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า คือศิษย์ของพระศาสดาผู้ประเสริฐ ความสาเร็จของข้าน้อยคือชัยชนะของพระองค์” เห็นได้ว่าในคาทักทายดังกล่าวจะแฝงด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนของศาสนิกชนชาวซิกข์ ซิกข์ทุกคนจะต้ังตน อยู่ในเพศคฤหัสถ์ แต่จะตั้งจิตด่ังอยู่ในเพศบรรพชิต ฉะนั้นจึงไม่ยึดม่ันในวัตถุและสรรพสิ่งในโลกมายา คิดเสมอว่า ทรัพย์สิน เงินทอง ลาภยศ เกียรติและศักด์ิศรีล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ท้ังสิ้น หาใช่เป็น ความสามารถของตน คนทเ่ี กง่ กว่า สามารถกว่า ก็มีมากมายเหลือคณานับ แต่โอกาสอาจยังไม่อานวยหรือยังมาไม่ถึง วันนี้โอกาสเป็นของเราจึงไม่ควรจะลืมตนและตั้งสติมั่นอยู่ในโอวาทของพระศาสดาท่ีว่า “ความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นสุดยอดแห่งความดี” การยกมือพนมไหว้ก็เป็นการแสดงออกซ่ึงความเคารพและถือเป็นการทักทาย อีกนัยหนึ่งดว้ ย ๑. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ความรู้ศาสนาเบ้ืองต้น. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒, ๒๕๕๗. ๒. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. พิมพ์ครัง้ ท่ี ๓, ๒๕๖๑. ๓. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. กรมการศาสนา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั , ๒๕๕๑. ๔. กรมการศาสนา และอนุกรรมการส่งเสริมกิจการศาสนาและศาสนิกสัมพันธ์ คณะกรรมาธิการ การศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา. วิถีชีวิต ๕ ศาสนิกในประเทศไทย. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ราไทยเพรส จากดั . พิมพค์ รงั้ ท่ี ๕, ๒๕๖๑.
ศาสนพิธี ศาสนพิธี คือพิธีทางศาสนาหรือแบบแผนแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ทางศาสนา ในทางพระพุทธศาสนา พิธีกรรมเป็นส่ิงท่ีช่วยหล่อเล้ียงศาสนธรรมอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาไว้ ดังนนั้ การกระทาศาสนพธิ หี รือพธิ ีกรรมตา่ งๆ ในทางพระพทุ ธศาสนา ควรทีจ่ ะตอ้ งมีการแนะนาและให้ผู้ร่วมพิธี ได้ศึกษาทาความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีต่างๆ ให้ถ่องแท้ตามหลักการทางพิธีกรรมของพระพุทธศาสนาเพื่อผู้ปฏิบัติ จะได้นาไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามจุดมุ่งหมายในศาสนพิธีนั้นๆ เน่ืองจากศาสนพิธีจัดเป็นวัฒนธรรม และจารีตประเพณีของชาติที่มีการสืบสานกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน การปฏิบัติศาสนพิธีจะต้องทาให้ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงามเป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา ในการดาเนินกิจกรรมด้านพิธีกรรมของศาสนพิธี ซ่ึงถือเป็นสิ่งสาคัญของพุทธศาสนิกชนและเป็นก้าวแรก ที่มีความเป็นรูปธรรมของการก้าวเข้าสู่หลักการของพระพุทธศาสนาที่เป็นการเสริมสร้างคุณค่าทางด้านจิตใจ รวมท้ังการธารงรักษาเอกลักษณ์ของชาติและพุทธศาสนา ผู้ทาหน้าท่ีเป็นผู้นาในการปฏิบัติงานศาสนพิธี จะต้องมีความรู้ความสามารถและความเข้าใจอย่างถูกต้อง เน่ืองจากศาสนพิธีเป็นการสร้างระเบียบแบบแผน แบบอย่างทพ่ี งึ ปฏิบตั ิในศาสนาน้นั ๆ ตามหลกั การความเชือ่ ในศาสนาท่ีตนนับถือ เมื่อนามาใช้ในทางพระพุทธศาสนา ยอ่ มหมายถึง ระเบยี บ แบบแผน และแบบอยา่ งท่ีพงึ ปฏบิ ตั ิในพระพุทธศาสนา ซง่ึ บางทา่ นเรียกวา่ “พุทธศาสนพธิ ี” ประโยชน์ของศาสนพิธี ศาสนพิธีท่ีถูกต้องทาให้พิธีมีความเรียบร้อย งดงาม ย่อมเพิ่มพูนความศรัทธาของผู้ที่ได้พบเห็น เป็นเคร่ืองแสดงเกียรติยศของเจ้าภาพและผู้เข้าร่วมพิธี อีกทั้งยังเป็นการรักษาวัฒนธรรมประเพณีท่ีดีงาม ของชาติไว้ ประเภทของศาสนพิธีทางพระพทุ ธศาสนา ศาสนพิธีในทางพระพุทธศาสนาเป็นการสร้างความดี การทาบุญ การถวายทานต่างๆ ได้มีการรวมไว้ และแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คอื ๑. กุศลพิธี คือ พิธีกรรมท่ีเน่ืองด้วยการอบรมความดีงามทางพระพุทธศาสนาเฉพาะตัวบุคคล เช่น การรักษาศลี การฟังธรรม การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ การเวยี นเทียนในวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา ๒. บุญพิธี คือ พิธีทาบุญ เป็นประเพณีในครอบครัว ในสังคม เกี่ยวเนื่องกับการดาเนินชีวิต ไดแ้ บ่งพิธที าบญุ เป็น ๒ ประเภท คอื ประเภทที่ ๑ พิธีทาบุญงานมงคล เป็นพิธีทาบุญเพ่ือความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง แก่ผู้อื่น แก่สถานท่ี เช่น งานฉลองยศ งานทาบุญข้ึนบ้านใหม่ งานมงคลสมรส งานทาบุญประเทศ ประเภทท่ี ๒ พิธีทาบุญงานอวมงคล เป็นพิธีทาบุญเพื่ออุทิศให้แก่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว เช่น งานสวดพระอภธิ รรม ทาบญุ ๗ วนั ทาบุญ ๕๐ วัน ทาบญุ ๑๐๐ วนั เปน็ ต้น ๓. ทานพิธี คือพิธีถวายทานต่างๆ เป็นการถวายปัจจัยส่ี คือ อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และส่ิงของอ่ืนอันควรแก่สมณบริโภคแด่พระสงฆ์ จะเป็นการถวายทานเฉพาะเจาะจงแก่พระสงฆ์ รูปใดรูปหน่ึง ท่ีเรียกว่า “ปาฏิปุคคลิกทาน” หรือการถวายทานแก่หมู่พระสงฆ์ไม่เฉพาะเจาะจงท่ีเรียกว่า “สังฆทาน” หรอื การถวายผา้ กฐนิ ผา้ ปา่ ผา้ อาบน้าฝนและอืน่ ๆ
-๒- ๔. ปกิณกพิธี คือ พิธีเบ็ดเตล็ดเป็นมารยาทและวิธีปฏิบัติศาสนพิธี เช่น วิธีต้ังโต๊ะหมู่บูชา และจดั อาสนะสงฆ์ วิธวี งด้ายสายสิญจน์ วิธีจุดธูปเทียน วิธีแสดงความเคารพพระสงฆ์ วิธีประเคนของพระสงฆ์ วิธีทอดผ้าบังสุกุล วิธีทาหนังสืออาราธนาและใบปวารณา วิธีอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร อาราธนาธรรม วิธีกรวดน้าฯลฯ ซ่ึงเป็นพิธีเล็กน้อยท่ีปฏิบัติในกุศลพิธี บุญพิธีและทานพิธี รวมท้ังพิธีอ่ืน ๆ ที่จัดลงในพิธี ท้งั ๓ ประเภทดังกล่าวไมไ่ ด้ รูปแบบของงานศาสนพธิ ี ศาสนพิธีมีรูปแบบการจัดหรือรูปแบบการปฏิบัติศาสนพิธีท่ีแตกต่างกันออกไปจาแนกได้ เป็น ๔ รูปแบบ คอื ๑. งานพระราชพิธี เป็นงานที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเป็นประจาปี เช่น พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา หรืองานท่ีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้น เป็นกรณพี เิ ศษ เช่น พระราชพิธีอภเิ ษกสมรส พระราชพิธีสมโภชเดอื นและขน้ึ พระอู่ ๒. งานพระราชกุศล เป็นงานท่ีพระมหากษัตริย์ทรงบาเพ็ญพระราชกุศล งานพระราชกุศลบางงาน ต่อเนื่องกับงานพระราชพิธี เช่น พระราชกุศลมาฆบูชา พระราชกุศลทักษิณานุประทานพระบรมอัฐิ สมเดจ็ พระบรมราชบุพการี พระราชกุศลทรงบาตร ๓. งานรัฐพิธี เป็นงานพิธีที่รัฐบาลหรือทางราชการจัดข้ึนเป็นประจาปี โดยกราบทูลเชิญ สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวเสด็จฯ ทรงเป็นประธานประกอบพธิ ี เชน่ รฐั พธิ ที ร่ี ะลึกวนั จกั รี รฐั พธิ ฉี ลองวนั พระราชทาน รัฐธรรมนญู ซึ่งปจั จุบนั ทรงรับเข้าเปน็ งานพระราชพธิ ี ๔. งานราษฎร์พิธี เป็นงานทาบุญตามประเพณีนิยมท่ีราษฎรจัดข้ึนเพ่ือความเป็นสิริมงคล แก่ตนเองและชุมชน หรือเป็นการทาบุญเพ่ืออุทิศผลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วในโอกาสต่างๆ ซึ่งเป็นการจัด ตามความศรัทธาและความเชื่อทถ่ี อื ปฏิบตั ิสบื ทอดกันมาตามท้องถนิ่ หรือชมุ ชนนั้นๆ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนพิธีและมารยาทไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . พิมพ์ครั้งท่ี ๓, ๒๕๖๑.
