Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สติปัฏฐาน 4 ฉบับวิเคราะห์ สังเคราะห์

สติปัฏฐาน 4 ฉบับวิเคราะห์ สังเคราะห์

Published by thiwadon jirapunyo, 2022-01-16 14:51:36

Description: เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ

Search

Read the Text Version

(ส.ํ ม.19/523-524) ซง่ึ นำไปสนู่ วิ รณ์ คอื กามฉนั ทแ์ ละพยาบาท ตามลำดบั สว่ นนวิ รณอ์ น่ื ๆ นน้ั อนั ทจ่ี รงิ เปน็ เรอ่ื งทเ่ี กดิ ขน้ึ ตอ่ เนอ่ื งจากกามฉนั ท์ และพยาบาท กลา่ วคอื วถิ ชี วี ติ ของปถุ ชุ นทว่ั ไปเมอ่ื ไมไ่ ดม้ กี ารหมายรู้ โดยมแี รงกระตนุ้ มาจากสภุ นมิ ติ และปฏฆิ นมิ ติ แลว้ หากปลอ่ ยใหเ้ นน่ิ นานไป จติ จะกวดั แกวง่ ไปตา่ ง ๆ นานา กลา่ วคอื ไปในทางเบอ่ื หนา่ ย ซมึ ทอ้ แท้ (ถนี มทิ ธะ)หรอื ออกไปในทางคดิ ฟงุ้ ซา่ นและรำคาญใจ(อทุ ธจั จะ- กกุ กจุ จะ) และถงึ ทส่ี ดุ กจ็ ะทนเฉยอยไู่ มไ่ ดอ้ กี ตอ่ ไป (วจิ กิ จิ ฉา) ตอ้ งดน้ิ รน ไปในทางทเ่ี ปน็ สภุ นมิ ติ หรอื ปฏฆิ นมิ ติ ทางใดทางหนง่ึ ตอ่ ไป นวิ รณ์ 5 จะเกดิ มากขน้ึ นอ้ ยลง หรอื หมดไปขน้ึ อยกู่ บั บคุ คลจะ มสี ตริ เู้ ทา่ ทนั ในนมิ ติ ทง้ั 2 เพยี งใด และมสี ตไิ มห่ มายรตู้ อ่ รปู เสยี ง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะโดยความเปน็ สภุ นมิ ติ และปฏฆิ นมิ ติ ไดเ้ พยี งใด ขนั ธบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งขนั ธ)์ การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพน้ี เปน็ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของธรรม คอื ขนั ธ์ 5 วา่ คอื อะไร ? ตลอดจนเกดิ ขน้ึ และ ดบั ลงไดอ้ ยา่ งไร? ทำไม ขนั ธ์ 5 จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกค็ อื ขนั ธ์ 5 คอื รปู ขนั ธ์ (กองแหง่ รปู ), เวทนาขนั ธ์ (กองแหง่ ความรสู้ กึ ), สญั ญาขนั ธ์ (กองแหง่ ความจำไดห้ มายร)ู้ , สงั ขาร- ขนั ธ์ (กองแหง่ ความคดิ ปรงุ แตง่ ) และวญิ ญาณขนั ธ์ (กองแหง่ การ รแู้ จง้ ในอารมณ)์ เปน็ ระบบของการดำเนนิ ชวี ติ กลา่ วคอื เปน็ ระบบ ทป่ี ระมวลสตปิ ฏั ฐานใน 3 หมวดแรก ทใ่ี หต้ ง้ั สตติ ามรรู้ ายละเอยี ด อยา่ งแยกสว่ น ทลี ะอยา่ ง ๆ มาสรู่ ะบบของการดำเนนิ ชวี ติ ทท่ี ำให้ 46

เกดิ พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ทง้ั หมด สมดงั พระพทุ ธพจนท์ ต่ี รสั แสดงให้ เหน็ กระบวนการทำงานของขนั ธ์ 5 ไวว้ า่ “ดกู รทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย จกั ขวุ ญิ ญาณ ... เกดิ ขน้ึ เพราะอาศยั ตาและรปู ... เพราะประชมุ ธรรม ๓ ประการ จงึ เกดิ ผสั สะ (= วญิ ญาณ- ขนั ธ์ และรปู ขนั ธ)์ เพราะผสั สะเปน็ ปจั จยั จงึ เกดิ เวทนา (= เวทนา- ขนั ธ)์ บคุ คลเสวยเวทนาอนั ใด กจ็ ำ(= สญั ญาขนั ธ)์ เวทนาอนั นน้ั บคุ คล จำเวทนาอนั ใด กต็ รกึ (= สงั ขารขนั ธ)์ ถงึ เวทนาอนั นน้ั ” (ม.ม.ู 12/248) เรอ่ื ง ขนั ธ์ 5 ยงั เปน็ สาระสำคญั ทท่ี ำใหร้ จู้ กั ทกุ ขใ์ นอรยิ สจั 4 ตามทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนไดถ้ กู ตอ้ ง กลา่ วคอื เปน็ ทต่ี ง้ั ของอปุ าทาน หรอื ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ทำใหเ้ กดิ เปน็ อปุ าทานขนั ธ์ 5 ซง่ึ กค็ อื ทกุ ข- อรยิ สจั นน่ั เอง รปู ขนั ธ์ หรอื กองแหง่ รปู หากกลา่ วอยา่ งเครง่ ครดั มคี วามหมาย ตา่ งกบั คำวา่ “กาย”ตามทไ่ี ดอ้ ธบิ ายไวใ้ นกายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน ซง่ึ เนน้ ไปในเรอ่ื งของกายและความเปน็ ไปของกาย หรอื ทเ่ี รยี กในภาษาวชิ าการ สมยั ใหมว่ า่ Anatomy (กายวภิ าคศาสตร)์ และ Physiology (สรรี วทิ ยา) ซง่ึ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ใหร้ จู้ กั กายตามทเ่ี ปน็ จรงิ จนสามารถนำความรทู้ ร่ี นู้ น้ั มาปรบั ปรงุ กายใหอ้ ยใู่ นสภาพทแ่ี ขง็ แรงและเปน็ ปกตเิ ทา่ ทจ่ี ะทำได้ แตใ่ นธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน ความหมายของรปู ขนั ธ์ จะเน้นเฉพาะรูปในส่วนที่เข้าไปอยู่ในความรับรู้ของจิต และ สามารถปรงุ แตง่ ใหเ้ กดิ เรอ่ื งราวในจติ จนทำใหเ้ กดิ ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ขน้ึ กลายเปน็ รปู ปู าทานขนั ธ์ ซง่ึ เปน็ ทกุ ขอรยิ สจั ; ดงั นน้ั รปู ขนั ธ์ ในทน่ี จ้ี งึ หมายถงึ เฉพาะ รปู เสยี ง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะ ทจ่ี ติ รบั รู้ เทา่ นน้ั 47