การจดั โต๊ะหมบู่ ูชา โต๊ะหมู่บูชา คือ กลุ่มหรือชุดของโต๊ะที่ใช้ตั้งพระพุทธรูปหรือสิ่งอันเป็นที่เคารพสักการะ เช่น พระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมสาทิสลักษณ์หรือพระบรมรูปหล่อของพระมหากษัตริย์ พระฉายาลักษณ์ หรือพระสาทิสลักษณ์ของพระบรมวงศานุวงศ์ หรือรูปของบรรพบุรุษ ประกอบด้วยเคร่ืองบูชาอันเป็นการแสดงออก ซึ่ง ค ว า ม เ ค า ร พ อ ย ่า ง สูง ข อ ง ผู้ที ่สัก ก า ร ะ แ ล ะ เ ป็น ก า ร แ ส ด ง ถึง ค ว า ม ก ต ัญ ญ ูที่พึง มีต ่อ ผู ้มีอุป ก า ร ค ุณ ซึง่ เปน็ วัฒนธรรมอันดงี ามท่ีมคี ณุ คา่ ยิง่ ของสงั คมไทย ประวัตคิ วามเปน็ มา สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ ไดท้ รงนิพนธไ์ ว้ในเรื่อง “อธบิ ายเคร่ืองบูชา” ทาให้สันนิษฐานได้ว่า การจัดโต๊ะหมู่บูชา เร่ิมมีมาแต่รัตนโกสิ นทร์ตอนต้น สืบเนื่องมาแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ทรงมีพระราชดาริให้จัดสร้างม้าหมู่ขึ้นสาหรับตั้ง เครื่องบูชาหน้าพระประธานในพระอุโบสถวัดพระเชตุพน ซึ่งเป็นม้าหมู่ขนาดใหญ่ และม้าหมู่ขนาดน้อย ที่ต้ังประจาวิหารทิศ แต่ยังไม่มีโต๊ะตัวล่างที่เป็นฐานรองรับม้าหมู่ ซ่ึงเป็นการจัดแปลงโต๊ะเคร่ืองบูชาอย่างจีน มาเป็นอย่างไทย และต่อมามีผู้นิยมจัดโต๊ะเครื่องบูชาม้าหมู่เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และมีโต๊ะประกอบ เป็นท่ีต้ังเครื่องบูชาในการทาบุญโอกาสต่างๆ ของพระบรมวงศานุวงศ์และของเจ้านายผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ในช่วงระยะเวลาที่ถือว่าได้มีการพัฒนาเกี่ยวกับโต๊ะหมู่บูชามากท่ีสุดยุคหน่ึง ก็คือ ในการจัดพระราชพิธี พระบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าภาษี นายอากร พ่อค้า จัดโต๊ะเครื่องบูชาเข้าไปตั้งเป็นเครื่องประดับ จานวน ๑๐๐ โต๊ะ ซ่ึงเป็นปฐมเหตุท่ีให้มีความนิยมในการประกวดโต๊ะเครื่องบูชา ดังนั้น ในการบาเพ็ญกุศล คล้ายวันประสูติของพระบรมวงศานุวงศ์ เจ้านายผู้ใหญ่ หรืองานทาบุญวันคล้ายวันเกิดของผู้มีบรรดาศักด์ิ มักจะมีการประกวดโต๊ะหมู่บูชาและการจัดเครื่องบูชา อันเป็นการแสดงถึงภูมิปัญญาและฝีมือเชิงช่าง ของนายช่างไทย เป็นการพัฒนาการจัดสร้างการจัดแปลงในการสร้างม้าหมู่บูชาให้มีความวิจิตรสวยงาม ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม ใ ห้ ช่ า ง ไ ม้ ไ ท ย ไ ด้ มี ค ว า ม คิ ด ใ น ก า ร จั ดแปลงและสร้ างม้ าหมู่ อั นเป็ นการแสดงออกถึ งศิ ลปะ และฝี มื อเชิ งช่ างของนายช่ างไทยท่ี มี ลั กษณะอั นอ่ อนช้ อยแ ล ะ ส ว ย ง า ม ซ่ึ ง เ ป็ น ก า ร แ ส ด ง ใ ห้ เ ห็ น วั ฒ น ธ ร ร ม ทางด้านศิลปะของสังคมไทย ซ่ึงเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์ในการคิดลวดลายเป็นแบบเฉพาะของตนเอง ซ่ึงต่อมามีการจัดสร้างโต๊ะตัวล่าง เพื่อเป็นฐานสาหรับรองรับม้าหมู่เพ่ือให้มีความสะดวกในการจัดตั้ง เน่ืองจากเมื่อนาม้าหมู่ไปจัดตั้งในสถานท่ีทาบุญบางแห่งซ่ึงมีพื้นท่ีไม่เสมอกัน ก็จะต้องจัดหาวัสดุมารองรับท่ีฐาน ของม้าหมูแต่ละตัวเพ่ือให้มีความเสมอกันและสวยงามซึ่งทาได้ยาก เม่ือมีโต๊ะตัวล่างสาหรับต้ังเป็นฐาน ไว้รองรับกลุ่มโต๊ะหมู่หรือม้าหมู่แล้ว สามารถทาให้ตั้งโต๊ะหมู่ได้ง่าย เกิดความเด่นและมีความสวยงามเพ่ิมข้ึน ซึ่งถือเปน็ การพัฒนาด้านความคิดในการจดั สรา้ งโตะ๊ หมขู่ องนายช่างไม้ของไทย การจัดโต๊ะหมู่บูชา ถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันสาคัญประการหนึ่งของสังคมไทย ซึ่งได้มีการ ปฏบิ ัติสืบทอดและสืบสานกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น พระราชประเพณี หรือพระราชพิธีต่างๆ ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์หรือประเพณีต่างๆ ของสังคมไทย จึงได้มีการ จัดโต๊ะหม่บู ชู าในการประกอบพิธีตา่ งๆ อนั เป็นการแสดงออกถึงการบูชาต่อส่ิงอนั เป็นท่ีเคารพสกั การะอันสงู ยงิ่
-๒- ตามที่บรรพบรุ ุษไดก้ ระทาเป็นแบบอย่างไว้ดว้ ยความกตญั ญกู ตเวทใี นภูมปิ ัญญาของบรรพบรุ ุษ วตั ถุประสงคข์ องการจัดโตะ๊ หมู่บูชา การจัดโต๊ะหมู่บูชา เพ่ือเป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธรูป พร้อมทั้งต้ังเครื่องบูชาตามคตินิยม ของชาวพุทธตามท่ีปรากฏในพุทธประวัติว่า เมื่อพุทธบริษัทมีความประสงค์จะบาเพ็ญกุศลอย่างหนึ่งอย่างใด มักจะนิมนต์พระสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาเป็นประธานสงฆ์ในงานกุศลน้ันๆ ดังนั้นเพ่ือให้มีความสมบูรณ์ ในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ตามคตินิยมดังกล่า ว ในการจัดงานท่ีเกี่ยวกับ ศ า ส น พิ ธี ท า ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า พุ ท ธ ศ า ส นิ ก ช น จึ ง นิ ย ม อั ญ เ ชิ ญ พ ร ะ พุ ท ธ รู ป ม า ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น เ ป็ น นิ มิ ต แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพิธีนั้น ๆ ด้วย เพื่อให้มีพระรัตนตรัยครบบริบูรณ์ พุทธศาสนิกชน จึงได้มีการต้ังโต๊ะหมู่บูชาและอัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนโต๊ะหมู่บูชาโต๊ะสูงสุดแถวกลาง พร้อมท้ังต้ัง เคร่ืองบูชาที่โต๊ะในลาดับที่รองลงมาตามความเหมาะสม ซ่ึงสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร) วัดราชผาติการาม ได้ให้ความหมายของ “รัตนะ” ว่า “เพราะพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นส่ิงท่ีควร กระทาความยาเกรง ดังน้ัน เพื่อให้เกิดความยาเกรงในพระรัตนตรัยดังกล่าว บรรพบุรุษของเรา ที่มีความเคารพในพระรัตนตรัยแต่โบราณ จึงได้ปฏิบัติสืบกันมาเม่ือมีพิธีการต่าง ๆ ท้ังท่ีเป็นศาสนพิธี หรือการประกอบพิธีท่ีต้องการความเป็นสิริมงคลได้มีการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีการนั้น ๆ เป็นประเพณี สืบต่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นงานพระราชพิธี รัฐพิธี หรือราษฎร์พิธี ทั้งงานพิธีทาบุญที่เป็นงานมงคล และงานอวมงคล ล้วนนิยมตั้งโต๊ะหมู่บูชาทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อมีการอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐาน ควรจัดสถานที่ทปี่ ระดิษฐานให้เหมาะสมและมีความสง่างาม บรรพบุรุษไทยจึงได้มีการพัฒนาและจัดแปลงจาก ม้าหมมู่ าเปน็ โตะ๊ หมูบ่ ูชาเพื่อความสะดวกในการเคล่ือนย้ายและให้มีความสวยงาม ซึ่งต่อมาการจัดโต๊ะหมู่บูชา ถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติไทย และเป็นมรดกทางภูมิปัญญาและแนวคิดในการแสดงออกถึง ค ว า ม เ ค า ร พ สั ก ก า ร ะต่ อ สิ่ ง อั น เ ป็ น ที่ เ ค า ร พนั บ ถื อ แ ห่ ง ต น ข อง บ ร ร พบุ รุ ษ ไท ย ซ่ึ ง ลั ก ษ ณ ะก า ร ต้ั ง โ ต๊ ะห มู่ ได้พัฒนาจากการจัดต้ังโดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ในงานพิธีทางพระพุทธศาสนา ต่อมามีการจัดต้ังโต๊ะหมู่บูชาเพ่ือวัตถุประสงค์อื่น แต่ท้ังนี้ก็เป็นไปด้วยความเคารพสักการะในส่ิงท่ีนามา ประดษิ ฐานบนโต๊ะหมทู่ งั้ สิ้น ความสาคญั ของโต๊ะหมู่บูชา ปัจจุบันพิธีท่ีเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ในพระราชพิธี รัฐพิธี หรือราษฎร์พิธีไม่ว่าจะเป็นงานมงคล หรืองานอวมงคลก็ตาม นิยมต้ังโต๊ะหมู่บูชาท้ังสิ้น โดยมีจุดประสงค์เพ่ือเป็นท่ีประดิษฐานในหนังสือ “โต๊ะหมู่บูชา” ของผชู้ ่วยศาสตราจารย์ สทุ ัศนีย์ บญุ โญภาส จาแนกความสาคญั ของโต๊ะหมบู่ ูชาไว้หลายประการ คือ ๑. เป็นสัญลักษณ์เตือนพุทธศาสนิกชน (ท้ังในกลุ่มของพระสงฆ์และฆราวาส) ให้มีจิตสานึก และเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เน่ืองจากการจัดโต๊ะหมู่บูชาท่ีใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาต้องอัญเชิญ พระพุทธรูปประดิษฐานบนโต๊ะหมู่ตรงกลางท่ีสูงท่ีสุด เสมือนหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ตลอดเวลา และเป็นประธานในพิธีด้วย เป็นการย้าเตือนให้พุทธศาสนิกชนซาบซ้ึงถึงพระปัญญาของพระพุทธองค์ ที่ทรงตรสั รไู้ ด้ด้วยพระองค์เอง
-๓- ๒. เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการถวายความจงรักภักดี ความเคารพบูชาในพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานวุ งศ์ โตะ๊ หม่บู ูชาท่ีจัดตง้ั เครือ่ งสักการบูชา ดังเช่น การจัดโต๊ะหมู่บูชาในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระมหากษัตรยิ ์ และพระบรมวงศานวุ งศ์ รวมท้งั บุคคลอนั เป็นท่เี คารพนบั ถือแหง่ ตน ๓. เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงวัฒนธรรมและประเพณีไทยที่มีมายาวนานไม่ว่าจะเป็นลวดลาย การแกะสลกั ลงรักปดิ ทอง และการฝังมกุ ของชุดโต๊ะหม่บู ชู าเป็นลวดลายวิจติ รสวยงาม หรอื การจัดตกแต่งพานพ่มุ บชู า พระรัตนตรัย พานพุ่มเฉลิมพระเกียรติ และการจัดแจกันดอกไม้แบบไทยที่สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาไทย ศลิ ปะการประดิษฐ์ดอกไมแ้ บบไทย ซึ่งมีความประณตี งดงาม ลักษณะหรือรูปแบบการจดั โต๊ะหมู่บูชา การจัดโตะ๊ หมู่บชู าจะมีเครื่องบชู าประกอบด้วย กระถางธูป เชงิ เทยี น พานดอกไม้/พานพุ่ม แจกัน โดยมลี ักษณะหรอื รปู แบบตามภาพดงั นี้ การจัดโตะ๊ หมู่ ๒ การจดั โตะ๊ หมู่ ๔ การจัดโต๊ะหมู่ ๔ การจัดโต๊ะหมู่ ๕