สำหรบั การเกดิ ขน้ึ และดบั ลงของรปู ขนั ธ์ มพี ระพทุ ธพจนต์ รสั วา่ “ความเกดิ ขน้ึ แหง่ รปู ยอ่ มมเี พราะความเกดิ ขน้ึ แหง่ อาหาร ความดบั แหง่ รปู ยอ่ มมเี พราะความดบั แหง่ อาหาร” (ส.ํ ข. 17/119) ซง่ึ นา่ จะหมายถงึ รปู ในความหมายทเ่ี ปน็ กาย และมอี กี พระสตู รหนง่ึ ไดต้ รสั ไวว้ า่ “มหา- ภตู รปู 4 เปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั แหง่ การบญั ญตั ริ ปู ขนั ธ”์ (ม.อ.ุ 14/124) ซง่ึ มคี วามหมายครอบคลมุ รปู ขนั ธท์ ง้ั หมด พระพทุ ธวจนะขา้ งตน้ ทง้ั 2 ขอ้ ความน้ี ไดแ้ สดงการเกิดข้นึ และดับลงทเ่ี นน้ ไปในเรอื่ งของรูปขนั ธ์ โดยเอกเทศ ไมไ่ ดแ้ สดงในแงท่ ไ่ี ปสมั พนั ธก์ บั การรบั รขู้ องจติ แตห่ ากพจิ ารณาในสว่ นของ รปู เสยี ง กลน่ิ รส และโผฏฐพั พะ ทม่ี าสมั พนั ธก์ บั การรบั รขู้ องจติ กส็ ามารถกลา่ วไดว้ า่ การเกดิ ขน้ึ และ ดบั ลงของรปู ขนั ธน์ ้ี ยอ่ มมเี พราะการเกดิ ขน้ึ และดบั ลงของผสั สะ ทง้ั นเ้ี พราะรปู เปน็ ตน้ ทจ่ี ติ จะรบั รไู้ ด้ จะตอ้ งมกี ารกระทบกบั ตา และเกดิ วญิ ญาณทางตา ขน้ึ ซง่ึ เรยี กรวมวา่ ผสั สะ จติ จงึ จะรบั รไู้ ด้ สว่ นเวทนาขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ และสงั ขารขนั ธ์ มพี ระพทุ ธพจน์ ตรสั ไวว้ า่ ขนั ธท์ ง้ั 3 ขา้ งตน้ น้ี เกดิ ขน้ึ และดบั ลง เพราะความเกดิ ขน้ึ และ ดบั ลงของผสั สะ (ส.ํ ข. 17/120-122) การเกิดขึ้นและดับลงของวิญญาณขันธ์ ย่อมมีเพราะ การเกิดขึ้นและดับลงของนามรูป (สํ.ข. 17/123) ดังที่ได้แสดงไว้ใน ปฏจิ จสมปุ บาททว่ี า่ “วญิ ญาณเปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ นามรปู และแมน้ ามรปู กเ็ ปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ วญิ ญาณ” วญิ ญาณขนั ธ์ ทก่ี ลา่ วน้ี เปน็ วญิ ญาณขนั ธ์ หรอื วญิ ญาณ 6 ทเ่ี กดิ ขน้ึ กอ่ นการเกดิ ขน้ึ ของอายตนะ ดงั นน้ั จงึ เปน็ วญิ ญาณขนั ธท์ บ่ี คุ คลไมส่ ามารถรไู้ ด้แตย่ งั มวี ญิ ญาณขนั ธอ์ กี ชดุ หนง่ึ คอื วญิ ญาณ 6 ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากอายตนะภายใน 6 และอายตนะภายนอก 6 กระทบกนั ตรงผสั สะ ซง่ึ ไดแ้ ก่ วญิ ญาณทร่ี แู้ จง้ ทางตา หู จมกู ลน้ิ กาย 48

และใจ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าวิญญาณขันธ์ในชุดหลังนี้ เกิดขึ้น และดบั ลง เพราะการเกดิ ขน้ึ และดบั ลงของผสั สะ โดยสรปุ จงึ กลา่ วไดว้ า่ การเกดิ ขน้ึ และดบั ลงขนั ธ์ 5 ทง้ั หมด ยอ่ มมี เพราะการเกดิ ขน้ึ และดบั ลงของผสั สะนน่ั เอง การตามเหน็ และรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ของขนั ธ์ 5 จะทำให้ บคุ คลรเู้ ทา่ ทนั ระบบการดำเนนิ ชวี ติ ทท่ี ำใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมทง้ั หมด ของมนุษย์ นอกจากนั้นทำให้สามารถกำหนดรู้ในทุกขอริยสัจ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนไดถ้ กู ตอ้ ง วา่ คอื อปุ าทานขนั ธ์ 5 และท่ี สำคญั คอื รถู้ งึ สาระสำคญั ของการปฏบิ ตั ธิ รรมในพระพทุ ธศาสนา วา่ แทจ้ รงิ คอื การอบรมและพฒั นาขนั ธ์ 5 จากขนั ธ์ 5 ทเ่ี ปน็ ทกุ ข์ (=อปุ าทานขนั ธ์ 5) ใหก้ ลายเปน็ ขนั ธ์ 5 ทไ่ี มเ่ ปน็ ทกุ ข์ (=วสิ ทุ ธขิ นั ธ์ 5) สว่ นการรวู้ า่ ขนั ธ์ 5 เกดิ ขน้ึ และดบั ลง เพราะความเกดิ ขน้ึ และดบั ลง ของผสั สะ จะทำใหร้ วู้ า่ จะสามารถปฏบิ ตั ใิ หท้ กุ ข์ (ทกุ ขอรยิ สจั ) ดบั ลงไดอ้ ยา่ งไร ? ซง่ึ จะกลา่ วใหช้ ดั เจนยง่ิ ขน้ึ ในอายตนบรรพ ซง่ึ อยบู่ ทถดั ไป อายตนบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งอายตนะ) การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพน้ี เปน็ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของธรรม คอื อายตนะ วา่ คอื อะไร ? ตลอดจนสงั โยชน์ ทเ่ี กดิ จากอายตนะภายในกบั อายตนะภายนอกกระทบกนั เกดิ ขน้ึ และดบั ลงไดอ้ ยา่ งไร ? ทำไมเรื่องของอายตนะ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้เท่าทัน ความเปน็ จรงิ ? 49