-๔- การจดั โตะ๊ หมู่ ๖ การจัดโตะ๊ หมู่ ๗ การจดั โตะ๊ หมู่ ๙ การจดั โตะ๊ หมู่ ๑๕ ความนิยมในการจัดต้ังโตะ๊ หม่บู ูชา การจดั ต้ังโตะ๊ หมบู่ ูชาในปจั จุบนั นิยมจดั ในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ดังน้ี ๑. การต้ังโต๊ะหมู่บูชาในพิธีทางพระพุทธศาสนา การบาเพ็ญกุศลทางพระพุทธศาสนา ต้องมีการ จัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาทั้งงานกุศลพิธีและบุญพิธี ซึ่งงานกุศลพิธี คือ พิธีกรรมต่างๆ อันเกี่ยวด้วยการอบรม เพื่อให้เกิดความดีงามทางพระพุทธศาสนาเฉพาะตัวบุคคล รวมท้ังการปฏิบัติศาสนพิธีของพระสงฆ์ และงานบุญพิธี คือ พิธีกรรมท่ีพุทธศาสนิกชนปรารภทาความดีเน่ืองด้วยประเพณีในครอบครัว หรือประเพณี ที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงานมงคล หรืองานอวมงคล ก็จะมีการตั้งโต๊ะหมู่บูชา ในลักษณะประยุกต์ โดยไม่จาเป็นจะต้องจัดเต็มรูปแบบเหมือนกับการจัดโต๊ะหมู่บูชาเพ่ือใช้ในการประกวด ส าห รับก ารจั ดโ ต๊ ะหมู่ บูช า ให้ป ระดิ ษฐ า นพร ะพุท ธ รู ปไว้ ที่โ ต๊ ะหมู่ ตัว สู งสุ ด แล ะ ไม่ค ว รตั้ งเค ร่ือง บูช า ใด ๆ ไว้บนโต๊ะหมู่บูชาตัวเดียวกับท่ีประดิษฐานพระพุทธรูป สาหรับในงานพิธีทั่วไปนิยมใช้พระพุทธรูปปางสมาธิ เป็นพระบูชา แต่ไม่นิยมพระพุทธรูปปางประทับยืน ปางไสยาสน์หรือนาพระเคร่ืองมาเป็นพระประธาน ทีโ่ ต๊ะหมบู่ ูชา แต่ถ้าเป็นงานพิธีทาบญุ วันเกิดหรือทาบุญอายุ นิยมใชพ้ ระพุทธรูปปางประจาวันเกิดของเจา้ ของงาน
-๕- การจดั โตะ๊ หม่ใู นพธิ นี ้ีนยิ มจดั ไว้ด้านขวามอื พระสงฆ์ไม่ประดับธงชาตแิ ละพระบรมฉายาลักษณ์ ๒. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีถวายพระพร เป็นการตั้งโต๊ะหมู่บูชาถวายพระพรเนื่องในโอกาส วันสาคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเม่ือมีการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องในการจัดงานในโอกาสต่างๆ เช่น วนั เฉลิมพระชนมพรรษา วนั คล้ายวนั ประสูตพิ ระบรมวงศานวุ งศ์ เปน็ ต้น ๓. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือของพระราชทาน การตั้งโต๊ะหมู่ในพิธีรับพระราชทานเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ เคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ตระกูลช้างเผือกและตระกูล มงกุฎไทย ต้ังแต่ช้ันทวีติยาภรณ์ลงมา มีผู้ได้รับพระราชทานเป็นจานวนมากเหลือวิสัยที่จะจัดให้เข้ารับ พระราชทานต่อพระหัตถ์ได้ กองประกาศิต สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จึงได้เชิญเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ ที่พระราชทาน มอบให้กระทรวง ทบวง กรมเจ้าสังกัด เพ่ือนาไปมอบให้แก่ผู้ได้รับพระราชทานในโอกาส อันสมควร เช่น ในวันสถาปนากระทรวง ทบวง กรมน้ันๆ เป็นต้น การเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการในสังกัด ท่ไี ดร้ ับพระราชทาน เปน็ การมอบสง่ิ อนั มเี กียรตเิ ป็นเครือ่ งตอบแทนคุณงามความดีของข้าราชการท่ีมีความชอบ ในราชการแผ่นดิน ดังนั้น ควรจัดมอบเป็นพิธีการให้สมแก่เกียรติยศ สาหรับการแต่งกายในพิธี มอบเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ ผู้ทาหน้าที่มอบเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์นั้น ถือได้ว่าเป็นผู้ทาหน้าท่ีแทนพระองค์ ในการพระราชทานเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ ดังนั้น ในพิธีนี้จึงต้องแต่งเคร่ืองแบบปกติขาวท้ังผู้เป็นประธาน และผทู้ จ่ี ะเขา้ รบั พระราชทานเครอื่ งราชอสิ ริยาภรณ์ การจัดโตะ๊ หมใู่ นพิธีรบั เครื่องราชอสิ รยิ าภรณ์ซ่งึ รบั มอบจากประธานพิธี
-๖- การจดั โต๊ะหมู่รบั พระราชทานส่งิ ของหลายสงิ่ การจดั โตะ๊ หมูร่ บั พระราชทานส่งิ ของส่ิงเดยี ว ๔. การต้ังโตะ๊ หมบู่ ูชาในการรับเสดจ็ ฯ หรอื ตามเสน้ ทางเสดจ็ ฯ ถอื เปน็ การจัดโต๊ะหมู่บูชารับเสด็จฯ อันเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีของพสกนิกรผู้ซ่ึงอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารได้แสดงออกในโอกาส ท่สี ถาบันพระมหากษตั ริยไ์ ด้เสดจ็ พระราชดาเนนิ มายังท้องถ่นิ ของตน ซงึ่ นับวา่ เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและชุมชน ท่ีตนอยู่อาศัย การจัดโต๊ะหมู่บูชาเพ่ือการรับเสด็จพระราชดาเนินน้ัน บนโต๊ะหมู่บูชาไม่ต้องมีพระพุทธรูป หรอื พระบรมฉายาลกั ษณ์ หรือพระฉายาลักษณ์ เพียงแต่จัดพานพุ่ม หรือดอกไม้ต้ังบนโต๊ะหมู่และกรวยดอกไม้ ธูปเทียนแพ แต่หากท้องถิ่นใดไม่มีธูปเทียนแพก็ให้จัดหาธูปเทียนมาต้ังไว้ยังโต๊ะหมู่ตัวกลางด้านหน้า แต่ไม่ต้องจดุ เพยี งแตต่ ้งั ไวเ้ ป็นเคร่อื งบชู า
-๗- ๕. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในพิธีถวายสักการะเนื่องในวันสาคัญเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ การตงั้ โต๊ะหมู่บูชาในพิธีถวายสักการะสถาบันพระมหากษัตริย์ในโอกาสต่างๆ เป็นการจัดกิจกรรมที่ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนมีความราลึกถึงพระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณท่ีพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ ได้ทรงปฏิบตั ิอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งประชาชนชาวไทยได้จัดขึ้นในส่วนภูมิภาค อันเป็นการราลึกถึงพระองค์อีกโสดหน่ึง เน่ืองในโอกาสวันสาคัญๆ เช่น วันจักรี วันปิยมหาราช การจดั โตะ๊ หมู่วนั จักรี การจัดโต๊ะหมวู่ ันปยิ มหาราช ๖. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาในการประชุมหรือสัมมนา ในพิธีการประชุม อบรม สัมมนา หรือการ ประสาทปริญญาบัตรท่ีไม่มีศาสนพิธีในพิธี ดังนั้นเพ่ือเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่มีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันถือเป็นประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย และเพ่ือความ เป็นสิริมงคลในการประกอบพิธีที่ไม่ใช่พิธีเกี่ยวกับนานาชาติ และการประชุมปกติของคณะกรรมการ นิยมตั้ง ธงชาติ โต๊ะหมู่บูชา และพระบรมฉายาลักษณ์หรือพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ครบทั้ง ๓ สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซ่ึงเป็นการแสดงความเคารพต่อสถาบัน ทั้ง ๓ ของสังคมไทย อันเป็นส่ิงท่ีดีงามซ่ึงได้มีการปฏิบัติและสืบสานต่อเน่ืองกันมาจนเป็นประเพณีวัฒนธรรม อนั ดงี ามท่สี งั คมไทยไดร้ ่วมกันอนุรักษด์ ว้ ยความภูมิใจในภูมปิ ญั ญาแนวคิดท่ีมีต่อสถาบนั ของบรรพบุรุษ
-๘- ๗. การต้ังโต๊ะหมู่บูชาหน้าศพ การจัดโต๊ะหมู่บูชาลักษณะน้ีไม่มีรูปแบบการจัดท่ีแน่นอนเพียงแต่ จัดเพื่อประดับดอกไม้ให้ดูสวยงาม ส่วนการบูชาจะใช้เครื่องทองน้อยหรือกระถางธูปเชิงเทียนก็ได้ตาม แต่จะจัดหาไดโ้ ดยสะดวกไมเ่ ดอื ดร้อน หากเป็นศพทีอ่ ยใู่ นพระบรมราชานเุ คราะห์หรือการจัดงานท่ีเป็นทางการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงามของพระสงฆ์นิยมต้ังเครื่องทองน้อย ๒ ชุด สาหรับบูชาศพชุดหน่ึง และสาหรับจุดแทนศพ เพื่อบูชาธรรมอีกชุดหน่ึง ใช้โต๊ะหมู่ ๒ ตัว สูงต่าลดหลั่นกันลงมา ตัวสูงวางด้านในใช้วางเคร่ืองทองน้อย สาหรับศพบูชาธรรม ตัวต่าอยู่ด้านนอกสาหรับเจ้าภาพจุดเพ่ือสักการะศพ การต้ังเครื่องทองน้อยมีข้อสังเกต คือ จะบูชาสิ่งใด ให้หันดอกไม้ไปทางนั้น ส่วนการจัดโต๊ะหมู่บูชา อัฐิ รูปภาพ ป้ายชื่อ รูปหล่อในการทาบุญอุทิศ ใหจ้ ัดลักษณะเดียวกัน ๘. การตั้งโต๊ะหมู่บูชาเพื่อการประกวด เป็นการร่วมกันสืบสานและอนุรักษ์การจัดโต๊ะหมู่บูชา อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามท่ีมีมายาวนานของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย การแกะสลักลงรักปิดทอง และการฝังมุกของชุดโต๊ะหมู่บูชาท่ีมีความวิจิตรสวยงามอันเป็นการสืบสาน และอนุรักษ์ฝีมือช่างไม้ไทยประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งเป็นการอนุรักษ์ฝีมือการจัดพานพุ่มบูชา พระรัตนตรัย พานพุ่มเฉลิมพระเกียรติและการจัดแจกันดอกไม้แบบไทยท่ีให้เห็นถึงภูมิปัญญา ศิลปะ การประดิษฐ์ดอกไม้แบบไทย ซึ่งมีความประณีตงดงามของช่างดอกไม้ประดิษฐ์ของไทย การจัดโต๊ะหมู่บูชา เพ่ือการประกวดนี้ ต้องมีการจัดในลักษณะเต็มรูปแบบ การต้ังหรือวางเครื่องสักการบูชาต้องมีความเป็น ระเบยี บเรยี บรอ้ ยสวยงามและมหี ลกั เกณฑท์ ่ีแนน่ อน
-๙- อน่ึง สาหรับการจัดสถานท่ีบูชาท่ีบ้าน เป็นการจัดสถานที่บูชาไม่เป็นพิธีการมากนัก แต่ควรจะมี สถานท่ีบูชาพระไว้ในบ้านในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งบางบ้านจะใช้สถานที่บูชาพระท่ีมีลักษณะ เป็นห้ิงพระ (คือการใช้เหล็กหรือไม้ที่มีลักษณะมุมฉากติดกับฝาผนังและมีพื้นด้านบน แล้วนาพระพุทธรูป ประดิษฐานไว้บนหิ้ง พร้อมด้วยเครื่องบูชาหลัก ได้แก่ดอกไม้ ธูป และเทียน) แต่บ้านท่ีมีสถานที่กว้างพอ ก็ควรใช้โต๊ะหมู่บูชาเป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธรูป พร้อมด้วยเคร่ืองบูชา ชุดโต๊ะหมู่บูชาท่ีนิยมใช้เป็นโต๊ะหมู่ สาหรบั บชู าพระในบ้าน คอื โต๊ะหมู่ ๕ และหมู่ ๗ ๑. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. การจัดโต๊ะหมู่บูชา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๓, ๒๕๕๓. ๒. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม.คู่มือการปฏิบัติศาสนพิธี. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. พิมพ์ครั้งที่ ๓, ๒๕๕๒. ๓. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนพิธีและมารยาทไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. พิมพ์คร้งั ท่ี ๓, ๒๕๖๑.