เหตผุ ลกค็ อื อายตนะเปน็ จดุ เชอ่ื มตอ่ สำคญั ทท่ี ำใหเ้ กดิ ผสั สะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กระบวนการรับรู้ กระบวนการดำเนนิ ชวี ติ ตลอดจนพฤตกิ รรมตา่ งๆ ของบคุ คลเกดิ ขน้ึ อายตนะในที่นี้ จำแนกเปน็ อายตนะภายใน 6 คอื ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ และอายตนะ ภายนอก 6 คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ์ การมสี ตติ ามเหน็ ความจรงิ ในเรอ่ื งอายตนะ ทำใหร้ วู้ า่ เพราะ การกระทบกนั ของอายตนะภายในกบั อายตนะภายนอก จะทำใหเ้ กดิ วญิ ญาณทางอายตนะ ปจั จยั 3 ประการนร้ี วมกนั เกดิ เปน็ ผสั สะขน้ึ และ ผสั สะนเ้ี องทเ่ี ปน็ ปจั จยั ทำใหข้ นั ธ์ 5 เกดิ ขน้ึ ทำใหเ้ กดิ เปน็ กระบวนการรบั รู้ กระบวนการดำเนนิ ชวี ติ และพฤตกิ รรมตา่ งๆ ขน้ึ อยา่ งครบถว้ นสมบรู ณ์ นอกจากนน้ั ในหมวดอายตนบรรพ ยงั ไดก้ ำหนดใหต้ ง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ การเกดิ ขน้ึ และดบั ลงของ สงั โยชน์ อนั เนอ่ื งจากการกระทบกนั ของอายตนะภายในกบั อายตนะภายนอก คำวา่ สงั โยชน์ ในทน่ี ้ี มคี วามหมายวา่ เปน็ เครอ่ื งผกู มดั จติ ใหอ้ ยใู่ นกองทกุ ข์ กลา่ วใหช้ ดั คอื สง่ิ ทท่ี ำให้ ขนั ธ์ 5 ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตรง ผสั สะนน้ั กลายเปน็ อปุ าทานขนั ธ์ 5 ทเ่ี ปน็ ทกุ ขอรยิ สจั กลา่ วโดยสรปุ การจะเกดิ สงั โยชน์ หรอื ไม่ ขน้ึ กบั การมี ทา่ ทรี บั รตู้ อ่ ผสั สะทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการกระทบกนั ระหวา่ งอายตนะ ภายในกบั ภายนอก นน้ั อยา่ งไร ? หากมที า่ ทรี บั รใู้ นแบบทเ่ี รยี กวา่ อโยนโิ สมนสกิ าร ซง่ึ เปน็ ทา่ ที รบั รเู้ พอ่ื มงุ่ แสวงหาและเสพรสชาตจิ ากการสมั ผสั หรอื เวทนาแลว้ จะ ทำใหเ้ กดิ กระแสทน่ี ำไปสสู่ งั โยชน์ กลา่ วคอื นำไปสู่ ตณั หา --> อปุ าทาน --> ภพ --> ชาติ --> ชรามรณะ ทำใหข้ นั ธ์ 5 ทเ่ี กดิ ขน้ึ หลงั ผสั สะ เกดิ เปน็ อปุ าทานขนั ธ์ 5 หรอื ทกุ ขอรยิ สจั ขน้ึ 50

แตห่ ากมที า่ ทรี บั รใู้ นแบบทเ่ี รยี กวา่ โยนโิ สมนสกิ าร ซง่ึ เปน็ ทา่ ที รบั รเู้ พอ่ื มงุ่ ศกึ ษาเรยี นรู้ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ปญั ญารแู้ จง้ เหน็ จรงิ ในสง่ิ ทร่ี บั รนู้ น้ั ซง่ึ อนั ทจ่ี รงิ กค็ อื ทา่ ทกี ารมสี ตริ บั รตู้ อ่ สง่ิ ตา่ ง ๆ คอื กาย เวทนา จติ และ ธรรม ดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ ทง้ั หมดนน่ั เอง จะทำใหก้ ระแสทน่ี ำไปสสู่ งั โยชน์ เกดิ ขน้ึ ไมไ่ ด้ แตจ่ ะทำใหเ้ กดิ กระแสทน่ี ำไปสู่ สตปิ ฏั ฐาน --> โพชฌงค์ --> วชิ ชา --> วมิ ตุ ติ หรอื วสิ ทุ ธขิ นั ธ์ แทน โพชฌงคบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งโพชฌงค)์ การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพน้ี เปน็ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของธรรม คอื โพชฌงค์ วา่ คอื อะไร ? ตลอดจนจะทำ ใหเ้ กดิ ขน้ึ และทำใหไ้ พบลู ยไ์ ดอ้ ยา่ งไร ? ทำไมเรอ่ื งของโพชฌงค์ จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกค็ อื โพชฌงคห์ รอื องคแ์ หง่ การตรสั รู้เปน็ องคป์ ระกอบ สำคญั ลำดบั สดุ ทา้ ยทจ่ี ะทำใหเ้ กดิ ปญั ญาหรอื วชิ ชาขน้ึ และนำ ไปสู่ผล คือวิมุตติหรือความหลุดพ้นจากทุกข์ (ทุกขอริยสัจ) ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู รไดแ้ สดงเนอ้ื หารายละเอยี ดไวว้ า่ คอื สตสิ มั โพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิ- สมั โพชฌงค์ สมาธสิ มั โพชฌงค์ และอเุ บกขาสมั โพชฌงค์ การทำหน้าที่ของโพชฌงค์จะเกิดขึ้นได้ ก็โดยเริ่มต้นจาก สตสิ มั โพชฌงค์ ซง่ึ เปน็ สตทิ ท่ี ำหนา้ ทจ่ี บั ประเดน็ หรอื เรอ่ื งทป่ี ระสงค์ จะใหเ้ กดิ ปญั ญารแู้ จง้ จากนน้ั ธมั มวจิ ยั สมั โพชฌงค์ จะทำหนา้ ทส่ี บื สาว คน้ หาเหตแุ ละปจั จยั ทท่ี ำใหเ้ กดิ เรอ่ื งนน้ั ๆ และในระหวา่ งทก่ี ำลงั สบื คน้ อยนู่ น้ั จะตอ้ งมี วริ ยิ สมั โพชฌงค์ คอื ความเพยี รคอยอดุ หนนุ ให้ 51

สติสมั โพชฌงคแ์ ละธมั มวจิ ยั สมั โพชฌงคน์ น้ั ทำหนา้ ทอ่ี ยอู่ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ไมใ่ หย้ ตุ หิ รอื เลกิ ราไปกอ่ น จนกวา่ จะประสบความสำเรจ็ คอื รแู้ จง้ แทง ตลอดถงึ ทม่ี า-ทไ่ี ป และเหตปุ จั จยั ตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง โดยจะมี ปตี สิ มั - โพชฌงค์ เปน็ เครอ่ื งบอก เพราะตราบใดทย่ี งั ไมป่ ระสบความสำเรจ็ กจ็ ะยงั ไมม่ ปี ตี สิ มั โพชฌงคเ์ กดิ ขน้ึ หลงั จากนน้ั จะเกดิ ภาวะผอ่ นคลาย และสงบเยน็ ทง้ั ทางกายและใจ ทเ่ี รยี กวา่ ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค์ จติ จะ สงบ ผอ่ งใส นง่ิ แนว่ แน่ ทเ่ี รยี กวา่ สมาธสิ มั โพชฌงค์ ปญั ญาทเ่ี กดิ ขน้ึ น้ี จะทำใหเ้ กดิ ภาวะของจติ ทเ่ี ปน็ กลาง กลา่ วคอื ปญั หาตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ จาก ความไม่รู้ในเรื่องนั้น ๆ จะตกไปจากจิตอย่างเด็ดขาด ไม่สามารถมี อทิ ธพิ ลบบี คน้ั หรอื เสยี ดแทง และทำใหจ้ ติ ของบคุ คลนน้ั เกดิ ความหวน่ั ไหวไดอ้ กี ตอ่ ไป เรยี กภาวะนว้ี า่ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ หากพจิ ารณาสตปิ ฏั ฐานใน 3 หมวดแรก คอื กาย เวทนา และ จติ จะเหน็ ไดว้ า่ เปน็ หมวดทเ่ี นน้ การพฒั นาสตเิ พอ่ื มงุ่ ใหเ้ กดิ เปน็ สตสิ มั - โพชฌงคเ์ ปน็ สำคญั กลา่ วคอื มงุ่ ปฏบิ ตั สิ ตใิ หต้ ามรเู้ ทา่ ทนั เรอ่ื งราวและ ประเดน็ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ชวี ติ อยา่ งครบถว้ น และเพยี งพอทจ่ี ะเปน็ ฐานขอ้ มลู ใหน้ ำไปสบื สาวคน้ ควา้ หาเหตปุ จั จยั ทเ่ี ปน็ สาเหตดุ ว้ ยโพชฌงค์ ขอ้ อน่ื ๆ ตอ่ ไป สว่ นสตปิ ฏั ฐาน 4 ในหมวดธรรม แตกตา่ งออกไปอยา่ งชดั เจน กล่าวคือ มีข้อความในตอนท้ายของทุกบรรพ ที่ให้สืบสาวราวเรื่อง ถงึ ทม่ี า-ทไ่ี ป ตลอดจนปจั จยั ทท่ี ำใหเ้ กดิ ขน้ึ และดบั ลง ของสง่ิ หรอื เรอ่ื งนน้ั ๆ ซง่ึ เปน็ การทำหนา้ ทข่ี องธมั มวจิ ยั สมั โพชฌงค์ ดงั นน้ั เมอ่ื ปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐานมาตามลำดบั จนถงึ หมวดอายตนะ- บรรพ จงึ ทำใหธ้ มั มวจิ ยั สมั โพชฌงค์ ซง่ึ เปน็ องคท์ ส่ี ำคญั ทส่ี ดุ ในการ ทำหนา้ ทข่ี องโพชฌงค์ มคี วามสมบรู ณย์ ง่ิ ขน้ึ ๆ ตามลำดบั ไปดว้ ย 52

สำหรบั การทำโพชฌงคท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ใหไ้ พบลู ยน์ น้ั ทำไดต้ ามหลกั ทว่ี า่ “ภาวติ า พหลุ กี ตา” กลา่ วคอื ทำใหม้ าก ๆ และทำใหต้ อ่ เนอ่ื ง ตามทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ กจ็ ะทำใหโ้ พชฌงคไ์ ดร้ บั การอบรมใหส้ มบรู ณ์ และไพบลู ยย์ ง่ิ ขน้ึ ๆ จนถงึ ระดบั ทพ่ี รอ้ มจะนำไปใชเ้ พอ่ื ทำใหเ้ กดิ ปญั ญา รแู้ จง้ อรยิ สจั 4 ซง่ึ เปน็ หมวดสดุ ทา้ ยของสตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพถดั ไป เพอ่ื ใหบ้ รรลผุ ล คอื วมิ ตุ ตหิ รอื ความหลดุ พน้ จากทกุ ข์ (ทกุ ขอรยิ สจั ) ในทส่ี ดุ สจั จบรรพ (บทวา่ ดว้ ยเรอ่ื งอรยิ สจั ) การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ในบรรพน้ี เปน็ การตง้ั สตเิ พอ่ื ตามเหน็ ความเปน็ จรงิ ของธรรม คอื อรยิ สจั 4 ทำไมเรอ่ื งของอรยิ สจั 4 จงึ เปน็ เรอ่ื งสำคญั ทจ่ี ะตอ้ งรเู้ ทา่ ทนั ความเปน็ จรงิ ? เหตผุ ลกค็ อื การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน4ทผ่ี า่ นมาทง้ั หมดกลา่ วโดยสรปุ : ในเบอ้ื งตน้ เพอ่ื ใหม้ ฐี านขอ้ มลู สำคญั ทจ่ี ะตอ้ งรู้ ใหค้ รบถว้ น และเพยี งพอเสยี กอ่ น (คอื สตปิ ฏั ฐาน หมวดกาย เวทนา และจติ ) และ รจู้ กั อบรมพฒั นาจติ ใหม้ คี ณุ ภาพทเ่ี หมาะสม (คอื สตปิ ฏั ฐาน หมวดธรรม คอื นวี รณบรรพ) ตลอดจนรถู้ งึ กลไกของปฏจิ จสมปุ บาทในสว่ นทบ่ี คุ คล สามารถรไู้ ดใ้ นระดบั จติ สำนกึ คอื ตง้ั แตอ่ ายตนะเปน็ ตน้ ไป(คอื อายตนบรรพ) และรถู้ งึ กระบวนการเกดิ ขน้ึ ของขนั ธ์ 5 ทเ่ี กดิ ขน้ึ หลงั ผสั สะ และถกู ปรงุ แตง่ ตอ่ จนกลายเปน็ อปุ าทานขนั ธ์ 5 (คอื ขนั ธบรรพ) : ในเบอ้ื งกลาง เพอ่ื เจรญิ โพชฌงค์ 7 ซง่ึ เปน็ เครอ่ื งมอื สำคญั ทจ่ี ะนำไปสกู่ ารตรสั รู้ หรอื รแู้ จง้ เหน็ จรงิ (คอื สตปิ ฏั ฐาน หมวดธรรม ใน สว่ นของโพชฌงค)์ ใหส้ มบรู ณข์ น้ึ 53