เครื่องทองน้อย ความหมายของเครอื่ งทองน้อย เครื่องทองน้อย คือ เครื่องสักการะขนาดเล็กของไทยตั้งแต่สมัยดั้งเดิม ซึ่งแต่ก่อนมีเพียง พระมหากษัตริย์เท่านั้น ที่จะทรงใช้เครื่องทองน้อยเป็นเครื่องราชสักการะพระบรมศพ พระบรมอัฐิ พระบรมราชานุสาวรีย์ และอืน่ ๆ ส่วนประกอบของเครือ่ งทองน้อย เครือ่ งทองน้อยประกอบดว้ ยวัสดุและอุปกรณ์ ดังนี้ ๑. พานพุ่มดอกไมข้ นาดเลก็ ๓ พานพมุ่ (จะเป็นพมุ่ ดอกไม้สดหรือพุ่มดอกไม้ท่ที าจากผ้าตาด) ๒. เชิงธปู ๑ เชงิ ๓. เชิงเทยี น ๑ เชิง ๔. พานรองเคร่ืองทองน้อยสามารถใชไ้ ด้ทงั้ พานทอง พานมุก และพานแกว้ ลกั ษณะเคร่อื งทองน้อยท่ีใช้ผ้าตาดทาเปน็ พุ่มดอกไม้ ลักษณะเคร่ืองทองน้อยทใี่ ช้ดอกบานไมร่ ้โู รยทาเปน็ พมุ่ ดอกไม้สด
- ๒- วิธที าเคร่ืองทองน้อย วางพานพุ่มดอกไม้ทั้ง ๓ พานพุ่มให้อยู่ด้านนอกของพานรอง จากนั้นนาเชิงธูปที่ปักธูปไม้ระกา มาวางไว้ด้านในถัดจากพานพุ่มดอกไม้ และตั้งให้อยู่ทางด้านซ้ายมือ ส่วนเชิงเทียนที่ปักเทียนเอาไว้แล้ว ใหน้ ามาวางไว้ด้านในถัดจากพานพุ่มดอกไม้ และต้งั ให้อยู่ทางดา้ นขวามอื ของผู้จัด งานทต่ี ้ังเครื่องทองน้อย ปจั จุบันเคร่ืองทองน้อยเป็นเครื่องบูชาใช้สาหรับการสักการบูชาพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และสามัญชนท่ัวไป อีกทั้งยังถูกนามาใช้ในโอกาสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานพระราชพิธี งานพระราชกุศล งานรฐั พิธีและงานดา้ นศาสนา อย่างเช่น ๑. การทรงธรรมของพระมหากษัตริย์ ๒. การบูชาพระบรมสารรี ิกธาตุ ๓. การสักการะพระบรมศพ พระบรมอัฐิ หรือพระบรมบูรพมหากษัตรยิ ์ ๔. การบชู าพระธรรมในพิธีแสดงพระธรรมเทศนา ๕. การเคารพศพ อฐั ิ หรือรปู ของผูท้ ่ลี ่วงลบั ไปแลว้ ๖. การตงั้ ให้ศพบชู าพระธรรม ๗. ใช้จดั ขบวนแหศ่ พเวียนเมรุ การบชู าพระธรรมในพิธแี สดงพระธรรมเทศนา การบูชาพระธรรมในพิธีแสดงพระธรรมเทศนา ซ่ึงพิธีแสดงพระธรรมเทศนาจะมีท้ังงานมงคล และงานอวมงคล โดยมีรายละเอียดเก่ียวกับการต้ังและการจุดเครอื่ งทองน้อย ดงั นี้ ๑. พธิ ีแสดงพระธรรมเทศนางานมงคล มีวธิ กี ารตง้ั และการจุดเครอื่ งทองน้อย ดงั นี้ ๑.๑ วิธกี ารตง้ั เครอื่ งทองนอ้ ยใหต้ ้ังโต๊ะเลก็ ๑ ตวั ดา้ นหน้าท่ีประธานพิธีนั่ง วางเคร่ืองทองน้อย บนโตะ๊ นน้ั ตรงกลาง ดา้ นขวาวางเทยี นสอ่ งธรรม ดา้ นซ้ายวางท่ีกรวดนา้ ๑.๒ วธิ ีการจุดเครอื่ งทองนอ้ ย แยกออกไดเปน็ ๒ กรณี ดงั นี้ กรณีที่ ๑ ประธานพิธีเป็นพระสงฆ์ ศาสนพิธีกรพึงถวายเทียนชนวนจุดเทียนส่องธรรม อย่างเดียว รบั ศลี จบแลว้ เขา้ ไปถวายเทียนชนวนจุดเครื่องทองน้อยบูชาธรรม กรณีที่ ๒ ประธานพิธีเป็นฆราวาส จุดเทียนส่องธรรมและเครื่องทองน้อยคราวเดียวกัน แลว้ จึงรบั ศีล ๒. พิธีแสดงพระธรรมเทศนางานอวมงคล มีวิธีการต้ังและการจุดเคร่ืองทองน้อย ดังนี้ ๒.๑ วิธีการตั้งเคร่ืองทองน้อยให้ตั้งโต๊ะเล็ก ๑ ตัว ด้านหน้าท่ีประธานพิธีนั่ง วางเคร่ืองทองน้อย บนโต๊ะนั้นตรงกลาง แต่จะมีการตั้งเครื่องทองน้อยท่ีด้านหน้าศพ อัฐิ ภาพเหมือน ป้ายช่ือ ป้ายอุทิศ ในงานใหญ่ๆ จะตัง้ เครือ่ งทองน้อย ๒ ชุด คือ ชุดที่หนึ่ง สาหรับบูชาศพ ต้ังหันดอกไม้เข้าหาศพ วิธีการตั้งโต๊ะใช้โต๊ะชุดละตัวสูงต่า ลดหล่นั กนั ลงมาโดยใหโ้ ต๊ะตวั ตา่ ตง้ั ดา้ นนอก ชดุ ท่ีสอง สาหรบั ศพบชู าธรรม ต้งั หนั ธปู เทียนเขา้ หาศพ วิธีการตงั้ โต๊ะใช้โต๊ะชุดละตัวสูงต่า ลดหล่นั กนั ลงมาโดยโต๊ะตัวสูงตั้งด้านในใกล้หีบศพ
-๓- การตงั้ เครื่องทองน้อย หลกั ในการต้งั เครอื่ งทองน้อย เพอื่ ให้ง่ายตอ่ การจาเกย่ี วกับการหันเครือ่ งทองน้อยไปทางใดว่า “จะบูชา ใครให้หันดอกไม้ไปทางนั้น ถ้าหันพุ่มดอกไม้ออกมาด้านนอก เป็นการให้ศพบูชาธรรม แต่ถ้าหันพุ่มดอกไม้ เข้าหาศพ เป็นการให้ผู้ที่เข้าร่วมพิธีสักการะศพ” สาหรับการปักธูปไม้ระกากับเทียนท่ีเครื่องทองน้อยให้จาว่า “ให้ปักธูปซ้าย เทยี นขวาของผู้ท่ีจะจดุ บูชา” และใหจ้ ดุ ธปู ก่อนจุดเทียน ๒.๒ วิธีการจุดเครื่องทองน้อย ข้ึนอยู่กับประธานพิธีและศพผู้ล่วงลับว่าเป็นพระสงฆ์หรือ เปน็ ฆราวาสและจุดเพ่อื การอะไร ซง่ึ แยกออกได้เป็น ๔ กรณี ดงั น้ี กรณีท่ี ๑ ประธานพิธีเป็นพระสงฆ์ ผู้ล่วงลับเป็นพระสงฆ์ ศาสนพิธีกรเชิญเทียนชนวนถวาย จุดเทียนส่องธรรม และจุดเครื่องทองน้อยบูชาศพ รับศีลจบแล้ว จึงจุดเครื่องทองน้อยบูชาธรรมท้ังท่ีด้านหน้า ประธานพิธีและด้านหนา้ หบี ศพแลว้ จงึ เรมิ่ อาราธนาธรรมตอ่ ไป กรณที ี่ ๒ ประธานพธิ เี ป็นพระสงฆ์ ผู้ล่วงลับเป็นฆราวาส ให้จุดเทียนส่องธรรม จุดเคร่ืองทองน้อย ทหี่ น้าศพท้ัง ๒ ชดุ รบั ศีลจบแล้วจึงจดุ เคร่ืองทองนอ้ ยที่หน้าประธานพิธี กรณที ่ี ๓ ประธานพิธเี ป็นฆราวาส ผู้ล่วงลับเป็นพระสงฆ์ ให้จุดเทียนส่องธรรม จุดเคร่ืองทองน้อย ทห่ี น้าประธานพิธี จดุ เคร่ืองทองน้อยบูชาศพ รบั ศีลจบแลว้ จงึ จดุ เครอ่ื งทองน้อยบชู าธรรมทหี่ น้าหบี ศพ กรณีที่ ๔ ประธานพิธีเปน็ ฆราวาส ผูล้ ว่ งลบั เปน็ ฆราวาส ให้จดุ เทยี นส่องธรรม จุดเคร่ืองทองน้อย ทกุ ชุดในคราวเดยี วกนั แล้วจงึ รับศลี นอกจากน้ียังมีแนวปฏิบตั สิ าหรบั ประธานพธิ หี รอื ผทู้ ี่เก่ียวข้องในการจุดเครื่องทองน้อยสาหรับศพ บชู าธรรมและบชู าศพ ดงั นี้ ๑. การจุดเคร่ืองทองน้อยสาหรับศพบูชาธรรม ต้องมีผู้จุดแทนกรณีประธานพิธีมียศหรือฐานันดร ต่ากว่าศพให้เชิญประธานพิธีจุด กรณีมียศหรือฐานันดรสูงกว่า ควรเชิญผู้อ่ืนจุดแทน แต่หากประธานจะจุดเอง ก็ไม่มีข้อห้าม ๒. การจุดเครื่องทองน้อยบูชาศพ ควรเชิญผู้ท่ีมีศักดิ์ต่ากว่าผู้ที่ล่วงลับหรือผู้ท่ีเป็นญาติหรือผู้ที่ เคารพนับถือเป็นผู้จุดบุชาจะเหมาะสม กรณีโยมบิดา มารดาหรือบุคคลอื่นที่เป็นฆราวาสล่วงลับไป พระสงฆ์จะจุดเคร่ืองทองน้อยท่ีต้ังบูชาศพก็ได้ แต่เมื่อจุดแล้วไม่ต้องทาความเคารพเพียงแต่ยืนสงบนิ่งสารวม ถอื เป็นการจุดเพ่ือแสดงใหผ้ ลู้ ่วงลบั ไดท้ ราบว่าจะบาเพ็ญกศุ ลอุทิศไปให้ การใชเ้ คร่อื งทองนอ้ ยในการจัดขบวนแหศ่ พเวียนเมรุ การนาศพเวยี นเมรุ ถา้ กรณศี พในพระราชานุเคราะห์ พระนาศพ หีบหรือโกศศพ การเชิญเครื่องทองน้อย (หันพุ่มไปทางหีบศพหรือโกศศพ หันเชิงธูปเทียนมาทางผู้เชิญเคร่ืองทองน้อย) ถัดจากเคร่ืองทองน้อย จะเปน็ เครือ่ งราชอิสริยาภรณ์ เครอื่ งยศ ของผวู้ ายชนม์ ญาติ หรือผมู้ าร่วมพธิ ี กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนพิธีและมารยาทไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. พิมพ์ครัง้ ท่ี ๓, ๒๕๖๑.
การจดั เคร่อื งบูชา ความหมายของธูป เทียน พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ไดใ้ หค้ วามหมายของธูปและเทยี นไว้ดังน้ี ๑. ธปู (ทูบ,ทปู ะ) คือ เครื่องหอมชนดิ หนึ่ง มีแกนทาด้วยกา้ นไม้ไผ่เลก็ ๆ เปน็ ต้น มักย่อมสีแดงพอกด้วย ผงไมห้ อม, มักใช้จุดคกู่ ับเทยี น ลักษณะนามเรยี กวา่ “ดอก” ๒. เทียน คือ เคร่ืองตามไฟฟั่นหรือหล่อด้วยขี้ผึ้งหรือไขเป็นต้น มีไส้อยู่ตรงใจกลาง ลักษณะนาม เรยี กว่า “เลม่ ” สาหรบั ธปู และเทียนจัดเป็นเครือ่ งบูชาทใี่ ชใ้ นงานพิธีตา่ ง ๆ การจัดเคร่ืองบชู า การจัดเครื่องบูชาตามที่นิยมใช้กันมีหลากหลายแตกต่างกันตามความเหมาะสมกับสถานท่ี และฐานะของเจา้ ภาพ พิธีใหญห่ รอื พิธีเล็ก แต่สง่ิ ที่ถอื เป็นเคร่อื งสักการบูชาหลักมอี ยู่ ๓ ประการ คอื ๑. ธูป ใช้ ๓ ดอก ปักเรียงกันเป็นหน้ากระดานในลักษณะต้ังตรงไว้ในกระถางธูปเนื่องจาก เป็นความเชื่อของบรรพบุรุษมาแต่โบราณว่า ควันเป็นสิ่งที่เบาลอยตัวสู่อากาศเบื้องบนแล้วจางหายไป ควนั ทีจ่ างหายไปน้ี อาจจะเป็นส่อื นาไปสสู่ งิ่ ทตี่ นเคารพนบั ถือบชู าได้ไม่วา่ จะอยู่ ณ ท่ใี ด ๒. เทียน ใช้ ๒ เล่ม ต้ังไว้ที่โต๊ะหมู่บูชาตัวเดียวกับกระถางธูป ด้านซ้ายและด้านขวาของกระถาง ธูปอย่างละ ๑ เล่ม ซึ่งหมายถึง การให้ความสว่างในทางธรรมแก่มนุษย์ หรือเป็นสัญลักษณ์ของส่ิงท่ีเคารพนับถือ สาหรับเทียนท่ีใช้ในงานศาสนพิธีต่างๆ ใช้เทียนสีขาวและสีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเทียนเกลียวหรือเทียนสีอ่ืนๆ เช่น สีเขียว สีแดง สีชมพู สดี า ฯลฯ มกั ใช้ในพธิ ีบูชานพเคราะห์ ไมน่ ยิ มใชบ้ ูชาพระรตั นตรัย