: ในเบอ้ื งปลาย เพอ่ื นำเครอ่ื งมอื คอื โพชฌงค์ 7 ทอ่ี บรมและ พฒั นาใหเ้ กดิ ขน้ึ แลว้ นน้ั ไปพจิ ารณาเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความรแู้ จง้ เหน็ จรงิ หรอื วชิ ชา ขน้ึ โดยเฉพาะกระแสปฏจิ จสมปุ บาทในสว่ นทไ่ี มส่ ามารถรไู้ ดใ้ นระดบั ทเ่ี ปน็ จติ สำนกึ กลา่ วคอื ตง้ั แต่ อวชิ ชา --> สงั ขาร --> วญิ ญาณ --> นามรปู โดยการพจิ ารณาทวนกระแสปฏจิ จสมปุ บาท จากอายตนะ (ในอายตนบรรพ) ขน้ึ ไปอกี จนทำใหป้ ระจกั ษแ์ จง้ ถงึ นามรปู ...ถงึ วญิ ญาณ ...ถงึ สงั ขาร... และถึงอวิชชาในที่สุด วิชชาที่เกิดขึ้นนี้ จะไปดับอวิชชาคือความไม่รู้ ในอรยิ สจั 4 ซง่ึ เปน็ หวั ขบวนทท่ี ำใหก้ เิ ลสและกองทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ ทำใหบ้ คุ คล บรรลวุ มิ ตุ ติ หรอื ความหลดุ พน้ จากทกุ ข์ อยา่ งสน้ิ เชงิ ในทส่ี ดุ วชิ ชาทเ่ี กดิ ขน้ึ น้ี คอื ความรแู้ จง้ เหน็ จรงิ ในอรยิ สจั 4 นน่ั เอง ซง่ึ ในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ไดแ้ สดงรายละเอยี ดของแตล่ ะหวั ขอ้ ของอรยิ สจั ไวอ้ ยา่ งละเอยี ดลออยง่ิ สมดงั พระพทุ ธพจนท์ ไ่ี ดย้ กมาแสดงไวแ้ ลว้ วา่ สตปิ ฏั ฐาน 4 - -> โพชฌงค์ 7 --> วชิ ชา --> วมิ ตุ ติ ขอ้ พจิ ารณาสำคญั ในทา้ ยของทกุ บรรพ มขี อ้ ความทเ่ี ปน็ พทุ ธวจนะ ในตอนทา้ ยของทกุ หมวดและทกุ บรรพในมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ทเ่ี ปน็ ขอ้ ความแบบเดยี วกนั (ตามทไ่ี ดย้ ก มาขา้ งใตน้ )้ี จะมที แ่ี ตกตา่ งกนั บา้ งเพยี งเฉพาะคำวา่ กาย ทถ่ี กู เปลย่ี น เปน็ เวทนา จติ และธรรม เทา่ นน้ั โดยไดต้ รสั ซำ้ ๆ กนั นบั รวมไดถ้ งึ 22 ครั้ง ทำให้รู้สึกได้ถึงความสำคัญยิ่งของข้อความเหล่านี้ ซึ่งควรจะ ไดน้ ำมาพนิ จิ พจิ ารณาใหถ้ ถ่ี ว้ นดว้ ย .....ดงั พรรณนามาฉะน้ี ภกิ ษยุ อ่ มพจิ ารณาเหน็ กายในกาย ภายในบา้ ง พจิ ารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณา 54

เห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คอื ความเกดิ ขน้ึ ในกายบา้ ง พจิ ารณาเห็นธรรมคือความเสื่อม ในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความ เสื่อมในกายบ้างย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่งสติของเธอที่ตั้งมั่น อยู่ว่ากายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึก เทา่ นน้ั เธอเปน็ ผอู้ นั ตณั หาและทฐิ ไิ มอ่ าศยั อยแู่ ลว้ และไมถ่ อื มน่ั อะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็น กายในกายอยู่ ฯ ขอ้ ความแรกทค่ี วรพจิ ารณาคอื กายในกาย คมั ภรี อ์ รรถกถา ไดใ้ หค้ ำอธบิ ายไวห้ ลายนยั แตค่ ำอธบิ ายทใ่ี ชม้ ากทส่ี ดุ คอื สว่ นยอ่ ย ในสว่ นใหญ่ หมายถงึ การตามดกู ายแตล่ ะสว่ น ๆ ในกายทเ่ี ปน็ สว่ นรวม นน้ั เปน็ การแยกออกไปดทู ลี ะอยา่ ง จนมองเหน็ วา่ กายทง้ั หมดนน้ั ไมม่ ี อะไรนอกจากเปน็ ทร่ี วมของสว่ นประกอบยอ่ ย ๆ ลงไปเทา่ นน้ั ในสว่ น ของเวทนา จติ และธรรม กท็ ำนองเดยี วกนั นอกจากนน้ั มผี รู้ บู้ างทา่ นไดใ้ หค้ ำอธบิ ายไวว้ า่ เปน็ การตามดู สง่ิ นน้ั ๆ ทส่ี ง่ิ นน้ั ๆ โดยตรง ซง่ึ เปน็ การรแู้ บบประจกั ษ์ ยกตวั อยา่ งเชน่ การตามดกู ายในกาย คอื ลมหายใจ จะตอ้ ง ตง้ั สตติ ามดลู มหายใจ ทล่ี มหายใจ ในขณะทก่ี ำลงั หายใจจรงิ ๆ ซง่ึ การ ตามดใู นลกั ษณะน้ี เปน็ หลกั การสำคญั ของการปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน 4 ทจ่ี ะ ตอ้ งตามดขู องจรงิ ทป่ี ระจกั ษจ์ รงิ ๆ จงึ จะนำไปสโู่ พชฌงค์ และเกดิ วชิ ชาทร่ี แู้ จง้ แทงตลอดในสง่ิ นน้ั ๆ จรงิ ๆ คำอื่นที่ควรกล่าวถึงด้วย ก็คือคำว่า กายภายใน หมายถึง กายของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ประจักษ์ได้และตามดูได้โดยตรง 55

และ กายภายนอก หมายถงึ กายของผอู้ น่ื ซง่ึ ในทน่ี ไ้ี มไ่ ดม้ คี วามหมาย ว่าให้ตามดูและประจักษ์ที่กายของผู้อื่นโดยตรง แต่เป็นการขยาย ความรจู้ รงิ ทป่ี ระจกั ษใ์ นกายตน ซง่ึ เปน็ ความรเู้ ฉพาะ ใหก้ ลายเปน็ ความรู้ ทว่ั ไป วา่ แมใ้ นกายของผอู้ น่ื กเ็ ปน็ เชน่ เดยี วกนั เพอ่ื ทำใหห้ มดความสงสยั ในเรอ่ื งของกายไมว่ า่ จะเปน็ กายใด ๆ กต็ ามอยา่ งสน้ิ เชงิ และคำวา่ พจิ ารณาเหน็ ธรรม คอื ความเกดิ ขน้ึ ในกายบา้ ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอื ความเสอ่ื มในกายบา้ ง พจิ ารณาเหน็ ธรรม คอื ทง้ั ความเกดิ ขน้ึ ทง้ั ความเสอ่ื มในกายบา้ ง หมายถงึ การพจิ ารณา เหน็ ไตรลกั ษณ์ ในสง่ิ ทส่ี ตติ ามดทู ง้ั หมด สว่ นคำอน่ื ๆ ทเ่ี หลอื ทว่ี า่ อกี อยา่ งหนง่ึ สตขิ องเธอทต่ี ง้ั มน่ั อยวู่ า่ กาย มอี ยกู่ เ็ พยี งสกั วา่ ความรู้ เพยี งสกั วา่ อาศยั ระลกึ เทา่ นน้ั เธอเปน็ ผอู้ นั ตณั หาและทฐิ ไิ มอ่ าศยั อยแู่ ลว้ และไมถ่ อื มน่ั อะไร ๆ ในโลก ไดอ้ ธบิ ายไวช้ ดั เจนแลว้ ในหนา้ ท่ี 15 ของหนงั สอื น้ี ในการพิจารณา เวทนาในเวทนา, จิตในจิต และ ธรรม ในธรรม กอ็ ธบิ ายในลกั ษณะเดยี วกนั อานสิ งสข์ องการเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน 4 เป็นท่นี ่าสนใจยง่ิ และเห็นควรตัง้ เป็นขอ้ สังเกตไว้ ณ ทน่ี ้ีวา่ สตปิ ฏั ฐาน 4 เปน็ ระบบปฏบิ ตั เิ พยี งระบบเดยี วเทา่ นน้ั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ได้ แสดงทั้งอานิสงส์และระยะเวลาของการปฏิบัติที่จะทำให้บรรลุผล ไวเ้ ปน็ เครอ่ื งยนื ยนั และหลกั ประกนั ความแนน่ อนใหก้ บั ผปู้ ฏบิ ตั ดิ ว้ ยวา่ หากปฏบิ ตั ติ รงตามทต่ี รสั สอนแลว้ อยา่ งชา้ 7 ปี อยา่ งกลาง 7 เดอื น และอยา่ งเรว็ 7 วนั จะทำใหบ้ คุ คลบรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ แตห่ ากยงั ไม่ สน้ิ กเิ ลส กจ็ ะบรรลเุ ปน็ พระอนาคามี 56

ดว้ ยเหตนุ เ้ี อง สตปิ ฏั ฐาน 4 จงึ เปน็ ระบบปฏบิ ตั ทิ ไ่ี ดร้ บั ความ นิยมอย่างสูงและแพร่หลาย ในแวดวงพุทธบริษัทนิกายเถรวาทใน ประเทศตา่ ง ๆ ทว่ั โลก การจำแนกความแตกตา่ งระหวา่ งพระเสขะ กบั อเสขะ ดว้ ยสตปิ ฏั ฐาน 4 เรอ่ื งสตปิ ฏั ฐาน 4 น้ี นอกจากเปน็ ระบบปฏบิ ตั ิ ทท่ี ำใหบ้ คุ คล บรรลคุ วามเปน็ พระอรยิ บคุ คลแลว้ ยงั สามารถนำมาเปน็ เครอ่ื งจำแนก ความแตกตา่ งระหวา่ งพระเสขะ (พระโสดาบนั พระสกทาคามี และ พระอนาคามี) กับพระอเสขะ (พระอรหันต์) ได้อีกด้วย ตามคำของ พระอนรุ ทุ ธะทก่ี ลา่ วตอบพระสารบี ตุ รวา่ บคุ คลทจ่ี ะชอ่ื วา่ เปน็ พระเสขะ เพราะเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ไดเ้ ปน็ สว่ นๆ และชอ่ื วา่ เปน็ พระอเสขะ เพราะเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ไดบ้ รบิ รู ณ์ (ส.ํ ม. 19/781-784) การเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน 4 ไดเ้ ปน็ สว่ น ๆ และการเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน 4 ไดบ้ รบิ รู ณ์ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร ? ในเรอ่ื งน้ี หากพจิ ารณาตามทไ่ี ดเ้ สนอไปแลว้ ในธมั มานปุ สั สนา- สติปัฏฐาน หมวดสัจจบรรพ ที่ได้สรุปการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ว่ามี ขน้ั ตอนใหญ่ ๆ 3 ขน้ั ตอน คอื เบอ้ื งตน้ (เพอ่ื ใหม้ ฐี านขอ้ มลู สำคญั ทจ่ี ะตอ้ งร)ู้ เบื้องกลาง (เพื่อให้เกิดโพชฌงค์ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่ การรแู้ จง้ เหน็ จรงิ ) และเบอ้ื งปลาย (เพอ่ื พจิ ารณาใหเ้ กดิ ความเหน็ แจง้ ในอรยิ สจั 4) (โปรดดรู ายละเอยี ดในหนา้ ท่ี 53-54) จะเห็นได้ว่า พระอริยบุคคลทุกระดับ แน่นอนว่าจะต้องมี การปฏบิ ตั ใิ นเบอ้ื งกลางและเบอ้ื งปลาย อยา่ งจะขาดเสยี มไิ ด้ เพราะ 57