-๒- ๓. ดอกไม้ นิยมจัดเป็นแจกันหรือพานพุ่ม ไม่น้อยกว่า ๒ แจกัน หรือ ๒ พาน ซึ่งเป็นสิ่งท่ี ก่อใหเ้ กดิ ความหอม และมสี ีสันสวยงาม อันหมายถงึ ทุกคนไม่มีใครรังเกียจคนที่มีคุณธรรมความดีย่อมมีแต่คนสรรเสริญ ยกย่องนบั ถือ สาหรับดอกไมบ้ ชู าพระที่โตะ๊ หม่บู ชู าใชไ้ ดโ้ ดยทวั่ ไป โดยเน้นว่าเป็นดอกไม้มีสีสวยหรือมีกล่ินหอม แต่บางแห่งนิยมใช้ดอกบัวบูชาพระ นอกจากน้ีไม่นิยมตั้งพานพุ่มทอง พานพุ่มเงินเนื่องจากมีคุณสมบัติไม่ครบ เพราะไม่มกี ล่นิ แนวปฏบิ ตั ิในการจดุ เครือ่ งบชู า ๑. การจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ให้จุดเทียนด้านขวา แล้วจุดด้านซ้ายของพระพุทธรูปก่อน จากน้ันให้จุดธูปจากด้านขวาของพระพุทธรูปเรียงไปตามลาดับ (เหตุท่ีจุดเทียนก่อน เพราะในสมัยก่อนยังไม่มี เชื้อชนวนและเน่ืองจากเทียนจุดติดง่ายกว่าธูป จึงจุดเทียนก่อน ส่วนเหตุท่ีจุดจากด้านซ้ายมือของผู้จุดก่อนนั้น สันนิษฐานว่า หากจุดด้านขวามือของผู้จุดก่อน เม่ือเลื่อนไปจุดด้านซ้ายไฟจากเทียน ท่ีจุดแล้ว จะลนถกู แขนของผู้จดุ ได้ การจุดโดยเวยี นจากซ้ายไปขวาเป็นทักษณิ าวัตร ถือเปน็ มงคล) เสร็จแล้วกราบ ๓ คร้ัง กรณีท่ีโต๊ะหมู่บูชาต้ังเทียนประดับหลายคู่ให้จุดเฉพาะคู่ที่ต้ังอยู่ข้างกระถางธูปคู่เดียวเท่านั้น ในพิธีประชุม อบรม สมั มนา กราบแลว้ ลุกขึน้ ถอยหลังเลก็ น้อย คานับตรงกลาง ๑ ครัง้ ๒. การจุดเทียนทาน้ามนต์ ใหเ้ ริ่มจุดเม่ือพระสงฆ์ข้ึนบทว่า “อเสวนา จ พาลาน” จดุ เสร็จคืนเทียนชนวน ให้ศาสนพิธีกร ยกขันน้ามนต์ประเคนประธานสงฆ์แล้วไหว้ ๑ ครั้ง การประเคนขันน้าพระพุทธมนต์หลังจาก จดุ เทยี นทาน้าพระพุทธมนต์แลว้ ถือเป็นการขอใหพ้ ระคณุ เจ้าชว่ ยทาน้าพระพุทธมนต์ให้ดว้ ย ๓. การจดุ ธปู เทยี นหนา้ ตพู้ ระอภธิ รรม หากชุดบูชาเป็นกระถางธูป เชิงเทียน ให้จุดเทียนด้านขวา แลว้ จดุ ด้านซา้ ยของพระพุทธรปู ก่อนจากนั้นจุดธูปเพยี ง ๑ ดอก หากเปน็ เครือ่ งทองนอ้ ยใหจ้ ุดธูปกอ่ นแล้วจงึ จุดเทียน ๔. การจุดเทียนส่องธรรม (เทียนดูหนังสือเทศน์) กรณีประธานพิธีเป็นพระสงฆ์ และผู้ล่วงลับ เป็นพระสงฆ์ให้จุดเทียนส่องธรรมก่อนพระเทศน์ขึ้นธรรมาสน์ เม่ือศาสนพิธีกรอาราธนาศีล พระเทศน์ให้ศีลจบแล้ว จึงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยที่ตั้งด้านหน้าประธานพิธี และจุดธูปเทียน เครื่องทองน้อยซ่ึงต้ังที่ด้านหน้าศพ สาหรับศพฟังธรรม ประธานพิธีเป็นฆราวาสและผู้ล่วงลับเป็นฆราวาส ให้จุดเทียนส่องธรรม จุดธูปเทียนเคร่ืองทองน้อย ท้ังท่ีดา้ นหนา้ ประธานพิธีและที่หน้าศพทุกชุดก่อนอาราธนาศีล ประธานพิธีเป็นพระสงฆ์ ผู้ล่วงลับเป็นฆราวาส หรอื ประธานพธิ เี ป็นฆราวาส ผูล้ ่วงลับเปน็ พระสงฆใ์ ห้จุดธปู เทยี นเครอื่ งทองนอ้ ยสาหรับบชู าธรรม ดงั นี้ ประธานพิธีเป็นฆราวาส จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าประธานพิธีก่อนอาราธนาศีล ผู้ล่วงลับ เป็นพระสงฆ์ จุดธูปเทียนเคร่ืองทองน้อยหลังรับศีลแล้ว ประธานพิธีเป็นพระสงฆ์จุดธูปเทียนเคร่ืองทองน้อย หลังรบั ศีลแล้ว ผลู้ ว่ งลบั เป็นฆราวาส จุดธปู เทียนเคร่อื งทองนอ้ ยหนา้ ศพก่อนอาราธนาศีล ๑. ราชบัณฑิตยสถาน.พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ศิริวัฒนาอินเตอรพ์ ร้ินท์ จากดั (มหาชน). พมิ พค์ ร้งั ที่ ๑ , ๒๕๕๖. ๒. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนพิธีและมารยาทไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. พมิ พ์คร้ังท่ี ๓, ๒๕๖๑. ๓. สมชัย เกอ้ื กลู . ศาสนพิธจี ากประสบการณ์. นนทบรุ ี : สานกั พิมพ์สืบสานพุทธศาสน์, ๒๕๕๕.
การนิมนต์พระสงฆ์ พระสงฆ์ คือ ผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อให้ได้รับผลสาเร็จและนาไปสู่ผลที่ต้องการ อันเป็นการน้อมนาให้ผู้ศรัทธาเข้าถึงธรรมท่ีสูงขึ้น ดังนั้นในการนิมนต์พระสงฆ์จึงควรเขียนเป็นหนังสือ หรือภาษาทางราชการ เรียกว่า “การวางฏีกานิมนต์พระสงฆ์” เพื่อถวายพระสงฆ์ถือไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งประกอบด้วยข้อความสาคัญเพื่อให้พระสงฆ์ทราบว่า นิมนต์งานพิธีใด วัน เวลา และสถานท่ี ในการประกอบพิธีควรแจง้ ให้ชดั เจน สว่ นจานวนพระสงฆ์ท่ีนิยมในแต่ละพิธีนั้น ไม่ได้กาหนดจานวนข้างมาก แต่มีการกาหนดจานวนข้างน้อยไว้คือ ไม่ต่ากว่า ๕ รูป ๗ รูป ๙ รูป และ ๑๐ รูป เพ่ือจะได้ครบองค์คณะสงฆ์ ส่วนงานพระราชพิธี หรือพิธีการทางราชการนิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๑๐ รูป ทั้งงานมงคลและงานอวมงคล แต่ถ้าหากเป็น พิธีบาเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพประจาคืนนั้น จะนิมนต์พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม จานวน ๔ รปู กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนพิธีและมารยาทไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . พมิ พค์ รั้งท่ี ๓, ๒๕๖๑.
การแสดงความเคารพ การแสดงความเคารพ ถอื เปน็ กิริยาท่าทางของมารยาทไทยที่สุภาพเรียบร้อยในการร่วมประกอบ พิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา ที่ถูกต้องตามระเบียบแบบแผนและเหมาะสมตามกาลเทศะ ซึ่งครอบคลุมถึง การแสดงความเคารพ โดยการไหว้ การกราบ การคานับ การรับของและส่งสิง่ ของเปน็ ตน้ การแสดงความเคารพ ถือเป็นมารยาทไทยอย่างหน่ึงที่แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนของเด็กท่ีมีต่อผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีความอาวุโสกว่า ซึ่งมีอยู่หลายลักษณะ เช่น การประนมมือ การไหว้ การกราบ การคานับ ซ่ึงเม่ือนามาใช้ ในการเข้ารว่ มศาสนพธิ ีต่าง ๆ สามารถปฏบิ ัติได้ดงั น้ี ๑. การไหว้ คอื การประนมมอื และการไหว้ ประกอบดว้ ยกิริยา ๒ ส่วนด้วยกนั คือ สว่ นท่ี ๑ การประนมมือ หรือท่ีเรียกว่า “อัญชลี” เป็นการแสดงความเคารพ โดยการประนม มือเล็กน้อยให้ปลายนิ้วมือท้ังสองข้างชิดกัน ฝ่ามือทั้งสองประกอบเสมอกันแนบระหว่างอก ปลายน้ิวเฉียงขึ้น พอประมาณ แขนแนบลาตวั ไม่กางศอก ทงั้ ชายและหญิงปฏิบตั เิ หมอื นกนั สว่ นท่ี ๒ การไหว้ (วันทา) เป็นการแสดงความเคารพโดยการประนมมือ แล้วยกมือทั้งสองข้ึน จรดใบหน้า แสดงถงึ ความเคารพ ซ่ึงแบง่ ได้เปน็ ๓ ระดับ ตามระดบั บุคคล คือ ระดับที่ ๑ การไหว้พระ ได้แก่ การไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมทั้งปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ ท่ีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ใช้ในกรณีท่ีไม่สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ ให้ประนมมือ และยกขึน้ พรอ้ มกับค้อมศีรษะลงใหห้ ัวแมม่ ือจรดหวา่ งคว้ิ ปลายนิว้ ชี้แนบสว่ นบนของหน้าผาก ระดับที่ ๒ การไหว้ผู้มีพระคุณและผู้ที่มีอายุมากได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ครูอาจารย์ และผู้ท่ีเราเคารพนับถือ ให้ประนมมือแล้วยกข้ึน พร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดปลายจมูกปลายนิ้วช้ี แนบหว่างค้ิว ระดับที่ ๓ การไหว้บุคคลท่ัวๆ ไป ที่เคารพนับถือหรือผู้ท่ีมีอายุมากกว่าเล็กน้อยให้ประนมมือ แล้วยกข้ึนพร้อมกับค้อมศีรษะลง ให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายน้ิวช้ีแนบปลายจมูกหากจะใช้แสดงความเคารพ ผทู้ ่ีมีอายุเท่ากนั หรือเพอื่ นกัน ใหย้ ืนตรงไหว้และไม่ต้องคอ้ มศีรษะ ๒. การกราบ (อภิวาท) เปน็ การแสดงความเคารพอย่างสงู มี ๒ แบบ คือ แบบท่ี ๑ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ เป็นการใช้อวัยวะท้ัง ๕ คือ หน้าผาก มือ และข้อศอก ทงั้ ๒ เข่าท้งั ๒ สัมผสั กบั พ้นื การกราบมี ๓ จังหวะ คือ
-๒- ท่าเตรยี ม ชาย นงั่ คกุ เข่าตวั ตรงปลายเทา้ ตั้ง ปลายเทา้ และสน้ เท้าชิดกัน น่ังบนส้นเท้า เข่าทั้งสองห่างพอประมาณ มือทั้งสองวางควา่ เหนือเข่าท้งั สองขา้ ง นิ้วชิดกนั (ท่าเทพบตุ ร) หญิง น่ังคุกเข่าตัวตรงปลายเท้าราบ เข่าถึงปลายเท้าชิดกัน นั่งบนส้นเท้ามือท้ังสองวางคว่าเหนือเข่า ท้ังสองข้าง น้ิวชดิ กัน (ท่าเทพธดิ า) ท่ากราบ จงั หวะที่ ๑ อัญชลี ยกมือขึ้นในท่าประนมมอื
-๓- จงั หวะที่ ๒ วนั ทา ยกมือขนึ้ ไหว้ตามระดบั ที่ ๑ การไหว้พระ จังหวะท่ี ๓ อภิวาท ทอดมือทั้งสองลงพร้อมๆ กัน ให้มือและแขนทั้งสองข้างราบกับพ้ืน คว่ามือ ห่างกันเล็กน้อย พอให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างมือทั้งสอง (ชาย ศอกท้ังสองข้างต่อจากเข่าราบไปกับพื้น หลังไม่โก่ง หญิงศอกทง้ั สองข้างคร่อมเข่าเล็กน้อย ราบไปกบั พ้นื หลงั ไมโ่ ก่ง) แบบที่ ๒ การกราบผู้ใหญ่ เป็นการกราบผู้มีพระคุณและผู้มีอายุมากกว่าได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ครู อาจารย์และผู้ท่ีเราเคารพ ลักษณะการปฏิบัติของชายและหญิงเหมือนกันคือ นั่งพับเพียบทอดมือทั้งสองข้าง ลงพร้อมกัน ให้แขนท้ังสองคร่อมเข่าที่อยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว มือประนมตั้งกับพื้นไม่แบมือ ค้อมตัวลง ใหห้ น้าผากแตะสว่ นบนของมือทปี่ ระนมในขณะกราบไมต่ อ้ งกระดกนว้ิ มอื ขึ้นมารบั หนา้ ผาก และกราบเพยี งครงั้ เดยี ว
-๔- การแสดงความเคารพทัว่ ไป การแสดงความเคารพศพ เมื่อผู้เข้าร่วมพิธีไปถึงบริเวณพิธี ต้องกราบพระพุทธรูปก่อนเสมอ แล้วจึงทาความเคารพศพ สาหรับผู้ท่ีได้รับเกียรติให้เป็นประธานในพิธีนั้น เม่ือเร่ิมพิธีการให้จุดธูปเทียนบูชา พระรตั นตรยั ก่อน แลว้ จึงจดุ ธปู เทยี นบชู าศพ การแสดงความเคารพศพ แบ่งออกเปน็ ๒ กรณี คอื กรณีท่ี ๑ ศพพระ เมื่อจุดธูปเทียน (เคร่ืองทองน้อยหรือจุดธูป ๓ ดอก) ให้กราบแบบ เบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ คร้ัง กรณีที่ ๒ ศพบุคคลท่ัวไป เม่ือจุดธูปเทียน (เคร่ืองทองน้อย หรือจุดธูป ๑ ดอก) ให้กราบ ๑ ครั้ง ไม่แบมือ หากผู้เสยี ชวี ติ มอี ายุมากกว่าเล็กน้อย ผู้เป็นประธานในพิธีให้ประนมมือแล้วยกข้ึนพร้อมกับค้อมศีรษะลง ให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายน้ิวช้ีแนบปลายจมูก หากจะใช้แสดงความเคารพผู้ที่มีอายุเท่ากันหรือเพื่อนกัน ใหไ้ หว้และไมต่ อ้ งค้อมศีรษะ เสรจ็ แล้วจงึ กลับไปน่งั ในทีท่ ไ่ี ด้จัดเตรยี มไว้ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. ศาสนพิธีและมารยาทไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากัด. พิมพค์ ร้ังที่ ๓, ๒๕๖๑.
วันเข้าพรรษา ความหมายของวนั เขา้ พรรษา การเขา้ พรรษา เป็นพุทธบญั ญตั ิ ซงึ่ พระภกิ ษทุ กุ รูปจะต้องปฏบิ ัตติ าม หมายถงึ การอธิษฐานอยู่ประจาที่ ไม่เที่ยวจาริกไปยังสถานท่ีต่าง ๆ เว้นแต่มีกิจกรรมจาเป็นจริง ๆ ช่วงจาพรรษาจะอยู่ในช่วงฤดูฝน คือ แรม ๑ ค่า เดอื น ๘ ถงึ ข้นึ ๑๕ คา่ เดือน ๑๑ ของทุกปี ดังนั้น วันเขา้ พรรษา หมายถึง วันที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนา อธษิ ฐานอยปู่ ระจาในวัดหรือเสนาสนะทค่ี ุ้มแดดคุ้มฝนได้แห่งหน่ึง ไม่ได้ไปค้างแรมในทอ่ี ่ืน ตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน ความสาคญั ของวนั เข้าพรรษา วันเข้าพรรษา เป็นวันสาคญั ท่ีทาใหเ้ กิดกจิ กรรมเกยี่ วเนือ่ ง ดังตอ่ ไปนี้ ๑. พระภิกษุจะได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์ ศึกษา พระธรรมวินัยและประพฤติ ปฏบิ ตั ิธรรมอยกู่ บั พระเถระทเี่ ปน็ อปุ ชั ฌาย์ อาจารยไ์ ดอ้ ยา่ งเต็มท่ี ๒. พุทธศาสนิกชนจะได้มีโอกาสบาเพ็ญบุญกุศลได้อย่างเต็มท่ี เช่น ทาบุญตักบาตร รักษาศีล สวดมนต์ ฟังธรรม เจริญภาวนา ตลอดพรรษา ๓. วันเข้าพรรษากอ่ ใหเ้ กดิ ประเพณีสาคัญ ๒ ประเพณี คอื ประเพณีการถวายผ้าอาบน้าฝนและประเพณี แห่เทยี นพรรษา ประเพณกี ารถวายผ้าอาบนาฝน ความเป็นมาของประเพณกี ารถวายผา้ อาบนาฝน มีเรื่องเล่าว่าในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาใช้ให้นางทาสี (หญิงรับใช้) ไปพระวิหารเชตวัน เพ่ือนิมนต์พระภิกษุไปฉันภัตตาหารท่ีบ้าน ในวันน้ันฝนตกหนัก เมื่อนางทาสีไปถึงวัดเห็นพระภิกษุ เปลือยกายอาบน้าอยู่เกิดเข้าใจผิดว่าเป็นพวกชีเปลือย จึงกลับมาบอกนางวิสาขาว่าในวัดไม่มีพระภิกษุเลย มีแต่พวกชีเปลือยกาลังอาบน้าฝนอยู่ นางรู้ได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่ชีเปลือยอย่างท่ีหญิงรับใช้เข้าใจแต่เป็นพระภิกษุ ท่ีเปลือยกายอาบนา้ ฝนอยู่ ดงั น้ันหลงั จากพระพทุ ธเจา้ และพระสาวกฉันภตั ตาหารแลว้ นางวสิ าขาจงึ เขา้ ไปกราบทูล
-๒- พระพุทธเจ้าเพื่อขอถวายผ้าอาบน้าฝนแด่พระภิกษุและภิกษุณี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีการถวายผ้าอาบน้าฝน เป็นประจาจนเกิดเปน็ ประเพณีทช่ี าวพทุ ธปฏบิ ัติสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ อานสิ งสข์ องการถวายผ้าอาบนาฝน ผทู้ ท่ี าบญุ ถวายผา้ อาบนา้ ฝนจะไดร้ บั อานสิ งสเ์ หมือนการถวายผ้าชนิดอ่ืน ๆ ตามนัยที่พระอรรถกถาจารย์ กลา่ วไว้ คอื ทาใหเ้ ป็นผูม้ ผี ิวพรรณผ่องใส สวยงาม ไมม่ โี รคภัยไข้เจบ็ มีความสะอาดผ่องใสท้งั กายและใจ ประเพณีแห่เทียนพรรษา ความเปน็ มาของประเพณีแหเ่ ทยี นพรรษา ประเพณีแห่เทยี นพรรษา เกิดข้นึ จากความจาเป็นท่ีว่าสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้เหมือนในปัจจุบัน เม่ือพระภิกษุจาพรรษารวมกันมาก ๆ และต้องปฏิบัติกิจวัตร เช่น การทาวัตรสวดมนต์ตอนเช้ามืดและตอนพลบค่า การศึกษาพระปริยัติธรรม กิจกรรมเหล่าน้ีล้วนต้องการแสงสว่าง โดยเฉพาะแสงสว่างจากเทียนที่พระสงฆ์ จดุ เพ่อื บูชาพระรัตนตรยั ถึงแม้ในปัจจบุ นั สภาพสังคมได้เปล่ียนแปลงไป แต่ประเพณีแห่เทียนพรรษายังคงมีอยู่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือถวายเป็นพทุ ธบชู า
-๓- อานิสงสข์ องการถวายเทียนพรรษา ผูท้ ท่ี าบุญถวายเทียนพรรษาจะได้รบั อานิสงสต์ ามนยั พระอรรถกถาจารย์ กล่าวไว้ คือ ไม่มีโรคภยั ไขเ้ จ็บ มีความสะอาดผ่องใสท้ังกายใจ มีความสง่างาม มดี วงตาแจม่ ใส และก่อนการนาเทยี นไปถวายท่ีวดั ก็จะจดั ให้มีการหล่อเทียนใหเ้ สรจ็ เรียบร้อยกอ่ นแลว้ จงึ จัดขบวนแห่เทยี น เรียกวา่ “ประเพณีแห่เทียนพรรษา” พธิ ีหลอ่ เทียนพรรษา การแห่เทยี นพรรษา
-๔- พิธีถวายเทยี นพรรษา แนวทางท่ีพึงปฏิบัติ ๑. การแตง่ กายด้วยชุดสีขาวปฏบิ ัติธรรมถวายเปน็ พุทธบูชาตลอดพรรษา ๒. การรกั ษาศลี ๕ ตลอดพรรษา ๓. การเขา้ วดั สวดมนต์ เจรญิ ภาวนา ปฏบิ ตั ิธรรมในวนั ธรรมสวนะ ตลอดพรรษา ถวายเปน็ พทุ ธบูชา ๔. การหลอ่ เทยี น และถวายเทียนพรรษาท่ีวัดใกลบ้ ้าน ๑. http://www.dhammathai.org ๒. th.wikipedia.org ๓. http://www.learntripitaka.com ๔. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม : เอกสารประชาสัมพันธ์งานสัปดาห์ส่งเสริม พระพทุ ธศาสนา เนอื่ งในเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ประจาปี ๒๕๖๑ , โรงพิมพ์อักษรไทย, กรุงเทพฯ
วันมาฆบชู า ความเป็นมาของวันมาฆบชู า “มาฆบูชา” ตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะ เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สาคัญทางพระพุทธศาสนา ในวันนนั้ นอกจากเป็นวนั เพ็ญเดือนมาฆะแล้ว ยังเป็นวันท่ีพระสงฆ์ จานวน ๑,๒๕๐ รูป มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พระสงฆ์เหลา่ น้ัน ล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา ได้รับการอปุสมบทจากพระพุทธเจ้า และลว้ นเปน็ พระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ การประจวบกันของเหตุการณ์ท้ัง ๔ ประการน้ี เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” คอื การประชมุ ซึง่ ประกอบด้วยองค์ ๔ ในโอกาสน้ี พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ เหตุการณ์นี้เกิดข้ึน ขณะที่พระพทุ ธเจา้ ทรงประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวัน กรงุ ราชคฤห์ก่อนเขา้ พรรษาที่ ๒ (หลงั จากตรสั รู้ ๙ เดอื น) พิ ธี บู ช า เ นื่ อ ง ใ น วั น ม า ฆบู ช า เ ร่ิ ม มี ค รั้ ง แ ร ก ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ใ น รั ช ส มั ย ข อ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ - พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๔ พระองคท์ รงปรารภถงึ ความสาคญั ของวันมาฆบูชาว่า มีเหตุการณ์สาคัญ ๔ ประการ ที่เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” เกิดขึ้น ในวันเดียวกัน สมควรที่พุทธศาสนิกชนจะได้ทาการบูชา เพ่ือระลึกถึงความสาคัญในวันดังกล่าว และพระคุณของพระพุทธเจ้า จึงให้จัดพิธีบูชาเน่ืองในวันมาฆบูชาข้ึน ในพระราชวัง โดยโปรดให้มีการประกอบพระราชกุศลในเวลานั้น ด้วยการนิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ และฉันภัตตาหารในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในเวลาค่าพระองค์เสด็จออกฟังพระสงฆ์ทาวัตรเย็น สวดโอวาทปาฏโิ มกขแ์ ละทรงจดุ เทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ จานวน ๑,๒๕๐ เล่ม พระภิกษุเทศนาโอวาท ปาฏิโมกข์ พระสงฆ์จานวน ๓๐ รูป สวดมนต์รับเทศนา เป็นเสร็จพิธี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ- พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ พระองค์ ทรงนาพิธีบูชาเน่ืองในวันมาฆบูชาไปประกอบในสถานท่ีอ่ืน นอกพระบรมมหาราชวังในคราวเสด็จประพาสต้น เช่น บางปะอิน พระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง เปน็ ตน้
-๒- ประชาชนได้นาเอาพิธีบูชาเนื่องในวันมาฆบูชาไปปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางและสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ ตอ่ มารฐั บาลได้ให้ความสาคัญต่อวนั มาฆบชู า จึงได้กาหนดให้เปน็ วันหยดุ ราชการ ๑ วนั ความสาคัญของวันมาฆบูชา วันมาฆบชู า มคี วามสาคัญในฐานะเป็นวันท่ี พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขไ์ วเ้ ปน็ หลักพิจารณา และปฏิบัติของพระสาวกในการดาเนินชีวติ และเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ปาฏิโมกข์ ตามรูปศัพท์มีความหมายว่า ทาผู้รักษาให้พ้นจากกิเลสและทุกข์ แบ่งออกเป็นอาณาปาฏิโมกข์กับโอวาทปาฏิโมกข์ ในที่น้ีจะกล่าวเฉพาะ โอวาทปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกข์ คือ โอวาทหรือคาแนะนาสั่งสอนไม่มีการปรับโทษ ประกอบด้วยการกาหนด เป็นกฎหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา อธิบายความหมายของสมณะ และบรรพชิต หน้าท่ีท่ีจะพึงทา และวิธีการดาเนินชีวิตของสมณะ และบรรพชิต โอวาทปาฏิโมกข์ ได้กล่าวถึงความเป็นสมณะ และบรรพชิต ของพระพุทธศาสนาทแ่ี ตกตา่ งจากศาสนาอืน่ อนั เป็นรากฐานทท่ี าให้พระพุทธศาสนามน่ั คงอยู่มาจนถึงปจั จุบนั หลักปฏบิ ัติ พระพุทธเจ้าได้สรุปหลักธรรมคาสอนที่พระสงฆ์ จะนาไปสั่งสอนประชาชนให้ยึดถือปฏิบัติ ดังปรากฏอยใู่ น โอวาทปาฏโิ มกข์คาถาท่ี ๒ วา่ การไม่ทาความช่ัวท้ังปวง การทาความดีให้ถึงพร้อม การทาจิต ของตนให้บริสุทธิ์ หลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนาหรือท่ีรู้จักกันโดยทั่วไปว่า หัวใจของพระพุทธศาสนา ท้ัง ๓ ประการน้ีสรุปแล้วคือ ไตรสิกขา อันได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา นั่นเอง นอกจากนั้น การที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงย้าในตอนท้ายของคาถาท่ีสองนี้ว่า “น้ีคือคาสอนของ พุทธเจ้าท้ังหลาย”เป็นการสร้างความม่ันใจ แก่พระสงฆ์สาวกในการท่ีจะนาเอาหลักปฏิบัติน้ี ไปเผยแผ่ว่า ไม่ใช่แต่เพียงพระพุทธเจ้าพระองค์น้ีเท่านั้น ท่ีสอนอย่างน้ีแม้พระพุทธเจ้าในอดีตและพระพุทธเจ้าในอนาคตก็ทรงสอนอย่างนี้เช่นกัน จึงเป็นการรับรอง ให้เกดิ ความเช่อื ม่นั ว่าหลักธรรมทง้ั ๓ ประการนีเ้ ปน็ หลกั การทีถ่ กู ต้อง แนวทางปฏิบัตสิ าหรับพทุ ธศาสนกิ ชน พุทธศาสนิกชนจะถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ สามเณรในช่วงเช้าหรือเพล และบริจาคทรัพย์ ใหท้ านเพอ่ื ช่วยเหลอื เกอ้ื กลู ผู้ยากไร้ ตลอดจนบาเพ็ญสาธารณประโยชน์ รักษาศีล สารวมระวังกาย และวาจา ด้วยการรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมท้ัง บาเพ็ญเบญจธรรมสนับสนุน เจริญภาวนา บาเพ็ญภาวนาด้วยการ ไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบตั ิสมาธิ และวิปสั สนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เวียนเทียน ซึ่งการเวียนเทียนเป็นการบูชา พระรตั นตรัยดว้ ยอามสิ บชู าและปฏิบัตบิ ชู า ในการนีค้ วรแตง่ กายให้สุภาพเพื่อเป็นการบูชาพระรตั นตรยั แนวทางปฏบิ ตั ิกิจกรรมสาหรบั สถาบนั ตา่ ง ๆ ในสงั คม กจิ กรรมเกย่ี วกับครอบครัว ๑. ทาความสะอาดบ้านเรือน ประดับธงชาติและธงธรรมจักร และจดั แต่งท่บี ูชา พระประจาบ้าน