ตอ้ งอาศยั ปญั ญาทร่ี ใู้ นอรยิ สจั 4 อนั เกดิ จากโพชฌงคเ์ ปน็ เครอ่ื งมอื ใน การละสงั โยชน์ และควรจะรวมไปถงึ เรอ่ื งของนวิ รณ์ ขนั ธ์ และอายตนะ ดว้ ย เพราะเปน็ เรอ่ื งสำคญั พน้ื ฐานทจ่ี ำเปน็ ตอ้ งรู้ ซง่ึ ทง้ั หมดกค็ อื สตปิ ฏั ฐาน ในหมวดธัมมานุปัสสนานั่นเอง จะแตกต่างกันบ้างก็เฉพาะในสว่ นท่ี เปน็ เบอ้ื งตน้ คอื ในระดบั ทเ่ี ปน็ ฐานขอ้ มลู หรอื สตปิ ฏั ฐานใน 3 หมวด แรกทพ่ี ระอรยิ บคุ คลระดบั ตา่ งๆสามารถเจรญิ ไดจ้ นสมบรู ณไ์ มเ่ ทา่ กนั ดงั นน้ั พระอรยิ บคุ คลในทกุ ระดบั จะตอ้ งมสี ตปิ ฏั ฐานในหมวด ธมั มานปุ สั สนา เปน็ องคป์ ระกอบสำคญั อยดู่ ว้ ย และเมื่อนำเรื่องของสังโยชน์มาพิจารณาประกอบร่วมด้วย จะเหน็ วา่ สงั โยชนใ์ นระดบั ของพระโสดาบนั และพระสกทาคามี เนอ่ื ง ดว้ ยกบั สกั กายทฏิ ฐหิ รอื ทเ่ี นอ่ื งกบั กายเปน็ สำคญั ; สงั โยชนใ์ นระดบั ของ พระอนาคามี เนื่องด้วยกับกามราคะหรือเวทนาที่มีอามิสเป็นสำคัญ สว่ นสงั โยชนใ์ นระดบั ของพระอรหนั ต์ เนอ่ื งดว้ ยกบั รปู ราคะและอรปู ราคะ หรอื เวทนาทไ่ี มม่ อี ามสิ และกเิ ลสในระดบั ลกึ ทเ่ี นอ่ื งกบั จติ เปน็ สำคญั ดงั นน้ั จงึ สามารถสรปุ ไดว้ า่ * พระโสดาบนั และพระสกทาคามี คอื พระเสขะผเู้ จรญิ สต-ิ ปฏั ฐาน 4 ไดบ้ รบิ รู ณเ์ ฉพาะในสว่ นของกายานปุ สั สนา และธมั มานปุ สั สนา * พระอนาคามี คอื พระเสขะผเู้ จรญิ สตปิ ฏั ฐาน 4 ไดบ้ รบิ รู ณเ์ พม่ิ ขน้ึ ไปอกี เฉพาะในสว่ นของเวทนานปุ สั สนา ทเ่ี นอ่ื งกบั เวทนาทม่ี อี ามสิ พระโสดาบนั พระสกทาคามีและพระอนาคามี จงึ เปน็ บคุ คล ทช่ี อ่ื วา่ เปน็ พระเสขะ เพราะเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ไดเ้ ปน็ สว่ นๆ * พระอรหนั ต์ คอื พระอเสขะผเู้ จรญิ สตปิ ฏั ฐาน 4 ไดบ้ รบิ รู ณ์ เพม่ิ ขน้ึ ไปอกี ในสว่ นของเวทนานปุ สั สนาทเ่ี นอ่ื งกบั เวทนาทไ่ี มม่ อี ามสิ 58

และจติ ตานปุ สั สนาทง้ั หมด ซง่ึ กค็ อื สตปิ ฏั ฐาน 4 ทง้ั หมด พระอรหนั ต์ จงึ เปน็ บคุ คลทช่ี อ่ื วา่ เปน็ พระอเสขะ เพราะ เจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ไดบ้ รบิ รู ณ์ บทสรปุ ดังที่ได้อธิบายและวิเคราะห์-สังเคราะห์ไปแล้วทั้งหมด คงจะทำใหเ้ หน็ ชดั เจนวา่ การปฏบิ ตั ใิ นระบบสตปิ ฏั ฐาน 4 มคี วาม ลมุ่ ลกึ และกวา้ งขวางเพยี งใด ตลอดจนสามารถนอ้ มนำทกุ สง่ิ หรอื ทกุ เรอ่ื งทเ่ี กย่ี วขอ้ งมาเปน็ อปุ กรณส์ ำหรบั การปฏบิ ตั ใิ นทกุ ขณะ ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งไร ซง่ึ จะทำใหโ้ ลกทศั นเ์ กย่ี วกบั การปฏบิ ตั ธิ รรมใน พระพทุ ธศาสนา ขยายตวั ออกไปอยา่ งมหาศาล ไมถ่ กู จำกดั ดว้ ย รปู แบบ ลกั ษณะ หรอื กริ ยิ าอาการอะไรบางอยา่ งเทา่ นน้ั และดว้ ยความหวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ คงมสี ว่ นทจ่ี ะชว่ ยใหท้ า่ น ผอู้ า่ นเกดิ ความภมู ใิ จและมน่ั ใจอยา่ งเตม็ เปย่ี ม ในสตปิ ฏั ฐาน 4 ตามทพ่ี ระศาสดาตรสั ไวว้ า่ “....หนทางนเ้ี ปน็ ทไ่ี ปอนั เอก เพอ่ื ความบรสิ ทุ ธข์ิ องเหลา่ สตั ว์ เพอ่ื ลว่ งความโศกและปรเิ ทวะ เพอ่ื ความดบั สญู แหง่ ทกุ ข์ และโทมนสั เพอ่ื บรรลธุ รรมทถ่ี กู ตอ้ ง เพอ่ื ทำใหแ้ จง้ ซง่ึ พระนพิ พาน หนทางน้ี คอื สตปิ ฏั ฐาน 4....” 59