-๓- ๒. ศึกษาเอกสาร หรอื สนทนาเกย่ี วกับความสาคัญของวนั มาฆบชู า รวมทั้ง หลักธรรม คอื โอวาท ปาฏโิ มกขแ์ ละแนวทางการปฏบิ ัตธิ รรมในครอบครัว ๓. นาครอบครวั ไปบาเพ็ญกศุ ล ทาบญุ ตักบาตร บรจิ าคทาน ๔. ปฏบิ ัตธิ รรมทวี่ ดั รักษาศีล ไหวพ้ ระสวดมนต์ ฟังธรรม เวยี นเทียน เจริญจิตภาวนา กิจกรรมเกีย่ วกบั สถานศึกษา ๑. ทาความสะอาดบริเวณโรงเรยี น ประดบั ธงชาติ ธงธรรมจักร และจัดโต๊ะหมู่บูชา ๒. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันศึกษาถึงความสาคัญของวันมาฆบชู า และหลักธรรม คือ โอวาทปาฏิโมกข์ และแนวทางปฏบิ ัตธิ รรมในสถานศกึ ษา ๓. ครใู หน้ ักเรยี นจัดทาป้ายนิเทศ หรอื จัดนิทรรศการ ประกวดเรียงความ ทาสมุดภาพ ตอบปัญหาธรรม บรรยายธรรม อภิปรายธรรม ๔. ประกาศเกียรติคุณนักเรยี นที่ประพฤติตัวเปน็ แบบอย่างทีด่ ี ๕ ครูพานักเรียนไปร่วมกิจกรรมกับชุมชนทว่ี ดั บาเพ็ญกุศล ทาบุญตกั บาตร บริจาคทาน รกั ษาศีล ฟงั ธรรม สนทนาธรรม เวยี นเทยี น เจรญิ จิตภาวนา กจิ กรรมเก่ยี วกบั สถานที่ปฏบิ ตั ิงาน ๑. ทาความสะอาดบริเวณทท่ี างาน ประดับธงชาติ ธงธรรมจักร และจดั โตะ๊ หมบู่ ูชา ๒. ประชาสัมพันธ์เก่ียวกับความสาคัญของวันมาฆบูชา รวมท้ังหลักธรรม คือ โอวาทปาฏิโมกข์ และแนวทางการปฏิบัตธิ รรมในสถานท่ีปฏิบตั ิงาน ๓. จัดใหม้ กี ารบรรยายธรรม และสนทนาธรรม ๔. รว่ มกันบาเพ็ญสาธารณประโยชน์ ปลกู ต้นไม้ บริจาคโลหิต ฯลฯ ๕. หวั หน้าหน่วยงานให้โอกาสผู้ร่วมงานไปบาเพญ็ กุศลตามประเพณีนิยม กิจกรรมเก่ยี วกับสังคม ๑. วัด สมาคม มลู นิธิ หน่วยงาน องค์กร ส่อื มวลชน ประชาสมั พนั ธเ์ ร่ือง วนั มาฆบชู า โดยใช้สอ่ื ทุกรูปแบบ ๒. จัดพิมพ์เอกสารเก่ียวกับความสาคัญของวันมาฆบูชาและหลักธรรม คือ โอวาทปาฏิโมกข์ และแนวทางปฏิบัติเพื่อเผยแพร่ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น และตามสถานที่ชุมชน เช่น วัด หรือศูนย์ปฏิบัติธรรม สนามบิน สถานรี ถไฟ สถานีขนสง่ ศนู ย์การค้า รวมทงั้ บนยานพาหนะต่าง ๆ ๓. เชิญชวนใหป้ ระชาชนทว่ั ไปเข้ารว่ มกจิ กรรมปฏิบัติธรรม และพิธกี รรม ทางศาสนา เช่นทาบุญ ตกั บาตร ฟังธรรม รักษาศีล ไหวพ้ ระสวดมนต์ สนทนาธรรม เวียนเทียน เจริญจิตภาวนา ๔. รณรงค์ทางส่ือมวลชนตา่ ง ๆ ใหล้ ด ละ เลกิ อบายมขุ งดจาหนว่ ยสรุ า และสิ่งเสพตดิ ทุกชนิด
-๔- ๕. ประกาศเกยี รติคณุ สถาบัน หรือบุคคลผทู้ าคุณประโยชน์ต่อพระพุทธ ศาสนาและสงั คม ๖. รณรงคใ์ หม้ กี ารรักษาสภาพแวดล้อม ปลูกตน้ ไม้ ทาความสะอาด ทสี่ าธารณะ ๗. จัดประกวดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น สวดมนตร์ทานองสรภัญญะ บรรยายธรรม แต่งคาขวัญ แตง่ บทร้อยกรอง และแต่งเรียงความเก่ียวกบั วนั มาฆบูชา กจิ กรรมเกย่ี วกบั วัด ก่อนถึงวนั มาฆบูชา เจา้ อาวาสแจ้งแกภ่ ิกษสุ ามเณร อุบาสก อุบาสิกาในวนั พระ ข้ึน ๘ ค่า เดือน ๓ ว่าในวนั พระหนา้ คือวันข้ึน ๑๕ ค่า เดอื น ๓ เป็นวนั ทาพธิ ีมาฆบชู า ในวันมาฆบชู า ภิกษุ สามเณร ศิษยว์ ดั คนวัด ช่วยกันทาความสะอาดบริเวณวัด ปลู าดอาสนะ จัดตั้งเคร่ืองสกั การะ ตงั้ นา้ ใช้ น้าฉนั และประดับธงธรรมจักร เวลาเช้าและบ่ายมีการฟังพระธรรมเทศนา เวลาคา่ มีการเวียนเทียน ให้ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา พร้อมกันท่ีหน้าพระอุโบสถ ถือดอกไม้ พร้อมธูปเทียน ก่อนจุดธูปเทียน พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน ประกาศเตือนใจให้พุทธศาสนิกชน เกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อการเวียนเทียน เพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณก่อนแล้วจึงจุดธูปเทียน พระสงฆผ์ ู้เปน็ ประธานนากลา่ วคาบูชาเพ่อื ทาประทกั ษณิ คือ เดินเวยี นไปทาง ทขี่ วามอื ของตนหันเข้าหาพุทธสถาน เชน่ พระอุโบสถ พระมหาธาตเุ จดยี ์ เปน็ ต้น จนครบ ๓ รอบ แล้วจึงนาดอกไม้ธูปเทียนไปปักตามที่ที่กาหนด จากน้ัน ภิกษุสามเณรเข้าไปในพระอุโบสถบูชาพระรัตนตรัย ทาวตั รเยน็ สวดโอวาทปาตโิ มกขกถาจบแล้ว ใหอ้ ุบาสก อุบาสิกา ทาวัตรเย็น แล้วพระสังฆเถระแสดง ธรรมเทศนา เกี่ยวกับโอวาทปาติโมกขกถา จากนนั้ หากภกิ ษุ สามเณร สวดมนตท์ านองสรภญั ญะได้ใหส้ วดด้วย กอ่ นจบกจิ กรรมในวนั มาฆบูชาให้พทุ ธศาสนกิ ชนเจริญภาวนามัยกุศล ดว้ ยการไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผเ่ มตตา และสนทนาธรรม เป็นตน้ ตามควรแก่อัธยาศัย
-๕- ประโยชนท์ ี่เกิดขึ้นแก่พุทธศาสนกิ ชน เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสาคัญของวันมาฆบูชา รวมท้ังหลักธรรม คือ ความอดทน ละเว้นการทาบาป การไม่เบียดเบียนผู้อ่ืนและแนวทางท่ีพึงปฏิบัติ เกิดความศรัทธา ซาบซึ้ง และตระหนักใน ความสาคัญของพระพุทธศาสนา เห็นคุณค่าของการดาเนินชีวิตตามโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นพุทธศาสนิกชนท่ีดี รู้จกั ปฏบิ ตั ติ นตามหน้าที่ชาวพุทธไดอ้ ย่างถกู ต้อง ประโยชนท์ ี่เกดิ ข้ึนแกส่ งั คมโลก คาสอนของพระพุทธเจ้าในเร่ืองความอดทน อดกลั้น การละชั่ว การไม่เบียดเบียน ผู้อ่ืนถือเป็นข้อปฏิบัติ ที่จะส่งเสริมให้โลกอย่รู ่วมกนั อย่างสันติ ซง่ึ จะชว่ ยลดความขัดแยง้ และหลกี เลย่ี งการแกป้ ญั หาดว้ ยความรนุ แรง ๑. http://www.dhammathai.org ๒. http://www.learntripitaka.com ๓. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม : เอกสารประชาสัมพันธ์งานสัปดาหส์ ง่ เสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลมาฆบูชา ประจาปี ๒๕๖๑ , โรงพมิ พ์อักษรไทย, กรุงเทพมหานคร
วันอาสาฬหบูชา พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจของสังคมไทย หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามุ่งเน้น การพัฒนาคนให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ โดยใช้คุณธรรมและสติปัญญาในการดาเนินชีวิตเพ่ือพัฒนาตนเอง และรว่ มมอื ร่วมใจกันพฒั นาชุมชน พัฒนาสังคม และพฒั นาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง โดยมีวัดเป็นแหล่ง เรียนรู้ของสังคมไทยต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชายไทยได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนา ได้ฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนดี เป็นกาลงั สาคัญในการพัฒนาชาตไิ ทย เพ่อื ใหค้ นไทยประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศลี ธรรมอันดีงาม จากความสาคัญท่ีพระพุทธศาสนามีบทบาทกับสังคมไทย ประเทศไทยจึงได้รับการยกย่อง ใหเ้ ปน็ ศนู ย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ในวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะวันอาสาฬหบูชาซึ่งเป็นวันที่ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนาเปน็ ครั้งแรกในโลก ช่ือว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ทาให้โกณฑัญญะพราหมณ์ ได้ดวงตาเห็นธรรม ทูลขออุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์รูปแรกในโลก และเป็นวันท่ีบังเกิดพระรัตนตรัย ครบทงั้ ๓ ประการ คอื พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ ดังน้ัน เม่ือวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาดังกล่าวเวียนมาบรรจบ จึงเป็นโอกาสท่ีดีที่ทุกภาคส่วน ของสังคมไทยจะได้ร่วมมือร่วมใจส่งเสริมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ปลุกจิตสานึกคนในชาติให้ยึดมั่น และเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ให้ประชาชนมีความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะมากขึ้น จากการเข้าร่วมกิจกรรมในวันสาคัญทางพระพุทธศาสนานับเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้น้อมนาหลักธรรม คาสอนไปประพฤติปฏิบัติสร้างคุณความดี ได้เข้าใกล้พระพุทธศาสนา นอกจากได้ร่วมสืบทอดอายุ พระพุทธศาสนาให้ย่ังยืนถาวรตลอดไปแล้ว ยังเป็นการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของประชาชนทุกภาคส่วน ในสังคมไทยมีส่วนร่วมโดยพรอ้ มเพรียงกันท่วั ประเทศ เพ่อื ประโยชนแ์ กต่ นเองสังคมและประเทศชาติโดยรวม
-๒- ความหมายของอาสาฬหบูชา วันอาสาฬหบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะหรือเดือน ๘ (ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘) เน่ืองในโอกาสคลา้ ยวันทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศพระศาสนาเป็นครั้งแรก โดยแสดงปฐมเทศนา คือ ธัมจักกัปปวัตนสูตร เป็นผลให้เกดิ มพี ระสาวกรูปแรกขึน้ ในพระพุทธศาสนาจนถอื ได้ว่าเป็นวันแรกทม่ี ี พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบเป็นองคพ์ ระรตั นตรัย ความสาคญั ของอาสาฬหบูชา พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา (เทศน์กัณฑ์แรก) เน้ือหาว่าด้วยทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ท่ีนาไปสู่การบรรลุนิพพาน ฤาษีโกณฑัญญะ ได้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วทูลขอบวชเป็นพระสาวกรูปแรกท่ีเป็น ประจักษ์พยานในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในบรรดาประเทศที่นับถือ พระพทุ ธศาสนาท่ีประกาศให้มวี ันอาสาฬหบชู า และถอื ปฏิบตั ิมาจนกระท่ังปจั จุบัน พระพุทธศาสนา ได้ประดิษฐานขึ้นในโลก นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 2,500 ปีมาแล้ว เมื่อย้อนไปครั้งอดีต กาลในวันขึ้น 15 ค่า เดือน 8 พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปฐมเทศนา ‘ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร’ แก่ปัญจวัคคีย์ ท้ัง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี จนกระท่ังท่านอัญญาโกญฑัญญะหน่ึงในปัญจวัคคีย์ได้บรรลุโสดาบัน และทูลขอบวชกับ พระพุทธองค์นับเป็นพระอริยสาวกรูปแรก และเป็นวันท่ีพระรัตนตรัยครบองค์สาม คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เราเรยี กวนั น้ีว่า ‘วันอาสาฬหบูชา’ ความเป็นมาของวันอาสาฬหบูชาในประเทศไทย วันอาสาฬหบูชาได้รับการกาหนดให้เป็นวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทย ใน พ.ศ. ๒๕๐๑ โดยคณะสังฆมนตรี (มหาเถรสมาคม) ในสมัยน้ัน ได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสาคัญ ทางพุทธศาสนา (ในประเทศไทย) ตามคาแนะนาของพระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี) โดยคณะสังฆมนตรี ได้ออกเป็นประกาศสานักสังฆนายก กาหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสาคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกาหนด พิธีอาสาฬหบูชาขึน้ เมือ่ วนั ท่ี ๑๔กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ ไมป่ รากฏหลกั ฐานในประเทศไทยว่าในสมัยกอ่ น พ.ศ. ๒๕๐๑ เคยมีการประกอบพธิ ีอาสาฬหบูชามาก่อน การกาหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาของสานักสังฆนายกในครั้งน้ี เป็นครั้งแรก ทม่ี ีการกาหนดแบบแผนการประกอบพิธนี อ้ี ยา่ งเปน็ ทางการ โดยหลงั จาก พ.ศ. ๒๕๐๑ ซึ่งเป็นปีแรกที่เร่ิมมีการ รณรงคใ์ ห้มกี ารประกอบพธิ ีอาสาฬหบูชา พทุ ธศาสนิกชนชาวไทยได้ร่วมใจกันประกอบพิธีน้ีกันอย่างกว้างขวาง และแพร่หลายไปทุกจังหวัด จนกลายเป็นพิธีสาคัญของพุทธศาสนิกชนไทยต้ังแต่น้ันมา ดังนั้นในวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ คณะรัฐมนตรีนาโดยจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในสมัยน้ัน จึงได้ลงมติให้ ประกาศกาหนดเพ่ิมให้วันอาสาฬหบูชา หรือวันข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ (ปีที่ตรงกับอธิกมาส) และวันข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ หลัง (ปีที่ไม่ตรงกับอธิกมาส) เป็นวันหยุดราชการประจาปีอีก ๑ วัน เพ่ือเป็นการให้ความสาคัญ กับวันดังกล่าว ตลอดจนเป็นการอานวยความสะดวกแก่พุทธศาสนิกชนที่จะไปประกอบพิธีกรรม ทางพระพทุ ธศาสนาด้วย
-๓- การประกอบพธิ ีทางศาสนาในวันอาสาฬหบูชาของประเทศไทย การประกอบพธิ ีทางศาสนาในวนั อาสาฬหบูชาได้มีการกาหนดเป็น ๒ ลักษณะ คือ การจัดงานพระราชพิธี และพิธีราษฎร์ ซ่งึ มรี ายละเอยี ด ดังน้ี ๑. พระราชพิธี การพระราชพิธีบาเพ็ญพระราชกุศลเน่ืองในวันอาสาฬหบูชา มีช่ือเรียกทางการว่า “พระราชพิธีทรงบาเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และเทศกาลเข้าพรรษา ” ซ่ึงเดิมก่อน พ.ศ. ๒๕๐๑ เรียกเพียง การพระราชพิธีทรงบาเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันเข้าพรรษา แต่หลังจาก มีการกาหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาใน พ.ศ. ๒๕๐๑ แล้ว สานักพระราชวัง จึงได้กาหนดวันอาสาฬหบูชาเพิ่มเติมขึ้นมา การพระราชพิธีน้ีโดยปกติพระมหากษัตริย์ เป็นองค์ประธาน ในการพระราชพิธีดังกล่าว แต่บางครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จแทนพระองค์ โดยสถานท่ีประกอบพระราชพิธีหลักจะจัด ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง การสาคัญของพระราชพิธี คือการถวายพุ่มเทียนเคร่ืองบูชาแก่พระพุทธปฏิมาและพระราชาคณะ รวมท้ังการ พระราชทานภัตตาหารแก่พระราชาคณะ ฐานานุกรม เปรียญ ซึ่งรับอาราธนามารับบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวัง เป็นประจาทุกปี เป็นต้น ซ่ึงการพระราชพิธีน้ีเป็นการแสดงออกถึงพระราชศรัทธาอันแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา ของพระมหากษัตริย์ไทยผทู้ รงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภกมาตั้งแต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั
-๔- ๒. พิธีราษฎร์ การประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเน่ืองในวันอาสาฬหบูชาของพุทธศาสนิกชน ชาวไทยโดยทั่วไปนิยมทาบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา เวียนเทียนรอบอุโบสถหรือสถูปเจดีย์พุทธสถานต่าง ๆ ภายในวัด เพื่อเปน็ การระลึกถงึ วันคลา้ ยวันที่เกดิ เหตุการณส์ าคัญของพระพทุ ธศาสนาในวนั ข้นึ ๑๕ ค่า เดอื น ๘ โดยแนวปฏบิ ตั ิในการประกอบพธิ ีในวันอาสาฬหบชู า ตามประกาศสานักสงั ฆนายกที่คณะสงฆ์ไทยได้ถือเป็นแบบแผน มาจนถึงปัจจุบันนี้คือ ให้คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนจัดเตรียมสถานที่ก่อนถึงวันอาสาฬหบูชา โดยมีการทา ความสะอาดวัด และเสนาสนะต่าง ๆ จัดตั้งเคร่ืองพุทธบูชา ประดับธงธรรมจักร และเมื่อถึงวันข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ ก็จัดแสดงพระธรรมเทศนาตลอดทั้งวัน เมื่อถึงเวลาค่ามีการทาวัตรสวดมนต์และสวดบทพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร มีการแสดงพระธรรมเทศนาในเน้อื หาท่ีเกีย่ วกับพระธัมมจักกปั ปวัตตนสตู ร นาสวดบทสรภัญญะบูชาคุณพระรัตนตรัย และให้พระสงฆ์นาเวียนเทียนบูชาพระพุทธปฏิมา อุโบสถ หรือสถูปเจดีย์ เม่ือเสร็จการเวียนเทียน อาจมกี ารเจรญิ จติ ตภาวนา สนทนาธรรม หลกั ธรรมสาคญั ในวนั อาสาฬหบชู าที่ควรนามาปฏิบตั ิ ในวันอาสาฬหบูชา พุทธศาสนิกชนควรนาหลักธรรมคาสอนมาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิด ประโยชน์ตอ่ ตนเองและสงั คมโดยรวม ดงั น้ี ๑. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลางเป็นข้อปฏิบัติท่ีเป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสม ที่จะทาให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดาเนินชีวิตท่ีเอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ ๑) กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง ๒) อัตตกิลมถานุโยค การสรา้ งความลาบากแก่ตน ๒. มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ๑) สมั มาทิฏฐิ (เหน็ ชอบ) คือ รูเ้ ขา้ ใจถกู ต้อง เหน็ ตามที่เปน็ จรงิ ๒) สัมมาสังกัปปะ (ดาริชอบ) คอื คดิ สุจรติ ตงั้ ใจทาสิง่ ท่ดี งี าม ๓) สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) คือ กลา่ วคาสุจริต ๔) สัมมากัมมนั ตะ (กระทาชอบ) คอื ทาการที่สจุ ริต ๕) สมั มาอาชวี ะ (อาชพี ชอบ) คอื ประกอบสมั มาชพี หรืออาชพี ทส่ี จุ ริต ๖) สมั มาวายามะพยายามชอบ คือ เพียรละชว่ั บาเพญ็ ดี ๗) สมั มาสติ (ระลกึ ชอบ) คอื ทาการดว้ ยจิตสานึกเสมอ ไมเ่ ผลอพลาด ๘) สมั มาสมาธิ (ตงั้ จติ มนั่ ชอบ) คอื คุมจิตใหแ้ นว่ แนม่ ่นั คงไม่ฟงุ้ ซ่าน ๓. อริยสจั ๔ แปลวา่ ความจรงิ อันประเสรฐิ ของอริยะ ซึ่งคอื บุคคลทห่ี ่างไกลจากกเิ ลส ได้แก่ ๑) ทุกข์ ไดแ้ ก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกาหนดรู้ให้เท่าทันความเป็นจริง วา่ คอื อะไร ต้องยอมรับรู้ กลา้ สู้ปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจสภาวะโลกว่าทุกส่ิงไม่เที่ยง มีการเปล่ียนแปลง ไปเป็นอยา่ งอน่ื ไมย่ ึดตดิ ๒) สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสาคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือ ความอยากซงึ่ สัมพันธ์กบั ปจั จยั อน่ื ๆ ๓) นโิ รธ ไดแ้ ก่ ความดับทุกข์ การดาเนนิ ชีวิตอยา่ งรู้เท่าทนั โลกโดยการใชป้ ัญญา ๔) มรรค ไดแ้ ก่ วิธีการแก้ปญั หา อันไดแ้ ก่ มรรคมอี งค์ ๘ ประการดงั กลา่ วขา้ งตน้
-๕- แนวทางท่ีพึงปฏบิ ัติ ๑. การแต่งกายด้วยชดุ สีขาวปฏิบัตธิ รรมถวายเปน็ พุทธบูชาตลอดอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ๒. การรักษาศลี ๕ ตลอดพรรษา ๓. การเขา้ วัดสวดมนต์ เจริญภาวนา ปฏิบตั ธิ รรมในวนั ธรรมสวนะ ตลอดพรรษา ถวายเปน็ พุทธบูชา ๔. เขา้ วดั เวยี นเทียน ในวนั อาสาฬหบชู า ๕. น้อมนาหลักธรรมทางศาสนาและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติในชีวิตประจาวัน เพอ่ื ความสุขของชวี ิตเป็นการได้ปฏบิ ัตติ นตามวถิ ีชาวพทุ ธ ๖. ประดับธงชาติและธงธรรมจักร บริเวณหน้าบ้าน หน้าหน่วยงานราชการ หน้าหน่วยงาน ภาคเอกชน สถานศึกษา โรงงาน โรงพยาบาล ถนน บริเวณชมุ ชน หรือสถานทส่ี ่วนกลางที่สาคญั ของชมุ ชน ขอ้ ปฏบิ ัตหิ ลักของคุณธรรมเพอื่ ความสขุ ที่ย่ังยืนในสงั คมไทย เม่ือวันอาสาฬหบูชาเวียนมาถึง ถือเป็นโอกาสดีที่พุทธศาสนิกชนจะได้ร่วมกิจกรรมในวันสาคัญ ทางพระพุทธศาสนาโดยพร้อมเพรียงและรว่ มกันประพฤติปฏิบัติตามขอ้ ปฏิบัตหิ ลักของคุณธรรม ดังน้ี ๑. ยึดและปฏิบัติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ด้วยการรักษาศีล ๕ นาหลักคุณธรรม ทางพระพุทธศาสนามาบรู ณาการกับการดาเนินชวี ิต เพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัตติ นได้อย่างถกู ต้อง ๒. น้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สามารถ ดาเนินชีวิตอย่างม่ันคงบนพื้นฐานของการพ่ึงพาตนเอง ความพอมีพอกิน การรู้จักพอประมาณ และการคานึงถึง ความมเี หตุผลโดยยึดหลกั ทางสายกลาง
-๖- ๓. ดารงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมไทย มีความเอื้ออาทร มีขนบธรรมเนียม ประเพณีท่ีดีงามของไทย และมกี ารถา่ ยทอดภูมิปญั ญาของท้องถน่ิ สู่การปฏิบตั ิในชีวติ ประจาวันของคนไทย -๘- ๑. http://www.dhammathai.org ๒. th.wikipedia.org ๓. http://www.learntripitaka.com ๔. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม : เอกสารประชาสัมพันธ์งานสัปดาห์ส่งเสริม พระพุทธศาสนา เน่อื งในเทศกาลอาสาฬหบูชาและเขา้ พรรษา ประจาปี ๒๕๖๑ , โรงพมิ พอ์ กั ษรไทย, กรุงเทพฯ
Search