ดรรชนคี น้ คำ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ 51, 52 มหาภูตรูป4 48 สัมปชัญญบรรพ 21, 26 ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มหาสติปัฏฐานสูตร 7, 9, สัมปชัญญะ 14, 27, 28 14, 15, 16, 17, 21, 27, สัมมากัมมันตะ 12 กฎธรรมชาติ 30 44, 47, 57 41, 44, 45, 51, 54 สัมมาญาณะ 11 กรรมฐาน40 10 ธาตุดิน 29, 30 สัมมาทิฏฐิ 12 กาม 38, 39 ธาตุน้ำ 29, 30 มิจฉาสติ 4, 5 กามคุณ 40 ธาตุไฟ 29, 30 มีอามิส 32, 37, 38, 39, 58 สัมมาวาจา 12 กามฉันท์ 45, 46 ธาตุมนสิการบรรพ 21, 29 ไม่มีอามิส 14, 17, 32, 40, สัมมาวายามะ 12 41, 58 สัมมาวิมุตติ 11 กามราคะ 39, 58 ธาตุลม 29, 30 นวสีวถิกาบรรพ 21, 31 โยนิโสมนสิการ 13, 18, 51 สัมมาสติ 4, 7, 12, 14, 15 กามสุข 39 สัมมาสมาธิ 12, 41 นามรูป 48, 54 รูปขันธ์ 46, 47, 48 กายเนื้อ 24 นิจจวิปลาส 19 รูปฌาน 24 สัมมาสังกัปปะ 12 กายในกาย 55 นิพพาน 8, 59 รูปราคะ 58 สัมมาอาชีวะ 12 กายลม 24 กายสังขาร 14, 24, 25 นิโรธ 36 รูปูปาทานขันธ์ 47 สุขวิปลาส 18 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน นิวรณ์ 10, 17, 25, 45, 46, โลกียะ 16 สุขเวทนา 32, 33, 34, 35, 36, 21, 24, 32, 47 58 โลกุตตระ 16 38, 39, 40, 41 กิเลส 15, 44 นีวรณบรรพ 44, 53 วิจิกิจฉา 45, 46 สุคติ 43 กุศล 4, 5 เนกขัมมะ 40 วิชชา 11, 12, 13, 14, 15, สุจริต3 13, 18 ขันธ์ 5 46, 47, 49, 50, 53, ปฏิกูลมนสิการบรรพ 21, 28 19, 21, 51, 54 สุภนิมิต 45, 46 58 ปฏิฆนิมิต 45, 46 วิญญาณขันธ์ 46, 47, 48, สุภวิปลาส 18 ขันธบรรพ 44, 53 ปฏิฆสัมผัส 36 49 อกุศล 5 จิต 16 ประเภท 41 ปฏิจจสมุปบาท 13, 53, 54 วิตก 5 อทุกขมสุขเวทนา 32, 34, 35, จิตตนิยาม 30 ปัญญา 6, 10, 11, 12, 14, วิปัสสนาภาวนา 9, 10, 14 36 จิตตสังขาร 33 15, 51, 53, 58 วิปัสสนายานิก 19 อธิวจนสัมผัส 37 จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ปัญญาขันธ์ 15 วิมุตติ 11, 13, 14, 15, 19, อบาย 43 41 ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ 51, 52 21, 44, 51, 53, 54 อภิชฌา 14, 15 จิตในจิต 56 ปีติ 17 วิริยสัมโพชฌงค์ 51 อโยนิโสมนสิการ 13 จินตนาการ 37, 38, 39, 40 ปีติสัมโพชฌงค์ 51, 52 วิสุทธิขันธ์ 51 อรรถกถา 18, 40 ชรามรณะ 13, 50 ปุถุชน 19, 36, 39, 41 เวทนาขันธ์ 46, 47, 48 อริยมรรคมีองค์8 11, 12, 13, ชาติ 13, 50 ผัสสะ 13, 48, 49, 50, 53 เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน 14, 40, 41 ฌาน 10, 14, 16, 40, 41 พยาบาท 45, 46 32 อริยสัจ4 13, 20, 35, 47, 53, ฌานสุข 40 พระสกทาคามี 57, 58 เวทนาในเวทนา 56 54, 58 ญาณ 11, 12 พระเสขะ 57, 58 ศรัทธา 13, 18 อรูปราคะ 58 ตัณหา 13, 15, 33, 50 พระโสดาบัน 57, 58 ศีล 6, 12 อวิชชา 13, 35, 54 ตัณหาจริต 18 พระอนาคามี 8, 56, 57, 58 สตินทรีย์ 7 อัตตวิปลาส 19 ตัวตน 15, 16, 20, 35, พระอรหัตผล 8 สติพละ 7 อานาปานบรรพ 14, 16, 21, ไตรลักษณ์ 17 พระอรหันต์ 6, 36, 56, 57, สติสัมปชัญญะ 13, 18 22, 24 ไตรสิกขา 11, 12, 13 58, 59 สติสัมโพชฌงค์ 7, 15, 51, อานาปานสติสูตร 14, 16, 17 52 อายตนบรรพ 44, 49, 53, 54 ถีนมิทธะ 45, 46 พระอรยิ บคุ คล 36, 39, 41, 57 สมถภาวนา 9, 10, 14 อายตนะภายนอก 36, 48, 50 เถรวาท 8, 57 พระอเสขะ 57, 58, 59 อายตนะภายใน 36, 48, 50 ทิฏฐิจริต 19 พีชนิยาม 30 สมถยานิก 18 ทิฐิ 15 โพชฌงค์ 11, 13, 14, 15, สมาธิ 6, 9, 10, 11, 12, 23 อินทรียสังวร 13, 18 อิริยาปถบรรพ 21, 25 ทุกขเวทนา 32, 33, 34, 35, 19, 20, 51, 53, 54, 57 สมาธิขันธ์ 15 36, 38 โพชฌงคบรรพ 44, 51 สมาธิสัมโพชฌงค์ 51, 52 อุตุนิยาม 30 ทุกขอริยสัจ 11, 12, 13, 20, ภพ 13, 50 สังขาร 54 อุทธัจจะกุกกุจจะ 45, 46 33, 47, 49, 50, 51, 53 ภาวิตา พหุลีกตา 53 สังขารขันธ์ 46, 47, 48 อุเบกขาสัมโพชฌงค์ 51, 52 ทุคติ 43 มนสิการ 5 สังโยชน์ 41, 49, 50, 51, 58 อุปกิเลส 45 โทมนัส 14, 15 มโนทวาร 37 สัจจบรรพ 44, 53, 57 อุปาทาน 13, 35, 47, 50 ธรรมในธรรม 56 มรรคจิต 6 สัญญาขันธ์ 46, 47, 48 อปุ าทานขนั ธ5์ 47, 49, 50, 53 60


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook